บทที่ 6
สาเหตุที่โม่อีเหรินจำถ้อยคำพรรค์นี้ได้แม่นยำเป็นพิเศษนั้น เพราะนางนึกสงสัยว่าขณะที่ท่านตาพูด ไม่รู้สึกว่ากำลังด่าตนเองอยู่หรือไร มิหนำซ้ำท่านตายัง ‘เน้นย้ำมาก’ อีกด้วย
ท่านตา ท่านก็เป็นบุรุษเช่นกัน เลื่อยขาเก้าอี้บุรุษด้วยกันเยี่ยงนี้ได้จริงๆ หรือ
ไป่หลี่จิงหงไม่รู้ว่ายังสามารถพูดอะไรมาทำให้โม่อีเหรินสบายใจได้อีก ได้แต่มองนางด้วยสีหน้าท่าทางทำอะไรไม่ใคร่ถูก ทว่าแววตากลับแน่วแน่ยิ่ง
โม่อีเหรินปล่อยให้เขามองไปอย่างสงบเยือกเย็น แววตาไม่อ่อนข้อแม้แต่น้อยนิด
เป็นครู่ใหญ่ไป่หลี่จิงหงถึงได้กล่าวว่า “ต่อไปเจ้าพูดอะไร ข้าจะฟัง จะฟังแค่เจ้า”
โม่อีเหรินมองเขา ทำให้เขาใจเต้นแรงขึ้นมาอีก ก่อนที่นางจะเอ่ยปากในที่สุด “จะฟังแค่ข้าจริงๆ?”
“อืม”
“คราวนี้จะไม่หลอกข้าอีก?”
“ไม่” ไป่หลี่จิงหงตอบทันควัน จากนั้นก็ลังเลชั่วครู่ถึงค่อยอธิบาย “สิ่งที่ข้าติดค้างนาง ได้ใช้คืนไปหมดแล้ว นางจะไม่สามารถเรียกร้องให้ข้าทำอะไรได้อีกต่อไป”
ไป่หลี่จิงหงไม่ยินยอมติดค้างผู้ใดมาแต่ไหนแต่ไร
แม้ว่าระหว่างบุพการีและบุตรสาวบุตรชายจะไม่อาจใช้คำว่า ‘ติดค้าง’ มาบรรยายได้ แต่หากเผชิญหน้ากับมารดาที่มีเพียงความสัมพันธ์ทางสายเลือด มีเพียงผลประโยชน์และอุบายแผนการ ไม่มีความผูกพันแม้แต่กระผีกเดียว ไป่หลี่จิงหงก็ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเป็นมารดา
สำหรับเขา ไป่หลี่เยียนเป็นเพียงสตรีที่เขาติดค้างนางที่ ‘มีบุญคุณให้กำเนิดและมอบเลือดเนื้อให้ครึ่งหนึ่ง’ เท่านั้น
เพื่อบุญคุณและเลือดเนื้อนี้ ไป่หลี่จิงหงได้ใช้ชีวิตของตนเองชดใช้คืนแก่นางด้วยมือตนเอง
ที่เขายังสามารถมีชีวิตรอดมาได้เป็นเพราะอาจารย์ และการรักษาจากหลิงเซ่าจวินกับอาจารย์ของอีกฝ่าย ส่วนผู้ที่ทำให้เขาหายกลับเป็นปกติก็คือโม่อีเหรินที่เขารักสุดหัวใจ
ไป่หลี่จิงหงในตอนนี้อาจจะติดค้างบุญคุณที่ไม่อาจชดใช้ไหวต่อคนเหล่านี้ แต่มิใช่ต่อไป่หลี่เยียนอย่างแน่นอน
ก็เหมือนกับท่าทีที่โม่อีเหรินมีต่อสกุลฉู่ในตอนแรก นางไม่เกลียด ไม่แค้นพวกเขา และก็จะไม่เป็นฝ่ายเล่นงานคนสกุลฉู่ก่อนเช่นกัน
นอกจากฉู่เซวียนอั๋งกับฉู่เซวียนฉีแล้ว คนสกุลฉู่ทั้งหมดเป็นเพียงคนแปลกหน้าสำหรับนาง
ไป่หลี่เยียนในตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้นสำหรับไป่หลี่จิงหงเช่นกัน
เป็นเพียงคนแปลกหน้า
คนแปลกหน้าที่ไม่มีค่าให้โกรธ ให้เกลียด หรือแค้นเคือง
“จิงหงคนโง่” โม่อีเหรินกอดเขาไว้แน่น
แม้จะไม่ได้เห็นเองกับตา แต่แค่นึกถึงว่าเขาเกือบจะตายไปแล้ว โม่อีเหรินก็ปวดใจเหลือจะกล่าว
ปวดใจจนอยากจะจับไป่หลี่เยียนมากระทืบสักยก
เคราะห์ดีที่ไป่หลี่จิงหงไม่เป็นอะไร ดังนั้นนางจะไม่เสียเวลาไปจับคนแล้ว แต่จะรอต้อนรับอีกฝ่ายที่เอาตัวมาส่งให้เองถึงที่แทน…คนตระกูลไป่หลี่ก็เช่นกัน นางจะต้อง ‘ให้การต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี’ แน่นอน
แน่นอนว่าเรื่องอย่างการต้อนรับขับสู้นี้มิได้ขัดกับเรื่องอบรมสั่งสอนบุรุษของตนเอง
เรื่องพรรค์นี้แค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว จะต้องทำให้ไป่หลี่จิงหงจำให้ขึ้นใจให้ได้ว่าวันหน้าห้ามเอาชีวิตของตนเองมาล้อเล่นอีก
“วันหน้าท่านห้ามทำเรื่องโง่เขลาเยี่ยงนี้อีก!”
“อืม ไม่ทำแล้ว เพราะฉะนั้น…เชื่อข้า”
ด้านการจัดการกับสายสัมพันธ์เครือญาติ พวกเขาสองคนช่างคล้ายคลึงกันเสียนี่กระไร
ไป่หลี่จิงหงโชคดีที่มีบิดาที่รักเขา
ส่วนโม่อีเหรินโชคดีที่นางมีท่านตาที่ปราดเปรื่องและมองการณ์ไกล ซ้ำยังมีพี่ชายที่รักนางยิ่งกว่าตนเองอีกสองคน
สิ่งใดที่ไม่ควรค่าให้ทะนุถนอม ก็ไม่จำเป็นต้องเอาแต่คิดวนเวียนถึงมัน
สิ่งที่ควรค่าแก่การทะนุถนอม พวกเขาต้องยิ่งปกปักรักษาไว้ให้ดี
“ก็ได้” โม่อีเหรินคิดเล็กน้อยแล้วถึงพยักหน้า พร้อมกับถือโอกาสเตือน “ข้าเคยบอกแล้วว่าจะลงโทษท่าน แต่ตอนนี้ยังไม่ได้คิดให้ดี ฉะนั้นท่านต้องจำเอาไว้ก่อนว่าท่านค้างโทษข้าอยู่”
“ได้” ขอแค่นางไม่โมโห อะไรก็ได้ทั้งนั้น
โม่อีเหรินพอใจแล้ว ความสนใจจึงกลับมาอยู่ที่เรื่องฝึกบำเพ็ญ
“จิงหง แม้เคล็ดวิชาที่ฝึกในตอนนี้จะดีมาก แต่ก็ไม่คล่องไม้คล่องมือเท่ากับเคล็ดวิชาหุนสีม่วงใช่หรือไม่”
“อืม” ไป่หลี่จิงหงพยักหน้า
ความเคยชินมิได้เปลี่ยนแปลงกันง่ายถึงเพียงนั้น ยิ่งกว่านั้นเคล็ดวิชาหุนสีม่วงเป็นเคล็ดวิชาที่ค่อนไปทางธาตุไฟ แต่ที่เขาฝึกในตอนนี้เป็นเคล็ดวิชาธาตุน้ำแข็ง ธรรมชาติของทั้งสองอย่างนั้นขัดกัน เวลาใช้งานยิ่งตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง
ยามใช้เคล็ดวิชาหุนสีม่วง การกวัดแกว่งดาบเป็นอากัปกิริยาตามธรรมชาติเหมือนกินข้าวดื่มน้ำสำหรับเขา แต่ครั้นเปลี่ยนเป็นเคล็ดวิชาเปลวน้ำแข็ง เขาจำเป็นต้องตั้งใจชักนำควบคุม อัดรวมปราณเป็นน้ำแข็ง
ขณะนี้เขายังไม่อาจปลุกดาบหุนสีม่วงให้ตื่นขึ้นโดยสมบูรณ์ได้
นี่มิใช่เพราะพลังยุทธ์เขาไม่เพียงพอ แต่เป็นเพราะรู้สึกว่าขาดอะไรไปเล็กน้อย
พอเห็นโม่อีเหรินขมวดคิ้ว ช่วยกลัดกลุ้มรำคาญใจไปกับเขา ไป่หลี่จิงหงก็คลี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะจูบข้างขมับนาง
“ไม่ต้องหงุดหงิดใจถึงเพียงนั้น บางทีเมื่อถึงเวลาหรือฝึกได้มากพอจนชำนาญแล้วก็อาจสามารถใช้งานได้อย่างอิสระเอง ตอนนี้เป็นตาเจ้าแล้ว”
โม่อีเหรินจะพาเขาไปอย่างไร
ด้วยวิชาบาทาเงามายาในตอนนี้ของโม่อีเหริน การจะเคลื่อนที่ไปร้อยลี้ในชั่วพริบตาก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
สภาพภูมิประเทศของที่นี่น่าจะไม่มีความท้าทายต่อโม่อีเหรินโดยสิ้นเชิง
“เดิมทีข้าคิดจะใช้สภาพภูมิประเทศของที่นี่ฝึกวางค่ายกล ทว่านั่นกินเวลามากเกินไป หลังจากนี้ถ้ามีโอกาสก็ค่อยว่ากัน ตอนนี้พวกเราไปที่ยอดเขานั้นก่อน”
โม่อีเหรินจับมือไป่หลี่จิงหงไว้ ก่อนก้าวเท้าออกไปสองสามก้าวติดกัน
พริบตาเดียวก็มาถึงตีนเขา
เมื่อกระโดดขึ้นไปอีก ยอดเขาสีแดงก็ปรากฏตรงหน้า
อุณหภูมิของที่นี่ถึงจะเป็นความร้อนระอุมากอย่างแท้จริง
บ่อน้ำปากปล่องบนยอดเขาเป็นสถานที่เพียงแห่งเดียวในพื้นที่แห้งแล้งนี้ที่อาจจะมีสมบัติ
แม้ว่าดูไปแล้วบนยอดเขาก็มีสภาพแห้งขอดเหมือนกัน แต่ตรงนี้กลับมีหินเยอะยิ่ง บ้างได้รับความร้อนจากไฟหล่อเลี้ยงจนแปรเปลี่ยนเป็นวัตถุดิบหลอมประดิษฐ์…หินอัคนี
แม้หินอัคนีจะมีค่า แต่ไม่นับว่าเป็นของที่หาได้ยากนัก โม่อีเหรินกับไป่หลี่จิงหงจึงเดินมุ่งหน้าไปต่อ กลับเผอิญได้ยินเสียงคนพูดพอดี
ทั้งสองคนเบี่ยงตัวก่อนผลุบตัวหลบซ่อนทันที
ข้างบ่อน้ำปากปล่อง มีคนสองฝ่ายคุมเชิงกันอยู่
ฝ่ายหนึ่งมีเพียงสองคน มิหนำซ้ำคนหนึ่งยังเห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บหนัก
อีกฝ่ายกลับมีอยู่หลายคน มิหนำซ้ำยังมีคนหนึ่งที่คุ้นหน้าคุ้นตาดี เป็นไป่หลี่จิงไห่นั่นเอง
ผู้ที่ยืนอยู่กับเขาคือคนของตระกูลเสวียนหมิง
“หลงชิงเหยา ท่านพิจารณาไปถึงที่ใดแล้ว จะช่วยชิงอู๋หยาหรือไม่ช่วย”
แม้ในพื้นที่แห้งแล้งนี้จะมีแต่ความร้อน แต่ยิ่งเข้าใกล้บ่อน้ำปากปล่อง ความรู้สึกร้อนระอุกลับค่อยๆ ลดลง
สิ่งที่ถูกหินสีแดงก่ำล้อมไว้ตรงกลางคือน้ำสีกึ่งฟ้ากึ่งเขียว มีประกายคลื่นกระเพื่อมอยู่รำไร
ไม่ต้องสัมผัส เพียงแค่มองดูเช่นนี้ก็รู้สึกได้ถึงความเย็นชื่นใจ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีใครมีแก่ใจจะชื่นชมทัศนียภาพธรรมชาตินี้
ที่เบื้องหน้าไป่หลี่จิงไห่คือเปลวเพลิงสีแดงทองล้อมเป็นวง ปกป้องคนสองคนไว้ตรงกลาง
คนในวงล้อมก็คือหลงชิงเหยาและชิงอู๋หยา
มิหนำซ้ำชิงอู๋หยาก็กำลังนอนอยู่ในอ้อมแขนของหลงชิงเหยา ใบหน้าเขียวคล้ำ เห็นได้ชัดว่าถูกพิษ แต่กลับฝืนทนไม่ยอมหมดสติ สีหน้าระแวดระวัง หนักแน่นไม่สั่นคลอน
เนื่องจากมีวงไฟนั้นอยู่ ไป่หลี่จิงไห่จึงหมดหนทางจะเข้าใกล้ ทำได้เพียงตะโกนพูดเช่นนี้
“ข้า…” หลงชิงเหยาเพิ่งจะเอ่ยปากก็ถูกชิงอู๋หยาดึงไว้
“ข้าไม่เป็นไร”
“แต่ว่า…”
“อย่าให้พวกเขาทำร้ายท่านได้” ชิงอู๋หยากล่าวอีก
“อืม” หลงชิงเหยาได้แต่พยักหน้า
ไป่หลี่จิงไห่ยิ้มออกมา “หลงชิงเหยา ท่านพิจารณาดีแล้วจริงๆ? สมบัตินั้นหาใหม่ได้ แต่ถูกพิษแล้วไม่แก้ ชิงอู๋หยาก็หมดทางช่วยแล้วจริงๆ”
พูดจบเขายังทำเสียงจุปากใส่ชิงอู๋หยาอีกด้วย
“เจ้าเองก็นับว่าเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญอัจฉริยะบนดินแดนแรกนภาแท้ๆ กลับยินยอมเป็นองครักษ์ให้เขา เรื่องนี้นั้นช่างเถอะ แต่ถ้าต้องสิ้นชีวิตไปตรงนี้ เจ้าก็จะไม่เหลืออะไรแล้ว และไม่อาจปกป้องหลงชิงเหยาได้อีกต่อไปเช่นกัน ถึงเวลานั้นของที่ข้าต้องการ ข้าก็ยังจะเอามาได้เช่นเดิม”
“เจ้าแตะต้องชิงเหยาไม่ได้หรอก” ถึงจะอ่อนแรง เสียงของชิงอู๋หยาก็ยังไม่สั่นคลอนแม้แต่กระผีกเดียว
หลงชิงเหยามีเชื้อไฟอัศจรรย์ สามารถคุ้มครองตนเองได้อย่างไม่มีปัญหา
“แค่แตะต้องไม่ได้ในตอนนี้ มิได้หมายความว่าแตะต้องไม่ได้ตลอดไป ผู้ที่ครอบครองเชื้อไฟอัศจรรย์ในใต้หล้ามิได้มีเพียงหลงชิงเหยา” ไป่หลี่จิงไห่พูดอย่างมีแผนการในใจ
“อย่างนั้นก็ลองดู” ชิงอู๋หยาไม่หวั่นไหว
สองฝ่ายต่างประจันหน้าอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กันขึ้นมาอีกครู่หนึ่ง
ชิงอู๋หยากัดริมฝีปากล่าง สะกดกลั้นความเจ็บปวด
หลงชิงเหยาที่กอดเขาไว้อยู่กลับรู้สึกได้ทันที จึงรีบก้มหน้ามองเขา “อู๋หยา!”
เมื่อรู้ว่าเขาอาจจะพิษกำเริบอีกรอบ หลงชิงเหยาก็หยิบยาแก้พิษที่หลิงเซ่าจวินให้ไว้ออกมาอีกเม็ด แล้วป้อนใส่ปากชิงอู๋หยา
“ไม่มีประโยชน์” ไป่หลี่จิงไห่ย่อมจะมองเห็นการกระทำของพวกเขา เขาลอบนึกดีใจกับตนเอง แต่ภายนอกกลับโคลงศีรษะถอนหายใจ “หากยาแก้พิษนั้นใช้ได้ผล พิษในตัวชิงอู๋หยาจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ได้อย่างไร ท่านไม่อยากช่วยเขาจริงหรือ”
หลงชิงเหยาได้ฟังก็มองชิงอู๋หยาทันที “อู๋หยา เจ้า…”
“อย่าไปยอมผู้อื่นส่งเดช โดยเฉพาะกับคนพรรค์นี้” ชิงอู๋หยาพลิกมือกุมมือหลงชิงเหยาไว้ แม้เสียงที่เปล่งมาจะอ่อนแรง แต่น้ำเสียงกลับหนักแน่น
หลงชิงเหยางันไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าอย่างหนักแน่นตามไปด้วย “ข้ารู้ แต่ว่าเจ้าห้ามเป็นอะไรไปเชียว”
“หากข้าเป็นอะไรไป ท่านก็ฆ่าพวกเขาสองคนเสีย แก้แค้นให้ข้า” ชิงอู๋หยายังสามารถล้อเล่นได้
“เจ้าห้ามเป็นอะไร!” หลงชิงเหยากอดเขาไว้แน่น
ต่อให้แก้แค้นได้แล้วอย่างไร ตายไปแล้วก็ไม่อาจฟื้นกลับมาได้ การสูญเสียพรรค์นี้เขาเจอมาเกินพอแล้ว เขาไม่อยากให้ชิงอู๋หยาจากเขาไปอีกคน!
“หลงชิงเหยา ข้าเองก็ไม่ได้อยากมีความแค้นกับท่าน เอาอย่างนี้แล้วกัน หากท่านยอมหลีกทาง ข้าไม่เพียงจะช่วยแก้พิษให้ชิงอู๋หยา แต่ยังจะไม่ทำให้พวกท่านลำบากใจอีกเช่นกัน มิหนำซ้ำขณะอยู่ในแดนสมบัตินี้ข้าก็จะไม่แย่งชิงสิ่งใดกับท่านอีกด้วย” เมื่อขู่ไม่ได้ผล ไป่หลี่จิงไห่จึงเปลี่ยนวิธีการมาเสนอข้อแลกเปลี่ยนที่ยอมอ่อนข้อมากขึ้น
เงื่อนไขนี้ดีมาก ถ้าหากว่าไป่หลี่จิงไห่ยอมรักษาสัญญาจริงๆ
โม่อีเหรินฟังด้วยความอยากรู้อยากเห็น หากแต่มุมนี้มองไม่เห็นว่าในบ่อน้ำปากปล่องมีอะไรอยู่ เพื่อไม่ให้ถูกพบเห็น โม่อีเหรินจึงมิได้ใช้ญาณวิเศษไปสอดส่อง
พอคิดแล้วนางก็คว้ามือของไป่หลี่จิงหงมาเขียน ‘ไป่หลี่จิงไห่จะรักษาคำพูดหรือไม่’
ไป่หลี่จิงหงส่ายหน้า
โม่อีเหรินเขียนอีกว่า ‘คนที่ยืนอยู่กับเขาเป็นใคร’
ไป่หลี่จิงหงขยับปากตอบโดยไร้เสียง ‘เสวียนหมิง’
‘พิษนั้น…’
‘ตระกูลเสวียนหมิง ชำนาญพิษ’
‘ช่วยคนหรือไม่’
‘ช่วย’
อย่างนั้นก็ไม่หลบแล้ว โม่อีเหรินจูงไป่หลี่จิงหงเดินออกมาอย่างสง่าผ่าเผยทันที
“ครึกครื้นกันยิ่งนัก!”
เพราะมีเสียงโผล่มากะทันหัน ทำให้คนทั้งหมดในที่นี้มองไปด้วยความประหลาดใจ
พวกเขาถึงกับไม่มีใครค้นพบเลยว่ามีคนเข้ามาใกล้ถึงเพียงนี้
“สถานที่ที่ร้อนถึงเพียงนี้ถึงกับมีคนมากเช่นนี้กำลังชมทิวทัศน์กันอยู่ตรงนี้ แสดงว่าที่นี่จะต้องงดงามมากเป็นแน่ จิงหง พวกเราก็ไปดูกันเสียหน่อย”
พวกไป่หลี่จิงไห่อึ้งงัน “…”
หลงชิงเหยากับชิงอู๋หยาก็พูดไม่ออกเช่นกัน “…”
โม่อีเหรินจูงไป่หลี่จิงหงวิ่งไป
คราวนี้จึงกลายเป็นเผชิญหน้ากันสามฝ่ายแล้ว
“ไป่หลี่จิงหง! โม่อีเหริน!” ทว่าหลงชิงเหยามองเห็นคนทั้งสองแล้วกลับยินดียิ่ง
โม่อีเหรินเดินไปอีกเล็กน้อยอย่างอยากรู้อยากเห็น และยื่นมือออกไปเหมือนจะแตะเปลวไฟสีแดงทองนั้น…
ไป่หลี่จิงหงดึงตัวนางกลับมาอย่างตาไวมือไว ก่อนจะถลึงตาใส่นางทีหนึ่ง
โม่อีเหรินทำสีหน้าท่าทางบริสุทธิ์ไร้ความผิดทันที
“สีของไฟงดงามยิ่ง แตะหน่อยไม่ได้หรือ”
คราวนี้พวกไป่หลี่จิงไห่กระตุกมุมปากมองโม่อีเหรินแล้ว
แปลก ขณะได้พบกันที่นอกแดนสมบัติยังรู้สึกว่าสตรีนางนี้ปกติยิ่ง ไฉนตอนนี้ดูท่าทางแล้ว…สตรีนางนี้ไม่ปกติโดยสิ้นเชิง
มีใครอยู่ดีไม่ว่าดีไปแตะไฟเล่นบ้างเล่า
ต่อให้ไม่รู้ว่าไฟนั้นคืออะไร คนปกติก็ไม่มีทางไปแตะมันส่งเดชกระมัง
หรือว่า…สตรีที่ไป่หลี่จิงหงชอบ…จะสติไม่ค่อยดี
“ไม่ได้” ไป่หลี่จิงหงบอกนางด้วยท่าทางสุขุมเยือกเย็น
แม้จะรู้ว่าไฟนี้ทำอันตรายโม่อีเหรินไม่ได้ แต่ความเคยชินนี้ของนาง…จะต้องได้รับการแก้ไข
“เพราะอะไร”
“นั่นเป็นไฟของผู้อื่น” ของของผู้อื่นไม่อาจไปสัมผัสเรื่อยเปื่อย
“…ก็ได้” โม่อีเหรินได้แต่เชื่อฟัง
ไป่หลี่จิงไห่หมดคำพูดยิ่ง
สองคนนี้มาสร้างความวุ่นวายกระมัง
ทว่าไม่เป็นไร นี่ก็แค่ทำให้มีตัวประกันเพิ่มขึ้นสองคนเท่านั้น
อย่างไรเสียแม้เขาจะไม่อยากยุ่งเรื่องของไป่หลี่เยียน หากแต่หน้าของสายตระกูลที่สามที่เสียไป เขาจะต้องทวงกลับมา
ไป่หลี่จิงไห่ส่งสายตาให้คนข้างกาย
คนผู้นั้นพยักหน้าทันที
“ระวัง! พวกเขาจะวางยาพิษ” หลงชิงเหยาเอ่ยเตือน
โม่อีเหรินได้ยินแล้วก็สูดจมูกดมสองทีทันที จากนั้นก็ขมวดคิ้วและหยิบขวดพ่นขวดหนึ่งออกมาพ่น ‘ฟืดๆ’ กลิ่นผลไม้อ่อนๆ ก็ฟุ้งกระจายในทันใด
“…” เหล่าบุรุษในที่นี้ถลึงมองขวดพ่นขวดนั้นเป็นตาเดียว
คำถามแรกในใจคือ ‘นั่นอะไร’
คำถามที่สอง ‘เหตุใดถึงมีของพรรค์นี้ปรากฏออกมาได้’
“นี่คืออะไร” มีเพียงไป่หลี่จิงหงที่เอ่ยถามนิ่งๆ
“ขวดน้ำหอม” โม่อีเหรินดมดูอย่างละเอียด อืม อากาศสดชื่นแล้ว
“ขวดน้ำหอม?” คืออะไร
“กลิ่นเหม็นโฉ่ที่เขาปล่อยออกมาทำให้คนเป็นลมได้ง่ายๆ นี่เป็นการช่วยจมูกของทุกคนเอาไว้” โม่อีเหรินกล่าวด้วยท่าทางเป็นการเป็นงาน
ไป่หลี่จิงหงเงียบงัน “…”
บุรุษที่ข้างกายไป่หลี่จิงไห่รู้สึกว่าตนเองถูกดูหมิ่นเข้าแล้ว หากแต่เรื่องที่เขาให้ความสำคัญยิ่งกว่าคือ… “เจ้าเป็นใคร”
แม้การกระทำดูเหมือนเด็กเล่น แต่อันที่จริงได้ขจัดหมอกพิษที่เขาปล่อยออกมาไปแล้ว
“แล้วเจ้าเล่าเป็นใคร” ต่างจากกิริยารอบคอบระมัดระวังของอีกฝ่าย โม่อีเหรินกลับมีสีหน้าอยากรู้อยากเห็นอย่างไร้เดียงสา
“เสวียนหมิงเจิน”
อีกฝ่ายบอกนามมาอย่างเนิบๆ เชื่อว่าคนในที่นี้ล้วนแต่เคยได้ยินชื่อนี้
หากแต่โชคไม่ดีที่เขาได้มาเจอกับผู้เป็น ‘นักท่องเที่ยว’ ที่เพิ่งถูกพ่นออกมาจากค่ายกลส่งตัวได้ไม่กี่วัน แม้แต่หกกลุ่มอำนาจใหญ่ของมนุษย์ก็ยังได้ยินมาจากปากของสัตว์วิเศษ แม้ไม่กี่วันมานี้จะเร่งหาความรู้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมไม่น้อย แต่ก็โชคไม่ดีอย่างยิ่งที่คนของตระกูลเสวียนหมิงยังไม่ได้ถูกจัดอยู่ในหลักสูตรการเรียน
ด้วยเหตุนี้โม่อีเหรินจึงหันหน้าไปมองไป่หลี่จิงหงอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง “ใครกันล่ะนั่น”
“เสวียนหมิงเจิน หนึ่งในผู้สืบทอดของตระกูลเสวียนหมิง ชำนาญการใช้พิษ มีชื่อเสียงมากในดินแดนแรกนภา” ไป่หลี่จิงหงตอบอย่างเต็มที่
เสวียนหมิงเจินหรี่ตาลง เขาไม่เชื่อว่าผู้ที่สามารถเข้าแดนสมบัติมาได้จะไม่เคยได้ยินชื่อของเขามาก่อน ดังนั้นในสายตาของเขา ท่าทีของโม่อีเหรินไม่ต่างอะไรจากการท้าทาย
เสวียนหมิงเจินเพิ่งทำท่าจะเอ่ยปากพูด ไป่หลี่จิงไห่ก็ห้ามเขาไว้ ก่อนพูดกับไป่หลี่จิงหงว่า “ไป่หลี่จิงหง สายตาในการเลือกสตรีของเจ้า…” แย่กว่าไป่หลี่จิงหลิวเสียอีก
ไป่หลี่จิงหลิวเป็นพวกถูกใจรูปโฉมของสตรี แต่อย่างน้อยอนุเหล่านั้นของเขาไม่เพียงมีรูปโฉมงดงาม แต่ยังพอจะมีความสามารถนิดๆ หน่อยๆ หรือไม่ก็สามารถนำประโยชน์มาให้เขาได้เล็กน้อย ทว่าสตรีนางนี้นอกจากดูน่ารักงดงามแล้ว เขาก็มองไม่ออกเลยว่านางยังมีข้อดีอะไรอีก
จะกล่าวถึงพลังยุทธ์ เขามองไม่ออกว่านางมีพลังยุทธ์เลิศเลออะไร
จะกล่าวถึงความฉลาด…แม้แต่เสวียนหมิงเจินนางยังไม่รู้ว่าเป็นใคร ไม่ต้องพูดถึงสติปัญญาแล้ว กระทั่งความรู้ทั่วไปก็ยังไม่มีเลย
สตรีพรรค์นี้มีประโยชน์อะไร
ไป่หลี่จิงหงมองข้ามท่าทีพรรค์นี้ของเขา
ข้อดีของโม่อีเหรินไม่จำเป็นต้องให้พวกเขารู้
มีปัญญาพูดได้แค่นี้ก็อยากจะเห็นไป่หลี่จิงหงมีโทสะหรือ ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว
หากแต่การตอบสนองของโม่อีเหรินก็ตรงไปตรงมายิ่ง
“นี่ๆ น้ำเสียงของท่านฟังดูเหมือนกำลังบอกว่าข้าแย่มาก”
“นามของข้า ไป่หลี่จิงไห่” เขาทำน้ำเสียงเหมือนช่วยสงเคราะห์บอกให้รู้
โม่อีเหรินกลับโบกมือ “ชื่อของคนผ่านทางจะเรียกว่าอะไรก็ไม่ต่างกัน ท่านตอบคำถามข้ามาก็พอแล้ว”
ท่าทีไม่ใส่ใจนี้น่าโมโหยิ่งกว่าทำกำเริบเสิบสานเสียอีก
ไป่หลี่จิงไห่หน้าดำทะมึนพลางถลึงตามองนาง
“ถลึงตาด้วยเหตุใด อยากแข่งว่าใครตาโตกว่ากันหรือ” โม่อีเหรินยกสองมือเท้าสะเอว ดวงตาเบิกโต
“พรืด!” หลงชิงเหยาเผลอหัวเราะออกมา
ทั้งๆ ที่นี่เป็นสถานการณ์ที่ประจันหน้าอย่างตึงเครียดแท้ๆ ไฉนจึงรู้สึกว่าพอโม่อีเหรินมา บรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยนไปในทิศทางที่น่าพิศวง
ทั้งๆ ที่เป็นกิริยาท่าทางหยาบคาย พอถูกโม่อีเหรินทำออกมากลับเหมือนเด็กกำลังทะเลาะกับผู้ใหญ่ มองอย่างไรก็น่ารักน่าชัง
“ฮึ ข้าไม่ถือสาหาความกับสตรีไร้ความรู้” ไป่หลี่จิงไห่โบกแขนเสื้อ ท่าทีดูถูกดูแคลนยิ่ง
“เป็นข้าที่ไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยกับบุรุษที่ไร้เอกลักษณ์ ไร้ความสง่างาม ไร้วัฒนธรรม ไร้การอบรมสั่งสอนอย่างท่านต่างหาก เพราะนั่นจะดึงข้าให้ต่ำลง” นางสะบัดหน้าใส่อีกฝ่าย “ฮึ!”
“เจ้า…” ไป่หลี่จิงไห่โตมาจนป่านนี้เพิ่งเคยถูกคนหยามน้ำหน้าถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรก มิหนำซ้ำยังเป็นแค่สตรีนางหนึ่ง…สตรีของไป่หลี่จิงหง
เขาอยากจะชกสตรีนางนี้ให้ตายคากำปั้นเลยทีเดียว
“ข้าสบายดีมาก ไม่ต้องให้ท่านมาเป็นห่วง” โม่อีเหรินกลับไปยืนข้างกายไป่หลี่จิงหง กอดแขนของไป่หลี่จิงหงไว้ ก่อนเอ่ยปลอบใจเขา “จิงหง ไม่ต้องเสียใจไป แม้ท่านจะโชคไม่ดีที่มีแซ่เดียวกับเขา แต่ท่านเป็นบุรุษที่ดีที่มีเอกลักษณ์ มีความสง่างาม มีวัฒนธรรม มีการอบรมสั่งสอน ต่างจากเขาโดยสิ้นเชิง”
สายตาของไป่หลี่จิงหงมองนางปราดหนึ่งอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ข้าจำเป็นต้องเปรียบเทียบกับเขาด้วยหรือ”
“ไม่จำเป็น!” โม่อีเหรินตอบอย่างฉับไว จากนั้นก็ก้มหน้าทำท่าพิจารณาตนเอง “ข้าพูดผิดไปแล้ว เปรียบเทียบกับเขาเป็นการดึงท่านให้ต่ำลง เป็นการไม่ยุติธรรมต่อท่านเกินไป”
“ไป่หลี่จิงหง!”
ไป่หลี่จิงไห่ดวงตาแทบจะพ่นไฟได้ แต่ไป่หลี่จิงหงกลับเพียงมองเขาผ่านๆ ปราดหนึ่ง ก่อนจะเมินเขาแล้วหันไปหาหลงชิงเหยา
“เกิดอะไรขึ้น”
“พวกเขาลอบโจมตี ทั้งยังวางยาพิษ ชิงอู๋หยากลายเป็นเช่นนี้เพราะช่วยข้า…” หลงชิงเหยาหัวเสียอยู่บ้าง
ความตื่นตัวของเขาต่ำเกินไปแล้ว ความจริงหากมิใช่เพราะปล่อยเชื้อไฟอัศจรรย์ออกมาได้ทันเวลา เขากับชิงอู๋หยาคงมีอันเป็นไปไปแล้ว
“ต้องการแย่งอะไรกัน”
“เจ้านั่น” หลงชิงเหยาชี้มือไป ไป่หลี่จิงหงกับโม่อีเหรินก็มองไปยังใจกลางบ่อน้ำปากปล่อง
ในน้ำสีฟ้าอมเขียวมีดอกบัวที่เป็นสีฟ้าอมเขียวดุจเดียวกันแต่มีสีอ่อนกว่า จมอยู่ใต้น้ำอย่างเงียบๆ ในสภาพยังเป็นดอกตูม
ไป่หลี่จิงหงเพ่งสายตาเล็กน้อย
โม่อีเหรินสีหน้าเป็นประกาย
“บัวน้ำแข็ง!”
มิน่าบริเวณรอบบ่อนี้ถึงได้เย็นสดชื่นเป็นพิเศษ
หากไม่มีอะไรติดขัด บัวน้ำแข็งนี้อาจจะให้กำเนิดเพลิงบัวน้ำแข็งออกมาได้
เชื้อไฟอัศจรรย์ที่ธรรมชาติฟูมฟักออกมาล้วนล้ำค่ายิ่ง ทั้งยังมี ‘เอกลักษณ์เฉพาะตัว’ มากอีกด้วย เรื่องนี้คนในที่นี้รู้กันหรือไม่
โม่อีเหรินแอบคิดดูรอบหนึ่ง สายตาก็กลอกมองรอบหนึ่งเช่นกัน
ไป่หลี่จิงหงยืนเงียบๆ อยู่ข้างกายนาง ไม่ให้ไป่หลี่จิงไห่หรือคนอื่นมีโอกาสได้ลอบโจมตีสตรีอันเป็นที่รักของเขา
หากแต่เห็นได้ชัดว่าโม่อีเหรินไม่คิดว่าตนเองจะมีอันตรายอะไร จึงเอ่ยถามหลงชิงเหยาอีกว่า “เพราะสิ่งนี้ อู๋หยาถึงได้ถูกลอบทำร้ายจนบาดเจ็บอีกทั้งถูกพิษหรือ”
“ใช่” หลงชิงเหยาพยักหน้าอย่างแรง
เขากับชิงอู๋หยามาถึงที่นี่ก่อน มองเห็นบัวน้ำแข็งก็ดีใจมาก ขณะเพิ่งกำลังคิดว่าควรเอามันมาอย่างไร ฝ่ามือพิษของเสวียนหมิงเจินก็ซัดมาที่เขาอย่างไร้สุ้มเสียง
ชิงอู๋หยาสังเกตเห็น จึงใช้ร่างกายปกป้องเขาไว้ เขาถึงได้ไม่เป็นอะไร
หากแต่อาการบาดเจ็บจากพิษของชิงอู๋หยากลับสาหัสยิ่ง
“โม่อีเหริน ท่านช่วยเขาได้หรือไม่” หลงชิงเหยาหวังอย่างยิ่งว่านางจะทำได้
กว่าจะไปสมทบกับหลิงเซ่าจวินได้ยังไม่รู้เลยว่าต้องใช้เวลากี่วัน ด้วยจะอย่างไรพวกเขาก็อยู่กันคนละทิศ แต่พิษของชิงอู๋หยากลับไม่รู้ว่ายังสามารถประคับประคองต่อไปได้นานเท่าไร
“เอ่อ…นี่ต้องดูก่อนถึงจะรู้”
“เช่นนั้นท่านก็รีบมาดูเถิด” หลงชิงเหยาทำท่าจะเก็บเชื้อไฟอัศจรรย์ลงทันที
“ประเดี๋ยวก่อน” โม่อีเหรินห้ามเขาได้ทันเวลา ทำท่าบอกให้เขาลดขนาดวงของเชื้อไฟอัศจรรย์ลงเล็กน้อย แค่พอให้คุ้มครองตนเองได้ก็พอ
ส่วนนางกับไป่หลี่จิงหงก็ยืนอยู่ระหว่างกลาง โม่อีเหรินเมียงมองไป่หลี่จิงไห่ที่ยังคงหน้าดำทะมึนกับเสวียนหมิงเจินที่มีสีหน้าเดาไม่ได้ว่ากำลังคิดอะไรชั่วแวบหนึ่ง สุดท้ายก็หันกลับมาหาหลงชิงเหยา “จะว่าไป เรื่องนี้เป็นท่านไม่ดี”
“หา?” หลงชิงเหยาที่ถูกตำหนิตะลึงงัน
“ท่านไม่เห็นหรือว่าพวกเขามีคนตั้งมากถึงเพียงนั้น อาศัยพวกท่านสองคน พลังแก่นแท้ก็ไม่มีอะไรเอาชนะผู้อื่นได้ อย่างเก่งก็ทำได้แค่เสมอกัน ภายใต้สถานการณ์พรรค์นี้แน่นอนว่าต้องถอยหลบไปก่อน จะไปแย่งชิงเจ้าสิ่งนี้กับพวกเขาด้วยเหตุใด ผลคือทำเอาตนเองถูกพิษอีกทั้งบาดเจ็บสาหัส เป็นการหาเรื่องเดือดร้อนให้ตนเองแท้ๆ”
“…” พูดเช่นนี้ถูกแล้วหรือ
ดังนั้นการที่ถูกลอบทำร้ายก็เป็นความผิดของพวกเขาอย่างนั้นหรือไร
“…” ไป่หลี่จิงไห่กับเสวียนหมิงเจินเองก็มีสีหน้าสงสัยเช่นกันว่านางพูดเช่นนี้ถูกต้องจริงๆ หรือ
โม่อีเหรินพูดต่ออีกว่า “ต่อให้พวกท่านสองคนได้สมบัติมาไว้ในมือแล้ว แต่พวกเขาก็สามารถแย่งเอาจากท่านได้โดยตรง ต่อให้แย่งไม่ได้ ก็ยังสามารถหาคนอื่นมาร่วมกันปล้นพวกท่าน ลอบแทงข้างหลังพวกท่าน ลอบโจมตีพวกท่าน ลอบสังหารพวกท่านตรงๆ พวกท่านว่าอุบายไร้จิตสำนึกไร้มโนธรรมที่เอามาอวดใครไม่ได้ ทั้งยังสกปรกเกินใดทัดเทียมเช่นนี้ พวกท่านสองคนต้านทานได้หรือ”
“…” หลงชิงเหยาฟังจนงันไปอีกครั้ง
“…” ไป่หลี่จิงไห่กับเสวียนหมิงเจินหน้าดำทะมึนในพริบตา
นี่เป็นการด่าพวกเขาว่าเป็นคนถ่อยอย่างชัดเจน
พวกเขาสองคนเป็นอัจฉริยะของตระกูลผู้มีชื่อเสียงบารมีขจรขจาย ฐานะสูงส่งเป็นที่เคารพ ถึงกับถูกสตรีไร้หัวนอนปลายเท้าผู้หนึ่งด่ากันซึ่งหน้า หากเรื่องนี้ถูกลือออกไป พวกเขายังจะเหลือศักดิ์ศรีอยู่อีกหรือ
โม่อีเหรินตั้งใจใช่หรือไม่ หลงชิงเหยากับชิงอู๋หยาเวลานี้ล้วนรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
ตามที่โม่อีเหรินพูด พวกเขาสองคนรนหาที่เอง มิหนำซ้ำยังไม่รู้จักดูเวล่ำเวลาด้วย
หากแต่สองคนนั้นก็ถูกด่าว่าไร้จิตสำนึกไร้มโนธรรมเหมือนกัน
ประเด็นสำคัญคือ…ด่าต่อหน้าคนเขาอีกด้วย
หลงชิงเหยาเริ่มจะรู้สึกว่าไป่หลี่จิงหงกล้าชอบสตรีเยี่ยงนี้ ช่างใจกล้าโดยแท้
“นี่ พวกท่านสองคน!” โม่อีเหรินพลันหันไปหาไป่หลี่จิงไห่และเสวียนหมิงเจิน
บุรุษทั้งสองมองนางอย่างระมัดระวัง
เดิมทีตอนแรกพวกเขาไม่เห็นนางอยู่ในสายตาจริงๆ แต่แค่โต้ฝีปากกันไม่กี่ที พวกเขาก็เปลี่ยนมุมมองไปโดยสิ้นเชิง
เนื่องจากนางไม่เล่นตามกฎเกินไป พวกเขาเดาไม่ออกเลยว่าคำพูดของนางสื่อว่าอะไรกันแน่
อย่างเช่น ‘เป็นไปได้มากว่าประโยคนี้เป็นการชมเจ้า แต่ครั้นประโยคถัดไปออกมา เจ้ากลับค้นพบว่าที่แท้ตนเองถูกด่าเข้าแล้ว’
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็มิได้ระวังตัวแจจริงๆ
จะอย่างไรก็เป็นแม่นางน้อยที่อายุเพิ่งสิบกว่าผู้หนึ่ง ต่อให้บอกว่าเก่งกล้าสามารถมากเพียงไร หรือถึงขนาดมีพลังแก่นแท้ที่สามารถคุกคามพวกเขาได้ พวกเขาก็ไม่เชื่อเป็นอันขาด
“มีอะไร” ไป่หลี่จิงไห่ถาม
“เอายาแก้พิษที่ช่วยอู๋หยาได้มา แล้วพวกข้าจะยอมถอยไป ทีนี้พวกท่านอยากได้อะไรก็เอาไป” โม่อีเหรินกล่าว
“คำพูดของเจ้าเชื่อได้หรือ สามารถพูดแทนคนอื่นๆ ได้?”
“จิงหง” โม่อีเหรินหันไปหาเขาทันที
“นางว่าอย่างไรก็ตามนั้น” เขาพูดจบก็หันไปหาหลงชิงเหยา “ชิงเหยา อู๋หยา ฟังคำโม่อีเหริน”
หลงชิงเหยากับชิงอู๋หยาสบตากันแวบหนึ่ง ออกจะจนใจอยู่สักหน่อย
ไป่หลี่จิงหงจะปลอบโยนโม่อีเหริน เชื่อฟังโม่อีเหรินเกินไปแล้วหรือไม่ ไฉนนางพูดอะไร เขาก็เห็นดีเห็นงามไปด้วยทุกอย่างเช่นนี้
ทว่าแม้จะต้องยอมสละบัวน้ำแข็งไป แต่คำพูดของโม่อีเหรินก็เห็นได้ชัดว่าช่วยเหลือทางหนีทีไล่เล็กๆ ไว้ให้พวกเขา
ตอนนี้ยอมให้พวกนั้นไปเด็ด มิได้หมายความว่าพวกนั้นเด็ดไปแล้ว ข้าจะไม่ไปชิงกลับมา…ชิงอู๋หยาคิด
แม้ปกติจะไม่สนับสนุนเรื่องอย่างการปล้นชิง แต่เขาถูกลอบโจมตีแล้ว ซ้ำยังถูกลอบโจมตีจนหมดสภาพ ไม่ทวงศักดิ์ศรีคืนมาก็ต้องขาดทุนไปเงียบๆ นี่มิใช่ท่วงทีของภาคีผู้ฝึกตนอย่างเด็ดขาด
มิหนำซ้ำเขายังรู้สึกอยู่ตลอดว่าโม่อีเหรินดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่เจตนานี้เท่านั้น
หลังพิจารณาเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว ชิงอู๋หยาก็ตอบตกลง ส่วนหลงชิงเหยานั้นฟังชิงอู๋หยา
“ตกลง”
โม่อีเหรินหันไปหาไป่หลี่จิงไห่ในทันใด “พวกเขาตกลงแล้ว ท่านวางใจได้แล้วกระมัง เอายาแก้พิษออกมา” นาง ‘ร้องขอ’ อย่างเต็มปากเต็มคำ
“ข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเจ้าจะไม่กลืนน้ำลายตนเอง”
“ท่านเรื่องมากยิ่งนัก!” โม่อีเหรินมองเขาด้วยความรังเกียจทันที
“เจ้า…” ไป่หลี่จิงไห่มีเพลิงโทสะพวยพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง
เดิมทียังนึกว่าแค่นี้ก็น่าโมโหมากแล้ว แต่วาจาถัดมาของโม่อีเหรินก็คือ “ท่านใช่บุรุษหรือไม่”
“…” ไป่หลี่จิงไห่ใกล้จะถูกทำให้โมโหจนหน้ามืดแล้ว
“บุรุษผู้หนึ่งทำอะไรกระยึกกระยักถึงเพียงนี้ ข้อแลกเปลี่ยนเป็นท่านเสนอขึ้นก่อน ตอนนี้คนที่ไม่เชื่อก็ยังเป็นท่าน ไฉนท่านถึงได้เรื่องมากเช่นนี้” โม่อีเหรินยังคงแสดงท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์
“เจ้า…” เขาเพิ่งจะออกปาก โม่อีเหรินก็พูดต่ออีก
“หากท่านไม่มีปัญญา ไม่มีความมั่นใจในตนเอง ก็บอกมาเร็วๆ สิ พวกข้าไม่หัวเราะเยาะท่านจนเกินไปหรอก ตอนนี้เชิญท่านตัดสินใจมา ตกลงจะแลกเปลี่ยนเงื่อนไขกันหรือไม่”
ด่าคนต้องรู้จักหยุดแต่พอดี หลังทำให้คนเดือดพล่านแล้วก็ต้องดูจังหวะห้ามทัพก่อนที่ผู้อื่นจะเริ่มเปิดฉากต่อสู้ จะอย่างไรที่ยั่วโมโหคนอยู่ตอนนี้ก็มิใช่จุดประสงค์หลัก ไม่อาจวางลำดับความสำคัญสลับกันได้
โม่อีเหรินมีสติดี
“คุณชายสาม ตอบตกลงไป” เสวียนหมิงเจินพลันพูดขึ้น
“เสวียนหมิงเจิน?”
“พวกเราเป็นฝ่ายยื่นข้อแลกเปลี่ยนเอง อย่างไรก็ไม่อาจทำให้ผู้อื่นพูดได้ว่าบุรุษสองคนอย่างข้ากับท่านกลัวสตรีที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากที่ใดนางหนึ่งกระมัง” เสวียนหมิงเจินกล่าว
ไป่หลี่จิงไห่คิดแล้วก็พยักหน้า “ก็ได้ เอาตามที่ท่านว่า”
พิษเป็นเสวียนหมิงเจินวาง ต้องการยาแก้พิษก็มีแค่เขาที่มี ด้วยเหตุนี้ไป่หลี่จิงไห่จึงมอบอำนาจการเป็นผู้นำให้เสวียนหมิงเจิน ส่วนตนเองก็จับตามองไป่หลี่จิงหงอย่างเงียบๆ
ตามข่าวที่เขาได้รับ หลังไป่หลี่จิงหงถูกพิษสมควรยังไม่หายดีมาจนถึงตอนนี้ แต่ตอนนี้กลับมองไม่ออกเลยว่าเขามีตรงใดที่ยังไม่หายดี
ถูกพิษ อีกทั้งชีพจรขาดสะบั้น ใช่จะไม่มียารักษา เพียงแต่สมุนไพรวิเศษล้ำค่าและหายากเกินไป หากเขาหายดีแล้วจริงๆ…สีหน้าไป่หลี่จิงไห่อึมครึมลงเล็กน้อย
“ต้องการยาแก้ก็ย่อมได้ ให้พวกเขาลงเขาไป ส่วนเจ้าอยู่ก่อน”
พอเสวียนหมิงเจินพูดจบ ไป่หลี่จิงหงก็ก้าวมายืนข้างหน้าโม่อีเหริน สายตาเยียบเย็นคล้ายกำลังมองคนรนหาที่ตาย
เสวียนหมิงเจินที่ถูกจ้องเขม็งพลันรู้สึกเหมือนมีความเย็นจู่โจมเข้าหัวใจ
ความรู้สึกทำนองนี้น่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว ทำให้เสวียนหมิงเจินอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาเล็กๆ ทว่าเขาก็มิใช่คนที่จะถูกขู่ขวัญได้
ยิ่งไปกว่านั้นผู้อื่นไม่รู้ แต่เสวียนหมิงเจินกลับกระจ่างแจ้งดีว่าไป่หลี่จิงหงผู้นี้มาจากดินแดนเทพยุทธ์ที่มีไอวิเศษไม่เพียงพอ อายุก็เพิ่งจะยี่สิบเอ็ด หากจะบอกว่าตอนนี้เขาร้ายกาจเสียเต็มประดา เสวียนหมิงเจินก็ไม่เชื่อแม้แต่น้อย
เสวียนหมิงเจินถามย้ำอีกครั้งโดยไม่นำพาไป่หลี่จิงหง “ว่าอย่างไร”
“จิงหง” โม่อีเหรินดึงแขนเสื้อของไป่หลี่จิงหงจากด้านหลัง รอเขาหันหน้ากลับมาถึงได้เม้มปากพูดว่า “ไม่เป็นไร”
สีหน้าของไป่หลี่จิงหงเยียบเย็นลงในพริบตา
โม่อีเหรินได้แต่พูดอย่างจนใจอยู่เล็กน้อย “จิงหง พวกเราไม่อาจเรียกร้องให้แต่ละคนซื่อสัตย์รักษาคำพูดเหมือนกับพวกเราได้” คลับคล้ายว่าได้ยินเสียง ‘พรืด’ จากใครสักคน ช่างเถอะ “มิหนำซ้ำเรากระทำการเปิดเผยโปร่งใส ก็ไม่กลัวผู้อื่นจะเล่นเล่ห์เพทุบาย”
ในดวงตาไป่หลี่จิงหงมีแววขบขันวาบผ่าน
“เจอกับคนที่พลังแก่นแท้อาจจะมีไม่เท่าไร ทั้งยังปอดแหก ชอบลอบโจมตี ชอบลอบวางยาพิษ ไม่กล้าเผชิญหน้าคู่ต่อสู้อย่างเปิดเผยเป็นธรรม พวกเราต้องลดความคาดหวังให้ต่ำลงสักนิด และต้องแสดงความสง่าผ่าเผยของพวกเราให้เห็นด้วยสักหน่อย ยอมให้พวกเขาสักครา”
ยอม?!
เสวียนหมิงเจินหน้าดำแล้ว ทว่าอดกลั้นไว้ได้
รอก่อนเถอะ เขาจะทำให้คนพวกนี้ได้รู้ว่าทำเล่นลิ้นต่อหน้าเขาไปก็ไม่มีประโยชน์
เสวียนหมิงเจินโยนยาแก้พิษไปให้ ทว่าเรื่องที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงคือผู้ที่รับไว้มิใช่ไป่หลี่จิงหง แต่เป็นสตรีนางนั้น
โม่อีเหรินวางยาแก้พิษลงบนมือไป่หลี่จิงหง จากนั้นก็เขย่งปลายเท้าแล้วดึงตัวเขาลงมากระซิบข้างหู ไป่หลี่จิงหงมีท่าทางไม่อยากพยักหน้าอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังคงพยักหน้า
“ห้ามจงใจทำเรื่องอันตราย”
“ข้าไม่ใช่ท่านเสียหน่อย” โม่อีเหรินเอามือเท้าสะเอว ท่าทางไม่พอใจ
เป็นใครที่ชอบทำเรื่องอันตรายกันแน่ ใครบางคนเคยมีประวัติมาแล้ว แต่นางยังไม่มี
ทว่าบุรุษบางคนเห็นได้ชัดว่าเรื่องในอดีตไม่จำเป็นต้องรื้อฟื้น ตอนนี้จงมองที่ปัจจุบัน นี่สำคัญกว่า
“ตอนนี้กำลังพูดถึงเจ้า หากเจ้าทำให้ข้าตกใจอีก ระวังข้าจะเปลี่ยนมาลงโทษเจ้าแทน”
“ข้าขอปฏิเสธความรุนแรงในครอบครัว!” โม่อีเหรินถลึงตาโต
ไป่หลี่จิงหงกลับรั้งตัวนางเข้ามาใกล้ ก้มหน้าลงใช้ปลายจมูกสะกิดกับปลายจมูกนางอย่างชิดเชื้อ
“มิใช่ความรุนแรงในครอบครัว” เขาจะทำลงได้อย่างไร
คราวนี้ไม่ว่าเป็นหลงชิงเหยาหรือทางฝั่งไป่หลี่จิงไห่ก็ล้วนหมดคำพูดกันถ้วนหน้า
ทั้งสองท่าน จำเป็นต้องเลือกพลอดรักในเวลาพรรค์นี้ด้วยหรือ
ว่าแต่ว่าสถานที่นี้ สถานการณ์นี้ เหมาะแก่การพลอดรักเคล้าเคลียกันหรือไร
ถึงเมื่อครู่นี้ไป่หลี่จิงไห่กับเสวียนหมิงเจินจะมีเพลิงโทสะลุกโชนเพียงไร ก็ถูกภาพฉากนี้ทำเอาเพลิงมอดแล้ว
“ทั้งสองท่าน เสร็จกันหรือยัง” เสวียนหมิงเจินเร่ง หากยังปล่อยให้พวกเขาคลอเคลียกันต่อไป ฟ้าคงได้มืดก่อน
“เสร็จแล้ว ไม่ต้องเร่ง ไม่เห็นหรือว่าพวกข้ากำลังอาลัยอาวรณ์กันอยู่ ท่านมันคนเลวจอมขัดจังหวะไร้ความเห็นอกเห็นใจ”
หลงชิงเหยา ชิงอู๋หยาอึ้งงัน “…”
แข็งแกร่ง!
หวานกันถึงเพียงนี้ต่อหน้าคนทั้งหลายโดยไม่อายสักนิด ซ้ำยังด่าคนที่ขัดจังหวะกลับไปว่าเลวอย่างเต็มปากเต็มคำ หลงชิงเหยามีเพียงคำเดียวมอบให้นาง ‘นับถือ’
หากเปลี่ยนเป็นสี่คำก็คือ ‘นับถือสุดๆ’
เสวียนหมิงเจินโกรธแล้ว “…”
“รีบพาพวกเขาลงเขาไป” โม่อีเหรินบอก
“อืม” เขาจะขึ้นมาหานางทันที
ใช้สายตาแทนคำพูดของตนเอง ก่อนไป่หลี่จิงหงจะหมุนตัวเดินไปหาหลงชิงเหยา หลังให้อีกฝ่ายเก็บเชื้อไฟลงแล้วก็พาทั้งสองคนกระโดดลงไปล่างเขา
หลังมองเห็นพวกเขาสามคนไปกันหมดแล้ว เสวียนหมิงเจินก็เดินมาใกล้โม่อีเหรินอีกหนึ่งก้าว
“เจ้าวางใจรั้งอยู่ที่นี่ เป็นเพราะใจกล้า หรือคิดว่าพวกข้าจะทำร้ายเจ้าไม่ได้”
“ล้วนมิใช่ เป็นเพราะมีที่พึ่งจึงไม่กลัว” โม่อีเหรินยิ้มหวาน
“มีที่พึ่งจึงไม่กลัวหรือ” เสวียนหมิงเจินหัวเราะเบาๆ
“เสวียนหมิงเจิน…” ไป่หลี่จิงไห่ร้องเรียก
“ให้คนอื่นๆ เตรียมการป้องกัน ท่านไปเอามา ส่วนนางมอบให้ข้า” เสวียนหมิงเจินพูดโดยไม่เหลียวกลับไปมอง สายตาจ้องมองโม่อีเหริน
โม่อีเหรินเป็นผู้บริสุทธิ์ อันที่จริงไม่ต้องจ้อง นางก็ไม่ได้อยากห้ามพวกเขาไปเด็ดดอกบัวเลยสักนิด
“อืม” ครั้นไป่หลี่จิงไห่พยักหน้า องครักษ์สิบกว่าคนที่อยู่ด้านหลังพวกเขาก็กระจายตัวป้องกันเผื่อว่าสามคนที่ล่างเขาจะแล่นขึ้นมาอีกทันที จากนั้นไป่หลี่จิงไห่ก็เดินไปใกล้บ่อน้ำปากปล่องและเหยียบไปบนผิวน้ำ
ไป่หลี่จิงไห่ไม่ได้จมลงในบ่อ กลับเดินบนบ่ออย่างมั่นคง จนกระทั่งเดินมาถึงเบื้องหน้าดอกตูมของบัวน้ำแข็ง ถึงได้ย่อตัวนั่งลงหยิบกล่องเก็บรักษาพิเศษออกมา หลังใช้พลังปฐมปกป้องฝ่ามือของตนเองแล้วก็เตรียมจะเด็ดบัวน้ำแข็ง…
เวลานี้เองเสวียนหมิงเจินกลับโฉบมาถึงตรงหน้าโม่อีเหรินในพริบตา ก่อนออกฝ่ามือตบออกไป
โม่อีเหรินกลับหลบได้ ทว่าก็ไม่ได้อาศัยจังหวะนี้ถอยหนี แต่ไม่รู้ว่าหยิบของบางอย่างมาสะบัดออกไปรัดมือที่สวมถุงมือสีดำข้างนั้นไว้ตั้งแต่เมื่อไร
สิ่งที่รัดมือไว้คือ…เถาวัลย์สีเขียวอ่อนเส้นหนึ่ง
“การลอบโจมตีเป็นความชอบของท่านจริงๆ ด้วย!” หลังหลบพ้นจากการลอบจู่โจมของอีกฝ่ายแล้ว โม่อีเหรินยังคงมีเวลามาเบิกตาโต แสร้งทำท่าทางตกใจกลัวออกมา
เสวียนหมิงเจินไม่นำพา รีบบิดมือเปลี่ยนกระบวนท่า
โม่อีเหรินกลับหมุนตัวและเอียงตัวตาม หากแต่มือข้างที่ถูกนางรัดไว้ยังคงมิได้หลุดจากพันธนาการ
เสวียนหมิงเจินพลิกมือจับเถาวัลย์ไว้ กระชากนางมาใกล้ๆ แล้วซัดลมพิษเข้าใส่
หากแต่ลมพิษมิได้จู่โจมไปยังโม่อีเหริน กลับย้อนเข้าหาเสวียนหมิงเจินแทน
เสวียนหมิงเจินหน้าเปลี่ยนสี ท่าทำจะถอยหลังทันที ทว่ามือขวากลับยังคงถูกเถาวัลย์รั้งไว้ ทำให้เขาไม่อาจถอยไปได้ไกล จึงไม่ถอยเสียเลย แต่ฟาดฝ่ามือพิษข้างซ้ายใส่โม่อีเหรินแทน
ฝ่ามือพิษข้างซ้ายยังไม่ทันฟาดถูกโม่อีเหริน เสวียนหมิงเจินก็รู้สึกเวียนหัวเสียก่อน
ไม่ถูกต้อง นี่มิใช่พิษของข้า…
โม่อีเหรินหัวเราะเบาๆ ก่อนบิดมือถอดถุงมือดำบนมือขวาของเขาออก จากนั้นก็มือซ้าย…
เสวียนหมิงเจินถอยหนีได้ทัน
“นี่! ของของท่าน คืนให้ท่าน”
ของของข้า? เสวียนหมิงเจินยิ้มเย็น นางคิดจะใช้พิษบนถุงมือพิษของข้ามาเล่นงานข้าอย่างนั้นหรือ ไร้เดียงสา!
หากแต่ขณะเขาได้กลิ่น ลมพิษก็พัดกระจายไปทั่วสารทิศแล้ว องครักษ์สิบกว่าคนนั้นถูกลมพิษกวาดเข้าใส่ทั้งหมด เสวียนหมิงเจินพลันหน้าเปลี่ยนสี
“นี่มิใช่ของของข้าโดยสิ้นเชิง!”
นี่มิใช่พิษของเขาจริงๆ
“อ้อ เนื่องจากของขวัญตอบแทนต้องให้มากกว่าที่ได้รับสักหน่อย ข้าก็เลยเพิ่มบางอย่างเข้าไปเล็กน้อย” โม่อีเหรินตอบด้วยท่าทางสบายๆ เห็นองครักษ์สิบกว่าคนน้ำลายฟูมปากล้มลงกับพื้นก็เอ่ยเสริมอีกว่า “จริงสิ ไม่ต้องขอบคุณข้าเกินไป ข้าไม่ได้ใจแคบเหมือนท่าน ของเพียงเท่านี้ไม่นับเป็นอะไร”
“ใครจะไปขอบคุณเจ้ากัน!” เสวียนหมิงเจินถลึงตาจนแทบจะถลน “เจ้า…”
ตูม!
“อ๊าก!”
คำด่ายังไม่ทันออกจากปากเสวียนหมิงเจิน ก็พลันมีเสียงระเบิดดังมาจากบ่อน้ำปากปล่อง แสงเพลิงระเบิดพุ่งขึ้นฟ้า แม้แต่สามคนที่ล่างเขาก็ยังถูกทำให้ตระหนกตกใจ
“อีเหริน!” ไป่หลี่จิงหงมองบนยอดเขา กำฝ่ามือแน่น
“ไป่หลี่จิงหง?” หลงชิงเหยามองแสงเพลิงที่ระเบิดออกมาบนยอดเขาพลางหน้าเปลี่ยนสีไปเช่นกัน
“ท่านพาชิงอู๋หยาไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ไปสมทบกับเซ่าจวินให้เร็วที่สุด!” พอพูดจบไป่หลี่จิงหงก็เหินกายขึ้นไปยังยอดเขาทันที
“ไป่หลี่จิงหง!” หลงชิงเหยาห้ามไม่ทัน
ปากปล่องเกิดการระเบิดกะทันหัน แม้ไป่หลี่จิงไห่จะถอยหลังในทันที แต่ร่างกายก็ยังคงถูกเพลิงที่ระเบิดออกมาพุ่งเข้าใส่
“ไป่หลี่จิงไห่!”
แม้เสวียนหมิงเจินจะถูกพิษ แต่ยังคงมีแรงเหลือพอจะรับตัวไป่หลี่จิงไห่ที่ถูกพ่นกระเด็นมาไว้ได้ พร้อมทั้งป้อนยารักษาอาการบาดเจ็บให้เขากินลงไปหนึ่งเม็ดทันที
ตูม…ตูม…
ปากปล่องปะทุ เพลิงถูกพ่นขึ้นฟ้าไม่หยุด ภูเขาทั้งลูกกำลังสั่นสะเทือน
อุณหภูมิของทั้งบ่อน้ำปากปล่องพุ่งพรวด ธารหินหนืดไหลออกมาเป็นทางอย่างรวดเร็ว
เสวียนหมิงเจินกอดไป่หลี่จิงไห่ไว้ด้านหนึ่งพลางถอยหลังไปอีกหลายสิบจั้ง
ขณะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง โม่อีเหรินแม้จะถอยหลังเช่นกัน แต่สถานการณ์ไม่ได้คับขันเท่าพวกเขาโดยสิ้นเชิง มิหนำซ้ำธารหินหนืด…ก็มิได้ไหลไปทางนาง
นี่มันอะไรกัน หรือว่าพ่นไฟก็ยังต้องดูเป้าหมายด้วย
ไม่ใช่สิ เป็นลักษณะพื้นที่
ทางที่นางยืนอยู่ค่อนข้างสูงกว่า ดังนั้นธารหินหนืดจึงไม่ได้ไหลไปทางนั้น
เมื่อตระหนักได้ถึงจุดนี้ คนทั้งสองก็มองตากัน ก่อนจะวิ่งตะบึงไปทางนางพร้อมกัน
ตูม…ตูม…
บ่อน้ำปากปล่องยังคงพ่นไฟอย่างต่อเนื่อง
ไป่หลี่จิงไห่มองดูโม่อีเหรินที่ไม่มีท่าทีประหลาดใจแม้แต่น้อย แล้วก็พลันกระจ่างแจ้ง
“เจ้ารู้อยู่ก่อนแล้วว่าพอบัวน้ำแข็งถูกเด็ด บ่อน้ำปากปล่องก็จะระเบิด?”
“ไม่รู้” โม่อีเหรินส่ายหน้าอย่างจริงใจยิ่ง
“ไม่รู้จริงๆ หรือ”
“ระแวงมากไปมิใช่นิสัยที่ดี จะแก่ก่อนวัยได้ง่าย จริงๆ นะ” โม่อีเหรินพูดกับเขาด้วยความจริงใจยิ่งกว่าเดิม
ไป่หลี่จิงไห่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “หากไม่รู้ เจ้ามีหรือจะตอบตกลงทำข้อแลกเปลี่ยนซ้ำยังถอยลงไปล่างเขาอย่างไม่อิดออดถึงเพียงนั้น”
“นั่นเป็นพวกท่านเรียกร้องเอง” โม่อีเหรินยิ่งถูกใส่ความแล้ว นี่คือโจรร้องจับโจร* โดยแท้
“เช่นนั้นเจ้ามองเห็นปากปล่องพ่นไฟ เหตุใดถึงไม่ประหลาดใจเลยสักนิด” เสวียนหมิงเจินกระทู้ถาม
“ข้าถูกทำให้ตกใจจนอึ้งไปแล้วต่างหาก” โม่อีเหรินตบๆ อก
“…” โกหกตาใสหรือ!
ตูม…ตูม…
ธารหินหนืดที่ปากปล่องไหลมาทางนี้ในที่สุดเนื่องจากถูกพ่นออกมามากเกินไป
เสวียนหมิงเจินพลันจู่โจมโม่อีเหริน
ส่วนโม่อีเหรินเพียงก้าวเท้าก้าวเดียวก็ผลุบหลบไปได้อย่างง่ายดาย
หากแต่การจู่โจมจากไป่หลี่จิงไห่ได้ตามมาติดๆ
โม่อีเหรินหมุนตัว หลบพ้นอีกครั้ง
จากนั้นก็เป็นเสวียนหมิงเจินต่อ
สองคนนี้ไม่เสียแรงที่ร่วมมือกัน จะต้อง ‘สมคบ’ กันมานานมากแล้วเป็นแน่ มิเช่นนั้นจะรู้ใจกันถึงเพียงนี้ได้อย่างไร
คนหนึ่งตามด้วยอีกคน กระบวนท่าหนึ่งตามด้วยอีกกระบวนท่า มิหนำซ้ำยังล้วนโจมตีมาจากคนละทิศทางอย่างเจ้าเล่ห์ยิ่ง ทำให้ถึงคนจะสังเกตเห็น ก็ยากยิ่งที่จะหลบหรือโต้กลับได้ทันเวลา
โม่อีเหรินจึงไม่มองเสียเลย เพียงอาศัยความรู้สึก ก็เหมือนตอนที่หลบหลีกลมกระโชกในหุบเขากังเฟิง แผ่ญาณวิเศษออกไป หลบหลีกโดยอาศัยประสาทรับรู้และตอบสนอง
เพียงชั่วครู่เดียวคนทั้งสามก็ประมือกันร่วมร้อยกระบวนท่าแล้ว ไป่หลี่จิงไห่กับเสวียนหมิงเจินยิ่งสู้ก็ยิ่งตกใจ
แค่ผลุบตัวหลบกับป้องกัน มิได้เดินหน้าโจมตีแม้แต่น้อย แต่สามารถต้านทานร้อยกระบวนท่าที่พวกเขาร่วมมือกันได้ทั้งอย่างนี้
พลังแก่นแท้เยี่ยงนี้…
บุรุษทั้งสองมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจพร้อมกัน
…จะเก็บนางไว้ไม่ได้!
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว คนทั้งสองก็ฉวยโอกาสขณะปากปล่องพ่นไฟขึ้นมาอีกครั้ง ต้อนนางไปทางปากปล่องภูเขาไฟ ดาบยาวของไป่หลี่จิงไห่พลันปรากฏ…
ปังๆ…
ตูม…
“ฝ่ามือเสวียนหมิง!”
“วิญญาณดาบท่าที่หนึ่ง!”
หนึ่งฝ่ามือหนึ่งดาบ หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา จู่โจมโอบล้อมเข้าหาโม่อีเหรินด้วยกระบวนท่าหมายเอาชีวิต
เขี้ยวเงินที่เกาะอยู่บนบ่าโม่อีเหรินมาโดยตลอดกำลังจะโต้กลับ…
“เขี้ยวเงิน”
เดิมทีสองมือของโม่อีเหรินอัดรวมพลังปฐมเป็นวงกลมเพื่อไว้ปกป้องตนเอง ผลคือเพราะต้องห้ามเขี้ยวเงินจึงขาดไปหนึ่งด้าน
สกัดดาบของไป่หลี่จิงไห่ไว้ได้ แต่กลับต้องถอยหลังไปสองก้าว จากนั้นฝ่ามือของเสวียนหมิงเจินจึงโจมตีถูกนางทันที…
ตูม!
โม่อีเหรินถูกฝ่ามือโจมตีใส่จนเซถอยหลัง ที่ด้านหลังก็คือไฟที่ปากปล่องพ่นออกมา ไป่หลี่จิงหงที่เร่งรุดมามองเห็นภาพนี้เข้าพอดี…
“อีเหริน!”
ไป่หลี่จิงหงแม้แต่จะตระหนกตกใจก็ยังไม่ทัน รีบกระโจนไปหานางทันที
เรื่องที่เคยปล่อยให้โม่อีเหรินตกลงทะเลสาบคนเดียวจะไม่มีวันเกิดขึ้นซ้ำสอง!
โม่อีเหรินเห็นเขากระโจนมาหานางอย่างปราศจากความลังเลก็ยิ้มออกมาอย่างสุดจะกลั้นไหว
หากแต่สีหน้าเด็ดเดี่ยวแน่วแน่และไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้นของเขากลับทำให้หัวใจนางรู้สึกแปลบอยู่เล็กน้อย
“จิงหงคนโง่…” มีใครที่ใดจะตามผู้อื่นเข้าไปกองเพลิงกันเล่า
ไป่หลี่จิงหงจับมือโม่อีเหรินไว้ ออกแรงดึงตัวนางเข้าอ้อมกอด เพลิงพวยพุ่งอยู่ตรงหน้าแล้ว
ในเมื่อหยุดตนเองไม่ให้พุ่งต่อไปไม่ได้แล้ว ไป่หลี่จิงหงจึงหมุนตัวเปลี่ยนทิศทาง หันหลังของตนเองเข้าหาไฟ ขณะเดียวกับที่ปกป้องโม่อีเหรินไว้ในอ้อมอกก็เสกปราณดาบสองสายขึ้นมาพร้อมกัน ก่อนซัดไปยังไป่หลี่จิงไห่และเสวียนหมิงเจินอย่างไร้สุ้มเสียง
ตูม!
เกิดระเบิดอีกครั้ง ทั้งปากปล่องก็หายไปไม่เห็นแล้ว กลายเป็นทะเลเพลิงทั่วทั้งแถบ
เงาร่างของไป่หลี่จิงหงกับโม่อีเหรินถูกไฟที่พ่นออกมากลืนหายไปทันที
ไป่หลี่จิงไห่ดีใจ แต่ยังไม่ทันได้หัวเราะออกมาก็พลันรู้สึกเจ็บที่ไหล่ซ้าย
“อึ้ก…นี่มัน…”
ปราณดาบเย็นยะเยือกสายหนึ่งแทงทะลุไหล่ซ้ายของเขาแล้ว คมดาบก็หายไป ไอเย็นกลับซึมเข้าในร่างกายของไป่หลี่จิงไห่ทั้งหมด
“นี่…” แขนขวาของเสวียนหมิงเจินถูกปราณดาบแทงทะลุดุจเดียวกัน
หากแต่เขาใช้พลังปฐมผนึกแขนขวาไว้ทันที ไม่ให้ไอเย็นแช่แข็งร่าง
“เป็น…ไป่หลี่จิงหง…” ไป่หลี่จิงไห่กัดฟัน แต่กลับตัวสั่นงันงกขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
อยู่บนยอดเขาที่กำลังพ่นไฟออกมา แต่เขาถึงกับรู้สึกว่าทั้งสรรพางค์กายใกล้จะถูกความรู้สึกหนาวยะเยือกทำให้แข็งเป็นน้ำแข็งแล้ว
“รีบไปจากที่นี่!” เสวียนหมิงเจินพูดทันควัน
“อืม…” ไป่หลี่จิงไห่ฝืนพยักหน้า
ตูมๆๆๆๆ…
ไฟเริ่มพ่นกระจัดกระจายไปรอบทิศ เสวียนหมิงเจินหน้าเปลี่ยนสี
“รีบไป!”
เขาประคองไป่หลี่จิงไห่ไว้ ก่อนที่ทั้งสองคนจะบึ่งลงจากเขา และส่งข่าวไปขอความช่วยเหลือ
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน เมษายน 65)
Comments
comments
No tags for this post.