บทที่ 7 ฝึกเขียนพู่กัน
รถม้าแล่นผ่านถนนหลายสายแล้วหยุดที่หน้าจวนสกุลกู้
เงาของพระอาทิตย์เอียงไปทางทิศตะวันตก ทิ้งหมอกสีทองจางๆ ชั้นหนึ่งไว้บนประตูสีแดงขนาดใหญ่
ฉินซู่ไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ราวกับกลัวว่ากู้ซิ่งจือจะปิดประตูไล่แขก รถม้ายังจอดไม่สนิทก็กระโดดลงไป ก้มหน้าวิ่งเข้าไปในจวน
เนื่องจากวิ่งเร็วเกินไปและไม่ได้มองทางให้ดี ทันทีที่มุ่งหน้าไปก็ชนเข้ากับร่างกายอุ่นๆ ร่างหนึ่ง มีเสียงลมหายใจแผ่วเบาดังขึ้นที่ข้างหู
“ระวัง!” มีคนตอบสนองเร็วกว่าเขา คว้าคนที่ตัวสั่นเทาออกจากอ้อมแขนเขา
ฉินซู่ถูกชนเข้าอย่างจังโดยไม่คาดคิด รู้สึกว่าชาที่ดื่มตอนสอบปากคำนักโทษเมื่อตอนบ่ายพุ่งมาถึงคอ จึงรีบปิดปากเพื่อกลั้นไว้ทันที ขณะที่ฟันกระทบกันก็พลันได้กลิ่นคาวเลือด
“ไม่ได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่” เสียงของกู้ซิ่งจือดังขึ้นที่ข้างหู มีความตื่นตระหนกเล็กน้อยอย่างที่เกิดขึ้นไม่บ่อย
ฉินซู่พยักหน้า หันกลับมาแล้วดึงริมฝีปากที่ถูกชนจนแตกออกมาเล็กน้อย ต้องการจะให้กู้ซิ่งจือดู ใครจะรู้ว่าคนผู้นั้นกลับเดินผ่านหน้าตนเองไปราวกับสายลม เหลือเพียงภาพติดตาสีม่วง
ฉินซู่ตกตะลึง
ประการแรกเพราะมโนธรรมของกู้ซิ่งจือผู้นี้ตื้นเขิน ประการที่สองเพราะจู่ๆ จวนสกุลกู้มีผู้ที่เนื้อตัวนวลเนียนหอมกรุ่นนี้เพิ่มขึ้นมา
แสงยามอาทิตย์อัสดงหยุดอยู่ที่ใบหน้าของนาง ทิ้งแสงสีทองงดงามไว้ ดวงตาสีเหลืองอำพันเต็มไปด้วยไอหมอก สว่างสดใสอย่างหาที่เปรียบมิได้ ไม่รู้ว่าแอบซ่อนความงดงามไว้มากมายเพียงใด
หัวใจเต้นผิดจังหวะโดยไม่รู้ตัว ฉินซู่รู้สึกว่าตนเองโตจนป่านนี้ ยังไม่เคยเห็นดวงตาสีอ่อนที่ชวนให้หลงใหลเช่นคู่นี้มาก่อนเลย
“แม่…คารวะแม่นาง…” รองเสนาบดีฉินผู้ซึ่งมีใบหน้ายิ้มแย้มและไม่จุกจิกเสมอมาเสียงสั่นเล็กน้อย มองฮวาหยางแล้วเอ่ยว่า “ข้าน้อยฉินซู่”
ทันทีที่เอ่ยปากก็กระอักเลือดออกมา
คนที่อยู่ในเหตุการณ์รู้สึกปรับตัวไม่ถูกกับท่าทางตระหนกเช่นนี้ของเขาจึงเงียบไปครู่หนึ่ง มีเพียงฉินซู่ที่ยังคงมองฮวาหยางแล้วพูดตอแยอย่างไม่ลดละ
“ขอถามแม่นาง…”
“นางเป็นน้องสาวของฉินเจา”
จู่ๆ ใบหน้าที่สงบนิ่งอยู่เสมอของกู้ซิ่งจือก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า บดบังสายตาของฉินซู่ไปมากกว่าครึ่ง เขาเอียงศีรษะไปทางซ้ายโดยไม่รู้ตัวและพูดยิ้มๆ ต่อไป
“ถ้าเช่นนั้นก็เป็นเรื่องบังเอิญอย่างยิ่ง พี่ชายของเจ้าเคยทำงานที่กรมอาญาของข้า เป็นทั้งสหายร่วมงานของข้าและ…”
เมื่อเผชิญกับใบหน้าชวนมองของกู้ซิ่งจือที่บดบังเข้ามาอีกครั้ง ฉินซู่ก็เอียงศีรษะไปทางขวาแล้วกล่าวเสริม
“และยังเป็นสหายสนิทกันอีกด้วย” พูดจบก็ทำหน้าตาภูมิใจ เผยให้เห็นรอยยิ้มร่าเริงของชายหนุ่ม
ทว่าคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเอาแต่คอยหลบเขาด้วยความตกใจ มือเล็กๆ ที่ขาวราวกับหยกซ่อนอยู่หลังเสื้อคลุมและดึงแขนเสื้อของกู้ซิ่งจืออย่างสั่นๆ
ฉินซู่ผู้ใจกว้างมาโดยตลอดได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยขึ้นมาทันที
แม้จะรู้ว่าหากพูดถึงหน้าตาหรืออุปนิสัย เมื่อต้องเปรียบเทียบกับกู้ซิ่งจือ เกรงว่าทั่วทั้งหนานฉีคงไม่มีใครสู้กู้ซิ่งจือได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ต่างคนต่างจิตต่างใจ
สาวน้อยผู้นี้ดูท่าทางอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น กู้ซิ่งจือไม่เพียงอายุยี่สิบหกแล้ว แต่ยังมักจะมีท่าทีสุภาพและห่างเหินอยู่เสมอ เมื่อเปรียบเทียบกับเขาซึ่งยังหนุ่มแน่น มีผลงานโดดเด่น อุปนิสัยร่าเริง และครอบครัวมีอำนาจบารมีแล้ว ฉินซู่รู้สึกว่าตนเองยังมีโอกาสในการชนะครึ่งหนึ่ง
แต่ไม่เคยคิดเลยว่า…
“หูของนางมีปัญหา อ่านได้แค่รูปปากเท่านั้น เวลาพูดกับนางต้องพูดช้าหน่อย”
กู้ซิ่งจือกล่าวกับฉินซู่จบก็ขยับปากช้าลง พูดตามคำพูดที่ฉินซู่เอ่ยไปเมื่อครู่ซ้ำอีกครั้ง เวลานี้สาวน้อยที่อยู่ตรงข้ามจึงโผล่ศีรษะออกมาอย่างเอียงอายแล้วยิ้มให้
จู่ๆ ฉินซู่ก็รู้สึกเหมือนกำลังล่อลวงลูกสาวของคนอื่นต่อหน้าผู้เป็นพ่อ…
ฉินซู่ผู้ร่าเริงรู้สึกห่อเหี่ยวเล็กน้อย เดินตามอยู่ข้างๆ กู้ซิ่งจือแล้วพึมพำว่า “คิดไม่ถึงว่าฉินเจาที่มีหน้าตาแบบที่ไม่สามารถแยกแยะดวงตาและจมูกได้ น้องสาวของเขาจะงดงามเพียงนี้…”
“ผู้ที่เจ้าเอ่ยถึงได้เสียชีวิตไปแล้ว รองเสนาบดีฉินระวังคำพูดด้วย”
“…” ฉินซู่ถูกกลอกตาใส่อย่างเย็นชาตามที่คาดไว้
ทุกคนเดินผ่านลานหลักมาถึงห้องกินข้าว บนโต๊ะกลมไม้พะยูงหอมขนาดไม่ใหญ่มีอาหารเย็นจัดวางไว้เรียบร้อยแล้ว ข้าวต้มกับอาหารจานเล็กเรียบง่ายธรรมดา ฉินซู่รู้ว่านี่ไม่ใช่เพราะกู้ซิ่งจือตระหนี่ถี่เหนียว แต่เป็นประเพณีของครอบครัวอีกฝ่ายที่มักจะประหยัดเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก แต่ว่า…
ฉินซู่ลอบมองไปที่ฮวาหยาง
สาวน้อยเห็นอาหารเย็นเช่นนี้ก็ตกใจเช่นกัน ขมวดคิ้วคู่งามอย่างยากที่จะสังเกตเห็น
ฉินซู่อยากจะหัวเราะขึ้นมาทันที ดูเหมือนว่าการที่ ‘ภิกษุกู้’ จะไร้คู่มานานยี่สิบกว่าปีไม่ใช่ไม่มีสาเหตุ ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะเหตุนี้!
ขณะกำลังครุ่นคิดก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง ลุงฝูยกไก่ย่างเดินเข้ามา กู้ซิ่งจือรับมาโดยไม่พูดอะไรแล้ววางลงตรงหน้าฮวาหยาง การเคลื่อนไหวนั้นลื่นไหลเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างควรจะเป็นเช่นนี้
ฉินซู่ “…”
การกินข้าวกับกู้ซิ่งจือเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ คำสอนของครอบครัวสกุลกู้คือกินไม่พูด นอนไม่สนทนา ตะเกียบไม่เคาะชาม เคี้ยวไม่มีเสียง ฉินซู่ผู้ซึ่งมีนิสัยร่าเริงมาโดยตลอดเริ่มมองไก่ย่างตัวนั้นตาเป็นมัน
‘แกร๊ก!’
เกิดเสียงดังกังวาน เป็นเสียงตะเกียบกระทบกัน
ฉินซู่สะดุ้ง สายตามองตามตะเกียบคู่ที่วางอยู่บนน่องไก่ไปแล้วสบตาคู่งามสดใสคู่หนึ่ง เมื่อสบตากันเขาก็ปล่อยน่องไก่ชิ้นนั้นภายในอึดใจเดียว
บุรุษเช่นเขาไม่แย่งน่องไก่กับสาวน้อย นอกจากนี้นางดูผอมมาก จึงควรกินให้มากกว่านี้เพื่อบำรุงเสียหน่อย
ทว่าเวลาต่อมาเขากลับเห็นน่องไก่ชิ้นนั้นถูกใส่ลงไปในชามของกู้ซิ่งจือ บุรุษทั้งสองคนต่างตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
ใบหน้าเล็กๆ ของฮวาหยางแดงระเรื่อ นางยิ้มให้กับสายตาประหลาดใจเล็กน้อยของกู้ซิ่งจือแล้วก้มหน้ากินข้าวต่อ
“…” ฉินซู่ที่คิดว่าตนเองเสียสละเพื่อความรัก แต่พบว่าสุดท้ายกลับเหนื่อยเปล่ารู้สึกหดหู่เล็กน้อย จึงยื่นมือไปที่น่องไก่อีกชิ้นหนึ่งด้วยความโกรธ
‘แกร๊ก!’
เป็นเสียงตะเกียบกระทบกันอีกครั้ง
ครั้งนี้สิ่งที่เขาเผชิญคือใบหน้างามแต่กลับดูเคร่งขรึมอย่างบอกไม่ถูกของกู้ซิ่งจือ…
ตะเกียบในมือไม่ยอมแพ้ ขยับซ้ายขวา ทว่าเมื่อได้ยินเสียงกระแอมเบาๆ ที่ดังขึ้นข้างหู มือของฉินซู่ก็อ่อนลง และน่องไก่ก็ตกอยู่ในมือที่มีกระดูกอันงดงามอย่างราบรื่นและรวดเร็ว
ในฐานะสหายร่วมชั้นเรียนและสหายร่วมงาน ฉินซู่รู้ดีว่ากู้ซิ่งจือนั้นภายนอกดูอบอุ่นเป็นมิตร แต่มีแผนการเบื้องหลังอยู่มากมาย การเสี่ยงชีวิตของตนเองเพื่อน่องไก่เพียงชิ้นเดียวไม่คุ้มค่าเลย
“กินเองเถิด ไม่ต้องคีบให้ข้า” กู้ซิ่งจือพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแล้วนำน่องไก่ที่แย่งมาจากฉินซู่วางลงไปในชามของฮวาหยาง
สาวน้อยเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วยิ้ม ดวงตาโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยวแวววาว
“…” ฉินซู่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาต้องตามมากินข้าวที่จวนสกุลกู้อย่างไร้ยางอายเช่นนี้
คงจะเป็นการหาเรื่องอับอายใส่ตัวกระมัง ดังนั้นเขาจึงเลิกต่อต้าน ก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างสงบต่อไป
“ข้ากินเสร็จแล้ว” ครู่ต่อมาฉินซู่ก็วางชามและตะเกียบลง ท่าทางราวกับว่าในที่สุดก็พูดได้เสียที จึงเริ่มบทสนทนาว่า “เจ้าลองเล่าเรื่องทหารของกองทหารรักษาวังคนนั้นอีกครั้งดีหรือไม่”
คนที่อยู่ข้างๆ เงียบไปครู่หนึ่งราวกับไม่ได้ยินคำถามของฉินซู่ จนกระทั่งฉินซู่ทนไม่ไหวจึงถามอีกครั้ง กู้ซิ่งจือจึงวางชามลง หยิบผ้าขาวข้างมือมาเช็ดปาก
เขายื่นชามของหวานให้ฮวาหยางแล้วเอ่ยว่า “กินเสร็จแล้วให้บ่าวรับใช้ทำความสะอาดด้วย” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินนำฉินซู่ไปที่ห้องอ่านหนังสือ
ฮวาหยางที่มองตามทั้งสองคนจากไปถือของหวานแล้วลอบกัดฟันกราม
แม้ฮวาเทียนจะเคยบอกว่ากู้ซิ่งจือมีกฎในการทำงานของตนเอง และเขาก็อยู่ในตำแหน่งสูง เรื่องสำคัญหากมีคนรู้เพิ่มขึ้นอีกคนก็จะมีความเสี่ยงขึ้นอีก ยิ่งไปกว่านั้นใครจะสามารถรับรองได้ว่าข้อมูลเหล่านี้จะไม่นำภัยถึงชีวิตมาสู่คนที่รู้เรื่องราว ดังนั้นจึงมีเรื่องราวมากมายที่แม้กระทั่งลุงฝูเขาก็ไม่มีวันเปิดเผย
ท่าทีของเขาที่ภายนอกดูใจดี แต่ความจริงในใจไม่เคยเห็นใครเป็นคนกันเองเลย ทำให้ฮวาหยางรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัวจริงๆ
เขาป้องกันนางเหมือนป้องกันขโมย
ช้อนในมือเคาะโดนขอบชามทำให้เกิดเสียงดังกังวาน หากมีสิ่งใดที่สามารถกระตุ้นความปรารถนาที่จะชนะของนางได้ นั่นจะต้องเป็นความอดกลั้นที่ถูกป้องกันไว้อย่างแน่นหนาอย่างแน่นอน
มุมปากกระตุกอย่างเงียบๆ นางก้มหน้ากินของหวาน
จวนสกุลเฉินไปทีหลังก็ได้ แต่คืนนี้นางจะต้องเอาชนะกู้ซิ่งจือให้ได้
เมื่อพระจันทร์ลอยขึ้นสู่กลางฟ้า บุรุษสองคนที่อยู่ในห้องอ่านหนังสือก็หารือกันเสร็จแล้ว กู้ซิ่งจือดับเทียน เตรียมส่งฉินซู่ออกจากจวน
พวกเขาเดินผ่านทางเดินหน้าห้องอ่านหนังสือ เห็นแสงเทียนส่องออกมาจากในห้องที่อยู่หลังสุดนั้น หน้าต่างลายดอกกระจับแง้มอยู่ คนที่อยู่ข้างในกำลังขมวดคิ้วรวบรวมสมาธิ เขียนอะไรบางอย่างอยู่อย่างตั้งใจ
คงจะเขียนมาเป็นเวลานานแล้ว นางจึงยืดตัวตรงนวดเอว ครั้นสบตากับกู้ซิ่งจือโดยบังเอิญ คิ้วงามของชายหนุ่มก็ขมวดเข้าหากันอย่างเงียบๆ
หมอได้กำชับว่าหลายวันนี้นางต้องรีบนอนพักผ่อน เพื่อหลีกเลี่ยงการตกใจตื่นบ่อยๆ ยามนี้เลยเวลานอนไปหนึ่งชั่วยามแล้ว…
กู้ซิ่งจือผู้ที่ทำอะไรตรงไปตรงมาตลอดรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เขาก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้องโดยไม่สนใจว่าฉินซู่ยังยื่นหน้ายืนคาดเดาเอาเองอยู่ข้างๆ
ทั้งฮวาหยางและลุงฝูต่างอยู่ที่นั่น บนโต๊ะไม้พะยูงหอมมีเทียนสองเล่มวางอยู่ จากนั้นก็เป็นกระดาษเซวียนจื่อ และแบบคัดลายมือ
ลุงฝูที่กำลังฝนหมึกอยู่ด้านข้างเห็นกู้ซิ่งจือเข้ามาก็รีบส่งสายตาขอความช่วยเหลือทันที วางแท่งหมึกในมือลงแล้วโน้มตัวพูดขึ้น
“นายท่านรีบตักเตือนแม่นางเถิด ข้าน้อยพูดอย่างไรนางก็ไม่ฟังขอรับ”
ทันทีที่สาวน้อยที่อยู่ตรงข้ามเห็นกู้ซิ่งจือก็แสดงสีหน้าหวาดกลัว ก้มหน้างุด ไม่กล้ามองเขา
“ดึกป่านนี้แล้วเหตุใดยังไม่นอนอีก” กู้ซิ่งจือหันไปมองลุงฝู เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“เรียนนายท่าน…” ลุงฝูพูดอย่างลังเล “บ่ายวันนี้แม่นางไปเดินเล่นในห้องอ่านหนังสือของนายท่าน เมื่อกลับมาก็บอกว่าอยากฝึกคัดลายมือขอรับ เมื่อครู่ก่อนกินข้าวก็เขียนมาตลอดบ่ายแล้ว หลังกินข้าวข้าน้อยเตือนก็ไม่ฟังขอรับ…”
กู้ซิ่งจือได้ยินดังนั้นก็ชะงักงัน ก่อนจะหันไปมองฮวาหยาง ทันทีที่ทั้งสองคนประสานสายตากันก็เห็นดวงตาของนางสั่นไหวแล้วก็รีบก้มหน้าลงอีกครั้ง
“เหตุใดจึงอยากฝึกคัดลายมือ” กู้ซิ่งจือถามลุงฝู
ลุงฝูส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ ถามแม่นางก็ไม่ยอมบอก ถามจนร้อนใจ แม่นางก็ร้องไห้ ข้าน้อยจึงไม่กล้าถามอีก”
กู้ซิ่งจือมองไปยังฮวาหยางที่กำลังก้มหน้าบิดผ้าเช็ดหน้าอยู่ข้างๆ โดยไม่รู้ว่าต้องทำอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ฉินซู่ได้สติก่อน เขาหยิบกระดาษเซวียนจื่อเปื้อนหมึกที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาแล้วเอ่ยพึมพำ
“นี่ดูเหมือนจารึกของใครบางคนเลย…”
กู้ซิ่งจือตกใจ รู้สึกสับสนขึ้นมาทันที
ฉินซู่ที่อยู่ข้างๆ กลับไม่รู้สึกอะไร ถือกระดาษที่เปื้อนหมึกแผ่นนั้นแล้วอ่านเสียงดังว่า “พี่ชายอะไรอะไรได้เสียชีวิตแล้ว อะไรอะไรของเขาได้เขียนอะไรให้เขา…ตัวอักษรพวกนี้เขียนอะไรไว้น่ะ! ข้าใช้เท้าเขียนยังเขียนได้…โอ๊ย!”
จู่ๆ แผ่นหลังก็ถูกตบอย่างแรง ฉินซู่เกือบจะกัดลิ้นของตนเองอีกครั้ง เงยหน้าขึ้นกำลังจะถามกู้ซิ่งจือ กลับเห็นไหล่บางของสาวน้อยที่อยู่หลังโต๊ะสั่นเทา ดูเหมือนกำลังร้องไห้
บรรยากาศอึดอัดขึ้นมาทันที
ฉินซู่ผู้ซึ่งเข้าใจช้าปะติดปะต่อเรื่องราว มือที่ถือกระดาษเซวียนจื่อสั่นขึ้นมาทันที ครั้นเผชิญกับสายตาที่อ่อนโยนแต่น่ากลัวของกู้ซิ่งจือ จึงวางกระดาษลงอย่างรู้สึกผิดแล้วถอยไปด้านหลัง
“เอ่อ…คือว่า…ข้า…จู่ๆ ข้าก็นึกได้ว่ายังมีเรื่องด่วนที่กรมอาญา ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้ฮ่องเต้อาจจะทรงถาม…” ขณะที่พูดฉินซู่ก็ขยับไปถึงประตูแล้ว “ข้าไม่ขอรบกวนแล้ว…ลาก่อนนะ!”
เขาพูดจาอิดเอื้อน มีเพียงคำสุดท้ายคือ ‘ลาก่อน’ ที่รวดเร็วและชัดเจน
กู้ซิ่งจือพูดไม่ออกกับ ‘สหายตัวร้าย’ ที่โผงผางเสมอมาคนนี้ จึงได้แต่โบกมือให้ลุงฝูออกไปก่อน ช่วยจัดการกับสถานการณ์ปากเป็นภัยแทนเขา
ภายในห้องสงบลงแล้ว เหลือเพียงสายลมที่พัดเอื่อยๆ
กู้ซิ่งจือสงบอารมณ์แล้วเดินไปข้างๆ ฮวาหยาง เก็บกระดาษและพู่กันบนโต๊ะทั้งหมดให้นางก่อน รอจนนางสงบลงแล้วจึงถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“นี่เขียนให้พี่ชายเจ้าหรือ”
สาวน้อยพยักหน้าอย่างเงียบๆ
“แต่เจ้าก็ต้องรู้ด้วยว่าการเขียนพู่กันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ในชั่วข้ามคืน…”
ยังพูดไม่จบเขาก็แตะถูกปลายนิ้วที่เย็นเฉียบ ฮวาหยางจับมือของเขาแล้วส่ายหน้าอย่างเสียใจ แสงเทียนในห้องสลัวราง สะท้อนดวงตาสีเหลืองอำพันของนางดูมีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร
ว่ากันว่ายามสตรีอยู่ใต้แสงไฟนั้นช่างงดงาม มองแล้วสูงสง่า ยิ่งเป็นสาวงามที่กำลังโศกเศร้า มีน้ำตาคลอตาในเวลานี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
กู้ซิ่งจือรู้สึกว่าหัวใจเต้นผิดจังหวะ เขารู้สึกเขินอายเล็กน้อยกับการสัมผัสที่ไม่เหมาะสมระหว่างทั้งสองคน คิดจะดึงมือตนเองกลับ ทว่าปลายนิ้วนั้นพลันจิ้มลงบนฝ่ามือของเขาและเริ่มเขียนอย่างจริงจังทีละขีดๆ
มือของนางขาวผ่องและอ่อนนุ่มราวกับไม่มีกระดูก มือข้างที่จับหลังมือของเขามีเหงื่อออกเล็กน้อยแต่ก็ไม่น่ารังเกียจ ให้ความรู้สึกชื้นเหมือนหิมะที่กำลังละลายในฤดูใบไม้ผลิ มือที่ขีดเขียนไปมาบนฝ่ามือเขานั้นยิ่งอ่อนโยนกว่า ประหนึ่งคลื่นที่อยู่ใต้สายลมเบาๆ ที่พัดผ่าน เมื่อวางลงมาก็ให้ความรู้สึกเสียวซ่านเล็กน้อย ครั้นคลื่นม้วนตัวกลับ ความรู้สึกเสียวซ่านนั้นก็หายไป สิ่งที่ตามมาคือคลื่นอีกลูกหนึ่งซัดสาดเข้ามา…
กู้ซิ่งจือรู้สึกว่างเปล่าจากการกระทำเช่นนี้ กระทั่งลืมไปว่าตนจะดูว่านางเขียนอะไรกันแน่ ได้แต่อาศัยสติสัมปชัญญะเส้นสุดท้ายเอ่ยคาดเดา
“เจ้าบอกว่าเจ้าแค่อยากจะเขียนชื่อของเขาให้ดีอย่างนั้นหรือ”
สาวน้อยหยุดมือที่ขีดเขียนไปมา เงยหน้ามองชายหนุ่มใต้แสงเทียนแล้วพยักหน้าอย่างแรง ดวงตาเป็นประกาย งดงามมากจนชวนให้หลงใหล
ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อสบตากับดวงตาเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรคำปฏิเสธก็พูดไม่ออก
กู้ซิ่งจือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยประนีประนอมว่า “ข้าสอนเจ้าแล้วกัน”
บทที่ 8 ภาพหลอน
เสียงตีฆ้องบอกเวลาดังผ่านแสงเทียนที่วูบไหว มือที่เห็นข้อต่ออย่างชัดเจนยื่นออกไปด้านข้างเพื่อป้องเปลวเทียนที่ใกล้จะดับ กู้ซิ่งจือหันไปปิดหน้าต่างที่เปิดไว้ครึ่งหนึ่ง
ภายในห้องสว่างขึ้นทันที ในกระถางธูปสีเขียวบนโต๊ะตัวเตี้ยจุดธูปกลิ่นสาลี่อ่อนๆ ไว้ ควันสีขาวลอยละล่องอย่างต่อเนื่อง ตลบอบอวลอยู่เบื้องหน้าเขาราวกับลายเส้นคดเคี้ยวบนกระดาษเซวียนจื่อ
“อื้ม!”
ใครบางคนเอาแต่มองเขาภายใต้แสงไฟ จุดสิ้นสุดเส้นแนวตั้งของพู่กันไม่รู้ลอยไปถึงไหนแล้ว
ฮวาหยางกลัดกลุ้มจนต้องขยุ้มผม ถ้าไม่ใช่เพราะฐานะของเหยาเหย่า นางคงจะล้มโต๊ะเขียนหนังสือและเอาไฟมาเผาพู่กันกับกระดาษเหล่านี้แล้ว
“ไม่เป็นไร ลองอีกครั้ง”
มีเสียงกระซิบอยู่ข้างตัวโดยไม่มีการเยาะเย้ยหรือปลอบโยนแต่อย่างใด เป็นเพียงการออกคำสั่งเท่านั้น
หนุ่มรูปงาม…
ฮวาหยางลอบกำพู่กันในมือไว้แน่น ตำหนิในใจว่าถ้าไม่ใช่เพราะเขาทำท่าทางเหมือนเทพเซียนอยู่ใต้แสงจันทร์ เดินไปเดินมาอยู่เบื้องหน้าตนเอง นางก็คงไม่ต้องเขียนอักษรตัวละหนึ่งร้อยรอบโดยที่ยังไม่สามารถทำให้เขาพึงพอใจได้อยู่เช่นนี้
แต่จะว่าไปแล้วตอนแรกที่ฮวาหยางหลอกกู้ซิ่งจือให้สอนนางเขียนตัวอักษร ภาพที่คิดหวังก็ไม่ใช่แบบที่เป็นอยู่ตอนนี้
นางลอบถอนหายใจอย่างเงียบๆ มือซ้ายจับหนังสือ ‘คำสอนสกุลกู้’ หนาประมาณสามนิ้วมือที่อยู่บนศีรษะ
“หลังตรง เท้าสองข้างวางราบให้มั่นคง” คนที่อยู่ข้างๆ พูดพร้อมกับใช้พู่กันหางเพียงพอนเหลืองขนาดใหญ่ในมือเคาะหลังนางเบาๆ
ฮวาหยางกัดฟัน หายใจเข้าลึกๆ ยืดหลังตรงแล้วคิดจะขยับตัวเข้าไปใกล้โต๊ะอีกนิด พู่กันด้ามนั้นก็สกัดอยู่ตรงหน้านางอีกครั้ง
“ตัวอยู่ห่างจากโต๊ะสองชุ่น” พูดจบก็เคาะหัวไหล่นางเบาๆ สองครั้งแล้วเอ่ยอีกว่า “ไหล่ทั้งสองข้างเสมอกันตามธรรมชาติ” จากนั้นมือข้างที่ถือพู่กันก็ชี้อยู่ในสายตาของนาง เปลี่ยนกระดาษที่นางเขียนเสียแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เขียนต่อ”
“…” ฮวาหยางโกรธมากและสับสนอย่างยิ่ง
นางจำได้ว่าครั้งก่อนตอนที่ลอบสังหารเศรษฐีที่มั่งคั่งที่สุดในหยางโจวที่ชอบเข้าสังคมเพื่อยกระดับตัวเอง นางก็เคยขอให้อีกฝ่ายทำอย่างนี้เช่นกัน อีกฝ่ายโอบกอดนางไว้ในอ้อมแขนชัดๆ จับมือสอน พูดได้ว่าเป็นการลงมือเขียนเอง
แต่เหตุใดเมื่ออยู่กับหนุ่มรูปงามกู้กลับกลายเป็นเช่นนี้
นางไม่เข้าใจ แต่ก็รู้สึกอย่างคลุมเครือว่าหากยังปล่อยให้เขาครอบงำเช่นนี้ต่อไป ขาและมือของตนเองคงจะใช้การไม่ได้แน่ ดังนั้นนางจึงแก้เผ็ดด้วยการเอี้ยวตัวแล้วก็พิงไปทางกู้ซิ่งจืออย่างอ่อนแอ
หนังสือบนศีรษะหล่นลงมา ฮวาหยางชนเข้ากับคนที่คาดคิดไว้ แต่กลับรู้สึกได้ถึงความแข็งอย่างเหนือความคาดหมาย
แม้จะกั้นด้วยผ้าไม่บางถึงสองชั้น นางก็ยังรู้สึกได้ว่าหน้าอกที่แนบแผ่นหลังไม่ได้นุ่มอย่างที่คิด แต่ซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้ มีความยืดหยุ่นกับความทรงพลัง และยังมีเส้นโค้งเว้าที่น่าเกรงขามซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของบุรุษอย่างคลุมเครืออีกด้วย
ฮวาหยางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากมุมของนางมองเห็นเพียงเส้นโค้งเว้าของสันกรามและลูกกระเดือกที่ชัดเจน ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้สึก แต่ตอนนี้อยู่ใกล้ๆ จึงสังเกตเห็นว่าเขาไม่ได้มีแต่ความอ่อนโยนเหมือนสตรีเท่านั้น แต่ในความอ่อนโยนนั้นได้ซ่อนความเข้มแข็งและความทรงพลังไว้ด้วย
อาจเป็นเพราะเกิดมาพร้อมกับสัญชาตญาณของการเป็นนักฆ่า ฮวาหยางรู้สึกว่าตนเองไม่เคยเห็นคนตรงหน้ามาก่อน อย่างน้อยก็ไม่เคยรู้จักเขาดี
ในตัวของเขามักจะมีความขัดแย้งอยู่มากมาย ตัวอย่างเช่นมีความดื้อรั้นซ่อนอยู่ภายใต้ความอ่อนโยน ตัวอย่างเช่นหลังจากถอนหมั้นก็เลือกที่จะอยู่คนเดียว และตัวอย่างเช่นด้านหลังห้องอ่านหนังสือของเขา ห้องพระเล็กๆ ห้องนั้นที่ไม่มีการจุดธูป ไม่มีการสวดมนต์…
ความคิดหมุนวนเป็นพันครั้ง แต่คนที่อยู่ด้านหลังกลับไม่รู้สึกอะไรเลย เขาแค่รับหนังสือที่จู่ๆ ก็หล่นลงมาอย่างรวดเร็ว มืออีกข้างก็จับนางไว้อย่างแม่นยำ
“หากเหนื่อยเกินไปพรุ่งนี้ค่อยฝึกใหม่ ไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเอง” เขาเอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทำท่าเหมือนจะปล่อยฮวาหยาง แต่กลับถูกนางฉวยโอกาสคว้าแขนเสื้อไว้
สาวน้อยยังคงไม่ขยับ หางตาแดง ดวงตาสดใสมองเขาอย่างพร่ามัว ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยื่นมือที่ถือพู่กันให้เขา ทำปากพูดพร้อมแสดงท่าทางน้อยใจและดื้อรั้น
‘ท่านบอกแล้วว่าจะสอนข้า’
กู้ซิ่งจือตกตะลึง มือที่ถือหนังสือ ‘คำสอนสกุลกู้’ ค้างอยู่กลางอากาศ
เมื่อฮวาหยางเห็นเขายังไม่ขยับจึงตอแยไม่เลิก และเติมความผิดหวังลงในความน้อยใจ ขนตาที่เปียกชื้นคู่นั้นจึงสั่นต่อหน้าเขาอย่างเงียบๆ
ภายในห้องเงียบมากจนสามารถได้ยินเสียงเข็มหล่นลงพื้นขึ้นมาทันที
ผ่านไปพักใหญ่ฮวาหยางจึงได้ยินเสียงคนผู้นั้นถอนหายใจเบามาก ราวกับเป็นการประนีประนอมอย่างทำอะไรไม่ถูก จากนั้นในที่สุดฝ่ามือใหญ่ที่แห้งและอุ่นก็วางลงบนมือของนาง น้ำเสียงที่อบอุ่นดังขึ้นที่ข้างหูพร้อมกับแผ่ไอร้อนบางๆ
กู้ซิ่งจือจับมือข้างหนึ่งของนาง พูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ตั้งแต่แขนจนถึงข้อมือ ตั้งแต่ข้อมือไปจนถึงนิ้ว ใช้ทั้งหลักการและการพลิกแพลง วิธีการเขียนต้องยืดหยุ่นได้และต้องมองภาพรวม เตรียมความพร้อมก่อนจรดพู่กัน”
ขณะที่พูดมือข้างนั้นก็เขียนอย่างประณีต คล่องแคล่วเป็นธรรมชาติ
ฮวาหยางยังคงประหลาดใจจริงๆ เพราะนางพบว่าแม้เวลานี้ทั้งสองคนจะใกล้ชิดด้วยท่าทางที่นัวเนียและแนบสนิทกันเช่นนี้ แต่นางกลับไม่รู้สึกถึงความหลงใหลเพ้อฝันใดๆ ของคนที่อยู่ด้านหลังเลย
มือที่จับนางมั่นคงและมีพลัง น้ำเสียงที่พูดก็เรียบนิ่ง หัวใจที่เต้นเบาๆ ผ่านเสื้อผ้าก็เป็นจังหวะที่ไม่วุ่นวาย ราวกับว่าทั้งเมื่อครู่และเวลานี้นางไม่เคยรบกวนจิตใจของเขาได้เลย
ฮวาหยางเกือบจะหัวเราะด้วยความโกรธกับนิสัยที่ไม่มีวันตามทันคนอื่นของเขา
เมื่อเปรียบเทียบกับการยั่วยวนผู้ที่มีฐานะสูงส่งที่ไม่เคยรู้จักพอกับสาวงามแล้ว การยั่วยวนกู้ซิ่งจือนั้นเหนื่อยยากยิ่งกว่า ไม่แน่ว่าอาจจะต้องใช้กำลังด้วยซ้ำ นี่เป็นสิ่งที่นางไม่เคยคิดมาก่อนจริงๆ
ก็ได้…
ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางก็ไม่ถือสาที่จะก้าวไปอีกขั้น ถึงอย่างไรของที่ได้มาง่ายเกินไปก็ไม่อาจกระตุ้นความสนใจของนางได้จริงๆ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ฮวาหยางก็เขย่งเท้าขึ้น ขณะที่เส้นผมถูไถกับสันกรามของกู้ซิ่งจือ นางก็เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วและเรียกที่ข้างหูของเขาอย่างไม่มีเสียง
‘พี่ฉางยวน…’
เสียงนั้นเบามากๆ เป็นเพียงลมหายใจที่แผ่วเบา แต่ลมร้อนชื้นนั้นยังคงกระจายตามคำว่า ‘ยวน’ นั้นไปทั่ว ตบเบาๆ ที่ลำคอราวกับแปรงปัดแป้ง
มือที่จับนางหยุดและสั่นอย่างเงียบๆ
สายลมและหมอกชื้นลอยละล่องอย่างไม่มีแรง
กู้ซิ่งจือรู้สึกว่าจิตสำนึกสั่นคลอนชั่วพริบตา แสงของเชิงเทียนที่อยู่ตรงหน้ามืดลง กลายเป็นฉากที่พร่ามัวโดยรอบ
ภายใต้แสงเทียนที่พลิ้วไหว มือขาวนวลของสาวงามปรากฏขึ้นตรงหน้า นิ้วมือที่เรียวยาวโค้งงอ เผยให้เห็นเล็บที่สะอาดราวกับไข่มุก ถัดลงมาเป็นสายโซ่เหล็กเย็นเฉียบที่ส่องแสงเยียบเย็น ขับให้ข้อมือทั้งสองข้างขาวผ่องยิ่งขึ้น
กู้ซิ่งจือตกตะลึง รู้สึกว่าที่ด้านข้างมีอะไรบางอย่างพาดลงที่เอวเบาๆ จากนั้นก็หนีบแน่น ดึงเขาเข้าไปใกล้ขึ้นอีกหนึ่งชุ่น
ความรู้สึกเช่นนี้ช่างคุ้นเคยอย่างยิ่ง จิตใจสับสน หลงใหลเคลิบเคลิ้ม
ค่ำคืนที่มืดมิดและไร้ขอบเขตกลับสว่างขึ้นและกลายเป็นภาพที่มีสีสัน สดใสเสียจนกู้ซิ่งจือรู้สึกว่าฉากเหล่านี้ไม่ได้มาจากจินตนาการ แต่ควรจะเป็น…ความทรงจำ
ด้านล่างเป็นร่างของสตรีที่อ่อนนุ่ม…ขาของนางหนีบรอบเอวเขา และเขาก็รัดร่างของนางไว้ กดนางลงกับรั้วเหล็กที่เย็นเฉียบ
เสียงอาวุธโลหะกระทบกันดังขึ้น วุ่นวายและไม่เป็นระเบียบ คลื่นลูกแล้วลูกเล่าเหมือนการชะล้างความปรารถนาอันท่วมท้นในร่างกาย
เสียงครวญครางอย่างเหลือทนและลมหายใจร้อนชื้นของสตรีกระจายไปทั่วใบหน้า ใจเต้นเร็วอย่างควบคุมไม่ได้ขึ้นมาทันที
‘กู้ฉางยวน…’ นางขมวดคิ้วครวญคราง เรียกชื่อของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ‘ฉางยวน…’
‘เอี๊ยด…’
จู่ๆ ก็มีเสียงเสียดสีบาดหูดังขึ้น ฮวาหยางล้มไปด้านหน้า โต๊ะที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาถูกผลักห่างออกไประยะหนึ่งทันที
กู้ซิ่งจือตกใจกับความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ ครั้นก้มลงมองจึงพบว่าการดันเมื่อครู่ทำให้แท่นฝนหมึกบนโต๊ะพลิกคว่ำ น้ำหมึกสาดกระจาย ไม่เพียงทำให้ตัวอักษรที่เขียนเสียหาย แต่ยังกระเซ็นถูกนางทั้งตัว
เมื่อสติกลับคืนมา เขาจึงพบว่าคนที่อยู่ข้างๆ ตกใจไม่น้อย ดวงตาที่เปียกชื้นกำลังมองเขาอย่างตื่นตกใจยิ่ง
“ขออภัย” กู้ซิ่งจือโบกมืออย่างเหนื่อยล้าและเอ่ยว่า “คงเป็นเพราะระยะนี้เหนื่อยเกินไป ทำให้สับสนเล็กน้อย ทำเจ้าตกใจ…”
ยังพูดไม่จบสายตาก็มองไปยังมืออีกข้างที่สาวน้อยจับเอาไว้แน่น ดูเหมือนนางกำลังจับอะไรบางอย่าง
“เป็นอะไรไป” กู้ซิ่งจือไม่เข้าใจ “ข้าทำให้ของสำคัญอะไรของเจ้าสกปรกหรือไม่”
ครู่หนึ่งฮวาหยางจึงพยักหน้า แล้วรีบส่ายหน้าทันที กู้ซิ่งจือมองดูสิ่งที่อยู่ในมือนางด้วยความสับสน ก่อนจะจำของที่มีรอยหมึกจางๆ นั้นได้
นั่นคือถุงผ้าที่ฉินเจาถือเอาไว้ก่อนตาย
และในเวลานี้ฮวาหยางก็รู้สึกตัวเช่นกัน จับถุงผ้าที่เปื้อนน้ำหมึกจนมองไม่เห็นสีเดิม ก้มหน้าแล้วผลักประตูวิ่งหนีไป
ห้องอ่านหนังสือที่ว่างเปล่า แสงเทียนที่มืดลงเรื่อยๆ
กู้ซิ่งจือยืนอยู่คนเดียวครู่หนึ่ง หวนนึกถึงภาพที่ปรากฏขึ้นในสมองเมื่อครู่ก็อดที่จะยันกายกับโต๊ะด้วยความเสียใจไม่ได้
สถานที่ในฝันที่เขาเคยไปมานับครั้งไม่ถ้วน ย่อมรู้ดีว่าที่นั่นคือห้องขังนักโทษประหารของกรมอาญา ทำเรื่องเช่นนั้นกับนักโทษหญิงในห้องขังนักโทษประหาร…
กู้ซิ่งจือกำหมัดทุบหน้าผาก ไม่ต้องพูดถึงการทำอย่างนั้นจริงๆ แม้แต่คิด เขาก็ยังรู้สึกว่าเหลือเชื่อแล้ว
เหลวไหล
เหลวไหลจริงๆ
วันรุ่งขึ้น ครั้นถึงเวลาทำงานฉินซู่ก็รีบไปที่สำนักราชเลขาธิการทันที
ตอนที่เขาไปถึงก็เห็นกู้ซิ่งจือผู้เคร่งขรึมทำหน้าบึ้งตึง ยัดกองสิ่งของไว้ใต้โต๊ะด้วยท่าทางสง่างาม
ต้องรู้ว่าคนทั่วไปที่เข้าพบรองราชเลขาธิการขั้นสามของราชสำนักในใจมักจะมีความเคารพและเกรงกลัวอยู่มาก ไม่ต้องพูดถึงการยัดของ ถึงจะยัดสาวงามเข้าไปก็ไม่มีใครกล้าถาม
แต่ฉินซู่เป็นคนช่างสังเกต แล้วยังคุ้นเคยกับกู้ซิ่งจือ เขารู้สึกว่าการกระทำนี้ของอีกฝ่ายไม่ปกติ ดังนั้นจึงหรี่ตา เดินเข้าไปและแสร้งพูดอย่างเคร่งขรึม
“เมื่อครู่ทหารของกองทหารรักษาวังคนนั้นยอมบอกแล้ว”
ขณะที่พูดมือหนึ่งก็เอื้อมไปที่ใต้โต๊ะอย่างรวดเร็ว
‘เพียะ!’
เสียงฝ่ามือกระทบกันดังขึ้นที่ข้างหู ฉินซู่รู้สึกว่าข้อมือตึงทันที ข้อมือของเขาถูกกู้ซิ่งจือจับไว้อย่างแม่นยำ ไม่เพียงเท่านั้นนิ้วชี้ที่เหมือนหยกแกะสลักยังกดชีพจรของเขาอย่างแรง
จู่ๆ ในห้องก็มีเสียงเหมือนหมูถูกเชือดดังขึ้น
“เหตุใดนิสัยมืออยู่ไม่สุขของเจ้าจึงแก้ไม่หายสักที” กู้ซิ่งจือสะบัดมือของฉินซู่ออก เคลื่อนโต๊ะที่ถูกเลื่อนจนเบี้ยวพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ฉินซู่นั่งยองๆ อยู่บนพื้นโดยจับมือที่เกือบจะหักไว้ จ้องหน้ากู้ซิ่งจือแล้วพูดด้วยความโกรธเคือง “ภิกษุกู้ เจ้าบอกมาตามตรง เจ้าจับปลาในเวลาทำงานใช่หรือไม่”
กู้ซิ่งจือหยิบหนังสือราชการที่อยู่ด้านหนึ่งของโต๊ะมาอ่านโดยไม่สนใจเขา
“เจ้าคงไม่ได้…” จู่ๆ ฉินซู่ก็นั่งตัวตรงแล้วพูดด้วยสีหน้าตื่นรู้ว่า “ในที่สุดก็รู้แจ้งแล้ว จึงแอบดูภาพวาดร่วมประเวณีสินะ?”
มือที่พลิกหน้าหนังสือชะงัก กู้ซิ่งจือไม่ได้ตอบเขา แต่ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ดูเหมือนว่าวันนี้รองเสนาบดีฉินจะว่างมาก ถึงมาถึงสำนักราชเลขาธิการได้”
“…” ฉินซู่ตกใจ เมื่อทบทวนดูแล้วในคำพูดนี้มีภัยคุกคามซ่อนอยู่ จึงรีบเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจังมีหลักการ ลุกขึ้นนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือ* ที่อยู่ข้างๆ แล้วเอ่ยว่า “ไม่ใช่อย่างแน่นอน ข้าน้อยย่อมต้องมีธุระสำคัญ”
กู้ซิ่งจือยังคงพลิกหนังสือ ไม่สนใจอีกฝ่าย
ฉินซู่เหงื่อแตกพลั่ก รู้ว่ากู้ซิ่งจือเป็นคนใจแคบเช่นนี้ แต่เป็นผู้น้อยก็ต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังควบตำแหน่งฝ่ายตรวจการที่ทำหน้าที่ตรวจสอบขุนนางทุกขั้นทุกฝ่ายอีกด้วย
ดังนั้นฉินซู่ผู้เข้าใจสถานการณ์ดีจึงกระแอมในลำคอและพูดอย่างจริงจังว่า “ทหารของกองทหารรักษาวังเพิ่งบอกข้าว่าคืนก่อนที่เสนาบดีเฉินจะถูกสังหารมีคนให้เงินเขาจำนวนหนึ่ง ให้เขาถ่วงเวลาองครักษ์ที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนในคืนนั้น อีกฝ่ายให้เขาดูบันทึกเข้าเวรในคืนนั้น และบอกว่าแค่ให้องครักษ์คนนั้นไปสายเป็นเวลาหนึ่งถ้วยชา** ก็พอ เป็นเพียงความแค้นส่วนตัว อยากจะสั่งสอนเขาเสียหน่อย”
มือที่พลิกหนังสือหยุดชะงัก สายตาลึกล้ำโผล่พ้นออกมาจากด้านหลังหนังสือ จ้องอีกฝ่ายเขม็ง
“พบอะไรในบันทึกนั่น”
“ที่แปลกก็แปลกที่ตรงนี้” ฉินซู่เคาะโต๊ะน้ำชา “เมื่อครู่ข้าไปกองทหารรักษาวังเพื่อตรวจสอบบันทึกเข้าเวรในคืนนั้น พบว่าเวลาไม่มีการเปลี่ยนแปลง”
“นั่นหมายความว่า…”
“นั่นหมายความว่าหากคำพูดของทหารผู้นั้นเป็นความจริง ใครเล่าที่สามารถเปลี่ยนเวลาเข้าเวรโดยไม่มีผู้ใดรู้เห็นได้ และสามารถรับรองได้ว่าคนที่ไม่ไปทำงานตรงเวลาก็จะไม่มีใครจับได้”
“อวี๋โหวแห่งกองทหารรักษาวัง?” กู้ซิ่งจือถาม
ฉินซู่พยักหน้า นัยน์ตามีรอยยิ้มขณะเอ่ยว่า “นอกจากนี้อวี๋โหวคนนี้เมาสุราและตกลงไปในแม่น้ำหลังจากเกิดเรื่องเสนาบดีเฉินไม่นาน จมน้ำตายแล้ว”
กู้ซิ่งจือได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วมองไปที่หนังสือราชการในมือ พลิกหน้ากระดาษด้วยท่าทีสบายๆ แล้วเอ่ยขึ้น
“พาคนสองสามคนไปขุดหลุมศพของเขา ตายต้องเห็นศพ”
ฉินซู่เบะปาก พูดอย่างเกียจคร้านว่า “ไม่รบกวนให้ใต้เท้ากู้ต้องลำบากใจ เรื่องขุดหลุมศพเปิดโลงศพเช่นนี้ข้าทำในกรมอาญามาหลายครั้งแล้ว”
“แล้วคนเล่า?”
ฉินซู่จุปาก เหมือนกำลังต่อว่ากู้ซิ่งจือที่ไม่ชื่นชมเขาสักเล็กน้อย ครู่หนึ่งจึงพูดอย่างสบายๆ ว่า “เป็นตามที่เจ้าและข้าคิดไว้ โลงศพว่างเปล่า”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 24 ก.ย. 67
Comments
comments
No tags for this post.