X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดสามีของกุลสตรีอันดับหนึ่ง

ทดลองอ่าน ยอดสามีของกุลสตรีอันดับหนึ่ง เล่ม 3 บทที่ 85

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 85

เฉิงหยวนจิ่งเช็ดน้ำตาของนางพลางถอนหายใจอย่างจนใจ “ข้าไม่เคยคิดเช่นนี้มาก่อน ต่อให้เจ้าทำเพื่อเปลี่ยนเรื่องก็อย่าหาเรื่องมาใส่ตัวข้า”

น้ำตาของเฉิงอวี๋จิ่นยังหยดแหมะๆ ไม่หยุด นางไม่มองหน้าเขาเลย

เฉิงหยวนจิ่งพอเข้าใจบ้างแล้วว่าเหตุใดจึงพูดว่าบุตรสาวเลี้ยงยาก ขอเพียงจับจุดอ่อนของเขาได้ ลองหนึ่งครั้งสำเร็จหนึ่งครั้งจริงๆ ต่อให้เฉิงหยวนจิ่งรู้ว่าเฉิงอวี๋จิ่นทำเช่นนี้เพื่อแสดงความอ่อนแอ เปลี่ยนรับเป็นรุก แต่เขาเห็นน้ำตาของนางแล้วยังคงจนปัญญา

ทั้งที่รู้ว่าเป็นลูกไม้เก่าๆ แต่ใครให้มันใช้ประโยชน์ได้เล่า

“องค์รัชทายาทมีชาติกำเนิดไม่ธรรมดา ย่อมไม่รู้สึกว่าคนทั่วไปมีความยากลำบากอะไรนัก ยังตรัสอย่างไม่รู้ความรอบด้านอีก”

เฉิงหยวนจิ่งเลิกคิ้ว นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีมูลเลย ผู้ใดบอกว่าเขาไม่รู้ความยากลำบากของราษฎร แต่เฉิงอวี๋จิ่นตอนนี้อารมณ์อ่อนไหว เฉิงหยวนจิ่งไม่สนใจความผิดอะไร รับปากในทันที “ได้ เป็นข้าที่ใส่ร้ายเจ้า อย่าเพิ่งร้องไห้ เจ้ายังป่วยอยู่ ระวังจะเจ็บคอ”

เฉิงอวี๋จิ่นเมื่อครู่อารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นหัว ทันใดนั้นก็รู้สึกเจ็บช้ำใจเป็นพิเศษ ผู้อื่นเค้นถามนางก็ช่างเถอะ เฉิงหยวนจิ่งจะเค้นถามนางได้อย่างไร ตอนนี้ความรู้สึกรุนแรงนั้นผ่านไปแล้ว เฉิงอวี๋จิ่นย้อนคิดเรื่องเมื่อครู่ จึงรู้สึกเก้อเขินอย่างมาก

เฉิงอวี๋จิ่นหลายปีมานี้ผ่านมาไม่ง่ายเลย แต่ชีวิตคนบนโลกนี้ใครบ้างที่มีชีวิตง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องอธิบายว่าตนเองพยายามมากเพียงใด เพราะบนโลกนี้ทุกคนที่มีชื่อต่างพยายามกันอย่างมาก

นางระบายอารมณ์เหล่านี้ให้แก่เฉิงหยวนจิ่ง แท้จริงแล้วไม่มีเหตุผลมากมายอะไร เรื่องเหล่านี้จะเกี่ยวอะไรกับเฉิงหยวนจิ่ง ปัญหาคือเฉิงอวี๋จิ่นไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองจึงควบคุมอารมณ์ไม่ได้อย่างฉับพลัน เหมือนว่าเพราะเฉิงหยวนจิ่งบอกว่านางไม่เลือกวิธีเพียงเพื่อต้องการแต่งงาน นางเกิดความเจ็บช้ำใจทนรับไม่ไหวขึ้นมาทันใด

เฉิงหยวนจิ่งถูกนางใส่ความครั้งใหญ่ แต่เขาไม่โกรธแม้แต่น้อย ยังคงตามใจนางอย่างอารมณ์ดี แม้แต่เฉิงอวี๋จิ่นที่มีหนังหน้าหนาเช่นนี้ยังรู้สึกขัดเขิน

เฉิงหยวนจิ่งเห็นนางค่อยๆ ลดเสียงลง เห็นได้ชัดว่าสงบสติลงได้แล้ว จึงพูดทอดถอนใจว่า “ร้องไห้ออกมาก็ดี คำพูดเหล่านี้คิดว่าคงสะสมในใจเจ้านานมาก พูดออกมาดีกว่าเก็บกดไว้ในใจตลอด”

เฉิงหยวนจิ่งรู้แก่ใจดีว่าหากไม่ใช่วันนี้เฉิงอวี๋จิ่นป่วย ร่างกายอ่อนแอ อารมณ์เปราะบาง นางย่อมไม่มีทางพูดคำเหล่านี้ให้เขาฟังเด็ดขาด ระหว่างผู้ที่จะเป็นสามีภรรยากันที่สำคัญที่สุดก็คือการสื่อสารกัน ด้วยนิสัยของเฉิงอวี๋จิ่น ในสิบประโยคมีเก้าประโยคที่เป็นคำพูดตามมารยาท ตอนนี้บังเอิญได้รู้ว่านางคิดอย่างไร นางมีความเจ็บช้ำใจอันใดบ้างก็ถือว่าลองผิดลองถูก แต่ได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกัน

อย่างน้อยตอนนี้เฉิงหยวนจิ่งก็รู้แล้วว่าเฉิงอวี๋จิ่นไม่ได้ชอบหลินชิงหย่วนมากนัก ทุกอย่างที่นางทำล้วนวางแผนเพื่อตนเอง หลังจากรู้เรื่องนี้แล้วเฉิงหยวนจิ่งก็สบายใจ ถึงขั้นที่ไฟโทสะเมื่อครู่ก็จางหายไปโดยไม่รู้ตัว เฉิงหยวนจิ่งพูดว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าเลือกหลินชิงหย่วน เพราะเขาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในขอบเขตความสามารถของเจ้า ถ้ามีคนที่ดีกว่าขึ้นมา เจ้าจะทำอย่างไร”

คำพูดประโยคนี้ใบ้คำชัดเจนเกินไปแล้ว เฉิงอวี๋จิ่นคิดวนในใจ ไตร่ตรองแล้วจึงพูดว่า “สิ่งดีใต้หล้านี้มีไม่จำกัด สิ่งที่ได้มาอยู่ในมือจึงจะเป็นของตนเอง”

ดวงตาเฉิงอวี๋จิ่นชำเลืองมองเฉิงหยวนจิ่งอยู่ตลอด เห็นเขาไม่มีท่าทีตอบสนองอะไร จึงรวบรวมความกล้าพูดต่อไปว่า “อย่างเช่นครอบครัวสกุลเฉิง หม่อมฉันเคยได้ยินว่าท่านพ่อมีอนุภรรยาคนหนึ่ง รูปงามเชื่อฟังดีมาก เป็นบุตรสาวของพ่อค้าเมืองจินหลิง จากบุตรสาวพ่อค้ากลายมาเป็นอนุภรรยาจวนโหว ตามหลักการในโลกคือนางได้เจอโชคใหญ่ แต่หลังจากนางมาถึงจวนสกุลเฉิง ไม่รู้จักมารยาทจวนโหว กฎระเบียบที่แฝงอยู่ในเรือนส่วนในก็ไม่เข้าใจ หลังจากท่านพ่อของหม่อมฉันสนุกกับความแปลกใหม่ได้ไม่กี่เดือน นางก็ไม่เป็นที่ชื่นชอบแล้ว ตอนนางเป็นที่ชื่นชอบอวดอ้างตัวอย่างมาก ต่อมาตกมาอยู่ในมือท่านแม่ของหม่อมฉัน ไม่ต้องให้ท่านแม่ลงมือ อนุภรรยาคนอื่นก็สั่งสอนนางไปมากแล้ว หม่อมฉันลอบได้ยินมาว่านางตั้งครรภ์ แต่ไม่ถึงสองเดือนร่างกายก็อ่อนแอจนเสียลูกไป”

เฉิงอวี๋จิ่นแกล้งพูดอย่างไม่ตั้งใจมาก “ดังนั้นถ้าจะให้หม่อมฉันพูด จวนโหวสำหรับพ่อค้าแล้วย่อมเป็นสิ่งดี แต่สิ่งดีเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในมือนาง แต่เป็นการตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น ลูกของนางไม่ระวังแท้งไปแล้ว น่าเสียดายมาก แต่แม้นางจะคลอดออกมา เกรงว่านางก็คงไม่อาจเป็นคนเลี้ยงเอง สุดท้ายลูกไม่เรียกนางว่าท่านแม่ วันหน้าไม่เลี้ยงดูนางยามแก่ชรา ลูกสะใภ้ก็ไม่ยินยอมรับนางเป็นแม่สามี ผลลัพธ์ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่เริ่มแล้ว ไม่ว่าระหว่างทางนางพยายามต่อสู้มากเพียงใด จะไปมีประโยชน์อะไร สู้การแต่งงานกับตระกูลที่เหมาะสมกันไม่ได้ ทุกอย่างสามารถตัดสินใจเองได้ ยอมเป็นภรรยาเอกตระกูลต้อยต่ำ แต่ไม่ขอเป็นอนุภรรยาในตระกูลสูงศักดิ์คำพูดนี้อย่างไรก็มีเหตุผล”

เฉิงอวี๋จิ่นพูดจบก็ลอบมองอาการตอบสนองของเฉิงหยวนจิ่ง เฉิงหยวนจิ่งฟังจบแล้วไม่ได้พูดอะไรอยู่นาน ผ่านไปครู่หนึ่งเขามองเฉิงอวี๋จิ่นแวบหนึ่ง สีหน้าควรค่าแก่การพิจารณาอย่างมาก

“เจ้าคิดว่าข้าอยากรับเจ้าเป็นชายารองหรือ” เฉิงหยวนจิ่งไม่เข้าใจอย่างยิ่ง เขาที่อยู่ในใจของเฉิงอวี๋จิ่นมีภาพลักษณ์อย่างไรกันแน่

เฉิงอวี๋จิ่นมีท่าทางอยากจะยอมรับแต่ไม่กล้ายอมรับ เม้มปากก้มหน้าลง

เฉิงหยวนจิ่งเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเมื่อครู่อารมณ์ของเฉิงอวี๋จิ่นจึงตื่นเต้นรุนแรงเช่นนั้น เริ่มจากการตัดสินเขาว่าชอบของแปลกใหม่ชั่วขณะ จากนั้นก็ยกตัวอย่างของเฉิงหยวนเสียนออกมา ลอบตำหนิเขาว่าหมายปองความงามบังคับรับนางเป็นอนุภรรยา เฉิงอวี๋จิ่นช่างเป็นคนที่…เฉิงหยวนจิ่งไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี

เฉิงหยวนจิ่งสะกดอารมณ์ สุดท้ายยังคงเห็นแก่ที่นางเป็นคนป่วย จึงไม่ถือสานาง เฉิงหยวนจิ่งพูดว่า “เจ้าช่างคิดเก่งจริงๆ เห็นแก่ที่เจ้ายังป่วยอยู่ รอเจ้าหายแล้วค่อยคิดบัญชีกับเจ้า”

พูดจบเฉิงหยวนจิ่งก็ขมวดคิ้ว “วันหน้าเจ้าไม่ต้องฟังคำพูดส่งเดชเหล่านั้นแล้ว อนุภรรยาอะไร แท้งลูกอะไร นี่เป็นสิ่งที่เจ้าควรฟังหรือ”

เฉิงอวี๋จิ่นไม่ยอมแพ้ เอ่ยปากค้านอย่างทนไม่ไหว “เรื่องเหล่านี้แต่เดิมก็มีอยู่แล้ว มีเพียงบุรุษอย่างพวกท่านทำได้ แต่ห้ามผู้อื่นพูดหรือ”

เฉิงหยวนจิ่งไม่ระวังก็ถูกติดป้ายคำว่า ‘บุรุษอย่างพวกท่าน’ เสียแล้ว เฉิงหยวนจิ่งสะกดความโกรธ พูดว่า “ใครบอกว่าข้าเป็นเช่นนั้น”

เฉิงอวี๋จิ่นรูม่านตาขยาย จ้องหน้าเฉิงหยวนจิ่ง รอคำพูดครึ่งประโยคหลังของเฉิงหยวนจิ่ง เฉิงหยวนจิ่งที่ถูกดึงไปอยู่ในระดับเดียวกับเฉิงหยวนเสียนอย่างต่อเนื่อง อดกลั้นจนพอแล้ว เดิมทีเขาคิดจะรอให้พระราชโองการออกมาก่อนค่อยบอกเฉิงอวี๋จิ่น แต่ตอนนี้เขาไม่พูดให้เข้าใจ เฉิงอวี๋จิ่นคงจะคิดว่าเขาเป็นลูกคหบดีที่หลงใหลความงามไร้ความรับผิดชอบแล้ว

เฉิงหยวนจิ่งประสานสายตากับเฉิงอวี๋จิ่นอยู่นาน จึงพูดว่า “ข้าไม่เคยคิดจะแต่งตั้งเจ้าเป็นชายารอง จะพูดให้ถูกต้องก็คือถ้าเจ้าไม่ได้พูดเตือนสติ ข้าก็ไม่เคยคิดเรื่องจะรับอนุภรรยาเลย เมื่อวานข้าลงน้ำไปช่วยเจ้า ย่อมไม่ได้ช่วยอย่างเสียเปล่า และไม่ได้เกิดจากใคร่ครวญว่าตอนนี้เจ้ายังเป็นหลานสาวในนามของข้าด้วย ข้าไม่เคยทำเรื่องที่ไม่มีการตอบแทน อวี๋จิ่น นับจากอดีตบุญคุณการช่วยชีวิตต้องตอบแทนอย่างไร เจ้าเข้าใจหรือไม่”

เฉิงอวี๋จิ่นมองเขาอย่างตกตะลึงไม่กล้าเชื่อ

เฉิงหยวนจิ่งรอท่าทีตอบสนองจากเฉิงอวี๋จิ่น เฉิงอวี๋จิ่นคิดอยู่นานมาก ไม่รู้ว่าสมองตนเองแช่น้ำจนคิดไม่ออก หรือว่าสมองของเฉิงหยวนจิ่งที่คิดไม่ออกกันแน่ ไม่รู้ว่าพวกเขาสองคนคนใดมีน้ำเข้าสมองมากกว่ากัน เฉิงอวี๋จิ่นนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จึงถามหยั่งเชิงว่า “องค์รัชทายาท…”

แทบจะในเวลาเดียวกัน เสียงของหลิวอี้ก็ดังมาจากนอกห้อง “นายท่าน”

คำพูดที่เฉิงอวี๋จิ่นเตรียมไว้แต่เดิมถูกตัดบท นางได้สติขึ้นในทันใด ลุกขึ้นยืนทันที ถอยหลังไปหลายก้าว จนไปถึงจุดที่อยู่ห่างจากเฉิงหยวนจิ่งห้าก้าว ความคิดจะแบ่งเขตแดนชัดเจนอย่างมาก

เฉิงหยวนจิ่งหรี่ตา กวาดสายตาที่ยากจะคาดเดาอารมณ์ได้ไปทางประตูแวบหนึ่ง เดิมทีเขาไม่คิดจะสนใจคนข้างนอก แต่หลิวอี้ไม่ได้ยินเสียงตอบจากเขา จึงพูดอีกรอบว่า “นายท่าน ข้าน้อยมีเรื่องด่วนจะรายงานขอรับ”

หลิวอี้ไม่ใช่คนไม่รู้กาลเทศะ เขาพูดเช่นนี้เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องสำคัญจริงๆ เฉิงหยวนจิ่งสะกดอารมณ์เอาไว้ ถามว่า “เรื่องอะไร”

หลิวอี้หยุดเล็กน้อย หากเขาจำไม่ผิด คุณหนูใหญ่เฉิงยังอยู่ในห้อง หลิวอี้เห็นเฉิงหยวนจิ่งเหมือนไม่คิดจะหลบเลี่ยงคุณหนูใหญ่เฉิง จำต้องพูดต่อไปว่า “นายท่าน คนข้างนอกรอนานแล้ว เมื่อครู่ส่งคนมาถามอีกว่านายท่านเมื่อใดจะมาถึง”

เฉิงอวี๋จิ่นเริ่มแรกคิดว่าหลิวกงกงมีเรื่องด่วนจะรายงาน นางอยู่ฟังด้วยไม่ค่อยดี ทว่านี่เดิมทีก็เป็นห้องของเฉิงอวี๋จิ่น นางไม่รู้ว่าตนเองควรจะไปที่ใด ทำได้เพียงฟังอยู่ตรงนั้น

เฉิงอวี๋จิ่นนึกสงสัยอยู่บ้าง หลิวอี้ไม่สนใจว่าจะรบกวนเฉิงหยวนจิ่งพูดคุยมาเตือนสติถึงเรือนส่วนใน นางยังคิดว่าจะมีเรื่องใหญ่อะไร ตอนนี้ฟังดูแล้ว เหมือนไม่มีอะไรสำคัญ

คนข้างนอก…เฉิงอวี๋จิ่นจับคำไม่กี่คำนี้ตามจิตใต้สำนึก ทันใดนั้นก็คิดได้ว่าเฉิงหยวนจิ่งเป็นถึงองค์รัชทายาท คนที่ส่งคนมาเร่งเขาได้ ยังทำให้หลิวอี้ร้อนใจจนเป็นเช่นนี้ ยังจะมีใครได้อีก

เฉิงอวี๋จิ่นสีหน้าเปลี่ยนไปทันใด นางจำได้ว่าตอนเฉิงหยวนจิ่งเพิ่งมาถึงก็เปลี่ยนเป็นชุดที่จะออกนอกเรือนพักแล้ว เฉิงอวี๋จิ่นเห็นเขาไม่รีบร้อนแม้แต่น้อย ยังนั่งลงมาพูดคุยกับนางอยู่นาน จึงคิดว่าเฉิงหยวนจิ่งจะออกนอกเรือนพักไปพบสหาย เสียเวลาเล็กน้อยไม่เป็นไร แต่ว่าคนที่เขาจะไปพบคือฮ่องเต้หรือ

เฉิงอวี๋จิ่นหน้าซีด นางทำให้ฮ่องเต้เสียเวลาหรือ ยังร้องไห้โวยวายปล่อยให้ฮ่องเต้รอนานมากเพียงนี้

เฉิงอวี๋จิ่นหน้าประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวซีด อยากให้เฉิงหยวนจิ่งรีบออกไป จะจำได้อย่างไรว่าเมื่อครู่ตนเองคิดพูดอะไร

“ท่านอาเก้า ข้าไม่รู้ว่ายังมีคนรอท่านอยู่ เรื่องนี้ชักช้าไม่ได้ ท่านรีบไปเถอะ”

เฉิงหยวนจิ่งอารมณ์ฉุนเฉียวมาก ใกล้จะเปิดอกพูดกันได้อยู่แล้ว ตอนใดไม่มากลับเลือกมาในเวลานี้ เขาหันหน้ามา เห็นเฉิงอวี๋จิ่นสีหน้าร้อนใจ อยากจะผลักเขาออกประตูไปเลยด้วยซ้ำ

เจ้าเด็กไร้หัวใจ

เฉิงหยวนจิ่งถอนหายใจโดยไร้สุ้มเสียง จำต้องยืนขึ้นเดินไปข้างนอก หลิวอี้เห็นเฉิงหยวนจิ่งออกมาก็ถอนใจยาวเฮือกหนึ่ง

ทว่าหลิวอี้ยังไม่ทันกลืนลมหายใจนี้ลงไปก็เห็นผู้เป็นนายที่อยู่ข้างหน้าชะงักฝีเท้าอีกครั้ง หันหน้ามาพูดกับคนข้างหลังว่า “ข้าไปครู่หนึ่งก็กลับมา รอข้ากลับมาค่อยพูดเรื่องเมื่อครู่กับเจ้าต่อ”

เฉิงอวี๋จิ่นหยุดอยู่ตรงประตูใช้สายตาส่งเฉิงหยวนจิ่งจากไป เฉิงหยวนจิ่งกลับหยุดลงทันใด เฉิงอวี๋จิ่นตะลึงไปครู่หนึ่ง หลังจากดึงสติคืนมาได้จึงรีบตอบทันที “เจ้าค่ะ”

เฉิงหยวนจิ่งก็รู้ว่าตนเองควรจะไปแล้ว เขามองหน้าเฉิงอวี๋จิ่นราวกับไม่วางใจอย่างมาก “ทางสกุลเฉิงข้าส่งคนไปแจ้งข่าวแล้ว ระยะนี้เจ้าไม่ต้องย้ายกลับไป พักฟื้นรักษาตัวอยู่ที่นี่ให้สบายใจเถอะ”

เฉิงหยวนจิ่งส่งคนไปแจ้งที่จวนสกุลเฉิงแล้ว เฉิงอวี๋จิ่นจะทำอะไรได้อีก ทำได้เพียงพยักหน้า “เจ้าค่ะ”

 

ฮ่องเต้นับจากขึ้นครองราชย์มาไม่ได้ลิ้มรสการรอคนมาหลายปีแล้ว โดยเฉพาะเมื่อวานรออยู่นานมาก อีกฝ่ายเดินมาถึงครึ่งทางก็ย้อนกลับไป แม้แต่วันนี้ก็เป็นฮ่องเต้ส่งคนไปเร่งอยู่หลายครั้ง จึงได้รับข่าวจากขันทีว่าองค์รัชทายาทออกจากเรือนพักส่วนตัวแล้ว

ฮ่องเต้พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ คนที่ไม่รู้เรื่องยังคิดว่าเขามาขอพบเฉิงหยวนจิ่ง ฮ่องเต้ทราบการเดินทางของเฉิงหยวนจิ่งจากขันทีแล้ว เขาคำนวณเวลาพอสมควร จึงได้หาข้ออ้างเปลี่ยนชุด เดินออกมาจากหอไจซิง

หลังจากฮ่องเต้ออกไปแล้ว หยางฮองเฮาที่เดิมทีตั้งใจชมโคมไฟก็เลื่อนสายตามาทันใด นางมองดูทางที่ฮ่องเต้เดินจากไป คิ้วเรียวยาวค่อยๆ ขมวดขึ้น

ไม่เพียงแต่หยางฮองเฮา เหล่าสนมชายาที่ตามเสด็จมาชมโคมไฟต่างรู้ว่าฮ่องเต้ไม่อยู่แล้ว เมื่อวานฮ่องเต้ก็หายตัวไปอย่างไร้สาเหตุอยู่ช่วงหนึ่ง วันนี้ยังเพิ่มกำหนดการจะออกจากวังไปชมโคมไฟอีก คืนนี้แม้ว่าฮ่องเต้จะพูดคุยหัวเราะกับคนอื่นอย่างไร้ความผิดปกติ แต่เหล่าสนมชายาในที่นั้นซึ่งสามารถเอาชนะหญิงงามมากมายในตำหนักในได้ ทุกคนล้วนเป็นคนฉลาด พวกนางสังเกตเห็นแต่แรกแล้วว่าฮ่องเต้เหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ตอนนี้ฮ่องเต้ได้ยินขันทีกระซิบไม่กี่ประโยค ผ่านไปไม่นานก็หาข้ออ้างจากไป เหตุการณ์ก่อนหลังเชื่อมโยงกัน ทำให้ฮองเฮากับเหล่าสนมชายาอดคิดมากไม่ได้

ทว่าพวกนางไม่มีทางคิดไปถึงเรื่ององค์รัชทายาท องค์รัชทายาทหายสาบสูญไปสิบกว่าปีแล้ว ทั้งราชสำนักและตำหนักในต่างคิดกันว่าองค์รัชทายาทตายแล้ว ต่อให้เหล่าสนมชายาฉลาดเพียงใดก็คิดไม่ถึงในขั้นนี้ เหล่าสนมชายา รวมถึงหยางฮองเฮาต่างสงสัยว่าฮ่องเต้หมายตาหญิงสาวชาวบ้านคนใดเข้า สองวันนี้จึงฉวยโอกาสขลุกอยู่กับดอกไม้ป่า

หยางฮองเฮาสีหน้าเคร่งเครียด ถึงแม้โคมไฟที่คนถวายให้ยังคงงดงาม คณะกายกรรมยังคงแสดงได้ยอดเยี่ยม แต่บนใบหน้าหยางฮองเฮาไม่มีรอยยิ้มอีกต่อไป หยางฮองเฮายังเป็นเช่นนี้ เหล่าสนมชายาอื่นแม้จะอยากเอาใจ แต่ไม่ได้รับรอยยิ้มก็รู้สึกคับแค้นใจ จึงหยุดเสียงพูดคุยหัวเราะเอาไว้

ขันทีที่คิดหาทุกวิธีในการประจบไม่รู้สาเหตุ นี่เป็นคณะกายกรรมที่เขาตั้งใจหามา เขาเดิมทีคิดว่าตนเองสามารถฉวยโอกาสหาเงินก้อนใหญ่ได้ เหตุใดบรรดาผู้เป็นนายจู่ๆ กลับเย็นชาขึ้นมา บนหอไจซิงสภาพการณ์ตึงเครียดกระจายปกคลุมชั้นแล้วชั้นเล่า แต่เวลานี้ภายในห้องห้องหนึ่ง คนข้างในยังไม่รู้เรื่องใดเลย

ฮ่องเต้สะกดอารมณ์ถามว่า “เมื่อวานเจ้าเป็นอะไร ได้ยินขันทีบอกว่าเจ้ายังตามหมอหลวงอีกด้วย”

หลิวอี้ฟื้นคืนฐานะในที่นี้ สบตากับเหล่าขันทีตรงข้างผนังห้องแวบหนึ่งก็ก้มหน้าไม่กล้าหายใจแรง เฉิงหยวนจิ่งตอบอย่างไม่เร็วไม่ช้าว่า “ระหว่างทางเจอคนตกน้ำ หลังจากกระหม่อมช่วยนางขึ้นมาเสื้อผ้าก็เปียกหมด ไม่สะดวกจะมาพบพระองค์ จึงกลับจวนไปแต่งตัวใหม่ กระหม่อมไม่กล้าให้พระองค์ทรงรอนานเกินไป จึงเชิญพระองค์เสด็จกลับวังไปก่อน”

“ช่วยคนหรือ” ฮ่องเต้ได้ยินแล้วรู้สึกงุนงงไปหมด “เจ้าไปช่วยใคร ต่อให้ช่วยคน ขันทีองครักษ์ข้างกายเจ้าเล่า ต้องให้เจ้าเสี่ยงอันตรายเองด้วยหรือ”

ขันทีที่ติดตามข้างกายเฉิงหยวนจิ่งได้ยินคำพูดนี้แล้วก็พากันคุกเข่าลง ขันทีที่ปรนนิบัติอยู่ตรงหน้าก้มหน้างุดไม่อาจหาญสบตา มองดูฝุ่นบนพื้นไม่กล้าขยับ บรรดาผู้ติดตามตกใจไม่เบา

เฉิงหยวนจิ่งกลับไม่สนใจ เขาไม่ได้พูดในเรื่องนี้ แต่พูดว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องหนึ่งอยากขอให้พระองค์ทรงอนุญาต”

ฮ่องเต้เกิดความรู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ แผนการที่วางไว้แต่เดิม นับจากที่เฉิงหยวนจิ่งผิดนัดเมื่อวานก็ราวกับหลุดออกนอกเส้นทาง ฮ่องเต้สะกดอารมณ์ได้ดีมาก ถามว่า “เรื่องอะไร”

“ขอพระองค์พระราชทานงานมงคลให้ลูก” เฉิงหยวนจิ่งพลิกชายเสื้อคุกเข่าคำนับฮ่องเต้ตามพิธีการ “ขอฝ่าบาททรงเมตตา มอบสมรสพระราชทานให้ลูกกับเฉิงอวี๋จิ่นบุตรสาวคนโตจวนอี๋ชุนโหวด้วย”

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนพฤศจิกายน 65)

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: