บทที่ 5 ห้องอ่านหนังสือ
ภายในห้องที่แสงเทียนส่องสว่าง สาวใช้สูงวัยเบี่ยงตัวนั่งลงบนเก้าอี้เตี้ยหน้าเตียง ยื่นยาน้ำสีดำช้อนหนึ่งในมือไปที่ริมฝีปากของฮวาหยาง
“มา ดื่มอีกคำหนึ่ง”
ฮวาหยางทำหน้าย่น กัดริมฝีปากแน่น
นางก็เพิ่งรู้หลังจากไปที่รังโจรภูเขาแล้วว่าสตรีที่ชื่อเหยาเหย่านั้นเป็นใบ้ และที่ยุ่งยากที่สุดก็คือเรื่องการแกล้งทำเป็นใบ้
พวกโจรภูเขาเหล่านั้นทำการค้าสตรี แม้นางจะไม่ได้ทำอาชีพนี้ แต่ก็รู้ว่าสตรีที่ตกอยู่ในมือของผู้ค้ามนุษย์เหล่านี้บางคนถูกลักพาตัวมา บางคนถูกขายมา แล้วก็ถูกหมุนเวียนขืนใจและขายต่อไปอีกหลายทอด หากโชคร้ายบังเอิญถูกขืนใจจนตาย จุดจบก็คือจะถูกโยนศพทิ้งกลางป่า
อย่างเช่นสตรีใบ้ที่ชื่อเหยาเหย่าคนนี้
แม้หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายคือการฆ่าผู้คนปิดปากแล้วสวมรอยเข้าแทนที่ แต่พวกโจรเหล่านั้นไม่ได้ให้โอกาสนางเลย ตามที่หนึ่งในคนเหล่านั้นบอกเล่า ขณะที่เหยาเหย่าหายใจรวยรินได้ถูกพวกเขาโยนลงหน้าผา
ฆ่าคนต้องเห็นศพ นี่เป็นหลักการทำงานของนางในการเป็นนักฆ่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ด้วยความกังวลใจข้อนี้นางไม่สามารถยืนยันความเป็นความตายของเหยาเหย่าด้วยตนเองได้ สำหรับฮวาหยางที่ทำงานละเอียดรอบคอบมาโดยตลอด เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกหดหู่
ดังนั้นโดยไม่ทันระวังนางได้ฆ่าคนที่หนีไปสามคน สุดท้ายยังผลักคนที่เป็นหัวหน้าตกหน้าผาไปด้วย
เมื่อหวนนึกถึงศพหลายร่างที่นอนระเกะระกะอยู่ในลานบ้าน ทำให้ฮวาหยางต้องไตร่ตรองอยู่อึดใจหนึ่งอย่างพบเห็นได้ไม่บ่อยนัก รู้สึกว่าเรื่องนี้ตนลงมือด้วยความหุนหันพลันแล่นเล็กน้อย
คิดว่าโชคร้ายมาหลายปี ทุกงานในช่วงไม่กี่ปีมานี้ล้วนทำให้นางกังวลไม่พอ เวลานี้ยังต้องถูกสตรีสูงวัยผู้นี้กรอกยาอยู่ที่นี่อีก
คิดแล้วก็รู้สึกเสียใจ หากรู้แต่แรกว่างานแย่ๆ งานนี้…
ไม่ได้! หากรู้แต่แรกก็ยังต้องชิงมันมา
นางทนไม่ได้กับท่าทางที่ฮวาเทียนชี้นิ้วต่อหน้านาง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ฮวาหยางก็อ้าปากอย่างเดือดดาล กลืนยาน้ำลงไป
ยาน้ำที่เหนียวข้นผสมกับความขมขื่น ทันทีที่สัมผัสถูกลิ้นก็ทำให้นางต้องขมวดคิ้ว รู้สึกพะอืดพะอมจนเกือบจะรักษาอาหารเย็นวันนี้ไว้ไม่ได้
ดื่มยากจริงๆ…
เมื่อเห็นว่าสาวใช้สูงวัยจะป้อนอีก นางทำได้เพียงหันหน้าหนีอย่างหมดหนทาง และการหลบครั้งนี้ทำให้ต้องสบตากับกู้ซิ่งจือที่ยืนอยู่ตรงประตูโดยบังเอิญ
ดูเหมือนเขาจะเพิ่งกลับมาจากที่ว่าการอำเภอ ยังคงสวมเสื้อคลุมยาวปักลายเมฆที่เขาสวมเมื่อตอนบ่าย เกี้ยวหยกขาวประดุจแสงจันทร์อันอบอุ่น แม้ว่ามุมเสื้อคลุมจะเปื้อนโคลนเนื่องจากเร่งเดินทาง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสง่างามของเขาลดลงแม้แต่น้อย ชวนให้นึกถึงแสงจันทร์ส่องสว่างท่ามกลางป่าสนที่เงียบสงบและต้นไผ่โดดเดี่ยวในป่ากว้าง
หากจะพูดถึงรูปลักษณ์ภายนอก นอกจากตนเองแล้วฮวาหยางก็ไม่เคยชอบใครเลย แต่ยามนี้เมื่อเห็นกู้ซิ่งจืออีกครั้งภายใต้แสงเทียนเต็มห้องก็อดมีความคิดที่อยากจะมองอีกสักหน่อยไม่ได้
ฮวาหยางรู้สึกตัวว่าตนเองฟุ้งซ่านจึงรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นน่าสงสารทันที ดวงตาที่สดใสมองตากู้ซิ่งจือ เหมือนลูกแมวที่ตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก
ในที่สุดบุรุษที่เป็นผู้ชมอยู่ด้านข้างมาเป็นเวลานานก็ยอมรอมชอม
เขาเดินเข้ามาวางของห่อหนึ่งลงบนโต๊ะ ยื่นมือไปทางสาวใช้สูงวัยแล้วเอ่ยว่า “ข้าป้อนเอง” พูดจบก็นั่งลงตรงที่นางนั่งก่อนหน้านี้
นิ้วเรียวยาวที่เห็นข้อต่อชัดเจนจับขอบชามกระเบื้องสีขาวเบาๆ นิ้วนั้นราวกับหยกแกะสลัก เล็บสะอาดและเรียบร้อย เนื้อใต้เล็บเป็นสีขาวเล็กน้อย ภายใต้การส่องสะท้อนของแสงเทียนคล้ายมีหมอกเลื่อนไหลจางๆ
“อย่าดื้อ”
หลังการเกลี้ยกล่อมอย่างอ่อนโยนครู่หนึ่ง มือที่งดงามข้างนั้นก็ยื่นมาถึงเบื้องหน้าฮวาหยาง ยาน้ำในช้อนแกว่งไกว ส่งกลิ่นขมออกมา
ฮวาหยางหลบไปด้านหลัง ไม่อยากดื่มอีกต่อไป นางก้มศีรษะลง สีหน้าอึดอัดใจยิ่งขึ้น ครู่หนึ่งก็ทำปากสื่อสารกับกู้ซิ่งจือ
‘ขม…’
บุรุษตรงหน้าชะงักไป
ฮวาหยางรู้สึกภูมิใจ บุรุษนี่นะ มักจะไม่สามารถโหดร้ายกับสาวน้อยที่น่ารักอ่อนหวานได้
แต่กู้ซิ่งจือกลับยกชามยาขึ้นป้อนนางหนึ่งช้อน
“ไม่ขม”
สีหน้าของเขาสงบนิ่ง ไม่เห็นความฝืนใจแม้แต่น้อย สองคำที่เอ่ยออกมานั้นชัดเจนและทรงพลัง ทำให้ฮวาหยางรู้สึกสงสัยในการรับรู้รสชาติของตนเองขึ้นมาทันที
นางเอียงศีรษะ หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็อ้าปากเหมือนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ยาน้ำอีกหนึ่งช้อนไหลลงไปในท้อง รสขมบนลิ้นทำให้นางแทบจะร้องไห้ออกมา
หนุ่มรูปงามผู้นี้ดูแล้วอ่อนโยนไม่มีพิษภัย สีหน้าจริงใจ แต่กลับกล้าหลอกนาง!
หมัดที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มกำแน่น ฮวาหยางจ้องกลับด้วยสีหน้าไม่พอใจ ทำปากกล่าวโทษเขาอย่างเงียบๆ
‘คนหลอกลวง!’
กู้ซิ่งจือตกใจแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ
เขาลุกขึ้นยืนทันทีแล้วหยิบห่อของที่วางไว้บนโต๊ะเมื่อครู่ขึ้นมา เผยให้เห็นห่อผลไม้เชื่อมหนึ่งห่อกับขนมเปี๊ยะหวานหนึ่งชิ้น
ด้วยการเคลื่อนไหวนี้ดวงตาของฮวาหยางก็จ้องมองไปที่ห่อขนมที่เขาถืออยู่ในมือ
“อยากกิน?” กู้ซิ่งจือถาม น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างยิ่ง
อยากกิน! ย่อมต้องอยากกินอยู่แล้ว ตอนนี้ฮวาหยางรู้สึกว่าตนเองไม่เพียงแต่อยากกินขนมเท่านั้น ยังต้องการฆ่าคนอีกด้วย
“ดื่มยาแล้วจะให้เจ้ากิน” สีหน้ากู้ซิ่งจือเคร่งขรึม และยื่นยาชามนั้นไปตรงหน้าฮวาหยางอีกครั้ง
“…” เวลานี้นางเพิ่งพบว่าหนุ่มรูปงามที่อยู่ตรงหน้าซึ่งดูเป็นคนอบอุ่นอ่อนโยน แต่ในใจกลับมีหลักการและความอดกลั้นอย่างยิ่ง
แม้ขณะปฏิบัติหน้าที่แต่ไหนแต่ไรมานางไม่จำเป็นต้องเสียสละร่างกาย แต่เมื่อต้องเผชิญกับใบหน้าเช่นนี้ นางก็มักจะสามารถเกลี้ยกล่อมจนบุรุษยอมทิ้งชุดเกราะและยอมทำตามได้อย่างง่ายดาย
ความต้องการจะเอาชนะปะทุขึ้นมาในใจ นางอยากดูว่าบุรุษผู้นี้จะต้านทานนางได้ถึงเมื่อไร
ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนท่าทางเป็นน้อยอกน้อยใจน่าสงสารเช่นเมื่อครู่ โน้มตัวฟุบลงที่ข้างเตียงแล้วเอื้อมมือไปจับแขนเสื้อของเขา
มือที่เรียวบางสั่นเทา แกว่งไปมา จากนั้นจึงอ้าปากต่อหน้าเขา
ริมฝีปากอ่อนนุ่มซีดเซียวมีเสน่ห์แบบที่ไม่ได้แต้มชาดทาปาก ขณะที่ริมฝีปากขยับเปิดปิด ลิ้นนุ่มสีชมพูขยับไปมา คลุกเคล้าของเหลวในปาก ดึงเป็นสายน้ำเส้นบางๆ บนฟันซี่เล็ก
ชามกระเบื้องในมือแกว่งจนยาน้ำเกือบจะหก
ดูเหมือนกู้ซิ่งจือจะไม่คาดคิดว่านางจะทำท่าทางยั่วยวนเช่นนี้ แต่ดวงตาของคนตรงหน้าสดใสและไม่มีความปรารถนา ราวกับไม่รู้สึกกับการกระทำของตนเองแม้แต่น้อย เขาจึงต้องถอนสายตาอย่างสุภาพ เอนตัวถอยไปด้านหลังเล็กน้อย
แต่มือที่ดึงแขนเสื้อของเขากลับจับแน่นขึ้นอีก
“ใต้เท้ากู้” เสียงของนายอำเภอถูดังขึ้นด้านนอก เรียกสติที่ยังมึนงงของกู้ซิ่งจือกลับคืนมา
เขารีบวางชามยาในมือลงบนโต๊ะ หันหลังกลับแล้วเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรเลย ค่อนข้างลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย
ด้านนอกบ้านนายอำเภอถูมอบบันทึกในมือม้วนหนึ่งให้กับกู้ซิ่งจือแล้วเอ่ยว่า “ตามคำสั่งของใต้เท้า ข้าน้อยได้ส่งคนไปตรวจสอบที่หมู่บ้านสกุลหวังชัดเจนแล้ว ครอบครัวที่ใต้เท้าต้องการตามหาเพิ่งย้ายไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน ในตอนนั้นมีลูกอายุสองขวบเพียงคนเดียว ต่อมาเด็กคนนั้นป่วยเป็นหวัดลมร้อน ตัวร้อนจนหูหนวก ดังนั้นจึงพูดไม่ได้”
กู้ซิ่งจือรับคำเบาๆ แล้วส่งบันทึกในมือคืนให้นายอำเภอถู ในใจรู้สึกสับสนเล็กน้อย
ฉินเจาตายเพราะเขา ก่อนตายยังไม่รู้เลยว่าน้องสาวที่ตนเองตามหาอย่างลำบากยากเย็นกลายเป็นคนใบ้
แต่เขา…มาช้าไปก้าวหนึ่ง ทำให้สตรีที่น่าเวทนาคนนี้ตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกโจรและต้องประสบกับความหวาดกลัวเช่นนี้
นายอำเภอถูเห็นสีหน้าของกู้ซิ่งจือเคร่งเครียด คิดว่าเขาไม่แน่ใจเกี่ยวกับฐานะของสตรีใบ้ผู้นั้นจึงเสนอความคิด
“หากใต้เท้าต้องการ ข้าน้อยสามารถขอให้เพื่อนบ้านมายืนยันได้”
“ไม่ได้” กู้ซิ่งจือตัดบทด้วยน้ำเสียงเย็นชา “สตรีผู้นั้นถูกกลุ่มโจรภูเขาลักพาตัวไป แม้จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็เป็นการเสียชื่อเสียงอย่างหนึ่ง ตอนนี้นางเพิ่งอาการดีขึ้น หากให้เพื่อนบ้านรู้เรื่องนี้อีก เกรงว่านางจะทำอะไรที่เป็นการทำร้ายตัวเอง”
นายอำเภอถูกำลังยุ่งอยู่กับการพยายามทำให้เรื่องราวราบรื่นจึงเอ่ยว่า “ขอรับ ใต้เท้าคิดได้รอบคอบอย่างยิ่ง”
กู้ซิ่งจือเงียบไปครู่หนึ่ง สายตาเหลือบมองแสงเทียนที่ส่ายไหวในห้องด้านในแล้วพูดเบาๆ “ข้ายืนยันฐานะของนางแล้ว นางคือคนที่ข้าต้องการตามหา พรุ่งนี้ข้าจะพานางกลับไปที่เมืองจินหลิง ทางนี้ต้องขอให้ใต้เท้าดูแลทุกอย่างให้ดีด้วย”
ก่อนรุ่งสางวันรุ่งขึ้นฮวาหยางถูกคนของที่ว่าการอำเภอยัดเข้าไปในรถม้าอย่างเร่งรีบ
ล้อรถดังกุกกักโดยไม่ได้หยุดพักแม้สักช่วงเวลา คนทั้งกลุ่มกลับถึงเมืองจินหลิงในบ่ายวันนั้น
เนื่องจากกู้ซิ่งจือมีงานในราชสำนักรัดตัว เมื่อดูแลเรื่องต่างๆ ในจวนเล็กน้อยเสร็จก็กลับไปยังสำนักราชเลขาธิการ แต่ก่อนออกเดินทางเขาได้สั่งลุงฝูจัดที่พักให้ฮวาหยางไว้เรียบร้อยแล้ว
ก่อนที่จะมาถึงจวนสกุลกู้ฮวาหยางไม่เคยคาดคิดเลยว่าที่พักของรองราชเลขาธิการขั้นสามของราชสำนักจะเรียบง่ายถึงขั้นนี้
จวนหลังใหญ่มากก็จริง แต่คนที่คอยรับใช้ในจวนกลับน้อยจนน่าสงสาร นอกจากลุงฝูที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายกู้ซิ่งจือแล้วก็มีแค่ผู้ช่วยในครัวเพียงสามคนกับบ่าวรับใช้คอยทำความสะอาดเจ็ดคน รวมคนเฝ้าบ้านอีกสองสามคน จวนสกุลกู้ที่กว้างใหญ่มีคนอาศัยอยู่ไม่ถึงยี่สิบคนและเป็นบุรุษทั้งหมด
ฮวาหยางอดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นเพราะเบี้ยหวัดของหนุ่มรูปงามผู้นี้ต่ำเกินไปจึงเลี้ยงดูบ่าวรับใช้และอนุภรรยางามๆ ไม่ไหว
แต่โชคดีที่กู้ซิ่งจือแค่ ‘ยากจน’ เท่านั้น ไม่ได้ตระหนี่กับฮวาหยาง เขาไม่เพียงส่งคนไปซื้อเครื่องเรือนใหม่ แม้แต่เสื้อผ้าและชาดก็มีพร้อมทุกอย่าง แม้เทียบกับของที่นางซื้อให้ตนเองแล้วจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ทว่าเมื่อเปรียบกับความทุกข์ทรมานที่ได้รับตอนอยู่ในรังโจรและที่ว่าการอำเภอหลายวันก่อน สิ่งเหล่านี้ฮวาหยางก็พอใจแล้ว
หลังจากเก็บของเรียบร้อยฮวาหยางก็งีบหลับครู่หนึ่ง การถูกขังอยู่ในห้องนั้นน่าเบื่ออย่างยิ่ง ถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรทำ นางจึงตัดสินใจที่จะทำความรู้จักกู้ซิ่งจือก่อน ฉวยโอกาสตอนที่ในจวนไม่มีคนดูแลลอบเข้าไปในห้องนอนของเขา
ที่พักของทั้งสองคนไม่ห่างกันมากนัก เดินอ้อมระเบียงไปก็เป็นเรือนที่กู้ซิ่งจืออาศัยอยู่เพียงลำพัง
ห้องอ่านหนังสืออยู่ติดกับห้องนอนและห้องอาบน้ำ ต้นเหมยหลายต้นในลานเรือนแตกใบอ่อนแล้ว และยังมีไผ่ลายจุดอีกกอหนึ่งด้วย
ฮวาหยางเดินรอบห้องนอนหนึ่งรอบแล้วยันแขนกระโดดเข้าไปทางหน้าต่างด้านหลังที่เปิดไว้ครึ่งหนึ่ง
ห้องนอนกว้างขวาง แต่มีเพียงขาตั้งอ่างล้างหน้าแกะสลักตัวสูงหนึ่งตัว เตียงแกะสลักลายหมู่เมฆหนึ่งหลัง ตู้เสื้อผ้าหนึ่งหลัง และฉากกั้นปักลายสนท่ามกลางหิมะ แม้แต่เตียงหลัวฮั่นก็ไม่เห็น เมื่อเดินเข้าไปยังได้ยินกระทั่งเสียงสะท้อนของฝีเท้าของตนเอง
ฮวาหยางขมวดคิ้ว เปิดตู้เสื้อผ้า เห็นเสื้อตัวนอกและเสื้อคลุมที่จัดเรียงไว้อย่างเรียบร้อย ผ้าชั้นดีแต่ไม่นับว่าหรูหรา และส่วนใหญ่จะเป็นสีฟ้า สีขาว หรือสีดำ เหมือนนิสัยที่ตรงไปตรงมาของเขา
ห้องอ่านหนังสือของเขามีสภาพที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย
เมื่อเทียบกับห้องนอนที่มองไปก็เห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน ห้องอ่านหนังสือของกู้ซิ่งจือสามารถใช้คำว่าคึกคักมีชีวิตชีวามาบรรยายได้
ชั้นวางหนังสือไม้จันทน์จำนวนมากสูงประมาณสองคนต่อกัน เรียงตั้งแต่ประตูเข้าไปมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ที่ประตูมีบันไดสั้นวางอยู่ ดูท่าทางน่าจะใช้สำหรับหยิบหนังสือ
ที่ท้ายแถวชั้นวางหนังสือมีโต๊ะยาววางอยู่ ปลายโต๊ะด้านหนึ่งมีหนังสือกองไว้ อีกด้านหนึ่งวางพู่กัน น้ำหมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย
ในอากาศมีกลิ่นหมึกฮุยโม่* กลิ่นหนังสือที่กลายเป็นสีเหลือง และกลิ่นไม้อ่อนๆ ล้วนเป็นกลิ่นที่เกิดจากการสัมผัสถูกแสงแดดอย่างเต็มที่แล้วเท่านั้น อบอุ่นและสงบ เหมือนความรู้สึกที่เขามอบให้กับผู้คน
แสงแดดยามบ่ายลอดผ่านเฉียงๆ เข้ามาทางหน้าต่าง ฮวาหยางเดินอย่างไร้จุดหมาย และในที่สุดก็หยุดอยู่ที่หน้าชั้นวางหนังสือแล้วดึงหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง
‘บุคคลสำคัญทางการเมืองในปีรัชศกเจินกวน’
หน้าปกชำรุดเล็กน้อย ดูแล้วน่าจะมีอายุการใช้งานพอสมควร
นางเปิดดูผ่านๆ เห็นแต่ตัวอักษรเสี่ยวข่ายเต็มไปหมดพุ่งใส่หน้าราวกับแมลงวันฝูงใหญ่บินโฉบออกมา หมายจะทำให้นางจมกองแมลงวันเสียอย่างนั้น นางรีบปิดหนังสือแล้วยัดมันกลับเข้าที่
คิ้วงามขมวดแน่นยิ่งขึ้น ฮวาหยางถอยหลังสองก้าว ค่อยๆ เลื่อนสายตาจากด้านซ้ายของชั้นวางหนังสือไปทางด้านขวาอย่างช้าๆ
…สี่ตำราห้าคัมภีร์ ‘สื่อทง’ ‘ฝ่าเหยียน’ ‘ซินจิง’ ‘ฉาจิง’ ‘ฉู่ฉือ’ ‘เยวี่ยฝู่’…กล่าวได้ว่าครอบคลุมเนื้อหาด้านคัมภีร์ ประวัติศาสตร์ แนวความคิดของนักปราชญ์ และบทกวีทั้งหมดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
หนังสือสะสมชุดนี้…นางอดกัดลิ้นไม่ได้ มีมากมายจนเกือบจะเทียบเท่าหนังสือที่สำนักราชบัณฑิตมีแล้ว
มิน่าเล่าเขาดูท่าทางสง่างาม แต่กลับใช้ชีวิตอย่างยากจนข้นแค้น จุๆ ที่แท้เบี้ยหวัดทั้งหมดก็ใช้ไปกับสิ่งนี้นี่เอง
นึกถึงยาชามนั้นที่ถูกบังคับให้ดื่มเมื่อคืนนี้ จู่ๆ นางก็เข้าใจถึงความคร่ำครึและดื้อรั้นของกู้ซิ่งจือทันที…หนังสือมากมายถึงเพียงนี้ล้วนอ่านหมดแล้ว ไม่ทึ่มก็แปลกแล้ว
คิ้วของนางขมวดแน่นยิ่งขึ้น หยิบคัมภีร์ถานจิง* ลงมาจากที่สูงแล้วเปิดออก มองไปก็เห็นคำอธิบายประกอบเป็นแถว
‘ผู้ที่น้อมใจบำเพ็ญธรรมจะมีพลังมากที่สุด ข้าพเจ้าต่อสู้กับใจ พบกับภัยพิบัตินับไม่ถ้วน เวลานี้จึงได้บรรลุเป็นพุทธะแล้ว’
ฮวาหยางตกตะลึง
แม้ว่านางจะไม่เคยเห็นลายมือของกู้ซิ่งจือ แต่เมื่อเห็นคำอธิบายประกอบแถวนี้ นางก็รู้สึกว่ามันต้องเป็นลายมือของเขาตามสัญชาตญาณทันที
เพราะตัวอักษรสิงซู อันสง่างามช่างเหมือนตัวเขาที่นางเห็นใต้ต้นถงวันนั้นอย่างยิ่ง
เพียงแต่ตัวอักษรคำว่า ‘พุทธะ’ นั้น…
ฮวาหยางขยับเข้าไปใกล้อีกนิด พบว่าเส้นเบี่ยงซ้ายนั้นเขียนลงตรงๆ เหมือนกับคนที่พกกระบี่ที่เอว ท่องไปทั่วยุทธภพ
ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ นางก็หัวเราะออกมา ความคิดแก้แค้นที่ถูกเขาบังคับให้ดื่มยาก็เกิดขึ้นมาทันที
นางจึงหยิบพู่กันบนโต๊ะขึ้นมาแล้ววาดภาพเต่าตัวใหญ่ๆ ไว้ข้างๆ คำว่า ‘พุทธะ’
หลังจากเดินเตร็ดเตร่อยู่นานและไม่พบสิ่งใดเลย ฮวาหยางอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ จึงเก็บหนังสือเล่มนั้นกลับคืนที่เดิมและคิดจะจากไป ขณะกำลังเคลื่อนไหวก็ได้กลิ่นหอมเย็นๆ ที่ซ่อนอยู่ใต้แสงแดดอุ่นและน้ำหมึก เป็นไม้จันทน์ขาวที่มักใช้ถวายพระนั่นเอง
เมื่อมองไปรอบๆ นางเห็นที่ด้านหลังชั้นวางหนังสือซึ่งตั้งตระหง่านมีประตูสองบานแง้มอยู่เล็กน้อย
ฮวาหยางเดินไป พบว่ามีห้องพระเล็กๆ อยู่ที่ด้านในสุดของห้องอ่านหนังสือ
บทที่ 6 สอบปากคำ
ห้องพระไม่ได้จุดธูปไว้ บนโต๊ะวางกระถางธูปสูงขนาดครึ่งตัวคนมีพระโพธิสัตว์กวนอินหยกขาววางอยู่ แกะสลักอย่างประณีตงดงาม กลิ่นของไม้จันทน์ขาวเมื่อครู่ลอยมาจากกระถางธูปกระเบื้องเคลือบสีขาวลายดอกบัวที่อยู่ด้านข้าง
จู่ๆ นางก็นึกถึงเรื่องของกู้ซิ่งจือที่ได้ยินมาเมื่อเช้านี้ อายุสิบหกปีเป็นจ้วงหยวน หมั้นตอนอายุสิบเก้า หลังจากนั้นได้เลื่อนกำหนดการแต่งงานออกไปเนื่องจากปู่เสียชีวิตจากอาการป่วย
ระหว่างการไว้ทุกข์เขาได้ตัดสินใจถอนหมั้นเอง ตั้งแต่นั้นเขาก็เป็นขุนนางมาสิบปีโดยไม่พูดถึงเรื่องการแต่งงานอีกเลย
ชายหนุ่มมีความสามารถ แต่กลับใช้ชีวิตประหนึ่งภิกษุที่บำเพ็ญทุกรกิริยา
ฮวาหยางมองห้องพระที่อยู่ตรงหน้า รู้สึกอย่างเลือนรางว่าตนเองได้ล่วงรู้ความลับที่บอกใครไม่ได้ของกู้ซิ่งจือแล้ว จึงเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นในใจ
“ข้ารู้สึกว่าเจ้าจะว่างมากใช่หรือไม่” เสียงของคนผู้หนึ่งดังมาจากด้านหลัง ในความเย็นชาแฝงความเย้ยหยันอยู่
ฮวาหยางตกใจกับเสียงที่จู่ๆ ก็ดังขึ้น มือที่ผลักประตูชะงักแล้วมองไปทางด้านหลัง ท่ามกลางแสงแดดที่สาดส่องไปทั่วห้อง สตรีรูปร่างผอมบางเดินก้มหน้าออกมาจากด้านหลังชั้นหนังสือ
สตรีผู้นั้นเกือบจะหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ
คนตรงหน้าเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่อ่อนโยนและสง่างามประกอบกับสีหน้าที่เรียบเฉยหมางเมินมาโดยตลอด หากไม่ใช่ฮวาเทียนแล้วจะเป็นใครได้
คิดไม่ถึงว่าเพื่อหน้าที่แล้ว นางจะไล่ล่ามาถึงที่นี่
ครั้นประสานสายตากันทั้งสองคนยังคงแย้มยิ้มบางๆ ทว่าอากาศดูเหมือนจะลุกเป็นไฟ รอบด้านมีประกายไฟแตกกระจายอยู่
ฮวาหยางหัวเราะเย้ยหยัน จงใจพูดยั่วยุว่า “ศิษย์พี่ไม่ปวดหัวแล้วหรือ”
คนตรงหน้าเลิกคิ้วด้วยความโกรธจริงๆ และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยใบหน้าบูดบึ้งว่า “ทางสำนักให้เจ้าอยู่ข้างกายกู้ซิ่งจือเพื่อสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับคดีของเฉินเหิง ไม่ได้ให้เจ้ามาเที่ยวชมห้องอ่านหนังสือ”
ฮวาหยางจุปากเบาๆ แล้วถามกลับว่า “การสืบหาข้อมูลไม่ควรเริ่มต้นจากห้องลับในห้องอ่านหนังสือเช่นนั้นหรือ”
ฮวาเทียนไม่ได้ตอบ แต่เดินไปผลักประตูที่อยู่ตรงหน้าฮวาหยาง “ก็แค่ห้องพระเล็กๆ ที่ไม่มีอะไรเลย เจ้าสนใจที่จะตรวจสอบเรื่องนี้ มิสู้ลองถามกู้ซิ่งจือว่าวันนี้เขาไปที่ใดมาจะดีกว่า”
อ้อ? ฮวาหยางหันมามองนาง กะพริบตาแล้วถามว่า “ไปที่ใดมา”
“ห้องขังศาลต้าหลี่” ฮวาเทียนไม่อ้อมค้อม พูดตรงๆ ว่า “ในคืนที่เฉินเหิงถูกสังหาร องครักษ์ของกองทหารรักษาวังที่รับผิดชอบในการลาดตระเวนถนนหน้าวังหลวงคนนั้นถูกหาตัวพบแล้ว”
“แล้วอย่างไร” ฮวาหยางขมวดคิ้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
ฮวาเทียนยังคงมีสีหน้าเย็นชา เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ดังนั้นข้อมูลนี้ไม่ควรจะเป็นข้าที่เป็นคนมาบอกเจ้า”
“เหอะ” ฮวาหยางไม่สนใจแม้แต่น้อย กลอกตาแล้วถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเช่นนั้นจะฆ่าคนผู้นี้หรือยัง”
ฮวาเทียนพูดไม่ออกกับนิสัยตรงไปตรงมาของนาง จึงพูดด้วยความโกรธว่า “เขาอยู่ในห้องขังของศาลต้าหลี่แล้ว การเคลื่อนไหวอย่างบุ่มบ่ามอันตรายเกินไป อีกอย่างแค่องครักษ์ลาดตระเวนคนเดียว เป็นเพียงมดตัวหนึ่ง ทางสำนักสนใจแค่กู้ซิ่งจือเท่านั้น” สุดท้ายนางก้าวขากำลังจะจากไปก็ไม่ลืมที่จะกำชับอีกว่า “อีกอย่างอย่าลืมไปสำรวจที่จวนของเฉินเหิงด้วย”
ฮวาหยางไม่พอใจกับท่าทียโสของอีกฝ่ายยิ่งนัก จึงเบะปากถามกลับว่า “ทางสำนักส่งเจ้ามาช่วยเหลือข้า?”
“ทางสำนักส่งข้ามาเฝ้าดูเจ้า”
“ช่วยเหลือข้า” ฮวาหยางกัดฟัน เน้นย้ำอย่างจริงจัง
ฮวาเทียนหัวเราะเบาๆ และก่อนที่จะหันกลับไปก็ได้กล่าวเตือนอย่างไม่ใส่ใจว่า “กู้ซิ่งจือนั่นดูท่าทางไม่ใช่คนที่จะควบคุมได้ง่ายๆ ข้าเกรงว่าเจ้าจะสืบอะไรไม่ได้สักอย่าง หากไม่เชื่อเจ้าก็ลองดู”
ฮวาหยางโกรธเคือง “มาถึงเขาก็ขังข้าไว้ในเรือนด้านหลัง ห้องนอนยังมีทางเดินกั้น จะให้ข้าจับตาดูเขาได้อย่างไรกัน”
ฮวาเทียนไม่ได้หยุดเดิน ทิ้งคำพูดไว้ไม่กี่ประโยคว่า “เจ้าเป็นหนึ่งในใต้หล้ามิใช่หรือ หาหนทางดูสิ หนึ่งในใต้หล้า”
ฮวาหยาง “…”
ในห้องขังศาลต้าหลี่
ภายในห้องสอบสวนที่มืดและคับแคบเวลานี้กลับมีแสงไฟสว่างไสว เสื่อฟางที่เหม็นอับผสมกับกลิ่นเลือดทั้งเก่าและใหม่นั้นส่งกลิ่นฉุนเป็นอย่างยิ่ง
บนโต๊ะที่อยู่ตรงกลางมีกาน้ำชากระเบื้องสีขาววางอยู่ ขอบกามีหยดน้ำเกาะ น้ำชาเย็นหมดแล้ว มือที่เหมือนหยกลูบไล้อย่างเงียบๆ ปลายแขนเสื้อชุดขุนนางสีม่วงเลื่อนลงมาหนึ่งชุ่น เผยให้เห็นข้อมือที่ขาวผ่องซึ่งไม่ด้อยไปกว่ากระเบื้องเคลือบสีขาวสว่างนั้นเลย
“ใต้เท้ากู้” หลินไหวจิ่งเสนาบดีศาลต้าหลี่โน้มตัวลงมา ลดเสียงต่ำลงพูดว่า “ข้าสอบถามมาแล้ว คนผู้นี้ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ”
กู้ซิ่งจือนิ่งเงียบ เพียงมองไปที่องครักษ์ของกองทหารรักษาวังที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า ราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่หลินไหวจิ่งพูด
ในคืนที่เสนาบดีเฉินถูกสังหาร องครักษ์ผู้นี้น่าจะเป็นคนลาดตระเวนไปตามถนนหน้าวังหลวง แต่จนกระทั่งถึงยามโฉ่ว สามเค่อ หลังจากเสนาบดีเฉินเสียชีวิตไปเป็นเวลาหนึ่งเค่อ คนผู้นี้จึงได้ไปรายงานกองทหารรักษาวัง
และสาเหตุที่พลาดตอนเกิดเหตุ ตามคำบอกเล่าของเขาเป็นเพราะเกิดเหตุฉุกเฉินภายในร่างกาย บังเอิญไปเข้าห้องเวจ
บังเอิญ? บังเอิญถึงเพียงนี้เลย?
กู้ซิ่งจือหัวเราะเบาๆ
กองทหารรักษาวังทำหน้าที่ป้องกันวังหลวง ตามเสด็จเพื่อถวายการรับใช้และอารักขาอย่างใกล้ชิด แต่ในราชสำนักหนานฉีปัจจุบันมีใครไม่รู้บ้างว่าผู้บัญชาการกองทหารรักษาวังเป็นคนของอู๋จี๋เสนาบดีฝ่ายขวา ไม่เพียงเท่านั้น…
กู้ซิ่งจือครุ่นคิดพร้อมกับเหลือบตาขึ้น สบตากับหลินไหวจิ่งที่อยู่ด้านข้างแล้วยิ้มอย่างสงบนิ่ง
ดูเหมือนว่ามือของอู๋จี๋จะยื่นเข้ามาในศาลต้าหลี่แล้ว
“ใต้เท้ากู้?” หลินไหวจิ่งเห็นว่าคนตรงหน้าเงียบไปนานจึงรู้สึกกังวลใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามหยั่งเชิงว่า “ยังมีข้อสงสัยอะไรอีกหรือ”
รอยยิ้มของกู้ซิ่งจือกว้างขึ้นกว่าเดิม ใบหน้าที่เดิมทีก็สดใสอยู่แล้วเวลานี้ยิ่งเบิกบานขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“ไม่มีข้อสงสัย เพียงแต่อยากให้ใต้เท้าหลินพบใครสักคน”
ทันทีที่พูดจบมือที่มีกระดูกอันงดงามก็เคาะลงบนโต๊ะราวกับกำลังตีขิม
ประตูห้องขังด้านหลังถูกเปิดออก ฉินซู่ควบคุมตัวคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาด้วยตนเอง เมื่อเดินเข้ามาใกล้ หลินไหวจิ่งและองครักษ์ที่คุกเข่าอยู่ต่างก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ
“ในเมื่อใต้เท้าหลินไม่สามารถถามอะไรได้ มิสู้ให้ข้าทำแทนจะดีกว่า ลองถามทหารของกองทหารรักษาวังผู้นี้ดูก็แล้วกัน”
หลินไหวจิ่งตกตะลึง และองครักษ์หนุ่มที่คุกเข่าอยู่ก็สะดุ้งตัวตาม
ในคืนที่เสนาบดีเฉินถูกสังหาร องครักษ์หนุ่มผู้นี้น่าจะปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ถนนหน้าวังหลวงจริงๆ แต่ในคืนนั้นทหารของกองทหารรักษาวังที่สนิทสนมกับเขามาโดยตลอดได้ลาออกเนื่องจากมารดาป่วยหนัก ก่อนออกเดินทางได้นัดพบกับเขา
เดิมทีเขาก็ชอบดื่มสุราอยู่แล้ว เมื่ออารมณ์ดี พอดื่มก็ลืมเวลา เมื่อรู้ตัวก็เลยเวลาทำงานแล้ว
เมื่อเสนาบดีฝ่ายซ้ายของราชสำนักถูกสังหาร เขาออกไปในเวลาปฏิบัติหน้าที่ แล้วยังเกี่ยวข้องกับการดื่มสุรา หากถูกจับได้จะต้องตายอย่างแน่นอน
เขาคิดว่าถึงอย่างไรทหารผู้นั้นก็ได้ไปจากเมืองจินหลิงแล้ว เรื่องนี้นอกจากตนเองก็ไม่มีใครรู้
ประกอบกับผู้บัญชาการกองทหารรักษาวังยังเป็นคนของอู๋จี๋เสนาบดีฝ่ายขวา ด้วยความหน้าไหว้หลังหลอก เสนาบดีฝ่ายขวาจะต้องทำทุกวิถีทางทำให้กองทหารรักษาวังไม่เกี่ยวข้องกับการตายของเสนาบดีเฉิน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ย่อมต้องคุ้มครองเขา
แต่ไม่เคยคิดเลยว่ากู้ซิ่งจือจะเจ้าความคิด ตามหาตัวทหารที่จากไปแล้วคนนั้นกลับมา
หลินไหวจิ่งใจเต้น แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจแล้วถามว่า “ใต้เท้ากู้หมายความว่าอย่างไร”
“ข้าแค่ได้ยินมาว่าทั้งสองคนได้พบกันก่อนเกิดเหตุ ในเมื่อใต้เท้าหลินไม่สามารถถามอะไรได้ ข้าจึงคิดว่าบางทีการให้ทั้งสองคนพบกันอาจจะช่วยได้” กู้ซิ่งจือยังคงมีท่าทางสบายๆ น้ำเสียงอบอุ่น ไม่มีร่องรอยของความโกรธแม้แต่น้อย
หลินไหวจิ่งไม่แน่ใจ แต่กู้ซิ่งจือได้รับพระราชโองการให้รับผิดชอบตรวจสอบการตายของเสนาบดีเฉินอย่างละเอียด เขาจึงไม่สามารถคัดค้านได้ ต้องจำใจยอมถอย
กู้ซิ่งจือส่งสัญญาณให้ฉินซู่นำตัวอีกฝ่ายเข้ามา
องครักษ์หนุ่มเห็นทหารผู้นั้นก็ตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด ทั้งสองสบตากันอย่างเงียบๆ และองครักษ์หนุ่มก็สงบลงอย่างรวดเร็ว ก้มศีรษะและคุกเข่าอย่างเรียบร้อย
“ใต้เท้ากู้ต้องการจะถามอะไร”
ท่ามกลางความเงียบสงบหลินไหวจิ่งพูดขึ้นก่อน
“อืม” กู้ซิ่งจือรับคำโดยไม่มองเขา ก้มลงมองทหารที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าแล้วถามว่า “คืนวันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนหนึ่ง พวกเจ้าเคยพบกันหรือไม่”
ทั้งสองคนสบตากันแล้วเอ่ยว่า “เคยพบกันขอรับ”
“อืม” กู้ซิ่งจือพยักหน้า มองสำรวจทั้งสองคนแล้วถามต่อ “เจ้าแยกย้ายกับเขาตั้งแต่เมื่อไร”
“เรียนใต้เท้า ก่อนยามจื่อ ขอรับ ตอนนั้นเขาบอกว่าจะกลับไปทำงาน ข้าน้อยไม่กล้ารั้งไว้จึงจากไป”
“เป็นเช่นนี้หรือ” กู้ซิ่งจือหันไปทางองครักษ์หนุ่ม
“ใช่ ใช่…เรียนใต้เท้า เป็นเช่นนี้ขอรับ…” องครักษ์หนุ่มตอบอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ
“อืม” กู้ซิ่งจือพยักหน้า ยังคงมีท่าทีเรียบเฉย จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองหลินไหวจิ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า “ข้าถามเสร็จแล้ว”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกไป ทุกคนต่างอึ้งงันไปชั่วครู่
คนทั้งสองที่คุกเข่าอยู่มองหน้ากัน หลินไหวจิ่งมองกู้ซิ่งจือด้วยความประหลาดใจแล้วหันไปมองฉินซู่ ครู่หนึ่งจึงถามตะกุกตะกัก
“ถาม…ถามเสร็จแล้วหรือ”
กู้ซิ่งจือส่งเสียง “อืม” แล้วยืนขึ้น พูดกับฉินซู่ว่า “เจ้านำทั้งสองคนนี้กลับไปที่กรมอาญา แล้วแยกกันสอบปากคำอีกครั้ง”
ฉินซู่เอียงศีรษะด้วยความไม่เข้าใจ แต่กลับได้ยินกู้ซิ่งจือกล่าวเสริมขึ้น
“ระหว่างสองคนนี้ใครที่สารภาพก่อน ข้าจะทูลขอความเมตตาจากฮ่องเต้ให้ด้วยตนเอง ยกเว้นโทษตาย ส่วนอีกคนหนึ่ง…” เขาชะงักเล็กน้อย ลากหางเสียงสดใสและชัดเจนราวกับพระอาทิตย์อันอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิบนแม่น้ำฉินไหว “ส่วนอีกคนหนึ่งในเมื่อพูดไม่ได้ เก็บลิ้นไว้ก็เสียเปล่า ดึงทิ้งแล้วกัน”
หลินไหวจิ่งแข้งขาอ่อนเปลี้ย มองคุณชายผู้สง่างามราวกับเทพเซียนอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
มือของกู้ซิ่งจือที่กำลังจัดเสื้อผ้าพลันหยุดชะงัก เขาหันหลังกลับท่ามกลางแสงไฟแล้วเอ่ยกำชับฉินซู่อีกครั้ง “เวลาที่ทั้งสองแยกย้ายกันที่ทหารผู้นั้นบอกเมื่อครู่ ใต้เท้าฉินอย่าลืมบันทึกไว้ด้วย”
“บันทึกแล้วขอรับ” ฉินซู่พยักหน้า
“อืม” สายตาของกู้ซิ่งจือมองไปยังคนทั้งสองที่ใบหน้าซีดเผือด “ในการสอบปากคำ การสร้างหลักฐานเท็จและให้การเท็จเป็นความผิดอย่างหนึ่ง ใต้เท้าฉินเข้าใจดี?”
ฉินซู่ได้ยินดังนั้นดวงตาก็เป็นประกาย มองกู้ซิ่งจือพลางกลั้นยิ้มและพยักหน้า
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่ากู้ซิ่งจือผู้ซึ่งอ่านตำราของจอมปราชญ์มาตลอดชีวิตจะมีช่วงเวลาที่ ‘เจ้าเล่ห์’ เช่นนี้ด้วย
ความจริงทหารผู้นี้เขาเป็นคนหาตัวเจอเมื่อสองวันก่อน ในตอนนั้นกู้ซิ่งจือไปอำเภอเจียงเพื่อจัดการธุระของฉินเจา เขาสอบปากคำคนเดียวตลอดทั้งวัน แต่ไม่มีอะไรหลุดออกจากปากของอีกฝ่าย เขาหมดหนทางจริงๆ จึงไปพบกู้ซิ่งจือ
ใครจะรู้ว่ากู้ซิ่งจือจะนำตัวอีกฝ่ายมาที่ศาลต้าหลี่โดยตรง
หลังจากที่ได้เห็นองครักษ์หนุ่มหวาดกลัวจนตื่นตกใจ แล้วยังต้องเผชิญกับเงื่อนไขที่กู้ซิ่งจือเสนอออกมา คิดว่าเป็นใครก็คงไม่รอให้ถูกหักหลังอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ทหารผู้นั้นจะไม่รับสารภาพ ขอเพียงองครักษ์หนุ่มเลิกยืนกรานก็สามารถทะลุทะลวงจากจุดนี้ไปได้เช่นกัน
แทนที่จะลงมือเอง มิสู้โยนหอกกับโล่ออกไปแล้วปล่อยให้พวกเขาประลองกันเองจะดีกว่า ความไว้วางใจระหว่างคนเรามักจะทนต่อการทดสอบไม่ได้
“เจ้าคิดว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับอู๋จี๋หรือไม่” ฉินซู่เดินตามกู้ซิ่งจือแล้วถามด้วยเสียงเบา
“ทั้งเกี่ยวและไม่เกี่ยว”
เมื่อฉินซู่ได้ยินคำพูดคลุมเครือนั้นแล้วก็อดชะงักฝีเท้าไม่ได้ “ทุกคนต่างรู้ว่าเสนาบดีเฉินและเสนาบดีอู๋นั้นเสมือนน้ำกับไฟ เวลานี้กองทหารรักษาวังถูกลากเข้ามาด้วย อู๋จี๋จะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้อย่างไร”
“สาเหตุเมื่อครู่เจ้าได้พูดแล้ว”
“หือ?” สีหน้าฉินซู่ไม่เข้าใจ จึงไล่ตามไปอีกหลายก้าว ดึงแขนเสื้อของกู้ซิ่งจือแล้วเอ่ยว่า “ภิกษุกู้พูดให้ชัดเจนกว่านี้เถิด!”
ชุดขุนนางสีม่วงถูกดึงจนคนสวมใส่เซ กู้ซิ่งจือขมวดคิ้วหันกลับมา สีหน้าโกรธเคืองอย่างที่พบเห็นได้ไม่บ่อย
เขาดึงแขนเสื้อกลับ จัดให้เรียบร้อยพร้อมกับพูดว่า “ก็เพราะทุกคนต่างรู้ว่าพวกเขาไม่ลงรอยกัน หากข้าเป็นอู๋จี๋ ถ้าต้องการลงมือจะไม่มีวันลงมือผ่านกองทหารรักษาวังอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นในฝ่ายสันติคนที่ต้องการจัดการเสนาบดีเฉินจนตายมีจำนวนนับไม่ถ้วน ในฐานะเสนาบดีฝ่ายขวาของราชสำนัก เหตุใดข้าจะต้องลงมือเอง เป็นเครื่องมือสังหารให้ผู้อื่น?”
คำถามนี้ถามจนฉินซู่พูดไม่ออก เขาไม่เข้าใจยิ่งกว่าเดิม ขวางทางของกู้ซิ่งจือและถามต่อ “แล้วที่เจ้าพูดว่าเกี่ยวนั้นหมายความว่าอย่างไร”
กู้ซิ่งจือยังคงมีสีหน้าสงบนิ่งเหมือนเดิม มองหน้าฉินซู่และเอ่ยเสริมว่า “เนื่องจากการอนุมานเมื่อครู่เป็นเพียงสถานการณ์ทั่วไป หากเป็นเพราะเกิดจากการแย่งชิงอำนาจระหว่างทั้งสองฝ่าย อู๋จี๋ยิ่งไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการที่เร่งด่วนเช่นนี้ในการจัดการเสนาบดีเฉิน แต่หากเกิดสิ่งที่เหนือความคาดหมายเล่า?”
ฉินซู่เอียงศีรษะขมวดคิ้ว สีหน้าไม่เข้าใจ
กู้ซิ่งจือมองดูท่าทางโง่เขลาของอีกฝ่าย ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดด้วยความขุ่นเคืองว่า “หากเสนาบดีเฉินรู้ว่าอะไรที่จะเป็นการคุกคามถึงงานของเขา หากข้าเป็นอู๋จี๋ก็จะลงมือด้วยวิธีที่ง่ายที่สุดและตรงที่สุด”
เมื่อพูดจบกู้ซิ่งจือที่กลับมาอยู่ในสภาพเรียบร้อยอีกครั้งแล้วก็ก้าวเท้าเดินไปยังรถม้าที่รออยู่นอกศาลต้าหลี่
แต่ทันทีที่ขึ้นรถม้าก็มีคนจับผนังรถไว้
“เจ้าจะทำอะไร” กู้ซิ่งจือมองใบหน้าที่ยิ้มแย้มประจบประแจงตรงหน้าแล้วขมวดคิ้ว
“หึๆ!” ฉินซู่หัวเราะแห้งๆ กระโดดขึ้นบนรถม้าของกู้ซิ่งจือ ขยับบั้นท้ายเบียดเขาไปด้านข้าง “ใต้เท้ากู้ไหวพริบดีมาก น้องชายเลื่อมใสอย่างยิ่ง วันนี้ฉวยโอกาสไปสังสรรค์ที่จวนสกุลกู้ ดื่มชาหอมๆ พร้อมกับปรึกษาว่าควรทำอย่างไรต่อไปจะดีกว่า”
มีใครบางคนคร้านที่จะใช้สมอง และตัดสินใจที่จะยึดสมองที่สามารถช่วยเขารักษาเส้นผมนี้ไว้
กู้ซิ่งจือพูดอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า “ที่จวนอาหารการกินเรียบง่าย เกรงว่าจะต้อนรับรองเสนาบดีฉินได้ไม่ดี”
“ความสุขในการกินดื่มเป็นของนอกกาย จะเทียบกับการพูดคุยอย่างมีความสุขกับสหายที่รู้ใจได้อย่างไร” พูดจบก็ไม่ให้โอกาสกู้ซิ่งจือคัดค้าน เขายื่นมือออกไปเคาะผนังรถม้าเพื่อส่งสัญญาณให้คนบังคับรถม้าเร่งความเร็ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 22 ก.ย. 67
Comments
comments
No tags for this post.