บทที่ 3 กฎของการจีบดารา
1)
“สิ่งที่ฉันให้เตรียม ทำหมดแล้วหรือยัง”
ชวินถามขึ้นอย่างจริงจังในสายวันหนึ่ง ออฟฟิศของฉันตั้งอยู่แถวทองหล่อใจกลางเมือง ยืนหนึ่งเรื่องรถติด ปกติแล้วฉันเองก็ไม่นิยมขับรถมาทำงานเท่าไหร่นัก เพราะจะพาลประสาทเสียโดยใช่เหตุเสียเปล่าๆ ยกเว้นวันที่ต้องออกไปพบลูกค้า ฉันจึงมักจะตัดปัญหาด้วยการไม่เข้าออฟฟิศแทน
“ทำหมดแล้ว”
ฉันตอบกลับไปสั้นๆ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความจริงจัง หลังจากที่แยกกับเมทิตย์ครั้งก่อน ฉันก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะทวงคืนเขากลับมาให้ได้ อย่างที่ชวินบอก ไม่ใช่ด้วยฐานะแฟนหรือแฟนเก่า หากแต่เป็นฐานะแฟนใหม่ก็ยังดี ก่อนจะถอดใจยอมแพ้ ฉันก็ควรจะพยายามให้เต็มที่ก่อนไม่ใช่หรือ
“หนังสือที่ให้ไปอ่าน อ่านหมดแล้วเหรอ”
“หมดแล้วจ้ะ” ฉันหันไปทำหน้าเปื่อยใส่เพื่อนสนิท “ทำตามที่แกบอกทุกอย่าง อ่านเรียงตามลำดับ จดสรุปย่อ ตรงไหนอ่านแล้วไม่เข้าใจก็หาข้อมูลเพิ่ม…ทั้งเล่มเพาะหุ้นเป็น เห็นผลยั่งยืน ของกวี ชูกิจเกษม ตีแตก กลยุทธ์การเล่นหุ้นในภาวะวิกฤต ของ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร Buffettology ของ Mary Buffett กับ David Clark แล้วไหนจะ One Up on Wall Street ของ Peter Lynch กับ John Rothchild อ้อ…Common Stocks and Uncommon Profits and Other Writings ของ Philip Fisher แล้วก็ The Intelligent Investor ของ Benjamin Graham ฉันอ่านหมดแล้วจ้ะ!”
ฉันนั่งไล่รายชื่อหนังสือหกเล่มที่ชวินสั่งให้ไปอ่านอย่างจำได้ขึ้นใจ ไม่ขาดไม่เกิน เรียงจากง่ายไปยาก ทุกเล่มคือยาขม เรียงจากขมน้อยไปขมมาก ฉันอ่านทุกเล่มอย่างไม่มีทางเลือก ชวินบอกว่าแผนการสำคัญที่ต้องดำเนินต่อไปก็คือฉันจะต้องทำตัวเป็นนักลงทุนหุ้นที่เก่งกาจ วางหลุมพรางดักเมทิตย์ให้ติดกับ แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นฉันต้องลงทุนหุ้นให้เป็นจริงๆ เสียก่อน
“แกอ่านแล้วเข้าใจทุกเล่มเลยเหรอ” ชวินแสดงสีหน้าทึ่งออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่รู้สิ” ฉันตอบพลางนึก “เนื้อหาข้างในมันเหมือนกับว่าฉันเคยรู้มาก่อนยังไงบอกไม่ถูก คืออ่านตอนแรกไม่ใช่ว่ารู้นะ แต่อ่านๆ ไปแล้วก็คุ้น สักพักก็กลายเป็นเข้าใจไปเลย โดยเฉพาะเรื่องหลักการเงิน บัญชีอะไรพวกนี้ ฉันไม่งงเลย เหมือนจะยาก แต่ก็เข้าใจนะ”
“แปลกแฮะ” คนตรงหน้าถึงกับวางแก้วกาแฟที่ซื้อมาก่อนจะมานั่งลูบคางมองหน้าฉันอย่างสนใจ “อีกจักรวาลนึงแกเรียนคณะอะไรมานะ”
“บัญชี” ฉันอดขำกับคำว่าอีกจักรวาลของชวินไม่ได้ “คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี” ฉันพูดย้ำพร้อมกับเอามือเท้าคางมองอีกฝ่ายบ้าง
“แกต้องมีพื้นฐานความรู้เก่ามาแน่ๆ เลย หนังสือพวกนี้อ่านยากจะตายชัก แกไม่มีวันอ่านทั้งหมดจบและเข้าใจภายในสองอาทิตย์แน่ อย่างเล่มของเบน เกรแฮม ฉันอ่านเป็นเดือนกว่าจะจบ พูดแล้วขนลุก” ชวินพูดพร้อมเอามือลูบไปมาตามแขน
“ก็เป็นไปได้มั้ง” ฉันแบ่งรับแบ่งสู้ “ฉันก็เริ่มจำอดีตแบบเก่า แบบอีกจักรวาลอย่างที่แกบอกไม่ค่อยได้เท่าไหร่แล้ว เหมือนพอเวลาผ่านไป ฉันก็ค่อยๆ ลืมรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ไปเอง แต่ก่อนฉันอาจจะเป็นนักลงทุนมาก่อนก็ได้นะ ฉันรู้สึกคุ้นๆ ไปหมด บอกไม่ถูกเหมือนกัน” ฉันพูดตามที่ใจคิด
“เออ ก็ดี มาสอนใหม่หมดไม่ไหวหรอก”
เพื่อนสนิทบ่นพึมพำ ความจริงแล้วชวินเองก็เป็นผู้ชายที่หน้าตาดีไม่ใช่เล่น แม้ไม่ถึงกับหล่อระดับดาราอย่างเมทิตย์ แต่ก็ดูสะอาดสะอ้าน เค้าโครงใบหน้าก็คมคายกว่ามาตรฐานชายไทย แต่ถามกี่ทีก็บอกว่ายังไม่อยากมีแฟนทุกครั้ง ไม่อยากเอาห่วงมาผูกคอ ชวินตอบจนฉันแทบจะท่องได้
“แล้วไปเปิดพอร์ตยัง”
“เปิดแล้ว ใส่เงินไปแล้วด้วย”
ฉันทำตามที่ชวินสั่งทุกอย่าง หลังจากที่โทรไปโวยวายปนร้องห่มร้องไห้หลังไปงานแฟนมีตติ้งรอบนั้น ชวินก็สั่งการบ้านยาวเป็นหางว่าว ให้อ่านหนังสือเอย ศึกษาหุ้นเอย เปิดพอร์ตเอย แถมยังกำชับว่าให้ทำทุกอย่างให้หมดตามขั้นตอนถ้าอยากจะได้เขาคนนั้นคืน
“แกว่าวิธีนี้มันจะได้ผลจริงๆ เหรอ”
ฉันถามแบบลังเล สารภาพตามตรงว่าฉันไม่คิดว่าสิ่งที่ทำนี้จะเวิร์กอะไรนัก แต่ถ้ามีอะไรให้คว้าก็ต้องคว้าไว้ก่อน อีกอย่างคงเป็นเพราะเกรงใจชวินด้วยที่ออกหน้าจัดการให้ฉันหลายต่อหลายอย่าง
“เมทิตย์เป็นนักแสดงที่ชอบใช้ Method acting แกรู้ใช่ไหม ถึงแม้จะไม่ได้คลั่งแบบดาราฮอลลีวูด แต่ตลอดเวลาที่เขาอยู่ในกอง เขาจะสวมคาแร็กเตอร์เป็นตัวละครอยู่เสมอ แม้แต่ในเวลาพัก”
เรื่องนี้ฉันรู้ รู้ดีมากด้วย ไม่ว่าเมทิตย์จะรับเล่นละครเรื่องไหน เขาจะสวมวิญญาณเป็นคนคนนั้นตลอดการทำงานในกอง เพื่อรักษาอารมณ์ให้คงที่และแสดงออกมาได้อย่างสมจริง การกระทำดังกล่าวส่งผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัวบ้าง หลายครั้งที่เขาเล่นเป็นคนโมโหร้าย เขาก็จะมีอาการบางอย่างติดมาบ้าง แต่ไม่ถึงกับรุนแรงอะไรมากมาย ฉันเองก็อาจจะชินและมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานด้วย ตลอดเวลาที่คบกัน อีกข้อหนึ่งคือเขาเองก็ไม่เคยรับบทที่สุดโต่งเกินไปจนน่ากังวล
“นั่นแหละหัวใจสำคัญเลย” ชวินยิ้มแบบเจ้าเล่ห์อีกแล้ว “เขาต้องเป็นนักลงทุนที่เก่งกาจในละครเรื่องต่อไป แต่ฉันไปนั่งอ่านบทสัมภาษณ์เก่าๆ มา เมทิตย์ไม่มีความรู้เรื่องการเงินการลงทุนเลย ได้เงินก็ฝากเงินไว้ในธนาคารเฉยๆ ถ้าให้เดา เขาต้องพยายามศึกษาเรื่องการลงทุนแน่ เพื่อที่จะได้เข้าใจว่าความรู้สึกของการเป็นนักลงทุนจริงๆ แล้วเป็นยังไง เขาจะได้แสดงออกมาได้อย่างสมจริง”
ฉันพยักหน้ารับอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี
“ถ้าแกพร้อมแล้วเราก็จะเริ่มแผนการขั้นต่อไป”
เพื่อนจอมบงการหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แล้วส่งไฟล์ pdf มาให้ในแชต ฉันเปิดอ่านก่อนจะกลืนน้ำลายเสียงดังเอื๊อก ชวินเขียนขั้นตอนภารกิจทวงคืนแฟนใหม่มาละเอียดยิบอย่างกับหนังสือเรียน
“ตั้งใจฟังฉันให้ดี ต่อไปพวกเราจะเปิดเกมบุก แกจะต้องเริ่มออกหน้าแล้ว ส่วนฉันจะเล่นเกมซัพพอร์ตเอง จำไว้ เกมนี้มีเดิมพันเป็นซูเปอร์สตาร์หนุ่มสุดหล่อในฝันของแก”
ฉันพยักหน้ารับอย่างจริงจัง ความจริงก็ไม่ได้รู้สึกจริงจังมากนัก แต่พอเห็นท่าทางจริงจังของชวินแล้วก็ทำอะไรไม่ถูก จะทำเป็นเล่นหรือไม่ตั้งใจก็กลัวจะโดนด่าว่าไม่เอาจริงเอาจังไปเสียอีก สุดท้ายฉันก็เลยต้องมานั่งฟังแผนการจีบผู้ชายแสนยาวเหยียดจากเจ้าเพื่อนตัวดี ฉันฟังไปก็อึ้งไป ชวินถึงขั้นเขียนกฎมาให้ฉันท่องเพื่อให้วางตัวในการเข้าหาเมทิตย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เหมือนเกม เกมที่ดูเหมือนว่าชวินรู้สึกสนุกกับการชักใยฉันให้เล่นเหลือเกิน
“ตกลงตามนี้”
ฉันรับคำหลังจากทบทวนแผนกันรู้เรื่องแล้ว ความจริงสิ่งที่ชวินจะให้ฉันทำก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร หากแต่คนเล่าดูเหมือนจะขยายความให้อลังการเกินเหตุ พวกเราแยกกันหลังจากพักเที่ยงหมดลง ชวินต้องแยกออกไปพบลูกค้าอีกที่ ส่วนฉันก็ต้องไปพบลูกค้าอีกที่เหมือนกัน ฉันนั่งรถไฟฟ้าออกไปรอลูกค้าแถวสะพานควาย วุ่นวายกับการหาความต้องการของลูกค้าให้ได้ว่าบ้านที่ต้องการเป็นแบบไหน รู้ตัวอีกทีก็หมดแรงเสียแล้ว
ฉันกลับมานอนแผ่หมดแรงอยู่ในห้อง
แผนจะเริ่มพรุ่งนี้แล้ว คืนนี้ฉันต้องหลับเอาแรงไว้ให้เต็มที่ ตั้งใจว่าจะให้ตัวเองพักผ่อนให้ได้มากที่สุด แต่จนแล้วจนรอดก็นอนไม่หลับสักที พอรู้ว่าพรุ่งนี้จะต้องเริ่มจีบเขาคนเก่าให้กลับมาอีกครั้ง ใจมันก็ว้าวุ่นสับสนไปหมด นอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียง
ฉันดันตัวลุกขึ้นอีกครั้งตอนรุ่งเช้า
จัดการอาบน้ำแต่งตัวเสียใหม่ แต่งหน้ากลบร่องรอยการนอนไม่หลับเสียให้หมด แต่งให้เหมือนไม่แต่ง บางเบาและเป็นธรรมชาติที่สุด หยิบแผนการในมือออกมาทวน ก่อนจะพาตัวเองไปยืนแปะอยู่ที่ตาแมว ส่องทางเดินอันว่างเปล่าไปเรื่อยๆ หาจังหวะที่พอเหมาะพอเจาะที่สุดให้ดูไม่ตั้งใจจนเกินไป
“อ้าว สวัสดีค่ะ”
ฉันเปิดประตูออกไปตอนเห็นเมทิตย์เดินมาลิบๆ จากขอบตาแมวอีกฝั่ง ยิ้มให้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด นึกถึงคำพูดของชวินไว้ตลอดว่า ‘แกอยู่ข้างห้องเขามาตั้งหลายปี ไม่เคยจะบังเอิญเจอกันหน้าห้องสักครั้ง มาเจอกันสักครั้งตอนเปิดประตูเหมือนในละคร เขาไม่คิดว่าแกตั้งใจหรอก มันก็แค่เรื่องบังเอิญกับคนข้างห้องแค่นั้นแหละ’
กฎของการจีบดาราข้อที่ 1 : ถ้าอยากเป็นแฟนดารา ห้ามเริ่มต้นจากการเป็นแฟนคลับเด็ดขาด
2)
กฎของการจีบดาราข้อที่ 2 : อย่าสนใจความเป็นดารามากจนออกนอกหน้านอกตา แต่ก็ไม่ใช่จะแกล้งทำเป็นไม่สนใจเลย มองดาราให้เป็นอาชีพธรรมดาอาชีพหนึ่งเท่านั้นพอ
“สวัสดีครับ”
เมทิตย์ตอบกลับมาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ฉันคลี่ยิ้มให้เขาน้อยๆ ท่องในใจเอาไว้ว่าเขาเป็นใครสักคนที่ฉันไม่เคยรู้จัก ไม่ใช่ดารา ไม่ใช่เมทิตย์ เป็นแค่เพื่อนข้างห้องธรรมดาๆ คนหนึ่ง ฉันก็แค่ทักให้ปกติที่สุด อย่าแสดงอะไรออกมาว่าสนใจเขามากจนเกินไป
“ครั้งก่อนขอบคุณมากนะคะที่ช่วยกดลิฟต์ให้” ฉันยิ้มสบายๆ “วันนั้นของฉันเยอะแยะไปหมด ตอนลงจากรถยังคิดอยู่เลยว่าจะเอาตัวรอดมาถึงห้องไหม เกือบจะไปเรียก รปภ. มาช่วยแล้วล่ะค่ะ”
เขายังเป็นเหมือนเดิม เมทิตย์ยังเป็นเหมือนเดิม รอยยิ้มสว่างสดใสนั้นยังคงกระจ่างชัดทาบทับกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ไปไหน ไม่ว่าจะลืมอะไร ฉันก็คงไม่อาจลืมเขาได้ แม้กระทั่งเศษเสี้ยวความทรงจำเดียวที่พอจะมีร่วมกัน
“ไม่หรอกครับ เรื่องแค่นี้เอง”
ท่าทางว่าแผนของชวินจะได้ผล หาทางเจอกันโดยบังเอิญให้ได้ และต้องทำให้เขาหยุดเพื่อคุยกันให้นานที่สุดแบบแนบเนียน อย่าแสดงอาการว่าสนใจความเป็นดาราของเขาเด็ดขาด นั่นก็น่าจะได้ผล ฉันคุยกับเขาไปล็อกประตูห้องไป แต่เขาก็ไม่ได้รีบร้อนจะเดินหนีไปไหน กลับยืนคุยกับฉันต่อ
“ฉันชื่อพอใจนะคะ อยู่ห้องนี้ มีอะไรให้ช่วยเหลือก็บอกได้”
ฉันเริ่มแนะนำตัวขึ้นก่อน หลังจากวกไปวนมาสองสามประโยคแล้วเขาก็ยังไม่ยอมเอ่ยชื่อตัวเองสักที ชวินบอกว่ายังไงวันนี้ก็ต้องแลกชื่อกับเขาให้ได้ เพื่อให้แผนการขั้นต่อไปราบรื่นมากยิ่งขึ้น
“ผมเมทิตย์ครับ”
เขาตอบเรียบๆ ฉีกยิ้ม ฉันมองรอยยิ้มตรงหน้าอย่างสนใจ ฉันรู้จักเมทิตย์มาสิบปี ฉันแยกออกได้เสมอว่ายิ้มไหนจริงใจ ยิ้มไหนเป็นการยิ้มแบบดารา แต่รอยยิ้มตรงหน้าไม่ใช่ทั้งสองแบบ ดูเหมือนจะกึ่งๆ ไม่เป็นตัวของตัวเองมากนัก แต่ก็ไม่ได้ตั้งกำแพงสูงเสียมากมาย
“อ้อ ฉันรู้จักค่ะ เคยดูละครที่คุณเล่นอยู่เรื่องนึง” ฉันแกล้งยิ้มแบบแหยๆ ให้สมกับบทสนทนาที่วางแผนจะใช้มาเป็นอย่างดี “ฉันไม่ค่อยได้ดูทีวีเท่าไหร่หรอกค่ะ ติดเล่นมือถือกับอ่านหนังสือมากกว่า”
ฉันเอ่ยชื่อละครที่เขาเล่นและดังที่สุดออกไปเรื่องเดียวเพื่อให้สมจริง การอ้างว่าไม่รู้จักดาราดังที่สุดของช่องอย่างเขาออกจะดูเกินจริงไปหน่อย แถมฉันเพิ่งไปแฟนมีตติ้งมา ถ้าเขาจำได้ก็จะได้มีข้ออ้างด้วย แต่จากท่าทาง วันนั้นเขามองฉันเป็นแค่แฟนคลับ และคงไม่ได้บันทึกความทรงจำอะไรไว้แม้แต่นิดเดียว
“โอ้ เหรอครับ” เขาตอบยิ้มๆ “ไม่แปลกหรอกครับ ผมก็ไม่ได้ดังอะไรมากมาย ละครที่เล่นส่วนใหญ่ก็เน้นคนดูวัยกลางคนมากกว่า”
“ไม่หรอกค่ะ คุณต้องดังมากเลยล่ะค่ะ ไม่งั้นฉันคงไม่รู้จักแน่ๆ ฉันรู้จักดารานับคนได้เลยนะคะ เพื่อนชอบว่าว่าบ้านฉันไม่มีโทรทัศน์”
เขายิ้มรับแต่ไม่ได้ตอบอะไร
“งั้นฉันไปก่อนนะคะ เดี๋ยวจะสาย โชคดีค่ะ”
ฉันพูดพลางก้มศีรษะให้เขาน้อยๆ เป็นเชิงขอตัว เมทิตย์ทำท่างงอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ต้องเป็นคนจบบทสนทนาเอง และอย่าทำอะไรที่จะแสดงตัวว่าเป็นแฟนคลับของเขาเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นการขอถ่ายรูป แสดงความตื่นเต้นจนออกหน้าออกตา หรือชวนคุยเรื่องผลงานของเขาไม่หยุด ทำตัวให้ธรรมดาที่สุด ชวินกรอกหูฉันจนเบื่อ ไม่มีดาราที่ไหนอยากได้แฟนคลับเป็นแฟน
ฉันนั่งรถไฟฟ้าออกจากคอนโดฯ
โชคร้ายของฉันที่เมทิตย์ตื่นเช้ามาก เราเจอกันที่หน้าห้องเวลาประมาณหกโมงเช้า วันนี้เขาไม่น่าจะไปกองถ่าย เพราะปกติกองถ่ายจะนัดเช้ากว่านี้มาก หรือไม่ก็มีแต่คิวสายหรือบ่าย แต่ก็ไม่น่าจะใช่ ปกติเมทิตย์เล่นเป็นพระเอกแทบทุกเรื่อง ส่วนใหญ่จะโดนคิวแรกยันคิวสุดท้าย เช้ายันดึก ออกจากคอนโดฯ แบบนี้น่าจะไปถ่ายงานโฆษณาหรือไม่ก็เตรียมตัวไปงานอีเวนต์มากกว่า
“เป็นไงบ้าง สำเร็จไหม”
ชวินพุ่งตัวมาถึงร้านกาแฟแถวออฟฟิศตั้งแต่ยังไม่เจ็ดโมงดี พอฉันส่งข้อความไปบอกว่าทำตามแผนที่สั่งแล้ว อีกฝ่ายก็เอาแต่คะยั้นคะยอถามไม่หยุด แต่ฉันก็ยืนกรานว่าจะเล่าด้วยคำพูดเท่านั้น ไม่พิมพ์ พ่อหนุ่มจอมชักใยจึงได้ฤกษ์มาโผล่แถวนี้เร็วขนาดนี้
“ก็เป็นไปตามแผนนะ แต่ไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือเปล่า”
ฉันพูดพร้อมยกลาเต้ขึ้นมาดูดอึกหนึ่งอย่างเซ็งๆ จริงอยู่ว่าการเจอกันใหม่ครั้งแรกเป็นไปตามแผนทุกอย่าง แต่ก็ตอบได้ยากว่าสำเร็จไหม ขนาดที่งานมีตติ้งเขายังจำฉันไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ไม่งั้นเขาก็คงทักไปแล้ว บางทีสำหรับเขา ตอนนี้ฉันอาจเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาเกินกว่าจะสนใจจำก็ได้
“อย่าเพิ่งถอดใจสิ เพิ่งจะเริ่มต้นเอง เอาน่า เชื่อฉันแล้วทุกอย่างจะดีเอง”
ฉันหันไปมองชวิน ก่อนจะหันไปสั่งคาราเมลแฟรปปูชิโน่มาเป็นเครื่องบรรณาการเพื่อนสนิทอย่างรู้ใจกันดี ชวินกินกาแฟแค่แบบเดียว และร้านนี้ก็ขายแต่กาแฟเท่านั้น
“ทำไมต้องไม่เป็นแฟนคลับ ฉันไม่เห็นเข้าใจเลย”
“เพราะเวลาดาราเจอแฟนคลับก็เหมือนการทำงานไง ไม่เป็นตัวเอง ไม่เป็นส่วนตัว” ชวินตอบคำถามของฉัน “จริงอยู่ว่ามันก็มีดาราที่ลงเอยกับแฟนที่พัฒนามาจากฐานะแฟนคลับ แต่ยาก ดังนั้นถ้าอยากเป็นแฟนก็อย่าทำตัวเป็นแฟนคลับนะจ๊ะ”
“ไม่เป็นแฟนคลับแล้วจะให้เป็นอะไรวะ” ฉันบ่นเซ็งๆ
“อะไรก็ได้ในชีวิตเขา นี่แหละโจทย์แรกที่เราต้องตีกันให้แตก แกจะวางตัวเป็นอะไรกันแน่ เพื่อน เพื่อนของเพื่อน เพื่อนข้างห้อง คนรู้จัก หรืออะไรสักอย่างในชีวิตเขา มีเขาอยู่ในชีวิตแบบคนปกติ ไม่ใช่ดารา” ชวินพูดด้วยท่าทางจริงจัง ในขณะที่ลึกๆ แล้วฉันแอบขำ
“พูดอย่างกับตัวเองเป็นดารา”
“ฉันก็ไปสืบมาให้แกไง ฉันนี่แหละควรจะเป็นเพื่อนดีเด่นแห่งชาติ”
นอกจากจะไม่เสียความมั่นใจแล้ว ชวินกลับดูมั่นใจมากขึ้นเสียอีก ฉันได้แต่ส่ายหน้าไปมาแบบพูดอะไรไม่ถูก แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้สนใจ สั่งให้ฉันหยิบมือถือออกมาอ่านไฟล์แผนงานเตรียมตัวบุกขั้นต่อไป ตามกำหนดการแล้วควรจะเว้นไว้สักสองถึงสามวัน เพื่อไม่ให้ดูจงใจมากเกินไป ชวินเองก็เปลี่ยนบทสนทนามาพูดคุยเรื่องการลงทุนกับฉันบ้าง ย้ำนักย้ำหนาว่าต้องอ่านให้เยอะและต้องลงทุนจริงๆ เพราะขั้นตอนที่จะต้องแสดงความสามารถใกล้เข้ามาแล้ว
แผนการขั้นต่อไปล่าช้าไปจากกำหนดการถึงสามวัน
จากที่ตั้งใจว่าจะเริ่มต้นในวันที่สามหลังพบกันครั้งแรก แต่เมทิตย์กลับคอนโดฯ ดึกตลอด บางทีก็เที่ยงคืนกว่า ด้วยบรรยากาศและสภาพแวดล้อมก็ดูจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่นักในการพูดคุย ฉันจึงต้องรีบกลับมารอที่คอนโดฯ ทุกวันหลังเลิกงาน รอจนกว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางที่สุด
ฉันสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองอีกครั้ง
ฉันเลือกใส่ชุดทำงานเพื่อให้ดูไม่เป็นการจงใจสวยจนเกินไปในการไปพบเขา ผมก็จัดแต่งไว้อย่างเรียบร้อย แต่ไม่ถึงกับทำเป็นทรงอะไรจนเยอะเกินความ ใบหน้าแต่งขึ้นใหม่หลังจากผจญกับงานหนักมาทั้งวัน แต่บรรจงลงเครื่องสำอางให้บางเบาที่สุด แต่งเหมือนไม่แต่งยากกว่าแต่งให้สวยสุดๆ ด้วยซ้ำ
ฉันเดินไปที่หน้าห้องเขาและเคาะประตู
เสียงคนที่อยู่ในห้องขยับตัวแว่วมาไม่ดังนัก หยุดไปชั่วครู่ เขาน่าจะเดินมาส่องดูตาแมว ไม่นานก็เปิดประตูออกมา เมทิตย์อยู่ในชุดสุดแสนธรรมดา เสื้อยืดกับกางเกงวอร์ม ภาพที่ฉันเห็นจนชินตาก่อนอายุเบญจเพส เขายิ้มให้น้อยๆ แต่ไม่ได้เริ่มต้นพูดอะไรก่อน ราวกับจะถามว่าฉันมีธุระอะไรถึงมาเคาะประตู
“คุณเมทิตย์คะ คือฉันรบกวนขอแชร์รหัสไวไฟสักสองชั่วโมงได้ไหมคะ เราเตอร์ที่ห้องเสีย จะเรียกช่างมาก็คงไม่ทัน ฉันต้องประชุมออนไลน์ตอนทุ่มนึง สำคัญน่ะค่ะ ขาดไม่ได้จริงๆ ฉันจ่ายค่าอินเตอร์เน็ตให้ก็ได้นะคะ พอดีฉันรู้จักเพื่อนบ้านแค่คนเดียว”
กฎของการจีบดาราข้อที่ 3 : อย่าพยายามสวยแบบคนอื่น เพราะในวงการบันเทิงมีคนสวยที่สุดในทุกแบบแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือสวยในแบบของตัวเอง
3)
กฎของการจีบดาราข้อที่ 4 : อาชีพดาราเจอคนมากมายและหลากหลาย สิ่งที่ต้องมีคือความเป็นเอกลักษณ์ แตกต่างจากผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความแตกต่างที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาความสัมพันธ์
“รหัสไวไฟเหรอครับ” เมทิตย์ขมวดคิ้วนิดหน่อยตอนได้ยินประโยคแรก แต่ไม่นานก็ปรับสีหน้าเป็นปกติ ฉันได้แต่พยักหน้ารับตามสคริปต์ที่เขียนเอาไว้ นี่ก็เพิ่งเอาปลั๊กเสียแล้วที่ชวินหาให้มาต่อแทนเพื่อความแนบเนียน
“ใช่ค่ะ สะดวกไหมคะ อีกไม่กี่นาทีจะต้องประชุมแล้ว เรียกช่างมาคงไม่ทัน แต่จะให้ใช้เน็ตโทรศัพท์ก็คงไม่ไหวค่ะ พอดีประชุมค่อนข้างสำคัญ ขายงานใหญ่ให้ลูกค้าน่ะค่ะ ไม่อยากให้พลาด”
ฉันร่ายยาวตามทุกสิ่งทุกอย่างที่คิดไว้ล่วงหน้า เขาฟังแล้วก็เงียบไป เหมือนกำลังนึกอะไรบางอย่าง ความจริงฉันจำรหัสไวไฟของเขาได้ ทำไมจะจำไม่ได้ คนอย่างเมทิตย์ใช้รหัสทุกอย่างในชีวิตเป็นรหัสเดียวกันหมดนั่นแหละ
“งั้นเดี๋ยวผมเข้าไปกรอกรหัสให้ดีกว่าครับ เผื่อจะช่วยดูเราเตอร์ให้ด้วย ถ้าไม่เป็นอะไรมาก ผมอาจจะพอช่วยซ่อมให้ได้ครับ” ฉันเกือบลืมไปแล้วว่าเขาจบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์มา
“ได้เลยค่ะ แต่ห้องรกหน่อยนะคะ พอดีต้องตัดโมเดลส่งลูกค้าบ่อย”
ฉันจงใจยิ้มให้ดูเขินแบบธรรมชาติที่สุด ไม่รู้ว่านักแสดงอย่างเขาจะจับได้ไหม แต่ความจริงแล้วฉันก็เขินจริงๆ นั่นแหละ ถึงแม้ว่าจะวางแผนล่วงหน้าและจัดห้องไว้แล้วเป็นอย่างดี แต่ฉันก็ตื่นเต้นแปลกๆ อยู่ดีที่เมทิตย์คนนี้จะเข้ามาเห็นความเป็นฉันในห้องของฉันเป็นครั้งแรก
ใช่แล้ว ฉันคิดว่าวิธีนี้จะทำให้เขาเข้ามาในห้องของฉันได้
เมทิตย์ใช้รหัสทุกอย่างในชีวิตเป็นรหัสเดียวกันหมด ดังนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะยอมบอกรหัสฉันโดยตรง แต่จะให้เขาเดินกลับไปตั้งรหัสผ่านใหม่ก่อนที่จะกลับมาบอกฉัน นั่นก็ดูจะแสดงความกังวลว่าฉันจะไปล้วงความลับของเขามากเกินไปหน่อย วิธีที่ดีที่สุดคือเขาต้องเข้ามากรอกรหัสไวไฟให้ฉันด้วยตัวเอง ฉันตรวจสอบแล้วว่าคอมพิวเตอร์ของฉันตั้งระบบไว้ไม่ให้สามารถมองเห็นรหัสผ่านได้ ฉันจะเห็นแค่ดอกจัน และนั่นจะทำให้ทุกอย่างลงตัวพอดี
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ห้องผมก็รก ไม่ค่อยได้ทำความสะอาด นานๆ จะจ้างแม่บ้านเข้ามาช่วยจัดการให้สักที”
เขาตอบเหมือนจงใจไม่ให้ฉันเขินเสียมากกว่า เมทิตย์ไม่ใช่คนเนี้ยบทุกกระเบียดนิ้ว แต่ก็ไม่ใช่คนสกปรกซกมก เขาดูแลตัวเองอย่างดี รวมไปถึงที่พักของเขาด้วย ถึงแม้จะไม่ได้เจ้าระเบียบอะไรมากมาย แต่ห้องก็สะอาดสะอ้านเรียบร้อยดี
“คุณพอใจเล่นหุ้นด้วยเหรอครับ”
เขาเอ่ยทักเป็นคำแรกหลังจากที่ใส่รหัสไวไฟและตรวจสอบว่าฉันสามารถเข้าอินเตอร์เน็ตเพื่อเตรียมตัวประชุมได้เรียบร้อยแล้ว เหลือเวลาอีกยี่สิบนาทีกว่า เขาคงไม่รู้สึกอึดอัดใจที่จะชวนฉันคุยอะไรสักเล็กน้อย นั่นก็ตรงกับแผนที่วางไว้เช่นกัน
ฉันจงใจจัดห้องให้ใครดูก็รู้ว่าฉันเล่นหุ้นเป็น
หนังสือหุ้นที่วางระเกะระกะนั่นก็ส่วนหนึ่ง ใบเอกสารจากตลาดหลักทรัพย์นั่นก็อีกส่วนหนึ่ง แต่ที่ชัดที่สุดก็เห็นจะเป็นโทรศัพท์มือถือที่จงใจวางโดยเปิดหน้าจอแอพพลิเคชั่นเทรดหุ้นไว้ เขาเองที่น่าจะกำลังศึกษาเรื่องการลงทุนอยู่ เมื่อเห็นเบาะแสเหล่านี้ก็คงจะนึกออกได้ไม่ยาก
“เป็นอาชีพเสริมน่ะค่ะ เป็นสถาปนิกอย่างเดียวเงินเก็บไม่ค่อยจะโตสักที” ฉันพูดยิ้มๆ
“จริงเหรอครับ”
เมทิตย์พูดด้วยสีหน้าทึ่งๆ ฉันจับอาการบางอย่างของเขาได้ ความเป็นตัวเขาที่เริ่มลอดรอยกะเทาะออกมาจากกำแพงหนาที่เขามักจะตั้งไว้เพื่อขวางทุกคน ความเป็นเมทิตย์ ผู้ชายที่แสนจะธรรมดาคนหนึ่ง
“จริงค่ะ คุณเมทิตย์ก็เล่นหุ้นเหมือนกันเหรอคะเนี่ย”
ฉันแกล้งถาม ในขณะที่คนตรงหน้าหันไปรอบๆ ห้องนั่งเล่นของฉันอย่างสำรวจสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ห้องของฉันมีห้องนั่งเล่นกับห้องนอนแยกออกจากกันชัดเจน การที่เขามายืนอยู่ตรงนี้จึงดูไม่ใช่เรื่องที่น่ากระอักกระอ่วนจนเกินไปนัก
“อย่าใช้คำว่าเล่นเป็นดีกว่าครับ ใช้คำว่าพยายามศึกษาจะดีกว่า”
เขาตอบออกมาพร้อมกับหัวเราะเบาๆ นั่นทำให้ฉันคิดถึงเขามากขึ้นกว่าทุกครั้ง ครั้งหนึ่งเขาเคยยืนอยู่ตรงนี้ หัวเราะแบบนี้ แต่แค่เป็นอีกสถานะหนึ่งเท่านั้นเอง
“โห แค่เริ่มต้นก็ดีมากแล้วค่ะ อยู่ในตลาดไปนานๆ เดี๋ยวก็เก่งเอง ตอนแรกฉันก็ลุ่มๆ ดอนๆ เหมือนกันค่ะ ผ่านไปสักปีสองปีก็อยู่ตัว ยิ่งถ้าห้าปีขึ้นไปนี่ยิ่งสบายเลยค่ะ”
ฉันพูดด้วยท่าทีเฉยๆ ถึงแม้ว่าฉันจะเพิ่งเริ่มต้นเปิดพอร์ตหุ้นและเทรดหุ้นมาได้ไม่ถึงเดือน แต่เอาเข้าจริงฉันกลับคุ้นเคยกับโลกของตลาดหุ้นมาก มากจนฉันรู้สึกเหมือนไม่ได้โกหกอะไร
“จริงเหรอครับ” เมทิตย์ฟังด้วยท่าทีที่กระตือรือร้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ความจริงหนังสือเล่มนี้ผมก็อ่าน แต่สารภาพว่าอ่านไม่รู้เรื่องเลย อ่านไปได้สิบหน้าก็หลับแล้ว”
เมทิตย์ชี้ไปที่หนังสือ The Intelligent Investor หนังสือด่านสุดท้ายที่ชวินให้ฉันอ่าน ฉันแอบยอมรับในใจว่าเล่มนี้ยากเอาการ แต่ฉันกลับอ่านมันรู้เรื่องและเข้าใจมันได้ดีทีเดียว ในขณะที่เขาไม่เข้าใจก็คงจะไม่แปลก ขนาดชวินที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการอ่านยังบอกว่าต้องใช้เวลาทำความเข้าใจเป็นเดือน
“เล่มนี้ยากค่ะ พูดถึงเรื่องการลงทุนด้วยหลักการวีไอ หนังสือเขียนมาจะร้อยปีแล้วค่ะ ภาษาก็จะโบราณๆ หน่อย อ่านยาก ไม่ค่อยเหมือนหนังสือสมัยนี้ ความจริงถ้าคุณเมทิตย์อยากได้หนังสือที่อ่านง่ายกว่านี้สำหรับการเริ่มต้นเล่นหุ้น ฉันพอจะแนะนำได้นะคะ เล่มนี้ไม่ค่อยแนะนำสำหรับมือใหม่ค่ะ”
ฉันตอบอย่างฉะฉาน และนั่นก็อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้คนตรงหน้ายิ้มกว้าง เขาเหมือนเด็กผู้ชายที่แอบเล่นอะไรอยู่คนเดียวจนเบื่อ แล้ววันหนึ่งก็มาเจอกับคนที่เล่นอะไรแบบเดียวกัน ฉันรู้สึกแบบนั้น ท่าทีเหมือนเด็กได้ของเล่นของเขามีเสน่ห์เสมอ แต่เขามักไม่ค่อยเปิดเผยให้ใครได้เห็นนัก แต่อย่างน้อย ฉันคนนี้เวลานี้ก็ได้เห็นภาพตรงหน้านี้อีกครั้งในเวลาที่เร็วกว่าที่คิดไว้มาก
“พอดีละครเรื่องใหม่ผมต้องเล่นเป็นนักลงทุนน่ะครับ ในเรื่องมีการพูดถึงหนังสือเล่มนี้ด้วย ศัพท์เทคนิคเต็มไปหมด ผมยังกังวลเรื่องการออกเสียงอยู่เลย บางทีคนไทยไม่ได้ออกเสียงเหมือนต้นตำรับเป๊ะๆ น่ะครับ ผมเลยอยากรู้ว่าคนในวงการจริงเขาอ่านว่าอะไร”
ฉันพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“อย่างคำนี้ ผมอ่านว่าพีสแลชอี ถูกต้องไหมครับ”
เมทิตย์ถามต่อโดยเอาคำที่จดๆ ไว้ในโทรศัพท์ให้ดู ฉันชะโงกหน้าไปดูตามเขา แล้วก็ได้แต่ยิ้มออกมาน้อยๆ พร้อมกับส่ายหน้า
“อ่านว่าพีอีค่ะ ไม่ต้องมีสแลช”
ฉันตอบอย่างมั่นใจ ความจริงคำอ่านพวกนี้ไม่มีในหนังสือ แต่จากประสบการณ์การฟังลงทุนศาสตร์พอดแคสต์มาจนหูเปื่อย ฉันก็ค่อนข้างจะรู้ดีว่าคนในวงการนี้เขาอ่านออกเสียงแต่ละคำกันอย่างไร เมทิตย์เองเมื่อได้ฟังแล้วก็ทำท่าดีใจมาก ก้มหน้าลงจดคำไว้ในโทรศัพท์ของตนเอง
“ความจริงถ้ามีเรื่องอะไรพวกนี้ก็ปรึกษาได้นะคะ ยินดีค่ะ ฉันเองก็ชอบเรื่องหุ้นเหมือนกัน” ฉันเกริ่นพร้อมกับเบนสายตาไปทางนาฬิกาแขวนผนังเล็กน้อย “แต่ยังไงตอนนี้ฉันคงต้องขอตัวไปเตรียมตัวประชุมก่อนนะคะ เหลืออีกแค่สิบนาทีเอง กลัวจะฉุกละหุกน่ะค่ะ”
“โอ๊ย ขอโทษทีครับ ผมก็ชวนคุยเพลินเลย คุณพอใจทำงานเถอะครับ ผมไม่กวนแล้ว”
ความจริงฉันไม่ได้มีประชุมอะไรทั้งสิ้น แต่ด้วยเงื่อนไขที่สร้างไว้ในตอนต้น ฉันจึงต้องประชุมทิพย์ตามที่บอกเขาไว้ อีกอย่างการทำท่าว่าสนใจการงานก็อาจจะช่วยสร้างบุคลิกที่แตกต่างให้เขาจดจำ
“งั้นคราวหน้าผมอาจจะขอรบกวนปรึกษาอีกนะครับ”
“ได้เลยค่ะ ถือว่าตอบแทนเรื่องรหัสไวไฟไปด้วยเลยนะคะ”
“งั้นผมขอสแกนไอดีไลน์ไว้หน่อยได้ไหมครับ เผื่อคุณพอใจมีอะไรให้ช่วยอีกจะได้สะดวกด้วย ไม่ต้องมัวมาเคาะประตู”
เขายื่นโทรศัพท์มือถือมาตรงหน้า ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่า แต่ฉันรู้สึกเหมือนตอนที่ได้พบกับเขาวันแรกที่โรงเรียนกวดวิชา เด็กผู้ชายขี้อายคนนั้นที่มาแอบดักรอฉันก่อนเข้าห้องเรียน
“ได้เลยค่ะ” ฉันหยิบมือถือขึ้นมาเปิดคิวอาร์โค้ดให้เขาสแกนและแอดไลน์มา
“คุยกับคุณพอใจแล้วรู้สึกเหมือนคนเคยรู้จักกันมาก่อนเลยครับ คุ้นๆ ยังไงบอกไม่ถูก ผมรู้สึกเหมือนเคยเจอกันที่ไหนมาก่อน” เมทิตย์พูดพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง รอยยิ้มที่ฉันคิดถึงเป็นที่สุด
กฎของการจีบดาราข้อที่ 5 : อาชีพดาราเจอคนมากมายและหลากหลาย เปลี่ยนสังคมเปลี่ยนสถานที่ทำงานตลอด ดังนั้นจงทำตัวให้เหมือนบ้าน อบอุ่นและปลอดภัย
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 ก.ค. 65 เวลา 12.00 น
Comments
comments
No tags for this post.