บทที่ 2 ไม่ใช่ทั้งแฟนและแฟนเก่า
1)
“แกเนี่ยนะเคยคบกับเมทิตย์”
คำถามที่เต็มไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่เชื่อถือฉันเลยแม้แต่น้อยดังขึ้น ฉันหันไปมองอย่างเซ็งๆ จะว่าไปความจริงสิ่งที่พูดอยู่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเชื่อกันได้ง่ายนัก ปาฏิหาริย์พรวิเศษดาวตกในคืนเบญจเพส ขนาดคิดเองก็ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อตัวเองเลย
“จริงสิ ฉันจะหลอกแกเล่นทำไมเล่า”
ฉันตอบพร้อมกับก้มหน้าลงดูดน้ำส้มปั่นที่ละลายจนไม่เหลือความอร่อย ผู้ชายตรงหน้าคือชวิน เพื่อนรักจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ คนที่ฉันไม่เคยรู้จักมาก่อน จนกระทั่งพรวิเศษเปลี่ยนโลกให้กลับตาลปัตรไปหมด ฉันเสียเพื่อนจากคณะบัญชีไปหมดแล้ว จึงบากหน้ามาปรึกษาชวินก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร
ความจริงแล้วพรวิเศษนี้ก็ทำงานได้อย่างน่ามหัศจรรย์
หลังจากคืนนั้น ความทรงจำใหม่ๆ ของฉันก็เข้ามาอยู่ในสมองได้อย่างสมบูรณ์แบบ ฉันมีความรู้ด้านสถาปัตยกรรมอย่างครบถ้วน เขียนแบบ วาดโครงสร้าง ใช้โปรแกรมแบบจำลองสามมิติได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนคนที่เรียนมาเต็มห้าปีไม่มีผิดเพี้ยน ออกจะเก่งและเป็นมือวางอันดับต้นๆ ขององค์กรเสียด้วยซ้ำ แต่ในทางตรงกันข้าม ความรู้ด้านบัญชีของฉันก็หายไปจนหมดเกลี้ยง จำไม่ได้เลยว่าเคยเรียนอะไรมาบ้าง หน้าตาของเพื่อนในคณะ เรื่องราวการทำงานก็เหลือเพียงแค่เลือนราง ในความทรงจำเก่าๆ ก็เหมือนจะมีแค่เรื่องเมทิตย์นี่แหละที่ฉันยังจดจำได้เป็นอย่างดี
“แกอาจจะฝันก็ได้นะ เอาจริงๆ ฝันตอนใกล้เช้าเหมือนจริงจะตาย แกอาจจะรู้สึกเหมือนจริงมากๆ จนคิดว่าเป็นความจริง”
อีกฝ่ายพูดอย่างไม่ค่อยยอมเชื่อ ฉันเบ้ปากไปมาอย่างพยายามคิดหาคำอธิบาย ถึงแม้ว่าจะเพิ่งเป็นเพื่อนกันสดๆ ร้อนๆ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาชวินก็ถือว่าเป็นเพื่อนสนิทที่ล้มลุกคลุกคลานกันมา และความทรงจำที่มีอยู่ในสมองฉันก็เชื่อแบบนั้น และฉันต้องการใครสักคนที่เข้าใจฉันจริงๆ ในเวลานี้
“เมทิตย์ซื้อคอนโดฯ อยู่ห้องติดกับฉันเนี่ย” ฉันพูด “ก่อนหน้านี้ฉันเคยบอกแกหรือเปล่าล่ะ ถ้าเป็นเรื่องจริงฉันก็ต้องเอามาอวดแล้วปะ มีซูเปอร์สตาร์มาอยู่ห้องติดกัน ทำไมเพิ่งมาบอก”
“เฮ้ย จริงดิ อันนี้ไม่เคยบอกว่ะ”
“จริง”
“อ้าว ในเมื่อพรวิเศษทำให้แกกับเขาไม่ได้เป็นแฟนกันแล้ว แล้วเขาจะมาซื้อห้องอยู่ติดกับแกทำไมวะ” ชวินถามต่ออย่างสงสัย
“ฉันก็ไม่รู้ ในโลกนี้ฉันไม่เคยเจอเขาที่ห้องมาก่อน แต่ฉันจำป้ายหน้าห้องได้ ที่โลกเก่าฉันเคยไปเลือกกับเขามาด้วยตัวเอง ยังไงคนในห้องก็ต้องเป็นเมทิตย์แน่ๆ” ฉันตอบอย่างมั่นใจ
“เหรอ”
“อือ” ฉันพยักหน้า “ความจริงฉันรู้ความลับของเมทิตย์ทุกอย่างแหละ แต่บอกให้แกรู้ไปก็ไม่น่าจะมีประโยชน์ เพราะก็คงพิสูจน์ไม่ได้อยู่ดี ร่างกายเขามีตำหนิหลายจุด แต่คงไม่มีสื่อที่ไหนไปขอให้เขาแก้ผ้าให้ดูหรอก”
ฉันตอบแบบปลงๆ ขนาดตัวฉันเองก็ยังคิดไม่ตกว่าจะเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ชวินฟังทำไม รู้แค่ว่าถ้าไม่ได้ระบายออกมาบ้าง ฉันคงต้องอกแตกตายแน่ๆ
“แล้วแกจะเอายังไงต่อไปวะ”
อีกฝ่ายถาม เหมือนจะจริงจังมากขึ้น ฉันเอาคางวางลงบนโต๊ะ คิดแล้วคิดอีก
“ยังไม่รู้เลย แต่คงต้องลองหาวิธีให้ได้เจอหน้าเขาก่อน อย่างน้อยก็ให้มั่นใจจริงๆ ว่าเขาจำอะไรไม่ได้เลย”
ฉันตอบ ใจนึกย้อนไล่เรียงไปถึงความทรงจำที่เพิ่งได้รับมาใหม่สดๆ ร้อนๆ แต่ก็พบว่าฉันไม่เคยพบกับเมทิตย์เป็นการส่วนตัวเลย และฉันเองก็ไม่เคยพบกับผู้ชายที่อยู่ข้างห้องด้วย ถึงแม้ว่าฉันจะเอ่ยปากบอกชวินไปอย่างมั่นใจ แต่ความจริงแล้วเพื่อนข้างห้องอาจจะเป็นแค่ใครสักคนที่บังเอิญเลือกป้ายหน้าห้องแบบเดียวกันกับเมทิตย์ก็ได้
“เดี๋ยวจะลองช่วยคิดวิธีดู”
ชวินพูดพร้อมก้มหน้าพิมพ์หาอะไรเรื่อยเปื่อยในคอมพิวเตอร์ ส่วนฉันนั่งเท้าคางมองออกไปยังนอกหน้าต่าง สายตาไล่กวาดไปตามสิ่งปลูกสร้างรอบด้านอย่างติดนิสัย
“นี่ๆๆ แกลองดูนี่สิ”
ชวินพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น ดึงความสนใจของฉันกลับมาอยู่ที่เรื่องตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะหันคอมพิวเตอร์พกพามาให้ดู ฉันกวาดสายตามองอย่างสนใจ
“เมทิตย์ The first exclusive meeting sponsored by SET”
ฉันอ่านชื่อโปสเตอร์ในแอพพลิเคชั่นโซเชียลมีเดียอย่างงงๆ ตรงมุมมีตราสัญลักษณ์วงกลมหยินหยางสีส้ม ขาว และดำที่ฉันไม่รู้จัก
“เห็นบอกว่ากิจกรรมในงานให้ขอลายเซ็นและพูดคุยตัวต่อตัวเป็นเวลาแปดวินาที” ชวินพูดต่อ “ถ้ามีโอกาสได้เจอหน้ากันจังๆ แกก็จะได้รู้ว่าเขาจำแกได้บ้างหรือเปล่า”
“อือ” ฉันรับคำในลำคอ “งานอะไรวะ ปกติเขาเกลียดพวกงานมีตติ้งอะไรแบบนี้จะตาย ไม่น่าเชื่อว่าจะยอมรับงานแบบนี้ด้วย”
“แกไม่รู้จัก SET เหรอ”
“หึ” ฉันส่ายหน้าเบาๆ
“ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไง” ชวินเสริม “ได้ข่าวว่าละครฟอร์มยักษ์ที่เมทิตย์จะได้เล่นต้นปีหน้าเกี่ยวกับหุ้น มีสปอนเซอร์ใหม่เป็นตลาดหลักทรัพย์ เห็นว่านี่ก็ได้เป็นพรีเซนเตอร์คนแรกของตลาดหลักทรัพย์ด้วยนะ เงินคงหนาแหละ เลยยอมรับงาน”
“อือ ก็อาจจะใช่มั้ง”
ฉันตอบไปอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ ลึกๆ แล้วฉันเองก็ไม่มั่นใจว่าตัวเขาที่ฉันเคยรู้จักกับตัวเขาในตอนนี้จะยังเป็นคนเดิมเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า เขาอาจจะกลายเป็นใครก็ได้ที่ฉันอาจจะไม่รู้จักเลย
“หรือว่าฉันควรจะปล่อยเขาไปดีวะ” ฉันรำพึงออกมาอย่างไม่มั่นใจ
“อะไรว้า” ชวินทำหน้ามุ่ย “ถ้าทุกอย่างเป็นเรื่องจริงอย่างที่แกบอก แกก็ควรจะลองดูสักตั้งก่อนหรือเปล่าวะ คบกันมาตั้งสิบปีนะเว้ย จะปล่อยเขาไปง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ”
“แต่ตอนนี้เหลือศูนย์ปีแล้ว” ฉันส่งเสียงในลำคออย่างอึดอัด “ไม่มีสถานะเป็นแฟนเก่าด้วยซ้ำ เพราะในความทรงจำของเขาคงไม่มีอะไรเหลือเลย”
“เป็นแฟนเก่าไม่ได้ก็เอามาเป็นแฟนใหม่เลยสิ”
ชวินพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ หันคอมพิวเตอร์กลับไปและง่วนพิมพ์อะไรไม่หยุด ฉันมองเพื่อนสนิทคนเดียวที่เหลือมาจากมหาวิทยาลัย และอาจจะเป็นเพราะทำงานที่เดียวกันด้วย ชวินจึงเป็นเหมือนที่พึ่งเดียวที่ฉันมี
“แกนี่มองโลกในแง่ดีจัง”
“ก็ถ้าเลือกได้จะมองโลกให้มันร้ายไปทำไมล่ะ”
อีกฝ่ายตอบมาอย่างขำๆ ฉันถึงกับเผลอยิ้มออกมา ตลกดี ชวินดูมีทีท่ากระตือรือร้นเรื่องเมทิตย์ยิ่งกว่าฉันเสียอีก
“เดี๋ยวจัดการเรื่องตั๋วมีตติ้งให้ ส่วนแกก็ไปนั่งทำตัวสวยๆ รอทำภารกิจ”
ชวินปิดคอมพิวเตอร์อย่างมั่นใจ ความจริงบัตรมีตติ้งดาราดังแบบนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องง่ายที่จะหามาได้ แต่ท่าทางอีกฝ่ายมั่นใจจนฉันไม่อยากจะตั้งคำถามว่าอะไรหรือใครช่างทำให้ชวินมั่นใจได้ขนาดนั้น บางทีพรวิเศษนี่ก็ไม่ได้โหดร้ายจนเกินไปนัก ฉันสูญเสียคนรักไป แต่ก็ได้เพื่อนสนิทคนหนึ่งมาแทน
“ภารกิจอะไรของแกวะ”
ฉันถามแบบติดตลก ก่อนจะยกมือเรียกบริกรมาคิดเงินค่าอาหารและเครื่องดื่ม ชวินยิ้มร่าเริงเหมือนกับเด็กๆ จนกระทั่งพนักงานหยิบบัตรเครดิตไปรูดเงินจึงยอมเฉลย
“ภารกิจทวงคืนแฟนใหม่!”
2)
ฉันขับรถเถลไถลออกนอกเมืองไปเสียไกล
ความจริงคอนโดฯ ที่ฉันอยู่ห่างจากสยามสแควร์ไม่มากนัก ตอนที่นัดลูกค้าพร้อมชวิน ถ้านั่งรถไฟฟ้าไปได้ก็จะสะดวกมาก แต่ติดเรื่องคอมพิวเตอร์และโมเดลจำลองที่ต้องการให้ลูกค้าได้ดู ฉันจึงต้องเอารถส่วนตัวไป หลังจากทำงานเสร็จและคุยกับชวินเรียบร้อย ฉันก็ไม่ค่อยมีอารมณ์กลับห้องเท่าไหร่นัก ขณะที่ขับรถผ่านหน้าคอนโดฯ เท้าของฉันก็เหยียบเลยตรงขึ้นสะพานพระรามแปดไป
ฉันชอบขับรถดูบ้านเมือง
ตั้งแต่ก่อนจะได้เป็นสถาปนิก กิจกรรมที่ฉันชอบก็คือการดูตึกดูอาคารอยู่แล้ว ยิ่งได้มาเป็นสถาปนิกก็ยิ่งแล้วใหญ่ ฉันชอบขับรถวนไปดูบ้านเรือนต่างๆ พักผ่อนหย่อนใจส่วนหนึ่ง หาแรงบันดาลใจในการทำงานด้วยส่วนหนึ่ง และนั่นดูเหมือนจะเป็นการช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ดีทีเดียว
ฉันขับรถวนแถวเสาชิงช้าเสียหลายรอบ
ไม่ได้จอดหรือมีเป้าหมายจะแวะที่ไหนเป็นพิเศษ ฉันขับรถไปดูย่านที่มีผู้คนคึกคักอย่างประตูผี ร้านผัดไทยที่มีคนต่อคิวจนแน่นหน้าร้าน ร้านโรตีที่เปิดเกือบโต้รุ่ง ร้านข้าวต้มกลางคืน ตึกรามบ้านช่องที่มีเอกลักษณ์แบบโบราณดั้งเดิม ฉันขับรถผ่านไปทีละหลังๆ อย่างเชื่องช้า ราวกับจะได้เติมเต็มพลังบางอย่างให้ชีวิต
เกือบตีสองที่ฉันขับรถวนเข้ามาจอดในอาคารจอดรถของโครงการ
ฉันจอดรถนั่งฟังเพลงแถวสวนสันติชัยปราการเสียนาน ชั่วโมงหรือหลายชั่วโมง ฉันก็จำได้ไม่ละเอียดนัก ชีวิตที่ขาดเมทิตย์ไปเหมือนกับลูกโป่งที่ถูกสูบลมออกไปจนหมด ฉันเพิ่งรู้ในตอนนั้นเองว่าชีวิตที่ผ่านมายึดติดเขาไว้เป็นคำว่าความสุขของฉันมากแค่ไหน
“ไปด้วยค่ะ”
ฉันตะโกนเสียงไม่เบานัก ขณะที่เปิดประตูเข้าไปตรงบริเวณโถงที่เชื่อมกับลานจอดรถและเห็นว่าลิฟต์กำลังจะปิดพอดี ฉันกระหืดกระหอบแบกของพะรุงพะรังวิ่งตรงเข้าไปในลิฟต์ คนที่เข้าไปก่อนไม่ได้แสดงท่าทีอะไร แต่กดปุ่มเปิดประตูค้างไว้เงียบๆ ฉันเอ่ยปากขอบคุณ ขณะที่ลิฟต์ค่อยๆ ปิดลง
“ขอบคุณนะคะ”
ฉันถอนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าทันเวลาพอดี อีกฝ่ายไม่ได้ตอบแต่พยักหน้ารับเงียบๆ ฉันกำลังจะหันไปกดชั้นที่ตัวเองอยู่ แต่พอเห็นว่าไฟตัวเลขที่สว่างอยู่เป็นชั้นเดียวกัน และหันไปมองคนที่ยืนอยู่ หัวใจก็แทบหยุดเต้น
เมทิตย์…
ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะใส่หมวกและหน้ากากอนามัยจนแทบจะไม่เหลือส่วนไหนของใบหน้าให้เห็นได้เลย แต่เขาก็คือเขา ต่อให้เห็นแค่เศษเสี้ยวเดียวของเขา ฉันก็จำได้ เขายืนนิ่งๆ อยู่อีกมุมหนึ่งของลิฟต์ ไม่ได้พูดอะไร ไม่แม้แต่จะหันมา ส่วนฉันก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองกระเซอะกระเซิงมากแค่ไหน เครื่องสำอางบนใบหน้าคงจะหมดสภาพไปตามเวลาแล้ว
เสียงลิฟต์ร้องเบาๆ ก่อนประตูจะเปิดออก
เมทิตย์กดเปิดลิฟต์ค้างไว้ รอให้ฉันเดินออกไปก่อน เมื่อเดินออกมาก็ยืนละล้าละลังอย่างคุ้นเคย เพราะปกติเขาจะเป็นคนหยิบกุญแจมาเปิดห้องให้ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิมแล้ว ฉันก็ได้แต่หัวเราะกับตัวเองเบาๆ ทำอย่างไรก็ไม่ชินเสียที
“ขอบคุณนะคะ”
“ครับ”
เขาตอบออกมาเพียงสั้นๆ ฉันพยักหน้ารับก่อนจะเดินจากไป อย่างน้อยเขาก็ตอบ ใจหนึ่งฉันเองก็เสียดายที่ไม่ได้เจอเขาในตอนที่พร้อมกว่านี้ แต่ก็คิดได้ว่าเขาคงไม่ได้สนใจจะจดจำผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งหรอก ไม่อย่างนั้นฉันก็คงจะเจอคนที่อยู่ข้างห้องไปนานแล้ว
ฉันวางของลงกับพื้นและค้นหากุญแจมาไขห้อง
แกล้งรื้อของในกระเป๋าเพื่อยื้อเวลา อย่างน้อยก็เพื่อให้มั่นใจว่าเมทิตย์ยังอยู่ข้างห้องของฉันแน่ๆ เขาเดินมานิ่งๆ เลยฉันไป แล้วหยิบกุญแจออกมาจากช่องเก็บเศษเหรียญในกระเป๋าสตางค์ เขายังคงเก็บกุญแจไว้ที่เดิมไม่เปลี่ยน ถึงแม้ว่าวันนี้ชีวิตเขาจะไม่มีฉันเหมือนเดิมแล้ว
ฉันหันไปยิ้มให้แต่เขาไม่ได้หันมา
ช่วงเวลาไม่ถึงนาทีทางเดินกว้างก็เหลือเพียงอากาศธาตุที่ว่างเปล่า เมทิตย์เดินเข้าห้องไปแล้ว ทางเดินยาวเหลือเพียงตัวฉันกับข้าวของที่กองระเกะระกะไว้ตามพื้น อยู่ดีๆ น้ำตาของฉันก็ซึมออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว แต่เพียงไม่นานฉันก็เงยหน้าขึ้นไล่ความชื้นนั้นให้กลับไปยังที่เดิม กลืนก้อนสะอื้นทั้งหมดลงไปในคอและยิ้มให้กับตัวเอง
ห้องของฉันเหมือนเดิมทุกอย่าง
หากแต่วันนี้ไม่มีเขาอยู่อีกแล้ว ทุกอย่างเหลือเพียงความเงียบของการไม่มีอยู่ เครื่องเรือนหลายชิ้น ข้าวของหลายอย่างไม่เหมือนเดิม เหตุผลก็คงเป็นเพราะฉันกับเขาไปเลือกซื้อมาด้วยกัน หลายอย่างเขาก็เป็นคนซื้อมาให้ ฉันไม่ได้เปิดไฟ ส่วนหนึ่งเพราะไม่อยากให้ความจริงที่ไม่อยากเห็นกลับมาทิ่มแทงใจอีกครั้ง
‘แกขอได้แค่ครั้งเดียว’
“ใช่ ขอได้แค่ครั้งเดียว”
เสียงนั้นดังขึ้นมาในหูอีกครั้ง
‘อดีตที่แกขอจะเปลี่ยนไป’
“อดีตที่ไม่ได้ขอก็เปลี่ยนตามไปด้วย”
อดีตที่มีค่าและสำคัญยิ่งกว่าทุกอย่างในชีวิต
‘แล้วจะส่งผลมาถึงปัจจุบันด้วย’
“เจ็บและทรมานเกินกว่าจะจินตนาการไหว”
เสียงสะอื้นของฉันดังขึ้นในห้องเงียบที่ไม่เหลือใคร
หากฉันรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะมาสิ้นสุดลงตรงนี้ ฉันจะไม่มีวันขอพรวิเศษนั่นเด็ดขาด ชีวิตของฉันถึงแม้จะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ก็มีคุณค่าในแบบที่ฉันรักอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ มือของฉันวาดไปด้านข้าง พบเพียงแต่ความว่างเปล่า เตียงนอนที่ครั้งหนึ่งมีเขานอนซบอยู่ข้างกาย
ทุกอย่างอาจจะจบสิ้นลงตรงนี้ก็ได้
ฉันคิดแบบนั้น หากมองจากความเป็นจริงในตอนนี้แล้ว โลกของฉันกับเมทิตย์ห่างกันยิ่งกว่าสิ่งไหน ถึงแม้ว่าจะมีผนังกั้นไว้เพียงแค่ชั้นเดียว แต่นั่นดูเหมือนจะกว้างมหาศาลราวกับฝั่งที่ยาวไกลจนสุดมือเอื้อม ร่างกายของฉันนึกถึงอ้อมกอดที่เขาเคยมีให้ ภาพความทรงจำเกี่ยวกับเมทิตย์ยังคงฉายวนซ้ำๆ เสียงของเขา อ้อมกอดของเขา แววตาของเขา สัมผัสของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างร้องเตือนให้ฉันรู้สึกเหมือนโดนกดให้จมดิ่งลงไปในห้วงมหาสมุทรเยียบเย็นและไม่มีทางออก
แต่แล้วเสียงของผู้หญิงคนนั้นที่เอ่ยถึงการขอพรต่อหน้าดาวตกก็ดังขึ้นมาในหัวฉันอีกครั้ง วนไปเวียนมาในความทรงจำที่พร่าเลือน ในค่ำคืนนั้นความเหนื่อยล้าผสมผสานกับความผิดหวังที่ประดังประเดเข้ามาทำเอาฉันผล็อยหลับไปโดยไม่ได้ทำอะไรสักอย่างกับตัวเอง ทั้งอาบน้ำ ล้างหน้า หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนชุดนอน
‘ผมรักคุณ’
ก่อนที่ฉันจะหลับใหลไปโดยสมบูรณ์ เสียงนุ่มของเขาก็ดังขึ้นมาในห้วงความรู้สึก ประโยคที่ฉันได้ยินซ้ำๆ และผูกขาดไว้เป็นแค่ของฉันคนเดียวมายาวนาน ปกติเวลาเมทิตย์แสดงละคร เขาจะโปรเจ็กต์เสียงให้เข้ม ทุ้ม และหนาขึ้น ต่างจากเวลาที่เขาพูดจริงๆ กับฉัน เสียงนั้นอบอุ่นราวกับจะสวมกอดฉันไว้แน่นๆ ด้วยสองมือของเขา
และในวินาทีนั้นฉันก็ได้แต่กระซิบถามคำถามที่ไร้คำตอบออกไป
“เมทิตย์…ฉันยังมีสิทธิ์รักคุณอยู่หรือเปล่าคะ”
3)
“พร้อมหรือยังสำหรับภารกิจทวงคืนแฟนใหม่”
เสียงนุ่มของชวินพูดอย่างระริกระรี้ เจ้าตัวเดินโบกมือสลอนมาแต่ไกล ฉันที่นั่งรออยู่ในร้านกาแฟที่อยู่ไม่ห่างจากตึกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเท่าไหร่นักมองอย่างนึกตลก ในขณะที่ฉันใจฝ่อแทบตาย เพื่อนร่วมขบวนการที่มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวกลับกระดี๊กระด๊าเสียเต็มประดา
“ตกลงนี่แฟนใหม่แกหรือแฟนใหม่ฉัน ฮึ” ฉันเอ่ยรับเป็นประโยคแรก “นี่แกเห็นเรื่องดราม่าชีวิตฉันเป็นเรื่องสนุกหรือเปล่าเนี่ย”
“โห ปาก คนอุตส่าห์ช่วย ฉันไปนอนคิดแผนการให้แกมาทั้งคืน รับประกันว่าภารกิจนี้แกได้ประชิดตัวเขาแน่” ชวินหยิบส้อมมาจิ้มเค้กบนโต๊ะไปกินเสี้ยวหนึ่ง “แต่จะเอาเขากลับมาได้หรือเปล่าก็ขึ้นอยู่กับมารยาหญิงของแกแล้วแหละ”
“ขนาดนั้นเชียว”
“ใช่สิ” อีกฝ่ายรับ “บัตรมีตติ้งนี่ก็ไม่ได้หาได้ง่ายๆ นะ ฉันยังหามาให้แกได้เลย”
ชวินพูดพร้อมกับยื่นบัตรมีตติ้งที่มีรูปโลโก้หยินหยางเด่นหราบนบัตรมาให้ หลังจากนั้นจึงหยิบกระเป๋ามาเปิด และคว้าหนังสืออีกเล่มส่งมาให้พร้อมกัน ฉันหยิบหนังสือเล่มนั้นมาเปิดดูอย่างสนใจ หนังสือโฟโต้บุ๊กของเมทิตย์ ถ่ายกับตึกเก่าสไตล์ชิโนโปรตุกีสที่ตัวเมืองภูเก็ต ฉันยังจำตอนไปถ่ายได้ เพราะตอนนั้นเราลงไปใช้ช่วงวันหยุดยาวด้วยกันที่รีสอร์ตอีกฟากหนึ่งของเกาะแบบลับๆ
“ต้องใช้โฟโต้บุ๊กเซ็นเหรอ”
ฉันถามไปอย่างเจตนากลบเกลื่อน เพราะสิ่งของตรงหน้าทำให้ความทรงจำครั้งเก่ารื้อฟื้นขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ฉันแกล้งเปิดดูไปทีละหน้าอย่างสนใจ แต่ความจริงคือพยายามกลั้นน้ำตาไว้ ชวินรีบตอบกลับมา เสียงนั้นยังเริงรื่น คงยังจับความรู้สึกของฉันไม่ได้
“เปล่าหรอก อะไรก็ได้ แต่ฉันเห็นว่าโฟโต้บุ๊กเล่มนี้หายากแล้วก็ราคาแพง ถ้าแกเอาไปให้เขาเซ็น เขาน่าจะสนใจแกเป็นพิเศษ”
ฉันพยักหน้ารับ
“เอ้อ ฉันไปด้วยไม่ได้นะ งานให้เข้าได้แค่หนึ่งคนต่อบัตรหนึ่งใบ อีกอย่าง ฉันต้องใช้ลูกเล่นหลายอย่างเพื่อให้ได้บัตรมา คนในงานไม่ควรเห็นฉันอยู่กับแก”
ฉันพยักหน้ารับอีกครั้ง ตอนนี้เริ่มจะควบคุมอารมณ์ได้ดีมากขึ้นแล้ว
“แกจะให้ฉันอยู่รอแล้วกลับพร้อมกันหรือเปล่า” คนตรงหน้าถาม
“ไม่ต้องหรอก แกจะได้ไม่ต้องเสียเวลา ไว้เดี๋ยวโทรไปเล่าให้ฟังแล้วกัน”
พูดคุยกันอีกเล็กน้อย ฉันก็แยกกับชวิน สูดลมหายใจลึก คว้าบัตรมีตติ้งและโฟโต้บุ๊กเดินไปยังตึกสูงที่ใช้จัดงานที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก อาคารมีระบบรักษาความปลอดภัยดีมาก คนที่ไม่มีบัตรมีตติ้งเข้าไปข้างในไม่ได้เลย และทุกคนต้องแลกบัตร ฉันตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยที่เห็นกองทัพแฟนคลับมาออกันอยู่หน้าตึกหลักร้อยคน นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันมาตามเมทิตย์เหมือนตามศิลปินคนหนึ่ง สมัยที่คบกันอยู่ ฉันอยู่ห่างจากโลกความเป็นดาราของเขามากพอสมควร
“คนที่เจ็ดรอบที่สามนะคะ” ทีมงานผู้จัดพูดกับฉันอย่างยิ้มแย้ม “บัตรหนึ่งใบมีเวลาแปดวินาทีในการพูดคุยกับศิลปินนะคะ ทีมงานที่อยู่ด้วยในห้องจะเริ่มจับเวลาหลังเซ็นเสร็จ ห้ามจับตัวและถ่ายรูปศิลปินนะคะ ส่วนกระเป๋าสะพายและสัมภาระต้องฝากไว้ด้านนอก มีอะไรสงสัยไหมคะ”
“ไม่มีค่ะ”
ฉันตอบพร้อมกับใจที่เต้นตึกตัก ย้ายตัวเองมานั่งรอตามลำดับรายชื่อที่เตรียมจะเข้าไปพบเขา ดูแล้วฉันเองก็ไม่ได้อายุมากเกินไปเท่าไหร่สำหรับการมาติดตามเขา เท่าที่ดู คนที่อายุเกินสามสิบปีก็น่าจะมีอยู่พอสมควร ฉันนั่งฟังเพลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถูกเรียกเมื่อถึงคิว ฉันสูดลมหายใจลึก ก่อนจะก้าวเข้าห้องขนาดเล็กไป
“สวัสดีครับ”
เมทิตย์นั่งอยู่ที่นั่น โต๊ะสีขาวตัวยาวที่กั้นให้แฟนคลับอยู่อีกฝั่ง ตรงมุมห้องมีพนักงานหญิงยืนเฝ้าอยู่เงียบๆ คนหนึ่ง ฉันนั่งลงที่เก้าอี้ซึ่งมีอยู่ตัวเดียวพร้อมกับยื่นโฟโต้บุ๊กที่เตรียมมาส่งให้เขา
“สวัสดีค่ะ”
ฉันตอบ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมเมื่อเจอเขาเข้าจริงๆ ความตื่นเต้นก่อนหน้ากลับมลายหายไปจนหมดสิ้น เหมือนได้กลับไปเจอเขาอีกครั้ง เด็กผู้ชายท่าทางขี้อายที่มายืนดักรอชวนฉันคุยหน้าห้องเรียนวิชาคณิตศาสตร์ รอยยิ้มจางๆ ของเขายังเป็นสิ่งที่เคยคุ้น
“เซ็นลงโฟโต้บุ๊กเลยนะครับ”
“ได้ค่ะ รบกวนด้วยนะคะ”
เขาโปรเจ็กต์เสียง ฉันจับอาการได้ เมทิตย์พูดกับฉันอยู่เสมอว่าการวางตัวเป็นดาราก็เป็นหน้าที่หนึ่งของนักแสดง เขาต้องทำตัวให้พร้อม สมบูรณ์แบบ และเป็นไปตามที่ผู้สนับสนุนเขาอยากให้เป็น เมทิตย์จะใช้เสียงที่เข้มและดูหล่อกว่าปกติเวลาทำงาน มีเสียงแกล้งแซวเขาหลายครั้งว่ามันเป็นเสียงของพระเอกละครชวนฝัน ไม่ใช่มนุษย์ ตัวจริงของเขาเสียงจะนุ่ม และไม่ได้เต็มไปด้วยความเป็นชายมากขนาดนี้
“มีโฟโต้บุ๊กชุดนี้ด้วยเหรอครับเนี่ย หายากนะครับ”
เขาพูดพลางเปิดแต่ละหน้าดูไปเรื่อยๆ ราวกับว่ากำลังหาทำเลเหมาะๆ ในการเซ็นชื่อ แต่ฉันรู้ เขากำลังถ่วงเวลาเพื่อเพิ่มเวลาให้ได้อยู่กับคนที่อุตส่าห์เสียเวลามาหาเขาเพราะรักให้นานขึ้น เขาเป็นนักแสดงที่เคารพในหน้าที่และคนที่สนับสนุนเขายิ่งกว่าสิ่งใด ยิ่งเห็นอากัปกิริยาของเขา ฉันก็ยิ่งรู้ รู้ว่าเขาจดจำฉันไม่ได้แม้แต่น้อย ถึงเวลาที่ฉันอาจจะต้องปล่อยเขาไป ปล่อยให้เขาไปอยู่กับใครที่คู่ควร
“ชื่ออะไรครับ ผมจะได้เขียนไว้ให้ถูก”
“ไม่ต้องเขียนชื่อหรอกค่ะ พอดีเพื่อนฝากมา เขาไม่ได้บอกว่าต้องเขียนชื่อไหม”
อยู่ดีๆ ฉันก็ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยชื่อของตัวเองออกไป ชายตรงหน้าเหมือนภาพที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว และหากฉันพยายามจะแทรกตัวเข้าไปก็คงเป็นได้แค่ส่วนเกิน
“จะแอบเอาไปขายต่ออัพราคาหรือเปล่าน้า”
เขาแกล้งหรี่ตาแบบจับผิดจนฉันเผลอหัวเราะออกมา ฉันอาจไม่เคยมองเขาจากมุมมองของแฟนคลับมาก่อนจึงไม่เคยเห็นเขาในมุมนี้สักครั้ง
“ชวินค่ะ เพื่อนฉันชื่อชวิน” ฉันตอบ
“ฝากบอกเขาด้วยนะครับว่าผมรออยู่ ครั้งหน้าอย่าลืมมาหาผมด้วยตัวเองนะครับ”
เมทิตย์ก้มลงเซ็นอะไรขยุกขยิกบนกระดาษหน้าหนึ่ง ก่อนจะยื่นส่งมา ฉันเอื้อมมือไปรับไว้และเปิดดู เขาเลือกเซ็นลงบนหน้าหนึ่งที่เป็นภาพเขากับอาคารสีสด เขาแต้มจุดสองจุดและลากเส้นโค้งยาวเป็นรอยยิ้ม เขียนว่า Keep Smiling พร้อมลายเซ็นประจำตัว
“ตึกยิ้มได้ด้วยเหรอคะ” ฉันพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม
“ได้สิครับ” เสียงของเขาช่างเหมือนกับเสียงที่ฉันฝันหาเมื่อคืน “อาคารเหล่านี้มีชีวิตนะ ไม่รู้คุณเคยได้ยินไหม ผมเชื่อแบบนั้น อาคารที่ไม่ได้รับความรักต่างหากที่ตายไปแล้ว”
คำพูดเพียงสั้นๆ แต่สั่นคลอนความรู้สึกอะไรบางอย่างภายในของฉันอย่างล้นเหลือ ฉันเงยหน้าสบตาเขาตรงๆ เป็นครั้งแรก ค้นลึกเข้าไปในแววตาที่ทอดมานิ่ง ในนั้นเขาจำฉันไม่ได้ ฉันรู้ แต่ฉันรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ภายใน ไม่ได้ปราศจากความทรงจำของกันและกันไปเสียทีเดียว
“ตึกนั่นมีชีวิต”
เขาพูดเพียงสั้นๆ ก่อนที่พนักงานจะเดินเข้ามาแจ้งว่าหมดเวลาแปดวินาทีแล้ว ฉันรีบหอบโฟโต้บุ๊กวิ่งออกไป ตรงไปที่ห้องน้ำเป็นอันดับแรก ปิดประตู และเริ่มต้นร้องไห้ออกมาอย่างพยายามจะรักษาเสียงให้เงียบที่สุดเท่าที่จะเงียบได้ ประโยคสุดท้ายของเขาลั่นซ้ำๆ อยู่ในหู ฉันเปิดรูปที่เขาเซ็นให้ดูอีกครั้งและร้องไห้ นั่นไม่ใช่น้ำตาแห่งความเศร้าโศกเสียใจ แต่ฉันรับรู้ได้ รับรู้ได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ยังหลงเหลืออยู่ในตัวเขา
เขายังมีความทรงจำของฉันอยู่
ถึงแม้ว่ามันจะดูเลือนรางมากก็ตาม
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 ก.ค. 65 เวลา 12.00 น
Comments
comments
No tags for this post.