X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักม่านฝันคืนวสันต์รัญจวน

ทดลองอ่าน ม่านฝันคืนวสันต์รัญจวน บทที่ 3-4

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 3 ชิงลงมือ

ฮ่องเต้ฮุยตี้ยังครุ่นคิดถึงการคาดเดาของกู้ซิ่งจือ ผ่านไปพักใหญ่ในพระตำหนักจึงมีเสียงของพระองค์ดังขึ้น

“ตามความเห็นของกู้ชิง คนผู้นี้ลงมือกับเสนาบดีเฉินมีจุดประสงค์อะไร”

“กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ” กู้ซิ่งจือเอ่ยอย่างสงบนิ่งว่า “ตอนนี้เบาะแสน้อยเกินไป กระหม่อมไม่กล้าคาดเดาไปเอง เพียงแต่…” เขาชะงักเล็กน้อยแล้วจึงพูดต่อ “เพียงแต่คิดว่าเสนาบดีเฉินมีฐานะพิเศษ นอกจากคนที่มีความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างจากเขาแล้ว บางทีก็ควรป้องกันการสอดแนมของชาวเป่ยเหลียงด้วย”

ชามกระเบื้องสีขาวกระแทกโต๊ะ ส่งเสียงกังวานไม่ดังไม่เบา สายลมยามค่ำคืนพัดผ่าน แสงเทียนในพระตำหนักวูบไหว เงาของฮ่องเต้ฮุยตี้ก็ส่ายไปมาบนพื้นไม้หนานมู่ลายทอง ที่แวววาว ดูล่องลอยเล็กน้อย

“อืม…” ฮ่องเต้ฮุยตี้พยักหน้าแล้วเอ่ยเพียงว่า “ข้ารู้แล้ว”

“ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมไม่รบกวนการพักผ่อนของฝ่าบาทแล้ว กระหม่อมทูลลา” กู้ซิ่งจือและฉินซู่มองหน้ากัน ก้มศีรษะจะทูลลา

“กู้ชิง เจ้าอยู่ก่อน” ฮ่องเต้ฮุยตี้หยิบผ้าสีขาวมาเช็ดโอสถที่ริมฝีปาก

“พ่ะย่ะค่ะ” กู้ซิ่งจือรับคำ ฉินซู่โน้มตัวและถอยออกไป ในพระตำหนักเหลือเพียงฮ่องเต้และขุนนางสองคน

ฮ่องเต้ฮุยตี้มองไปยังเก้าอี้ด้านข้าง ส่งสัญญาณให้กู้ซิ่งจือนั่งลงแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าสอบจ้วงหยวน ได้ตั้งแต่อายุสิบหก เข้าเป็นขุนนางในราชสำนัก จนถึงตอนนี้ก็เกือบจะสิบปีแล้วสินะ?”

กู้ซิ่งจือคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ฮ่องเต้ฮุยตี้จะเอ่ยถึงเรื่องนี้จึงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่ยังคงเอ่ยตอบด้วยความนอบน้อม “ทูลฝ่าบาท ปีนี้ก็สิบปีเต็มแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม อายุยี่สิบหกแล้ว” ฮ่องเต้ฮุยตี้พยักหน้าคล้ายกำลังคิดอะไรอยู่ “ในราชวงศ์ของข้าอายุยี่สิบหกแล้วยังคงอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีภรรยาหรืออนุภรรยา อย่าว่าแต่เป็นขุนนางขั้นสามเลย แม้แต่คนธรรมดาและพ่อค้าทั่วไปก็หายากมาก” หลังจากชะงักไปครู่หนึ่งฮ่องเต้ฮุยตี้ก็หันไปมองกู้ซิ่งจือ “เจ้าเคยคิดถึงเรื่องการแต่งงานของตัวเองบ้างหรือไม่”

กู้ซิ่งจือไม่ได้พูดอะไรอยู่เป็นนาน แสงจันทร์อันเย็นยะเยือกส่องผ่านใบหน้า ส่องสว่างทั่วร่างกายเขาจนดูเย็นเฉียบราวกับน้ำค้างแข็ง

ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ดวงตาหม่นหมองมีแววโศกเศร้าเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่งจึงเอ่ยกับฮ่องเต้ฮุยตี้

“กระหม่อมอยู่แต่ในบ้าน ไม่ชอบที่จะผูกมิตรกับผู้อื่น หลายปีมานี้อยู่คนเดียวจนชินแล้ว นอกจากนี้กฎตระกูลของสกุลกู้ก็เข้มงวด หากจะแต่งงาน เกรงว่าจะทำให้ฝ่ายหญิงต้องลำบากพ่ะย่ะค่ะ”

ภายในพระตำหนักเงียบงัน แสงเทียนส่งเสียงดังเปรี๊ยะขึ้นสองสามครั้ง

น้ำเสียงที่ส่งผ่านแสงจ้านั้นเนิบนาบ ฮ่องเต้ฮุยตี้เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้ากำลังดูถูกตัวเอง สกุลกู้มีชื่อเสียงดีงามมาตลอด คนที่เป็นแม่ทัพเสนาบดีมีมากมายนับไม่ถ้วน อย่าว่าแต่หญิงสาวจากครอบครัวธรรมดา แม้แต่เชื้อพระวงศ์ หากได้แต่งเข้าสกุลกู้ก็ถือได้ว่าเป็นที่พึ่งพิงที่ดี” หลังจากเอ่ยจบฮ่องเต้ฮุยตี้ก็จงใจหยุดเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม “เจ้าว่าใช่หรือไม่”

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนั้นไม่ว่ากู้ซิ่งจือจะแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจอย่างไรก็เข้าใจความหมายของฮ่องเต้ฮุยตี้ดี…พระองค์ต้องการรับเขาเป็นราชบุตรเขย

องค์หญิงจยาหนิง พระธิดาองค์โตของฮ่องเต้ฮุยตี้ขณะนี้อายุสิบห้าปี ถึงวัยที่ควรจะพูดคุยเรื่องอภิเษกสมรสแล้ว

ในเมื่อฮ่องเต้เอ่ยปากแล้ว นอกจากเขาจะพูดว่ากระหม่อมร่างกายอ่อนแอ หากฮ่องเต้ต้องการพระราชทานสมรส ขุนนางอย่างเขาจะปฏิเสธได้อย่างไร

เมื่อคิดถึงตรงนี้กู้ซิ่งจือจึงทำได้เพียงยกชายเสื้อคลุมแล้วคุกเข่าลงเอ่ยว่า “กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาท เพียงแต่ฉินเจาเพิ่งเสียชีวิตในค่ำคืนนี้ เขาและกระหม่อมรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก และกระหม่อมก็ถือว่าเขาเป็นเหมือนน้องชายมาโดยตลอด การพูดคุยเรื่องการแต่งงานในตอนนี้ทำให้กระหม่อมรู้สึกหวาดหวั่นยิ่งนัก ขอฝ่าบาทพระราชทานพระอนุญาตให้กระหม่อมได้ไว้ทุกข์ให้กับน้องชายด้วย นอกจากนี้…” เขาชะงักไปเล็กน้อยแล้วพูดอีกว่า “เขายังมีน้องสาวร่วมอุทรเร่ร่อนอยู่ข้างนอกอีกคนหนึ่ง กระหม่อมรับปากกับเขาว่าจะช่วยเขาตามหานางกลับมา เกรงว่าจะทำให้องค์หญิงเข้าพระทัยผิด ทำให้องค์หญิงต้องลำบากพระทัยเปล่าๆ พ่ะย่ะค่ะ”

“ฉินเจายังมีน้องสาวอีกหนึ่งคน?” ดูเหมือนฮ่องเต้ฮุยตี้จะคาดไม่ถึง ในน้ำเสียงมีความประหลาดใจอย่างยากที่จะได้พบเห็น

“ทูลฝ่าบาท เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”

พระตำหนักฉินเจิ้งตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

ฮ่องเต้ฮุยตี้มองกู้ซิ่งจืออย่างเหม่อลอย ผ่านไปพักใหญ่จึงเอ่ยว่า “เจ้าและองครักษ์ฉินมีความสัมพันธ์ฉันพี่น้องที่ลึกซึ้ง การพูดคุยเรื่องการแต่งงานในยามนี้ไม่เหมาะสมจริงๆ ในเมื่อรับปากแล้วว่าจะดูแลครอบครัวของเขาแทนเขา ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไปเถิด ทางด้านจยาหนิง ข้าจะลองเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง”

กู้ซิ่งจือถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลังจากคำนับขอบพระทัยแล้วก็โน้มตัวและถอยหลังออกไป

ขณะเดินออกจากประตูเจิ้งลี่ก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว รถม้าเสียงดังกุบกับเคลื่อนผ่านไปตามถนนหน้าวังหลวงที่ทอดยาว แสงจันทร์สว่างสดใส สาดส่องลงบนแผ่นหินที่ถูกขัดจนเงา สว่างราวกับระลอกน้ำที่กระเพื่อมไหวเป็นชั้นๆ

กู้ซิ่งจือหยิบถุงผ้าเปื้อนเลือดใบนั้นออกมาจากอกเสื้อ

‘ซ่า’

อีกฟากฝั่งหนึ่งที่แสงจันทร์ไร้ขอบเขต ความสว่างสดใสบนระลอกน้ำถูกเส้นผมดำขลับของสาวงามทำลายกลายเป็นแสงกระจาย

ห้องอาบน้ำตลบอบอวลไปด้วยไอร้อน ท่ามกลางหมอกที่ขมุกขมัวอวลไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่นของสมุนไพร ทำให้เกิดละอองหมอกเหมือนในเจียงหนาน

หลังผ่านการต่อสู้และได้แช่ตัวในน้ำเย็นเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม แล้ว ย่อมต้องแช่น้ำอ้ายเฉ่าร้อนๆ

หยดน้ำสะท้อนแสงเทียนกลิ้งตกลงมาจากขนตาที่หนาราวกับปีกผีเสื้อของสาวงาม ฮวาหยางพาดแขนไว้ที่ขอบสระน้ำแล้วถอนหายใจยาว

นางเปิดเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย มองไปยังคันฉ่องใสสูงครึ่งตัวคนที่อยู่ด้านตรงข้าม

ผิวขาวราวหยกถูกไอร้อนรมเป็นสีชมพูอ่อน ประหนึ่งดอกท้อตูมในต้นฤดูใบไม้ผลิ ส่องประกายความงามน่ารักอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผมดกดำเกล้าสูง เส้นผมหลายเส้นที่ข้างจอนผมแนบกับลำคอระหง ขับให้เส้นโค้งที่ต้นคอเรียบเนียนดูสง่างาม

แน่นอนว่าหากไม่มีเท้าที่สวมรองเท้าหุ้มข้อสั้นอยู่ด้านหลังก็จะดียิ่งกว่า

“เจ้ามาด้วยเหตุใด” ฮวาหยางไม่ได้หันกลับไป ยังคงชื่นชมตัวเองในคันฉ่อง

ฮวาเทียนเคยชินกับท่าทางสบายๆ ของนางแล้วจึงไม่ได้เอ่ยตอบอะไร เดินไปที่ข้างราวแขวนเสื้อ หยิบเสื้อคลุมนอนที่แขวนอยู่บนนั้นแล้วโยนให้ฮวาหยางพลางพูดอย่างเย็นชา

“แต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วออกมา”

ฮวาหยางไม่รู้สึกโกรธกับความเผด็จการของอีกฝ่าย นางรับเสื้อคลุมนอนมาคลุมตัวแล้วเดินขึ้นจากน้ำ

ตอนที่เดินออกไปฮวาเทียนก็นั่งลงบนเตียงหลัวฮั่น แล้ว ชาใหม่ซึ่งเพิ่งเติมที่ข้างมือมีกลิ่นหอมตลบอบอวล ฮวาเทียนขยับนิ้วชี้ชี้ออกไปแล้วเอ่ยสั่ง

“นั่ง”

“ไม่” คำที่ตรงไปตรงมา ปฏิเสธได้อย่างเรียบง่ายและชัดเจน

ฮวาเทียนขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นมองฮวาหยางอย่างไม่เข้าใจ เมื่อเห็นว่าท่าทางของอีกฝ่ายยังคงเย็นชาเช่นนั้น นางจึงพูดอย่างน่าฟัง

“ข้าบอกให้นั่งลงดื่มชา”

“ข้าบอกว่าไม่”

“…” ฮวาเทียนชะงักไปครู่หนึ่ง แต่เพราะรู้จักนิสัยของศิษย์น้องผู้นี้ดีจึงคร้านที่จะตอแย ยกถ้วยชาขึ้นจิบอึกหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย “ฮวาคั่วตายแล้ว”

“อ้อ?” ฮวาหยางขมวดคิ้ว ไม่รู้สึกแปลกใจสักนิด “เหนือความคาดหมายจริงๆ”

ฮวาเทียนได้ยินดังนั้นก็วางถ้วยชาในมือ เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สงบลงกว่าเดิม “เจ้าทิ้งเขาไว้กับคนของทางการ?”

“ถ้าไม่ทำเช่นนั้นเล่า” ฮวาหยางถามกลับ “ข้าควรทิ้งเขากับตัวข้าไว้กับคนของทางการอย่างนั้นหรือ”

ฮวาเทียนชะงักอีกครั้ง หลังจากนั้นครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น “การทำเช่นนี้อันตรายเกินไป เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าถ้าเขาไม่ตายจะทำอย่างไร”

“อ้อ” ฮวาหยางรับคำอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าพูดจาอ้อมค้อมถึงเพียงนี้ก็เพราะต้องการจะบอกข้าว่าฮวาคั่วตายแล้วช่างดีจริงๆ?”

“…” ฮวาเทียนรู้สึกว่าวันนี้คงคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว นางจึงหยุดพูดเรื่องของฮวาคั่วแล้วพูดสั้นๆ แต่ได้ใจความว่า “ทางสำนักต้องการให้เจ้าถอนตัวจากงานนี้”

“อะไรนะ” เวลานี้ฮวาหยางจึงเริ่มมีอารมณ์ เสียงที่ถามก็สูงขึ้นเล็กน้อย “งานของข้าไม่เคยยุติกลางคัน”

“ไม่ใช่ยุติ” ฮวาเทียนหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเรียบว่า “จะมีคนมาทำแทนเจ้า”

ไม่เหนือความคาดหมายของฮวาเทียน ดวงตาสีเหลืองอำพันคู่นั้นสั่นไหวภายใต้แสงเทียน แสงที่ริบหรี่หายไปเผยให้เห็นความดุร้ายของนักล่าเล็กน้อย

รู้จักกันมาสิบกว่าปี ฮวาเทียนย่อมรู้ถึงความเจ็บปวดของคนที่อยู่ตรงหน้า

ฮวาหยางมีความมุ่งมั่น มีสมาธิ เป็นอิสระ เย็นชา เชี่ยวชาญในการปลอมตัว และมีวิทยายุทธ์สูงส่ง เกิดมาเพื่อเป็นนักฆ่าที่ไร้ที่ติคนหนึ่ง แต่เช่นเดียวกับอัจฉริยะคนอื่นๆ ขณะเดียวกันนางก็หลงตัวเอง เย่อหยิ่ง และไม่ยอมร่วมมือกับผู้อื่น ความอยากเอาชนะที่แรงกล้าผลักดันให้นางไม่ยอมให้ความสามารถของตนเองได้รับความกังขาแต่อย่างใด

เป็นจริงดังคาด ฮวาหยางเดินเข้ามาใกล้เตียงหลัวฮั่น ก้มตัวลงไปหาฮวาเทียนเล็กน้อยแล้วพูดเย้ยหยัน “ไม่มีใครสามารถแย่งสิ่งของไปจากมือของข้าได้”

ความหนาวเย็นที่ปะทะใบหน้าทำให้ฮวาเทียนอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าเอนตัวไปด้านหลัง “นี่คือเจตนาของสำนัก”

“อ้อ…” คนที่เต็มไปด้วยความดุร้ายเมื่อครู่ พริบตาเดียวก็เปลี่ยนมามีสีหน้าลำบากใจ…คิ้วเรียวยาวขมวดเล็กน้อย เห็นแล้วชวนให้รู้สึกเอ็นดู

ฮวาหยางเบี่ยงตัวไปหยิบม้วนภาพที่ห่อด้วยผ้าขึ้นมาจากใต้เตียงหลัวฮั่นแล้วพูดประจบเอาใจว่า “นี่คือ ‘ภาพวัดในภูเขาหิมะ’ ของฟั่นควนที่มีราคาสูง ข้าได้มาจากหยางโจวเมื่อครั้งก่อน หากศิษย์พี่ชอบ ก็ถือว่าศิษย์น้องมอบให้ศิษย์พี่แล้วกัน”

ฮวาหยางไม่พูดไม่จา อาศัยแสงเทียนคลี่ม้วนภาพบนเก้าอี้สี่เหลี่ยม

ครั้งก่อน…มีราคาสูง…ฮวาเทียนจับประเด็นสำคัญได้อย่างรวดเร็ว

เนื่องจากงานของฮวาหยางครั้งก่อนคือการลอบสังหารเศรษฐีที่มั่งคั่งที่สุดในหยางโจว ตามที่ทางการรายงานว่าหลังจากที่เหยื่อเสียชีวิตได้มีคนจุดไฟเผาห้องเก็บสมบัติของเขา และสมบัติล้ำค่าจำนวนนับไม่ถ้วนก็กลายเป็นเถ้าถ่าน

ทว่าพวกเขาค้นพบตะปูทองคำในซากปรักหักพัง…

ฮวาเทียนรู้สึกปวดศีรษะกับสตรีที่พูดจาเลื่อนลอยคนนี้ขึ้นมาทันที จึงปัดมือของอีกฝ่ายออกแล้วเอ่ยว่า “ไม่มีประโยชน์”

‘หมับ!’ นางถูกฮวาหยางพลิกมือมาจับข้อมือไว้

ภายใต้แสงเทียนสว่างไสวสตรีที่อยู่ตรงหน้าแววตาเป็นประกาย แต่เมื่อมองลึกลงไปกลับรู้สึกมืดมนอย่างอธิบายไม่ถูก ราวกับสันดอนที่มีกระแสน้ำไหลเชี่ยว

ฮวาเทียนเข้าใจขึ้นมาทันทีว่าศิษย์น้องของนางกำลังจะทำอะไร นางจึงมีท่าทีตอบสนองทันใด นิ้วชี้มือขวาวางอยู่ที่ข้างเอว กระบี่ส่องแสงน่าพรั่นพรึงสอดอยู่ระหว่างสองนิ้ว มุ่งไปยังหน้าผากของฮวาหยางแล้วกวัดแกว่งไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

ฮวาหยางเอนตัวไปด้านหลังอย่างว่องไว สายลมเย็นพัดผ่านหน้าผาก เส้นผมสีดำช่อหนึ่งร่วงหล่นลงสู่พื้น

การกวัดแกว่งครั้งนี้รวดเร็วและแม่นยำ ฮวาหยางมุมปากยกโค้ง แววตาเปล่งประกายราวกับเด็กที่ได้ค้นพบสิ่งที่น่าสนใจ

ฮวาเทียนได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะ

แสงเทียนในห้องส่ายไหว เสียงลมพัดมาอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวว่องไวจนฮวาเทียนมองเห็นไม่ชัดเจน ทำได้เพียงหลบไปด้านข้างตามสัญชาตญาณ เสียงดังกังวานแว่วผ่านมา หางตาของนางมองเห็นมุมหนึ่งของเตียงหลัวฮั่นที่ตัวเองนั่งอยู่เมื่อครู่ถูกพลิกคว่ำอย่างแรงและแม่นยำ!

หญิงบ้าคนนี้!

เป็นศิษย์ร่วมสำนัก พบหน้ากันควรจะต้องเหลือทางหนีทีไล่ไว้บ้าง เดิมทีฮวาเทียนไม่อยากลงมือ แต่กลับรู้สึกโกรธอย่างยิ่งจากการโจมตีอย่างกะทันหันของฮวาหยาง อย่างไรก็ตามยังไม่ทันที่นางจะตอบโต้อีกครั้งก็มีเสียงลมจากฝ่ามือซัดมาอย่างรวดเร็ว นางจึงไม่ไว้หน้าอีกต่อไป พุ่งคมกระบี่สีขาวยาวสองชุ่น* ในมือไปข้างหน้า

ทั้งสองต่างเป็นยอดฝีมือ ย่อมยากที่จะตัดสินแพ้ชนะได้ในระยะเวลาสั้นๆ แสงในห้องสลัวราง เปลวเทียนวูบไหวไปมาราวปะทะกับลมแรง ระหว่างที่ปะทะกันมีแต่เสียงหมัด ลม และกระบี่

‘เอี๊ยด’

มุมหนึ่งของเตียงหลัวฮั่นขูดกับพื้นไม้ลากเป็นทางลึก ขาของฮวาหยางอ่อนแรง สูญเสียจุดศูนย์ถ่วงจึงค่อยๆ หงายหลังล้มลงไปนั่ง

กระบี่ในมือของฮวาเทียนกลับไม่หยุด ยังคงพุ่งเข้าใส่ไหล่ของนาง!

‘เช้ง’

แสงสีขาวบดบังสายตาของฮวาเทียนในทันใด ห่างจากปลายนิ้วและปลายกระบี่ไม่ถึงครึ่งชุ่น นางเห็น ‘ภาพวัดในภูเขาหิมะ’ เมื่อครู่นี้แล้ว

ด้วยการพลิกตัวอย่างกะทันหัน กระบี่ถูกรวบไว้ สิ่งที่ตามมากลับเป็นเท้าที่หมดแรงและความเจ็บปวดที่ต้นคอ

ฮวาเทียนล้มลงเกิดเสียงดังเบาๆ

ด้านฮวาหยางค่อยๆ สะบัดมือที่เจ็บเล็กน้อย ประคองหัวไหล่ที่เกือบจะถูกตัดขาด

หากไม่ใช่เพราะวันนี้นางสวมเสื้อคลุมนอนและไม่มีอาวุธ นางคิดว่าถ้าต้องการเอาชนะฮวาเทียนคงไม่ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้ แต่นางรู้ว่าศิษย์พี่ของตัวเองมีจุดอ่อนอยู่สองประการ

ประการที่หนึ่งคือชอบสิ่งงดงาม ไม่ว่าจะเป็นภาพเขียนพู่กัน ภาพวาด พิณ หรือหมากล้อมล้วนเป็นสิ่งที่ฮวาเทียนรักและสามารถพลีชีพเพื่อปกป้องสิ่งเหล่านั้น

ส่วนประการที่สอง…

นางเดินไปยังข้างกายศิษย์พี่ของตัวเอง โน้มตัวไปหยิบจดหมายที่ประทับภาพสัญลักษณ์ดอกไม้ในถุงผ้าติดตัวของอีกฝ่ายแล้วสะบัดออก ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที

จุๆ ศิษย์พี่ยังคงชอบนำงานติดตัวไว้เสมอ

บทที่ 4 ต้นถง

“ใต้เท้า!”

นอกอำเภอเจียงห่างจากเมืองจินหลิงห้าสิบหลี่ รถม้าถูกองครักษ์ที่มารายงานข่าวเรียกให้จอด ล้อรถบดกรวดบนถนนโยกเยกไปมา แสงที่ลอดเข้ามาอย่างกะทันหันทำให้กู้ซิ่งจือตื่น

ธุระของฉินเจาเขาไม่อยากละเลย วันนั้นเมื่อออกมาจากพระตำหนักฉินเจิ้ง หลังมอบหมายงานของสำนักราชเลขาธิการแล้วเขาก็ออกเดินทางโดยไม่หยุดพัก

ขมับเต้นตุบๆ เขาสงบสติอารมณ์ครู่หนึ่งจึงเอ่ยปากถาม “มีอะไร”

คนข้างนอกเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยท่าทางนอบน้อมว่า “คนที่ใต้เท้าส่งข้าน้อยไปตามหาที่อำเภอเจียงก่อนหน้านี้…มีเบาะแสแล้วขอรับ”

กู้ซิ่งจือได้ยินดังนั้นก็โน้มตัวไปเปิดม่านรถ เห็นสีหน้าเคร่งเครียดขององครักษ์

“ครอบครัวตามที่อยู่นั้นมีลูกสาวคนหนึ่งจริงๆ” องครักษ์กุมมือ ก้มหน้าไม่กล้ามองเขา “แต่ว่า…หลายวันก่อนครอบครัวนั้นพบโจรภูเขา สองสามีภรรยาถูกฆ่าตาย ลูกสาวของพวกเขาไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด อาจจะถูกโจรภูเขาลักพาตัวไปขอรับ…”

บรรยากาศนิ่งงันไปทันที ครู่ต่อมากู้ซิ่งจือจึงสั่งคนนำแส้ม้ามา

เสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนปลิวไสว เขาเหยียบขึ้นไปบนโกลนอย่างคล่องแคล่ว หนีบขาทั้งสองข้าง ฟาดแส้ในมือจนเกิดเสียงดังลั่นแล้วเอ่ยขึ้น

“ตามข้าไปสอบถามที่ว่าการอำเภอเจียง”

 

คนทั้งกลุ่มเร่งเดินทาง ในที่สุดก็มาถึงอำเภอเจียงก่อนพระอาทิตย์ตกดิน หลังจากเข้าประตูเมืองแล้วก็เดินทางไปตามถนนสายหลัก ไม่นานก็มาถึงหน้าที่ว่าการอำเภอ

เดิมทีควรจะเป็นเวลาเลิกงานของที่ว่าการอำเภอ แต่เบื้องหน้ากลับเป็นภาพผู้คนมากมายล้อมสถานที่นั้นไว้แน่น ต่างยืดคอมองไปรอบๆ และกระซิบกระซาบกันเป็นระยะ

ความคิดทั้งหมดของกู้ซิ่งจือจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ฉินเจาสั่งเสียไว้ จึงไม่มีเวลาสนใจคนที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่หน้าประตู เขาส่งแส้ให้คนติดตามรับใช้ จากนั้นก็ขยิบตาให้องครักษ์

หลังจากนั้นครู่หนึ่งประตูที่ว่าการอำเภอก็เปิดออกทั้งหมด ขุนนางสองคนวิ่งออกมา แยกฝูงชนที่กำลังมุงดูออกจากกัน มือทั้งสองข้างของนายอำเภอที่สวมชุดขุนนางสีเขียวยกชายเสื้อคลุมขึ้น วิ่งเหยาะๆ ออกมาพร้อมด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่เคยคิดเลยว่าการเป็นขุนนางเล็กๆ ผู้ต่ำต้อยในดินแดนที่แห้งแล้งกันดารเช่นอำเภอเจียงนี้จะทำให้เขาได้พบกับขุนนางผู้ใกล้ชิดฮ่องเต้…ใต้เท้ากู้ รองราชเลขาธิการผู้มีชื่อเสียงไปทั่วหล้า

นายอำเภอถูพยายามคุกเข่าลงด้วยตัวสั่นเทา แต่กลับถูกกู้ซิ่งจือรั้งแขนไว้

“ได้ยินมาว่าในอำเภอมีโจรภูเขา?” น้ำเสียงที่เขาถามราบเรียบเหมือนอย่างที่เป็นมา

เรื่องเร่งด่วนกู้ซิ่งจือไม่ต้องการพูดจาเป็นทางการกับนายอำเภอถู ดังนั้นเมื่อพูดจบจึงไม่ได้รอให้อีกฝ่ายตอบ นำคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้าไปในที่ว่าการอำเภอทันที

นายอำเภอถูที่อยู่ด้านหลังตกใจและตื่นตระหนกยิ่งขึ้น เขาปาดเหงื่อที่ขมับ ลุกลี้ลุกลนวิ่งตามไป นำทางกู้ซิ่งจือพร้อมกับอธิบาย

“มีเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง…แต่โชคดีที่ข้าน้อยได้ส่งคนไปค้นหาที่ซ่อนของพวกโจรแล้ว เมื่อคืนกำจัดพวกมันได้แล้วขอรับ”

ฝีเท้าของกู้ซิ่งจือชะงัก หันมามองนายอำเภอ สีหน้ายังคงเรียบนิ่ง

นายอำเภอถูกลืนน้ำลายอย่างตื่นเต้นแล้วรีบพูดว่า “โจรกลุ่มนี้มีคนไม่มาก ตอนที่กองกำลังทหารไปถึงได้พบศพของบุรุษสามคน จากคำบอกเล่าของเหยื่อมีโจรทั้งหมดสี่คน นอกจากผู้ตายแล้วยังมีอีกหนึ่งคนไม่รู้อยู่ที่ใด ข้าน้อยสงสัยว่าเป็นเพราะพวกโจรแบ่งเงินกันไม่ลงตัวจึงทะเลาะกันเอง โจรที่หายตัวไปฆ่าคนแล้วก็แอบเอาเงินไปก่อนจะหลบ…”

“ช่วยคนออกมาแล้วหรือยัง”

“แน่นอน! แน่นอน!” นายอำเภอถูตอบแล้วหันกลับไปเพื่อส่งสัญญาณให้เสมียนนำสมุดรายชื่อมา

“สตรีที่ช่วยออกมาได้จดบันทึกไว้ในนี้หมดแล้ว และมีครอบครัวมารับไปมากกว่าครึ่งแล้วขอรับ” นายอำเภอถูเปิดสมุดรายชื่อแล้วส่งให้กู้ซิ่งจือดู

เขารีบกวาดตามองตัวอักษรเสี่ยวข่าย ตรงหน้าบรรทัดแล้วบรรทัดเล่า จนกระทั่งสมุดรายชื่อถูกพลิกไปถึงหน้าสุดท้าย กู้ซิ่งจือก็ไม่พบคนที่ตนเองกำลังตามหา

“อยู่ในนี้ทั้งหมดแล้วหรือ” เขาถาม ในน้ำเสียงนั้นรู้สึกได้ถึงความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด

“เรียนใต้เท้า อยู่…อยู่ในนี้ทั้งหมดแล้วขอรับ…”

ใบหน้าที่สดใสบึ้งตึงลง ในฐานะขุนนางผู้ใกล้ชิดฮ่องเต้และยังควบตำแหน่งฝ่ายตรวจการที่ดูแลกล่าวโทษเหล่าขุนนาง แม้กู้ซิ่งจือจะพยายามควบคุมอารมณ์แล้ว แต่ท่าทีเคร่งขรึมนั้นก็ยังทำให้นายอำเภอถูใจเต้นแรง

ทุกคนในที่นั้นไม่มีใครไม่กลั้นหายใจ ไม่กล้าพูดจา และนิ่งเงียบไปทันที

เสมียนที่ยืนอยู่ข้างๆ ดูเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงก้าวไปข้างหน้าสองก้าวแล้วกระซิบเตือนนายอำเภอถูที่ข้างหู

นายอำเภอถูลังเล แต่ในที่สุดก็พูดเสียงเบาว่า “ยังมีอีกคนหนึ่ง เมื่อครู่ข้าน้อยลืมไปขอรับ”

สายตาของกู้ซิ่งจือเหลือบมาและรออยู่อย่างเงียบๆ

นายอำเภอถูกระแอมเบาๆ สองครั้งแล้วกล่าวว่า “ในจำนวนสตรีที่ช่วยไว้ มีอยู่คนหนึ่งไม่ยอมลงชื่อในสมุดรายชื่อขอรับ ดูเหมือนจะตระหนกเกินไป ใครพูดกับนางนางก็ไม่สนใจทั้งนั้น”

“นางยังอยู่ในจวนหรือไม่” กู้ซิ่งจือถาม

นายอำเภอถูพยักหน้า “ในจวนข้าน้อยมีคนไม่มาก เมื่อวานงานยุ่งมากจึงได้ส่งฮูหยินของข้าน้อยไปดูแล ตอนนี้นางยังอยู่ที่สวนหลังบ้าน” พูดจบเขาก็ยื่นมือออก เดินนำกู้ซิ่งจือไปที่สวนหลังบ้าน

 

เดือนสองในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงเวลาที่หิมะบนยอดเขาในเมืองจินหลิงละลาย ความหนาวเย็นในอากาศถูกแสงแดดขับออกไป ทิวทัศน์ของฤดูใบไม้ผลิในสวนเผยความงามอยู่ท่ามกลางแสงหรุบหรู่

เมื่อเดินอ้อมมุมหนึ่งของทางเดินไปกู้ซิ่งจือก็เห็นร่างคนที่ขดตัวอยู่ใต้ต้นถงจากระยะไกล

ชุดลำลองบางๆ สีอ่อนถูกรวบไว้บนตัว และไม่รู้ว่าเพราะลมกำลังพัดหรือนางกำลังตัวสั่น กู้ซิ่งจือรู้สึกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเหมือนควันจางๆ ที่สายลมสามารถพัดนางกระจัดกระจายไปได้

ข้างๆ มีสตรีสูงวัยนั่งอยู่ มือถือชามข้าวต้ม กำลังถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง

“ไม่ยอมกินหรือ” เขาเดินเข้าไป

สตรีสูงวัยผู้นั้นเห็นกู้ซิ่งจือก็สะดุ้ง

นายอำเภอถูที่อยู่ข้างๆ รีบเตือนทันทีว่า “ใต้เท้ากู้ถามเจ้าน่ะ”

เวลานี้สตรีสูงวัยจึงรู้สึกตัว ยื่นชามข้าวต้มในมือไปตรงหน้ากู้ซิ่งจือ พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ไม่ใช่แค่ไม่กินข้าวเท่านั้น แต่ยังทรมานตัวเองตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ แม้แต่นอนก็ไม่ได้นอน บ่าวรับใช้ในจวนเฝ้าอยู่ทั้งคืนจนทนไม่ไหวจริงๆ จึงเปลี่ยนข้าน้อยมาเจ้าค่ะ”

กู้ซิ่งจือส่งเสียง “อืม” ละสายตาจากข้าวต้มไปมองร่างที่ขดตัวอยู่

“ลำบากฮูหยินแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ตรงนี้ข้าจะดูแลเอง”

เสียงฝีเท้าแผ่วเบาเงียบไปแล้ว ภายในสวนก็เงียบสงบลง แสงแดดอบอุ่น เงาของต้นไม้หรุบหรู่ บริเวณโดยรอบมีเสียงนกร้องเป็นครั้งคราว บรรยากาศที่ตึงเครียดก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

เมื่อกู้ซิ่งจือเดินไปถึงตรงหน้าก็เห็นนางถอยไปด้านหลังเหมือนกำลังกลัว เขาจึงนั่งยองๆ ลงตรงหน้านาง

รูปร่างของกู้ซิ่งจือสูงกว่านางมาก แม้ว่าจะนั่งยองๆ เช่นนี้ สายตาก็อยู่ที่ศีรษะของนางเท่านั้น ประกอบกับนางก้มศีรษะ จอนผมสีดำสองข้างปรกลงมา ปิดบังใบหน้าที่เดิมทีก็ไม่ใหญ่อยู่แล้วไปกว่าครึ่งหนึ่ง

แสงอาทิตย์ตกกระทบใบหน้านาง ทำให้ขนตาหนาดุจพัดคล้ายผีเสื้อสองตัวกำลังกระพือปีก เนื้อตัวสั่นเทาราวกับเมื่อครู่เพิ่งประสบกับพายุฝน

กู้ซิ่งจือไม่ใช่คนใจง่าย แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ในใจก็เกิดความรู้สึกสงสารอย่างไม่สามารถควบคุมได้ จึงพยายามลดเสียงลงเอ่ยขึ้น

“ที่นี่คือที่ว่าการอำเภอ ตอนนี้เจ้าปลอดภัยแล้ว”

แต่สิ่งที่ตอบเขาคือความเงียบที่ยาวนาน

ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่ได้ยินที่เขาพูด แขนเรียวเล็กเกาะต้นถงที่อยู่ข้างๆ ไว้แน่น นิ้วทั้งห้าที่จิกลงไปบนลำต้นนั้นเป็นสีขาวซีด

กู้ซิ่งจือไม่โกรธ เขาขยับเข้าไปใกล้อีกหลายชุ่น หยั่งเชิงต่อไปว่า “เจ้ารู้จักฉินเจาหรือไม่ ข้าเป็นสหายของเขา”

คนที่อยู่ตรงข้ามยังคงเงียบ

เขาอดทนรออยู่ครู่หนึ่ง หยิบถุงผ้าที่ฉินเจาทิ้งไว้ให้เขา เปิดออกแล้วหยิบแม่กุญแจอายุยืนที่ทำจากเงินออกมา

ฉินเจาเคยบอกว่าแม่กุญแจนี้บิดามารดาของเขาทำขึ้นเป็นพิเศษตั้งแต่ตอนที่เขายังเด็ก ตัวหนึ่งชื่อว่าอายุยืน อีกตัวหนึ่งชื่อว่าร้อยปี พี่ชายและน้องสาวมีคนละตัว ตอนที่น้องสาวพลัดหลงไปได้นำติดตัวไปด้วย ในปีนั้นฉินเจาอายุเจ็ดขวบ นางอายุสองขวบ

แม้เวลาจะผ่านไปนานแล้ว แม่กุญแจเงินอาจจะไม่ได้อยู่ติดตัวน้องสาวตัวน้อยที่พลัดหลงไปตลอดเวลา แต่กู้ซิ่งจือรู้สึกว่าเด็กอายุสองขวบอาจจะจำสิ่งสำคัญบางสิ่งได้ อย่างเช่นแม่กุญแจเงินที่สามารถช่วยให้นางตามหาคนในครอบครัวของนางได้

แต่คนที่อยู่ตรงข้ามมองแม่กุญแจเงินในมือของเขาแล้วก็ยังคงก้มหน้าและนิ่งเงียบ

เมื่อกู้ซิ่งจือเห็นเช่นนั้นก็รู้ว่าตนเองจะใจร้อนเกินไปไม่ได้ จึงคิดจะหยุดชั่วคราวก่อน ยังมีเวลาพูดคุยอีกนาน

แน่นอนว่าตอนที่เขาลุกขึ้นจะจากไป ของเหลวอุ่นๆ หยดหนึ่งกลับตกลงบนฝ่ามือที่เขาถือแม่กุญแจเงินไว้

หนึ่งหยด สองหยด สามหยด…

เวลานี้กู้ซิ่งจือจึงพบว่าขนตาของสตรีที่อยู่ตรงหน้าเปียกไปหมดแล้ว เป็นประกายชุ่มชื้น ปีกจมูกเล็กๆ ที่ขยับเล็กน้อยกลายเป็นสีแดง และมุมปากของนางที่เดิมทีก็เม้มแน่นอยู่แล้ว เวลานี้ยิ่งถูกยืดเป็นเส้นตรง น้ำตารวมตัวกันอยู่ที่ปลายคางแล้วหยดลงมาเหมือนด้ายขาด

นางร้องไห้

กู้ซิ่งจือตกใจ ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือกังวลใจอยู่ครู่หนึ่ง

“เจ้าจำมันได้ใช่หรือไม่” เขาถามแล้วยื่นแม่กุญแจเงินเข้าไปใกล้นางอีกเล็กน้อย

ครั้งนี้คนที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้หลบหลีก ทว่านางยังคงไม่ตอบสนองต่อคำพูดของกู้ซิ่งจือ เอาแต่หลั่งน้ำตาพรั่งพรูอย่างเงียบๆ

ครู่หนึ่งนางจึงเงยหน้าขึ้นช้าๆ และสบตากับกู้ซิ่งจือท่ามกลางแสงสลัวยามสายัณห์

ครั้นสบตากันกู้ซิ่งจือรู้สึกเหมือนจะหยุดหายใจ

ภาพตรงหน้าเขากลายเป็นภาพของดอกไม้และต้นไม้ที่อยู่ด้านหลังนาง และจิตสำนึกของเขาก็เริ่มสับสน

ฉางยวน…’

กู้ฉางยวน…’

คนในฝันปรากฏตัวขึ้นอีกแล้ว

นางมองเขา ประกายไฟในดวงตาปะทุออกมา เผาไหม้หมู่เมฆยามอาทิตย์อัสดง

กู้ซิ่งจือรู้สึกว่าเท้าโซเซจึงรีบยันต้นไม้ข้างตัวไว้ ขณะที่ยกมือขึ้นก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น

มือของเขาถูกคนที่อยู่ตรงหน้าจับไว้

สัมผัสที่นุ่มนวลและละเอียดอ่อนห่อหุ้มเขาไว้ บางทีอาจเป็นเพราะความตื่นเต้น ที่ปลายนิ้วของนางมีเหงื่อผุดขึ้นมาบางๆ ดวงตาที่ยังคงแดงก่ำจ้องมองเขาเขม็งโดยไม่ขยับเขยื้อน

เวลานี้กู้ซิ่งจือจึงได้สติกลับคืนมาและยิ้มขออภัยนาง ทว่านางกลับไม่ยอมปล่อยมือเขา เมื่อเห็นว่าเขาไม่เป็นอะไร ดวงตาคู่นั้นก็กลับมาสงบนิ่งเช่นเดิม จากนั้นจึงกางฝ่ามือของเขาออกและเริ่มเขียนตัวอักษรลงไป

จนถึงตอนนี้กู้ซิ่งจือจึงเข้าใจว่าเหตุใดเมื่อครู่นางถึงไม่สนใจเขา

ที่แท้นางก็เป็นใบ้ แต่เขาไม่เคยได้ยินฉินเจาพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน

ฝ่ามือรู้สึกชา ความคิดถูกขัดจังหวะด้วยเหตุนี้

หญิงผู้นี้น่าจะอายุประมาณสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี นางหลุบตา ประคองมือเขาอย่างระมัดระวัง ปลายนิ้วเรียวงามลากไปบนฝ่ามือของเขาทีละขีดๆ อย่างตั้งใจและจริงจัง

มือของนางนุ่มมาก ฝ่ามืออุ่น ปลายนิ้วมีเหงื่อออกและเย็นเล็กน้อย ทั้งยังสั่นนิดหน่อยเมื่อวาดผ่านฝ่ามือของเขาราวกับขนนกสีอ่อน

เขาไม่เคยเห็นนิ้วมือเช่นนี้มาก่อน…ไม่เหมือนนิ้วมือของสตรีทั่วไปที่ไว้เล็บยาว นิ้วมือนางตัดแต่งอย่างเรียบร้อย ไม่ทาเล็บ สะอาดสบายตา คงสีชมพูและสีขาวที่เล็บพึงมีไว้ ชวนให้นึกถึงกลีบดอกท้อเดือนสามในฤดูใบไม้ผลิ

เมื่อเขียนตัวอักษรขีดสุดท้ายเสร็จสิ้น กู้ซิ่งจือก็เห็นนางเงยหน้าขึ้น คิ้วบางยกโค้งเล็กน้อย ดวงตาสีเหลืองอำพันของนางเป็นประกาย มองเขาพลางพยายามทำรูปปาก

‘เหยาเหย่า’

นางบอกว่านางชื่อเหยาเหย่า

นั่นคือชื่อเล่นของน้องสาวร่วมอุทรของฉินเจา

ความเศร้าที่สั่งสมอยู่ภายในใจหลายวันมานี้ดูเหมือนจะถูกใบหน้ายิ้มแย้มของนางพัดจนกระจัดกระจาย เผยให้เห็นแสงจากท้องฟ้าที่ด้านหลัง

กู้ซิ่งจือกระตุกมุมปาก บอกนางว่า “ข้าแซ่กู้ ชื่อซิ่งจือ และฉินเจาพี่ชายของเจ้าฝากเจ้าไว้กับข้า จากนี้ไปมีข้าอยู่ เจ้าไม่ต้องกลัว”

นางพยักหน้าอย่างเชื่อฟังและดึงแขนเสื้อของเขาเบาๆ

กู้ซิ่งจือชะงักไปและไม่ได้สลัดออก เพียงมองนางด้วยแววตาอ่อนโยน

แสงสุดท้ายของยามสายัณห์ในฤดูใบไม้ผลิส่องผ่านต้นถงที่อยู่เหนือศีรษะคนทั้งสอง สาดแสงสีทองจางๆ ลงบนร่างของบุรุษตรงหน้า สะท้อนให้เห็นสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วงในดวงตาของเขา

คุณชายรูปงาม อบอุ่นราวกับหยก แม้แต่แสงอาทิตย์ก็ยังถูกเขาทำให้อ่อนโยนกว่าเดิม

จู่ๆ รอบตัวก็เงียบสงบมาก

เสียงนกร้อง ภาษาดอกไม้ และเสียงลม

ฮวาหยางยกยิ้ม

กู้ซิ่งจือ ข้ารอเจ้ามานานแล้ว

 

ดตามตอนต่อไปวันที่ 20 .. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: