บทที่สี่
“โฮ่วๆ!”
หนึ่งเสียงไม่พอ จึงร้องอีกสองที ทุกคนในห้องโถงล้วนได้ยิน ต่างตื่นตระหนกไปตามๆ กัน
“เกิดอะไรขึ้น!”
“นี่เป็นเสียงสัตว์วิเศษชนิดใดกัน”
“สัตว์วิเศษของคุณชายน้อยคนเมื่อครู่นี้หรือ”
“เป็นไปไม่ได้ เมื่อครู่เขาไม่ได้นำสัตว์วิเศษเข้าไปเลยนะ”
“ถ้าสัตว์วิเศษอยู่ในอากาศ ท่านไม่มีทางมองเห็น”
“ไม่ใช่ เมื่อครู่เขามีสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งบนไหล่”
“ท่านคงไม่คิดว่าสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ นั้นจะคำรามเสียงเกรี้ยวกราดได้กระมัง”
“จริงสิ เด็กน้อยเพิ่งอายุเท่าไรเอง ไม่มีทางมีสัตว์วิเศษที่มีเสียงทรงพลังเช่นนี้ได้!”
“เช่นนั้นเสียงคำรามนี้…”
หลังจากที่ทุกคนตะลึง ก็ยังเดาไม่ออกว่าด้านในเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“อูๆๆ…” เหล่าผู้วิเศษที่มีสัตว์วิเศษอยู่ข้างกาย เมื่อหยั่งถึงความรู้สึกของพวกมันผ่านจิตที่เชื่อมกัน ก็รับรู้ได้อย่างชัดแจ้งว่าพวกมันตัวสั่นและหวาดกลัว
สัตว์วิเศษจะรู้สึกถูกข่มขู่หรือทำให้ตกใจกลัวจนตัวสั่นเมื่อพบกับสัตว์วิเศษที่มีสายเลือดบริสุทธิ์กว่าหรือลำดับขั้นสูงกว่าตน
บรรดาผู้วิเศษยิ่งทึ่งกันเข้าไปใหญ่ ไม่รู้ว่าเสียงคำรามนั้นมาจากสัตว์วิเศษชนิดใดกันแน่
ทุกคนมองไปทางคุณชายใหญ่สกุลฉู่ที่นั่งอยู่ตรงนั้น ท่าทางไม่ตึงเครียดเลยแม้แต่น้อย จึงอดคาดเดาต่อไปไม่ได้
หรือว่าประมุขตระกูลฉู่จับสัตว์วิเศษขั้นสูงอะไรได้ จากนั้นก็ให้ลูกชายตนเองทำพันธสัญญากระมัง
ทุกคนมองไปทางฉู่เซวียนอั๋ง คาดเดากันไปต่างๆ นานา อันที่จริงในใจฉู่เซวียนอั๋งก็กังวลอยู่บ้าง แม้จะไม่แสดงออกทางสีหน้า
สัตว์น้อยตัวนั้นสามารถคำรามเสียงดังเช่นนี้ได้เลยหรือ พอเขานึกถึงท่าทางตอนมันกินอิ่ม เรอ นอนแผ่พุงยกขาชี้ฟ้า ฉู่เซวียนอั๋งก็รู้สึกจนปัญญาอยู่บ้าง เหตุใดจึงนึกไม่ถึงว่ามันจะทรงพลังเพียงนี้
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ฉู่เซวียนอั๋งยังคงนั่งอย่างเคร่งขรึม อุ้มฉู่อีเหรินที่เกือบจะหลับพลางตบหลังนางเบาๆ
“เหนื่อยแล้วก็นอน ไม่ต้องกังวล” เขาปลอบโยนน้องสาว
“ได้” ฉู่อีเหรินพยักหน้า หลับตาพิงพี่ใหญ่ ลมหายใจรวนเรอยู่บ้าง ตัวร้อนรุมๆ คล้ายเป็นลางบอกเหตุว่านางกำลังจะป่วย แต่ก็พยายามควบคุมไม่ให้ตัวสั่นด้วยกลัวจะทำให้พี่ใหญ่ตื่นตระหนก
ผ่านไปอีกราวสองเค่อ ในที่สุดคนต้อนรับที่เข้าไปเมื่อครู่ก็ออกมา เดินตรงมาที่ด้านหน้าฉู่เซวียนอั๋ง กระซิบหลายประโยคอย่างเคารพนบนอบ จากนั้นฉู่เซวียนอั๋งก็อุ้มน้องสาวและยืนขึ้น เดินตามคนต้อนรับเข้าไปด้านใน
ทุกคนมองอย่างงุนงงและแปลกใจยิ่งนัก “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
คนต้อนรับคนนั้นดูใจดีอยู่บ้าง เลยหันไปบอกพวกเขา
คนต้อนรับพาฉู่เซวียนอั๋งเดินตรงไปยังห้องโถงด้านข้างที่อยู่ด้านหลัง ไม่ได้พาไปยังสนามทดสอบ ที่นี่คือสถานที่ที่สมาคมใช้ต้อนรับแขกเหรื่อ
ฉู่เซวียนอั๋งอุ้มฉู่อีเหรินเดินเข้าไป ภายในห้องนั้นมีคนสามคนนั่งอยู่ นอกจากฉู่เซวียนฉี ยังมีบุรุษอีกสองคนอายุราวยี่สิบห้าถึงสามสิบปี หนึ่งในนั้นนั่งฝั่งเดียวกับฉู่เซวียนฉี ท่วงท่าสง่างาม อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าดูอ่อนโยนหล่อเหลา สวมชุดสีฟ้า สายตาอบอุ่น คลี่ยิ้มบางๆ รอยยิ้มนั้นมีความเป็นกันเอง ดูสบายอยู่บ้าง ทว่ากลับแฝงอำนาจน่ายำเกรงไว้ ไม่มีใครกล้ามองข้าม
ฉู่อีเหรินมองอย่างแปลกใจพลางวิจารณ์อยู่ในใจ คนผู้นี้ท่าทางเอาแต่ใจตนเองและมีบุคลิกอบอุ่นยิ่งนัก
พอนางมองอีกคนหนึ่ง คนนี้นั่งไกลออกไปอีกหน่อย ถือว่านั่งอยู่ตรงมุมห้อง คล้ายไร้ตัวตน แต่กลับรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ ทำให้ไม่มีใครกล้าละเลย เขาสวมชุดสีเทาเงิน ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายเย็นชาที่ทำให้รู้สึกเหินห่างเป็นพันลี้ ท่าทางการนั่งสบายๆ แสดงให้เห็นถึงนิสัยเฉพาะตัวที่มักกระทำการอย่างบ้าคลั่ง อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าราวแกะสลักได้อย่างสมบูรณ์แบบและประณีต ขับเน้นความเย็นชายิ่งขึ้น ทำให้พอมองแต่ไกลไม่กล้าเข้าหา มองจากใบหน้าที่ขมวดคิ้วเล็กน้อยก็พอมองออกว่าเขาคล้ายจะไม่อยากนั่งต่อไป แต่ยังนั่งนิ่งไม่จากไปไหน เพียงเพราะท่านอารูปงามที่สวมชุดสีฟ้าคนนั้นใช้สายตาขอร้องให้เขาอยู่ต่อ
ฉู่อีเหรินคิดว่าคนผู้นี้เย็นชาอย่างยิ่ง แต่หากเป็นคนที่เขาให้ความสำคัญแล้ว เขาจะยอมละทิ้งความดื้อดึงถือดีของตนเอง ถือว่าเป็นคนที่ใช้ความรู้สึกเป็นใหญ่
ขณะที่ฉู่อีเหรินประเมินท่านอารูปงามสองคน พวกเขาก็มองมาที่พวกนางแวบหนึ่ง โดยเฉพาะท่านอาที่สวมชุดสีเทาเงิน จ้องนางคล้ายขมวดคิ้วอยู่ชั่วครู่ จากนั้นสายตาก็แสดงถึงการใคร่ครวญ
ฉู่อีเหรินไม่รู้จักคนสองคนนี้ก็เลยไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแต่ซบพี่ชายแล้วก็มองพี่เล็ก
“เจ้าคือพี่ใหญ่ของฉู่เซวียนฉี คุณชายใหญ่สกุลฉู่ นามว่าฉู่เซวียนอั๋ง แล้วเจ้าก็คือน้องสาวที่ฉู่เซวียนฉีรักมาก นามว่าฉู่อีเหรินใช่หรือไม่” ท่านอารูปงามที่สวมชุดสีฟ้ายิ้มแย้มพลางแนะนำตนเอง “ข้าคือเฟิงเหยี่ยน เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของสมาคมผู้ครองสัตว์วิเศษ เมื่อครู่หลังจากทดสอบเซวียนฉีเสร็จสิ้น ข้ารับเขาเป็นลูกศิษย์แล้ว แต่ฉู่เซวียนฉีหวังว่าจะได้รับความยินยอมและสนับสนุนจากพวกเจ้า”
ฉู่เซวียนอั๋งและฉู่อีเหรินตะลึงมองฉู่เซวียนฉีพร้อมกัน
เพิ่งผ่านการทดสอบ คาดไม่ถึงว่ากราบไหว้อาจารย์เรียบร้อยแล้ว ช่างรวดเร็วเหลือเกิน
“น้องฉี เจ้ากราบไหว้ผู้อาวุโสเฟิงเป็นอาจารย์แล้ว?”
ฉู่เซวียนฉีและฉู่อีเหรินไม่รู้ ทว่าฉู่เซวียนอั๋งกลับรู้ดี เฟิงเหยี่ยนคือผู้อาวุโสในสมาคมผู้ครองสัตว์วิเศษที่อายุน้อยที่สุด เป็นผู้บัญชาสัตว์วิเศษระดับเจ็ด สัตว์เทพที่ครอบครองคือสิงโตมรกตที่มีพลังปกป้องสูงมาก เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังในดินแดนเทพยุทธ์
“ใช่” ฉู่เซวียนฉีพยักหน้า หวังว่าพี่ใหญ่จะไม่คัดค้าน
“ยินดีด้วย” ฉู่เซวียนอั๋งรู้สึกยินดีกับน้องชายจากใจจริง นี่คือโอกาส มีอาจารย์เช่นนี้ต่อไปคงไม่ลำบากนัก พอคิดถึงจุดนี้ฉู่เซวียนอั๋งก็คำนับเฟิงเหยี่ยนด้วยความเคารพ “ผู้อาวุโสเฟิง วันนี้น้องฉีเพิ่งกลายเป็นผู้ครองสัตว์วิเศษ ยังไม่เข้าใจเรื่องราวอีกมากมาย รบกวนท่านเอาใจใส่สั่งสอนเขาด้วย ฉู่เซวียนอั๋งขอขอบคุณท่าน ณ ที่นี้”
“เขาเป็นลูกศิษย์ข้า จนถึงขณะนี้ข้ามีเขาเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียว ข้าจะต้องตั้งใจสั่งสอนเขาแน่นอน เจ้าไม่ต้องกังวล” เฟิงเหยี่ยนเอ่ยยิ้มๆ
เฟิงเหยี่ยนก็เคยได้ยินเรื่องของฉู่เซวียนอั๋ง แน่นอนว่าเขาจะต้องรักและทะนุถนอมเด็กที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ เขามองออกว่าฉู่เซวียนอั๋งรักและปกป้องน้องชายน้องสาวอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเด็กหญิงตัวน้อยที่เขาอุ้มไว้ในอ้อมกอดขณะนี้
เพียงแต่ว่า…เด็กหญิงสภาพย่ำแย่ ไม่เพียงแค่หน้าซีดเผือด ยังมีเม็ดเหงื่อเกาะตามหน้าผาก คล้ายมีโรครุมเร้า…
“อุ้มนางมานี่” ท่านอารูปงามที่นั่งอยู่ตรงมุมห้องซึ่งก่อนหน้านี้เงียบกริบมาตลอดจู่ๆ ก็เอ่ยปาก ไม่เพียงทำให้พี่น้องสกุลฉู่ตกอกตกใจ แม้แต่เฟิงเหยี่ยนยังตะลึงไปเล็กน้อย
“ผู้อาวุโส…” ฉู่เซวียนอั๋งเอ่ยเรียกเพราะอยากยืนยันคำพูดของเขาอีกครั้ง ผู้อาวุโสท่านนี้ดูท่าเป็นคนเข้าหาได้ยาก เหตุใดจึงอยากเห็นฉู่อีเหรินใกล้ๆ กัน
“อุ้มนางมานี่” เขาบอกอีกครั้ง น้ำเสียงเหมือนกับเมื่อครู่ ไม่สนใจที่คนอื่นมองมาอย่างตะลึงงันเลย
“อุ้มนางไปเถิด” เฟิงเหยี่ยนที่เห็นว่าฉู่เซวียนอั๋งละล้าละลัง จึงใช้สายตาบอกให้เขาสบายใจว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้มีเจตนาร้าย
ฉู่เซวียนอั๋งจึงอุ้มน้องสาวไปด้านหน้าเขา
บุรุษผู้นั้นที่เรียกพวกเขาเข้าไปหาเพียงมองแต่ฉู่อีเหรินที่หน้าขาวซีด ไม่ได้มองดูฉู่เซวียนอั๋งแม้แต่น้อย “เจ้าเป็นเช่นนี้มานานเท่าใดแล้ว”
ฉู่อีเหรินช้อนตาขึ้นมองเขา ดวงตาดำขลับใสแจ๋วไม่ขลาดกลัวแม้แต่น้อย ทำให้บุรุษผู้นั้นพลันรู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง และมีความรู้สึกสงสัยขึ้นมาบางเบา
“น่าจะ…ตั้งแต่เกิด ก็เป็นเช่นนี้แล้ว” นางตอบ
“ยื่นมือออกมา” บุรุษผู้นั้นเอ่ยอีกครั้ง
ฉู่อีเหรินพยักหน้า ยื่นมือขวาออกไป
บุรุษผู้นั้นจับข้อมือน้อยๆ เห็นชัดว่านางเจ็บปวด ใบหน้ายิ่งซีดเผือด ทว่าไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมาแม้แต่น้อย รู้สึกชีพจรของนางกำลังเต้น ประกายบางอย่างแวบผ่านดวงตาเฉียบแหลมนั้น
“เจ้ากลัวตายหรือไม่” จู่ๆ เขาก็ถามขึ้น
ฉู่อีเหรินไม่ตกใจเท่าไร แต่พี่น้องสกุลฉู่กลับฟังแล้วตะลึงพรึงเพริด ดวงตาสองคู่จ้องไปทางบุรุษผู้นั้นอย่างตื่นตระหนกพร้อมกัน
“กลัวนิดหน่อย แต่ก็คล้ายกับว่าไม่กลัวมาก” ฉู่อีเหรินตอบตามตรง
“กลัวก็คือกลัว ไม่กลัวก็คือไม่กลัว ไม่มีคล้ายกับว่า” ความหมายของเขาคือนางจะต้องตอบอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างชัดเจน
ฉู่อีเหรินระบายยิ้มออกมาอย่างอ่อนแรง
“ถ้าเป็นไปได้ แน่นอนว่าข้าคาดหวังให้ตนเองมีชีวิตรอดต่อไป แล้วข้าก็จะพยายามมุ่งหน้าสู่เป้าหมายนี้ แต่ถ้าหากไม่รอดจริงๆ ข้าก็จะยอมรับผลลัพธ์นั้น”
บุรุษผู้นั้นแสดงสีหน้าพอใจเล็กน้อย แม้แต่เฟิงเหยี่ยนยังคิดไม่ถึงว่านางจะตอบคำถามเช่นนี้
“ปีนี้เจ้ากี่ขวบ”
“สามขวบ”
เพิ่งสามขวบก็กล่าววาจาเช่นนี้ได้ นี่เป็นความฉลาดล้นเหลือตามธรรมชาติหรือพ่อแม่ที่สอนนางมาเก่งกาจนัก เฟิงเหยี่ยนรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาเล็กน้อย
“ผู้อาวุโส ท่านรู้สาเหตุการป่วยของน้องสาวข้าใช่หรือไม่ ท่านรักษานางได้หรือไม่” ฉู่อีเหรินอาจจะยอมรับอย่างสงบได้ แต่ฉู่เซวียนอั๋งรับไม่ได้ เขาไม่อาจมองน้องสาวที่ตนคอยฟูมฟักดูแลมาตั้งแต่เกิดจากโลกนี้ไปกับตาตนเอง นางยังไม่ทันเติบโต ไม่ทันได้เรียนรู้ชีวิต ช่างไม่ยุติธรรมต่อนางเอาเสียเลย
บุรุษผู้นั้นไม่สนใจเขา เอ่ยถามนางต่อว่า “พ่อแม่เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ามีสุขภาพย่ำแย่”
“…ข้าไม่รู้” ฉู่อีเหรินครุ่นคิดไปมา นางไม่แน่ใจจริงๆ ว่าพ่อแม่รู้สภาพของนางหรือไม่
“ไม่รู้?!” ในที่สุดบุรุษผู้นั้นก็แสดงสีหน้าตกใจออกมาเป็นคราแรก หัวคิ้วเขาขมวดมุ่นทันใด
“ไม่รู้ได้อย่างไร” เฟิงเหยี่ยนก็แปลกใจเช่นกัน เขาหันหน้าไปถามลูกศิษย์ที่เพิ่งรับมา
“ตั้งแต่ฉู่อีเหรินเกิดก็ไม่เคยเจอหน้าท่านพ่อท่านแม่ พวกเขา…ก็ไม่เคยเอ่ยว่าอยากพบหรือเป็นห่วงฉู่อีเหริน ที่ผ่านมามีพี่ใหญ่และข้าคอยดูแลนาง” ตนเองถูกด่าว่า ถูกละเลย ฉู่เซวียนฉีไม่เคยโอดครวญ พยายามคิดหาวิธีที่จะทำให้ตนเองแข็งแกร่ง แต่สำหรับฉู่อีเหริน…เขากลับไม่เข้าใจท่านพ่อท่านแม่อยู่บ้างจริงๆ
ฉู่อีเหรินอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อจะเป็นจะตายอยู่หลายครั้ง แต่ท่านพ่อท่านแม่ไม่เคยแยแส ไม่เคยแสดงความห่วงหาอาทรสักครั้ง ทุกครั้งที่นางป่วยเขาและพี่ใหญ่จะผลัดกันเฝ้านางตลอดคืน เพียงหวังว่าน้องสาวคนนี้จะเจ็บปวดน้อยลง สามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้ โชคดีมากแล้วที่ยามนี้ฉู่อีเหรินก็ยังอยู่ข้างกายพวกเขา
ครั้นเฟิงเหยี่ยนและสหายรักได้ยินเขาบอกเช่นนี้ก็สบตากันแวบหนึ่ง ก่อนที่บุรุษผู้นั้นจะเอ่ยถามฉู่อีเหรินต่อ
“เจ้าเกลียดพ่อแม่หรือไม่”
“ไม่เกลียด” ฉู่อีเหรินตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ไยจึงไม่เกลียด”
“คนที่ไม่เกี่ยวข้อง ไยจึงต้องเกลียด” ฉู่อีเหรินถามกลับด้วยสีหน้าไร้เดียงสาและงุนงง ดูท่าจริงใจอย่างที่สุด
บุรุษผู้นั้นตะลึงงันชั่วครู่ คล้ายคิดไม่ถึงว่านางจะตอบเช่นนี้
“เจ้าไม่กลัวว่าพอคนอื่นรู้เข้า จะด่าว่าเจ้าอกตัญญู ด่าว่าเจ้าไร้น้ำใจ ไม่รู้จักบุญคุณหรือ” เขาถามอย่างลึกซึ้ง
ฉู่อีเหรินหัวเราะร่า “คนอื่นอาจหัวเราะเยาะว่าข้าบ้า ข้าก็จะหัวเราะเยาะพวกเขาว่าไม่เข้าใจชีวิต ข้าก็แค่ตอบตามที่ใจคิดเท่านั้น”
ประโยคนี้ทำให้บุรุษอาวุโสทั้งสองคนที่อ่านคนมาไม่รู้เท่าไรตะลึงพรึงเพริดไปพร้อมกัน
คนอื่นหัวเราะเยาะว่านางบ้า นางก็จะหัวเราะเยาะพวกเขาว่าไม่เข้าใจชีวิต คนนอกไม่ใช่นาง ไม่รู้หรอกว่านางเจออะไรมาบ้าง มีสิทธิ์อะไรมาตัดสินนางว่าถูกหรือผิด
แล้วประโยคที่ว่า ‘ตอบตามที่ใจคิดเท่านั้น’ บ่งบอกได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นว่าเด็กหญิงตัวเล็กเท่านี้ ช่างมีความกล้าหาญและความบ้าระห่ำยิ่งกว่าผู้ใหญ่เสียอีก นางเมินเฉยต่อสายตาทางโลก คนอื่นก็เลิกคิดได้เลยที่จะใช้สายตาทางโลกมาผูกมัดตัวนาง
“ฮ่าๆ ประเสริฐ! ช่างประเสริฐโดยแท้!” จู่ๆ บุรุษผู้นั้นก็หัวเราะร่า แสดงสีหน้ายกย่องชมเชยอย่างมาก
เฟิงเหยี่ยนมองนางราวกับมองสัตว์ประหลาดกระนั้น
“อีเหรินน้อย เจ้ามีอายุเพียงสามขวบจริงๆ หรือ”
เด็กหญิงตัวน้อยอายุเพิ่งสามขวบก็สามารถเอ่ยประโยคเช่นนั้น มีสภาพจิตใจเช่นนั้นได้หรือ
นี่ออกจะน่าตกใจเกินไปหรือไม่!
นี่ทำให้พวกเขาบุรุษอกสามศอกที่ยังใช้ชีวิตท่ามกลางสายตาทางโลกจนถึงขณะนี้ จะมีชีวิตต่อไปอย่างไรภายใต้คำว่า ‘ผู้อาวุโส’ ที่ผู้อื่นเรียกกัน
เป็นครั้งแรกที่เฟิงเหยี่ยนตั้งคำถามนี้กับตนเอง เขาแก่ชราแล้วหรือไม่ เขาเป็นผู้อาวุโสในสมาคมผู้ครองสัตว์วิเศษที่อ่อนวัยที่สุด คนที่แก่กว่าเขามีมากมาย…จะแก่ชราได้อย่างไร
“ปีนี้ข้ามีอายุสามขวบ” ฉู่อีเหรินพยักหน้าไปทางเฟิงเหยี่ยนด้วยท่าทีจริงจัง สุ้มเสียงแน่ใจเป็นที่สุด แต่กล่าวเสริมในใจเงียบๆ ประโยคหนึ่ง ไม่รวมชาติที่แล้วที่มีอายุสามสิบปี นับแค่ชาตินี้น่ะนะ นางยอมรับอย่างมั่นใจ นางมีอายุเพียงสามขวบจริงๆ
“แล้วเจ้ามีแนวคิดเช่นนี้ได้อย่างไร” เฟิงเหยี่ยนแปลกใจอย่างยิ่ง
ครั้นฉู่เซวียนอั๋งแลมองก็ตระหนักได้ว่าตนเองมีนิสัยสุขุม รู้ความเร็วกว่าอายุ ส่วนฉู่เซวียนฉีซื่อตรง พูดน้อย ไม่มีไหวพริบ เขาเชื่อแน่ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสอนนาง
“อืม…” ฉู่อีเหรินครุ่นคิดอย่างจริงจังยิ่งนัก ก่อนจะตอบเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “อาจารย์ของพี่เล็กคนหนึ่งเหมือนว่าเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ตั้งแต่เกิด หลังจากที่ผ่านความเป็นความตายมาไม่รู้กี่รอบ ก็จะเข้าใจชีวิตในทันใด”
น้ำเสียงและสีหน้านาง ตอบอย่างเคร่งขรึมไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่ก่อนตอบราวกับมีลำแสงแห่งความขี้เล่นแวบผ่านดวงตา
ทว่าประจวบเหมาะกับที่บุรุษชุดสีเทาเงินเห็นเข้า ดังนั้นเขากล้ามั่นใจว่าเด็กหญิงตัวน้อยที่ดูมีเมตตา ไร้เดียงสาและอ่อนแอผู้นี้ ภายในต่างจากบุคลิกภาพภายนอกโดยสิ้นเชิง
พูดง่ายๆ ว่านางก็คือเสือแก่ที่สวมเสื้อคลุมแมวน้อย ไม่อาจมองข้ามไปได้เลย
ที่หาได้ยากก็คือเห็นชัดว่าร่างกายนางเจ็บปวด ทว่ายังคงพูดเล่นหยอกล้อกับผู้อื่นได้ ไม่แสดงออกถึงความเจ็บป่วยเพราะความทรมาน เพื่อเรียกร้องความสงสารแม้แต่น้อย
ช่างประเสริฐนัก!
เขาหยิบขวดหยกออกมาจากอกเสื้อ เทลูกกลอนเม็ดหนึ่งออกมาป้อนใส่ปากนาง
“กินลงไป”
ยามที่เขาเทลูกกลอนออกมานั้น กลิ่นหอมอ่อนก็พัดโชย คนที่อยู่ตรงนั้นล้วนรู้สึกได้
ฉู่อีเหรินช้อนตาขึ้นมองด้วยใบหน้าราบเรียบ เอียงคออย่างงุนงง แต่นางลังเลเพียงชั่วครู่ก็อ้าปากกินลูกกลอนเม็ดนั้นเข้าไป
พอลูกกลอนเม็ดนั้นเข้าปากก็ละลายไหลลงไปในลำคอ ความรู้สึกเย็นสบายและผ่อนคลายไหลเวียนไปทั่วร่างทันที บรรเทาความเจ็บปวดที่กระจายออกมาจากกระดูกได้จริงๆ
“นี่คือ…” ฉู่เซวียนอั๋งแลมองเขา
“ลูกกลอนที่ทำให้นางรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย” บุรุษผู้นั้นเอ่ยสั้นกระชับ
“ขอบคุณอย่างยิ่ง” ฉู่เซวียนอั๋งเอ่ยจากใจจริงพลางกอดน้องสาวไว้แน่น
บุรุษผู้นั้นไม่มองพวกเขาอีก เขานั่งลงอีกครั้ง จากนั้นเรียกสหายรักเสียงหนึ่ง “เหยี่ยน”
“ข้ารู้” เฟิงเหยี่ยนพยักหน้า คงอยากรู้เรื่องของฉู่อีเหรินเพิ่มเติมกระมัง
ระหว่างทั้งสองไม่ต้องกล่าวอะไรทั้งนั้นก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร นี่คือสิ่งที่รู้กันระหว่างสหายรักสินะ เฟิงเหยี่ยนเดินไปที่หน้าประตู สั่งคนด้านนอกไม่กี่ประโยคแล้วค่อยเดินกลับมา
อันที่จริงแม้ว่าสหายรักจะไม่เอื้อนเอ่ย เฟิงเหยี่ยนก็เตรียมจะสืบเรื่องราวของสามพี่น้องสกุลฉู่อย่างละเอียดอยู่แล้ว ในเมื่อฉู่เซวียนฉีเป็นถึงลูกศิษย์เพียงผู้เดียวของเขาในขณะนี้ แน่นอนว่าเขาจะต้องทำความรู้จักกับอีกฝ่ายให้มากหน่อย
“ผู้อาวุโส ท่านรักษาน้องสาวข้าให้หายได้หรือไม่” ฉู่เซวียนอั๋งถามอีกครั้ง ยามนี้เขาอยากรู้คำตอบของคำถามนี้มากที่สุด
“นางจะไม่เป็นอะไรชั่วคราว” บุรุษผู้นั้นมองฉู่เซวียนอั๋งแวบหนึ่งแล้วค่อยตอบ
“ประมุขน้อยตระกูลฉู่” เฟิงเหยี่ยนคลี่ยิ้มบางๆ บอกเป็นนัยว่าอย่าถามอีก เผื่อจะไปยั่วโทสะใครบางคน จากนั้นหันมามองลูกศิษย์ที่ตนเองเพิ่งรับ “ฉีเอ๋อร์ วันนี้ดึกมากแล้ว พวกเจ้ากลับไปก่อนเถิด”
“ขอรับ…อาจารย์” ฉู่เซวียนฉีตอบรับอย่างเคารพนบนอบ
“ข้าจะให้คนส่งพวกเจ้ากลับไป”
“ขอบคุณผู้อาวุโสเฟิงมาก แต่ไม่ต้อง พวกเรานั่งรถม้ามา” ด้วยตระหนักดีว่าไม่ควรขอร้องมากเกินไป ฉู่เซวียนอั๋งกลับมาสุขุมดังเดิม โค้งคำนับไปยังบุรุษสวมชุดสีเทาเงินอีกครั้งอย่างนอบน้อม “ขอบคุณมากที่มอบยาให้ พวกข้าขอตัวก่อน” เขาโค้งคำนับไปทางเฟิงเหยี่ยนอีกครั้ง
จากนั้นฉู่เซวียนอั๋งพาน้องชายและน้องสาวเดินออกจากสมาคมโดยมีคนของสมาคมคอยนำทาง
เฟิงเหยี่ยนมองส่งพวกเขาจากไป ค่อยนั่งลงข้างสหายรัก
“ฉู่เซวียนอั๋งเป็นพี่ชายที่แสนดีจริงๆ”
ในความเป็นจริง เฟิงเหยี่ยนและสหายรักเริ่มสังเกตพวกเขาตั้งแต่พวกเขาสามพี่น้องย่างเข้ามาในสมาคม ท่าทางฉู่เซวียนอั๋งทำให้เฟิงเหยี่ยนชื่นชมอย่างยิ่ง
เด็กที่เพิ่งอายุสิบเอ็ดปีผู้หนึ่งรักใคร่และปกป้องน้องชายน้องสาวของตนได้ถึงเพียงนี้ อีกทั้งสายตาของเด็กผู้นั้นก็ยังสุขุมและแน่วแน่ยิ่ง ไม่มีการเสแสร้งแต่อย่างใด หากพิเคราะห์ข้อเสนอในดินแดนที่ให้ความสำคัญต่อผู้เลิศล้ำและมีพรสวรรค์ ฉู่เซวียนฉีและฉู่อีเหรินคงจะต้องถูกสกุลฉู่ละเลย แต่ฉู่เซวียนอั๋งกลับใช้อำนาจของตนปกป้องน้องชายและน้องสาวกระมัง
แม้คล้ายกับจะปกป้องมากเกินไปสักหน่อย แต่น้ำใจนี้ช่างล้ำค่านัก
“ฉู่อวิ๋นเฟยเลี้ยงลูกเช่นนี้?!” พอบุรุษสวมชุดสีเทาเงินเอ่ยปาก ก็ไม่อาจปิดบังการดูแคลนในใจไปได้
เฟิงเหยี่ยนได้ยินก็เกือบอดคล้อยตามไม่ได้ ทว่ายังอดกลั้นไว้ หัวเราะเยาะผู้อื่นลับหลังคล้ายไม่ค่อยมีศีลธรรมเท่าใด จะดีจะเลวอย่างไรเขาก็ต้องไว้หน้าบิดาของลูกศิษย์บ้าง
“เฉิน ท่านแสดงทีท่ากับอีเหรินน้อยต่างออกไป” เฟิงเหยี่ยนรู้จักเขาดี ถ้าหากไม่ใช่คนที่เขาถูกใจ เขาจะไม่ยอมพูดด้วยสักประโยค ทว่าเขากลับคุยกับฉู่อีเหรินตั้งมากมายเพียงนั้น
“ข้าจะพานางไป” เขาพูดตรงๆ
“จะพาฉู่อีเหรินไป?!” เฟิงเหยี่ยนมองเขาอย่างคาดไม่ถึง
สหายรักของเขาคนนี้แม้แต่ร่างกายยังไม่ยอมให้เปื้อนฝุ่น จะเลี้ยงเด็กไว้ข้างกายได้อย่างไรกัน
อีเหรินน้อยแม้จะถูกมองข้ามอย่างไร แต่ก็เป็นลูกหลานสกุลฉู่ คนในสกุลฉู่จะเห็นด้วยหรือ…แม้เฟิงเหยี่ยนจะรู้ว่าไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องนี้เท่าไรนัก เพราะเรื่องที่เฉินอยากทำ ฉู่อวิ๋นเฟยคงไม่กล้าไม่เห็นด้วย เพียงแต่ว่าเขาจะขออะไรแลกเปลี่ยนจากเฉินหรือไม่…
ฉู่อวิ๋นเฟยกลายเป็นประมุขตระกูลฉู่ได้ คงไม่ใช่คนที่มีโอกาสแล้วจะไม่คว้าผลประโยชน์ไว้แน่นอน ที่ผ่านมาขอเพียงเขามีโอกาส จะพยายามคิดหาวิธีทำความรู้จักกับเฉิน ทว่ายามนี้เฉินจะไปเยือนถึงที่เอง…
“ท่านคิดว่าข้าจะให้โอกาสคนพรรค์นั้นหรือ” เขาพูดขึ้นอย่างเหยียดหยาม
เฟิงเหยี่ยนตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นก็ระบายยิ้ม
“ก็ใช่” ไม่ว่าเฉินจะทำอะไรก็ไม่เคยสนใจเสียงคนรอบข้าง เวลาเขาจะผูกความสัมพันธ์กับใคร จะมองเพียงแค่ถูกชะตาหรือไม่ อารมณ์ดีพอหรือไม่…
เดี๋ยวก่อน นี่คล้ายกับท่าทางของอีเหรินน้อยเมื่อครู่ หรือว่านี่คือ…การถ่ายทอดข้ามรุ่น!
“เหยี่ยน อย่าคิดเหลวไหล” เขาเพียงเหลือบมองแวบหนึ่ง ก็รู้ว่าสหายรักต้องกำลังคิดเรื่องที่จะทำให้เขาโมโหอีกแน่นอน
“ข้าไม่ได้คิดเหลวไหล แต่ว่า…” เฟิงเหยี่ยนยิ้มอยู่ชั่วครู่ “นิสัยของอีเหรินน้อยคล้ายท่านมาก”
“นางแตกต่างจากฉู่เซวียนอั๋งและฉู่เซวียนฉี” เขาเอ่ยเสียงเรียบ
“ไม่เหมือนตรงที่ใด”
ทว่าเขากลับไม่ตอบ เพียงแต่ทำหน้าครุ่นคิด หากเขาไม่เห็นคุณค่านาง กลัวว่าฐานะของฉู่อีเหริน…
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูไม้สองเสียงดังขึ้นขัดการสนทนาของพวกเขา
“ผู้อาวุโส สารข้อมูลที่ท่านต้องการมาส่งแล้วขอรับ” มีคนมารายงานด้านนอกห้อง
“เข้ามา” เฟิงเหยี่ยนเอ่ย
หลังจากรับสารข้อมูลมาก็ให้คนผู้นั้นออกไป ครั้นเฟิงเหยี่ยนอ่านสารข้อมูลส่วนแรกเสร็จ เขาก็หน้าคว่ำโดยพลัน ก่อนจะส่งสารข้อมูลให้เฉิน
เฉินอ่านแล้วไม่ได้ทำหน้าเช่นเขา เพียงแต่บรรยากาศรอบกายเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกจนทำให้คนที่อยู่ใกล้แทบต้องถูมือให้อบอุ่น
“ไป!” ทิ้งสารข้อมูลในมือ เขาลุกขึ้นก้าวยาวๆ เดินออกไปด้านนอก
เฟิงเหยี่ยนตามไปทันที
คืนนี้คฤหาสน์สกุลฉู่ต้องคึกคักแน่!
ครั้นฉู่เซวียนอั๋งสามพี่น้องนั่งรถม้ากลับมายังสกุลฉู่ ก็แลเห็นพ่อบ้านสกุลฉู่ยืนรออยู่หน้าประตู
เมื่อพ่อบ้านสกุลฉู่เห็นพวกเขาก็รีบเดินเข้าไปต้อนรับทันใด
“คุณชายใหญ่ คุณชายสาม คุณหนูน้อย” พ่อบ้านเรียกด้วยความเคารพ
“มีเรื่องอะไร” ฉู่เซวียนอั๋งถามขึ้น
“นายท่านสั่งข้าให้รออยู่ที่นี่ พอพวกคุณชายกลับมาให้เชิญไปยังห้องโถงกลางเรือนหลักขอรับ”
ในรอบรั้วของคฤหาสน์สกุลฉู่ ไม่ใช่มีเพียงครอบครัวของฉู่อวิ๋นเฟยอาศัยอยู่ นอกจากห้องโถงกลางของเรือนหลักแล้ว แต่ละเรือนจะมีห้องโถงเป็นของตนเอง ครอบครัวของฉู่อวิ๋นเฟยอาศัยอยู่ที่เรือนหลัก
“ข้ารู้แล้ว” ฉู่เซวียนอั๋งอุ้มน้องสาว และเดินนำน้องชายไปทางเรือนหลักทันที
พ่อบ้านไตร่ตรองเล็กน้อย แม้จะรู้ดีว่าไม่ควรพูดมาก แต่ยังเดินขึ้นหน้าไปกล่าวเตือนประโยคหนึ่ง “คุณชายใหญ่ นายท่านคล้ายจะอารมณ์ไม่ดี โปรดระวังตัวด้วยขอรับ”
“อืม” ฉู่เซวียนอั๋งพยักหน้า บอกเป็นนัยว่าไม่ต้องตามมาและแสดงความขอบคุณ
เพียงชั่วประเดี๋ยว พี่ชายน้องชายก็เดินเข้าไปในห้องโถงหลัก แลเห็นบิดา มารดา ต้วนอี๋เหนียง รวมถึงลูกๆ ของนาง…ฉู่เฉาหรงสิบขวบและฉู่เซวียนหลิงแปดขวบ
หากไม่ใช่สถานการณ์ที่เป็นทางการ ท่านแม่จะไม่ยอมอยู่ที่เดียวกับต้วนอี๋เหนียงเด็ดขาด สีหน้าท่านพ่อดูไม่สบอารมณ์ ดังนั้นสถานการณ์ในขณะนี้คือ…
ฉู่เซวียนอั๋งรู้สถานการณ์ดี
“คำนับท่านพ่อ ท่านแม่ ต้วนอี๋เหนียงขอรับ” ฉู่เซวียนอั๋งอุ้มน้องสาวและน้องชายทำความเคารพ
“อั๋งเอ๋อร์ เจ้าไปยืนอยู่ด้านข้าง” ฉู่อวิ๋นเฟยกล่าว
“ขอรับ” ฉู่เซวียนอั๋งเพียงถอยหลังก้าวหนึ่ง แต่ยังอยู่ใกล้น้องชาย
“ฉู่เซวียนฉี คุกเข่า” ฉู่อวิ๋นเฟยตวาดเสียงต่ำ
“ไยท่านพ่อจึงโกรธ แล้วต้องให้น้องฉีคุกเข่า” ฉู่เซวียนอั๋งเดินขึ้นหน้าถามทันที เขาปกป้องน้องชายไว้ด้านหลัง
“อั๋งเอ๋อร์ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่ง ถอยไปด้านข้าง” แม้จะโมโห แต่ฉู่อวิ๋นเฟยก็ไม่ได้โกรธลูกคนโตตามไปด้วย
“ท่านพ่อ เขาเป็นน้องชายข้า” ฉู่เซวียนอั๋งเอ่ยเสียงเรียบ ความหมายก็คือจะไม่ให้เขายุ่งไม่ได้
“อั๋งเอ๋อร์ เป็นเพราะเจ้า เจ้าคอยแต่ให้ท้าย ดังนั้นวันนี้เขาถึงกล้าไม่เคารพต่อพี่ชายตัวเอง ไม่ก้าวหน้าก็แย่เกินพอ ยังกล้าข่มขู่พี่ชาย สักวันเขาก็จะข่มขู่พ่ออย่างข้า?!” ยามไม่พูดยังไม่โกรธ ทว่าเมื่อฉู่อวิ๋นเฟยเริ่มเอ่ยออกมาก็ยิ่งเดือดดาลจนเกือบจะพาลใส่ฉู่เซวียนฉี
“ท่านพ่อ ใครบอกว่าน้องฉีข่มขู่พี่ชาย” ฉู่เซวียนอั๋งถามกลับเสียงเรียบ กวาดตาไปทางฉู่เซวียนหลิง
“ท่านพ่อ” ฉู่เซวียนหลิงรีบอิงแอบข้างกายฉู่อวิ๋นเฟยทันที เขามีท่าทีหวาดกลัวยิ่ง
“อั๋งเอ๋อร์” ฉู่อวิ๋นเฟยกอดลูกชายคนที่สองทันที เป็นการเตือนลูกคนโตว่าอย่าทำให้น้องชายตกใจอีก
“ท่านพ่อ ใครเป็นคนบอก แล้วพูดว่าอย่างไร ท่านแน่ใจหรือว่าที่เขาพูดเป็นความจริง ท่านเชื่อว่าน้องฉีจะข่มขู่คนอื่นจริง น้องฉีที่สอบไม่ผ่านมาโดยตลอดสามารถข่มขู่คนที่มีลำดับขั้นวรยุทธ์สูงกว่า ทำให้กลัวจนตัวสั่นหรือ” ฉู่เซวียนอั๋งไม่ได้ชี้ตัวคนผิด เพียงแต่ใช้คำถามเหล่านี้ชี้แจงความเป็นจริง ถ้าท่านพ่อไตร่ตรองสักนิดก็ต้องเข้าใจ
ฉู่อวิ๋นเฟยคิดได้ตามคาด อารมณ์โกรธจึงทุเลาลง “ฉีเอ๋อร์ วันนี้พวกหลิงเอ๋อร์ส่งเจ้ากลับเรือนเฉิงจู๋ใช่หรือไม่”
“ขอรับ”
“เขาโน้มน้าวเจ้าให้เลิกฝึกยุทธ์ อย่าทนลำบากตรากตรำเลยใช่หรือไม่”
ฉู่เซวียนฉีไม่ตอบ
ฉู่เซวียนหลิงพูดตรงๆ เลยว่าเขาไม่เอาไหน บอกว่าอย่าฝึกยุทธ์เลย เสียเวลาเปล่าต่างหาก
“เจ้าบอกหลิงเอ๋อร์ใช่หรือไม่ว่าจะให้อั๋งเอ๋อร์คอย ‘ควบคุม’ หลิงเอ๋อร์ฝึกยุทธ์ เพื่อไม่ให้เขามายุ่งเรื่องของเจ้า”
ฉู่เซวียนฉีไม่ปฏิเสธ วาจานี้เขาไม่ได้พูด เป็นน้องสาวเขาต่างหาก แต่ฉู่อีเหรินทำไปเพื่อปกป้องเขาถึงได้กล่าวเช่นนี้ เขาเป็นพี่ชายจะต้องแบกรับโทษแทนน้องสาว
ทว่าฉู่เซวียนอั๋งไม่ไร้เดียงสาใสซื่อเหมือนฉู่เซวียนฉี เขาถามบิดากลับทันที
“ท่านพ่อ ท่านรู้จริงๆ หรือว่าน้องหลิงพูดอะไรกับน้องฉีบ้าง”
“เป็นพี่ชายให้กำลังใจและสั่งสอนน้องชายก็สมควรอยู่แล้ว” ฉู่อวิ๋นเฟยตอบโดยไม่ได้คิด
“แล้วการด่าน้องตนเองว่า ‘ไม่เอาไหน’ ก็สมควรหรือ” ฉู่เซวียนอั๋งถามอย่างเย็นชา
“นี่…”
“หัวเราะเยาะน้องชายตนเองกับลูกพี่ลูกน้อง แม้แต่น้องสาวที่ป่วยก็ด่ารวมกันว่าไม่เอาไหน เหล่านี้ก็สมควรหรือ” ฉู่เซวียนอั๋งถามอีก
“อั๋งเอ๋อร์ นี่ใครบอกเจ้า” ฉู่อวิ๋นเฟยขมวดคิ้ว
“ข้าได้ยินเองกับหูที่หน้าประตูเรือนเฉิงจู๋” ฉู่เซวียนอั๋งสีหน้าเย็นชา สุ้มเสียงยิ่งเย็นยะเยือก
ท่านพ่อลำเอียง ท่านแม่ไม่สนใจไยดี เพียงพอที่จะทำให้จิตใจของเขาเปลี่ยนจากเย็นยะเยือกเป็นแข็งกร้าว สิ่งเดียวที่ทำให้เขาอบอุ่นขึ้นได้มีเพียงน้องชายและน้องสาวคู่นี้ เขาจะต้องปกป้องทั้งสองให้จงได้
ยามนี้โม่อี้โหรวที่นั่งอยู่ในตำแหน่งฮูหยินซึ่งเงียบงันมาตลอด ในที่สุดก็เอ่ยปากกับสตรีนางนั้นที่แย่งสามีของนางไป
“น้องหลิงหลงสอนมาดีนัก ไม่เพียงสอนให้ลูกชายพูดปดและขี้ฟ้องไปเรื่อย ยังสอนลูกชายให้ด่าน้องชายตนเองว่าไม่เอาไหน ช่างร้ายกาจนัก ร้ายกาจจริงๆ สำหรับเรื่องนี้ข้าขอยอมแพ้”
ต้วนหลิงหลงสีหน้าดูไม่ได้ แต่ยังคงรักษาท่วงท่าสง่างามพลางเรียกเสียงเบา “หลิงเอ๋อร์ เจ้ามานี่”
“ท่านแม่” ฉู่เซวียนหลิงเดินไปข้างกายมารดาอย่างว่าง่าย
“เจ้าพูดกับฉีเอ๋อร์อย่างนี้จริงๆ ใช่หรือไม่” นางถามเสียงต่ำ
“ท่านแม่…” ฉู่เซวียนหลิงไม่กล้าโกหกหลอกมารดา “นี่เป็นเพราะ…เพราะน้องฉียั่วโทสะท่านพ่อตลอด ทำให้ท่านพ่อผิดหวัง ข้าโกรธเขาก็เลย…”
“หุบปาก!” ต้วนหลิงหลงตำหนิอย่างเข้มงวด “น้องชายเจ้าไม่ดีอย่างไร เจ้าควรช่วยเหลือเขา สั่งสอนเขา แต่ไม่ใช่ด่าว่าเขา แม่เคยสอนเจ้าให้ด่าว่าคนอื่นหรือ”
“ท่านแม่…” ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงเด็กแปดขวบคนหนึ่ง เมื่อถูกมารดาตำหนิ ฉู่เซวียนหลิงจึงรู้สึกเสียใจในทันใด ขอบตาเริ่มแดง สีหน้ายังคงดื้อดึง
“พอแล้ว อย่าทำให้ลูกขวัญเสีย” ครั้นฉู่อวิ๋นเฟยเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ก็รีบดึงฉู่เซวียนหลิงมาข้างกายตนเองทันที “หลิงเอ๋อร์ไม่ได้ตั้งใจ ไยจึงต้องเกรี้ยวกราดถึงเพียงนั้น”
แน่นอนว่าฉู่อวิ๋นเฟยรักฉู่เซวียนหลิงมากกว่าฉู่เซวียนฉีที่ไม่ก้าวหน้าเลย และยังเป็นลูกชายเพียงคนเดียวที่เกิดจากต้วนหลิงหลง เขาจะต้องรักและหลงเป็นธรรมดา
“ไม่ได้ตั้งใจก็ว่าน้องชายไม่เอาไหนได้ ถ้าหากตั้งใจก็คงจะไล่ตะเพิดหรือฆ่าคนไปเลยกระมัง” โม่อี้โหรวคาดคั้นต่อ
ฉู่อวิ๋นเฟยเข้าข้างลูกชายที่เกิดจากต้วนหลิงหลงชัดแจ้งถึงเพียงนี้ คิดว่านางจะไม่ยุ่งอะไรเลยใช่หรือไม่ ลูกชายของนาง นางมีสิทธิ์ไม่ยุ่งไม่ถาม แต่จะไม่อนุญาตให้ต้วนหลิงหลงแม่ลูกสามคนนั้นมารังแกได้ตามใจชอบ!
“อี้โหรว พูดน้อยๆ หน่อยเถอะ” ฉู่อวิ๋นเฟยทำตาขวางใส่นางแวบหนึ่ง
“ท่านพี่ ท่านเป็นประมุขตระกูล ทำอะไรต้องยุติธรรม หากจะลงโทษให้ฉีเอ๋อร์คุกเข่า หลิงเอ๋อร์ที่ทำผิดก็ต้องคุกเข่าด้วยเช่นกัน แล้วเขาเป็นพี่ชาย กลับรังแกน้องชายเช่นนี้จะต้องลงโทษหนักขึ้น ให้เขาจำหลักการรักใคร่และปกป้องน้องชายน้องสาวให้ขึ้นใจ” โม่อี้โหรวเอ่ย
“พอได้แล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ทำโทษอะไรกัน” ฉู่อวิ๋นเฟยจ้องโม่อี้โหรวอีกครา
“ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ท่านจะเรียกข้า เรียกทุกคนในเรือนมารวมกันอยู่ที่นี่ พออั๋งเอ๋อร์กลับมาก็ต้องมาพบท่าน พอพบหน้าก็สั่งให้ฉีเอ๋อร์คุกเข่าหรือไม่” ยิ่งเขาจ้องนาง นางยิ่งไม่ยอมเลิกรา เขาอยากจะปกป้องต้วนหลิงหลงแม่ลูก นางจะต้องทำให้ต้วนหลิงหลงเจ็บใจให้ได้
“อี้โหรว”
“ท่านพี่ หากไม่ยอมชี้แจงเหตุผลกับข้า ข้าก็จะพาลูกๆ กลับสำนักเถาฮวากู่” โม่อี้โหรวไม่ยอมปล่อยโอกาสที่จะทำให้ต้วนหลิงหลงทุกข์ใจหลุดลอยไปแม้แต่น้อย เขาอาจจะไม่สนใจลูกอีกสองคน แต่อั๋งเอ๋อร์เป็นลูกชายคนโตที่เขาพอใจหนักหนา นางไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่ยอมประนีประนอม
“อี้โหรว อย่าทำเรื่องยุ่ง เด็กๆ ทะเลาะกันเล็กน้อย สมควรที่เจ้าจะมาทำเป็นกระต่ายตื่นตูมหรือ” ฉู่อวิ๋นเฟยยิ่งขมวดคิ้วมุ่น
“ถ้าท่าทีของข้าเรียกว่ากระต่ายตื่นตูม เช่นนั้นที่ท่านพี่เรียกทุกคนมาที่นี่ พอเห็นฉีเอ๋อร์ก็สั่งให้คุกเข่ายอมรับผิดจะเรียกว่าอะไร ยุติธรรมหรือ” กล่าวจบโม่อี้โหรวก็ร้องฮึขึ้นเสียงหนึ่ง
ฉู่อวิ๋นเฟยอ้ำอึ้งไปโดยพลัน
“ท่านพี่แค่รักลูก แล้วก็โมโหที่ในคฤหาสน์สกุลฉู่เกิดเรื่องน้องชายข่มขู่พี่ชาย จึงไม่ทันระวังคำพูดและกิริยาไปชั่วขณะ” ต้วนหลิงหลงเอ่ยด้วยเสียงอ่อนหวาน
“รักลูกของเจ้า ด่าลูกของข้ามากกว่ากระมัง” นางไม่พูดยังดีหน่อย พอนางเปิดปากโม่อี้โหรวยิ่งโมโห เอ่ยตอบอย่างดุเดือด “ลูกของเจ้ารู้สึกผิดก็ส่วนรู้สึกผิด ลูกของข้าสมควรแล้วที่จะถูกด่า ถูกลงโทษ?” แล้วจ้องฉู่อวิ๋นเฟยอีกครั้ง “ท่านพี่ นี่ท่านจะลำเอียง ดูแคลนลูกที่ข้าโม่อี้โหรวคลอดมาใช่หรือไม่”
“หลิงเอ๋อร์ เจ้าขออภัยน้องชายเสีย” ต้วนหลิงหลงเห็นฉู่อวิ๋นเฟยลำบากใจ จึงตัดสินใจถอยก้าวหนึ่ง
“เอ่อ…” ฉู่เซวียนหลิงงุนงงโดยพลัน
“ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ไม่ควรด่าว่าน้องชาย แม่เคยสอนเจ้าให้เคารพพี่ใหญ่ รักใคร่และปกป้องน้องชายน้องสาว เจ้าลืมแล้วหรือ” ต้วนหลิงหลงตำหนิเสียงอ่อน
ฉู่เซวียนหลิงทำหน้าไม่ยินยอม แต่ก็ไม่กล้าขัดคำมารดา ดังนั้นจึงทิ้งประโยคหนึ่งไปทางฉู่เซวียนฉีอย่างขุ่นเคือง “ขออภัย ข้าไม่ควรพูดว่าเจ้าไม่เอาไหน…” แล้วพึมพำอีกประโยค “แม้ข้าจะพูดไม่ผิด”
“ฉีเอ๋อร์ เจ้าจะต้องขออภัยพี่ชาย ต่อไปห้ามเจ้ากล่าวเช่นนี้ต่อพี่ชายอีก” ฉู่อวิ๋นเฟยแสร้งทำไม่ได้ยินเสียงพึมพำนั้นพลางเอ่ยขึ้นทันที
ฉู่เซวียนฉีแลมองพี่ใหญ่ ฉู่เซวียนอั๋งบอกเป็นนัยว่าห้ามพูด ก่อนจะเดินขึ้นหน้าไปอีกหนึ่งก้าว
“ท่านพ่อ ไยน้องฉีต้องขออภัย”
“เขาข่มขู่หลิงเอ๋อร์ หรือว่าไม่ควรขออภัย”
“เพราะประโยคนั้นที่ว่าจะให้ข้าควบคุมน้องหลิงฝึกยุทธ์อย่างเข้มงวดน่ะหรือ” ฉู่เซวียนอั๋งจ้องมองด้วยแววตาที่ไม่ยอมถอยสักนิด
“หืม?” ฉู่อวิ๋นเฟยขมวดคิ้วจ้องลูกชายคนโต
แค่โม่อี้โหรวก่อกวนก็แย่พอแล้ว ไยแม้แต่อั๋งเอ๋อร์ที่รู้ความมาตลอดก็งี่เง่าตามไปด้วย นางคงไม่ได้สอนอะไรอั๋งเอ๋อร์มากระมัง
แววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของฉู่อวิ๋นเฟยเหลือบมองโม่อี้โหรว แม้นางจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาต้องมองนางเยี่ยงนี้ แต่อย่างไรนางก็ไม่ยอมถอยให้ต้วนหลิงหลงเสวยสุขอยู่แล้ว จึงจ้องเขากลับอย่างยั่วยุ
“ท่านพ่อ น้องฉีพูดอะไรผิดหรือ หรือว่ากฎของห้องฝึกยุทธ์เปลี่ยนไปแล้ว คนที่มีวรยุทธ์สูงกว่าสามระดับชี้แนะคนที่มีระดับต่ำกว่าไม่ได้? ก่อนหน้านี้ท่านพ่อไม่ใช่กำชับเป็นพิเศษให้ข้าสั่งสอนน้องหลิงอย่างดีหรือ หรือท่านพ่อคิดว่าข้าไม่ต้องห่วงใยน้องหลิงแล้ว ต่อไปข้าจะได้ไม่ต้องสอนวรยุทธ์ใดๆ แก่น้องหลิงอีก”
ตั้งแต่ต้นจนจบ น้ำเสียงของฉู่เซวียนอั๋งราบเรียบยิ่ง ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แม้แต่น้อย ทว่าเขาจะไม่มีทางยอมให้น้องชายตนเองได้รับความไม่เป็นธรรมอีก
น้องชายและน้องสาวของเขาไม่ใช่คนไม่เอาไหน ไม่ว่าใครก็เลิกคิดจะด่าว่าตามใจได้
อย่างไรฉู่อวิ๋นเฟยก็คิดไม่ถึงว่าจะมีวันถูกลูกชายที่เฉลียวฉลาดและทำให้เขาภาคภูมิใจมาตลอดยอกย้อนเสียจนเขาพูดไม่ออก
วันนี้มันเกิดอะไรขึ้น แม่ลูกคู่นี้ล้วนกำลังคัดค้านการตัดสินใจของเขา ทุกคนล้วนคัดค้านหรือ
“พี่ใหญ่ พี่ลำเอียง รักแต่น้องฉี” ฉู่เซวียนหลิงเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ เขานับถือพี่ใหญ่ พี่ใหญ่เก่งกาจโดยแท้ เหตุใดจึงรักแต่คนไม่เอาไหน คนผู้นั้นไม่ควรจะยืนข้างพี่ใหญ่ด้วยซ้ำ!
ฉู่เซวียนอั๋งเพียงเหลือบมองฉู่เซวียนหลิงแวบหนึ่งอย่างแข็งกร้าว เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก สายตาเย็นชาของพี่ใหญ่น่ากลัวยิ่งนัก แต่…เขายังคงไม่ยินยอม
“น้องหลิง…” ฉู่เฉาหรงที่เดิมทียืนเงียบๆ อยู่ด้านข้างเข้ามาโอบกอดน้องชาย พร้อมมองพี่ใหญ่อย่างไม่พอใจเช่นกัน
“พี่ใหญ่ น้องหลิงผิด น้องฉีก็ผิดเหมือนกัน ขออภัยซึ่งกันและกัน ต่อไปจะได้เลิกเข้าใจผิด พอใจกันทั้งสองฝ่าย รักกันฉันพี่น้อง เช่นนี้ไม่ดีหรือ พวกเราต่างเป็นลูกของท่านพ่อเหมือนกัน ท่านพ่อไม่มีทางเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง การตัดสินใจของท่านพ่อยุติธรรมที่สุด”
“น้องฉีไม่ได้ทำผิด ไม่ต้องขออภัย” ฉู่เซวียนอั๋งยืนกราน
“เช่นนั้นข้าก็ไม่ได้พูดผิด ฉู่เซวียนฉีไร้พรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ ถ้าไม่ใช่คนไม่เอาไหนแล้วจะเป็นอะไร” ฉู่เซวียนหลิงเอ่ยอย่างโกรธแค้น
ฉู่เซวียนอั๋งจ้องเขาอย่างเย็นยะเยือก จ้องจนฉู่เซวียนหลิงหดตัวเข้าไปในอ้อมกอดพี่สาว
“พี่…”
“พอได้แล้ว!” ฉู่อวิ๋นเฟยตะโกนให้หยุด “ฉีเอ๋อร์ ขออภัยพี่รองของเจ้า เรื่องนี้ก็พอกันแค่นี้ ห้ามใครพูดมากความอีก”
ฉู่อวิ๋นเฟยโกรธเกรี้ยวจริงๆ แล้ว โม่อี้โหรวเบะปาก ไม่พูดอะไรอีก ต้วนหลิงหลงยิ่งไม่พูดอะไรใหญ่ แต่ฉู่เซวียนอั๋งยังไม่ยอมถอย
“ท่านพ่อ น้องฉีไม่ได้ทำผิด” ฉู่เซวียนอั๋งปกป้องน้องชายต่อไป
“อั๋งเอ๋อร์ เจ้าจะฝ่าฝืนคำสั่งของข้า?” ฉู่อวิ๋นเฟยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“ท่านพ่อ เป็นเพราะข้าไม่ค่อยมีพรสวรรค์ ท่านถึงไม่รักข้าใช่หรือไม่” ฉู่เซวียนฉีไม่ยอมหลบหลังพี่ชายอีกต่อไป กลับเดินออกมายืนข้างพี่ชาย เผชิญหน้ากับบิดาโดยตรง
ฉู่อวิ๋นเฟยพูดไม่ออก เพียงแต่จ้องมองพวกเขา
“น้องฉี เจ้าพูดเช่นนี้กับท่านพ่อได้อย่างไร ไร้มารยาท รีบยอมรับผิดกับท่านพ่อเสีย” ฉู่เฉาหรงรีบกล่าวขึ้นทันที
ฉู่เซวียนฉีกำหมัด จ้องบิดาอย่างแข็งกร้าว
“ลูกหลานสกุลฉู่ ห้าขวบเริ่มฝึกวิชาพลังภายใน หากอายุถึงสิบขวบยังไม่ผ่านถึงระดับสามก็ต้องเริ่มเรียนรู้ความพอเพียง จะไม่ได้เสพสุขจากทุกสิ่งทุกอย่างที่ตระกูลจัดให้” ฉู่อวิ๋นเฟยค่อยๆ อธิบาย
แม้จะเป็นลูกของเขา ก็ไม่ได้รับการยกเว้น
ฉู่เซวียนฉีเจ็ดขวบแล้ว วิชาพลังภายในยังคงหยุดอยู่ที่ขั้นดิน ระดับหนึ่ง ในสายตาเขาหมดสิ้นซึ่งความหวัง ถ้าฉู่เซวียนฉีไม่ใช่ลูกเขา เขาจะส่งฉู่เซวียนฉีและฉู่อีเหรินไปยังเรือนอื่น ไม่ต้องเจอหน้าอีกเป็นดี
“ดังนั้นท่านพ่อจึงไม่คิดว่าข้าเป็นลูกท่านแล้วใช่หรือไม่” ฉู่เซวียนฉีเศร้าใจเล็กน้อย เขาเคยรอคอยความรักและอ้อมกอดจากบิดา ทว่ากลับไม่มีวันได้รับมันเลย แต่ไหนแต่ไรท่านพ่อไม่เคยกอดเขาอย่างที่กอดพี่รอง…
“เจ้าเป็นลูกข้า แต่กฎของตระกูลจะไม่เข้าข้างใคร แม้เจ้าจะเป็นลูกข้า เจ้าก็เหมือนกับทุกคน จะต้องทำตามกฎของตระกูล” ฉู่อวิ๋นเฟยเอ่ยในสิ่งที่ไม่มีใครค้านได้ สติปัญญาความสามารถของฉู่เซวียนฉีทำให้เขาระอาใจจริงๆ
“พี่เล็ก อย่าเสียใจไปเลย” จู่ๆ เสียงปลอบโยนแผ่วเบาก็ดังออกมาจากอ้อมกอดของฉู่เซวียนอั๋ง ก่อนที่ฉู่อีเหรินจะพุ่งไปหาฉู่เซวียนฉี โอบกอดเขาและตบตัวเขาเบาๆ เป็นการปลอบโยน
ผู้ใหญ่สามคนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งหลักประหลาดใจเล็กน้อย ในสายตาพวกเขา เด็กหญิงอ่อนแออายุสามขวบถึงจะอยู่ตรงนั้นด้วยก็เสมือนไร้ตัวตน พวกเขาจึงล้วนเมินเฉย คาดไม่ถึงว่านางกลับกล้าเอ่ยวาจาในเวลาเช่นนี้
“พี่เล็ก ฉู่อีเหรินรักพี่” ฉู่อีเหรินตบตัวฉู่เซวียนฉีเบาๆ จากนั้นยกมือขึ้นมาถูแก้มเขา ทำให้ความท้อแท้สิ้นหวังในใจของเขาหายเป็นปลิดทิ้งโดยพลัน เขาคลี่ยิ้มบางๆ ออกทันใด
“อืม” เขากอดน้องสาวแน่น เขาได้รับพลังที่ทำให้ตนเองรู้สึกอบอุ่นจากร่างน้อยของนาง จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองฉู่อวิ๋นเฟย “ท่านพ่อ ข้าไม่ขออภัย”
แต่ก่อนเขาอาจจะเชื่อฟังท่านพ่อเพื่อทำให้ท่านหายโกรธ แต่ตอนนี้ไม่มีวัน พี่ใหญ่ปกป้องเขา ฉู่อีเหรินปลอบโยนเขา นอกจากพวกเขาแล้ว ต่อไปเขาจะไม่มีทางทำเรื่องที่ตนเองไม่มีความสุขเพื่อใครเด็ดขาด ไม่มีวันกลัวจนหัวหดอีก
“ฉีเอ๋อร์!” ฉู่อวิ๋นเฟยคิดไม่ถึงว่าลูกชายที่ยอมทำตามคำสั่งเขามาตลอด ไม่เคยขัดขืนต่อความคิดของเขา ยามนี้จะทำตัวเป็นฝ่ายตรงข้าม!
ดื้อด้านจริงๆ!
“ข้าไม่ใช่คนไม่เอาไหน” นี่เป็นครั้งแรกที่ฉู่เซวียนฉีจ้องตอบบิดาด้วยท่าทีเด็ดเดี่ยว แม้จะรู้สึกตึงเครียดและหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่ที่มีมากกว่าคืออยากมีความกล้าหาญ
และในเวลานี้จู่ๆ สัตว์วิเศษที่ซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ว่างก็โผล่ออกมา ใต้เท้าฉู่เซวียนฉีปรากฏวงแสงขึ้นทันที
ฉู่อวิ๋นเฟยจ้องวงแสงอย่างตื่นตระหนก คนอื่นก็ตะลึงงันเช่นกัน
“โฮ่วๆ!” สัตว์ตัวน้อยคำรามไปทางฉู่อวิ๋นเฟยอย่างเกรี้ยวกราดและไม่เกรงใจสองเสียง แม้เสียงคำรามจะไม่มีพลังสั่นสะเทือนอะไรเพราะตัวเล็ก แต่ก็แสดงออกว่ามันไม่ชอบใจบุรุษที่ยั่วให้เจ้านายโกรธ ผลที่ตามมาคือ…คำรามใส่เขาสองเสียง ตั้งท่าเตรียมต่อสู้ เตรียมกระโจนไปหาบุรุษผู้นี้ให้ได้เห็นดีทุกเมื่อ!
“สัตว์…สัตว์วิเศษ?” ฉู่อวิ๋นเฟยมองสัตว์ตัวน้อยสีดำพลางอ้าปากค้าง จากนั้นสายตาก็เลื่อนไปทางลูกชายคนเล็กอย่างงุนงง “ผู้…ผู้ครองสัตว์วิเศษ?!”
ยังไม่ทันได้สติ จู่ๆ พ่อบ้านก็รีบเดินเข้ามาจากด้านนอกเรือนหลักและรายงานฉู่อวิ๋นเฟย
“เรียนนายท่าน ผู้อาวุโสเฟิงและสหายรักจากสมาคมผู้ครองสัตว์วิเศษมาเยี่ยมเยียนขอรับ”
ผู้อาวุโสเฟิง? ผู้บัญชาสัตว์วิเศษที่มีชื่อเสียงโด่งดังในดินแดนเทพยุทธ์?!
ฉู่อวิ๋นเฟยตกตะลึงอีกครา
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.