บทที่ 4 ลงหุ้นทุนรัก
1)
ความสัมพันธ์ของฉันกับเมทิตย์พัฒนาขึ้นเป็นลำดับ
ฉันได้เจอเขาบ่อยขึ้น ส่วนใหญ่ก็มาจากการที่เขามักจะไลน์มาปรึกษาฉันเรื่องหุ้น ฉันก็ให้คำตอบ มากเข้าเขาก็ซื้อขนมมาฝากเป็นการขอบคุณบ้าง สิ่งที่ชวินทำนายไว้ไม่ผิดเลย เมทิตย์ต้องการใช้การแสดงแบบ Method acting นั่นคือเขาอยากจะเป็นนักลงทุนจริงๆ เวลาอยู่ในกองเขาจะดูตลาดหุ้น เช็กพอร์ตหุ้น อ่านข่าวหุ้น ทำกิจวัตรประจำวันแบบที่คนหลงใหลใฝ่ฝันในหุ้นคนหนึ่งทำ
“เวลาดีใจตอนหุ้นขึ้นนี่เป็นยังไงเหรอครับ”
เขาถามฉันในสาย พวกเราใช้ไลน์คอลล์คุยกันเป็นครั้งแรกหลังจากที่เขารู้สึกว่าติดปัญหากับบทและยังไม่เข้าใจอินเนอร์ของตัวละครมากพอที่จะแสดงออกมาได้
“ก็ดีใจไงคะ จะให้ฉันตอบยังไงดี”
ฉันตอบพร้อมกับขำเบาๆ คำถามของเขาช่างเหมาะกับการเป็นนักแสดงเหลือเกิน คนทั่วไปใครจะมาสนใจว่าไอ้การดีใจนี่มันมีกี่แบบ และการดีใจจากการที่หุ้นขึ้นนี่มันเป็นแบบไหน
“ยังไงดีล่ะ ผมก็อธิบายไม่ถูก คุณพอจะช่วยบรรยายความรู้สึกได้ไหม พูดอะไรที่นึกออกก็ได้ครับ ตอนที่ดีใจ” เขาพูดออกมายาวเหยียด “ขอโทษนะครับที่ถามอะไรแปลกๆ พอดีผมลองเล่นหุ้นแล้ว แต่ยังไม่เคยกำไรจนถึงจุดที่รู้สึกว่าดีใจมากๆ ได้สักที ส่วนใหญ่จะติดดอยมากกว่า”
ฉันยิ้มออกมาอย่างเข้าใจ
“แต่ตอนแสดงผมต้องตีความการดีใจออกมาด้วยว่าเป็นการดีใจแบบไหน ผมกลัวว่าถ้าดีใจไม่เหมือนคนที่เล่นหุ้นกันจริงๆ เวลาคนเล่นหุ้นดูแล้วมันจะปลอมน่ะครับ พอดีเรื่องนี้มีสปอนเซอร์ที่สายตรงทางหุ้นเยอะด้วย ผมไม่อยากให้คนที่มาซื้อโฆษณาดูแล้วรู้สึกไม่ดี”
ปลายสายเล่าออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าเราสนิทกันขึ้นไปอีกขั้น เขาพูดเหมือนคุยกับเพื่อนมากกว่าดาราที่วางท่ากับคนรู้จัก
“ฉันก็อยากช่วยนะคะ แต่ยังนึกคำอธิบายไม่ออกเลย”
“ท่าทางคำถามนี้จะยากไปหน่อย” เขาพูดออกมาด้วยเสียงแห้งๆ
“อย่างนี้ดีไหมคะ คุณลองยกตัวอย่างการดีใจแบบต่างๆ มาให้ฉันเลือก อาจจะพอนึกออกก็ได้นะคะ” ฉันลองเสนอ
“งั้นขอคิดแป๊บนะครับ”
ฉันรับคำไปและรอคำตอบจากเขา
“เท่าที่ผมนึกออกก็มี การดีใจแบบหมุนกาชาปองแล้วได้ของที่อยากได้ การดีใจแบบที่ได้กินแซลมอนอร่อยๆ การดีใจที่เตะบอลเข้าประตูได้ การดีใจที่สอบได้ที่หนึ่ง”
เขาพูดไล่ออกมาเรื่อยๆ ส่วนฉันก็ขำออกมาเบาๆ
“ยากกว่าเดิมอีกค่ะ พอดีฉันไม่เคยหมุนกาชาปอง ไม่ชอบกินปลาดิบ ไม่เคยเล่นฟุตบอล แล้วตอนที่สอบได้ที่หนึ่งก็ตอนประถมซึ่งนานจนจำความรู้สึกไม่ได้แล้วล่ะค่ะ”
คราวนี้เป็นปลายสายบ้างที่หัวเราะออกมา
“จริงสิครับ ผมนี่ก็ยกตัวอย่างได้แคบมาก พอดีถ้าไม่นับเรื่องงานแล้ว ผมก็ไม่ค่อยได้ทำอะไรมั้งครับ เลยนึกได้แต่เรื่องดีใจสมัยมหาลัย”
“อืม งั้นฉันลองอธิบายแบบนี้ดีกว่า” ฉันพูดขึ้นอย่างเรียบเรียงความคิดในหัวได้ “ตอนที่หุ้นขึ้นใหม่ๆ หรือกำไรช่วงแรกๆ มันจะเป็นความดีใจแบบวูบวาบ เหมือนเชียร์กีฬาแล้วชนะหรือไม่ก็ประมาณถูกหวยมั้งคะ”
“ไม่สุ่มกาชาปองแต่เล่นหวยเหรอครับ” เขาแกล้งแซว
“เคยเล่นค่ะ แต่ตอนนี้หันมาเล่นหุ้นแทนแล้ว”
ฉันพูดอย่างอารมณ์ดี ส่วนเขาก็ขอโทษที่ขัดจังหวะและบอกให้ฉันพูดต่อได้เลย เขาอาจจะไม่รู้ แต่สำหรับฉัน นั่นทำให้ฉันมีความสุขอยู่ไม่น้อย ระยะห่างระหว่างเรากำลังน้อยลง
“แต่ในระยะยาวแล้วเหมือนความภาคภูมิใจมั้งคะ เหมือนการได้เกรดดีๆ แต่ไม่ใช่หมายถึงตอนเกรดออกนะคะ หมายถึงตอนนึกย้อนกลับไปไกลๆ” ฉันเล่า “ความจริงก็เหมือนเกรดเฉลี่ยตอนเรียนเหมือนกันนะคะ ถ้าเราได้เกรดดีก็ดีใจ แต่การดีใจแบบที่รู้เกรดตอนแรกก็จะแบบหนึ่ง แต่การดีใจหลังจากเวลาผ่านไปแล้วพักใหญ่ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง ฉันว่าน่าจะเป็นแบบนั้นแหละค่ะ”
“โอ้ ขอบคุณมากเลยครับ เข้าใจขึ้นเยอะเลย” เขาพูด
“ถ้าพอจะช่วยอะไรคุณได้ก็ยินดีค่ะ”
“พูดแบบนี้แล้วเหมือนความรักเลยนะครับ” อยู่ดีๆ เขาก็พูดต่ออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เหมือนบทสนทนาพาไปอย่างไม่รู้ตัว “ช่วงแรกๆ ก็จะเขินๆ กันหน่อย แต่พอนานๆ ไปก็เป็นความอบอุ่น อยู่กันแบบสบายๆ เหมือนเป็นความอิ่มเอมใจอะไรแบบนั้นหรือเปล่าครับ” เขาพูดเหมือนชวนคุยมากกว่าจะหาคำตอบ
“ไม่รู้สิคะ” ฉันจงใจแกล้งลืมเวลาสิบปีที่คบกับเขาไปเสียก่อน “การมีแฟนก็เหมือนกาชาปองหรือไม่ก็ฟุตบอลสำหรับฉันค่ะ”
“ขอโทษนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัว”
คราวนี้เป็นเสียงของเขาที่ดูจะจริงจังขึ้นกว่าทุกครั้ง แต่พอการพูดคุยดำเนินมาถึงตอนนี้ ฉันก็รู้สึกประหลาดในหัวใจเหลือเกิน มุมหนึ่งก็แอบดีใจที่เขาสนใจเรื่องความรักของฉัน แต่ในอีกมุมหนึ่งนั้นก็พิสูจน์ชัดว่าเขาไม่เหลือความทรงจำอะไรเกี่ยวกับฉันเลย
“ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ เป็นเรื่องธรรมดาของผู้หญิงคณะฉันไปแล้วมั้งคะ เรียนหนัก งานเยอะ ตอนเรียนก็ไม่ค่อยได้เจอใครนอกจากเพื่อนในคณะ ถ้าไม่ถูกใจและคบกันเอง ส่วนใหญ่ก็รอขึ้นคานกันหมดแหละค่ะ คณะนี้ขึ้นชื่อเรื่องหาแฟนยาก”
ฉันจงใจเล่าแบบใส่สีตีไข่นิดหน่อย เพื่อที่จะให้เขาไม่รู้สึกผิดที่ถาม ในขณะเดียวกันก็ให้ดูเหมือนฉันไม่ได้นำเสนอความโสดของตัวเองมากเกินไป
“อ้าว แล้วพอมาทำงานไม่เจอใครบ้างเหรอครับ” เขาถามด้วยน้ำเสียงสงสัยจริงๆ
“งานหลักของฉันคือออกแบบบ้านค่ะ ลูกค้าส่วนใหญ่มีลูกมีเมียกันแล้วทั้งนั้น ไม่ก็กำลังสร้างเรือนหอ ตั้งแต่ทำงานมาฉันยังไม่เคยเจอลูกค้าที่เป็นโสดสักคน” ฉันพูดพร้อมหัวเราะ
“โอ้โห ผมเพิ่งรู้นะครับเนี่ย น่าสนใจจัง” น้ำเสียงของเขาสนใจจริงๆ
“คงไม่ได้หาง่ายแบบอาชีพดาราหรอกค่ะ เจอคนเยอะ มีสังคมใหม่ๆ ตลอด” ฉันพูดกลับไปบ้าง
“ไม่หรอกครับ” เขาปฏิเสธ “อาชีพดาราเจอคนเยอะก็จริงครับ แต่ไม่ค่อยได้สนิทกับใครจริงจังหรอก อย่างกองถ่าย ถ่ายกันได้ไม่กี่เดือนก็เปลี่ยนกองใหม่ เจอกันไม่นาน ยิ่งงานโฆษณาหรืออีเวนต์นี่ยิ่งแล้วใหญ่ เจอกันไม่กี่ชั่วโมงก็แยกย้ายแล้ว สังคมเพื่อนฝูงก็ไม่ค่อยมีหรอกครับ งานเยอะ งานไม่เป็นเวลา ใครเขานัดเจอกันก็ไม่ค่อยได้ไป ทำงานเก็บเงินอย่างเดียว”
ฉันตอบอะไรไปอีกอย่างสองอย่างตามมารยาทและถ้อยคำจะพาไป ชีวิตของซูเปอร์สตาร์อย่างเขาฉันรู้จักดีทีเดียวแหละ ฉันไม่เคยมีวันหยุดปกติ ไม่ได้ไปไหนมาไหนตามปกติ ไม่ได้นัดเจอกันแบบปกติ โชคดีที่อาชีพเก่าของฉันเป็นผู้ตรวจสอบบัญชี ถึงแม้ว่างานจะหนักแต่ก็ยืดหยุ่นเรื่องวันลา ลาได้ขอให้งานเสร็จก็พอ
“คุยกับคุณสนุกจริงๆ นะเนี่ย ผมว่าจะถามหลายทีแล้วว่าคุณเรียนที่ไหนมาบ้าง เผื่อว่าเราอาจจะเคยบังเอิญรู้จักกันมาก่อน”
เมทิตย์เริ่มต้นสาธยายโรงเรียนของเขาตั้งแต่สมัยอนุบาล ประถม และมัธยม ไปจนถึงมหาวิทยาลัย แน่นอนว่าไม่มีที่ไหนสักที่ที่ตรงกับฉัน เราเจอกันที่เรียนพิเศษ มหาวิทยาลัยก็สอบติดกันคนละที่ ดังนั้นถ้าจะมาแกะรอยจากประวัติการศึกษาแบบนี้ก็คงจะไม่เจออะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
“แปลกจัง ผมรู้สึกเหมือนกับเคยรู้จักคุณมาก่อนแท้ๆ”
เขาพูดอีกครั้ง น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์ ฉันเองได้แต่ยิ้มเงียบๆ อยู่คนเดียว หัวใจรู้สึกชุ่มชื้นอย่างไรบอกไม่ถูก อย่างน้อยเขาก็พอจะจำได้ แม้จะเป็นเพียงความทรงจำในความรู้สึกเพียงอย่างเดียว
“นั่นสิคะ ฉันเองก็รู้สึกเหมือนเคยรู้จักคุณมาก่อนเหมือนกัน”
2)
“อะไรมันจะพัฒนาความสัมพันธ์ได้เร็วขนาดนั้นวะ”
ชวินพูดพร้อมกับเกาหัวแบบไม่ค่อยจะเชื่อถือเท่าไหร่นัก ฉันเองก็ได้แต่ยักไหล่ ไม่รู้จะพูดอะไรดี หลังจากที่ฉันเล่าว่าได้โทรศัพท์คุยกับเมทิตย์บ้างแล้ว เพื่อนสนิทก็ได้แต่ทำหน้าประหลาดใจ
“ก็คุยกันเรื่องงานมั้ง ดูเหมือนเพื่อนปกตินะ เหมือนตอนที่ฉันโทรคุยกับแก”
คนตรงหน้าคว้าคาราเมลแฟรปปูชิโน่มาดูด สีหน้าเหมือนกำลังไตร่ตรองอะไรไม่หยุด ส่วนนิ้วมือก็เคาะโต๊ะในร้านกาแฟเป็นจังหวะ พวกเรากำลังอยู่ฝั่งที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวอีกฝั่งหนึ่ง เวลาตอนนี้เกือบหกโมงเย็น ลูกค้าที่นัดมาคุยธุระกลับไปแล้ว บนโต๊ะยังมีของวางเกลื่อนกลาด ทั้งตัวอย่างหินอ่อน แบบสี คอมพิวเตอร์ที่เปิดฉายภาพแบบเฟอร์นิเจอร์เป็นตัวอย่างให้ลูกค้าตัดสินใจเลือก
“เออ แปลกดี ฉันนึกว่าดาราจะมีกำแพงสูงกว่านี้เสียอีก” ชวินพูด
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ฉันตอบง่ายๆ ก่อนจะเริ่มต้นลงมือเก็บของใส่กระเป๋าเพื่อเตรียมตัวกลับ การจราจรตอนเย็นวันศุกร์รอบสยามสแควร์ไม่น่าพิสมัยเท่าไหร่นัก ในหัวฉันเริ่มคิดสะระตะถึงวิธีการกลับคอนโดฯ คงต้องรถไฟฟ้า ของเยอะแบบนี้คงจะพะรุงพะรังน่าดู
“แล้วนี่แกจะกลับยังไง ให้ฉันไปส่งไหม แต่ฉันจอดรถเซ็นทรัลเวิลด์นะ”
“ไม่ดีกว่า ขี้เกียจเดิน เดี๋ยวไปขึ้นรถไฟฟ้าทีเดียวเลยก็ได้”
ฉันตอบตามตรง ชวินเองก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเพราะคุ้นเคยนิสัยกันดี คนอีกฝั่งโต๊ะกวาดของลงกระเป๋าตัวเองอย่างลวกๆ ไม่นานก็เสร็จ
“งั้นไปกันเลยไหม”
“แกไปก่อนเลย ฉันขอนั่งกินน้ำให้หมดก่อน เสียดาย”
ฉันพูดพร้อมหันไปมองน้ำผลไม้ปั่นที่ยังคงเหลืออยู่ครึ่งแก้ว ชวินพยักหน้าอือออไปตามเรื่องก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะไป ฉันเอื้อมมือไปคนน้ำในแก้วเล่น เหม่อมองน้ำแข็ง ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ ช้าลง ผู้คนกำลังเดินพลุกพล่านกันไปมาที่ถนนใจกลางแหล่งการค้าย่านสำคัญ
ฉันเหม่อมองภาพนั้นด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
ชั่วเวลาไม่นานทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูจะค่อยๆ มืดครึ้มไปทีละน้อย ผู้คนเริ่มหล่นหายไปจากทางสัญจร ฉันมองทุกอย่างอย่างสนใจ ไม่นานนักฝนก็หล่นพร่างพรมลงมา ไม่ได้หยดรั่วรุนแรง แต่ก็มากพอจะทำให้ถนนเหลือแต่ความว่างเปล่าได้ หยาดฝนค่อยๆ ชโลมกระจกริมร้านกาแฟให้ขุ่นมัวขึ้นเรื่อยๆ ฉันหยิบน้ำขึ้นมาจิบอีกครั้ง ใจเผลอนึกไปถึงคืนสุดท้ายที่ได้อยู่กับเมทิตย์ในฐานะแฟน
เมทิตย์ : คุณเลิกหรือยังครับ ถ้าติดฝนอยู่ที่สถานีรถไฟฟ้า ผมกำลังจะขับผ่านเข้าคอนโดฯ พอดี เผื่อจะแวะไปรับและติดรถไปด้วยกัน
เสียงร้องแจ้งเตือนข้อความดังขึ้น ฉันหันไปมองแล้วก็ได้แต่ยิ้มออกมาน้อยๆ เอื้อมคว้ามือถือมาถ่ายภาพกระจกที่ขุ่นมัวไปด้วยหยาดฝนส่งให้เขา
พอใจ : ฉันยังติดฝนอยู่ข้างนอกค่ะ เดี๋ยวรอฝนหยุดแล้วค่อยกลับทีเดียว ของเยอะน่ะค่ะ เรียกรถตอนนี้รถก็คงติดมาก
เมทิตย์ : ให้ผมวนไปรับไหม
พอใจ : อย่าเลยค่ะ รถน่าจะติดมาก ว่าแต่คุณอยากกินขนมอะไรไหมคะ ฉันต้องนั่งอีกนาน ว่าจะซื้ออะไรกลับบ้านสักหน่อย เกรงใจร้าน
เมทิตย์ : ไม่เป็นไรครับ
พอใจ : พายแอปเปิ้ลร้านนี้อร่อยนะ คุณลองไหม
เมทิตย์ : สักชิ้นก็ได้ครับ ลองชิมดู
เขาตอบกลับพร้อมส่งสติ๊กเกอร์มาให้หนึ่งรูป บทสนทนาจึงสิ้นสุดลงตรงนั้น ฉันหันไปมองภาพข้างนอกต่อ ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะเบาลง โชคดีที่ฉันไม่ได้คิดจะฝ่าฝนออกไป
ฉันเหม่อมองทิวทัศน์โดยรอบก่อนจะหยุดสายตาลงที่จอขนาดใหญ่
ฝั่งตรงข้ามร้านกาแฟเป็นร้านขายของเรียงรายไปตามถนน ด้านบนร้านมีการติดจอเล็กบ้างใหญ่บ้าง สายตาฉันหยุดอยู่ที่จอหนึ่งเมื่อเห็นใบหน้าคนที่เคยคุ้น…เมทิตย์ ฉันเหลือบไปเห็นตรงขอบจอว่าเป็นรายการที่ถ่ายทอดมาจากการไลฟ์ของเพจสินค้าหนึ่งก็สนใจ จึงหยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองขึ้นมาบ้าง เสียบหูฟัง แม้จะไม่ทันบทสนทนาในช่วงแรกไปบ้าง แต่ก็น่าจะฟังได้อีกยาวพอสมควร
“ละครเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไรคะ”
ผู้สื่อข่าวยื่นไมโครโฟนถามเขา รอยยิ้มนั้นเป็นรอยยิ้มของการมุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มที่ เป็นประกายเจิดจรัส แต่เบื้องหลังกลับซ่อนกำแพงหนาทึบที่ไม่มีใครสามารถเข้าไปได้
“วงเวียงหมอกเป็นเรื่องราวของเจ้านายชาวเหนือที่กลับมาเกิดใหม่เป็นดีไซเนอร์สาวในกรุงเทพฯ ครับ พอระลึกชาติได้ก็หวนกลับไปตามหาปมในอดีตให้เจอว่าทำไมตัวเองถึงยังฝังใจกับภพชาติเก่าๆ ส่วนผมจะรับบทนักแสดงรับเชิญเฉยๆ นะครับเรื่องนี้ เป็นญาติของพระเอกที่ช่วยพระเอกสืบหาความจริง”
เสียงตอบดังฉะฉาน แต่ไม่ถึงกับมั่นใจในตัวเองมากจนเกินไปนัก ฉันเผลอยิ้มออกมา สมัยที่เป็นแฟนกันฉันก็ชอบนั่งดูเขาให้สัมภาษณ์บ่อยๆ เมทิตย์เป็นดาราที่พูดรู้เรื่อง ไม่น่าเบื่อ น้ำเสียงมีจังหวะจะโคน ท่าทางก็ชวนให้สนใจและติดตาม
“แบบนี้แฟนคลับไม่เสียใจกันแย่เลยเหรอคะ อุตส่าห์ได้เล่นกับภริสาทั้งทีแต่ไม่ได้คู่กัน มีกระแสความคิดเห็นอะไรจากในโซเชียลบ้างไหมคะ”
นักข่าวถามต่อ ภาพในจอขยายกรอบขึ้นมา ทำให้เห็นภาพฉากหลังขณะที่สัมภาษณ์ชัดขึ้น ตราสินค้าของแบรนด์ที่กำลังถ่ายทอดออกจอโฆษณานี่เอง
“ไม่มีนะครับ” เขายิ้ม “เท่าที่เห็นทุกคนก็แฮปปี้กันดีเพราะเดี๋ยวผมก็จะมีผลงานเรื่องใหม่เล่นคู่กับภริสาอยู่แล้วด้วยมั้งครับ แยกกันบ้างก็ได้” ผู้ให้สัมภาษณ์หัวเราะเบาๆ ทิ้งท้าย
“เรื่องอะไรคะ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ”
“ละครเรื่องลงหุ้นทุนรักครับ” เขาพยักหน้ารับเหมือนรู้ตัวอยู่ก่อนแล้วว่าจะโดนถาม “ละครเกี่ยวกับนักลงทุน ตลาดหุ้น และการเงินอะไรพวกนี้ เป็นโรแมนติกคอมมิดี้ดูสบายครับ เชื่อว่าหลายคนน่าจะชอบ เพราะดูไปก็จะได้เกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ เรื่องการเงินไปด้วย”
“แบบนี้คนดูก็เตรียมจิ้นกันต่อจากเรื่องที่แล้วได้เลยใช่ไหมคะ”
เมทิตย์ยิ้มรับแต่เหมือนจะชะงักไปครู่หนึ่ง สีหน้าของเขาตอบได้ยากว่ารู้สึกอย่างไร อากัปกิริยาทุกอย่างถูกปกปิดอย่างมิดชิดภายใต้ท่าทางที่สบายๆ
“น่าจะนะครับ อันนี้อาจจะต้องถามคนดูแล้วแหละครับ”
เขาตอบออกมาหลังชะงักไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนจะมีเสียงฮือฮาน้อยๆ ดังขึ้นในหมู่นักข่าว ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่า แต่ดูเหมือนไมโครโฟนจะขยับเข้าไปใกล้เขามากขึ้น
“แล้วเรื่องที่มีข่าวออกมาว่าคุณเมทิตย์คบหาดูใจกับคุณภริสาอยู่นี่เรื่องจริงหรือเปล่าคะ”
หัวใจของฉันเย็นเฉียบเหมือนมีน้ำแข็งมาห่อหุ้มไว้ อากัปกิริยาของเมทิตย์ยังคงสดใสและคาดเดาไม่ได้ตามเคย ในขณะที่ฉันกลับรู้สึกเหมือนกำลังหายใจไม่ออก ใจมันเหมือนจะเต้นเร็วขึ้นและเริ่มหวาดกลัวคำตอบที่จะตามมา มือของฉันหยุดชะงักนิ่งที่ปุ่มปรับเสียงตรงหูฟัง ตอบตัวเองไม่ได้ว่าควรจะเร่งเสียงหรือลดเสียงดี
ฉันดึงสายหูฟังออก
คลิปหยุดเล่นกะทันหัน เสียงทุกเสียงเงียบหายไป ฉันหายใจรัวเร็ว ภาพจากหน้าจอโฆษณากว้างหลังหยาดฝนนั่นพร่าเลือนไปเพราะหยาดน้ำที่โปรยปรายเริ่มหนักขึ้นทุกที ฉันตัดสินใจปิดหน้าจอโทรศัพท์ ไม่กล้าฟังคำตอบอีกต่อไป ใจฉันอาจจะไม่แข็งแรงพอที่จะรับรู้อะไรได้ แต่ในขณะเดียวกับที่ฉันกำลังจะคว่ำหน้าจอลง ข้อความหนึ่งก็เด้งขึ้นมาเรียกร้องความสนใจจากฉัน
เมทิตย์ : อีกห้านาที ผมน่าจะถึงหน้าร้านที่คุณติดฝนอยู่ คุณออกมายืนรอได้ไหม ผมน่าจะหาที่จอดรถไม่ได้ ตอนนี้ผมเลี้ยวเข้ามาในสยามแล้วครับ
3)
“ความจริงคุณไม่น่ามารับฉันเลยนะคะ ลำบากเปล่าๆ”
ฉันพูดเป็นประโยคแรกทันทีที่วิ่งขึ้นรถของเมทิตย์ไป ฟิล์มหนาทึบจนเกือบมองข้างในไม่เห็น แต่เขาก็ส่งข้อความมาบอกเลขทะเบียนรถก่อน ความจริงฉันจำตัวเลขสองหลักนั่นได้ขึ้นใจ สมัยที่คบกันก็ยังแซวเขาบ่อยๆ ให้ไปซื้อหวย เพราะเลขมันจำได้ติดตาดี
“ผมอยากกินพายแอปเปิ้ลน่ะครับ อดใจไว้ไม่ไหว”
เขาตอบกลับมาด้วยท่าทีจริงจัง ฉันถึงกับเผลอหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินจนจบ ความหนักอึ้งอะไรบางอย่างในอกเหมือนจะมลายหายไป นั่นสินะ ตรงหน้านี้ก็เป็นเขา เขาที่ฉันพยายามแทบตายที่จะได้เข้าใกล้แม้เพียงสักนิด ตอนนี้ได้มีโอกาสยืนอยู่ตรงนี้ก็เก็บเกี่ยวความรู้สึกดีๆ ไปก่อน อนาคตจะเป็นอย่างไรก็ค่อยว่ากันอีกที ฉันวางเรื่องที่ได้ยินจากคลิปวิดีโอนั่นลงชั่วคราว
“กินเลยไหมคะ เดี๋ยวฉันหยิบให้”
ฉันแกล้งแซวกลับจนเขาหัวเราะตาหยี ต่อหน้าฉันเขาเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ใช่คนที่ฉีกยิ้มและกลบเกลื่อนทุกอย่างไว้ข้างหลัง ฉันรู้สึกเหมือนวันเวลาเก่าๆ ค่อยๆ หวนกลับมาทีละน้อย ฉันพิงศีรษะไปกับเบาะ หันไปมองฝนที่ยังตกไม่หยุดอยู่ภายนอก ความจริงการที่ฝนตกบ้างก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน
“ผมพูดเล่นต่างหาก ความจริงผมยังไม่หิวเลย”
“แล้วอะไรหอบคุณให้ฝ่ารถติดมาถึงที่นี่คะ”
“ผมคงเครียดๆ มั้งครับวันนี้” เขาตอบแบบตรงไปตรงมา “ตอนกำลังจะจอดรถก็คิดว่ากลับห้องไปก็คงจะน่าเบื่อ เผลอแป๊บเดียวผมก็มาอยู่สยามแล้ว เลยออกมาขับรถเล่นดีกว่า โชคดีนะเนี่ยที่คุณยังอยู่ที่ร้าน ไม่งั้นผมมาเก้อแน่ ว่าจะทักไปบอกคุณก่อนก็ลืม”
ฉันหันไปพยักหน้ารับ ใจนึกไปถึงการสัมภาษณ์ในวันนี้ที่ฉันเพิ่งได้ดู เรื่องเครียดที่ว่าใช่เรื่องเดียวกับที่ฉันกำลังนึกหรือเปล่าหนอ
“ได้ขับรถเพลินแน่ค่ะ ฝนตกเย็นวันศุกร์แบบนี้ เส้นรถไฟฟ้าทางเข้าคอนโดฯ ติดเป็นลานจอดรถ”
ฉันพูดพร้อมหัวเราะ ชูถุงขนมในมืออีกครั้งเหมือนต้องการจะถามย้ำ เขาส่ายหน้าหนักแน่น ฉันจึงเอี้ยวตัวไปวางไว้ที่เบาะหลังก่อน
“คุณจะว่าอะไรไหม ถ้าผม เอ่อ…”
“คะ?”
“ชวนคุณไปขับรถเล่น”
ฉันที่ได้ยินหันไปมองเขาเต็มตาอีกครั้ง ท่าทางของเขาเหมือนเด็กชายแสนซื่อที่สถาบันกวดวิชาคนนั้น ละล้าละลังกว่าจะพูดออกมาสักคำ
“ได้สิคะ” ฉันยิ้ม “กำลังจะพูดอยู่เลยว่าถ้าคุณอยากจะขับรถเล่นก็ขับไปได้นะคะ ฉันไม่รีบไปไหน ยังไงก็คงไปติดแหง็กอยู่หน้าคอนโดฯ อยู่ดี”
“ไปไหนกันดีครับ” เขาพูดพร้อมทำท่านึก
“แล้วแต่คุณสิคะ” ฉันหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ “คุณเป็นคนขับค่ะ ตามใจคุณเลย ฉันทำหน้าที่นั่งอย่างเดียวพอ”
“หนึ่งถึงเก้าสิบเก้าคุณชอบเลขอะไรครับ”
“ทำไมคะ”
ฉันทำหน้าฉงนอย่างไม่เข้าใจ แต่แววตาของเขาฉายแวววิบวับอย่างนึกสนุกอะไรบางอย่าง เหมือนกับว่าเขากำลังย้อนเวลากลับไปสักสิบปี
“โห อย่าเพิ่งถามสิครับ รอให้ผมเฉลยเองนะ”
รถยนต์ที่เรานั่งยังติดอยู่ที่สยามสแควร์แทบจะไม่ขยับ เกือบสิบนาทีแล้วก็ยังออกสู่ถนนใหญ่ไม่ได้ แต่ฉันกลับไม่รู้สึกอึดอัดหรือเบื่อหน่ายแม้แต่น้อย
“คุณนี่ก็เจ้าเล่ห์เหมือนกันนะเนี่ย”
“ผมไม่เห็นเจ้าเล่ห์อะไรเลย ก็แค่ถามว่าคุณชอบเลขอะไรเอง”
บางครั้งบางคราวฝนที่ตกลงมากลับสร้างความอบอุ่นให้อย่างประหลาด โชคดีที่ฉันเลือกจะติดฝน หลบฝน และวิ่งหนีฝนขึ้นมาบนรถคันนี้
“เลขสิบเจ็ดแล้วกันค่ะ” ฉันพูดหลังจากนิ่งนึกไปครู่หนึ่ง “เลขทะเบียนรถคุณน่าจะเป็นเลขนำโชค” ฉันตอบไปอย่างอยากรู้ว่าเขาจะทำอะไรต่อไป
“เยี่ยมเลยครับ งั้นคุณช่วยเปิดโทรศัพท์มือถือแล้วเข้ากูเกิลให้ผมหน่อย พิมพ์ว่ารหัสไปรษณีย์ หนึ่งศูนย์หนึ่งเจ็ดศูนย์ แล้วช่วยดูให้หน่อยครับว่าเราจะได้ไปที่ไหนกัน”
ฉันอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เมื่อรู้ว่าเลขสองตัวที่เขาให้ฉันบอกหมายถึงอะไร ฉันส่ายหัวไปมาอย่างขันๆ จนเขาต้องรบเร้าให้ฉันรีบเปิดสักทีเพราะเขาเองก็อยากรู้
“ถ้าไปโผล่พังงาจะทำยังไงคะเนี่ย ฮึ”
ฉันแกล้งเย้าขณะที่รออินเตอร์เน็ตทำงาน คราวนี้เป็นเขาที่หัวเราะเสียงดังออกมาบ้าง รถยนต์เคลื่อนตัวหลุดออกจากสยามสแควร์ได้พอดี
“ก็ไปพังงาสิครับ”
ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าเขาตาหยีขนาดไหน ฉันส่ายหน้าไปมาอย่างแกล้งทำท่าระอาใจ บางทีการได้กลับมานั่งข้างๆ เขาในสถานะอะไรไม่รู้แบบนี้อาจจะดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องไปตั้งคำถามอะไรมากมาย แต่แวบหนึ่งชื่อภริสาก็ลอยกลับเข้ามาในหัว ฉันรีบสั่นศีรษะไล่มันออกไป
“ไม่มีเหรอครับ”
“อ้อ เปล่าค่ะ มีๆ”
เมทิตย์น่าจะเห็นตอนฉันส่ายหัวพอดีเลยตีความผิดไป ฉันจึงต้องรีบตอบกลับเขาไปอย่างแก้เก้อ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังทำตัวเปิ่นๆ ยังไงก็ไม่รู้
“คลองชักพระ ฉิมพลี ตลิ่งชัน บางเชือกหนัง บางพรม บางระมาด ทวีวัฒนา ศาลาธรรมสพน์” ฉันร่ายยาวอ่านตามข้อมูลเท่าที่หาได้ “รู้จักสักที่ไหมคะเนี่ย”
“อืม รู้จักหลายที่เลย แต่ไปที่ที่ไม่รู้จักดีกว่า” คนขับรถตอบพลางลูบคางไปมา
“เดี๋ยวก็ไปโผล่พังงาหรอก” ฉันแกล้งแซว
“ไปโผล่ก็ดีสิ ผมก็อยากลองไปพังงาดูสักครั้ง ท่าทางน่าสนุกดีออก เที่ยวอยู่แต่หัวเมืองใหญ่ๆ น่าเบื่อจะตาย” เขาตอบไปเรื่อยเปื่อย
“แล้วหนึ่งศูนย์หนึ่งเจ็ดศูนย์นี่เราจะไปไหนกันดีล่ะคะ ความจริงฉันไม่รู้จักที่ไหนเลยนอกจากตลิ่งชัน”
ฉันตอบไปอย่างนึกๆ แต่ใจอดลอยไปจินตนาการถึงภาพการไปเที่ยวทะเลสองคนกับเขาไม่ได้ ตัวฉันร้อนวูบวาบจนหน้าเหมือนจะแดงขึ้นมาเฉยๆ ทำไมฉันจะไม่เคยไปเที่ยวกับเขาสองคน ฉันรีบเสหันหน้าออกไปมองนอกรถ ไม่อยากให้เขาเห็นอาการแปลกๆ ให้อับอาย
“ศาลาธรรมสพน์แล้วกัน ชื่อแปลกดี”
เขาตอบง่ายๆ พร้อมขอให้ฉันช่วยเปิดระบบนำทางให้ ฉันค้นหาในแอพพลิเคชั่นแผนที่ ก่อนจะเปิดแต่เสียงไว้แล้วปิดหน้าจอ ตอนแรกดูเหมือนว่าเขาจะงงๆ เล็กน้อยที่ฉันไม่ได้หันหน้าจอไปให้เขาดู ฉันเองก็ลืมไป เพราะปกติตอนคบกัน เมทิตย์เป็นคนไม่ดูแผนที่แต่จะใช้การฟังเสียงเอาเท่านั้น ฉันจึงติดนิสัยเปิดเสียงเอาไว้แล้วปิดหน้าจอ ให้เขาฟังเสียงแล้วก็ขับรถไปตามทาง
อยู่ดีๆ เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ฉันถึงกับตกใจน้อยๆ แล้วหันไปทำหน้าปูเลี่ยนๆ ใส่เขา นั่นทำให้เขาทำหน้าอารมณ์ดีใส่ฉันยิ่งขึ้น เมทิตย์ผิวปากเบาๆ ก่อนจะขับรถพาฉันลัดเลาะไปตามถนนหลังห้างสรรพสินค้าเพื่อไปโผล่ที่ถนนเส้นใหญ่อีกเส้น
“คุณเหมือนคนที่รู้จักกับผมมานานจริงๆ”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กรกฎาคม 65)
Comments
comments
No tags for this post.