บทที่ 9 ประลองหมาก
กู้ซิ่งจือได้ยินดังนั้นกลับไม่ได้แปลกใจมากนัก
กลยุทธ์จักจั่นทองลอกคราบ แผนการตายหนีความผิดไม่ใช่แผนการใหม่อะไร เขาเห็นมามากแล้ว เพียงแต่หากคนที่อยู่เบื้องหลังรู้ว่าคนที่สมควรตายยังไม่ตาย เกรงว่าจะชิงฆ่าคนปิดปากเสียก่อน
ดังนั้นเวลานี้ต้องรีบชิงลงมือ
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวางหนังสือในมือลงกำลังจะจัดเตรียมการ กลับเห็นฉินซู่รีบวิ่งมาตรงหน้าเขาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้แล้วเอื้อมมือลงไป จับกองสิ่งของที่เขาเพิ่งยัดเข้าไปใต้โต๊ะนั้นอย่างแม่นยำแล้วดึงออกมา จากนั้นกระดาษก็กระจัดกระจาย ‘พึ่บพั่บ’ ทั่วพื้นทันที
แม้จะอารมณ์ดีเพียงใด กู้ซิ่งจือก็รู้สึกโกรธเล็กน้อย จึงก้าวไปข้างหน้าจับคอเสื้อฉินซู่ไว้แล้วยกขึ้น
“เอ๊ะ! โอ๊ย! ปล่อยข้า! เขาจะฆ่าคนแล้ว! กู้ซิ่งจือรองราชเลขาธิการจะฆ่าคนอย่างเปิดเผยตอนกลางวันแสกๆ ในสำนักราชเลขาธิการแล้ว!”
การดิ้นรนของฉินซู่ไม่เป็นผล เขาตะโกนพร้อมกับสลัดกระดาษแผ่นหนึ่งออกจะดูให้ได้
“นี่คือ…” ฉินซู่ที่ถูกยกคอเสื้อขึ้นสีหน้าเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ มองดูสิ่งที่คล้ายแบบคัดลายมือในมือ หน้าย่นเหมือนลูกมะระ
ในมือว่างเปล่า ของถูกกู้ซิ่งจือแย่งกลับไปแล้ว
“เหตุใดเจ้าจึงเขียนแบบคัดลายมือ” ฉินซู่เดินตามกู้ซิ่งจือที่ก้มลงเก็บของ จะต้องถามให้ถ่องแท้ให้ได้
“ฝึกคัดลายมือ”
ฉินซู่ตกตะลึง รู้สึกเหมือนตนเองได้ยินเรื่องน่าขัน
เมื่อมองไปทั่วหนานฉี ลองถามดูว่ามีใครไม่รู้บ้างว่ากู้ซิ่งจือซึ่งเป็นทายาทสายตรงของสกุลกู้แห่งเมืองจินหลิงนั้น นอกจากมีความสามารถยอดเยี่ยมและตำแหน่งสูงส่งแล้ว ยังเชี่ยวชาญการดีดพิณ เดินหมาก เขียนอักษร และการวาดภาพอีกด้วย
โดยเฉพาะการเขียนพู่กันที่มีพลังงดงาม เป็นธรรมชาติ และยังมีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย แม้แต่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังชื่นชมว่าเขาเป็นนักเขียนพู่กันอันดับหนึ่งในหนานฉี แต่ตอนนี้ภิกษุกู้ผู้นี้กลับตอบด้วยสีหน้าไม่มีความรู้สึกว่ากำลังเขียนแบบคัดลายมือเพื่อฝึกคัดลายมือ
ฉินซู่ฉุกคิด รู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังดูถูกกรมอาญาของเขา และยังดูถูกตัวเขาด้วย
ขณะที่คำถามกำลังจะออกจากปากก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นที่นอกประตู ฉินซู่ชะงัก ได้ยินเสียงที่มีความกังวลเล็กน้อยของเสมียน
“ฝ่ายตรวจการลาดตระเวนเมืองมารายงาน บอกว่าที่ริมฝั่งทางตอนใต้ของแม่น้ำฉินไหวมีขุนนางคนหนึ่งเมาสุราแล้วก่อความวุ่นวายขอรับ”
กู้ซิ่งจือยังคงดูเหมือนแม้ท้องฟ้าจะถล่มลงมาก็ไม่เป็นอะไร ถือแบบคัดลายมือแล้วเดินไปที่โต๊ะก่อนจะหันมาเอ่ยถาม
“เป็นใคร”
“ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ…” เสมียนก้มหน้าซับเหงื่อ “คนผู้นั้นดูแปลกหน้ามาก แต่แต่งกายหรูหราและมือเติบ บนตัวยังสวมเครื่องประดับหยกที่มีเพียงเชื้อพระวงศ์สวมใส่กัน ทางการจึงไม่กล้าจับกุมส่งเดชขอรับ”
กู้ซิ่งจือได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว แต่ยังคงพูดอย่างใจเย็นว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ควรไปหากรมอาญา ศาลต้าหลี่ หรือไม่ก็ฝ่ายตรวจการ มาหาสำนักราชเลขาธิการหมายความว่าอย่างไร”
เสมียนพึมพำ จำต้องพูดต่อว่า “เขา…เขาเป็นคนขอพบใต้เท้ากู้เอง แล้ว…แล้วยังถามว่าใต้เท้ากู้กล้าประลองหมากกับเขาอีกหรือไม่ขอรับ”
แบบคัดลายมือในมือถือไว้ไม่มั่น ตกลงบนโต๊ะส่งเสียงดัง ‘ตุ้บ’ หลังจากนั้นภายในห้องก็เงียบลงทันที
กู้ซิ่งจือและฉินซู่สบตากัน เห็นเขาอ้าปากกว้าง ดวงตากลมโตกะพริบอย่างเงียบๆ
เมาสุรา ก่อความวุ่นวาย เชื้อพระวงศ์ เข้าเมืองหลวงระยะนี้ ประกอบกับนิสัย ‘ติดการเดินหมาก’ นอกจากคนผู้นั้นแล้วจะเป็นใครได้อีก
“อา…คนผู้นั้น…” ฉินซู่เริ่มหัวเราะออกมาดังๆ อีกครั้งด้วยความเคยชิน “เรื่องอวี๋โหวจากกองทหารรักษาวังคนนั้นจะผัดวันประกันพรุ่งไม่ได้แล้ว เป็นเรื่องสำคัญ ข้าต้องกลับกรมอาญาตอนนี้เลย ถึงอย่างไรคนที่เขาต้องการพบคือเจ้าไม่ใช่ข้า เจ้าไปเองก็แล้วกัน”
พูดจบก็หายไปอย่างรวดเร็วเช่นเดิม
กู้ซิ่งจือยิ้มอย่างจนใจ แล้วสั่งไปที่ประตูด้วยเสียงเรียบว่า “เตรียมรถ”
รถม้าแล่นผ่านตรอกที่เสียงดังวุ่นวายและตลาดที่คึกคักมาถึงริมฝั่งทางตอนใต้ของแม่น้ำฉินไหวที่พลุกพล่านที่สุดในเมืองจินหลิง ถึงแม้จะยังไม่มืด แต่ที่นี่ก็มีคนเดินขวักไขว่ รถม้าวิ่งกันเกลื่อนกล่น
หลังจากผ่านทางแยกสองทาง กู้ซิ่งจือก็ให้คนบังคับรถจอดรถม้าไว้ด้านนอกหอคณิกาที่ใหญ่ที่สุดในริมฝั่งทางตอนใต้
จริงดังที่เขาคาดไว้ มีผู้คนมากมายรายล้อมอยู่หน้าประตูหอคณิกา ขุนนางและฝ่ายตรวจการลาดตระเวนเมืองหลายคนต่างกำลังมองผู้ที่กำลังตีอกชกหัวอยู่ตรงหน้าอย่างทำอะไรไม่ถูก
คนผู้นั้นสวมเสื้อคลุมที่เป็นงานปักซู* สีเหลืองทอง ทั้งที่เป็นสีสดซึ่งทำให้ดูล้าสมัย แต่เมื่อสวมอยู่บนตัวคนผู้นั้นกลับไม่ได้ดูผิดปกติแม้แต่น้อย ประกอบกับแสงแดดที่สาดส่องอยู่รอบตัวช่วยขับให้คนผู้นั้นดูเปล่งประกายยิ่งขึ้น
ดวงตากลมโตสดใสคู่นั้นหรี่ปรือเล็กน้อย ใบหน้าแดงก่ำ ทำให้คนอดต้องการที่จะเข้าใกล้ไม่ได้ เพื่อดูว่าข้างในนั้นซ่อนความหวานซึ้งไว้มากเพียงใด
“ใต้เท้า!” เมื่อผู้บัญชาการหน่วยพิทักษ์เมืองเห็นกู้ซิ่งจือก็รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างยิ่ง รีบวิ่งเหยาะๆ เข้ามาโค้งคำนับ ใช้สายตาสอบถามอย่างไม่มีเสียงว่าตนเองกำลังเผชิญหน้ากับใครกันแน่
เวลานี้เองบุรุษที่กึ่งเมาผู้นั้นก็มองมาทางกู้ซิ่งจือเช่นกัน แล้วตะโกนเรียกด้วยความประหลาดใจทันที
“พี่ฉางยวน!”
เสียงนั้นดังมากจนคนหูหนวกยังได้ยิน ดังก้องไปทั่วฟ้า สายตาทุกคู่ถูกดึงดูดไปที่ตัวของกู้ซิ่งจือโดยธรรมชาติ
ทว่าเขายังคงมีสีหน้าสงบนิ่งเช่นเดิมและไม่ได้ตอบคำถามของผู้บัญชาการ เดินไปหาคนผู้นั้น
“พี่ฉางยวน…” เสียงแหบพร่าอ่อนโยนเล็กน้อยหลังจากเมา มือข้างหนึ่งโผล่ออกมาจากแขนเสื้อกว้างสีเหลืองทองยื่นไปทางกู้ซิ่งจือ แต่ถูกกู้ซิ่งจือคว้าข้อมืออย่างแม่นยำ
คนผู้นั้นร้องคร่ำครวญขึ้นมาทันที “กู้ฉางยวน!”
กู้ซิ่งจือไม่สนใจ จับคอเสื้อเขาแล้วยกขึ้น ถามอย่างเย็นชาว่า “เจ้าจะไปเองหรือให้ข้าช่วยเจ้า?”
น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนและสงบนิ่ง ปราศจากการข่มขู่แม้แต่น้อย ราวกับนี่เป็นเพียงการถามตามปกติ
แต่คนที่ฟังกลับตัวสั่น ชิงพูดว่า “ถึงอย่างไรเจ้ากับข้าก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก และเป็นศิษย์อาจารย์คนเดียวกัน…อ๊ะ! ปล่อยนะ! ขาดใจแล้ว ขาดใจแล้ว! ข้าไป ข้าไปกับเจ้ายังไม่พอใจหรือ!”
จากนั้นกู้ซิ่งจือจึงยอมผ่อนแรงมือ เงยหน้าขึ้นมองหอคณิกาที่อยู่ด้านหลังเขาแล้วพูดกับบ่าวรับใช้เบาๆ ว่า “ห้องส่วนตัวหนึ่งห้อง ไม่ต้องการสตรีมารับใช้”
“เจ้าไม่ต้องการ ข้า…ต้องการ…ก็ได้ ข้าก็ไม่ต้องการเช่นกัน…”
ทั้งสองคนเดินตามกันขึ้นไปบนชั้นสอง
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาทำการค้าของหอคณิกา แขกในหอมีไม่มาก ส่วนใหญ่จะเป็นพ่อค้าผู้มั่งคั่งและลูกหลานของขุนนางที่ชอบความหรูหราจึงมาหารือกันที่นี่ ดังนั้นสภาพแวดล้อมจึงไม่นับว่าอึกทึกจนเกินไป
กลิ่นหอมของชาตลบอบอวล กู้ซิ่งจือสั่งธูปลายนกกระทาเพิ่มหนึ่งกระถาง ควันสีขาวลอยละล่อง หมอกปกคลุมเต็มห้อง
ทั้งสองนั่งตรงข้ามกันไม่พูดจา ครู่หนึ่งในที่สุดกู้ซิ่งจือก็ถามว่า “เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร”
คนผู้นั้นพิงอยู่บนเตียงหลัวฮั่น งอขาข้างหนึ่ง ตอบในท่านั่งที่ไม่น่ามอง “วันนี้ เพิ่งลงจากเรือ”
“เพิ่งลงจากเรือก็ก่อความวุ่นวายเช่นนี้ เจ้ากลัวว่าเกียรติยศตลอดชีพของเยียนอ๋องจะไม่พอให้เจ้าทำลายหรืออย่างไร” กู้ซิ่งจือรินน้ำชาแล้วพูดด้วยท่าทางสบายๆ
เยียนอ๋องก็คือน้องชายคนที่สี่ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เป็นท่านอ๋องที่ฮ่องเต้องค์ก่อนสถาปนาด้วยตัวเองและเป็นที่โปรดปรานอย่างยิ่ง น่าเสียดายที่เสียชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่ม และได้ฝังพระศพไว้ที่เนินม้าขาวระหว่างเคลื่อนทัพไปทางเหนือเมื่อสิบหกปีก่อน
ว่ากันว่าพ่อเสือไม่ให้กำเนิดลูกสุนัข ดังนั้นคงไม่มีใครเชื่อว่าหนุ่มเจ้าสำราญที่สำมะเลเทเมา ทำตัวเลอะเทอะที่อยู่ตรงหน้าคนนี้จะเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของเยียนอ๋องผู้ล่วงลับไปแล้ว
ซ่งอวี้…ทายาทผู้สืบทอดของเยียนอ๋อง
คนที่อยู่ตรงข้ามแยกเขี้ยวเล็กน้อย แย่งถ้วยชาที่อยู่ในมือของกู้ซิ่งจือมาแล้วดื่มอย่างไม่เกรงใจ ยังคงพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“กู้ฉางยวน เจ้าช่างใจดำยิ่งนัก! ข้าเพิ่งเดินทางจากที่ดินพระราชทานมาถึงเมืองหลวง เจ้าไม่เลี้ยงสุรานารีข้าก็แล้วไป เจอหน้ากันก็ทำร้ายข้าก่อน ทำร้ายเสร็จก็สั่งสอนข้า ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้ามาขอให้ข้าช่วยไม่ใช่ท่าทีเช่นนี้นี่นา”
กู้ซิ่งจือขมวดคิ้วมองเขา “ข้าขอให้เจ้าช่วย?”
ซ่งอวี้เห็นเขาข้ามแม่น้ำรื้อสะพาน* ก็โกรธมาก จึงหยิบตำราการเดินหมากออกมาจากอกเสื้อ เปิดหน้าแรกแล้วชี้ไปที่ตัวอักษรสามตัวบนนั้นแล้วเอ่ยขึ้น
“กู้ซิ่งจือ นี่คือตำราการเดินหมากของเจ้าใช่หรือไม่”
กู้ซิ่งจือรับตำราการเดินหมากไป ครู่หนึ่งจึงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “แม้จะเขียนชื่อของข้า แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ลายมือข้า”
“อะไรนะ!” ซ่งอวี้แย่งตำราการเดินหมากกลับคืนไปแล้วพูดด้วยความประหลาดใจ “นี่ไม่ใช่ตำราที่เจ้ามอบให้ข้าเพื่อขอบคุณที่ข้าช่วยให้บ่าวรับใช้ชราของเจ้าได้กลับคืนถิ่น กลับคืนสู่บ้านเกิดหรอกหรือ”
“อะไรนะ” คราวนี้เปลี่ยนเป็นกู้ซิ่งจือประหลาดใจแทน “ข้าเคยขอให้เจ้าทำเรื่องเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อไร”
ซ่งอวี้จ้องหน้าเขากลับด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ ดวงตากลมโตกลอกไปมาสองรอบอย่างล่องลอย “ก็…ประมาณครึ่งเดือนก่อน…เหมือนจะเป็นวันที่ยี่สิบหกหรือยี่สิบเจ็ดเดือนหนึ่ง…”
เวลานี้หัวใจของกู้ซิ่งจือเต้นผิดจังหวะอย่างบอกไม่ถูก
เขาดึงตำราการเดินหมากในมือของซ่งอวี้่มา ดูลายมือบนนั้นอย่างละเอียด…โครงสร้างงดงาม เส้นแนวนอนเบาเส้นแนวตั้งหนัก ลายเส้นหนา กว้างและมีพลัง…
นี่คือ…!
เส้นประสาทที่ค่อยๆ ขึงตึงอยู่ในตอนนี้เกิดเสียงดังผึง
นี่คือลายมือของเสนาบดีเฉิน!
ในราชสำนักนอกจากซ่งอวี้แล้ว คงจะไม่มีใครรู้ว่ากู้ซิ่งจือลอบเป็นศิษย์ของเสนาบดีเฉินเป็นเวลาสิบปี
ไม่มีวันที่เขาจะจำลายมือของเสนาบดีเฉินไม่ได้
ทันใดนั้นสระน้ำอันเงียบสงบก็ปั่นป่วนขึ้นมา กู้ซิ่งจือมองซ่งอวี้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ถามด้วยน้ำเสียงทุ้มเข้ม
“คนผู้นั้นคือใคร ชื่ออะไร เจ้าส่งเขาไปที่ใด ยังพอที่จะตามหาตัวได้หรือไม่”
ซ่งอวี้เวียนศีรษะกับคำถามมากมายของเขา จึงโบกมือส่งสัญญาณให้เขาใจเย็นก่อน จากนั้นก็แสร้งทำเป็นจิบน้ำชาแล้วพูดขึ้น
“จะตามหาก็สามารถตามหาได้ เจ้าจะไปหาเขาเมื่อไรก็ได้ ถึงอย่างไรเขาก็ไปไหนไม่ได้แล้ว เพียงแต่หาเขาพบเกรงว่าจะไม่มีประโยชน์มากนัก”
กู้ซิ่งจือมองหน้าซ่งอวี้ ไม่ได้พูดอะไร
“อะแฮ่ม…” ซ่งอวี้ที่เดิมทีต้องการทำสำบัดสำนวนถูกเขาจ้องหน้าจนรู้สึกผิด จึงต้องพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ตอนที่เขาถูกส่งไปถึงเขตอี้โจว เขาก็ตายแล้ว เจ้าจะไปหาก็คงเจอแต่หลุมฝังศพ”
ถ้วยชาในมือถูกกำแน่น กู้ซิ่งจือเอ่ยย้ำอีกครั้งด้วยเสียงทุ้ม “เจ้าแน่ใจว่าเขาตายแล้ว?”
“ข้าย่อมแน่ใจอยู่แล้ว!” ซ่งอวี้กลอกตา “คนนั้นข้ารับมาด้วยตนเอง เขาดูเหมือนจะตายมาแล้วอย่างน้อยสี่หรือห้าวัน ข้ายังส่งคนไปเลือกสถานที่ขุดหลุมฝังศพ หากไม่ใช่เพราะจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของเจ้า ทายาทผู้สืบทอดของท่านอ๋องเช่นข้าจะยอมเสียแรงเพราะเรื่องพวกนี้?”
“จดหมายที่เขียนด้วยลายมือฉบับนั้นยังอยู่หรือไม่”
ซ่งอวี้ชะงักไปครู่หนึ่ง มองดูกู้ซิ่งจืออย่างเบื่อหน่าย “ข้าจะเก็บจดหมายของเจ้าไว้ด้วยเหตุใด ข้าไม่ได้แอบชอบเจ้าเสียหน่อย…”
กู้ซิ่งจือคร้านที่จะโต้เถียงกับเขา จึงพลิกตำราการเดินหมากดูแล้วปะติดปะต่อช่วงเวลาที่เสนาบดีเฉินถูกสังหาร
ซ่งอวี้บอกว่าได้รับจดหมายของเขาเมื่อวันที่ยี่สิบหกเดือนหนึ่ง จากนั้นก็หาสถานที่ฝังศพ
ในวันเดียวกันเสนาบดีเฉินก็ถูกสังหารที่ถนนหน้าวังหลวง
จากเมืองจินหลิงไปยังเขตอี้โจวอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสี่วัน ซ่งอวี้บอกว่าตอนเห็นคนผู้นั้น เขาตายมาสี่วันแล้ว ถ้าเช่นนั้นตอนที่เขาออกจากเมืองจินหลิงก็เป็นไปได้ว่าอาจจะตายแล้ว
หลังจากนั้นเสนาบดีเฉินก็เขียนจดหมายถึงซ่งอวี้ในนามของกู้ซิ่งจือ โดยขอให้ซ่งอวี้ช่วยฝังศพบ่าวรับใช้และมอบตำราการเดินหมากที่เขียนชื่อของกู้ซิ่งจือให้ซ่งอวี้เล่มหนึ่งเป็นของขวัญขอบคุณ
น่าจะเป็นเช่นนี้ไม่ผิดแน่ แต่เรื่องทั้งหมดจะแปลกก็แปลกตรงที่เหตุใดเสนาบดีเฉินจึงต้องทำเช่นนี้
ไม่ว่าจะเป็นการฝังศพบ่าวรับใช้ในนามของกู้ซิ่งจือหรือมอบตำราการเดินหมากในนามของกู้ซิ่งจือ ดูไปแล้วจุดประสงค์น่าจะต้องการให้ซ่งอวี้ไปหากู้ซิ่งจือ
แต่จะมาหาข้าเพื่อเหตุใด
เสนาบดีเฉินต้องการให้ซ่งอวี้เตือนอะไรข้ากันแน่
ความคิดวนไปเวียนมาตำราการเดินหมากในมือถูกเขาพลิกจนเกิดเสียงดัง จู่ๆ เบื้องหน้าก็พลันว่างเปล่า และมือที่พลิกตำราก็ชะงักอยู่กลางอากาศ
“เอ๊ะ! ใช่แล้ว หน้านี้ล่ะ” ซ่งอวี้โน้มศีรษะเข้ามาแล้วชี้ตำราการเดินหมากหน้าที่เปื้อนหมึกจนแทบจำสภาพเดิมไม่ได้แล้วเอ่ยว่า “ข้าบอกแล้วว่าเจ้าเป็นคนรอบคอบ มอบตำราการเดินหมากให้คนอื่นแล้วยังระบายทับไว้หน้าหนึ่ง เจ้ากลัวว่าข้าเข้าใจแล้วจะจัดการเจ้า จากนั้นข้าก็จะไม่มีใครสู้ได้อีกอย่างนั้นหรือ”
เสียงเอะอะโวยวายข้างหูค่อยๆ แผ่วไป สายตาของกู้ซิ่งจือมองไปที่คราบหมึกนั้นและวนเวียนอยู่เป็นเวลานาน
‘ฉางยวน’ น้ำเสียงพร้อมกับรอยยิ้มของเสนาบดีเฉินดังอยู่ข้างหู อีกฝ่ายนั่งโบกมือให้เขาอยู่ในป่าไผ่ที่รกชัฏ ชี้ไปที่กระดานหมากบนโต๊ะหินแล้วถามเขาว่า ‘รู้หรือไม่ว่าเหตุใดตนเองถึงแพ้’
กู้ซิ่งจือซึ่งอยู่ในวัยสิบห้าปีมองดูสถานการณ์การประลองที่จากมั่นใจในชัยชนะกลายเป็นพ่ายแพ้อย่างราบคาบภายในสามกระดานแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเงียบๆ
เสนาบดีเฉินหัวเราะเสียงดัง ตบหลังเขาเบาๆ แล้วพูดว่า ‘เพราะเจ้าอยากจะชนะมากเกินไป จึงมองแค่เป้าหมายสุดท้ายจนลืมการวางแผนในทุกขั้นตอน’
พูดจบเสนาบดีเฉินก็วางหมากตัวที่ถูกกู้ซิ่งจือกินกลับไปที่เดิมแล้วพูดน้ำเสียงสงบนิ่งว่า ‘หมากตัวนี้เจ้ากินไม่ได้ กินแล้วก็จะแพ้ เช่นนี้เรียกว่าสละหมากเพื่อชัยชนะ’
…สละหมากเพื่อชัยชนะ
“สละหมากเพื่อทำลายแนวป้องกันของฝ่ายตรงข้าม ฉวยโอกาสนี้เปิดเผยแม่ทัพของฝ่ายตรงข้าม เพื่อสะดวกต่อการโจมตีของหมากฝ่ายตนเอง” กู้ซิ่งจือพึมพำและจับตำราการเดินหมากในมือแน่นขึ้นเรื่อยๆ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”
เสียงของเขายังคงอ่อนโยน ไม่มีประกายไฟแม้แต่น้อย ท่ามกลางกลุ่มควันที่รวมตัวกัน กู้ซิ่งจือเงยหน้าขึ้นมองซ่งอวี้
“เสนาบดีเฉินใช้ตนเองสร้างกับดัก โดยใช้ความตายเชิญพวกเราเข้าร่วมด้วย”
บทที่ 10 การสำรวจยามวิกาล
“วางกับดักด้วยความตาย…” ซ่งอวี้เบิกตากลมโต มองดูกู้ซิ่งจืออย่างไม่อยากจะเชื่อ “การเสียสละครั้งนี้ยิ่งใหญ่เกินไปหรือไม่…”
กู้ซิ่งจือไม่ได้ตอบเขา ก้มมองตำราการเดินหมากในมือด้วยแววตาเคร่งเครียด
เดิมพันนี้สูงเกินไปจริงๆ
หากไม่เป็นเพราะไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้ว คิดว่าคงไม่มีใครโง่เขลาพอที่จะเดิมพันด้วยชีวิต
ดังนั้นเพราะเหตุใดเสนาบดีเฉินจึงคิดว่าตนเองจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยกันแน่
ในเมื่อรู้ว่าจะต้องตาย เหตุใดจึงไม่ทิ้งเบาะแสไว้เพื่อเปิดโปงฆาตกรตัวจริง แต่เลือกใช้วิธีที่วกวนเช่นนี้โดยการวางแผนให้ซ่งอวี้มาหาข้า
กู้ซิ่งจือไม่เข้าใจจริงๆ จึงหันมาถามซ่งอวี้ว่า “เหตุใดเจ้าจึงมาเมืองหลวง”
ซ่งอวี้ชะงักงันไปครู่หนึ่ง กำลังคิดว่าพวกเขาตื่นเต้นมากที่ได้พบกันจนลืมเรื่องนี้ไป จึงคลี่พัดในมือออกพลางพูดขึ้น
“ก็ต้องเป็นเพราะเสด็จลุงเรียกข้ามาอยู่แล้ว พระองค์ตรัสว่าข้าอายุยี่สิบกว่าแล้ว มีเพียงบรรดาศักดิ์ แต่ไม่มีตำแหน่งในราชสำนัก จึงได้พระราชทานตำแหน่งรองหัวหน้าสำนักพิธีกรรมแก่ข้า ครั้งนี้ข้าจึงเข้าเมืองหลวงมารายงานตัว” พูดจบก็ขยับเข้าใกล้กู้ซิ่งจืออีกครั้งแล้วเอ่ยกระซิบ “ได้ยินมาว่าอีกสองเดือนทูตจากเป่ยเหลียงจะเข้าเมืองหลวง ราชสำนักรับผิดชอบเรื่องการต้อนรับและส่งออกเดินทาง เวลานี้สำนักพิธีกรรมยังขาดคนอยู่”
เขาโบกพัดในมือ ท่าทางสบายๆ ไม่ใส่ใจ
กู้ซิ่งจือกลับฟังแล้วตกใจ
มีใครไม่รู้บ้างว่าเยียนอ๋องสิ้นชีพด้วยคมดาบของชาวเป่ยเหลียง หลายปีมานี้ราชสำนักคอยประจบเอาใจก็ช่างเถิด เวลานี้ยังมอบหมายให้สายเลือดเพียงคนเดียวของเยียนอ๋องช่วยทำงานเช่นนี้อีก
โชคดีที่ซ่งอวี้เป็นหนุ่มเจ้าสำราญ ถ้าเป็นคนดื้อรั้นป่านนี้คงถูกตั้งข้อหาขัดพระราชโองการไปนานแล้ว
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่านี่คงเป็นความคิดของฝ่ายสันติ
เมื่อก่อนตอนที่เสนาบดีเฉินยังมีชีวิตอยู่ เขาดูแลทายาทของเยียนอ๋องอย่างดี ตอนนี้เมื่อเขาเสียชีวิตไปแล้ว ฝ่ายสันติจะต้องหาทางคว้าโอกาสในการปราบฝ่ายใช้กำลังอย่างแน่นอน
และซ่งอวี้ทายาทเยียนอ๋องก็เป็นคนไม่มีสมองมาแต่ไหนแต่ไร ทันทีที่เขาทำผิดพลาด ฝ่ายใช้กำลังต้องปกป้องเขา ก็ย่อมนำความยุ่งยากมาให้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สีหน้าของกู้ซิ่งจือเคร่งเครียดขึ้นกว่าเดิม เพียงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “หากเจ้าไม่ต้องการรับตำแหน่งนี้ก็บอกมาได้ ทางฝ่ายฮ่องเต้ข้าจะจัดการเอง”
“เอ๊ะๆๆ! เจ้าจะทำอะไร!”
ซ่งอวี้ที่เมื่อครู่เพิ่งจะโบกพัดอย่างสบายๆ เมื่อได้ยินดังนั้นก็เต้นผางขึ้นมาทันที ยืดคอแล้วพูดกับกู้ซิ่งจือว่า “ข้าอายุยี่สิบกว่าแล้ว เพิ่งจะได้รับตำแหน่ง เจ้ายังคิดที่จะทำให้ข้าไม่สมหวังอีก?! กู้ซิ่งจือ บางครั้งข้าก็สงสัยความสัมพันธ์ระหว่างเราจริงๆ”
กู้ซิ่งจือเห็นท่าทางไม่มีพิษภัยของอีกฝ่าย ในที่สุดก็หุบปาก
การต่อสู้ระหว่างสองฝ่าย เขาไม่อยากที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวมาโดยตลอด ในเมื่อซ่งอวี้เองยังไม่สนใจ ถ้าเช่นนั้นเขาในฐานะคนนอกก็ย่อมไม่สามารถพูดอะไรได้อีก ดังนั้นเขาจึงถามเปลี่ยนหัวข้อไป
“ถ้าเช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่เจ้าฝังคือใคร”
ซ่งอวี้หัวเราะพลางใช้พัดเคาะศีรษะแล้วพูดว่า “ในจดหมายบอกแต่เพียงว่าเขาชื่อฟั่นเซวียน เป็นชาวเมืองซุ่ยเฉิงเขตอี้โจว ตอนที่เสียชีวิตอายุสี่สิบสอง เป็นทหารตั้งแต่ยังหนุ่ม ระหกระเหินอยู่ครึ่งชีวิต หวังว่าหลังเสียชีวิตแล้ววิญญาณจะได้กลับบ้านเกิด”
“ฟั่นเซวียน…”
ชื่อนี้ไม่คุ้นหูจริงๆ กู้ซิ่งจือทำได้เพียงจดจำคำพูดของซ่งอวี้ไว้อย่างเงียบๆ และคิดว่าจะให้ฉินซู่จัดคนของกรมอาญาไปตรวจสอบอย่างละเอียดโดยเร็วที่สุด
หลังจากที่ซ่งอวี้พูดจบก็นอนยืดแข้งยืดขาลงบนเตียงแล้วพึมพำอย่างไม่พอใจ “พูดมานานถึงเพียงนี้ ปากคอแห้งแล้ว ใต้เท้ากู้ก็ไม่มีสุราให้ดื่มสักอึก…”
กู้ซิ่งจือคร้านที่จะสนใจ เมื่อเก็บตำราการเดินหมากเสร็จก็หยิบเศษเงินออกมาจากถุงผ้าที่เอววางลงบนโต๊ะน้ำชา แล้วลุกขึ้นยืนจะออกไป ทว่าเพิ่งจะขยับแขนเสื้อก็ถูกซ่งอวี้ดึงไว้
เห็นอีกฝ่ายกะพริบตากลมโตคู่นั้นมองเขาพร้อมรอยยิ้มแล้วพูดว่า “ฟ้ามืดแล้ว ใต้เท้ากู้ก็น่าจะเลิกงานแล้ว ในเมื่อใต้เท้ากู้ไม่เลี้ยงสุราข้า ถ้าเช่นนั้นข้าเลี้ยงเจ้าเอง ดีหรือไม่ ไปที่จวนข้า”
กู้ซิ่งจือดึงแขนเสื้อของตนเองกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย พูดเรียบๆ ว่า “ไม่จำเป็น”
“เอ๊ะ!” ซ่งอวี้คำราม แขนเสื้อของกู้ซิ่งจือถูกดึงไว้อีกครั้ง “ภิกษุกู้ ข้ายังอยากจะถามเจ้าอีกเรื่องหนึ่ง”
ซ่งอวี้จับแขนเสื้อของกู้ซิ่งจือไว้แน่น ราวกับต้องการจะบีบน้ำออกมาจากข้างใน
“น้องสาวของข้าคิดอย่างไรกับเจ้า เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่ นางเข้าพิธีปักปิ่น* จนถึงวันนี้เป็นเวลาสองปีกว่าแล้ว เจ้าปล่อยให้นางรอต่อไป นางก็จะกลายเป็นสาวแก่แล้ว”
กู้ซิ่งจือขมวดคิ้วและพูดด้วยสีหน้ารำคาญอย่างยิ่ง “ข้าให้จวิ้นจู่รอตั้งแต่เมื่อไร”
“แล้วเจ้าไม่แต่งงานกับนางไม่ใช่เป็นการให้นางรอหรอกหรือ” หนุ่มเจ้าสำราญพูดเต็มปากเต็มคำ
นับว่ากู้ซิ่งจืออารมณ์ดี เจอคนที่ตอแยไม่เลิกและไม่มีเหตุผลก็ยังถามกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ฉางผิงจวิ้นจู่ไม่ยอมแต่งงานแล้วเกี่ยวอะไรกับข้า”
“เอ๊ะ?” ซ่งอวี้ได้ยินดังนั้นก็เริ่มโกรธ กระโดดลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว ชี้จมูกของกู้ซิ่งจือแล้วเอ่ยว่า “เหตุใดถึงไม่เกี่ยวกับเจ้า นางชอบเจ้าตั้งแต่อายุสิบสามและคิดจะแต่งงานกับเจ้าเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะเจ้ามีหน้าตาที่เป็นภัยต่อบ้านเมืองและผู้คนโดยเฉพาะสาวน้อย ชิงเกอของพวกเราจะดื้อดึงเช่นนี้หรือ!”
“…” กู้ซิ่งจือถอยหลังไปสองก้าว ดึงแขนเสื้อของตนเองกลับ ขมวดคิ้วแน่นแล้วเอ่ยว่า “เถียงข้างๆ คูๆ”
พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อ ทิ้งร่างด้านหลังของคุณชายรูปงามดุจพระจันทร์ไว้ให้ซ่งอวี้มอง
ในที่สุดเสียงกวนใจด้านหลังก็ห่างไกลออกไป
สายลมอุ่นพัดผ่าน พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าไปทางทิศตะวันตก แสงสายัณห์สาดส่องลงบนผิวน้ำเกิดประกายสีทองระยิบระยับสดใส…
ความงดงามเต็มดวงตา แต่กู้ซิ่งจือกลับรู้สึกในใจว่างเปล่า
เท้าพลันหยุดชะงัก เขาหันหลังขึ้นรถม้า เคาะผนังรถแล้วเอ่ยว่า “ไปกรมอาญา”
อีกด้านหนึ่งฮวาหยางซึ่งไม่พบสิ่งใดในจวนสกุลกู้จึงตัดสินใจไปสำรวจที่จวนสกุลเฉินในยามค่ำคืน
ทันทีที่ฟ้ามืดนางก็เปลี่ยนเป็นชุดปฏิบัติการในยามกลางคืน กระโดดออกจากลานด้านหลังของจวนสกุลกู้
คืนนี้แสงจันทร์สลัว ส่องให้เห็นร่างบางที่เคลื่อนไหวปราดเปรียวบนแผ่นหินเป็นบางครั้ง
เฉินเหิงสูญเสียภรรยาไปตอนช่วงวัยกลางคนและไม่มีอนุภรรยา มีบุตรสาวเพียงสองคน หลายปีก่อนบุตรสาวออกเรือน จวนสกุลเฉินจึงเหลือเพียงเขากับลูกศิษย์และบ่าวรับใช้จำนวนหนึ่งอาศัยอยู่
เวลานี้เขาจากไปแล้ว จวนจึงถูกทิ้งร้าง และหลังจากเกิดเรื่องกับเขาไม่นานทางราชสำนักก็ได้ส่งคนมาล้อมที่นี่ไว้ ไม่มีคนที่ไม่เกี่ยวข้อง ช่วยลดความยุ่งยากในการสำรวจยามค่ำคืนของฮวาหยางได้
ปลายเท้าแตะพื้น เบาจนไม่มีเสียง ฮวาหยางกระโดดข้ามกำแพงเข้ามาจากลานด้านหลังของจวน ลงมายังห้องนอนด้านหลังอย่างไร้เสียงเช่นกัน
ค่ำคืนมืดสลัว ลานที่ว่างเปล่าเงียบเหงาไม่ได้จุดไฟ ฮวาหยางหยิบกลักจุดไฟออกมาจากอกเสื้อ คว้าโคมไฟบนระเบียงมาจุดแล้วยื่นมือออกไปผลักประตูห้องนอน
เดิมทีแค่ลองดู แต่ไม่คาดคิดว่าประตูจะถูกผลักออกได้อย่างง่ายดาย
สายตานางมองไปที่รอยขีดข่วนรอบๆ กลอนประตู มือพลันชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ในใจมีความรู้สึกแปลกๆ
ดูเหมือนว่าที่นี่จะเคยถูกคนลอบเข้ามาสำรวจแล้ว
ดวงตาสีเหลืองอำพันจ้องเขม็ง นางเดินเข้าไปอย่างช้าๆ
ภายใต้แสงจันทร์และแสงไฟ การตกแต่งภายในห้องเป็นระเบียบเรียบร้อย นิ้วค่อยๆ ลูบผ่านโต๊ะและตู้สูง มีฝุ่นจากด้านบนร่วงลงมาบางๆ
นางลูบเช่นนี้ไปตลอดทาง จนกระทั่งเดินมาถึงหน้าตู้หนังสือแถวหนึ่งที่อยู่ในห้องด้านข้าง ผิวสัมผัสที่ปลายนิ้วก็เปลี่ยนไปทันที
ตู้ไม้แดงพื้นผิวเรียบ ไม่เปื้อนฝุ่น
อืม…เคยมีคนมาที่นี่จริงๆ
ฮวาหยางดึงมือกลับ สายตามองไปยังด้านในของตู้หนังสือ สังเกตฝุ่นเหล่านั้นที่ปกคลุมอยู่
…ลากเป็นแนวยาวกระจัดกระจาย
ดูเหมือนว่าตู้หนังสือทั้งหมดจะเคยถูกรื้อค้นมาก่อน
เดิมทีฮวาหยางมีนิสัยเกียจคร้าน และเรื่องที่คนอื่นเคยทำมาก่อน นางไม่เคยสนใจที่จะทำอีกครั้ง ดังนั้นนางจึงหันไปมองชั้นวางของอีกครั้ง
ตรงนั้นมีแจกันกระเบื้องสีขาว ดอกเหมยสีขาวกิ่งหนึ่งในนั้นเหี่ยวเฉาแล้ว นอนนิ่งอย่างเงียบๆ เหมือนศพแห้ง
แสงจันทร์เย็นยะเยือกสาดส่องลงมา สะท้อนให้เห็น ‘พระจันทร์เสี้ยว’ ครึ่งวงกลมสีแดงสดด้านบนชั้นวาง
มันเป็นรอยใหม่ที่เกิดขึ้นจากฝุ่นระหว่างก้นแจกันกับชั้นวางหลังจากเคลื่อนย้ายแจกันแล้ว
ฮวาหยางยกแจกันขึ้น ก่อนจะได้ยินเสียงเบาๆ จากข้างใน
มีน้ำ…
แจกันที่เลี้ยงดอกเหมยมีน้ำอยู่ไม่น่าแปลก แต่น้ำในแจกันใบนี้มีน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง แม้แต่ปลายก้านกิ่งเหมยก็แตะไม่ถึง
นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก
เห็นได้ชัดว่ามีคนแตะต้องน้ำในแจกันใบนี้ น้ำน่าจะถูกเทออกไปบางส่วน
ฮวาหยางกำลังครุ่นคิด พร้อมกับขมวดคิ้วมองไปรอบๆ สายลมยามค่ำคืนพัดเข้ามาทางหน้าต่าง พัดดอกกล้วยไม้ที่แห้งตายแล้วข้างๆ เผยให้เห็นขี้เถ้าสีดำที่อยู่ข้างใต้
“นี่มัน…” ฮวาหยางประหลาดใจ ขณะกำลังจะวางแจกันกระเบื้องไว้บนชั้นวางเหมือนเดิมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากด้านนอก
มีคนถือโคมไฟเดินมา ในห้องที่เดิมทีมืดมิดค่อยๆ สว่างขึ้น
“ใต้เท้าระวังขอรับ” คนที่พูดเป็นชายแปลกหน้า
ฮวาหยางดับโคมไฟในมือ คิดจะกระโดดออกไปทางหน้าต่าง แต่เวลาต่อมานางก็ได้ยินเสียงที่อบอุ่นและกังวานราวกับหยกกระทบหิน
กู้ซิ่งจือส่งเสียง “อืม” เบาๆ แล้วกล่าวขอบคุณคนนำทาง
ในพริบตาที่กำลังเหม่อลอยนั้นเองก็มีเสียง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ ดังเบาๆ ขึ้นด้านหลัง ประตูห้องถูกเปิดออก
‘เพล้ง!’
แจกันกระเบื้องแตกละเอียดทำให้เกิดเสียงที่น่าตกใจดังขึ้นในค่ำคืนที่ว่างเปล่าเงียบเหงา
“ใคร!”
แสงเทียนเบื้องหน้าแกว่งไกว กู้ซิ่งจือเห็นเงาร่างสีดำสายหนึ่งยันแขนกระโดดออกไปทางหน้าต่าง
ฉินซู่รีบวิ่งเข้ามาจากนอกห้อง เมื่อเห็นหน้าต่างที่ขยับไหวดังเอี๊ยดอ๊าด สีหน้าก็เคร่งเครียด “มีคน?”
กู้ซิ่งจือไม่ได้ตอบเขา สายตามองไปที่คราบน้ำบนพื้นแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ใครก็ได้มานี่!” ฉินซู่สั่งด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม “บอกพวกเขาว่าตรวจให้ทั่วจวน ดูว่าใครลอบปะปนเข้ามา!”
พูดจบก็ชักกระบี่ออกมาแล้วนำคนของกรมอาญาไล่ตามไป
ภายในห้องเงียบลง กู้ซิ่งจือโน้มตัวไปเก็บแจกันกระเบื้องที่แตกละเอียด แล้วหันไปมองกล้วยไม้ที่แห้งตายต้นนั้น เมื่อแง้มใบแห้งเหี่ยวที่ห้อยลงมา เขาก็เห็นขี้เถ้าที่เกิดจากกระดาษที่เผาไหม้
กู้ซิ่งจือขมวดคิ้ว สายตากวาดมองไปที่คราบน้ำบนพื้นอีกครั้ง
ใช่แล้ว จะต้องมีคนเผาอะไรบางอย่าง จากนั้นก็ใช้น้ำดับไฟที่ยังคุอยู่ น้ำในแจกันกระเบื้องจึงเหลือเพียงเท่านี้
แต่เมื่อพิจารณาจากสภาพขี้เถ้า มันน่าจะอยู่ที่นี่มานานแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่คนที่ลอบเข้ามาเมื่อครู่เป็นคนเผา
ถ้าเช่นนั้นอาจจะเป็นฆาตกรตัวจริงหรือไม่
ด้านนอกฮวาหยางเคลื่อนไหวปราดเปรียวลอดอยู่ใต้ชายคาที่มีเงามืดราวกับแมวที่ว่องไวตัวหนึ่ง
นางสวมชุดสีดำทะมัดทะแมง ทั้งยังมีผ้าปิดหน้าและโพกศีรษะ เห็นเพียงดวงตาใสสะอาดเท่านั้น กู้ซิ่งจือและฉินซู่ไม่น่าจะจำนางได้
แต่สิ่งนี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับฉินซู่ในการนำคนไล่ตามนางไปตลอดทาง
ถึงอย่างไรเฉินเหิงก็เป็นเสนาบดี จวนก็ยิ่งใหญ่ ประกอบกับเมื่อครู่ตอนที่ฮวาหยางหลบหนีก็ตื่นตระหนกจนไม่ได้เลือกเส้นทาง เวลานี้จึงมีความรู้สึกเหมือนจะหลงทาง
นางถูกบังคับให้วิ่งวน วนไปรอบหนึ่งก็พบว่าตนเองถูกบังคับให้ไปยังที่ว่างในลานด้านหลังของจวน ที่นั่นกว้างขวาง นอกจากต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ติดกำแพงก็ไม่มีอะไรปิดบังเลย
องครักษ์ถือคบไฟโอบล้อมเข้ามาจากทุกทิศทางอย่างรวดเร็ว
ฮวาหยางกัดฟัน อยากจะปีนต้นไม้กระโดดออกไป แต่ทันทีที่ยกมือขึ้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงลมกระโชกแรงที่ข้างหู นางรีบหดมือกลับ
‘ปึก!’ ลูกธนูดอกหนึ่งปักลงบนจุดที่นางลดมือลงเมื่อครู่อย่างแม่นยำ
คนด้านหลังตามมาทันแล้ว
องครักษ์เห็นว่านางเสียสมาธิจึงพุ่งเข้าหาพร้อมกับกวัดแกว่งกระบี่เข้าใส่ ภายใต้แสงไฟประกายเย็นเยียบปรากฏขึ้นบ่อยครั้ง แสงกระบี่สีขาวกวัดแกว่งไปมาจนนางแทบจะลืมตาไม่ขึ้น
ดูท่าคงจะหนีไม่รอดแล้ว
ฮวาหยางหรี่ตา ใจสั่น ตัดสินใจชักกระบี่ออกมาแล้วพุ่งใส่องครักษ์ที่กำลังเข้ามาหา
บทที่ 11 ความสงสัย
เกือบจะในชั่วพริบตาที่กระบี่ออกจากฝักก็พลันปะทะกันจนเกิดเสียงดังสนั่น
ฮวาหยางกระโดดขึ้นไปในอากาศพลางกวัดแกว่งกระบี่ ผู้คนที่รายล้อมยังไม่ทันตอบสนองก็ถูกคมกระบี่ที่นางจู่โจมเข้ามาอย่างดุเดือดกวาดถอยหลังไปหลายก้าว จากนั้นนางก็พลิกฝ่ามือ กระบี่ยาวอ้อมไปด้านหลัง ปัดดาบและกระบี่ที่ใกล้เข้ามาอย่างกะทันหันให้กระเด็นไป
องครักษ์ฝีมือดีสิบกว่าคนจากกรมอาญาล้อมนางไว้ตรงกลาง แต่กลับถูกนางบีบให้ล่าถอยไป หลังจากพยายามอยู่หลายครั้งก็ไม่สามารถเข้าใกล้ได้แม้แต่น้อย
ฉินซู่ตกใจกับสถานการณ์เช่นนี้จนต้องกลืนน้ำลาย และข้างๆ ตัวเขาก็มีคนง้างสายธนูอีกครั้ง โดยเล็งลูกธนูไปยังตำแหน่งหัวใจของคนชุดดำจากทางด้านหลัง
“ไม่ได้นะ!” ฉินซู่รีบกดมือขององครักษ์ผู้นั้นลง “ต้องจับเป็น!”
ทันทีที่เขาพูดจบ มือที่ขาวราวกับหยกก็คว้าคันธนูยาวมาจากมือของฉินซู่
“เจ้าจะทำอะไร!” ฉินซู่เห็นสีหน้าของกู้ซิ่งจือเคร่งเครียด มือจับคันธนูไม่ยอมปล่อย
“เหลือแค่ลมหายใจให้พูดได้ก็พอแล้ว” กู้ซิ่งจือพูดเสียงเย็นชาพร้อมง้างสายธนู แววตาลึกล้ำเคร่งเครียด หัวธนูสีขาวเลื่อนลง เล็งไปที่หัวไหล่ขวาของคนชุดดำผู้นั้น
‘สวบ!’
ลูกธนูอันแหลมคมพุ่งทะลุอากาศ เกิดเสียงลมเบาๆ ท่ามกลางเสียงโลหะปะทะกัน
หูของฮวาหยางกระดิก เมื่อรู้ตัวลูกธนูดอกนั้นก็เข้ามาใกล้แล้ว ถึงอย่างไรก็หลบไม่พ้น นางทำได้เพียงหันหลังเบี่ยงตัวตามสัญชาตญาณ
‘ปึก!’
เสียงหนักๆ ดังมาจากต้นไม้ที่อยู่ด้านหลังทำให้แก้วหูของฮวาหยางสะเทือนตามไปด้วย ในเวลาเดียวกันก็มีความรู้สึกแสบร้อนเกิดขึ้นบนแผ่นหลัง ทั้งยังมีอะไรบางอย่างร้อนๆ อาบอยู่ที่เสื้อผ้าของนาง
ถูกยิงจริงๆ ด้วย
แต่โชคดีที่นางรู้ตัวเร็ว เก็บกดอาการบาดเจ็บจากลูกธนูนี้ลงถึงจุดต่ำสุด
เกิดเสียงดัง ‘หมับ’ หลังจากนั้นก็มีเสียงร้องอย่างน่าเวทนาดังมาจากกลุ่มขององครักษ์
มือที่ถือคันธนูของกู้ซิ่งจือชะงักไป เพราะเขาเห็นร่างสีดำในฝูงชนได้จับองครักษ์คนหนึ่งไว้เป็นตัวประกันตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ หลังของร่างสีดำนั้นพิงต้นไม้ จับองครักษ์ให้อยู่ด้านหน้าบังตนเองเอาไว้
ก่อนหน้านี้ไม่รู้สึก แต่เวลานี้เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วกู้ซิ่งจือก็พบว่าถึงแม้นักฆ่าคนนั้นจะไม่นับว่าตัวเล็ก แต่พอเทียบกับบุรุษจากกองทัพก็รูปร่างเล็กกว่าหนึ่งเท่าจริงๆ
เช่นนั้น…คนผู้นั้นอาจจะเป็นสตรี?
ในพริบตานั้นกู้ซิ่งจือก็นึกถึงคืนที่ฉินเจาเสียชีวิต นึกถึงนักฆ่าหญิงที่ฉินซู่บอกเขา
การล้อมจับมาถึงทางตัน
สายลมยามค่ำคืนพัดกระหน่ำ พัดจนหัวใจของผู้คนหดตัว
เลือดบนแผ่นหลังยังคงไหลไม่หยุด ก่อนหน้านี้ยังให้ความรู้สึกร้อน แต่ต่อมาก็เย็นลง เสื้อผ้าแนบตามตัวเปียกชื้นไปทั่ว
ฮวาหยางไม่ต้องการต่อสู้อีกต่อไป ศัตรูมีจำนวนมากกว่า แผนการในตอนนี้คือหนีไปให้เร็วที่สุด
ดังนั้นในระหว่างการเผชิญหน้ากัน นางจึงจับองครักษ์คนนั้นย้ายไปที่ใต้ต้นไม้
“เจ้าหนีไม่รอดหรอก” ฉินซู่เอ่ยปาก และใช้สายตาสั่งให้องครักษ์ที่ล้อมอยู่ง้างสายธนู
นางไม่ได้พูดอะไร ได้แต่รีบสังเกตสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวอย่างรวดเร็ว
หากจะปีนต้นไม้ก็ต้องผลักองครักษ์ออกไป แต่ทันทีที่ผลักเขาออก ลูกธนูของกรมอาญาก็จะพุ่งใส่นางเหมือนตะแกรง
ดังนั้นโอกาสเดียวที่จะหลบหนีได้ก็คือต้องเร็วพอ
ขณะกำลังครุ่นคิดสายตาของฮวาหยางก็มองไปยังต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น ต้นไม้ที่เมื่อครู่ปีนยังยากถูกลูกธนูสองดอกปักไว้แน่น
ลูกธนูสองดอก…
ฮวาหยางใจสั่น ในขณะที่ทุกคนต่างไม่ทันระวังตัว นางก็ผลักองครักษ์ที่บังอยู่ด้านหน้าตนเองออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หันหลัง มือข้างหนึ่งจับลูกธนู ขาข้างหนึ่งออกแรง รวดเร็วและแม่นยำ
หนึ่ง สอง!
เสียงร้องอย่างน่าเวทนาขององครักษ์ที่อยู่ด้านหลังยังไม่ทันสิ้นสุดลง ฮวาหยางก็ปีนขึ้นไปบนกำแพงจวนสกุลเฉินด้วยความรวดเร็วแล้ว
พระจันทร์เย็นยะเยือกส่องแสงสว่างจางๆ ลงบนเรือนร่างอันเลือนรางของหญิงสาว นางหันกลับไปมองบุรุษที่ขมวดคิ้วมองนางอยู่ท่ามกลางฝูงชนแล้วลอบกัดฟันกราม
กู้ซิ่งจือ…
ภาพที่ติดในม่านตาสั่นไหว ลูกธนูแหลมคมหลายดอกก็พุ่งผ่านกำแพงสูงของจวนสกุลเฉิน ทะลุผ่านพระจันทร์เหนือกำแพง
พริบตาต่อมาก็ไม่มีใครอยู่บนกำแพงแล้ว
“ใต้เท้า” องครักษ์ที่อยู่ด้านข้างเดินมาแล้วยื่นกริชใส่มือของกู้ซิ่งจือ
ตามความเคยชินของนักฆ่าจำนวนมากนอกจากพกกระบี่แล้วก็ยังพกกริชติดตัวด้วย เพื่อป้องกันการเกิดเหตุที่คาดไม่ถึง
ดังนั้นนี่จึงนับได้ว่าเป็นของติดตัวของนักฆ่าชุดดำผู้นั้น
ขณะลูบกริชที่ยังมีความอุ่นของร่างกายติดอยู่เล่มนั้น จู่ๆ ในใจของกู้ซิ่งจือก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา
“เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่า…” ฉินซู่เห็นเขาใจลอยจึงยื่นหน้าเข้ามา “รูปร่างของนักฆ่าคนนั้นเหมือนเหยาเหย่ามาก”
เหยาเหย่า…
กู้ซิ่งจือตกตะลึง จากนั้นจึงโน้มตัวเข้าไปใกล้แล้วดมกริชเล่มนั้น
เขาเชี่ยวชาญในการทำธูปและมีประสาทรับกลิ่นที่เฉียบไวมาตลอด เวลานี้เมื่อดมแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าความรู้สึกที่คุ้นเคยเป็นพิเศษนั้นมาจากที่ใด
เป็นกลิ่นของนาง
นางเหมือนเหยาเหย่า ร่างกายไม่มีกลิ่นแป้งที่สตรีมักพกติดตัว แต่มีกลิ่นที่สะอาดและหอมหวานเหมือนขนมเปี๊ยะหวานที่สาวน้อยชอบกินที่สุด
ฮวาหยางได้รับบาดเจ็บที่หลัง เดิมทีคิดว่าการพาร่างที่เต็มไปด้วยเลือดกลับจวนสกุลกู้นั้นอันตรายเกินไป จึงคิดจะไปซ่อนตัวในที่พักของฮวาเทียนก่อน แต่สายตาที่กู้ซิ่งจือมองนางเมื่อครู่ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างไม่มีเหตุผล
คนที่ละเอียดลออเช่นเขา ถ้าสงสัยฐานะของเหยาเหย่าจริงๆ คิดว่าคืนนี้ก็สามารถรู้ความจริงได้ หากเวลานั้นนางไม่อยู่ เกรงว่าคงไม่สามารถกลับเข้าไปในจวนสกุลกู้ได้อีก
ถ้าเป็นเช่นนั้นงานของนางก็จะล้มเหลว ดังนั้นฮวาหยางจึงกัดฟัน ตัดสินใจที่จะกลับไป
ตลอดทางเพราะกลัวว่าจะมีคนสะกดรอยตาม นางจึงเดินอ้อมไปหลายที่
ในที่สุดก็ได้มาเปิดประตูห้องของตนเอง ภายในห้องมืดมิด ไม่ได้จุดโคมไฟ
นางรู้สึกปวดหลังอย่างรุนแรงเหมือนมีไฟลุกลามอยู่บนผิวหนังและกล้ามเนื้อ ลามไปที่หู หัวใจก็เต้นแรง
นางหยิบตะเกียงน้ำมันจากบนโต๊ะมาอย่างระมัดระวังแล้วจุดไฟ วางไว้หน้าคันฉ่องสำริด จากนั้นก็ถอดเสื้อตัวนอกที่ชุ่มไปด้วยเลือดสดๆ
แม้ว่าไฟในห้องอาบน้ำจะสลัวราง แต่บาดแผลในคันฉ่องก็ดูน่ากลัวเป็นพิเศษ
ไม่เหนือความคาดหมายของนาง แม้ว่าบาดแผลจะไม่ลึก แต่ลูกธนูนั้นก็พุ่งผ่านไปอย่างแรง ทิ้งรอยแผลเป็นทางยาวไว้
ฮวาหยางกัดฟันแล้วยกแขนขึ้น พบว่าโชคดีที่มันยังอยู่ขอบเขตที่ตนเองสามารถเอื้อมมือไปสัมผัสได้
ไม่มีปัญหาในการทายา แต่กลิ่นคาวเลือดที่อบอวลไปทั่วห้องนี้…
เมื่อนึกถึงตรงนี้ฮวาหยางก็ขมวดคิ้วแล้วหยิบขวดสุราออกมาจากใต้เตียง
นี่เป็นสุราที่หลายวันก่อนนางหยิบมาจากห้องครัว เตรียมใช้สำหรับแกล้งเมาเพื่อยั่วยวนกู้ซิ่งจือ แต่ตอนนี้สามารถนำมาใช้แก้สถานการณ์ฉุกเฉินได้…
นางกัดขี้ผึ้งที่ปิดปากขวดออกแล้วหยิบผ้าไหมหลายผืนออกมาจากตู้ จากนั้นก็ม้วนเป็นก้อนกลมแล้วยัดเข้าไปในปาก
“อื้อ!”
ความรู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัสประดังเข้ามา ราวกับมีคนใช้มีดเล่มเล็กลอกผิวหนังที่หลังของนางออก ฮวาหยางผู้รู้วิธีที่จะอดทนต่อความเจ็บปวดรู้สึกว่าถ้าไม่ใช่เพราะผ้าในปากผืนนี้ นางจะต้องร้องเสียงดังออกมาอย่างแน่นอน
ผ้าไหมที่นางกัดไว้ในปากแน่นคลายตัว นางหลับตาแล้วเทสุราลงบนหลังอีกครั้ง
เกิดเสียงน้ำไหลริน สุราไหลลงไปตามแผ่นหลังที่เปลือยเปล่า ทำให้กางเกงด้านล่างส่วนที่ยังไม่ทันถอดออกเปียกโชก
เลือดผสมกับสุราไหลนองเต็มพื้น ฮวาหยางหยิบถังน้ำมาล้างคราบเลือดบนพื้นก่อน
ทว่าในเวลานี้เองก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นเบาๆ ที่นอกประตู
มีคนเหยียบแสงเทียนที่พลิ้วไหวเดินใกล้เข้ามาด้วยฝีเท้าเร่งรีบ
“แม่นางเล่า?”
มือที่ถือถังน้ำของฮวาหยางชะงักไป นางได้ยินลุงฝูพูดกับกู้ซิ่งจือว่า “ตอนเย็นกินข้าวแล้วก็กลับไปที่ห้อง ตอนนี้น่าจะพักผ่อนแล้วขอรับ”
อีกฝ่ายพูดจบฮวาหยางก็มองไปยังเปลวไฟที่พลิ้วไหวอยู่หน้าคันฉ่องสำริด และรู้สึกว่าขนบนร่างกายลุกชันขึ้นทันที
ด้านนอกไม่มีการเคลื่อนไหวอีกเป็นเวลานาน เป็นไปไม่ได้ที่กู้ซิ่งจือจะไม่เห็นแสงไฟข้างใน ดังนั้นความสงบในเวลานี้จึงทำให้นางกังวลมากยิ่งขึ้น
และในเวลานี้เองก็มีเสียงผลักประตูดังขึ้นที่หน้าห้องอาบน้ำ
ทันทีที่กู้ซิ่งจือก้าวเข้ามาก็ถูกกลิ่นสุราที่ฉุนไปทั่วห้องรมจนตกใจ
ในห้องไม่ได้จุดโคมจึงมืดเล็กน้อย
เมื่อหันไปมองด้านข้างก็เห็นแสงไฟส่องมาจากด้านหลังฉากกั้นของห้องอาบน้ำ บนนั้นสะท้อนเงาบอบบางเลือนราง
ภาพของคนที่อยู่บนกำแพงชัดเจนขึ้นมาในสมองทันที แววตาของกู้ซิ่งจือเคร่งเครียด เดินเข้าไปในห้องอาบน้ำด้วยสีหน้าน่ากลัว
บนพื้นเปียกแฉะ มีแต่น้ำเต็มไปหมด
เขายืนลังเลอยู่นอกฉากกั้นครู่หนึ่ง จากนั้นจึงงอนิ้วเคาะลงไป
มีเสียงก้องดังขึ้นในห้องที่เงียบสงบ ให้ความรู้สึกน่ากลัวเล็กน้อย
เขารออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าข้างในไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ จึงนึกขึ้นได้ว่าเหยาเหย่าไม่ได้ยิน เขารู้สึกอึดอัดใจอยู่ชั่วขณะ
แต่หลังจากครุ่นคิดแล้วในที่สุดความสงสัยก็มีมากกว่า กู้ซิ่งจือใจสั่น กลั้นใจแล้วเดินเข้าไป
แสงไฟสลัวราง เพียงแค่เหลือบมองเขาก็ตกใจกับภาพที่อยู่ตรงหน้า
ดูเหมือนสาวน้อยจะดื่มสุราไปเล็กน้อย แก้มของนางแดงก่ำ ดวงตาคู่งามหยาดเยิ้ม หน้าตามึนเมา เทียบได้กับเสน่ห์ของเดือนสี่ในโลกมนุษย์
ภายใต้แสงไฟริบหรี่ ผิวที่ขาวผ่องและละเอียดอ่อนเปล่งประกายรำไร เพียงพริบตาเดียวก็ทำให้คนใจเต้นโครมคราม
ดูเหมือนนางจะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ กำลังก้าวออกจากอ่างอาบน้ำขณะที่ตัวยังเปียกแล้วโน้มตัวไปหยิบเสื้อคลุมนอนบนชั้นวาง
ผมดำที่ยังไม่ได้รวบมัดแลคล้ายน้ำตกที่ไหลลงมากระจายอยู่ด้านหลัง เส้นผมที่ปกคลุมหน้าอกสยายออก เผยให้เห็นก้อนเนื้อกลมเกลี้ยงคู่หนึ่งที่ซ่อนอยู่ด้านหลัง
อาจเป็นเพราะกลางคืนอากาศเย็น ดอกตูมสีชมพูอ่อนจึงหดตัวกลายเป็นไข่มุกงามสองเม็ด หยดน้ำใสมีทั้งเกาะอยู่และกลิ้งลงมา เป็นประกายคดเคี้ยวภายใต้แสงไฟ…
ดูเหมือนนางจะสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวด้านหลังฉากกั้นแล้ว ขณะที่ยกมือขึ้นดึงเสื้อคลุมนอนจึงได้เบี่ยงตัวมองไปทางกู้ซิ่งจือ
ลมหายใจของกู้ซิ่งจือติดขัด เขารีบถอยออกไปก่อนที่นางจะหันมาเต็มตัว คล้ายการวิ่งหนีเอาชีวิตรอดเล็กน้อย
“เป็นอะไรไป” ฉินซู่มองกู้ซิ่งจือที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ยื่นศีรษะไปสำรวจด้านหลังเขา แต่กลับถูกเขาดึงกลับมา
“ไม่เป็นอะไร…” กู้ซิ่งจือดึงปกเสื้อ ลำคอที่แห้งผากฝืนพูดออกมาประโยคหนึ่งอย่างยากเย็น
บนหน้าของฉินซู่เต็มไปด้วยความสงสัย เขากลอกตา ยังต้องการที่จะยื่นศีรษะไปสำรวจหลังฉากกั้น แต่ถูกกู้ซิ่งจือดึงแขนพาไปตรงทางเดิน
“เจ้ามาทำอะไร” กู้ซิ่งจือถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ ท่าทางเหมือนรู้สึกผิดเล็กน้อย
แม้ฉินซู่จะไม่เข้าใจ แต่ยังคงเบะปากพูดว่า “จะมาบอกเจ้าให้รู้ว่าร่องรอยของนักฆ่าผู้นั้นเมื่อครู่คนของกรมอาญาหาพบแล้ว ว่ากันว่าเขาไปทางแม่น้ำฉินไหว ข้าได้ส่งคนตามไปแล้ว”
“จริงหรือ”
การตอบสนองอย่างกะทันหันของคนตรงหน้าทำให้ฉินซู่ตกใจ เขาถอยหลังไปสองก้าว จ้องหน้ากู้ซิ่งจือที่ไม่ค่อยปกติแล้วพยักหน้า
ความสงสัยในใจถูกขจัดออกไปจนหมดสิ้นแล้ว กู้ซิ่งจือคลายความกังวลลง มือจับหน้าผาก ถอนหายใจเบาๆ อยู่ที่ริมทางเดิน
เมื่อครู่เขาไม่รู้สึกตัว เพราะถูกความคิดอย่างหนึ่งทำให้ทำอะไรไม่รอบคอบ
เขาก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไรกันแน่ เหตุใดจึงเหลวไหลจนสงสัยในตัวของเหยาเหย่าได้
นางเป็นเพียงสตรีน่าสงสารที่เพิ่งสูญเสียพี่ชายไปและไม่มีที่พึ่งพา หากถูกนางจับได้ว่าตนเองสงสัยในตัวนาง เกรงว่า…
ในสมองมีภาพดวงตาที่มีแววน้อยเนื้อต่ำใจคู่นั้นของสาวน้อยปรากฏขึ้นตรงหน้า มือที่สั่นเทาของนาง ดวงตาที่มีน้ำเอ่อคลอ และ…เรือนร่างของสตรีที่งดงามขาวผ่องนั้น…
กู้ซิ่งจือรู้สึกเหมือนถูกพลังอันมหาศาลทุบลงมาทำให้วิงเวียนศีรษะ แต่จู่ๆ หัวใจกลับเหมือนจะถูกจุดด้วยฟืนไฟ ค่อยๆ รม ค่อยๆ เผา ทำให้แผ่นหลังของเขามีเหงื่อไหลออกมาเป็นชั้นบางๆ
กู้ซิ่งจือผู้ที่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองและสง่างามเสมอมาเวลานี้รู้สึกละอายใจอย่างยิ่ง
“แล้วยังมัวทำอะไรอยู่ตรงนี้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม ทำท่าทางจริงจัง “ยังไม่ไปรอข่าวที่กรมอาญากับข้าอีก”
เขาเหลือบมองห้องอาบน้ำที่แสงไฟยังคงสว่างอยู่แล้วก็พลันหน้าแดง ทิ้งฉินซู่ไว้ด้านหลัง
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน ตุลาคม 2567)
Comments
comments
No tags for this post.