X
    Categories: 14 วัน 14 เรื่องทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ยั่วเย้าแม่ทัพให้เผลอกาย ชุด กระตุกหนวดแม่ทัพ

หน้าที่แล้ว1 of 33

บทนำ

 อาณาจักรต้าเฟิ่ง รัชศกเสียนเฉิงปีที่สิบเอ็ด

ค่ำคืนนั้นมืดสนิท

หลังม่านเหลืองอร่ามหนาหนักที่ทิ้งตัวลงมา กลิ่นอำพันทะเลเข้มข้นโอบล้อมตำหนักที่อากาศไม่ถ่ายเท ทว่าแสงเทียนกลับวูบไหวอย่างไร้เสียงราวกับมีลมพัดผ่าน

“ฝ่าบาท กระหม่อมปรนนิบัติพระองค์เสวยพระโอสถนะพ่ะย่ะค่ะ” เสียงหนึ่งที่ค่อนข้างแหลมทว่าฝาดเฝื่อนดังขึ้น

บนเตียงมังกร จักรพรรดิเสียนเฉิงที่ผอมแห้งราวท่อนฟืนจับจ้องผ้ารองฝุ่น* ด้านบนอย่างแข็งทื่อ เนิ่นนานผ่านไปจึงเอ่ยถามเสียงค่อย “ยามใดแล้ว”

“ทูลฝ่าบาท ยามจื่อ* แล้วพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าขันทีก้มศีรษะต่ำกว่าเดิม มือที่ประคองถ้วยยาสั่นเทาเล็กน้อย

“ซูชิงออกจากวังแล้วหรือ”

“พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าขันทีกล่าวตอบด้วยเสียงแผ่วเบา

“พยุงเราขึ้นมา”

ได้ยินรับสั่งจากผู้เป็นจักรพรรดิ เขาพลันตระหนก เอ่ยร้องด้วยเสียงเป็นกังวล “ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท…”

“เราแค่อยากเห็น…” เสียงของจักรพรรดิเสียนเฉิงขาดหายไป ครู่ใหญ่จึงพึมพำด้วยน้ำเสียงเศร้าโศกแกมทอดถอนใจ “ผืนแผ่นดินที่อดีตจักรพรรดิทรงมอบหมายให้เราดูแล…เป็นครั้งสุดท้าย”

“ฝ่าบาท…” หัวหน้าขันทีกลั้นเสียงสะอื้นไม่อยู่อีกต่อไป เขาคุกเข่าลงกับพื้น หัวไหล่สั่นสะท้านอย่างรุนแรง

แต่สุดท้ายหัวหน้าขันทีผู้มีเส้นผมขาวโพลนก็ยังฝืนข่มความเศร้าโศก พยุงจักรพรรดิเสียนเฉิงขึ้นมา ก่อนจะพาเดินไปข้างหน้าต่างที่ปิดสนิทด้วยฝีเท้าไม่มั่นคง และมองผ่านช่องหน้าต่างที่ฉลุลายมังกรไปยังราตรีหนักอึ้งด้านนอก

โคมชาววัง* ดวงแล้วดวงเล่าส่องสว่างไปตามทางเดินคดเคี้ยว แต่กลับให้ความรู้สึกเศร้าหมองอย่างยากที่จะบรรยาย

“ฝ่าบาทโปรดทรงรักษาพระวรกายด้วย…” หัวหน้าขันทีประคองร่างผอมซูบประหนึ่งกิ่งไม้แห้งของจักรพรรดิ น้ำตาหลั่งรินออกมาอย่างห้ามไม่อยู่อีกต่อไป

จักรพรรดิเสียนเฉิงคล้ายไม่ได้ยิน ครั้นดวงตาที่ขุ่นมัวเลื่อนลอยเพราะป่วยมานานมองเห็นประกายเยียบเย็นจากทวนดาบมากมายที่ราตรีเข้มสนิทมิอาจปกปิดได้ หน้าอกก็เหมือนถูกกระหน่ำทุบตี ความขมคาวเก็บกลั้นไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ถูกพ่นออกมาอย่างรุนแรงในทันที

เสด็จแม่ เราอกตัญญู เราผิดมหันต์…

ร่างผอมซูบที่ห่อหุ้มด้วยชุดคลุมมังกรสีเหลืองอร่ามล้มกระแทกพื้นเหมือนหอสูงที่พังถล่ม เสาหยกหักสะบั้น

“ฝ่าบาท!”

 

ต้าเฟิ่ง รัชศกเสียนเฉิงปีที่สิบเอ็ด ยามจื่อ จักรพรรดิสวรรคต

ยามนี้นอกวังและเมืองหลวงโกลาหล ทัพใหญ่ของจิ่งอ๋องโจมตีประตูบูรพาจนแตก…

บทที่ 1

 สิบกว่าปีให้หลัง ดินแดนทางใต้

ส่วนลึกของตรอกต้นหลิวค้างแรมบนถนนบุปผาหลับใหล มีร้านหนังสืองดงามแห่งหนึ่งเร้นตัวอยู่ ประตูหน้าต่างไม้หวงหลี* สะท้อนความโบราณ ป้ายชื่อร้านเหนือศีรษะมีอักษรตัวใหญ่เขียนด้วยหมึกดำเข้มว่า

 

‘หอตำราเลิศ’

 

ชายแก่หลังค่อมที่ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยนั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือ กำลังหาวอย่างเกียจคร้าน ขาดเพียงในมือไม่ได้ถือม้วนกระดาษคอยตีแมลงวันเท่านั้น

ยามบ่ายฤดูใบไม้ผลิช่างน่านอนเสียจริง…

เวลานี้เองกลับมีคนไม่รู้กาลเทศะตะโกนเสียงดังทำลายความฝันของเขา “เหล่าเจียงๆ เร็วเข้าๆ เอาผลงานชุดล่าสุดของอาจารย์ให้ข้าสิบชุด ข้ารีบมาก!”

“ไม่ขาย!” เหล่าเจียงที่เดิมง่วงงุนขนชี้ทันใด เบิกดวงตาชราพร่ามัวพลางตบโต๊ะอย่างขุ่นขึ้ง “จ้าวเสี่ยวลิ่ว เจ้าคิดว่าผลงานยิ่งใหญ่ชุดล่าสุดที่อาจารย์ฮวาชุนซินทุ่มเทแรงกายแรงใจเป็นหัวผักกาดขาวในสวนหลังบ้านของสำนักคุ้มภัยเกรียงไกรของเจ้าที่จะถอนไปกี่หัวก็ได้อย่างนั้นรึ”

“เอ่อ…” ชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่กำยำนามจ้าวลิ่วชะงักไป ไม่เพียงไม่โกรธ แต่เขากลับลูบหัวเก้อๆ “เหล่าเจียง ท่านอย่าโกรธเลย ข้าต้องเร่งออกเดินทาง ใจร้อนไปชั่วขณะจนลืมกฎระเบียบของหอตำราเลิศไป”

“ก็บอกแล้วว่าจำกัดจำนวน หนึ่งคนซื้อได้หนึ่งชุดเท่านั้น ไม่ขายให้คนที่มาซื้อแทนคนอื่นและไม่ขายส่งขายเหมา” เหล่าเจียงแค่นเสียงหนักอย่างไม่สบอารมณ์ “ผลงานของอาจารย์ฮวาชุนซินเป็นผลงานชั้นยอด หาใช่สิ่งที่เนื้อหาลามกภาพวาดฉูดฉาดตามตรอกซอยทั่วไปจะเทียบได้ หากพวกเจ้าเคารพในผลงานก็ต้องทำตามระเบียบ!”

“ใช่ๆ ข้าเข้าใจ ข้าผิดไปแล้ว” จ้าวลิ่วถูกตำหนิจนใบหน้าเต็มไปด้วยความร้อนรน เหงื่อร้อนหยดติ๋งๆ แต่ครั้นเห็นว่ากำหนดออกเดินทางคุ้มภัยกระชั้นเข้ามา ทุกคนต่างรอเขาซื้อภาพวังวสันต์* ชุดล่าสุดของอาจารย์ชุนซินกลับไปเป็นเพื่อนคลายเหงายามค่ำคืนอันยาวนานที่เหนื่อยยากน่าเบื่อของการเดินทางคุ้มภัย เขาก็จำต้องกลืนน้ำลาย ลดเสียงอ้อนวอน “แต่ว่าเหล่าเจียง ข้าเองก็มีความจำเป็นมิใช่หรือ พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สาม กับพรรคพวกอีกสิบกว่าคนในสำนักคุ้มภัยของข้ายังตั้งตารอให้ข้าซื้อภาพวังวสันต์กลับไปให้พวกเขา…อ่ะแฮ่ม ชื่นชม! ท่านอะลุ้มอล่วยสักครั้งเถิด ขายให้ข้าสักสิบชุดเถิดนะ”

“ไม่ได้ ระเบียบของหอตำราเลิศอาจารย์ฮวาชุนซินเป็นผู้กำหนดขึ้น ต่อให้พี่ภรรยาของเจ้าเมืองมาก็ต่อรองไม่ได้ หอตำราเลิศของเราเน้นทำการค้าอย่างมีคุณธรรมและมีจรรยาบรรณ จะแหกกฎเพื่อคนผู้เดียวได้อย่างไร” ใบหน้าของเหล่าเจียงเคร่งขรึมจริงจัง คนไม่รู้ยังคิดว่าเขาเป็นผู้คงแก่เรียนที่แต่งตำราคัมภีร์หาใช่คนขายหนังสือลามกไม่

“แต่ว่า…” จ้าวลิ่วทำหน้ายู่

“กฎเดิม คนละหนึ่งชุด” เหล่าเจียงเป็นคนใจแข็ง ต่อให้มาขอร้องอ้อนวอนต่อหน้าเขา เกลือกกลิ้งดิ้นรนอยู่บนพื้น หรือถึงขั้นข่มขู่ เขาก็ไม่สะทกสะท้าน ดื้อรั้นหัวแข็งยิ่งกว่าก้อนหินในหลุมสุขา

จ้าวลิ่วถูกคนในยุทธภพตั้งฉายาว่า ‘สารเลวเลือดร้อน’ นิสัยฉุนเฉียวเป็นที่สุด แต่กลับต้องมาจนแต้มเพราะตาแก่ที่มือไม่มีกระทั่งเรี่ยวแรงจะมัดไก่ ชั่วขณะหนึ่งจึงร้อนใจจนเกาหัวเกาหู ไม่รู้จะทำอย่างไรดี

เห็นท่าทางดื้อรั้นไม่ฟังใครของเหล่าเจียงแล้ว สุดท้ายจ้าวลิ่วได้แต่วิ่งกลับไปลากพรรคพวกอีกเก้าคนมาแต่โดยดี จึงสามารถซื้อ ‘ดอกซิ่งแดง* แผ่กลิ่นอวล’ ผลงานชุดใหม่ที่ประณีตงดงามของอาจารย์ฮวาชุนซินได้อย่างราบรื่น

หน้าปกเป็นสตรีงามผุดผาดนวลเนียนแฝงกายอยู่ใต้ร่มไม้ มือขาวปานหิมะถือกิ่งดอกซิ่งแดงสดไว้กิ่งหนึ่ง เสื้อผ้าบนไหล่เล็กบางกลมกลึงเหมือนจะหลุดแต่ไม่หลุด ริมฝีปากล่างถูกขบเบาๆ น้ำตาพร่าเลือน ทว่าสีหน้าท่าทางกลับมิอาจปกปิดอาการหอบกระชั้น คล้ายเพิ่งผ่านการสำเริงสำราญและต้องเฝ้ามองชายคนรักจากไปด้วยความอาวรณ์…ยั่วเย้ากระชากจิตวิญญาณของผู้คนอย่างยากจะบรรยายถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่สะท้อนความหยาบโลนต่ำช้าแม้แต่น้อย

ทำเอาคนเห็นอยากให้ตนเป็นชายผู้นั้นเสียเหลือเกิน จะได้หันกลับมาโอบสาวงามไว้แนบอกแน่น และรักถนอมนางอีกสักครั้งให้หนำใจ

พอพวกจ้าวลิ่วได้ภาพไปใบหน้าก็แดงซ่านเพราะความตื่นเต้น ทนรอไม่ไหวที่จะกลับไป ‘ชื่นชมให้เต็มที่’

พอคนจากไปท่าทีขึงขังจริงจังก่อนหน้านี้ของเหล่าเจียงก็หายไป แทนที่ด้วยท่าทางดีอกดีใจเหมือนหนูที่ขโมยกินน้ำมันตะเกียงจนอิ่มอย่างไรอย่างนั้น

หึๆ ก้อนเงินหนักๆ เข้ากระเป๋ามาอีกแล้ว

“รวยแล้วๆ” เขายิ้มเป่าลมหายใจใส่ก้อนเงินและถูไปมาอย่างระวังพลางพูดกับตนเอง “คุณหนูข้าช่างร้ายกาจโดยแท้ กฎเกณฑ์นี้ตั้งได้ยอดเยี่ยมจริงๆ เป็นความจริงที่ของหายากย่อมล้ำค่า ตลาดไม่ปั่นย่อมไม่ครึกครื้น เกี้ยวต้องมีคนหาม มนุษย์เราต้องพึ่งพากัน นี่ถึงจะเรียกว่าดี! ฮ่าๆๆๆ”

เหล่าเจียงกำลังยิ้มหน้าบาน นอกประตูก็มีเสียงฝีเท้าเร่งร้อนของลูกค้าดังขึ้น พอเงยหน้าเห็นเด็กหนุ่มหลายคนที่เพิ่งเลิกเรียนผลักกันไปมา เบียดเสียดแย่งกันเข้ามาในร้านอย่างเขินอายแกมตื่นเต้น ใบหน้าชราที่เปี่ยมด้วยริ้วรอยของเหล่าเจียงก็ยิ้มสุขใจกว่าเดิม

นี่อย่างไร พวกลุ่มหลงในนารี…อ่ะแฮ่ม เป็นลูกค้าผู้สัตย์ซื่อมาเยือนอีกแล้วต่างหาก!

“จำกัดจำนวนซื้อ หนึ่งคนต่อหนึ่งชุด หนึ่งคนต่อหนึ่งชุด…” เหล่าเจียงรีบโกยเงินห้าสิบตำลึงใส่แขนเสื้อกว้างและยิ้มร่า

 

หมู่นี้เรื่องที่คึกคักที่สุดในเขตชุมชนของดินแดนทางใต้ก็คือการคาดเดาว่าผู้วาด ‘ชุดภาพวาบหวิวสกุลฮวา’ ที่ทำเอาชายหนุ่มชายชราในดินแดนทางใต้ลุ่มหลงไปตามๆ กัน ทำให้ผู้มียศศักดิ์ตั้งแต่ขุนนางน้อยใหญ่ไปจนถึงชนชั้นล่างอย่างพ่อค้ากรรมกรแย่งกันซื้อจนมีชื่อเสียงโด่งดังในชั่วเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งปี…อาจารย์ฮวาชุนซินผู้นั้นโฉมหน้าที่แท้จริงเป็นใครกันแน่

มีคนเดาว่าเขาเป็นขุนนางชราที่เกษียณอายุแล้วและเบื่อชีวิตการเป็นขุนนาง มีคนเดาว่าเขาเป็นผู้มีพรสวรรค์ งดงามเปี่ยมเสน่ห์ ยังมีคนเดาว่าเขาเป็นบัณฑิตตกอับที่สอบขุนนางหลายครั้งแล้วยังไม่ผ่านเสียที ได้รับความสะเทือนใจมากไปจนบุคลิกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นับแต่นั้นมาก็หมกมุ่นกับการวาดภาพสตรีเริงรมย์…

ไม่ว่าขบคิดอย่างไรก็คงไม่มีใครคาดว่าตัวจริงของอาจารย์ฮวาชุนซินจะเป็นหญิงสาวอายุสิบแปดย่างสิบเก้าที่ยังขายไม่ออก อีกทั้งเร่งวาดต้นฉบับทั้งวันทั้งคืนจนสองตาไร้ประกาย ในห้องหนังสือเล็กๆ เต็มไปด้วยขยะที่ถูกขยำเป็นก้อนกลม ข้าวราดเนื้อตงพัว ชามใหญ่ที่กินเหลือจากเมื่อวานมีน้ำมันที่จับตัวเป็นก้อนแข็งปกคลุมอยู่เป็นชั้นหนา

ฮวาชุนซินคาบพู่กันไผ่ดำขนหางเพียงพอนชั้นดีนั่งขดตัวอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ* ผมยาวปล่อยสยายอยู่ข้างหลังโดยไม่ได้สางหรือเกล้ามวย นางสวมชุดคลุมสีขาวตัวใหญ่บางเบาที่ทำให้มองไม่เห็นทรวดทรง หากไม่เพราะนี่เป็นตอนกลางวันแสกๆ ที่แดดส่องจ้า เกรงว่ามองไปแล้วคงได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนว่า ‘ผีหลอก…’ เป็นแน่

ครู่หนึ่งผ่านไป ฮวาชุนซินที่อยู่ในภาวะชะงักงันก็ขยับตัวนิดๆ สายตาเหม่อลอยเลื่อนไปยังภาพวาดตรงหน้าที่วาดไปได้กว่าครึ่งแล้ว ดวงตาของคนงามแวววาว เนินอกเผยออกมาครึ่งหนึ่ง ปากแดงจิ้มลิ้มเผยอขึ้นเล็กน้อยคล้ายกำลังหอบคราง ดวงหน้าเล็กทั้งสุขสมและเจ็บปวด ส่วนบุรุษแกร่งกำยำเหนือร่างนางนั้นมือใหญ่เกาะกุมสะโพกกลมกลึงราวผลท้อของคนงามไว้มั่น เจ้าสิ่งดุดันตรงหว่างขาเยี่ยมหน้าออกมาจากชุดคลุมยาวที่ปิดคลุมอยู่ครึ่งหนึ่ง ใกล้จะรุกรานเข้าไปในจุดเร้นลับที่ชุ่มฉ่ำด้วยน้ำค้างวสันต์เต็มที…

แต่แล้วกลับติดขัดตรงนี้

หาใช่เพราะเจ้าสิ่งนั้นใหญ่โตโอฬารจนติดขัด…อ่ะแฮ่ม แต่สาเหตุเป็นเพราะเครื่องหน้า หรือแม้กระทั่งสีหน้าอารมณ์ของบุรุษแกร่งกำยำผู้นั้นว่างเปล่าขาวโพลน นางคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าควรใส่ใบหน้าอย่างไรให้เจ้าหนุ่มผู้นี้ถึงจะเหมาะสม

หนังสือใหม่ชุดต่อไปคือ ‘ถ้ำพยัคฆ์ เตียงมังกร ยวนยางป่า’ วางแผนว่าจะออกเป็นภาพวังวสันต์สิบสองแผ่นที่ลงสีงดงามประกอบกลอนรักวาบหวิวเร้าอารมณ์ นำเสนอความเร่าร้อนไม่สิ้นสุด เปิดเผยกว่าครั้งไหนๆ รับรองว่าถ้าเลือดกำเดาไม่ไหลยินดีคืนเงิน

แต่ใครจะไปคิดว่าขณะที่ในหัวสมองของนางนึกภาพไปไกลและร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ นั้น มือกลับไม่ให้ความร่วมมือ ภาพลักษณ์ของพระเอกทำอย่างไรก็วาดไม่ออก ทำเอานางจับพู่กันแล้วรู้สึกติดขัดไปหมด ความรู้สึกคันแล้วเกาไม่ถูกจุดกัดแทะหัวใจทำให้กินไม่ลงนอนไม่หลับโดยแท้

“สง่างามวาดไปแล้ว สุภาพวาดไปแล้ว ฮึกเหิมก็วาดไปแล้ว…” นางกัดด้ามพู่กันอย่างกลัดกลุ้ม สองมือขยุ้มผมที่ยุ่งเหยิงไปทั้งศีรษะ โมโหที่ชีวิตนี้ตนเองพบเจอบุรุษมาน้อยเกินไป ตอนนี้อยากจะคว้าสักคนมาเป็นแบบก็เป็นไปไม่ได้

บุรุษที่ส่วนลึกในใจอยากจับมาวาดให้ละเอียดเป็นที่สุด หยอกเย้าสักหนึ่งคำรบกลับ…เฮ้อ อย่าพูดถึงเลย

นางจ้องภาพวาด ต่อสู้ในใจอยู่นาน พู่กันขนหางเพียงพอนทำท่าจะจรดลงไปแต่ก็ไม่จรดลงไปเสียที สุดท้ายได้แต่วางพู่กันลงบนกองพู่กันด้านข้างอย่างหงุดหงิด ไม่สนใจความรู้สึกปวดเอวเมื่อยหลังที่แผ่ไปทั่วตัว ลุกขึ้นสวมรองเท้าปักอย่างรีบร้อนและเดินออกไป

“ว้าย…” สาวใช้อาหยวนยกนมร้อนมาอย่างระมัดระวัง เพิ่งมาถึงข้างประตูยังไม่ทันได้ยกมือเคาะ เมื่อเห็นเช่นนั้นก็อดร้อนใจไม่ได้ “คุณหนู ท่านยังไม่ได้ดื่มนมเลยนะเจ้าคะ”

“เวลาคับขันยังจะดื่มนมอะไรอีก ไม่ดื่มแล้ว” กล่าวจบฝีเท้าของฮวาชุนซินพลันชะงัก ดวงตาเปล่งประกาย “ใช่แล้ว อาหยวน ครั้นก่อนเจ้าบอกว่าบ้านเดิมเจ้ามีญาติผู้พี่ที่ทำงานในไร่นาอยู่หลายคน แนะนำให้ข้ารู้จักสักคนสองคนสิ”

อาหยวนได้ยินดังนั้นก็ตกใจจนเกือบทำถาดคว่ำ “คุณ…คุณหนู…ญาติผู้พี่ที่บ้านบ่าวล้วนเป็นคนหยาบกระด้าง จะคู่ควรกับ…คุณหนูได้อย่างไรเจ้าคะ”

“หยาบกระด้างหรือ” เห็นชัดว่าประเด็นของนางแตกต่างจากสาวใช้ ดวงหน้าเล็กซีดที่ใต้ตาเขียวคล้ำพลันฉายรอยยิ้มประหลาด “ดีๆ ดีมาก!”

“คุณหนู อย่านะเจ้าคะ…” อาหยวนตกใจจนวิญญาณแทบปลิวออกจากร่าง รีบคุกเข่าลงบนพื้น “ญาติผู้พี่ที่บ้านบ่าวทั้งกระด้างหยาบคาย ยากจน ไร้ความสามารถ นอกจากทำงานในไร่นาแล้วพวกเขาก็ทำอย่างอื่นไม่เป็น ไม่…ไม่คู่ควรที่คุณหนูจะให้ความสำคัญ คุณหนู ท่าน…ท่านละเว้นพวกเขาเถิดเจ้าค่ะ!”

รอยยิ้มบนหน้าของฮวาชุนซินชะงัก มุมปากกระตุก

เห็นข้าเป็นแม่เล้าหอชายบำเรอที่บังคับคนดีๆ ให้ขายตัวอย่างนั้นรึ ข้าเป็นปีศาจเฒ่าภูเขาดำที่ต้องดูดหยางมาเสริมหยินอย่างนั้นรึ ถึงขั้นต้องกีดกันข้าเหมือนข้าเป็นงูพิษสัตว์ร้ายอย่างนี้เชียว ข้าฮวาชุนซินก็แค่อายุมากไปหน่อย ขายไม่ออกไปหน่อย หาใช่คนกินไม่เลือกที่แทะอาหารได้ทุกอย่าง…

“เอาล่ะๆ ลุกขึ้นเถอะ” นางโบกมืออย่างไม่สบอารมณ์ “คนไม่รู้จะคิดว่าข้าเป็นเจ้านายใจดำ จงใจทรมานสาวใช้ที่บริสุทธิ์แสนดีอย่างเจ้าเพื่อความสำราญของตนเอง”

“บ่าวมิกล้าเจ้าค่ะ บ่าวผิดไปแล้ว คุณหนูอย่าโกรธเลย คุณหนูไว้ชีวิตด้วยเจ้าค่ะ” อาหยวนใจสั่น รีบโขกศีรษะอ้อนวอนอย่างลนลาน

“เจ้า…” ฮวาชุนซินพลันรู้สึกหมดสิ้นเรี่ยวแรง ได้แต่นวดหว่างคิ้ว ก่อนเปลี่ยนเป็นพูดเสียงอ่อน “ก็ได้ๆ”

“คุณหนูไม่โกรธบ่าวแล้วหรือเจ้าคะ” อาหยวนเงยหน้าถามอย่างน่าสงสาร

“ไม่โกรธแล้ว” นางถอนใจ

“คุณหนูจะไม่ขายบ่าวทิ้งใช่หรือไม่เจ้าคะ” อาหยวนถามต่อ ใบหน้ายับยู่

“ไม่ขายแล้ว” มุมปากนางกระตุกนิดๆ

เปลี่ยนสาวใช้มาหลายรอบแล้ว นายหน้าค้าคนทางตะวันตกของดินแดนทางใต้คิดว่านางจงใจหาเรื่อง จดชื่อสกุลฮวาไว้เป็นลูกค้าที่พวกเขาไม่ค้าขายด้วยแล้ว จะเปลี่ยนคนอีกได้อย่างไรเล่า

เฮ้อ จะว่าไปเหตุใดสมัยนี้ถึงหาสาวใช้เฉลียวฉลาดใส่ใจสักคนได้ยากเหลือเกินนะ คิดถึงอดีตตอนอยู่เมืองหลวง…ช่างเถอะๆ คืนวันวานลมบูรพาพัดผ่านหอ บ้านเกิดหนอให้หวนนึกกลางแสงจันทร์* ฮือๆๆๆ…

“คุณหนู ท่านยังจะดื่มนมหรือไม่เจ้าคะ” อาหยวนถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“ดื่ม” กับสาวใช้ซื่อบื้อผู้นี้ นางยังจะพูดคำว่า ‘ไม่’ ได้ด้วยหรือ

ฮวาชุนซินฝืนใจรับนมวัวที่ค่อนข้างเย็นแล้วชามนั้นมา บีบจมูกกลั้นหายใจดื่มรวดเดียวหมด พอน้ำนมเข้มข้นล่วงผ่านลำคอไป นางก็แทบจะอาเจียนออกมา

“ลืมใส่น้ำตาลก้อนดับกลิ่นอีกแล้วใช่หรือไม่” นางสั่นสะท้าน ดวงหน้าเล็กยับย่นไปหมด

“คุณหนู น้ำตาลก้อนไม่ถูกเลยนะเจ้าคะ ครึ่งชั่งยังตั้งห้าสิบอีแปะ เงินห้าสิบอีแปะซื้อไข่ไก่ได้ยี่สิบกว่าฟอง ซื้อเนื้อหมูสามชั้นก้อนหนึ่งก็ยังได้” พออาหยวนคิดว่าผู้คนในชนบทขึ้นปีใหม่ยังไม่มีปัญญากินน้ำตาลก้อนที่ขาวจั๊วะราวน้ำค้างแข็ง นางก็อดพูดด้วยความหวังดีไม่ได้ “การใช้ชีวิตจะฟุ่มเฟือยเช่นนี้ไม่ได้ คุณหนู ตอนท่านซื้อตัวบ่าวมาก็ใช้เงินไปสิบตำลึงแล้ว ลุงอู๋ที่เพาะปลูกได้ดีที่สุดในหมู่บ้านเรา ปีหนึ่งยังหาเงินได้แค่หกตำลึง…”

สาวใช้เริ่มพล่ามหลักการประหยัดมัธยัสถ์ ฮวาชุนซินที่เร่งวาดภาพจนอดนอนมาสามวันสามคืนรู้สึกข้างหูมีแต่เสียงดังหึ่งๆ เหมือนเสียงสวดมนต์ ความง่วงงุนอย่างรุนแรงจู่โจมเข้ามา

“…บ่าวอยู่เป็นคนสกุลฮวา ตายไปเป็นผีสกุลฮวา หากช่วยสกุลฮวาประหยัดเงินได้สักหลายอีแปะ ก็ไม่เสียทีที่คุณหนูกับท่านปู่เจียงเมตตาและมีบุญคุณกับบ่าวแล้ว…”

“อืมๆ” ฮวาชุนซินพยักหน้าติดๆ กัน

“ท่านแม่ของบ่าวบอกว่าคนที่ไม่รู้จักมัธยัสถ์ ต่อให้เอาโต้วฉื่อ* หนึ่งเม็ดผ่าเป็นสองซีกกินกับข้าวต้ม มีโต้วฉื่อกองเป็นภูเขาเลากาก็ยังกินหมดได้…”

“…”

“คุณหนู? คุณหนูท่านฟังบ่าวพูดอยู่หรือเปล่าเจ้าคะ”

“…”

“คุณหนู? คุณหนู…ท่านยืนๆ อยู่แล้วหลับไปได้อย่างไร คุณหนู ท่านยืนหลับจะถูกลมเย็นได้ ถูกลมเย็นเข้าก็ต้องกินยา กินยาก็ต้องเสียเงินอีกนะเจ้าคะ!”

 

กลางดึก ในป่าทึบเงียบสงัด

รอบด้านมีไอหมอกขมุกขมัว ในป่าไม่มีเงาหรือเสียงของนกเลย สรรพสิ่งเงียบงันใกล้เคียงกับความตาย

กลิ่นอายร้อนชื้นแฝงด้วยกลิ่นเน่าเปื่อยของใบหญ้าห่อหุ้มอากาศไว้อย่างเข้มข้น กดเข้ามาในปอดคนจนรู้สึกหนักอึ้ง

ร่างสูงใหญ่กำยำแนบติดไปกับใบไม้ที่ทับถมกับพื้นดินเป็นชั้นหนาโดยไม่ขยับเขยื้อน หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความมืดสลัว เวลาคล้ายจะหยุดนิ่ง

ทันใดนั้นเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น!

เงาดำสิบกว่าสายพุ่งเข้ามาจากทิศทางต่างๆ ประกายดาบเย็นเยียบเหมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมา ฟันฉับไปยังทุกหนทุกแห่งในป่าที่สามารถซ่อนคนได้อย่างเฉียบขาด…จันทราดุจดังตะขอ ไอสังหารดุดัน แทบจะเดาได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปคือโลหิตกระเซ็นไปรอบด้าน!

ฉับพลันนั้นเองใบไม้ร่วงขยับไหว บุรุษสูงใหญ่ลุกจากพื้นดินอย่างรวดเร็วประหนึ่งภูตผีและฝนดาวตก ลูกสนหลายลูกในฝ่ามือกลายเป็นอาวุธที่ทอประกายคมกริบ จู่โจมข้อมือที่ถือดาบของคนชุดดำปิดหน้า เท้ากวาดไปทีหนึ่ง เสียงสูดหายใจด้วยความเจ็บดังต่อเนื่อง ดาบร่วงลงกลางอากาศ เงาดำทั้งหลายกระเด็นออกไปไกล

บุรุษสูงใหญ่ยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าแข็งกระด้างเย็นชาเหมือนสลักด้วยมีดดาบก้มลงนิดๆ ยืนจ้องเงาร่างสิบกว่าสายที่พยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลเงียบๆ

“สะกดรอย ยังพอได้” เขาเอ่ยปากอย่างเย็นชา “แต่จู่โจม ล้มเหลว”

คนชุดดำสิบกว่าคนได้ยินดังนั้นก็หน้าถอดสี ไม่สนใจแผลที่เจ็บปวดเหมือนถูกทับด้วยก้อนหินมหึมา รีบพลิกตัวขึ้นคุกเข่าข้างเดียวบนพื้น ก้มหน้าตอบด้วยความละอายใจอย่างถึงที่สุด “ผู้น้อยสมควรตาย ทำให้ท่านแม่ทัพใหญ่ผิดหวังแล้ว”

“กลับค่ายแล้วไปรับโทษจากหอโบยเอง” สีหน้าเขาไม่สะทกสะท้าน

“รับทราบ” คนชุดดำสิบกว่าคนก้มหน้าต่ำกว่าเดิม ยากจะปิดบังความเศร้าสลด

ชายหนุ่มมองทหารม้าเหล็กห้าวหาญตรงหน้าซึ่งเป็นสิบหกนายจากห้าพันนายที่สามารถสะกดรอยตามเขาได้ ตาเหยี่ยวคมปลาบอ่อนโยนลง เอ่ยด้วยเสียงทุ้มหนักทรงพลัง “อีกสามวันมาใหม่!”

“รับทราบ!” คนชุดดำสิบกว่าคนเหมือนได้รับขนมเปี๊ยะที่ร่วงตกลงมาจากท้องฟ้า แต่ละคนแย้มยิ้มเต็มหน้ารับคำเสียงก้อง “ขอบคุณท่านแม่ทัพใหญ่!”

กวนหยางพยักหน้า คนชุดดำสิบกว่าคนถอยไปเงียบๆ อย่างข่มความดีใจไว้ไม่มิด ต่อให้อีกเดี๋ยวต้องถูกหอโบยลงทัณฑ์สามสิบไม้ก็ไม่ใส่ใจแล้ว

ไม่ง่ายเลยที่ท่านแม่ทัพใหญ่จะอะลุ้มอล่วยให้โอกาสในการทดสอบอีกครั้งเป็นกรณีพิเศษ หากผ่านการทดสอบที่เข้มงวดอย่างยิ่งนี้ไปได้…นั่นคือสามารถแตะต้องปลายผมหรือจู่โจมร่างกายส่วนใดก็ได้ของท่านแม่ทัพใหญ่ก็จะได้รับเลือกเป็นทหารองครักษ์ที่ดูแลคุ้มครองท่านแม่ทัพใหญ่อย่างใกล้ชิดของค่ายทหารกล้า กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกที่เก่งกาจห้าวหาญที่สุดในกองทัพสกุลกวนของดินแดนทางใต้

เกียรติอันสูงสุดที่เลือกเอาจากหนึ่งในหมื่นเช่นนี้ ทุกปีล้วนมีทหารสกุลกวนแก่งแย่งแข่งขันกันถึงสามแสนคน ผู้ที่ผ่านด่านหินและการทดสอบหลายครั้งมาได้จนสุดท้ายกลายเป็นทหารของค่ายทหารกล้า ไม่มีผู้ใดที่มิใช่ยอดฝีมือที่สามารถต้านรับศัตรูได้นับร้อยคน

หลังจากทหารสิบหกนายหายตัวไปที่อีกด้านของป่าทึบแล้ว มุมปากที่เม้มแน่นของกวนหยางก็กระดกขึ้นนิดๆ นัยน์ตาสีดำฉายแววยินดี

“ขอแสดงความยินดีกับนายท่าน” ในความมืด เงาสายหนึ่งปรากฏขึ้นข้างหลังเขาอย่างเงียบเชียบ น้ำเสียงเจือแววหัวเราะ “ทหารชุดนี้โดดเด่นขึ้นทุกทีนะขอรับ”

“พอใช้ได้” เขาหันไป คิ้วเข้มเลิกขึ้น “ตันจื่อ สิบวันนี้ค่ายทหารใหญ่ที่ดินแดนทางใต้มีเรื่องสำคัญอะไรหรือไม่”

“เรียนนายท่าน ทุกอย่างปกติดีขอรับ” หัวหน้าองครักษ์ลับตันจื่อพูดจบ มองสีหน้าเย็นชาเคร่งขรึมประหนึ่งขุนเขาผาชันของผู้เป็นนายแล้วสีหน้าก็ลังเลเล็กน้อย

“หืม?” กวนหยางรู้สึกถึงความผิดปกติของอีกฝ่าย สายตาตวัดมองไปรวดเร็วดุจสายฟ้า

“เรียนนายท่าน คุณหนูส่งของมา ‘อีกแล้ว’ ขอรับ”

หว่างคิ้วของเขาขมวดนิดๆ ตอบอย่างไม่ไว้หน้า “เหมือนเดิม ส่งกลับไป!”

เห็นสีหน้าของนายท่านบึ้งตึง หัวสมองของตันจื่อก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพวังวสันต์ชุด ‘โฉมสะคราญญาติผู้น้อง’ ของอาจารย์ฮวาชุนซินที่เคยบรรยายถึงสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘ญาติผู้น้อง’ ไว้อย่างละเมียดละไมว่า

 

‘เบื้องหลังบุรุษที่โดดเด่นทุกคน ล้วนมีญาติผู้น้องคนหนึ่งที่ลุ่มหลงไม่เลิกรา…’

ตันจื่ออดหนาวสะท้านไม่ได้ รู้สึกขนลุกเล็กน้อย เหลือบมองผู้เป็นนายของตนแวบหนึ่งด้วยความเห็นใจแล้วอึกอัก “นายท่าน ครั้งนี้ฮูหยินกวนกั๋วกงมีจดหมายมากำชับว่ารองเท้าหุ้มแข้งลายเมฆาที่คุณหนูเพิ่งหัดปักนี้ตัดเย็บตามขนาดเท้าของท่าน นับเป็นน้ำใจจากน้องสาว ดังนั้นจึงห้ามท่านส่งคืนเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เป็นการทำลายไมตรีของทั้งสองสกุล”

“เหลวไหล!” ประกายเย็นเยียบวูบขึ้นในดวงตาเขา

ตันจื่อหัวใจสั่นรัว ลอบบ่นคุณหนูที่ชอบส่งข้าวของมาให้ผู้นั้นในทันที นี่มิใช่การหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ นายท่านบอกแล้วว่าไม่ให้ส่งมา ส่งมาสิบรอบก็ส่งกลับสิบรอบ ไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย แต่ไฉนคุณหนูท่านจึงไม่รู้จักเพลาๆ ลงบ้าง เอาแต่เร่งรัดให้คนนำของมาส่ง ที่ต้องเหนื่อยก็คือม้าสกุลกวน คนสกุลกวน หรือว่าขาเหล่านั้นมิใช่ขาท่าน ดังนั้นถึงจะวิ่งจนหักก็สมควรแล้ว? อีกทั้งยังทำให้พวกเขาต้องถูกนายท่านต่อว่าเป็นประจำอีก

นิสัยของนายท่านของพวกเขาถูกใครบังคับได้ด้วยหรือ ต่อให้ท่านกั๋วกง* มาด้วยตนเองยังต้องฟังนายท่านเลย ในใจของนายท่านคุณหนูนับเป็นตัวอะไรกัน

ระหว่างที่ตันจื่อบ่นในใจ กวนหยางฟังถ้อยคำกำชับของมารดาจบ สีหน้ายังคงเย็นชาดุจเดิม เอ่ยเสียงหนัก “ส่งกลับไป! หากฮูหยินกวนกั๋วกงถามถึงให้บอกว่าเสื้อผ้าเครื่องใช้ในกองทัพมีกฎเกณฑ์ ข้าเป็นผู้นำกองทัพสกุลกวน ย่อมต้องทำตัวเป็นแบบอย่าง บอกคุณหนูว่าวันหน้าไม่ต้องยุ่งยากอีก”

นายท่านช่างแข็งแกร่ง นายท่านยอดเยี่ยมเป็นที่สุด!

“ขอรับ” ตันจื่อตาเป็นประกาย รับคำอย่างแข็งขัน ไม่ลืมแนะนำด้วยท่าทางตื่นเต้นด้วยว่า “ความจริงตามความเห็นของผู้น้อย หากนายท่านคิดจะตัดสัมพันธ์กับคุณหนูอย่างสิ้นเชิงก็ไม่ยาก ทางใต้ก็มีตัวเลือกที่พร้อมอยู่แล้วมิใช่หรือ…”

ดวงตาเยียบเย็นเจือไอสังหารของกวนหยางตวัดมองเขา ทำเอาตันจื่อตกใจจนกลืนถ้อยคำที่เหลือกลับลงท้องไปทั้งหมด

“เจ้าไสหัวไปได้แล้ว” กวนหยางพูดสั้นกระชับ

“ประเดี๋ยวจะไสหัวไปขอรับ ผู้น้อยยังมีอีกเรื่องจะรายงานนายท่าน” ตันจื่อร้อนใจใช้ความดีลบล้างความผิด พูดอย่างกระตือรือร้น “ฮูหยินกวนกั๋วกงบอกมาในจดหมาย เกรงว่าข้ารับใช้ในจวนแม่ทัพปกปักทักษิณจะมีแต่พวกคนหยาบกระด้าง ปรนนิบัตินายท่านได้ไม่ดี จึงสั่งมาเป็นพิเศษให้เพิ่มสาวใช้อีกสองคน ผู้น้อยบังอาจเลือกสองคนที่ผิวพรรณขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ นุ่มเนียนประหนึ่งนวลไขมาให้ คนหนึ่งชื่อ ‘เจียวฮวา’ คนหนึ่งชื่อ ‘เนิ่นหรุ่ย’…”

“อำนาจในการจัดหาข้ารับใช้ของจวนเป็นของหัวหน้าพ่อบ้าน เจ้าแย่งงานของลุงฉีทำจนติดใจแล้วหรือ” สีหน้าของกวนหยางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ให้ข้าสลับตำแหน่งหน้าที่ของพวกเจ้าสองคนดีหรือไม่”

ตันจื่อผู้มีวรยุทธ์สูงส่งแต่เยิ่นเย้อเป็นนิสัยฟังแล้วขนทั่วตัวชี้ตั้ง กลืนน้ำลายอย่างว้าวุ่นใจ รีบยิ้มประจบ “ไม่ๆ ผู้น้อยทำผิดกฎไปแล้ว ผู้น้อยบังอาจนัก ผู้น้อยจะรีบกลับจวนไปรับโทษจากหัวหน้าพ่อบ้านฉี ผู้น้อยอยู่ข้างกายนายท่านตั้งแต่อายุห้าขวบ ความจงรักภักดีของผู้น้อยตะวันจันทราเป็นพยานได้ นายท่าน ท่านอย่าทิ้งผู้น้อยนะ…”

กวนหยางหางตากระตุก เจ้าคนผู้นี้…

หากไม่เพราะเห็นแก่ที่เขาซื่อสัตย์ภักดีและทำงานได้เก่งกว่าคนอื่นๆ ด้วยนิสัยพูดมากปากเปราะเช่นนี้ คงถูกถีบกลับเมืองหลวงไปกวาดคอกม้านานแล้ว

เห็นหัวหน้าองครักษ์ลับของกองทัพสกุลกวนขาดแค่ไม่ได้กระดิกหาง ‘น้ำตาคลอ’ ให้ตนเท่านั้น สีหน้าของกวนหยางก็บึ้งตึงขึ้นทุกที สุดท้ายยกเท้าขึ้นกะทันหัน ถีบเขากระเด็นออกไปไกล

“นายท่านโปรดบรรเทาโทสะด้วย…” เสียงของตันจื่อลอยห่างออกไปเรื่อยๆ

อืม เงียบเสียที

ยามอู่* วันนี้ หายากที่ฮวาชุนซินจะไม่เร่งวาดภาพ…ความจริงเป็นเพราะเจออุปสรรคติดขัดอย่างใหญ่หลวงต่างหาก นางสวมชุดคลุมตัวใหญ่และผูกสายรัดเอว เรือนผมสีดำเกล้าเป็นมวยหลวมบนศีรษะและใช้ปิ่นเงินตลอดด้ามเสียบไว้ลวกๆ ใบหน้าประดับด้วยขอบตาดำคล้ำที่คล้ายจะไม่มีวันเลือนรางจางหาย ออกไปหาอาหารกลางวันกินในตลาด

ตามหลักแล้วที่บ้านมีสาวใช้หุงหาอาหาร นางแค่ทำตัวเป็นเจ้านายที่ชามายื่นแขนรับ ข้าวมาอ้าปากกิน เป็นคุณหนูที่เสพสุขกับการปรนนิบัติก็พอ แต่อาหยวนประหยัดมัธยัสถ์จนคลุ้มคลั่งไปแล้ว ผัดผักก็ใช้พู่กันแต้มน้ำมันหยดลงที่ก้นกระทะสองสามหยดเท่านั้น เกลือก็ตัดใจใส่เยอะหน่อยไม่ได้ เนื้อก็ลดทอนจนเหลือแต่เศษเนื้อ กินจนนางรู้สึกจืดชืดจะตายอยู่แล้ว ทนได้สามวันในที่สุดก็อดใจไม่ไหว หนีออกมา ‘หาของป่า’ ข้างนอกกิน

คนที่ไร้คุณธรรมที่สุดคือเหล่าเจียง ทิ้งคำพูดไว้เพียง ‘บ่าวต้องเฝ้าร้าน กินอะไรง่ายๆ ข้างนอกก็พอแล้ว’ ทำเอานางอยากหาคนลำบากไปด้วยกันก็ยังไม่ได้

“หงส์ตกอับมิสู้ไก่ตัวหนึ่งจริงๆ ด้วย หากเป็นเมื่อก่อน…” นางทำหน้าขุ่นแค้น

ช่างเถอะๆ เอาแต่ยึดติดกับอดีตไม่ปล่อยวางย่อมไม่เกิดประโยชน์ ถึงอย่างไรก็ใช้ชีวิตเช่นนี้มาตั้งหลายปีแล้ว กินได้ดื่มได้นอนได้ ทั้งยังอาศัยภาพวังวสันต์ที่นางชอบหาเงินได้อีก แค่นี้ก็ควรพอใจแล้ว

ฮวาชุนซินไม่ชักช้า พุ่งตรงไปที่ร้านเหล่าหลิวกินบะหมี่หลันโจวหอมกรุ่นเส้นเหนียวนุ่ม ทั้งยังเพิ่มพริกลงไปอีกมาก แค่นี้ไม่พอ คิดได้ว่าขนมถั่วกวนม้วนที่บ้านกินใกล้หมดแล้ว นางจึงเดินเลี้ยวเข้าไปในถนนที่ขายขนมของดินแดนทางใต้ ลัดเลาะไปมาก่อนจะเข้าไปในร้านขนมเก่าๆ ที่ดูไม่สะดุดตา แต่กลับเต็มไปด้วยกลิ่นหอมอบอวล

“ป้าเหนียน ขนมถั่วกวนม้วนของท่านออกจากเตาหรือยัง” นางสูดหายใจลึกแล้วอดฉีกยิ้มกว้างไม่ได้ ดวงหน้าเล็กขาวเนียนที่ไม่ต้องแสงแดดมาหลายวัน ทั้งยังอดนอนมานานฉายความเซ่อซ่าออกมาสามส่วน “รีบเอาออกมาห้ากล่อง ข้าอยากกินจะแย่อยู่แล้ว”

ด้านหลังโต๊ะคิดเงินที่มีกล่องขนมประณีตน่ารักกองสูงกล่องแล้วกล่องเล่า ป้าเหนียนผู้เป็นเถ้าแก่เนี้ยยิ้มลำบากใจ รีบพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน “อ้าว นี่เป็นแม่นางสกุลฮวาหรอกหรือ ตายจริง! บังเอิญเหลือเกิน ขนมถั่วกวนม้วนที่เพิ่งออกจากเตาวันนี้ถูกคนซื้อไปหมดแล้ว หลังจากนี้ไปอีกเจ็ดวันก็ถูกจองไว้หมดแล้ว เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ รอไว้วันหลังพ้นช่วงยุ่งๆ ไปแล้ว ข้าค่อยนำขนมไปส่งให้ท่านด้วยตนเอง”

ฮวาชุนซินได้ยินก็สูดหายใจเฮือก รู้สึกสะเทือนใจอย่างยิ่ง “จะไม่มีขนมถั่วกวนม้วนกินติดต่อกันแปดวัน? ไม่ได้นะ เช่นนี้จะให้ข้าอยู่อย่างไร”

กระปุกใส่ขนมถั่วกวนม้วนบนโต๊ะยาวในห้องหนังสือเหลือขนมอยู่แค่สามชิ้นห้าชิ้นเท่านั้น ตอนวาดภาพหากนางไม่ได้กินขนมถั่วกวนม้วนแก้อยากแก้ง่วง เกรงว่ากระทั่งสีก็ยังผสมได้ไม่แม่นยำกระมัง

สามมื้อถูกบังคับให้กินอย่างขาดน้ำมันขาดเกลือก็อนาถพอแล้ว หากแม้แต่ขนมหวานที่นางชอบที่สุดอย่างขนมถั่วกวนม้วนก็ไม่มีด้วย นางคงตายได้จริงๆ!

ป้าเหนียนย่อมรู้ว่าแม่นางฮวาลูกค้าขาประจำผู้นี้ชอบขนมถั่วกวนม้วนของนางเป็นที่สุด บอกว่ารสชาติดั้งเดิม แต่กับขนมอย่างอื่นกลับไม่สนใจนัก จึงอดพูดด้วยความลำบากใจไม่ได้ “เอาอย่างนี้ ท่านลองถามท่านแม่ทัพ…อ่ะแฮ่ม นายท่านท่านนี้ดูว่าจะยอมแบ่งให้ท่านสักสองกล่องได้หรือไม่”

“ใคร” นางมองตามสายตาของป้าเหนียนที่เต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใสไปทางขวา ถึงได้เห็นบุรุษสูงใหญ่เย็นชาคนหนึ่งยืนอยู่ด้านข้างห่างไปไม่ไกลนัก

ทว่าพอเห็นแล้ว หัวสมองของนางพลันเกิดเสียงดังผ่าง เหมือนระฆังใบใหญ่ที่ถูกตีจนสั่นสะเทือน ขณะเดียวกันก็เหมือนสายฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาข้างหู หัวใจหดเกร็ง หายใจไม่ออก ขยับตัวไม่ได้โดยสิ้นเชิง…

สวรรค์! นะ…นี่มิใช่แม่ทัพใหญ่กวนหยางหรอกหรือ!

บุรุษสูงใหญ่เย็นชาแข็งแกร่งถูกสายตาร้อนแรงเหมือนโจรของนางจ้องจนขมวดคิ้วนิดๆ สีหน้าขรึมลงกว่าเดิม

น่าโมโหนัก ช้าไปก้าวเดียวอีกแล้ว

กลิ่นอายเย็นชาชวนหวาดผวาที่แผ่ไปทั่วตัวเขาใช้ไม่ได้ผลอีกครั้งยามเผชิญหน้ากับสตรีที่แต่งกายสะเปะสะปะ ผมเผ้าไม่เกล้าให้เรียบร้อย หว่างคิ้วฉายความหม่นหมอง ใบหน้าซีดขาวผู้นี้

จู่ๆ กวนหยางก็นึกอยากจะนวดหัวคิ้ว

“ใบหน้านี้ล่ะ ใบหน้านี้…” ฮวาชุนซินพึมพำกับตนเองเหมือนคนละเมอ ดวงหน้าเล็กทั้งเศร้าใจทั้งดีใจ ทั้งคลุ้มคลั่งทั้งโง่งม

ภาพที่เฝ้าคิดถึงทุกวันคืนอยากวาดก็วาดไม่ได้…อืม ทั้งกลัดกลุ้มทั้งปวดหัวใจเหลือเกิน!

คิ้วหนาทั้งสองข้างของเขาแทบจะขมวดมุ่น ไม่เหลือบแลนางแม้แต่แวบเดียว ปั้นหน้าเย็นชาและหันไปมองป้าเหนียน “สามสิบกล่องวันนี้ส่งไปที่จวนให้หมด เจ็ดวันต่อจากนี้จะมีคนมารับของที่นี่เอง”

“เจ้าค่ะ นายท่านวางใจได้ ข้าน้อยจะต้องจัดการอย่างเรียบร้อยแน่นอน ไม่ทำให้ท่านขายหน้าเป็นอันขาดเจ้าค่ะ” ป้าเหนียนปั้นยิ้มเต็มหน้า ย่อกายคารวะพลางตอบ

“รบกวนแล้ว” เขาพยักหน้า สั่งเสร็จก็หมุนตัวจะจากไป

“ช้าก่อน!” ฮวาชุนซินที่ทั้งตกใจทั้งดีใจดึงสติกลับมาได้ในที่สุด นางกระโดดผลุงขึ้นมาอย่างร้อนใจ พุ่งไปขวางหน้าประตูใหญ่ ด้วยความหุนหันจึงโพล่งออกไปว่า “ท่านจะไปไม่ได้!”

กวนหยางก้มหน้ามองหญิงสาวไร้ยางอายที่สูงแค่หน้าอกของตน สามารถดีดกระเด็นได้ด้วยนิ้วมือเดียว เขาลอบกัดฟัน แต่กลับเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “มีธุระอันใด”

“มีๆ มีธุระๆ เรื่องนี้สำคัญนัก เกี่ยวพันถึงความเป็นความตาย” นางผงกหัวหงึกหงัก ฤกษ์ดีมิสู้ฤกษ์สะดวก โพล่งออกไปเลยดีกว่า “อีกทั้งเรื่องนี้มีแต่ท่านแม่ทัพใหญ่เท่านั้นที่ช่วยได้…”

“ข้าไม่สนใจ”

“ท่านแม่ทัพใหญ่เรือนร่างงดงามรูปโฉมน่ามองเช่นนี้ ด้วยพู่กันฉวัดเฉวียนของข้า ชื่อเสียงของท่านจะต้องโด่งดังไปถึงคนรุ่นหลังแน่…หา? เมื่อครู่ท่านพูดว่าอะไรนะ” นางกะพริบตาปริบๆ

“ไม่สนใจ!” เขาใช้แค่นิ้วชี้เรียวยาวนิ้วเดียวก็ ‘เขี่ย’ นางไปด้านข้างได้ ร่างเหยียดตรงดุจทวนเงินทำท่าจะเดินออกไปข้างนอก

ฮวาชุนซินร้อนรน ยังไม่ทันได้คิดว่าเมื่อครู่เขาใช้กระบวนท่าใดกันแน่ก็รีบพุ่งตัวออกไปโดยเร็วเสียก่อน…

“ท่านแม่ทัพใหญ่ช้าก่อน!”

ลมแรงพัดมาจากข้างหลัง ด้วยฝีมือของกวนหยางย่อมหลบเลี่ยงได้อย่างง่ายดาย หรืออาจหักคอผู้มาได้เลยด้วยซ้ำ แต่ด้วยคำนึงว่าถึงแม้อีกฝ่ายจะมีนิสัยคลุ้มคลั่งอยู่บ่อยครั้ง ทว่าถึงอย่างไรก็เป็นเพียงสตรีอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงคนหนึ่ง อีกทั้งทำให้ขนมในร้านเปื้อนเลือดย่อมไม่ดี…ด้วยคิดเช่นนี้ เรือนร่างเหยียดตรงจึงยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม

กลับเป็นฮวาชุนซินที่ร้อนใจเกินไป ศีรษะพุ่งเข้าชนแผ่นหลังหนาที่แทบไม่ต่างจากผนังทองแดงกำแพงเหล็ก เจ็บจมูกจนน้ำตาแทบร่วง!

“จะฆ่ากันหรือไร…” นางกุมสันจมูกที่เจ็บไปหมดพลางร้องโวยวาย “นี่ ท่านเป็นบุรุษอกสามศอกไม่รู้จักพยุงหรือยื่นมือมารับกันบ้างเลยหรือ”

เขาหันกลับมาโดยไม่ตอบ เพียงก้มมองนางอย่างเย็นชา

ป้าเหนียนที่อยู่ด้านข้างร้อนใจแทบแย่ อยากจะออกมาไกล่เกลี่ย แต่ติดที่อีกฝ่ายเป็นท่านแม่ทัพใหญ่ สุดท้ายจึงได้แต่หลอกตนเองว่าตนเป็นเพียงฉากหลัง

“หากไม่เพราะเห็นแก่ใบหน้างดงามและเรือนร่างบริสุทธิ์ของท่าน…” นางลูบจมูกบ่น

ก้นบึ้งนัยน์ตาสีดำของเขามีพายุอันตรายก่อตัวขึ้น

“เอ่อ…” ในที่สุดฮวาชุนซินที่ยังไม่เหลวไหลโง่งมเสียทีเดียวก็รู้สึกว่าบุรุษตรงหน้าที่สูงใหญ่หนักแน่นดุจภูผา เย็นชาดุจกระบี่ผู้นี้ไม่พอใจแล้วจริงๆ นางรีบคลี่ยิ้มประจบประแจงอย่างถูกเวลา

สีหน้าเขาไม่เปลี่ยนไป เย็นชาจนแทบทำให้คนหนาวตายได้

“คำพูดเด็กอย่าได้ถือสา สมควรถูกตีสมควรถูกตี” นางทำทีตบปากตนเองสองครั้ง ดวงตารูปเมล็ดซิ่งที่มีรอยคล้ำใต้ตาหรี่ลงเพราะรอยยิ้ม กระตือรือร้นพูดอย่างมีมารยาท “ความหมายของข้าคือทองพันชั่งยากจะซื้อความบังเอิญ วันนี้ในเมื่อมีโอกาสได้พบกันแล้ว ข้าจึงขอบังอาจไม่เกรงใจท่าน เรือนร่างแกร่งกำยำน่าเกรงขามอย่างท่านแม่ทัพใหญ่ ดวงหน้างดงามเพียบพร้อมปานสลักเสลา ตลอดจนท่าทีน่าเคารพเลื่อมใสสง่างามไม่มีใครเทียมเช่นนี้ กล่าวได้ว่าเป็นบุรุษที่อยู่เหนือบุรุษทั้งหลายของยุคสมัย เป็นตัวแทนที่ยิ่งกว่าตัวแทน หากไม่วาดภาพเก็บไว้ให้คนรุ่นหลังชื่นชมจะได้อย่างไรเล่า ท่านว่าใช่หรือไม่”

เพื่อศิลปะแล้วยอมเสียสละถึงเพียงนี้ ยอมเลียแข้งเลียขาผู้อื่นถึงขั้นนี้ คิดว่าง่ายนักหรือ

กลับไปต้องสั่งให้เหล่าเจียงขึ้นราคาภาพวังวสันต์อีกสองเท่า เป็นการชดเชยให้สิ่งที่นางกำลังทำอยู่

“แม่นางฮวา โปรดให้เกียรติตนเองด้วย” เขาขึงตาจ้องนางอย่างเยียบเย็น เสียงเล็ดลอดออกมาจากฟันที่ขบกันแน่น

ฮวาชุนซินขาสั่น ลอบสบถในใจอย่างอดไม่ได้

ให้ตายเถอะ ยิ่งเป็นของดียิ่งได้มายาก

ทว่าใบหน้ากลับกระตือรือร้นจริงใจกว่าเดิม ขาดเพียงไม่ได้เปล่งรัศมีแห่งความเมตตาออกมาเท่านั้น

“ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้ามีความจริงใจเต็มเปี่ยม ขอถามว่าท่านจะอนุญาตให้ข้าวาดภาพอันสง่างามห้าวหาญของท่านเพื่อเผยแพร่ไปทั่วหล้าสร้างประโยชน์แก่มวลมหาชนได้หรือไม่” ในที่สุดนางก็รวบรวมความกล้าพูดออกมา โชคดีที่ตอนอดใจไม่อยู่แอบมองประเมินกล้ามเนื้อบึกบึนและท่อนล่างของเขา…แค่กๆ นางดึงสายตาสุนัขของตนเองที่กวาดมองส่งเดชกลับมาได้ทัน และแหงนหน้ามองเขาอย่างเปี่ยมด้วยความจริงใจ “หา?”

“เว้นแต่ข้าตาย” สีหน้าเย็นชาเฉียบคมของเขาไม่เปลี่ยนไป จังหวะที่สายตาเร่าร้อนเหิมเกริมของนางกวาดมองแผงอกตน ดวงตานิ่งลึกของเขากระตุกทีหนึ่ง

ก่อนพบนาง ให้อย่างไรกวนหยางก็คิดไม่ถึงว่าโลกใบนี้จะมีสตรีคนใดกล้าหยอกเย้าเล่นหัวเขาอย่างไม่รู้จักความตายเช่นนี้ ทั้งยังใช้สายตาลามกจ้องเขาเหมือนจะเปลื้องเสื้อผ้าเขาออกให้ได้ทุกทีที่เจอกัน

หากไม่เพราะปกติเขาไม่เคยทุบตีสตรี บุคคลตรงหน้าคงถูกเขาแยกชิ้นส่วนจนเอ็นขาดกระดูกหักไปนานแล้ว!

“อย่าเพิ่งด่วนปฏิเสธข้าเร็วถึงเพียงนี้สิ ดีร้ายอย่างไรก็แสร้งทำเป็นพิจารณาสักครู่หนึ่งก่อน” รอยยิ้มประจบสอพลอของนางชะงักไป ปากบ่นว่า “ถึงอย่างไรผู้อื่นก็เป็นสตรี มากน้อยอย่างไรก็ต้องรักษาหน้าเอาไว้บ้าง”

“เจ้าเหมือนสตรีด้วยหรือ” สายตาคมกริบของกวนหยางกวาดมองนางขึ้นลง น้ำเสียงเสียดสีจางๆ สะท้อนออกมาชัดเจน

“ข้าไม่เหมือนสตรีตรงไหน ทั่วร่างข้าส่วนที่ควรมีล้วนมีครบ ไม่เชื่อท่านก็ลองจับดูสิ” นางยืดอกอวบอิ่มกลมกลึงอย่างไม่ยอมแพ้ พยายามอวดความงามภายในใต้เสื้อคลุมตัวใหญ่ของตนที่ไม่พ่ายแพ้ต่อผู้ใดอย่างเต็มที่

ดวงตาเขานิ่งลึกกว่าเดิม คล้ายมีเปลวเพลิงขุมหนึ่งเต้นระริก แต่เพียงครู่เดียวก็หายวับไป เหมือนแค่คิดไปเองเท่านั้น

“แม่นางฮวา อย่าบีบให้ข้าต้องลงมือทำร้ายเจ้าจริงๆ” เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

หลายครั้งที่เขานึกเสียใจภายหลังกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครึ่งปีก่อน ตอนเดินผ่านริมแม่น้ำและเห็นนางกำลังจะจมน้ำตาย เหตุใดตอนนั้นถึงไม่สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหาไม้ไผ่ท่อนหนึ่งจิ้ม…เอ่อ ลากนางขึ้นมานะ เหตุใดถึงผลีผลามลงไปช่วยนางด้วยตนเอง!

“ข้าทำอะไร ข้าก็แค่พูดคำพูดในใจของตนเองออกมาอย่างจริงใจ เปิดเผยกว่าพวกสตรีที่กระบิดกระบวนเสแสร้งพวกนั้นตั้งเยอะ” นางพูดหน้าตาเฉย “ข้าไม่ได้พูดอะไรผิด เรือนร่างสง่างามอย่างท่าน คนทั่วไปยังอิจฉาริษยา อยากลอบสัมผัสดูสักครั้ง นักปราชญ์ว่าไว้ ‘มนุษย์เราหนีไม่พ้นเรื่องกินและเรื่องเพศ’ ข้าเชื่อคำสอนของปราชญ์ผิดตรงไหนเล่า”

กวนหยางรู้สึกเพียงหน้าผากตนเองเต้นตุบๆ ปวดหัวแทบระเบิด เขาอาจโมโหตายเพราะสตรีผู้นี้ได้จริงๆ…

เหตุใดทั้งที่เป็นเหตุผลบ้าๆ พอออกมาจากปากนางกลับฟังดูเปิดเผยและมีน้ำหนักอย่างบอกไม่ถูก ทำเอาเขาอยากบันดาลโทสะก็หาเหตุผลมากล่าวอ้างไม่ได้

“ไร้เหตุผลสิ้นดี!” เขาแค่นเสียงหนักๆ และหมุนตัวก้าวยาวๆ จากไป

ฮวาชุนซินรีบตามออกไป แต่หน้าประตูไหนเลยจะมีเงาคนอยู่อีกเล่า

“เฮ้อ…น่าเสียดายนัก” นางเสียดายเหลือเกิน บ่นพึมพำกับตนเอง “เมื่อครู่ไยข้าต้องถามให้มากความด้วย หากขอยืมเครื่องเขียนจากป้าเหนียนและแอบวาดภาพเขาไว้เสียเลยจะดีสักเพียงใด”

ตอนนี้ได้แต่อาศัยภาพความทรงจำที่ประทับลงในสมองและยังสดใหม่อยู่จรดพู่กันเสียแล้ว เฮ้อ…

ราตรีนี้เงียบสงัด

เงาร่างสายหนึ่งก้มตัวอยู่เหนือโต๊ะตวัดพู่กันฉวัดเฉวียน บนจานกระเบื้องใบเล็กบรรจุสีสันต่างๆ ละลานตา ทั้งสีเหลืองยางไม้ สีน้ำเงินคราม สีดินเผา สีแดงชาด และสีเขียวเข้ม ภายใต้แสงสว่างจากเชิงเทียนสองอัน ทิวทัศน์ชนบทงดงามประณีต บนผืนหญ้าสีเขียวนุ่ม มีหนุ่มสาวที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยออกครึ่งหนึ่งกำลังเคลียคลอแนบชิดยากจะแยกแยะ

หนุ่มล่ำกำยำเรือนร่างผึ่งผายด้านบนส่งเจ้าสิ่งมหึมาท่อนล่างเข้าไปยังเส้นทางคับแคบของร่างบาง กล้ามเนื้อตึงแน่นเนียนลื่นแกร่งกำยำ หยาดเหงื่อร้อนระอุเกาะพราว ใบหน้าที่เดิมทีแข็งกร้าวเย็นชา บัดนี้กัดฟันจนดูดุดันเล็กน้อยเพราะความหฤหรรษ์ เขาแหงนเงยลำคอไปด้านหลัง เสียงคำรามแหบต่ำเหมือนสัตว์ร้ายกำลังจะเปล่งออกมาจากลำคอ…

ฮวาชุนซินมองกวนหยางในภาพวาดแล้วกลืนน้ำลาย รู้สึกเพียงลำคอร้อนผ่าวขึ้นทุกที หัวสมองเกิดเสียงดังผ่าง นางโยนพู่กันทิ้งอย่างลนลาน คว้ากระดาษคลื่นหิมะ* สะอาดแผ่นหนึ่งมาคลุมศีรษะไว้ ลมหายใจถี่กระชั้น หัวใจเต้นระรัว…

ไม่ได้ๆ จะจ้องเขานานเกินไปไม่ได้ นางจะเป็นบ้าเอา!

นางสูดหายใจลึกหลายครั้ง ในที่สุดหัวใจก็สงบลงบ้าง หยิบกระดาษคลื่นหิมะออกด้วยใบหน้าแดงเรื่อ น้ำลายเกือบหกออกมาอีกรอบ

ทว่าพอสายตาเลื่อนไปยังสาวงามกึ่งเปลือยใต้ร่างเขาที่ทำท่าจะเป็นจะตายแล้ว ใบหน้าเปื้อนยิ้มโง่งมของฮวาชุนซินก็งอง้ำ รู้สึกเพียงโพรงอกเหมือนถูกยัดด้วยปุยฝ้ายก้อนหนึ่งจนทั้งอึดอัดและริษยาไปหมด ไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง

ภาพวังวสันต์ภาพนี้วาดได้งดงามเย้ายวนมาก รับรองว่าใครได้เห็นโลหิตเป็นต้องพลุ่งพล่าน อารมณ์ถูกปลุกปั่นขึ้นมาได้แน่นอน แต่นางหัวคนสมองหมูหรือไร วาดกวนหยางกับสตรีที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับเขาสักนิดกระทำเรื่องดิบเถื่อนเต็มไปด้วยอารมณ์เช่นนี้ ย่อมไม่ต่างจากการที่นางผลักเขาขึ้นเตียงหญิงอื่นด้วยมือของตนเอง นี่ไม่เท่ากับการหาเรื่องทำให้ตนเองอารมณ์เสียหรือ

นางโมโหเหลือเกิน แต่ก็หักใจฉีกภาพนี้ทิ้งไม่ลง ลังเลอยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็ตัดกระดาษขาวชิ้นเล็กออกมาชิ้นหนึ่ง ใช้แป้งเปียกแปะกระดาษลงบนใบหน้าของสาวงามกึ่งเปลือยผู้นั้น เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

“แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง” นางกระหยิ่มยิ้มย่องพูดกับตนเอง “ข้าเลื่อมใสในไหวพริบและความเฉลียวฉลาดปราดเปรื่องของตนเองจริงๆ หึๆ”

ฮวาชุนซินหัวเราะอยู่พักหนึ่งก็รู้สึกเบื่อไปเอง ใบหน้าฉายความจนใจ เท้าคางจ้องมองภาพวาดของกวนหยางอย่างเหม่อลอย

ตอนนี้มาแอบวาดภาพแล้วดีใจอยู่คนเดียวจะมีความหมายอะไร

หากเป็นเมื่อก่อน แค่นางพูดคำเดียว…

ดวงหน้าขาวเนียนของฮวาชุนซินหม่นหมอง ดวงตาสีนิลที่มักมีความง่วงงุนเจืออยู่สามส่วนแฝงแววเศร้า

“ตอนนี้ได้เพียงมองอยู่ไกลๆ มิอาจเข้าไปหยอกเย้าได้อีกแล้ว” นางแหงนหน้าขึ้น ถอนหายใจเฮือกหนึ่งกับท้องฟ้ายามราตรี

จำข้าไม่ได้แล้วจริงๆ…

บทที่ 2

 จวนแม่ทัพปกปักทักษิณ

กวนหยางกำลังจ้องรองเท้าหุ้มแข้งลายเมฆาคู่หนึ่งบนโต๊ะกลมไม้หวงหลี ฝ่ามือเรียวยาวกำหมัดแน่น เอ่ยเสียงเข้ม “ตันจื่อ!”

ตันจื่อที่แฝงตัวอยู่ในที่ลับใกล้ๆ ได้ยินก็เกือบจะร่วงตกลงมาจากขื่อห้อง โชคดีที่พลิกตัวทันจึงลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย จังหวะที่ถึงพื้นเขาคุกเข่าข้างเดียว รีบเป็นฝ่ายยอมรับผิด

“นายท่าน ผู้น้อยสมควรตาย” ใบหน้าไร้พิษภัยเหมือนคนดีของตันจื่อยามนี้ยับย่น “ผู้น้อยสั่งให้เสี่ยวจย่านำของกลับไปคืนแล้วจริงๆ แต่รถเพิ่งออกจากประตูเมืองดินแดนทางใต้ พิราบสื่อสารจากฮูหยินกวนกั๋วกงก็ส่งจดหมายมาบอกว่า…อ่ะแฮ่ม ของจากคุณหนูจะถูกส่งมาก่อน คน…ค่อยตามมาทีหลัง”

“เหลวไหล!” ใบหน้าเขาถมึงทึง ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะ

โต๊ะกลมไม้หวงหลีที่แข็งแกร่งกว่าไม้ชนิดอื่นๆ หักเป็นสองท่อนทันทีและล้มลงบนพื้น ตันจื่อตกใจจนแทบจะรีบกลั้นหายใจแกล้งตาย ลุงฉีหัวหน้าพ่อบ้านเดินมาถึงประตูจะรายงานธุระพอดี เห็นดังนั้นก็อกสั่นขวัญแขวนชะงักอยู่ที่เดิม ลังเลไม่กล้าย่างเท้าเข้าไป

“มีอะไร” สายตาทะมึนของกวนหยางตวัดไปนอกประตู

“คุณหนู…มาถึงแล้วขอรับ” ลุงฉีรู้สึกหนาวต้นคอ

“ส่งกลับไป!”

“หา?” ลุงฉีกับตันจื่อปากอ้าตาค้างอย่างพร้อมเพรียงกัน

คิ้วหนาของกวนหยางเลิกขึ้น ดวงตาฉายไอสังหาร ลุงฉีกับตันจื่อพลันสะดุ้งโหยงเหมือนกระต่ายที่ถูกเผาหาง แยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่โดยไม่พูดมากอีก…

คนหนึ่งเอารองเท้าหุ้มแข้งลายเมฆาออกไปโดยเร็ว ส่วนอีกคนรีบไปส่งคุณหนูกลับเมืองหลวง

เพียงแต่ข้าวของไร้ชีวิต คนมีชีวิต ดังนั้นตันจื่อที่รับของไปจึงโชคดีเป็นพิเศษ ทว่าลุงฉีผู้อาภัพหลังจากใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งก็ยังเชิญคุณหนูกลับไปไม่ได้ จึงได้แต่กลับมาขอคำชี้แนะจากผู้เป็นนายอย่างอกสั่นขวัญผวา

“นายท่าน คุณหนูบอกว่านางรับคำสั่งจากฮูหยินกวนกั๋วกงให้มาดูแลชีวิตประจำวันของท่าน ภาระที่แบกรับยิ่งใหญ่นัก ดังนั้นนางจึงไม่อาจกลับไปโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไร” ลุงฉีรายงานอย่างระมัดระวัง “ทำเช่นนี้ฮูหยินกวนกั๋วกงจะผิดหวังเอาได้ เป็นการอกตัญญู ด้วยเหตุนี้จึงขออภัยด้วยที่นางไม่อาจกลับเมืองหลวงทันทีตามคำสั่งของนายท่านได้ขอรับ”

ในบรรดาคุณหนูทั้งหลายที่บ้านเดิมของฮูหยินกวนกั๋วกงและมีอายุเหมาะสมเข้าเกณฑ์นั้นมีทั้งที่น่ารักไร้เดียงสา อ่อนหวาน และอ่อนโยนงดงาม กล่าวได้ว่าประหนึ่งบุปผาที่บานสะพรั่ง มีทุกประเภทให้เลือกสรร ทว่าคนที่ฮูหยินกวนกั๋วกงฝากความหวังไว้มากที่สุด และเป็นคนที่ ‘รับมือ’ ได้ยากที่สุดในตอนนี้ก็คือคุณหนูเป่าผู้มีปณิธานแน่วแน่ บากบั่นไม่ย่อท้อนางนี้

คุณหนูเป่าแซ่เซวียนามว่าเป่าหวน อายุสิบห้า ใบหน้าประหนึ่งดวงจันทร์ สูงสง่างดงาม เป็นทายาทลำดับที่แปดในบรรดาทายาทสตรีของบ้านเดิมฮูหยินกวนกั๋วกง ดังนั้นจึงมีคนเรียกนางว่า ‘คุณหนูแปด’

หากว่ากันตามความเห็นส่วนตัวของลุงฉี คุณหนูเป่าผู้นี้ไม่ว่าจะนิสัยใจคอบุคลิกลักษณะหรืออุบายแผนการ ล้วนสามารถเป็นนายหญิงของจวนแม่ทัพปกปักทักษิณได้ น่าเสียดายที่นายท่านไม่ชอบ พูดไปก็เปล่าประโยชน์

“อ้อ?” กวนหยางกระดกมุมปากนิดๆ สายตาเยียบเย็น “ดังนั้นหากข้ายืนกรานส่งนางกลับไปย่อมเป็นการขัดคำสั่งของมารดา เป็นลูกอกตัญญูอย่างนั้นสิ”

ลุงฉีชะงักและพลันเข้าใจ นั่นสิ คำพูดนี้ของคุณหนูเป่า…มิใช่การขุดหลุมให้นายท่านกระโดดลงไปหรือ

นายหญิงของจวนแม่ทัพปกปักทักษิณต้องมีความคิด แต่ไม่ควรมีอุบาย โดยเฉพาะไม่ควรใช้ความฉลาดของตนเองเล่นงานฝ่ายเดียวกัน

“บ่าวเข้าใจแล้วขอรับ” ลุงฉีมีสีหน้าเคร่งขรึม คารวะอย่างนอบน้อมและเอ่ยว่า “นายท่านวางใจเถิดขอรับ เรื่องนี้บ่าวทราบว่าควรจัดการอย่างไร”

“อืม” เขาพยักหน้านิดๆ เอามือไพล่หลังเดินเข้าไปในห้องด้านในหมายจะเปลี่ยนชุดคลุมสำหรับใส่ออกไปข้างนอก แต่เดินไปได้สองก้าว รองเท้าหุ้มแข้งหนังหมาป่าพลันชะงัก “ลุงฉี?”

“ขอรับนายท่าน” ลุงฉีรีบหันกลับมา ประสานมือน้อมฟังคำสั่ง

“ทำตามความประสงค์ของมารดาข้าไปก่อนชั่วคราว” เขาพูดเสียงเรียบ จับอารมณ์ใดๆ ในน้ำเสียงไม่ได้แม้แต่น้อย “บอกนางว่าอนุญาตให้อยู่แค่เดือนเดียวเท่านั้น หนึ่งเดือนให้หลังรองแม่ทัพเหลียงจะกลับกรมทหารไปทวงเบี้ยเลี้ยงทหาร ถึงเวลานั้นให้นางกลับเมืองหลวงไปพร้อมกันด้วย”

“ขอรับ” ลุงฉีรู้สึกโล่งอกเหมือนได้รับอภัยโทษ รีบกล่าวรับคำออกไป

สั่งเสร็จกวนหยางถึงได้เข้าไปในห้องด้านใน ถอดเสื้อผ้าเปลี่ยนมาสวมชุดคลุมสีครามผ้าเจียงหลิง ขณะยื่นมือไปหยิบสายรัดเอว สายตาก็เหลือบเห็นภาพวังวสันต์สีสันฉูดฉาดที่วางอยู่บนเตียงโดยบังเอิญ หัวสมองระเบิดออกทันใด กัดฟันคำราม “ตันจื่อ!”

นอกจากเจ้าสารเลวที่สมองมีรูผู้นั้นแล้ว ยังจะมีใครกล้าวางภาพวังวสันต์ไว้บนเตียงเขาด้วย ‘ความหวังดี’ อีก?!

วันนี้ฝนกระหน่ำตกลงมาอย่างรุนแรง บนถนนใหญ่ที่คึกคักรุ่งเรืองผู้คนที่สัญจรไปมาและพ่อค้าแม่ขายต่างวิ่งหลบฝนกันอลหม่าน

ฮวาชุนซินที่ซื้ออุปกรณ์วาดภาพมาห่อใหญ่ลากอาหยวนที่ตอบสนองช้าวิ่งไปหลบหน้าร้านค้าที่ใกล้ที่สุด

‘หอเครื่องเงินปาเป่า’ เป็นร้านค้าที่ใหญ่และโด่งดังที่สุดของทางใต้ เพียงครู่เดียวอาหยวนก็ตาลายเพราะเพชรนิลจินดาที่เรียงรายอยู่เต็มร้าน

“คะ…คุณหนู…”

“หือ?” ฮวาชุนซินสะบัดชายกระโปรงที่ถูกหยาดฝนกระเซ็นใส่

“สะ…สวยเหลือเกินเจ้าค่ะ…”

“แน่นอน” นางยิ้ม พูดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง

แม้คร้านที่จะแต่งตัว แต่มนุษย์เราย่อมต้านทานความงามจากธรรมชาติไม่อยู่ นางฮวาชุนซินถึงอย่างไรชาติกำเนิดก็สูงส่งเช่นนั้น ริมฝีปากย่อมแดงโดยมิต้องแต่งแต้ม คิ้วเข้มงดงามโดยมิต้องวาดเขียน ยามยืนประหนึ่งดอกเสาเย่า* ที่ชูช่อ ยามนั่งประหนึ่งดอกโบตั๋น…

“คุณหนู เพชรพลอยพวกนั้นสวยเหลือเกินเจ้าค่ะ” อาหยวนคว้าแขนนางอย่างตื่นเต้น

ข้าจะพ่นน้ำฝนใส่เจ้าให้ตายไปเลย!

ฮวาชุนซินถลึงตาใส่สาวใช้ผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างขุ่นเคือง รู้สึกคันไม้คันมือเหลือเกิน แต่นึกขึ้นได้ว่าหากทำให้นางตกใจจนร้องไห้วิ่งหนีไป วันหน้างานจำพวกซักเสื้อผ้า กวาดพื้น ปูเตียง พับผ้าห่ม รินน้ำชา ทำกับข้าวย่อมไม่มีคนทำ

คิดได้เช่นนี้ฮวาชุนซินจึงได้แต่กล้ำกลืนโทสะ ผ่อนคลายสีหน้าและแค่นเสียงตอบ “แต่ไรมาหอเครื่องเงินปาเป่าโด่งดังเพราะเป็นแหล่งรวมเพชรพลอยจากทั่วหล้าอยู่แล้ว สินค้าที่นี่ย่อมต้องงดงาม”

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” อาหยวนกวาดตามองการประดับตกแต่งหรูหราและลูกค้าสตรีที่แต่งตัวงดงามรอบด้านด้วยสายตาอิจฉา อดเอ่ยถามเสียงค่อยไม่ได้ “คุณหนู ไม่รู้ว่าการสั่งทำปิ่นเงินที่นี่สักอันต้องใช้เงินเท่าไร พี่จูฮวาที่หมู่บ้านของพวกเราจะออกเรือนแล้ว ท่านแม่ข้าบอกว่าหอเครื่องเงินในเมืองมีแบบให้เลือกมากมาย บอกข้าว่าถ้ามีโอกาสให้ช่วยนางสืบราคาดูหน่อย…เงินห้าพันอีแปะจะซื้อเครื่องประดับศีรษะสักชุดได้หรือไม่”

ฮวาชุนซินยังไม่ทันตอบ เสียงหัวเราะเยาะหยันอย่างไม่ปิดบังก็ดังขึ้นข้างหลังพวกนาง

“พรืด! เงินห้าพันอีแปะจะสั่งทำเครื่องประดับศีรษะหนึ่งชุด นี่เป็นพวกบ้านนอกจากที่ใดกัน”

อาหยวนอับอายจนใบหน้าแดงก่ำและหลบไปอยู่ข้างหลังคุณหนูของตน แย่แล้ว นางทำให้คุณหนูขายหน้าจริงๆ ด้วย

ขอบตาดำคล้ำที่เกิดจากการอดนอนเพราะเร่งวาดภาพของฮวาชุนซินยังหลงเหลือสีเขียวคล้ำจางๆ ไม่เลือนไป ทว่าส่วนลึกของนัยน์ตากลับเปี่ยมด้วยประกาย นางจ้องสาวใช้ปากมากที่ยืนเลือกหยกประดับกับคุณหนูของตนอยู่จนอีกฝ่ายสะดุ้ง ขาสั่นโดยไม่รู้ตัว

“จะบ้านนอกหรือไม่ คนข้างทางก็ไม่มีสิทธิ์พูด” นางเลิกคิ้ว สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ไม่รู้ว่าเจ้าเป็นสาวใช้คนดีที่คุณหนูบ้านใดอบรมมา ถึงได้มาแส่เรื่องชาวบ้านเช่นนี้”

“เจ้า!” สาวใช้ผู้นั้นโมโห

“แม่นาง สาวใช้ของข้าเสียมารยาทไป หวังว่าท่านที่เป็นผู้ใหญ่จะใจกว้าง อย่าถือสาหาความนางเลย” เด็กสาวท่าทางสูงส่งเรียบร้อยข้างกายสาวใช้เอ่ยเนิบช้า ก้าวขึ้นมาย่อกายอย่างสง่างาม

ฮวาชุนซินจับจ้องเด็กสาวตรงหน้าอย่างครุ่นคิด เห็นสาวงามผู้นี้สวมเสื้อแพรจันทรา กระโปรงสีทับทิมทอลายเค่อซือ* ลำคอขาวเนียนสวมกำไลคอมีระย้า เรือนผมยาวครึ่งหนึ่งถูกเกล้าเป็นมวยกลุ่มบุปผา ครึ่งหนึ่งปล่อยสยายไว้ข้างหลัง บนมวยเสียบดอกบัวที่ร้อยจากไข่มุกสองดอกทอประกายแวววาว ติ่งหูขาวปานหิมะประดับต่างหูเพชรอันเล็กทว่าทอแสงเจิดจรัส ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายสูงส่งสง่างามของสตรีจากตระกูลสูงศักดิ์

“ไม่เป็นไรๆ” ดวงตานางทอประกายเล็กน้อยพลางเผยรอยยิ้มออกมา “คุณหนูท่านนี้พูดถึงขั้นนี้แล้ว หากข้ายังจะถือสาหาความกับสาวใช้คนหนึ่ง เช่นนั้นย่อมดูเหมือนคนได้ทีแล้วกัดไม่ปล่อย เอาอย่างนี้แล้วกัน ตามความคิดข้าเรื่องนี้เล็กนิดเดียว แค่การขัดแย้งทางวาจาเท่านั้น ในเมื่อสาวใช้ของท่านหัวเราะเยาะสาวใช้ของข้า เช่นนั้นก็ให้สาวใช้ของท่านขอขมาสาวใช้ของข้า เช่นนี้ย่อมเสมอภาคกัน เป็นอย่างไร”

ขออภัยด้วย นางเป็นคนใจคอคับแคบเข้าข้างคนของตนเองมาแต่ไหนแต่ไร อาหยวนของนางมีแต่นางเท่านั้นที่ว่าได้ ผู้อื่นใหญ่มาจากที่ใดกัน!

สีหน้าสง่างามอ่อนโยนของเด็กสาวเปลี่ยนไปเล็กน้อย คล้ายคิดไม่ถึงว่าตนลดตัวลงพูดไกล่เกลี่ยด้วยตนเองแล้ว แม่นางท่านนี้กลับไม่ยอมเลิกรา ไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว

สาวใช้ด้านข้างที่เป็นคนก่อเรื่องเห็นดังนั้นก็เดือดดาล พูดอย่างไม่ยอมแพ้ “นี่! ผู้อื่นให้หน้าแล้วเจ้าอย่าได้เอาใหญ่ คุณหนูข้าชี้แจงเหตุผลกับพวกเจ้าดีๆ แล้ว เจ้ายังจะยโสโอหังอีกหรือ คุณหนูข้าเป็นถึงญาติผู้น้องของจวนแม่ทัพปกปักทักษิณที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุด พวกเจ้ากล้าสั่งให้พวกเราขอขมาอย่างนั้นหรือ”

“ญาติผู้น้องที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุด…ของจวนแม่ทัพปกปักทักษิณ?” สายตาของฮวาชุนซินหม่นหมองไปครู่หนึ่ง ทว่ามุมปากกลับยกสูง

ช่างบังเอิญยิ่งนัก!

“ซินเยวี่ย!” เด็กสาวมีสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยตำหนิเสียงค่อย “อย่าเสียมารยาท”

“นั่นสิ ‘อย่าเสียมารยาท’ คำพูดคุณหนูเจ้าต้องเชื่อฟังนะ หาไม่วันใดหากล่วงเกินบุคคลสูงส่งเข้าจริงๆ ใช่ว่าขอขมาคำเดียวก็จะแก้ปัญหาได้” ฮวาชุนซินฉีกยิ้มเสียดสีพลางซ้ำเติมผู้อื่นอย่างสนุกสนาน

“เจ้า…” สาวใช้ซินเยวี่ยโกรธจนหน้าแดง

ยามนี้รอยยิ้มสุภาพของเด็กสาวเริ่มปริร้าว แต่นางกลับรักษารอยยิ้มไว้ได้อย่างเหมาะเจาะพอดี ก่อนจะยิ้มอ่อนโยนกว่าเดิม “ใช่ ขอบคุณแม่นางท่านนี้ที่ตักเตือน ซินเยวี่ย เจ้าจดจำไว้ให้ดี วันหน้าต้องระวังคำพูดและการกระทำให้มาก หากถูกผู้อื่นตำหนิอีก ถึงเวลานั้นข้าก็จะไม่ละเว้นเจ้าเช่นกัน”

“พูดได้ดีจริงๆ” สายตานางเย็นชาเล็กน้อย มุมปากกลับแต้มยิ้มเข้มข้น “หาไม่แล้วคุณหนูเจ้าปกป้องเจ้าได้ครั้งหนึ่ง แต่คงมิอาจปกป้องเจ้าได้ตลอดไปแน่!”

อาหยวนฟังพวกนางโต้ตอบกันไปมาแล้วใบหน้าฉายแววงุนงง รู้สึกว่าคุณหนูที่งดงามราวบุปผาจันทราผู้นั้นทั้งสุภาพและอ่อนน้อม คุณหนูของตนก็แย้มยิ้มตลอดการสนทนา แต่ไม่รู้เหตุใด รอบด้านเหมือนจะได้กลิ่นดินปืนโชยมา

“แม่นางท่านนี้” รอยยิ้มของเด็กสาวหายไป โทสะเริ่มปรากฏให้เห็น แต่น้ำเสียงกลับยังสุภาพนุ่มนวล “เจ้าท้าทายข้าด้วยวาจาครั้งแล้วครั้งเล่า จงใจจะสร้างความลำบากใจให้ข้าอย่างนั้นหรือ”

“มิกล้าๆ” ฮวาชุนซินพูดอย่างผ่อนคลายสบายใจ “แค่เห็นแก่หน้าของแม่ทัพปกปักทักษิณญาติผู้พี่ที่สูงศักดิ์ของท่าน ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเราก็ไม่กล้าหาเรื่องท่านแล้ว”

“ฮึ เจ้ารู้ตัวก็ดี!” ซินเยวี่ยอดพูดแทรกอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องไม่ได้

“ซินเยวี่ย!” เด็กสาวใบหน้าขรึมลง “ขืนเจ้ากล้าปากมากอีก ข้าจะส่งกลับจวนไปรับกฎบ้าน!”

ซินเยวี่ยสะดุ้งแล้วตอบอย่างลนลาน “บ่าวไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ”

“อาหยวนเจ้าเห็นหรือไม่ นี่ล่ะลักษณะของคุณหนู ผู้อื่นเอ่ยคำว่ากฎบ้านคำเดียวก็น่าเกรงขามถึงเพียงนี้ กระทั่งข้าที่ยืนอยู่ข้างๆ ฟังแล้วยังอกสั่นขวัญผวา น่ากลัวเหลือเกิน!” ฮวาชุนซินแสร้งปั้นท่าทางหันกลับไป ‘สั่งสอน’ สาวใช้ที่โง่งมของตน “ตอนนี้รู้หรือยังว่าปกติข้าดีต่อเจ้าเพียงใด”

“ขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ” อาหยวนซาบซึ้งใจจนน้ำตาจะไหล

คนหนึ่งร้ายคนหนึ่งโง่ นายบ่าวสองคนโต้ตอบกันไปมา ทำเอาเด็กสาวเห็นแล้วโกรธแทบจะเป็นลม

“มิทราบว่าแม่นางท่านนี้มีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร” ต่อให้เด็กสาวได้รับการอบรมบ่มเพาะขัดเกลานิสัยมาเป็นอย่างดี ถึงอย่างไรอายุก็ยังน้อย ความอดทนด้อยกว่าอีกฝ่าย น้ำเสียงจึงแฝงความตึงเครียดและไม่พอใจ

“ข้าแซ่ฮวา” นางตอบด้วยท่าทางเกียจคร้านคล้ายไม่ใส่ใจนัก แต่ทำอย่างไรก็มิอาจปกปิดแววยินดีที่ระยับวับวาวในดวงตาคู่นั้นได้ “บังเอิญสนิทสนมกับ…ญาติผู้พี่ที่บ้านของคุณหนูมาก หึๆ”

“เจ้า…เจ้ารู้จักญาติผู้พี่ของข้าด้วยหรือ” สีหน้าของเด็กสาวตื่นตกใจเล็กน้อย

“นิดหน่อยน่ะ แค่บังเอิญรู้จักกันผิวเผินเท่านั้น จะเทียบกับการเป็นญาติผู้พี่ญาติผู้น้องกันได้อย่างไร” สายตานางปรายมองเด็กสาวกับข้าวของที่อยู่บนโต๊ะคิดเงิน อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ “จะว่าไป หยกประดับสีเขียวเข้มรูปกิเลนที่มีอายุเก่าแก่นั้น ในมือแม่ทัพกวนมีอยู่ไม่แปดชิ้นก็สิบชิ้นแล้ว ขออภัยที่พี่สาวปากมาก แต่หากจะมอบของให้จริงๆ น้องสาวเจ้าเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเถอะ”

กล่าวจบฮวาชุนซินก็แย้มยิ้มพลางตบหลังมืออาหยวน “อาหยวน ฝนหยุดแล้ว เรื่องสนุกก็ดูจบแล้ว เรากลับกันเถอะ” นางเดินบิดเอวบาง ยักย้ายส่ายสะโพกจากไปอย่างมีจริต

รังแกคุณหนูผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสา ช่างสาแก่ใจและสนุกจริงๆ วะฮะฮ่า!

เด็กสาวมองส่งแผ่นหลังที่ ‘โอหังอย่างยิ่ง’ จากไป ฟันขบริมฝีปากล่าง ใบหน้าประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวซีดขาว หยกประดับสีเขียวเข้มรูปกิเลนอายุเก่าแก่ที่รู้สึกถูกใจเมื่อครู่นี้กลับทิ่มแทงสายตาเหมือนเปลวเพลิง

นางเป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงทำท่าสนิทสนมกับพี่ชายเช่นนั้น แล้วรู้ได้อย่างไรว่าพี่ชายมีหยกรูปกิเลนหลายชิ้นแล้ว!

“คุณหนูเป่า ท่านอย่าฟังนางพูดนะเจ้าคะ สตรีที่ไม่ได้รับการอบรมขัดเกลาเช่นนี้ คุณชายจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับนางได้อย่างไร” ซินเยวี่ยรีบปลอบโยน “นางจะต้องกุเรื่องขึ้นมาแน่ จงใจทำให้คุณหนูไม่พอใจ”

“หุบปาก!” เซวียเป่าหวนหันขวับทันที ใบหน้ามิอาจปกปิดความขุ่นเคืองได้อีกต่อไป “เจ้าคิดว่าวันนี้ตนเองยังก่อเรื่องไม่พอหรือไร”

“บ่าวสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ บ่าวสมควรตาย…” ซินเยวี่ยหน้าซีดเผือด

หากมิใช่เพราะนางกับสตรีนิสัยประหลาดไม่ยอมใครผู้นั้น เมื่อครู่ผู้คนในหอเครื่องเงินปาเป่าจะได้เห็นเรื่องตลกครั้งใหญ่อย่างนี้หรือ วันหน้ายังไม่รู้ดินแดนทางใต้จะมีข่าวลืออะไรถูกปรุงแต่งออกไปบ้าง หากแพร่ไปถึงหูของพี่ชาย ทำให้เขาเข้าใจผิดจะทำอย่างไร

เซวียเป่าหวนน้ำตาคลอ แต่ในที่สุดการอบรมสั่งสอนตามแบบฉบับกุลสตรีตลอดหลายปีมานี้ก็ทำให้นางสะกดความโมโหขุ่นเคืองในอกลงไปได้ นางสูดหายใจลึกและเอ่ยเสียงเรียบ “ช่างเถอะ วันหน้าระวังปากตนเองหน่อย หากครั้งหน้าเจ้ายังบุ่มบ่ามก่อเรื่องอีก ทำให้สกุลเซวียของข้าเสียหน้า ข้าจะส่งเจ้ากลับบ้านที่หลินอัน ให้หมัวมัว* พวกนั้นลงโทษเจ้า”

“เจ้าค่ะๆ วันหน้าบ่าวไม่กล้าอีกแล้ว” ซินเยวี่ยปากสั่น รีบรับคำอย่างร้อนใจ

“ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย เจ้ายังจะกระโตกกระตากให้คนรู้อีกกี่คน” เซวียเป่าหวนรู้สึกได้ว่าผู้คนรอบด้านมองมาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น สีหน้าประดักประเดิด จึงตำหนิเสียงค่อย “เอาล่ะ ในเมื่อวันนี้ไม่พบหยกประดับดีๆ เช่นนั้นพวกเราก็กลับจวนกันเถอะ”

“เจ้าค่ะคุณหนู” ซินเยวี่ยรีบหุบปาก

รอจนพวกนางสองคนจากไปช้าๆ แล้ว หลังราวระเบียงห้องพิเศษบนชั้นสองของหอเครื่องเงินปาเป่า บุรุษสูงใหญ่คนหนึ่งกับบัณฑิตท่าทางสุภาพคนหนึ่งค่อยดึงสายตากลับมา ต่างฝ่ายต่างจิบน้ำชาคำหนึ่งเงียบๆ

บรรยากาศเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดบัณฑิตผู้นั้นก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้

“สองสตรีแย่งชิงหนึ่งบุรุษ พี่กวนช่างมีดวงด้านสตรีโดยแท้”

“เจ้าอยากตายรึ” กวนหยางตวัดตามองเขาอย่างเยียบเย็น

“แค่กๆ” บัณฑิตใจสั่นสะท้าน รีบก้มหน้าดื่มชาของตนเองต่อ

ต่อให้มีความอยากรู้อยากเห็นมากเพียงใดก็ต้องรักษาชีวิตน้อยๆ ไว้ฟังเรื่องเหล่านั้นก่อน!

ปลายนิ้วของกวนหยางลูบขอบถ้วยชาช้าๆ ด้วยสีหน้าหนักอึ้ง ความรู้สึกในใจยากจะแยกแยะ

อาหยวนหอบห่อสัมภาระใบใหญ่ที่บรรจุสีวาดภาพอย่างระมัดระวัง วิ่งเหยาะตามฮวาชุนซินไปอย่างร้อนใจ

หลังฝนตกหนัก บนพื้นเต็มไปด้วยแอ่งน้ำ ไม่ระวังย่อมกระเซ็นโดนชุดกระโปรงและถุงเท้ารองเท้า แต่คุณหนูที่เดินนำอยู่ข้างหน้ากลับเหมือนไม่รู้สึก ต่อให้ชายกระโปรงสกปรกเพียงใดก็ไม่ใส่ใจ

คุณหนู…ดูเหมือนจะโกรธ แต่…แต่เหตุใดถึงโกรธล่ะ

“คุณหนู” อาหยวนตามไปอย่างหอบแฮกพลางเอ่ยเตือนเสียงค่อย “คุณหนู ไหนท่านบอกว่าจะไปซื้อขนมถั่วกวนม้วนไม่ใช่หรือเจ้าคะ พวกเราเดินเลยมาแล้ว”

ฮวาชุนซินชะงักเท้า แผ่นหลังแข็งทื่อ ครู่ใหญ่จึงพรูลมหายใจยาวออกมาก่อนบอกเสียงค่อย “เจ้าไปซื้อมาสองกล่องเถอะ ข้าจะรอที่นี่”

“เจ้าค่ะ” อาหยวนรับเงินไปอย่างว่าง่าย ก่อนจะรีบย้อนกลับไปซื้อ

ฮวาชุนซินยืนอยู่ที่เดิม ใช้แขนเสื้อใหญ่กว้างเช็ดหน้าลวกๆ พึมพำกับตนเอง “อะไรของเจ้า ก็แค่ญาติผู้น้องที่ตามตอแยจนน่ารำคาญมิใช่หรือ ใครบ้างที่ไม่มีญาติผู้พี่ญาติผู้น้องถึงแปดสิบคนร้อยคน เจ้าบ้ากวนหยางนั่นใจแข็งยิ่งกว่าน้ำแข็งหมื่นปี จะถูกกำราบง่ายๆ ก็แปลกแล้ว ข้าจะมานั่งกังวลอะไรเล่า”

…ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ยอมรับว่าตนเองหึง

ระหว่างที่ความคิดสับสนวุ่นวาย นางไม่รู้สึกเลยว่ารองเท้าหุ้มแข้งสีดำคู่หนึ่งกำลังก้าวเข้ามาหาตนช้าๆ

“แม่นางฮวา” น้ำเสียงทุ้มนุ่มคุ้นเคยดังขึ้นเหนือศีรษะ

นางสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นโดยพลัน มองเขาอย่างยากที่จะปิดความตกใจแกมยินดี “ท่าน…ท่าน…บังเอิญถึงเพียงนี้เชียว ท่านแม่ทัพใหญ่ก็มาเดินตลาดเหมือนกันหรือ”

“แต่ก่อนเจ้าเคยรู้จักข้าหรือ” ดวงตาลึกล้ำของกวนหยางจับจ้องนาง เอ่ยถามอย่างแฝงนัย

รอยยิ้มบนหน้าของฮวาชุนซินชะงักไปเล็กน้อย หัวใจเต้นระรัว แต่แล้วกลับฉีกยิ้มด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนไป “ท่านแม่ทัพใหญ่ล้อเล่นแล้ว ข้าย่อมต้องรู้จักท่านแน่นอน ท่านยังเคยช่วยชีวิตข้าไว้ด้วย ท่านลืมไปแล้วหรือไร”

“ไม่ใช่” นัยน์ตาคมกริบดุจเหยี่ยวของเขาเหมือนจะมองทะลุเข้าไปในกระดูกนาง “ข้าหมายถึงก่อนหน้านั้น”

รอยยิ้มนางหายไปสิ้น ฝืนข่มความลนลานในใจ แทนที่ด้วยการหยอกเย้าทีเล่นทีจริง หมายจะใช้ไม้อ่อนสู้กับไม้แข็ง “ท่านแม่ทัพใหญ่องอาจผ่าเผยเช่นนี้ ย่อมเป็นชายในฝันของแม่นางทุกคนอยู่แล้ว จะยกเว้นข้าไปได้อย่างไรเล่า เฮ้อ ในเมื่อท่านอุตส่าห์พูดขึ้นมาแล้ว เช่นนั้นเรื่องวาดภาพที่ข้าพูดกับท่านเมื่อครั้งก่อน…”

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าในมือข้ามีหยกประดับรูปกิเลนสีเขียวเข้มแปดอันสิบอัน” กวนหยางไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยนางไป เขาจ้องนางเขม็งขณะพูด

หลายครั้งที่พบหน้ากัน ท่าทางลุ่มหลงของนางมักจะทำให้เขานึกอยากเดินอ้อมห่างนางไปให้ไกล แต่ไม่รู้เหตุใดเขามักรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ…สายตาร้อนแรงเหมือนโจรราคะของนางเหมือนมีบางอย่างแฝงอยู่ คล้ายความเศร้าคล้ายความคิดถึง แต่พอเขาจะแยกแยะให้ชัดเจน นางจะปั้นยิ้มและทำท่าลามก ทำเอาเขาขนลุก หงุดหงิด และโมโหยิ่งนัก

แต่ไรมากวนหยางเคยชินกับการควบคุมผู้คนและเรื่องราวต่างๆ ไว้ในกำมือ เขาไม่ชอบให้มีอะไรอยู่นอกขอบข่ายการรับรู้ของเขา ความผิดปกติของนางกลายเป็นปมที่ติดอยู่ในใจเขา ไม่ขจัดออกไปย่อมรู้สึกไม่สบอารมณ์

เมื่อครู่ตอนอยู่หอเครื่องเงินปาเป่า ในที่สุดเขาก็จับความผิดปกติในคำพูดของนางได้

ใครให้เจ้าปากดี! ใครให้เจ้าโอ้อวด!

ฮวาชุนซินตกใจ อดไม่ได้ที่จะลอบสบถในใจ

“หืม?” ดวงตาสีดำของเขาหรี่ลงอย่างอันตราย

“ข้าเดาเอา” นางว้าวุ่นใจอยู่นาน สุดท้ายตัดสินใจปล่อยให้เรื่องนี้เลยตามเลย แบมือทั้งสองข้างออกอย่างไม่ยี่หระ “เดาเอาคงไม่ผิดกฎหมายกระมัง ข้ายังเดาว่าเรือนหลังของท่านเจ้าเมืองมีอนุที่อ่อนหวานงดงามอยู่แปดคนสิบคนด้วย”

“เจ้า…” กวนหยางโกรธจนพูดไม่ออก คิดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าเล่นลิ้นต่อหน้าเขาเช่นนี้

ทั้งที่เมื่อครู่ตอนอยู่หอเครื่องเงินปาเป่า จี้ปาเป่าแค่เห็นสายตาเขาก็ตกใจจนได้แต่กรอกน้ำชาอั้กๆ ไม่กล้าซักไซ้อะไรอีก แต่ท่าทางดุดันของเขาไฉนยามอยู่ต่อหน้านางแล้วกลับใช้ไม่ได้ผล

ตลอดยี่สิบกว่าปีมานี้ ในความทรงจำมีเพียงคนเดียวที่ยามเผชิญหน้ากับเขาแล้วยังสามารถยิ้มหน้าระรื่น ไม่รู้สึกขัดเขินหรือละอาย…

ไม่ เป็นไปไม่ได้

ความเจ็บปวดรวดร้าวผุดขึ้นในส่วนลึกของหัวใจ เขาหลับตาลง คล้ายทำเช่นนี้แล้วจะสามารถกดความเจ็บปวดเสียใจในส่วนลึกของความทรงจำกลับสู่ความดำมืดได้อีกครั้ง

นั่นเป็นบาดแผลที่จะไปแตะต้องอีกไม่ได้ แตะแล้วหัวใจเขาจะเจ็บปวดแสนสาหัส โลหิตไหลนองเป็นสายน้ำ…

“กวน…” ฮวาชุนซินเห็นสีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย สายตาเจ็บปวด ก็เอ่ยถามอย่างร้อนใจ “นี่ ท่านแม่ทัพใหญ่ ท่านเป็นอะไรไป ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”

นางรู้ว่าเขาทำศึกข้างกายท่านกงผู้เฒ่าทั่วดินแดนตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ แผลใหม่แผลเก่าบนร่างเกรงว่าคงมีนับไม่ถ้วน ฟังคนบอกว่าคนที่เส้นเอ็นและกระดูกเคยบาดเจ็บ เวลาฟ้าครึ้มหรือฝนตกจะเจ็บปวดเป็นพิเศษ ใบหน้าเขาออกจะขาวซีด คงมิใช่เพราะโรคเก่ากำเริบกระมัง

“ไม่มีอะไร” กวนหยางสูดหายใจลึกและตั้งสติ สีหน้าคืนสู่ความเย็นชาดังเดิม น้ำเสียงค่อนข้างแข็งกร้าว “แม่นางฮวา เจ้าข้ารู้ดีแก่ใจ คำพูดเมื่อครู่นี้ของเจ้าเป็นเพียงการบ่ายเบี่ยงเท่านั้น เจ้าหาได้พูดความจริง”

ฮวาชุนซินขบริมฝีปากล่าง ใบหน้าฉายความดื้อรั้น จงใจหาเรื่องเขาต่อ “เมื่อครู่ท่านแม่ทัพใหญ่อยู่ที่หอเครื่องเงินปาเป่ากระมัง ท่านจะมาระบายโทสะแทนคุณหนูของจวนท่านสินะ”

“เจ้า…” คิ้วหนาของเขาขมวดมุ่น “ข้ามีเจตนาเช่นนั้นเสียที่ไหน”

“ท่านเป็นญาติผู้พี่ของนาง ญาติผู้น้องอึดอัดคับข้องใจ ท่านย่อมต้องออกหน้าแทนอยู่แล้ว หรือจะให้ท่านมาเป็นฝ่ายปกป้องข้าแทนเล่า” ดวงตานางยกขึ้นเล็กน้อย สะกดกลั้นสุดความสามารถแล้วก็ยังเผยความหึงหวงออกมาจนได้

“เจ้าช่างไร้เหตุผล” ยามนี้เขาทั้งรู้สึกอึดอัดและหงุดหงิด

ก็แค่การต่อปากต่อคำกับหญิงสาวคนหนึ่ง เขาเป็นถึงชายชาตรีที่ในมือกุมอำนาจทหารสำคัญไว้มากมาย ไยต้องสนใจเรื่องเล็กน้อยของสตรีเช่นนี้ด้วย นางเห็นเขาเป็นอะไรกัน

“มีแต่ท่านที่มีเหตุผลสินะ ครั้งก่อนทั้งกอดทั้งลูบคลำผู้อื่น สุดท้ายก็ไม่เห็นท่านจะรับผิดชอบอะไรเลย” นางเหยียดปากแค่นเสียงว่า “ข้ามิใช่ต้องทนรับความเสียเปรียบเอาไว้เอง กล้ำกลืนความทุกข์เอาไว้เองหรอกหรือ”

“แม่นางฮวา!” ใบหน้าแข็งกร้าวของกวนหยางชะงัก กระทั่งใบหูก็ยังแดงก่ำในชั่วพริบตา เอ่ยเสียงขุ่น “เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล ใครทั้งกอดทั้งลูบ…เจ้ากัน”

“ข้าตกลงไปในน้ำ ท่านช้อนข้าขึ้นมามิใช่ทั้งกอดทั้งลูบคลำหรือ” นางย้อนถามหน้าตาเฉย

เขาโมโหจนหน้าดำคล้ำ “…ครั้งหน้าข้าควรปล่อยให้เจ้าตายโดยไม่ต้องช่วย!”

“ครั้งหน้าเป็นเรื่องของครั้งหน้า แต่ครั้งก่อนท่านทั้งกอดทั้งลูบคลำข้า ต่อให้เป็นการช่วยชีวิต ชื่อเสียงข้าก็ป่นปี้ไปหมดเพราะท่านแล้ว ท่านไม่รับผิดชอบข้าไม่โทษท่าน แต่ดีร้ายอย่างไรท่านก็ควรชดเชยทางจิตใจให้ข้าบ้างสิ” นางยิ่งพูดยิ่งคล่องปาก ปรักปรำคนได้อย่างลื่นไหลมากขึ้นทุกที

สองมือเขากำหมัดแน่น เส้นเอ็นและกระดูกบนหลังมือส่งเสียงดังกร๊อบๆ แผ่กลิ่นอายอันตรายออกมาระลอกแล้วระลอกเล่า

ฮวาชุนซินใช่ว่าไม่กลัว หัวใจดวงน้อยก็สั่นรัวอยู่เหมือนกัน แต่พลาดโอกาสนี้ไปก็ไม่มีโอกาสหน้าอีกแล้ว หากไม่ฉวยโอกาสนี้ตามตื๊อเขาให้ถึงที่สุด เกรงว่าชีวิตนี้ต่อให้นางไล่ตามเขาจนตายก็อย่าฝันเลยว่าเขาจะรับปากเป็นแบบให้นางวาดภาพ

วาดภาพจากความทรงจำ ไหนเลยจะสู้ลงมือ เอ่อ ลงพู่กันกับชายหนุ่มล่ำกล้ามเป็นมัดตัวเป็นๆ ได้เล่า

แค่คิดน้ำลายของนางก็จะหกออกมาอยู่แล้ว

กวนหยางถูกนางจ้องจนขนลุกไปทั้งตัว อยากจะฟาดนางให้สลบ ทิ้งนางไว้ตรงนี้แล้วจากไปเหลือเกิน…ฮึ!

“อย่าเพ้อฝันเลย” เขายิ้มเย็น อย่าคิดว่าแผนการของนางจะตบตาผู้อื่นได้ แค่เห็นดวงตาเจ้าเล่ห์เหมือนหมาป่าของนางคู่นั้นก็รู้แล้วว่านางคิดจะทำเรื่องชั่วช้าอะไร

“ในเมื่อรู้ว่าข้าคิดอะไรอยู่ เช่นนั้นก็อย่าขัดขืนเลย” นางยิ้มหื่นและเจ้าเล่ห์กว่าเดิม ขาดแค่ไม่ได้ถูมืออย่างกะลิ้มกะเหลี่ยเท่านั้น “ทิ้งความงามไว้บนหมึกกับกระดาษ เทียบกับการเข้าไปพัวพันกับข่าวลือ ท่านแม่ทัพใหญ่คงเลือกได้ไม่ยากกระมัง”

เขาโกรธจัดจนหัวเราะออกมา สีหน้าท่าทีพลันผ่อนคลาย เลียนแบบท่าทางของนางเมื่อครู่แบมือทั้งสองข้าง “ข้าไม่รับปาก ต่อให้ต้องพัวพันกับข่าวลือแล้วอย่างไร แม่นางจะทำอะไรข้าได้หรือ”

เมื่อศิษย์รู้วิชา อาจารย์ย่อมลำบาก*…ไม่ใช่สิ บุรุษอกสามศอกทำตัวหน้าด้านเลียนแบบผู้อื่นเช่นนี้ มีอย่างที่ไหน!

ฮวาชุนซินโกรธจนบดฟันไปมา แต่ก็รู้ดีว่าหากข่าวลือนี้แพร่ออกไปจริงๆ การว่าร้ายผืนฟ้าของดินแดนทางใต้ ดูหมิ่นเทพสงครามของดินแดนทางใต้อย่างเขา คนแรกที่จะจมน้ำตายท่ามกลางน้ำลายของชาวบ้านก็คือตัวนางเอง!

“น่าโมโหนัก” นางเดือดดาลเหลือเกิน

ส่วนลึกในดวงตากวนหยางทอยิ้มโดยไม่รู้ตัว กระนั้นใบหน้ากลับสุขุมเคร่งขรึม เอ่ยเสียงเรียบว่า “หากแม่นางฮวาไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อน”

นางยังไม่ทันได้ดึงสติกลับมา เงาร่างสูงโปร่งของเขาก็หายไปไม่เหลือร่องรอยเสียแล้ว

“รีบร้อนถึงเพียงนั้นจะรีบกลับไปกินข้าวที่บ้านหรือไร” นางกระทืบเท้าด้วยความโมโห กำหมัดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกับท้องฟ้า “ยังจะใช้วิชาตัวเบากับข้าอีก! รู้วิชาตัวเบาแล้วเก่งกาจนักหรือ แต่ก่อนข้าแค่ไม่ได้เรียนเท่านั้น หาไม่แล้ววันนี้ข้าก็จะแสดงวิชาตัวเบาให้ดูเหมือนกัน จะทำท่าอวดดีอะไรนักหนา!”

“คุณหนู…” เสียงขลาดกลัวเสียงหนึ่งดังขึ้น

“อะไร! ไม่เคยเห็นสตรีโมโหรึ” ฮวาชุนซินหันกลับไปอย่างเดือดดาล พาลพาโลอย่างคนนิสัยเสีย “อาหยวน?”

สาวใช้เหมือนจะร้องไห้ออกมาเต็มที “เมื่อครู่ เมื่อครู่ขนมถั่วกวนม้วนยังไม่ออกจากเตา บ่าวจึงรออยู่ที่นั่น ตะ…ตอนนี้ซื้อกลับมาแล้ว…คุณหนู ท่านอย่าโกรธเลยนะเจ้าคะ…”

โทสะเต็มท้องของนางยามเผชิญกับใบหน้าไร้เดียงสาของอาหยวนแล้วพลันดับมอดไปสิ้น

รังแกเด็กตัวเล็กๆ ไม่รู้สึกภาคภูมิใจเลยจริงๆ กลับบ้านไปแล้วยังต้องปลอบประโลมอีกครึ่งค่อนวันจึงจะหายดี

ที่แท้คนขี้ขลาดน่าเอ็นดูอย่างอาหยวน ถึงจะเรียกว่าแสร้งเป็นหมูหลอกกินเสือ* ที่แท้จริง…

“คุณหนู?”

“ไม่มีอะไร กลับบ้าน!”

ค่ำคืนเงียบสงัดในฤดูใบไม้ผลิ โคมไฟส่องแสง

‘หอนกขมิ้นขับขาน’ ซึ่งเป็นหอโคมเขียวขนาดใหญ่ที่สุดของทางใต้มีสายลมหอมอวลโชยมาเป็นระยะ เสียงดนตรีลอยอยู่ไกลๆ จากชั้นหนึ่งถึงชั้นสามเต็มไปด้วยแขกเหรื่อทั้งชนชั้นสูงและชนชั้นต่ำที่มาหาคนงาม ทั้งยังมีพวกที่มาดื่มสุราฟังเสียงดนตรีแต่ไม่ออกศึกด้วยตนเอง เพียงมาที่นี่ซึมซับบรรยากาศงดงามและบรรยากาศของการเคลียคลอกับสาวงาม

ยังมีแขกส่วนน้อยอีกจำพวกหนึ่งที่มาเป็นเจ้าภาพเลี้ยงแขกของตนโดยเฉพาะและเฝ้าดูอยู่ข้างๆ เท่านั้น

กวนหยางดื่มสุราด้วยสีหน้าเฉยชา ฟังเสียงดนตรีบรรเลงอย่างพร้อมเพรียงและเสียงหอบครางของหญิงสาว เรือนร่างสูงตระหง่านยังคงนั่งเหยียดตรงทรงพลังดุจทวนเงิน ไอเย็นเยียบแฝงความกดดันเข้มข้น ดังนั้นทุกคนจึงกล้าเพียงถือสุราคารวะกัน ไม่กล้าหยอกล้อหรือหัวเราะ

ส่วน ‘แขกสูงศักดิ์คนสำคัญ’ ที่ได้รับการต้อนรับ ผู้บัญชาการทัพปีกซ้ายของเมืองหลวงที่เพิ่งเดินทางมาถึงทางใต้เมื่อเช้าอย่างเหน็ดเหนื่อยยิ่งรู้สึกกดดัน ยามอยู่ต่อหน้าเทพสงครามของดินแดนทางใต้ เขาไม่กล้าอวดดีแม้แต่น้อย ตอนรับราชโองการออกจากเมืองหลวง เขาตบอกรับรองต่อหน้าองค์จักรพรรดิว่าเดินทางมาครั้งนี้จะต้องช่วงชิงกำลังทหารจากมือกวนหยางมาให้ได้แน่นอน คืนตราพยัคฆ์* ของกองทัพสกุลกวนแก่องค์จักรพรรดิ

เดิมทีโจวเซ่าเต็มไปด้วยแผนการ คิดกระดานหมากไว้ทั้งหมดแล้ว แต่คืนนี้เมื่อนั่งร่วมโต๊ะและได้เห็นแม่ทัพปกปักทักษิณกวนหยางผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในสมรภูมินั่งอยู่ตรงหน้ากับตาตนเอง ในใจกลับอดรู้สึกหนาวเหน็บเป็นระลอกไม่ได้

แม้กวนหยางจะมีสีหน้าเย็นชา ท่าทางสุขุมพูดน้อย แต่ทำอย่างไรก็มิอาจปกปิดไอสังหารของคนที่ผ่านศึกมานับร้อยสมรภูมิแล้วได้ แค่เขาปรายตามอง โจวเซ่าก็ให้รู้สึกตื่นตระหนกเหมือนตนเองถูกจ้องจนทะลุปรุโปร่ง

ทว่าจะอย่างไรโจวเซ่าก็เป็นขุนศึกที่จักรพรรดิบ่มเพาะฝึกฝนขึ้นอย่างตั้งใจ เขาข่มความหวาดกลัว เผยรอยยิ้มที่ดูเป็นธรรมชาติ ชูจอกสุราในมือ “นับแต่นี้ไปผู้น้อยคงต้องรบกวนท่านแม่ทัพใหญ่ชี้แนะให้มากแล้ว หวังว่าท่านแม่ทัพใหญ่จะดื่มหมดจอกนี้ ถือเป็นการให้หน้าผู้น้อยด้วยขอรับ”

“ผู้บัญชาการโจวเป็นขุนนางสำคัญของราชสำนัก เป็นมือเท้าขององค์จักรพรรดิ” กวนหยางมีสีหน้าเรียบเฉย ชนจอกกับเขากลางอากาศ “ดินแดนทางใต้กันดารห่างไกล ธรรมเนียมป่าเถื่อน หากมีสิ่งใดที่ผู้บัญชาการโจวไม่คุ้นเคย ต้องขออภัยด้วย”

นี่เป็นคำขู่เตือนชัดๆ!

โจวเซ่าสีหน้าย่ำแย่เล็กน้อย เขาอดกลั้นไว้ ก่อนตอบด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง “เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว แต่ฝ่าบาททรงมีบุญคุณกับผู้น้อย ผู้น้อยย่อมต้องปฏิบัติภารกิจแทนพระองค์ให้ดี หากวันหน้ามีสิ่งใดล่วงเกิน ขอท่านแม่ทัพใหญ่เห็นแก่ที่ท่านกับข้าเราสองคนต่างเป็นข้ารับใช้ของฝ่าบาท โปรดอภัยให้ด้วย”

กวนหยางไม่แสดงท่าทางใดๆ กลับเป็นรองแม่ทัพนายอื่นๆ ที่นั่งอยู่ด้วยเขวี้ยงจอกลงพื้นอย่างแรงพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย สีหน้าดุดันเปี่ยมไอสังหาร จ้องโจวเซ่าเขม็งอย่างกรุ่นโกรธ

โจวเซ่าหัวใจหดเกร็ง กำจอกสุราในมือแน่น องครักษ์ข้างหลังหลายคนก้าวมาข้างหน้าด้วยท่าทีข่มขู่ ดาบกระบี่ที่เอวทำท่าจะออกจากฝัก!

สาวงามสิบกว่าคนที่นั่งดื่มสุราเป็นเพื่อนตกใจหน้าเผือดสี แต่กลับนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่มีใครกล้าจากไป

ท่านแม่ทัพใหญ่อยู่ตรงหน้า ใครจะกล้าบังอาจเล่า!

กวนหยางดื่มสุราในจอกหมดอย่างนิ่งสงบดุจขุนเขา ก่อนจะค่อยๆ วางจอกสุรากลับลงบนโต๊ะ ทว่าจังหวะที่มือปล่อยจอกสุราที่หลอมจากสำริดอย่างดี จอกสุราที่เดิมทียังสมบูรณ์ทุกประการกลับสลายเป็นผุยผง

พวกของโจวเซ่าตื่นตระหนกจนหน้าซีดเผือดทันที!

“น่าเสียดาย งดงามแต่ไม่ทนทาน” กวนหยางพูดเสียงเรียบ

โจวเซ่าหน้าเขียวคล้ำสลับซีดขาว บดฟันอย่างแรง แต่กลับไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

ส่วนรองแม่ทัพทั้งหลายของทางใต้ใบหน้าอาบด้วยรอยยิ้ม กวาดตามองโจวเซ่าอย่างดูแคลน คิดจะวางอำนาจต่อหน้าท่านแม่ทัพใหญ่ ไม่รู้จักคำว่า ‘ตาย’ หรือไร

กองทัพสกุลกวนของพวกเราหาได้ถือศีลกินเจ ท่านแม่ทัพใหญ่ยิ่งเป็นเทพสงครามไร้พ่ายในใจของทุกคน เป็นประมุขของดินแดนทางใต้ เขาเป็นแค่ผู้บัญชาการตัวเล็กๆ คิดจะทำตัวเป็นสุนัขเห่าพยัคฆ์ เบื่อชีวิตจริงๆ เสียแล้วกระมัง…แม้แต่องค์จักรพรรดิที่ปรารถนาจะยึดกำลังทหารกลับคืนอย่างยิ่ง ยังไม่กล้าแตะต้องสี่แม่ทัพใหญ่ส่งเดช แล้วเจ้าคนแซ่โจวผู้นี้เป็นใครกัน

“ท่านแม่ทัพใหญ่…” กำปั้นของโจวเซ่าจิกลงไปในฝ่ามือจนเลือดซึม แต่กลับเงยหน้าเค้นรอยยิ้มออกมา “วิชายุทธ์ล้ำเลิศ วันนี้ผู้น้อยได้เห็นกับตาตนเองแล้ว”

“ผู้บัญชาการโจวเดินทางมาจากเมืองหลวงอย่างเหน็ดเหนื่อย กินอาหารดื่มสุราให้มากหน่อยเถอะ” กวนหยางลุกขึ้นช้าๆ เอ่ยเสียงเรียบ “ข้ายังมีงานต้องทำ ขออภัยที่มิได้อยู่เป็นเพื่อน”

“ท่านแม่ทัพใหญ่โปรดวางใจ ที่นี่มีพวกเราอยู่!”

“นั่นสิๆ ใต้เท้าโจวเดินทางมาไกลนับเป็นแขก พวกเราพี่น้องย่อมต้อง ‘ต้อนรับ’ ท่านเป็นอย่างดี ท่านแม่ทัพใหญ่ยกให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเถอะ”

“ท่านแม่ทัพใหญ่ค่อยๆ เดิน พรุ่งนี้พบกัน”

รองแม่ทัพกลุ่มนี้ล้วนเป็นชายฉกรรจ์เลือดร้อน แต่ละคนอดใจรอไม่ไหวที่จะช่วยแม่ทัพของตนแบ่งเบาภาระ ตะโกนเสียงดังหยอกเย้าผู้บัญชาการโจว แต่กลับทำเอากวนหยางขบขันไปด้วย

“อืม ให้พวกเขาเปิดสุราขาวดอกสาลี่มาอีกสองสามไห” มุมปากเขายกขึ้นน้อยๆ “สุราดีของทางใต้เรา ผู้บัญชาการโจวดื่มแล้วต้องสำราญใจแน่”

“ท่านแม่ทัพใหญ่มีคำสั่ง นำสุราขาวดอกสาลี่มาอีกเยอะๆ” รองแม่ทัพนายหนึ่งเห็นโจวเซ่าหน้าซีดขาวก็ยิ่งฉีกยิ้มเห็นฟันขาวอย่างเบิกบานใจกว่าเดิม

ท่ามกลางเสียงหัวเราะและเสียงเอะอะโวยวายที่อบอวลด้วยกลิ่นสุรา กวนหยางยิ้มน้อยๆ ก้าวออกจากห้องพิเศษกว้างใหญ่หรูหราชั้นสาม เสียงพิณจากห้องโถงชั้นหนึ่งแทรกซึมเข้าไปถึงในกระดูก เป็นบทเพลง ‘หงส์ตามรัก’

เวลานี้เองหางตาเขาเหลือบเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยและประหลาดสายหนึ่ง

ที่คุ้นเคยเพราะหลายคืนมานี้เงาร่างนี้ล้วนอาละวาดอยู่ในความฝันเขา ทำเอาเขาโมโหจนแทบบดฟันตนเองแตก ที่ประหลาดเพราะในสถานที่เช่นนี้และเวลานี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะมาปรากฏตัวที่นี่!

ครั้นเห็นเงาร่างเล็กหักเลี้ยวและหายลับไปจากระเบียงทางเดิน เขาก็บังเกิดความสงสัย…

“อา…อื้ม…พี่ชายออกแรงเยอะไปแล้ว ลึก…ลึกยิ่งนัก อ๊า…” เสียงร้องแหลมของหญิงสาวดังขึ้น

“ปีศาจน้อย แค่นี้เจ้าก็รับไม่ไหวแล้วหรือ ให้พี่ชายได้รักเจ้าอย่างเต็มที่เถอะ…” ชายหนุ่มกล่าวพลางคำรามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นสุขสม

“ข้า ข้าทนไม่ไหวแล้ว ช้าๆ หน่อย…”

“วันนี้หากไม่ขยี้เจ้าให้สมใจ… ข้าก็ไม่ใช่บุรุษแล้ว!”

“พี่ชายละเว้นข้าเถิด…”

“ฮ้า…”

ในม่านมุ้งเกิดคลื่นโหมซัด เสียงคำรามและเสียงครางดังไม่หยุด ชวนให้จิตใจคนวาบหวิวรุ่มร้อน ในเวลาอันรวดเร็ว ดอกซิ่งแดงถูกบดขยี้ น้ำค้างพร่างพรม เทียนไขแดงดับวูบ เครื่องหอมในเตากำยานกระจัดกระจาย…จบ

“เอ๋? จบแล้วหรือ ไม่ได้ๆ เขียนอย่างนี้นักอ่านก็ประท้วงน่ะสิ ต้องเขวี้ยงหนังสือทิ้งแน่!” ฮวาชุนซินถือแท่งถ่านที่เผาออกมาเป็นพิเศษ ขีดเขียนไปบนสมุดเล่มเล็กที่ว่างเปล่า นอกจากท่วงท่าลีลาในการโรมรันพันตูแล้ว ยังไม่ลืมเพิ่มข้อความบรรยายไว้ด้านข้างด้วย เขียนไปเขียนมา เพียงครู่เดียวสองคนที่อยู่บนเตียงกลับเสร็จสิ้นกิจธุระเสียแล้ว

มิใช่ยังต้องบดต้องขยี้อย่างนั้นอย่างนี้อีกหรอกหรือ เวลายังไม่ถึงครึ่งก้านธูปก็เสร็จกิจเสียแล้ว เช่นนี้ไม่ต้องพูดถึงว่าสาวงามบนเตียงจะยังไม่คลายความปรารถนา กระทั่งนางที่สังเกตการณ์เก็บข้อมูลอยู่นอกหน้าต่างยังรู้สึกไม่เต็มอิ่มเลย

“พี่ชายคนดี วันนี้ท่านเร็วก็จริง แต่กลับห้าวหาญเกินใคร ทำให้ข้ารู้สึกสบายไปทั้งตัว” สาวงามบนเตียงข่มความดูแคลนในใจ แสร้งหอบสะท้านเอ่ยว่า “หากพี่ชายคนดีทำนานกว่านี้อีกสักนิด วิญญาณข้าจะต้องหลุดลอยออกไปแน่”

ฮวาชุนซินได้เห็นฝีมือยอดเยี่ยมร้ายกาจในการโกหกหน้าตายของสาวๆ ในหอโคมเขียวอีกครั้ง

นางรีบก้มหน้าจดโดยไว

 

‘ไม่พูดถึงระยะเวลา ขอเพียงต้องปากหวาน’

 

“ฮ่าๆ ข้าเห็นเจ้าทนไม่ไหวแล้ว กลัวจะทำให้เจ้าสำลักความสุขจนตาย มิเช่นนั้นข้าจะตัดใจได้อย่างไร”

ฮวาชุนซินมุมปากกระตุก จดบันทึกต่อ

 

‘บุรุษหลั่งเร็ว ดีแต่ปากเท่านั้น’

ครั้นเห็นว่าข้างในไม่มีอะไรน่าดูต่อแล้ว นางอดไม่ได้ที่จะลอบด่าตนเองว่าอับโชคยิ่งนัก ไฉนคืนนี้ห้องแรกที่เลือกถึงไม่ได้เรื่องเช่นนี้ เปลืองเงินหนึ่งตำลึงที่นางยัดให้ผู้คุมหอไปเปล่าๆ

“ตอนนี้ยังมีเวลา น่าจะไปดูได้อีกสักสองยก” นางพูดกับตนเอง พลางเก็บแท่งถ่านกับสมุดบันทึกอย่างเงียบเชียบ ค่อยๆ ไต่ลงจากหน้าต่างยาวจรดพื้น หมุนตัวเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็พลันรู้สึกประหลาด จึงอดหันกลับไปมองไม่ได้

อืม ปกติมากนี่นา แขกเหรื่อที่มาหาความสำราญโอบแม่นางหัวเราะเดินแยกย้ายเข้าไปในห้อง ยังมีอีกคนที่อดใจไม่อยู่จูบกันนัวเนียตรงระเบียงทางเดิน มือข้างหนึ่งสอดเข้าไปในเสื้อของหญิงสาว แม่นางผู้นั้นร้องเสียงหวานอย่างมืออาชีพว่า ‘อย่านะ อย่า…’ ขณะเดียวกันก็แอ่นเอวเข้าหา

“น่าเสียดายจริง” นางอิจฉาเหลือเกิน “แต่ให้ยืนจดอยู่บนระเบียงทางเดินเช่นนี้ออกจะโจ่งแจ้งไปหน่อย…”

หากให้แม่เล้ากับแขกเหรื่อที่มาหาความสำราญรู้เข้าว่านางติดสินบนผู้คุม มา ‘เก็บข้อมูล’ จากที่นี่ทุกสองสามวัน เกรงว่าฐานะที่แท้จริงของอาจารย์ฮวาชุนซินของนางจะต้องเปิดเผยแน่ มิเช่นนั้นก็ต้องถูกลากเข้าไปซ้อมในตรอกมืดเพราะคิดว่านางเป็นพวกวิตถารอีก

ใคร่ครวญดูแล้ว สุดท้ายฮวาชุนซินในชุดหญิงรับใช้ขั้นต่ำของหอนกขมิ้นขับขานจึงได้แต่ข่มความปวดใจและย่องเข้าห้องต่อไป

ห้องต่อไป ข้างในเป็นถิ่นของแม่นางซานไชจากสิบเอ็ดนางคณิกาเลื่องชื่อของสถานเริงรมย์ในดินแดนทางใต้

ฮวาชุนซินผลักหน้าต่างออกเป็นช่องเล็กเบาๆ ก่อนจะลอบมองเข้าไปข้างใน เห็นดวงหน้าเล็กนวลเนียนประหนึ่งพระจันทร์เต็มดวงของแม่นางซานไชดูอ่อนหวานเอียงอาย มือกอดพิณผีผา* ไว้ แต่กลับถูกบุรุษกำยำคนหนึ่งโอบกอดจากข้างหลัง นางบรรเลงพิณผีผาเสียงเบาขาดห้วงพลางหอบกระชั้น ใต้กระโปรงผ้าโปร่งสีชมพูเป็นสะโพกเปลือยกลมกลึง นั่งทับอยู่บนความใหญ่โตของบุรุษด้านหลังพลางโยกขึ้นลงไปมา

“ซานเอ๋อร์สบายตัวหรือไม่ ข้ายิ่งใหญ่หรือเปล่า ยิ่งใหญ่หรือเปล่า”

“นายท่านยิ่งใหญ่เหลือเกิน…ข้าอึดอัดไปหมด…”

ฮวาชุนซินปากคอแห้งผาก ทว่าตากลับเป็นประกาย

ท่าใหม่ของแม่นางซานไช ทั้งสร้างสรรค์และแปลกใหม่ยิ่งนัก!

นางตื่นเต้นจนมือสั่น กำลังจะยื่นมือเข้าไปในอกเสื้อหยิบแท่งถ่านกับสมุดบันทึกเล่มเล็ก คิดไม่ถึงว่าคอเสื้อด้านหลังจะถูกผู้อื่นหิ้วขึ้นสูง

“อ๊ะ…อื้อ…”

พริบตาต่อมานางก็ถูกเงาร่างสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวหิ้วตัวไป

บทที่ 3

ปล้นทรัพย์ปล้นสวาท!

ฮวาชุนซินทั้งตกใจทั้งโมโห ทั้งโกรธทั้งลนลาน…นี่เรียกว่าล่าห่านตลอดปีกลับถูกห่านจิกตา* ใช่หรือไม่ ไม่สิ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้ นางที่ถูกจี้จุดใบ้รู้ดีว่าการร้องขอความช่วยเหลือเป็นไปไม่ได้ จึงได้แต่บังคับให้ตนเองตั้งสติ เฝ้ารอโอกาสในการตอบโต้และหลบหนี…คิดว่าจะเตะแท่งผลิตลูกหลานของเจ้าสารเลวผู้นี้อย่างไรดี

ในที่สุดนางก็ถูกโยนลงบนเตียงหอมนุ่มหลังหนึ่ง ยังไม่ทันพลิกตัวกลับมา ขาก็ถีบออกไปอย่างว่องไวปานสายฟ้า

ทว่าเสียงโอดครวญอย่างเจ็บปวดที่คิดภาพไว้ไม่ดังขึ้น นางกลับถูกคนตัวสูงใหญ่และหนักอึ้งกดทับไว้แทน!

“เจ้ากำลังทำอะไรของเจ้ากันแน่!”

“ตีโจรราคะอย่างไรเล่า ยังจะ…เอ๋?” นางเบิกตาทันใด ร่างนุ่มนิ่มที่พยายามดิ้นรนขัดขืนพลันชะงัก “กวนหยาง?!”

เรือนร่างสูงใหญ่กำยำที่ทาบทับอยู่บนตัวนางและส่งพลังงานความร้อนมาให้ กล้ามเนื้อตึงแน่นแข็งแกร่งเหมือนเหล็กกล้านี้…มิใช่แม่ทัพกวนที่ทำเอานางน้ำลายหกมานานแล้วหรอกหรือ!

หัวสมองของนางเกิดเสียงผ่าง ดวงหน้าเล็กแดงก่ำ ไหนเลยจะคิดถึงคำว่า ‘สตรีต้องรักนวลสงวนตัว’ ออก นางไม่พูดพร่ำทำเพลง ยื่นอุ้งเท้าหมาป่าออกไปฉีกเสื้อด้านหน้าของเขาออกโดยไว ฝ่ามือกับปลายนิ้วแนบสนิทกับแผงอกเปลือยเปล่าของเขา อีกทั้งยังไม่ลืมบีบขยำสองทีด้วย

ประเมินด้วยสายตาหรือจะสู้วัดด้วยมือเล่า นางรอวันนี้มานานมากแล้ว!

“แม่นางฮวา เจ้า…” กวนหยางตกตะลึงพรึงเพริด สูดหายใจอย่างตระหนก ชั่วขณะหนึ่งที่เขาแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ลืมกระทั่งดึงมือเล็กที่ปัดป่ายแผงอกตนและกำลังจุดเพลิงบางอย่างออกด้วยซ้ำ

“หวา ทั้งใหญ่ทั้งแข็งจริงๆ…” กล้ามเนื้อหน้าอกนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ

เปลวเพลิงแปลกๆ กลุ่มหนึ่งลุกโหมขึ้นมาจากท้องน้อย ใบหน้างามสง่าของกวนหยางตึงเครียดจนบิดเบี้ยว เขากัดฟันแน่นรักษาความยับยั้งชั่งใจเสี้ยวสุดท้ายเอาไว้ได้อย่างหมิ่นเหม่ หมายจะดึงนางออกจากร่างด้วยความโมโห แต่พอเขาขยับตัว ฮวาชุนซินที่ยัง ‘วัดขนาดไม่เสร็จ’ ก็ร้อนใจ สองมือกอดเขาไว้แน่นเหมือนปลาหมึกยักษ์

พลาดโอกาสนี้ไป ต้องรอโอกาสดีนี้อีกกี่วันกี่เดือนกี่ปีกันเล่า!

ฮวาชุนซินห่วงแต่จะจับคน ไม่ได้ตระหนักเลยว่าเรือนร่างอวบอิ่มอ่อนนุ่มของตนแนบติดกับบุรุษกำยำที่เลือดลมกำลังพลุ่งพล่านแล้วจะก่อให้เกิดเปลวเพลิงที่ลามไปทั่วทุ่งได้อย่างไรบ้าง

ในหอโคมเขียวมักจุดเครื่องหอมปลุกเร้าอารมณ์ไว้อยู่แล้ว กลิ่นหอมเข้มข้นกำซาบเข้าไปในจมูก แทรกซึมสู่จิตใจ พวกเขาล้วนไม่มีใครตระหนักถึงความผิดปกตินี้ บางทีอาจเพราะกลิ่นหอมจากกำยาน หรือบางทีอาจเพราะผิวกายที่เสียดสีกัน ระหว่างที่เรือนร่างอ่อนนุ่มกับเรือนร่างกำยำบดเบียดกันไปมาจนไม่เหลือช่องว่างนั้นเอง ทุกอย่างก็หลุดจากการควบคุม…

กวนหยางทาบทับนางไว้บนฟูก ดวงตาสีดำจับจ้องนางอย่างอันตราย “เจ้าลืมไปแล้วจริงๆ หรือว่าข้าเป็นบุรุษคนหนึ่ง”

รอยยิ้มกระหยิ่มใจบนใบหน้านางชะงักค้าง มองเขาอย่างงุนงงเล็กน้อย “เอ่อ…”

“ข้ายอมให้เจ้าหนึ่งครั้ง สองครั้ง…ครั้งนี้ เจ้าว่าข้าควรลงโทษเจ้าอย่างไรดี” เขาพลันประชิดเข้าไปยังติ่งหูจิ้มลิ้มของนาง หัวเราะเสียงแหบอย่างดุดัน ลมหายใจที่พ่นออกมาร้อนระอุปลุกความวาบหวิว “หืม?”

นางสั่นสะท้าน ร่างกายชาวาบไปครึ่งซีกอย่างห้ามไม่อยู่ ความตื่นเต้นกระหยิ่มใจในตอนแรกหายไป แทนที่ด้วยความตื่นตระหนกลนลาน

มะ…เมื่อครู่นี้ข้าทำอะไรลงไปบ้าง…

ความแข็งขึงร้อนระอุที่กำลังดุนดันหน้าท้องนางอยู่ตอนนี้เต้นตุบๆ เป็นพักๆ…นี่ก็คือ ‘เจ้าสิ่งนั้น’ ที่นางวาดอยู่บ่อยๆ หรือ

ตะ…ตอนนี้แกล้งตายยังทันหรือไม่

ฮวาชุนซินอยากยิ้มประจบและขออภัย แต่กลับรู้สึกว่าเจ้าสิ่งใหญ่โตตรงหน้าท้องแข็งขึงร้อนผ่าวกว่าเดิม หัวใจนางสั่นระรัว พยายามบิดตัวหนีทีหนึ่ง ทว่ากลับทำให้เจ้าสิ่งนั้นพลันขยายตัวออกอีก บดเบียดเสียดสีและติดขัดอยู่ตรงหว่างขานางที่ทั้งเจ็บทั้งร้อนทั้งชาวาบในเวลาเดียวกัน ตอนนี้เหลือเพียงกางเกงตัวในบางเบา…ข้าศึกก็จะบุกประชิดถึงเมืองแล้ว!

“อ๊ะ!”

“ฮึก!”

การเสียดสีที่นึกไม่ถึงเหมือนไฟป่าที่ลุกแล้วยากจะดับ พวกเขาสองคนสูดหายใจพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย คนหนึ่งหอบครางเสียงหวาน อีกคนหอบเสียงต่ำ

ฮวาชุนซินรู้สึกเพียงความรุ่มร้อนวาบหวิวที่ไม่คุ้นเคยกำลังแผ่ออกมาจากจุดน่าอายของร่างกายท่อนล่าง นางหอบกระชั้นเสียงค่อย แผ่นหลังสะท้านเป็นพักๆ ร่างกายอ่อนระทวยอย่างไม่เอาไหน

ครั้นรู้สึกถึงความสั่นสะท้านของร่างหอมกรุ่นนุ่มนิ่มที่ละลายอยู่ใต้ร่างตน ในใจกวนหยางก็บังเกิดไฟ…ทว่านั่นกลับเป็นไฟปรารถนา…เขาก้มหน้าลงโดยไม่คิด ประกบปากเล็กอวบอิ่มนุ่มละมุนของคนใต้ร่างอย่างรุนแรง การกระทำแฝงแววลงโทษอย่างหนักหน่วงและขาดการควบคุม ดูดเม้มลิ้นเล็กของนางอย่างฮึกเหิม กวาดชิมน้ำหวานในโพรงปากนางอย่างดุดัน…

ริมฝีปากของทั้งสองคลอเคลียกัน นางถูกจูบจนแทบหายใจไม่ทัน ริมฝีปากแดงฉ่ำชื้น เสียงครางเล็ดลอดออกมาติดๆ กัน ทรวงอกกลมกลึงสะท้อนขึ้นลงรุนแรง คล้ายต่อต้านคล้ายเขินอายและยิ่งคล้ายจงใจยั่วเย้า ขยี้ทำลายสติสัมปชัญญะเสี้ยวสุดท้ายของชายหนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า

เขาจุมพิตนางแนบแน่น ฝ่ามือใหญ่กระชากเสื้อผ้าตรงหน้าอกนางออก ผิวขาวนุ่มเนียนดุจหยกมันแพะปรากฏขึ้นทันที ทรวงอกกลมกลึงชูช่อถูกประคองไว้ด้วยเอี๊ยมบังทรงสีแดงดิ้นเงิน ชั่วเวลาต่อมาเมื่อสายผูกเอี๊ยมคลายออก ทรวงอกขาวเนียนดุจหยกก็ดีดเด้งออกมา ดอกตูมสีแดงเล็กสองจุดสั่นระริก ขยายตัวออกจนทั้งแข็งและวาบหวิว เต็มไปด้วยการเชื้อเชิญ…

มือข้างหนึ่งของกวนหยางประคองเต้าอวบอิ่มของนางไว้อย่างมั่นคงทว่าอ่อนโยน รู้สึกเพียงสัมผัสลื่นละมุนดุจนวลไขทำให้คนตัดใจปล่อยมือมิได้ โดยเฉพาะยอดตูมเล็กๆ ที่ดุนดันฝ่ามือเขาอยู่ ยามถูกลูบไล้ก็ยิ่งชูชัน ทุกครั้งที่หยอกเย้า ปากเล็กของนางจะเปล่งเสียงครางเร้าอารมณ์ออกมา ปลุกปั่นความรู้สึกในใจเขา กวนหยางตื่นตัวฮึกเหิมจนกระทั่งตาเหยี่ยวแดงก่ำ

เขาโน้มศีรษะลงครอบครองทรวงอกเนียนนุ่มดุจนวลไขของนางอย่างละโมบ ปลายลิ้นหยอกเย้าปลายยอดของนางรัวเร็วประหนึ่งสายฝนที่กระหน่ำลงมา ประเดี๋ยวหมุนวนประเดี๋ยวขบเม้มเบาๆ ทำเอาวิญญาณของฮวาชุนซินหลุดลอยออกไปไกล เสียงครางแว่วหวานดังไม่หยุด ร่างกายสั่นระริกประหนึ่งใบไม้ร่วงกลางสายลมฤดูสารท ท่อนล่างที่ถูกความใหญ่โตดุนดันเกร็งกระตุกโดยไม่รู้ตัว น้ำค้างเหนียวลื่นแผ่ออกไปวงแล้ววงเล่า

“อย่า…อย่าทำอีกเลย ข้ายังไม่อาจ…อื้อ!” นางพลันรู้สึกว่าร่างกายท่อนล่างถูกความใหญ่โตรุกรานเข้ามาผ่านกางเกงตัวบาง ขยายเส้นทางเล็กแคบออกนิดๆ จนนางรู้สึกเจ็บ หญิงสาวตกใจจนแทบเป็นลม หอบสะท้านพลางอ้อนวอนเสียงสะอื้น

“ในเมื่อวางเพลิงแล้ว…ก็อย่าได้คิดจะถอนตัว” หน้าผากและแผ่นหลังกว้างของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อร้อนระอุ ดวงหน้างามเคร่งขรึมที่ฉายอารมรณ์ปรารถนาฉีกยิ้ม น้ำเสียงทุ้มหนักข่มขู่อยู่ข้างหูนางขณะเป่าลมหายใจรินรด สัตว์ร้ายตรงหว่างขาบุกรุกเข้ามาประชิดใกล้ขึ้นอีกเล็กน้อย “อย่างน้อย ข้าก็ควรเก็บดอกเบี้ยจากเจ้าสักส่วนสองส่วน…ใช่หรือไม่”

“ไม่…ไม่ได้…” นางทั้งตระหนกทั้งอับอาย ทั้งโมโหทั้งสั่นสะท้าน ในร่างเหมือนมีฮวาชุนซินสองคน คนหนึ่งมัวเมาไปกับอารมณ์ใคร่ อดใจรอไม่ไหวอยากอ้อนวอนเขาให้เข้ามาหานาง อีกคนหนึ่งใช้เหตุผลและสติสัมปชัญญะ ร้อนใจอยากหยุดยั้ง ‘การกระทำรุนแรง’ อย่างป่าเถื่อนไร้มารยาทของเขา นางหอบครางน้ำเสียงขาดห้วง “มารดาไม่ยอมให้การเสียตัวครั้งแรก…เกิดขึ้นในหอนางโลมแน่”

ได้ยินดังนั้นแผ่นหลังกว้างกำยำของกวนหยางพลันแข็งทื่อ นัยน์ตาสีดำเบิกกว้าง จ้องคนตัวเล็กใต้ร่างอย่างเหลือเชื่อ

“เป็นสตรียังไม่ได้ออกเรือนไฉนจึงพูดจาหยาบคายเช่นนี้” เขาตำหนิ

เห็นเขาชะงักการกระทำ นางก็ฝืนข่มความปรารถนาของร่างกายทันที อารมณ์ที่วูบขึ้นในใจไม่รู้เป็นความรู้สึกดีใจหรือเสียใจภายหลังกันแน่

ใจหนึ่งหากถูกแรงปรารถนาชักนำไป นางเองก็อยากทำเหมือนนางเอกในภาพวังวสันต์พวกนั้นเหลือเกิน พูดออกไปอย่างใจกล้าหน้าไม่อายว่า ‘พี่ชาย ข้าต้องการท่าน’

แต่การมาพลีกายให้ชายหนุ่มในหอนางโลมอย่างไร้ชื่อไร้ฐานะ ต่อให้นางใจกล้าบ้าบิ่นไม่เห็นขนบธรรมเนียมอยู่ในสายตาก็ยังต้องยับยั้งชั่งใจเอาไว้บ้าง เห็นแก่หน้าบรรพบุรุษของตนสักเล็กน้อย…แม้นางจะสงสัยเหลือเกินว่าบรรพบุรุษของตนจะหมกมุ่นในโลกีย์ไม่สิ้นสุด อ่ะแฮ่ม หมายถึงเปิดเผยเร่าร้อนไม่แพ้ตนเลยต่างหากเล่า!

“ข้าก็แค่จุดประทัดล้อเล่นเท่านั้น ท่านเป็นถึงแม่ทัพใหญ่กลับ ‘ถือทวนเข้าสู่สมรภูมิ’ จริงๆ” นางรีบระงับอารมณ์หวั่นไหวหน้าไม่อายของตนเอง ทำปากยื่นบ่นเขา

“ฮวา…” เขาโมโหจนแทบสำลัก อยากคำรามเสียงดังแต่พลันตระหนักว่าตนรู้เพียงว่านางแซ่ฮวา กระทั่งชื่อเสียงเรียงนามของนางก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ

ชื่อของผู้อื่นยังไม่รู้ เขากลับเกือบจะจับผู้อื่น…กินเสียแล้ว?!

สติสัมปชัญญะของกวนหยางกลับคืนมาทันใด เขาสั่นสะท้าน ผลักนางออกโดยเร็วปานสายฟ้า มือใหญ่คว้าผ้าห่มบนเตียงโยนใส่ร่างนาง

ตาเหยี่ยวคมกริบกวาดมองรอบหนึ่ง คล้ายสังเกตเห็นบางอย่าง แขนเสื้อกว้างสะบัดไปยังเตากำยานทองลายซวนหนี* ทันที ควันจากการเผาไหม้เครื่องหอมที่ม้วนตัวเป็นเกลียวพลันสลายหายไป

กวนหยางรู้ดีว่าเครื่องหอมธรรมดาพวกนี้ไม่เพียงพอที่จะสั่นคลอนความสามารถในการควบคุมตนเองอันแข็งแกร่งของเขาได้ ที่เขาสูญเสียการควบคุมเมื่อครู่นี้ สาเหตุเป็นเพราะหญิงสาวบนเตียงที่งามหยาดเยิ้มดุจผลท้อที่สุกงอม

เขามุ่นคิ้ว ฝ่ามือกำแน่นกว่าเดิม

“เอ๊ะ เบาๆ หน่อยสิ รุนแรงเช่นนี้ ผู้อื่นร่างกายบอบบาง มันเจ็บนะ!” เรือนร่างกึ่งเปลือยของนางถูกผ้าห่มแพรคลุมไว้ ทั้งโล่งอกและรู้สึกปลอดภัย ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่างโหวงและผิดหวังแปลกๆ อดไม่ได้ที่จะจงใจว่าเขาเสียงอ่อน

“ข้าจะให้คนนำเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้” หัวใจเขาหดเกร็งก่อนที่ใบหน้าจะบึ้งตึงอีกครั้ง เอ่ยอย่างเย็นชา

อา หากไม่เห็นว่าท่อนล่างของเรือนร่างกำยำมี ‘กระโจมหลังใหญ่’ ที่ถูกบางสิ่งใต้กางเกงดุนดันออกมาจนสูงชัน สีหน้าเย็นชาของเขาก็ทำให้คนหวาดกลัวจนหนาวสั่นได้จริงๆ แต่ยามนี้ฮวาชุนซินไหนเลยจะยังสนใจสีหน้าเย็นชาของเขาอีกเล่า

ด้วยธรรมชาติของมนุษย์ที่หนีไม่พ้นเรื่องกินและเรื่องเพศ รวมทั้งสัญชาตญาณที่เกิดจากอาชีพ นางไม่มองยังพอทน แต่พอได้มอง ลูกตาก็เบิกกว้างอย่างตื่นตระหนกและประหลาดใจยิ่ง จับจ้อง ‘อาวุธ’ ที่ไม่ธรรมดาของเขาเขม็ง…จนถึงขั้นตะลึงงันไป

ผิดแล้วๆ ผิดมหันต์โดยแท้…

ตนซึ่งเป็นอาจารย์วาดภาพวังวสันต์ที่โด่งดังของทางใต้กลับประเมิน…เอ่อ ขนาดของเขาด้วยสายตาผิดพลาดไปจากความจริงเช่นนี้ เห็นเสือร้ายตัวหนึ่งผิดไปเป็นสุนัขเสียได้?!

ว่าไปแล้ว…พกอาวุธใหญ่โตเช่นนี้ ยามเดินเหินไปมาไม่ลำบากหรือ

เป็นอีกครั้งที่กวนหยางไฟลุกขึ้นมาเพราะสายตาที่เปี่ยมด้วยความสงสัยใคร่รู้และความกระตือรือร้น ทั้งยังเปิดเผยโจ่งแจ้งเช่นนี้ของนาง เขารุ่มร้อนไปทั้งตัว ‘พี่น้อง’ ที่เดิมทีต้องใช้ความพยายามสุดกำลังทำให้สงบลงกลับปวดร้าวและขยายตัวอีกครั้ง

“เจ้าอยากบีบให้ข้าจัดการกับเจ้าตรงนี้เลยจริงๆ ใช่หรือไม่” คำพูดแต่ละคำถูกเค้นลอดไรฟันออกมา

“ฮะ?!” นางตกใจดวงหน้าแดงปลั่ง รีบกระแอมกระไอและเบือนหน้าไปทางอื่น “คือว่า…ค่อยพูดค่อยจากันก็ได้ พูดกันดีๆ แหะๆ”

แต่กางเกงสีดำของเขาที่มีเจ้าสิ่งนั้นดุนดันออกมา เห็นรางๆ ว่าเปียกชื้นจนเป็นสีเข้ม ไม่รู้ว่าเป็นของนางหรือว่าของเขา…สวรรค์! ฮวาชุนซิน เจ้าจะต่ำช้าหยาบคายไปถึงไหนกัน!

ต่อให้ฮวาชุนซินหน้าหนาดุจกำแพงเมืองก็อดหน้าแดงไม่ได้ กวนหยางคล้ายรู้สึกตัว สีหน้าจึงแข็งกระด้างเย็นชาฉายความอึดอัดขึ้นวูบหนึ่ง เขาหันหลังโดยเร็ว เอามือไพล่หลังพลางพูดเสียงแข็ง “เอาเป็นว่านับแต่นี้ไปอย่ามาสถานที่สกปรกเช่นนี้อีก”

“เรื่องอะไรท่านมาได้ ข้าจะมาไม่ได้เล่า เผด็จการ” หัวใจนางยังเต้นระรัวไม่หยุดเหมือนดังอยู่ข้างหู บ่นงึมงำเบาๆ

“หืม?” ไอสังหารลอยมาอีกครา

นางรีบหุบปาก ฉีกยิ้มประจบประแจง ทำตัวเป็นลิงหลอกเจ้า “ทราบแล้วๆ”

ครั้งหน้าข้าจะสืบกับผู้คุมของที่นี่ให้ชัดเจนก่อน…

“อืม” ในที่สุดใครบางคนก็แค่นเสียงออกมาด้วยความพึงพอใจเล็กน้อย

ในท้องของฮวาชุนซินเต็มไปด้วยคำบ่นว่า นางฉวยจังหวะนี้จัดเสื้อผ้าตนเองอยู่ใต้ผ้าห่มแพร คิดถึงเมื่อครู่นี้ที่เปลวเพลิงเกือบลุกลามออกไป เกิดศึกเนื้อหนังขึ้นแล้ว ใบหน้าก็แดงเป็นก้นลิงอย่างห้ามไม่อยู่

ขณะคิดฟุ้งซ่าน นางไม่ได้ตระหนักเลยว่าร่างสูงใหญ่ได้จากไปเงียบๆ แล้ว จนกระทั่งข้ารับใช้หญิงนำเสื้อผ้าชุดหนึ่งเข้ามาให้อย่างนอบน้อม นางถึงได้มองออกไปข้างนอกอย่างเศร้าหมองผิดหวัง

เขาจากไปทั้งอย่างนี้จริงๆ หรือ

“ลืมถามเขาไปเลยว่ามาหอโคมเขียวด้วยเหตุใด!” นางอุทานออกมาพร้อมเบิกตากว้าง

หน็อยแน่! เขาคงไม่ได้มาหาความสำราญกระมัง

ไม่ถูกๆ โลกนี้เกรงว่าคงไม่มีใครเข้าใจคำว่า ‘รักนวลสงวนตัว’ เข้มงวดกับตนเองจนใกล้เคียงกับคำว่า ‘วิปริต’ เท่ากับเขากวนหยางอีกแล้ว หากเขามาหาบุปผาที่หอโคมเขียวได้ เหล่าเจียงที่บ้านนางก็คงเป็นกิ่งไม้แห้งที่มีบุปผาผลิบานแล้วล่ะ!

“ชิ!” นางลูบอกตนเองอย่างตกใจไม่หาย “ข้ากินอิ่มเกินไปไม่มีเรื่องทำ ถึงต้องสร้างเรื่องให้ตนเองตกใจเองหรือไร เขาเป็นแม่ทัพปกปักทักษิณ เป็นกวนโหวซื่อจื่อ* ผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวง หากสันดานดิบกำเริบขึ้นมาจริง จะต้องมาปลดปล่อยที่หอโคมเขียวด้วยหรือ”

ว่าไปแล้ว ในจวนแม่ทัพมีคุณหนูผู้อวบอิ่มงดงาม นวลเนียนประหนึ่งหยกบริสุทธิ์อยู่พอดีมิใช่หรือ!

บุรุษในโลกมีคนใดบ้างที่ไม่ชอบคนอ่อนหวาน ไม่ชอบคนงาม

พอคิดว่าตนเองแก่กว่าผู้อื่นถึงสี่ปีเต็ม เทียบความอ่อนเยาว์กันแล้ว ห่างไกลจากผู้อื่นถึงเก้าช่วงถนน รอยยิ้มบนใบหน้าของฮวาชุนซินก็ดุดัน หัวใจเหมือนถูกโถมซัดด้วยน้ำส้มที่ซานซี*

เช้าตรู่วันถัดมา

เหล่าเจียงค่อยๆ ลงจากเตียง สวมรองเท้า หลังล้างหน้าหวีผมเสร็จก็พาร่างผอมแห้งแก่ชราที่หลังค่อมเล็กน้อยเดินมายังห้องโถงช้าๆ

“เอ๋?” เขานึกว่าตนเองยังนอนไม่ตื่น ตาฝาดไปเสียอีก…

ตั้งแต่อาหยวนเข้ามา บนโต๊ะที่เช็ดถูจนสะอาด อาหารเช้าที่เตรียมไว้จะมีเพียงข้าวต้มหนึ่งหม้อกับผักดอกและถั่วลิสงต้ม ไม่ว่าเขากับคุณหนูจะประท้วงอย่างไร ให้ตายอาหยวนที่ยืนกรานประหยัดเงินให้พวกเขาก็ไม่ยอมเพิ่มกับข้าวอีกอย่าง

แต่วันนี้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกหรือ อาหารเช้าวันนี้มีไข่ไก่ที่ทอดจนเหลืองอร่ามส่งกลิ่นหอม อีกทั้งยังมีผัดหน่อไม้เหลืองอีกจานด้วย

“ปู่เจียงตื่นแล้วหรือ” ดวงหน้าเล็กของอาหยวนถูกไฟรมจนแดงปลั่ง ยกหม้อดินใบเล็กก้าวเข้าประตูมาทั้งที่เหงื่อเต็มหน้า เห็นเขาก็รีบทักทาย “ปู่เจียงนั่งก่อน บ่าวจะไปปลุกคุณหนูเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”

คำพูดที่ว่า ‘ข้าจะไปเฝ้าร้าน หาของกินง่ายๆ ข้างนอกก็พอ’ ของปู่เจียงมาถึงปากแล้ว แต่พอเห็นหัวมันตุ๋นเนื้อแพะในหม้อดินที่กำลังเดือดปุดๆ ส่งกลิ่นหอมกรุ่น เขาก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้และโพล่งออกมา “วันนี้ฉลองปีใหม่หรือ”

“คุณหนูบอกว่าอาหารการกินปกติไม่บำรุงร่างกาย จืดชืดเกินไป” อาหยวนถอนหายใจ ดวงหน้าเล็กยับยู่ เห็นชัดว่ายังคงปวดใจกับเงินที่ไม่ควรถูกนำมาใช้สุรุ่ยสุร่ายเช่นนี้ “จึงสั่งข้าว่านับแต่นี้ไปทุกวันบนโต๊ะต้องมีเนื้อ ไม่มีเนื้อปลาก็ต้องมีเนื้อหมู คุณหนูบอกว่านางจะบำรุงร่างกายตนเองให้อิ่ม…อิ่ม…”

“อิ่มเอิบมีน้ำมีนวล”

“อา ใช่ๆ คำนี้ล่ะ” อาหยวนพยักหน้าติดๆ กัน “คุณหนูยังบอกว่าการอดนอนทำร้ายผิวพรรณสตรีเป็นที่สุด ดังนั้นจึงสั่งบ่าวให้ตุ๋นเห็ดหูหนูขาวบำรุงนางให้มากหน่อย ปู่เจียง ข้าได้ยินมาว่าเห็ดหูหนูขาวแพงมากมิใช่หรือ”

“ปกติข้าสอนสั่งเจ้าว่าอย่างไร” เหล่าเจียงดีใจขึ้นมาทันที ยิ้มร่าหย่อนก้นนั่งลง ม้วนแขนเสื้อเช็ดชามอย่างกระตือรือร้น อดใจรอไม่ไหวที่จะสวาปามอาหารมื้อนี้แล้ว “ในบ้านเราใครจะลำบากก็ได้ แต่จะให้คุณหนูลำบากไม่ได้เด็ดขาด เจ้าดูเถอะ คราวนี้คุณหนูโมโหแล้วกระมัง ดูซิว่าวันหน้าเจ้ายังจะกล้าประหยัดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีกหรือไม่”

“แต่การกินใช้อย่างฟุ่มเฟือย เงินที่หมดไปล้วนเป็นเงินที่คุณหนูกับท่านหามาอย่างยากลำบาก สินเจ้าสาวในวันหน้าของคุณหนู เงินทำศพในวันหน้าของท่าน ล้วนยังต้องคาดหวังเอาจากเงินพวกนี้นะเจ้าคะ” อาหยวนทำหน้ายับย่นด้วยความห่วงกังวล

“ถุย! ทำศพอะไรกัน เช้าตรู่เช่นนี้คำพูดนี้อัปมงคลหรือไม่” เหล่าเจียงแทบจะกระอักเลือดออกมา พูดเสียงขุ่น “ข้าจะมีชีวิตอยู่ไปถึงร้อยแปดสิบปี คอยปรนนิบัติคุณหนู ยังมีคุณหนูน้อยและคุณชายน้อยอีก จะตายง่ายๆ ได้อย่างไร”

อาหยวนตัวสั่น “ขะ…ขอโทษเจ้าค่ะปู่เจียง…ข้าพูดผิดอีกแล้ว ใช่ๆ ท่านจะต้องเป็นเหมือนที่ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านของพวกเราว่าไว้ เป็นตะพาบพันปี เป็นเต่าหมื่นปีที่ฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย”

“…” ไม่ได้ๆ การคว่ำโต๊ะแต่เช้าเป็นเรื่องผิดธรรมเนียม อีกทั้งหายากที่จะมีอาหารดีๆ เช่นนี้ หากคว่ำทิ้งทั้งหมด ประเดี๋ยวคงได้แทะหมั่นโถวกินแน่ หนังเหี่ยวย่นบนใบหน้าของเหล่าเจียงกระตุกไม่หยุด ฝืนระงับความวู่วามไว้

“ปู่เจียง ท่านหน้าแดงยิ่ง” อาหยวนเห็นแล้วตกใจ รีบประคองร่างกาย ‘สั่นเทา’ ของเขาไว้อย่างลนลาน “เป็นเพราะตอนเช้าลุกเร็วเกินไปจนเลือดพุ่งขึ้นสมองหรือไม่เจ้าคะ ท่านแม่ข้าบอกว่าคนแก่ต้องระวังโรคนี้มากที่สุด ต้องใช้เข็มแทงปลายนิ้วปล่อยเลือด…”

“เจ้าสาปแช่งข้าให้น้อยลงหน่อย ข้าก็อายุยืนถึงร้อยปีแล้ว อมิตาภพุทธ” เหล่าเจียงหายใจฮึดฮัด

“อ้อ” อาหยวนหดคอ

ยามนั้นเองฮวาชุนซินที่เมื่อวานเร่งวาดภาพจนครึ่งค่อนคืนเบิกตาทั้งสองข้าง ‘ล่องลอย’ เข้ามาอย่างไร้ชีวิตชีวาเหมือนดวงวิญญาณ

“เหล่าเจียง อาหยวน…หาว…” นางหาวยาวเหยียดอย่างไม่ไว้กิริยาของสตรีเลยแม้แต่น้อย

“คุณหนู คุณหนูเชิญนั่งตรงนี้เจ้าค่ะ” อาหยวนเหมือนได้รับอภัยโทษ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มประจบขณะลากม้านั่งยาวเข้ามาอย่างเงอะงะ ไม่ลืมใช้แขนเสื้อเช็ดก่อนสองทีด้วย

เหล่าเจียงไม่สนใจจะถือสาหาความกับเด็กโง่ผู้นั้นอีก เขาฉีกยิ้มให้ฮวาชุนซิน “คุณหนู บ่าวช่วยตักโจ๊กให้ขอรับ คุณหนูลำบากแล้ว! ไม่ทราบว่าผลงานเมื่อคืนของคุณหนูคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว ลูกค้าต่างพากันซักถาม กระทั่งเถ้าแก่โรงพิมพ์ยังเร่งมาหลายหนแล้ว ขืนภาพ ‘ถ้ำพยัคฆ์ เตียงมังกร ยวนยางป่า’ ของท่านยังไม่ตีพิมพ์วางแผงเสียที หอตำราเลิศของเราต้องถูกลูกค้าที่หิวกระหายถล่มแน่ขอรับ”

“บ่าวยังอายุไม่ถึงสิบแปด ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น…” อาหยวนได้ยินคำว่า ‘ถ้ำพยัคฆ์ เตียงมังกร ยวนยางป่า’ ใบหน้าก็แดงก่ำ รีบอุดหูวิ่งหนีออกไป

อีกาฝูงหนึ่งบินผ่านไป…

“คุณหนู ท่านรู้สึกหรือไม่ว่านับวันสาวใช้ของเราจะยิ่ง…”

“ประหลาด”

“เฮ้อ ไม่รู้พวกเราจะสามารถเปลี่ยน…”

“ยาก”

ฮวาชุนซินกับเหล่าเจียงมองหน้ากัน ครู่ใหญ่ผ่านไป ต่างฝ่ายต่างทอดถอนใจคำรบหนึ่ง

“เอาเป็นว่าลูกค้าเร่งรัดเข้ามามาก คุณหนูจะถือโอกาสนี้ที่ตลาดกำลังคึกคัก ออกฉบับพิเศษของภาพวาดชุด ‘ดอกซิ่งแดงแผ่กลิ่นอวล’ เป็นภาพแผ่นเดียวสักหน่อยหรือไม่ขอรับ” เหล่าเจียงดื่มโจ๊กร้อนๆ หอมกรุ่นอย่างมูมมาม พลางเสนอด้วยความกระตือรือร้น

“ยังจะออกฉบับพิเศษอีกหรือ เจ้าเอาชีวิตข้าไปเสียเลยดีกว่า” ฮวาชุนซินก้มหน้าจัดการกับโจ๊กชามโต พอเนื้อแพะตุ๋นลงไปอยู่ในท้องได้สี่ห้าชิ้น ในที่สุดใบหน้าก็เริ่มมีเลือดฝาด นางพรูลมหายใจเอ่ยว่า “ตอนนี้ภาพชุดที่ข้าวาดอยู่เป็นผลงานแห่งปีที่ข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจมากที่สุด สิบสองหนุ่มล่ำกับสิบสองสาวงาม วาดจนมือของข้าหงิกงอไปหมดแล้ว ไหนเลยจะมีเวลาไปวาดฉบับพิเศษอะไรได้อีกเล่า เอาอย่างนี้ ถ้าเจ้าไหว เจ้ามาวาด!”

“ไม่ๆ ฝีมือบ่าววาดหลอกคนที่ไม่รู้เรื่องยังพอได้ ไหนเลยจะเทียบกับคุณหนูได้ขอรับ” เหล่าเจียงแลบลิ้น พูดอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว

“อย่าถ่อมตนไปเลย คิดถึงอดีต…” สายตานางเลื่อนลอยออกไปพักหนึ่ง “เจ้าเป็นคนที่จับมือสอนข้าวาดภาพเป็นคนแรก”

“ขอรับ” ใบหน้าชราของเหล่าเจียงที่ยับย่นเหมือนผลเหอเถา* ฉายความเศร้าเสียใจ ก่อนจะพึมพำว่า “บ่าวยังจำได้ว่าครั้งอดีตตอนเห็นคุณหนูครั้งแรก ดวงตาของคุณหนูทั้งโตทั้งดำขลับ เอาแต่กลอกไปมาอย่างไร้เดียงสา ริมฝีปากเล็กบอบบาง ทำเอาหัวใจบ่าวละลาย…คิดไม่ถึงว่าวันเวลาผันผ่าน พริบตาเดียวคุณหนูจะเติบโตถึงเพียงนี้แล้ว”

อาหารบนโต๊ะยังส่งกลิ่นหอมกรุ่น แต่ทั้งสองกลับไม่มีใครรู้สึกอยากอาหารอีก

“คุณหนู หากนายท่านยังอยู่ ทราบว่าบ่าวให้คุณหนูวาดภาพวังวสันต์หาเลี้ยงชีพเช่นนี้ บ่าวตายร้อยครั้งก็ยังไม่พอไถ่ถอนความผิด” เหล่าเจียงพลันรู้สึกเศร้า

“วาดภาพวังวสันต์แล้วอย่างไร” ฮวาชุนซินขอบตาร้อนผ่าว แต่กลับกะพริบตาอย่างรวดเร็ว หัวเราะออกมาและพูดว่า “ท้องอิ่มกายอุ่นเป็นธรรมดาของมนุษย์ เรื่องเพศสำคัญพอๆ กับเรื่องกินเรื่องนอน อีกอย่างสิบนิ้วของข้าทำอะไรไม่เป็น เข้าครัวไม่ได้ทำกับข้าวไม่อร่อย ต้องอาศัยการวาดภาพจึงจะหาเลี้ยงปากท้องได้ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าแต่ก่อนพวกเรามีภาพวังวสันต์ตั้งมากมาย ในจำนวนนั้นมีไม่น้อยที่เป็นผลงานของปรมาจารย์ อย่างจางฮุยจือ เมิ่งเต้าจื่อ…เฮ้อ ตอนนั้นถ้าไม่ลืมขนมาด้วยสักสองม้วน ภาพหนึ่งขายได้พันตำลึงทอง พวกเราก็รวยแล้ว”

เห็นคุณหนูทำท่าทางแสนเสียดาย เหล่าเจียงที่น้ำตาคลอก็อดหัวเราะขบขันไม่ได้

“ไม่ต้องกลัวขอรับ ตอนนี้ภาพของคุณหนูไม่ด้อยไปกว่าผลงานของปรมาจารย์พวกนั้นแล้ว” เขาฉีกยิ้มพูด

“นั่นสิ วันหน้าคอยดูฝีมือข้าเถอะ” นางตบหลังเหล่าเจียงเบาๆ ยิ้มพูดอย่างร่าเริง

เหล่าเจียงแย้มยิ้มเบิกบาน จู่ๆ ก็ถามอย่างลังเล “คุณหนู ท่าน…คิดจะเปิดเผยฐานะกับแม่ทัพกวนหยางเมื่อไรขอรับ”

รอยยิ้มบนริมฝีปากของฮวาชุนซินพลันหายไป แทนที่ด้วยความเหม่อลอยกลัดกลุ้ม

“คุณหนู ท่านควรเชื่อใจแม่ทัพกวนนะขอรับ ท่านลืมไปแล้วหรือว่าตอนเป็นเด็กล้วนเป็นเขาที่คอยคุ้มครองท่าน” เหล่าเจียงโน้มน้าวสุดกำลัง “บ่าวรู้ว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ พวกเราต้องระมัดระวังให้มาก แต่สกุลกวนจงรักภักดี ท่านกับแม่ทัพกวนเองก็ผูกพันกันมาตั้งแต่เล็ก หากไม่เพราะ…เกรงว่าป่านนี้พวกท่านสองคนคงลงเอยกันไปแล้ว”

“ลงเอยกับผีน่ะสิ!” หัวใจนางรู้สึกฝาดเฝื่อนและเจ็บแปลบ “เหล่าเจียง เขาจำข้าไม่ได้แล้ว”

เจ้าคนโง่ คนตาถั่ว เจอหน้าจังๆ ตั้งกี่ครั้งกี่หน ยังจำข้าไม่ได้แม้แต่น้อย หลายปีมานี้ทำสงครามจนสมองป่วยไปแล้วหรือไร

วันๆ ดีแต่ปั้นหน้าเย็นชาใส่นาง เสียทีที่นางอุตส่าห์ดั้นด้นเดินทางมาพันลี้ คิดหาหนทางลงหลักปักฐานในดินแดนทางใต้เพื่อจะได้อยู่ใกล้เขามากขึ้นอีกนิด…

นางถูหน้าไปมามั่วๆ แอบปาดน้ำตาที่ไหลรินออกมา

“คุณหนู ท่านจะโทษเขาได้อย่างไรขอรับ ตอนนั้นเมืองหลวง…” เหล่าเจียงทำท่าจะพูดและเงียบไป เหลือบมองรอบด้านอย่างระแวดระวัง ครั้นเห็นไม่มีคนจึงกดเสียงเบาพูด “โกลาหล แม่ทัพกวนต้องคิดว่าท่านไม่อยู่บนโลกนี้แล้วแน่ อีกอย่างเวลาผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว คุณหนูเปลี่ยนจากเด็กน้อยกลายเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง เขาจดจำไม่ได้ชั่วขณะก็สมควรแล้ว”

“บางทีในใจเขาตอนนั้น ข้าอาจเป็นแค่เด็กนิสัยเสียคนหนึ่งที่ตามตอแยเขาจนน่ารำคาญ เจอเขาครั้งแรกก็กัดมือเขาเป็นแผล อีกทั้งยังชอบเอาแต่ใจและขี้ฟ้อง ทำให้เขาถูกพ่อของเขาตีตั้งหลายที ไม่แน่ในใจเขาอาจไม่อยากรู้จักข้ามาก่อนเลยก็ได้” นางพูดอย่างขุ่นเคือง

“คุณหนู…” ทั้งที่ชอบผู้อื่นมากถึงเพียงนั้น บัดนี้กลับถือทิฐิดื้อรั้น การเดาใจสตรีช่างเหมือนการงมเข็มในมหาสมุทรโดยแท้ เหล่าเจียงยอมรับว่าชั่วชีวิตนี้ของตนก็คงคาดเดาไม่ถูก “เฮ้อ ท่านจะทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไรขอรับ”

“เจ้าไม่เข้าใจ ข้าไม่ได้แค่จะถือทิฐิเอาชนะ” หว่างคิ้วของฮวาชุนซินขมวดมุ่น ท่าทางกลัดกลุ้มเศร้าใจเล็กน้อย ตะเกียบในมือเขี่ยไปมาในชามโจ๊ก “ข้าเชื่อเขา แต่ก็กลัวว่าจะเชื่อคนผิด เหล่าเจียง ข้าสูญเสียอะไรไปมากมายเหลือเกิน ข้าไม่อาจสูญเสียอะไรไปได้อีกแล้ว”

เหล่าเจียงฟังแล้วเงียบไป ครู่ใหญ่ให้หลัง เขาใช้แขนเสื้อกว้างซับน้ำตาตรงหางตา “ขอรับ บ่าวสะเพร่าละเลยความสำคัญของเรื่องนี้เกินไป พวกเราเสี่ยงไม่ได้อีกแล้วจริงๆ ไม่ง่ายเลยกว่าคุณหนูจะรอดชีวิตมาได้”

นางไม่เอ่ยอะไรอีก เพียงมองออกไปนอกประตูด้วยใบหน้าซีดขาว มองท้องฟ้ากว้างใหญ่ไร้จุดสิ้นสุด

กวนหยาง หลายปีมานี้เจ้ายังคิดถึงข้าเหมือนที่ข้าคิดถึงเจ้าหรือไม่

ปีนั้นตอนที่ในวังเกิดความวุ่นวาย เมืองหลวงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สกุลใหญ่ทั้งสี่ถูกประหารเก้าชั่วโคตร เจ้าเคยร้อนใจเพราะข้าบ้างหรือไม่ เจ้าเคยตามหาข้าอย่างยากลำบากบ้างหรือไม่

หรือว่าเจ้าก็เหมือนคนอื่นๆ คิดว่าข้าตายไปในหายนะครั้งใหญ่ครั้งนั้นแล้ว ดังนั้นเจ้าจึงถือโอกาสลืมข้าไปเสีย

คืนก่อนตอนอยู่ในหอโคมเขียว ร่างกายของเราคลอเคลียแนบชิดถึงเพียงนั้นแล้ว ไม่มีช่วงเวลาใดจะใกล้ชิดมากไปกว่านี้อีก เหตุใดเจ้าถึงยังจำข้าไม่ได้

พอคิดถึงญาติผู้น้องในจวนแม่ทัพที่ทั้งอ่อนหวานสง่างาม อ่อนเยาว์ และโอหังผู้นั้น ใจนางก็ยิ่งโมโหว้าวุ่นสุดระงับ

“ไม่ได้!” นางพูดกับตนเอง ใบหน้าเผยความอ่อนแออย่างหาได้ยากนัก ทว่าพริบตาเดียวก็ถูกแทนที่ด้วยความดื้อรั้นหยิ่งทะนงพลางเอ่ยว่า “ข้าจะเป็นฝ่ายเฝ้ารอเช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว เขากวนหยางจะยอมรับว่าเขาเป็นคนของข้าหรือไม่ ข้าก็ไม่มีทางปล่อยมือ ใครจะแย่งเขาไปจากข้าได้…เหล่าเจียง!”

“ขอรับ!” เหล่าเจียงลุกขึ้นทันใด ยืนอย่างนอบน้อม “เชิญคุณหนูสั่งการ”

“ค่ายทหารสกุลกวนน่าจะมีผู้ที่ลุ่มหลงในหนังสือข้าไม่น้อยกระมัง”

“เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว เฉพาะลูกค้าในค่ายทหาร พวกเราก็ขายหนังสือได้ถึงหมื่นเล่มแล้วขอรับ”

“ดี ดีมาก ดีเหลือเกิน…” ฮวาชุนซินหัวเราะเจ้าเล่ห์

แม่ทัพใหญ่กวนหยาง ท่านเตรียมล้างก้นตนเอง…อ่ะแฮ่ม ล้างคอรอมารดาได้เลย!

จวนแม่ทัพปกปักทักษิณ

มือเล็กขาวนุ่มปานหิมะของเซวียเป่าหวนถือช้อนด้ามทอง กำลังหยอกล้อกับนกขมิ้นในกรงพลางฟังซินเยวี่ยรายงานข่าวน้อยใหญ่ในจวนที่สืบมาได้ในช่วงสองสามวันนี้

แต่ไรมาพี่ชายพูดคำไหนย่อมเป็นคำนั้น วาจาหนักแน่นดุจขุนเขา เอ่ยปากมาแล้วว่าหนึ่งเดือนให้หลังจะให้นางกลับเมืองหลวง เขาย่อมไม่มีทางให้นางอยู่ต่อแน่

ทว่าไม่ง่ายเลยกว่านางจะไขว่คว้าโอกาสอันดีนี้มาจากท่านป้าได้ แล้วจะยอมให้ตนเองกลับไปมือเปล่าได้อย่างไร

พี่ชายยุ่งกับงานในค่ายทหารของดินแดนทางใต้ จวนแม่ทัพแม้มีหัวหน้าพ่อบ้านฉีอยู่ ดูแล้วก็จัดการทุกอย่างได้เป็นระเบียบเรียบร้อยดี แต่เรื่องในเรือนมีมากมายที่บุรุษดูแลจัดการได้ไม่ดี นางติดตามข้างกายมารดา เรียนรู้วิธีจัดการเรื่องในบ้านดูแลงานในเรือนตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ ไม่ว่าจะงานจิปาถะภายในหรือการติดต่อไปมาหาสู่กับภายนอก นางล้วนจัดเจนและคุ้นเคย

ตอนนี้พี่ชายเพียงแต่ยังไม่สังเกตเห็นนาง ยังไม่ตระหนักถึงความดีของนางเท่านั้น แต่นี่ก็เพิ่งวันที่ห้าเองมิใช่หรือ

“คุณหนู ได้ยินว่าเมื่อเร็วๆ นี้โรงเย็บปักในจวนรับงานตัดเย็บชุดทหารและเสื้อผ้ารองเท้ามาจากรองแม่ทัพทั้งหลายในค่ายทหาร บอกว่างานเร่งมาก กลางเดือนต้องส่งของให้ได้เจ้าค่ะ” ซินเยวี่ยไม่รู้สักนิดว่าสิ่งที่สืบทราบมาได้ ล้วนเป็นข่าวคราวเล็กน้อยที่หัวหน้าพ่อบ้านฉีจงใจ ‘ปล่อย’ ออกมาเท่านั้น ยังคงรายงานคุณหนูของตนอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง อวดความสามารถและไหวพริบของตน “ป้าลู่ผู้ดูแลร้อนใจจนหัวหมุนเจ้าค่ะ”

เซวียเป่าหวนใช้ช้อนด้ามทองตักข้าวโพดช้อนหนึ่งใส่ลงในชามไม้โหยวถง* แกะสลักใบเล็กในกรงนกอย่างเชื่องช้า มองนกขมิ้นก้มหน้าจิกกินอย่างเบิกบาน

“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ” ซินเยวี่ยออกจะร้อนใจกว่านางมาก “นี่เป็นโอกาสอันดีที่ท่านจะได้แสดงฝีมือ ทำให้ท่านแม่ทัพใหญ่มองท่านใหม่นะเจ้าคะ”

“ซินเยวี่ย เจ้าไม่มีความอดทนอีกแล้ว” นางปิดประตูกรงให้ดี ก่อนจะหันกลับมายิ้มน้อยๆ “ข้าบอกแล้วว่าในจวนจะขาดนายหญิงที่คอยจัดการเรื่องต่างๆ ไปไม่ได้ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ข้าจะก้าวก่าย”

“เพราะเหตุใดเล่าเจ้าคะ” ซินเยวี่ยเบิกตาโต

“เหล็กกล้าต้องใช้ทำใบมีดเท่านั้น” เซวียเป่าหวนเม้มปากยิ้ม “หากต้องการให้พี่ชายเห็นความสามารถของข้า เห็นความดีของข้า ก็ต้องยื่นมือเข้าช่วยในช่วงเวลาที่ยากลำบากและคับขันที่สุด พลิกสถานการณ์เลวร้ายให้กลับกลายเป็นดี เช่นนี้ถึงจะทำให้อีกฝ่ายประทับใจได้ ทำให้เขายอมรับไมตรีจากข้า”

“คุณหนูเก่งกาจเหลือเกินเจ้าค่ะ” ซินเยวี่ยพลันเข้าใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเลื่อมใส

“ก็แค่ทักษะเล็กน้อยที่นายหญิงพึงมีเท่านั้นเอง” นางพูดเสียงเรียบ หว่างคิ้วกลับปิดความกระหยิ่มลำพองไว้ไม่มิด

เซวียเป่าหวนมั่นใจว่านางเหมาะสมกับตำแหน่งฮูหยินแม่ทัพปกปักทักษิณมากกว่าผู้ใดทั้งนั้น

“คุณหนู สองวันนี้บ่าวยังสืบทราบมาว่า…” ซินเยวี่ยลดเสียงให้เบาลงกะทันหัน เอ่ยด้วยท่าทางลึกลับ “ข้ารับใช้ในจวนล้วนไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพใหญ่มีสตรีรู้ใจหรือไม่ แต่องครักษ์จวนโหวที่เฝ้าประตูชั้นในเคยพลั้งปากบอกว่าทางใต้มีสตรีที่เลื่อมใสบูชาท่านแม่ทัพใหญ่มากมาย แต่ยังไม่เคยเห็นท่านแม่ทัพใหญ่พูดดีกับใครมาก่อน เว้นเพียงคนเดียว…”

“ใคร” เซวียเป่าหวนหัวใจหดเกร็ง น้ำเสียงเร่งร้อนเล็กน้อย จากนั้นมุ่นคิ้วเมื่อตระหนักว่าตนเผลอตัวไป

อากัปกิริยาของนางยังฝึกฝนมาไม่เพียงพอ มารดาเคยสอนสั่งว่าเกิดเป็นสตรีสูงศักดิ์ ว่าที่นายหญิงของบ้านในอนาคต ยิ่งเป็นเรื่องที่ใส่ใจก็ยิ่งต้องสุขุมเยือกเย็นให้มาก จะให้ข้ารับใช้ล่วงรู้ความนึกคิดจิตใจของตนไม่ได้เด็ดขาด

“บ่าวซักถามต่อ แต่ทำอย่างไรองครักษ์โหวก็ไม่ยอมปริปากพูดอีกเจ้าค่ะ” ซินเยวี่ยโมโห “ฮึ! ก็แค่บุรุษหยาบกระด้างต้อยต่ำคนหนึ่ง จะหยิ่งอะไรนักหนา ดีร้ายอย่างไรบ่าวก็เป็นถึงหัวหน้าสาวใช้ขั้นหนึ่งข้างกายคุณหนู เขากลับกล้าไม่เห็นบ่าวอยู่ในสายตา”

“คุกเข่า!” สายตาของเซวียเป่าหวนเย็นเยียบ ตวาดออกมาทันใด

“คะ…คุณหนู?” ซินเยวี่ยตกใจ

“ใครอนุญาตให้เจ้าวางท่าหยิ่งยโสพูดจาสามหาวในจวนเช่นนี้” เซวียเป่าหวนจ้องสาวใช้นิสัยใจร้อนวู่วามที่ปกติช่วยขับเน้นความเป็นกุลสตรีมีคุณธรรมรู้กาลเทศะของตนได้ดีที่สุด ยามนี้ในใจยากจะระงับความโกรธและเสียใจภายหลัง

เดิมทีนางไม่ควรไม่เชื่อฟังคำของมารดาดึงดันพาซินเยวี่ยมาทางใต้ แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางทำให้ทุกคนเห็นแล้วว่านางเป็นเจ้านายที่ใจกว้างสูงส่งเพียงใด กระทั่งข้ารับใช้นิสัยแย่ๆ อย่างซินเยวี่ยยังยอมรับได้

ท่านป้าที่ในอดีตเป็นฮูหยินกวนโหว ปัจจุบันเลื่อนขั้นเป็นฮูหยินกวนกั๋วกง กุมอำนาจใหญ่ในการปกครองจวน สิ่งที่ให้ความสำคัญเป็นที่สุดก็คือความใจกว้าง หากเป็นพวกจิตใจคับแคบสายตาตื้นเขิน ย่อมไม่เข้าตานางแน่นอน

ดังนั้นตั้งแต่ตอนที่นางรู้ว่าท่านป้ามีเจตนาจะให้หญิงสาวในสกุลของตนแต่งเข้าจวนกวนกั๋วกง นางก็วางแผนทุกอย่างไว้พร้อม ให้สาวใช้ซินเยวี่ยผู้นี้มาอยู่ข้างกายตน กลายเป็นหมากตัวหนึ่งที่จะใช้รุกหรือถอยก็ได้

แต่ครั้นเห็นซินเยวี่ยถูกนางตามใจอย่างเจตนาบ้างไม่เจตนาบ้าง บ่มเพาะนิสัยหยิ่งยโสไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำและมุทะลุวู่วามเช่นนี้ ยามนี้เซวียเป่าหวนอดนึกเสียใจไม่ได้

ตั้งแต่ได้เห็นญาติผู้พี่ที่เฉียบขาดเย็นชา นิสัยพูดคำไหนเป็นคำนั้นเหมือนเวลาปกครองทหาร นางก็เริ่มสงสัยว่าตนเองเดินหมากผิดไปหรือไม่ นางควรจะปรับตัวให้เข้ากับพี่ชายถึงจะถูก มิใช่วางตัวตามความชื่นชอบของท่านป้า

“คุณหนู บ่าวผิดไปแล้ว ครั้งหน้าบ่าวไม่กล้าอีกแล้วเจ้าค่ะ” ซินเยวี่ยเห็นคุณหนูตนเผยสีหน้าเฉียบขาดเย็นชาอย่างที่น้อยครั้งจะได้พบเห็นก็พลันสะดุ้ง

เซวียเป่าหวนจ้องมองนาง ครู่หนึ่งก็ร้องเรียกเสียงดังขึ้นเล็กน้อย “หม่านเยวี่ย!”

“บ่าวอยู่นี่เจ้าค่ะ” สาวใช้ผู้มีใบหน้าอิ่มเอิบท่าทางนอบน้อมคนหนึ่งก้าวเร็วๆ เข้ามา

ซินเยวี่ยมองหม่านเยวี่ยอย่างตระหนก ในใจบังเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี รีบโขกศีรษะให้เซวียเป่าหวนแรงๆ ร้องไห้เสียงสั่น “คุณหนู…คุณหนูละเว้นบ่าวอีกครั้งเถิดนะเจ้าคะ วันหน้าบ่าวไม่กล้าอีกแล้ว ความจงรักภักดีที่บ่าวมีต่อคุณหนู…”

“เก็บสัมภาระ ข้าจะให้คนส่งเจ้ากลับหลินอัน” เสียงของเซวียเป่าหวนยังคงนุ่มนวลมาก ทว่าแต่ละคำกลับเหมือนใบมีด “ข้าเก็บเจ้าไว้ไม่ได้แล้ว มารดายังต้องการให้เจ้าปรนนิบัติ…แน่นอน หากเจ้าไม่เต็มใจ สัญญาขายตัวของเจ้าอยู่กับข้า ให้นายหน้ามารับตัวเจ้าไป เรื่องแค่นี้คุณหนูอย่างข้ายังสามารถทำได้”

“คะ…คุณหนู…” ซินเยวี่ยตกใจจนวิญญาณแทบปลิวออกจากร่าง ดวงหน้าซีดขาวเต็มไปด้วยน้ำตา จะร้องไห้ยังไม่กล้าร้อง

“หม่านเยวี่ย ข้าไม่อยากเห็นหน้านางอีก” เซวียเป่าหวนเบือนหน้าไปทางอื่น

“เจ้าค่ะ บ่าวน้อมรับคำสั่ง” หม่านเยวี่ยย่อกายอย่างนอบน้อม ก่อนจะลากตัวซินเยวี่ยที่ร้องไห้ฟูมฟายออกไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

“คุณหนู…คุณหนู…อื้อ!” ซินเยวี่ยเปล่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญ ก่อนที่ปากจะถูกยัดด้วยอะไรบางอย่างในชั่วเวลาต่อมา เหลือเพียงเสียงอู้อี้แผ่วเบาเท่านั้น

หม่านเยวี่ยที่มารดาหามาให้นางจัดการเรื่องต่างๆ ได้เฉียบขาดโดยแท้

เซวียเป่าหวนพรูลมหายใจเบาๆ พึมพำกับตนเอง “เห็นทีที่ผ่านมาข้าจะทำผิดไป”

แต่นางจะไม่ปล่อยให้ตนเองประเมินสถานการณ์ผิดอีกครั้ง ทุกย่างก้าวในจวนแม่ทัพแห่งนี้ล้วนต้องก้าวไปอย่างมั่นคงและถูกต้องเท่านั้น!

บทที่ 4

 ดินแดนทางใต้ ค่ายทหารใหญ่อันวุ่นวาย

หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกช่วงเช้าอันเข้มงวดเหน็ดเหนื่อยไม่ต่างจากนรก ช่วงพักกลางวัน เหล่าทหารที่ควรจะกัดหมั่นโถวขาวอวบนุ่มนิ่ม ดื่มน้ำแกงเนื้อวัวเผ็ดร้อนอย่างสาสมใจ กลับคว้าหมั่นโถวแอบมาชุมนุมกันมุมหนึ่งอย่างลับๆ เสียงที่กดให้เบาแฝงความตื่นเต้นยินดี กระชุ่มกระช่วยอย่างปิดไม่อยู่

“นี่ๆ ได้ยินว่าเร็วๆ นี้อาจารย์ฮวาชุนซินจะจัดงานแจกลายมือชื่อลับครั้งแรกที่ศาลาสามลี้นอกค่าย สหายวังห้าสิบคนแรกที่มาเข้าแถวจะได้ของแจกปริศนาที่รับรองว่าหาซื้อข้างนอกไม่ได้อย่างแน่นอน”

“อะไรคือสหายวัง”

“เจ้าโง่! ย่อมต้องเป็นสหายวังวสันต์น่ะสิ เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้ เจ้าหนุ่มน้อย เจ้ายังไม่เคยกินเนื้อสิท่า ครั้งหน้าจะตามพี่ชายไป ‘หอคลื่นวสันต์’ กินเนื้อเพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่หรือไม่ ฮิๆ”

“พี่พั่งจื่อ ท่านต่ำช้าเกินไปแล้ว เสี่ยวจิ่วรักษาความบริสุทธิ์มาตั้งนาน จะเสียตัวง่ายๆ ได้อย่างไร” ทหารล่ำสันอีกนายใช้ฝ่ามือเหล็กที่ใหญ่ราวพัดใบลานตบหลังชายที่ถูกเรียกว่า ‘พั่งจื่อ’ หันกลับไปพูดกับทหารที่เห็นได้ชัดว่าบริสุทธิ์ไร้เดียงสาหลอกง่ายว่า “จะกินเนื้อ ย่อมต้องไป ‘หอนกขมิ้นขับขาน’ ถึงจะเรียกว่าไม่เสียเปล่า! พี่ชายแนะนำให้เจ้าไปหาแม่นางปาไชจากสิบเอ็ดนางคณิกาเลื่องชื่อ เรือนร่างอวบอัดน้ำเสียงอ่อนหวาน รับรองว่าไม่เจ็บแน่ มีแต่ความหวิวและเคลิบเคลิ้ม กระชากวิญญาณเป็นที่สุด เร้าอารมณ์ยิ่งนัก! ฮ่าๆๆๆ”

เสี่ยวจิ่วเขินอายจนหน้าแดง เลือดกำเดาใกล้จะไหลออกมาเต็มที

ในที่สุดทหารนายอื่นๆ ก็ทนดูต่อไปไม่ได้ “ตอนนี้พวกเรากำลังคุยเรื่องงานแจกลายมือชื่อของอาจารย์ชุนซินอยู่มิใช่หรือ ออกนอกเรื่องกันส่งเดชได้อย่างไร ข้ายังอยากจะรีบเป็นห้าสิบคนแรกที่ไปเข้าแถวนะ รีบบอกมาเร็วเข้าว่างานจัดวันใดเวลาใด ข้าจะได้ชิงขอลาหยุดกับท่านรองแม่ทัพแต่เนิ่นๆ”

“ฮ่าๆ เจ้าช้าไปก้าวหนึ่งเสียแล้ว ค่ายทหารเกราะเหล็กของพวกเรามีพี่น้องขอลาหยุดพร้อมกันถึงเจ็ดสิบแปดสิบคน ได้ยินว่าค่ายทหารกล้าก็มีพวกพี่ใหญ่ลาหยุดถึงยี่สิบสามสิบคน ค่ายนกฮูกของพวกเจ้ารู้ข่าวช้าเกินไปแล้วจริงๆ ไม่มีส่วนในของแจกปริศนาหรอก ฮ่าๆๆๆ” ทหารจากค่ายทหารเกราะเหล็กที่เดินผ่านอดหัวเราะอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นไม่ได้

“ถุย! ก็แค่ชนะเรื่องการลาหยุดเท่านั้น ยังไม่แน่ว่าวันนั้นใครจะเข้าแถวอยู่ข้างหน้า” ทหารค่ายนกฮูกสิบกว่านายควันออกหูทันใด รวมกลุ่มกันจับตัวทหารจากค่ายทหารเกราะเหล็กที่รนหาที่ตายผู้นี้ไว้แล้วกระหน่ำกำปั้นออกไปอย่างโกรธเกรี้ยว “หน็อยแน่! ตายเสียเถอะ!”

บ้างก็จู่โจมด้านล่าง บ้างก็จู่โจมด้านบนตรงหน้าอก ประกอบกับการตอบโต้ด้วยมือเท้าของ ‘ผู้เคราะห์ร้าย’ และมีทหารจากค่ายอื่นๆ มาชมดูความครึกครื้น พลันเสียงเอะอะก็ดังสนั่น

แน่นอนว่าเรื่องนี้ถูกหัวหน้าค่ายต่างๆ ที่ทราบข่าวรุดมาระงับไว้ได้ด้วย ‘ความรุนแรง’ ในเวลาเพียงไม่นาน แต่เหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นเพราะงานแจกลายมือชื่อถูกรายงานไปยังโต๊ะทำงานของแม่ทัพใหญ่อย่างรวดเร็ว

“วันนั้นค่ายทหารทั้งสิบสองค่ายไม่ว่าใครก็ห้ามลาหยุด ผู้ฝ่าฝืนคำสั่งออกจากค่าย โบยร้อยครั้ง!” กวนหยางสีหน้าเย็นชาเฉียบคม จัดการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด

“ซี้ด…” รองแม่ทัพไต้ผู้ทำหน้าที่รายงานและหัวหน้าหอโบยที่ทำหน้าที่ลงทัณฑ์สูดหายใจด้วยความตระหนกพร้อมกันแบบไม่ได้นัดหมาย

แค่กๆ เดิมทีวันนั้นพวกเขาก็อยากไปเข้าแถวด้วยเหมือนกัน

น่าโมโหนัก! เป็นเพราะเจ้าพวกตัวแสบก่อเรื่องใหญ่เช่นนี้ คราวนี้เป็นอย่างไรล่ะ ทำให้ท่านแม่ทัพใหญ่โมโห ตอนนี้ไม่ว่าใครก็อย่าฝันจะได้ลายมือชื่อจากอาจารย์ฮวาเลย!

รองแม่ทัพไต้บดฟันด้วยความขุ่นเคืองพลางคิดในใจว่า ประเดี๋ยวกลับไปจะต้องซ้อมเจ้าตัวต้นเหตุสักยกให้ได้

หัวหน้าหอโบยยิ้มอันตราย…

ครั้งหน้าหากพวกเจ้าตกอยู่ในกำมือข้า ข้าจะต้องถลกหนังพวกเจ้าออกมาชั้นหนึ่งให้จงได้ หึๆ

รอจนทั้งสองรับคำสั่งจากไปแล้ว กวนหยางก็ก้มหน้าอ่านรายงานทางการทหารต่อ ครู่ใหญ่จึงถามเสียงเย็น “ยิ้มอะไร”

ตันจื่ออดใจไม่อยู่ปรากฏตัวออกมาจากที่ลับ รีบเก็บท่าทางขำขันที่ปิดบังไว้ไม่อยู่ “เอ่อ เรียนนายท่าน ผู้น้อยมิกล้าขอรับ”

“วันนั้น” เขาไม่เงยหน้า เพียงเอ่ยต่ออย่างเนิบช้า “เจ้าก็ห้ามไป”

“ไม่…” ตันจื่อร้องเสียงหลงทันที “นายท่าน วันนั้นเป็นวันหยุดของผู้น้อยอยู่แล้ว…เดิมทีผู้น้อยจัดการเรื่องงานไว้เรียบร้อยแล้ว…เช่นนี้ไม่ยุติธรรมเลย”

คิ้วเข้มของกวนหยางเลิกขึ้นนิดๆ ไอสังหารฉายวูบ

“ผู้น้อยน้อมรับคำสั่ง” ฮือ…

“เจ้าไปตรวจสอบงานแจกลายมือชื่อครั้งนี้” เขาสั่งขึ้นเสียงเรียบ “ต้นตอของข่าว ช่องทางแพร่กระจาย ขอบข่ายที่ส่งผลกระทบ พรุ่งนี้เวลานี้ ข้าต้องการข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด”

“ขอรับ!” ตันจื่อเปลี่ยนจากความเศร้าเป็นยินดี ดวงตาเปล่งประกาย “นายท่านอนุญาตให้ผู้น้อยนำกำลังส่วนรวมมาใช้สืบหาเบาะแสของอาจารย์ฮวาชุนซินแล้วใช่หรือไม่ ต้องสืบละเอียดเพียงใดขอรับ”

เครือข่ายข่าวกรองขององครักษ์ลับจวนแม่ทัพปกปักทักษิณกระจายอยู่เกือบทั่วหล้า เรื่องใหญ่น้อยในเมืองทางใต้ขอเพียงองครักษ์ลับออกโรงย่อมจัดการได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่ก่อนหน้านี้เรื่องความลับของอาจารย์ผู้วาดภาพวังวสันต์ นายท่านไม่อนุญาต พวกเขาจึงไม่มีใครกล้าสืบเรื่องนี้อย่างลับๆ

บัดนี้ดีล่ะ นายท่านเอ่ยอนุญาตออกมาเอง เช่นนั้นพวกเขาย่อมไม่ต้องหักห้ามใจและอดกลั้นอีกต่อไป

ขะ…ข้าจะดูแบบร่างภาพวังวสันต์ภาพล่าสุดที่อาจารย์ฮวากำลังวาดอยู่!

ขณะที่ตันจื่อตื่นเต้นจนหน้าบาน ขาดแค่ไม่ได้แลบลิ้นกระดิกหางเท่านั้นก็ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มต่ำลึกของผู้เป็นนายดังขึ้นช้าๆ “ข้าไม่สนใจโฉมหน้าที่แท้จริงและสิ่งที่คนผู้นั้นกำลังทำอยู่ในตอนนี้”

ใบหน้าเปื้อนยิ้มของตันจื่อพลันงอง้ำยับยู่ “นายท่าน…”

“ไม่อนุญาตก็คือไม่อนุญาต” ดวงตาของกวนหยางวูบไหวเล็กน้อย สิ่งที่ดูคล้ายรอยยิ้มปรากฏขึ้นและหายวับไปโดยเร็ว ทว่าตันจื่อที่กำลังอยู่ในความเศร้าโศกโอดครวญไหนเลยจะมองเห็นเล่า ดังนั้นเขาจึงยิ่งเศร้าโศกและโอดครวญกว่าเดิม

“นายท่าน…” ตันจื่อยังอยากจะพยายามดิ้นรนอย่างหมดทางสู้เป็นครั้งสุดท้าย ปั้นยิ้มน่ารักเต็มที่ “ท่านโปรดเห็นแก่ที่ผู้น้อยติดตามท่านมาตั้งแต่อายุห้าขวบด้วยเถอะขอรับ…”

“ไสหัวไป” เขาพ่นคำพูดออกมาแผ่วเบา

“ผู้น้อยจะไสหัวไป ไสหัวไปเดี๋ยวนี้ขอรับ” ตันจื่อได้แต่ทำหน้าเหมือนญาติเสีย ก่อนจะหายลับไปจากสายตา

มุมปากกวนหยางอดยกขึ้นน้อยๆ ไม่ได้ ทว่าพอคิดถึงตัวการของภาพวังวสันต์ที่น่าโมโหอย่างยิ่งผู้นั้นแล้ว สายตาก็คืนสู่ความเย็นชาเฉียบคม หัวคิ้วขมวดกันแน่น

หากแค่ภาพวังวสันต์ก็สั่นคลอนจิตใจของทหารได้ ถ้าคนผู้นี้มีแผนการอื่น…

ข้อนิ้วเคาะหนังสือรายงานที่กางออกเบาๆ ประกายเยียบเย็นในดวงตาเข้มข้นกว่าเดิม ครู่หนึ่งมุมปากก็เผยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมา

กันไว้ดีกว่าแก้…

“ย่า” เขาเรียกเสียงทุ้ม

เงาดำอีกสายปรากฏตรงหน้าเขา คุกเข่าข้างเดียว “นายท่าน?”

“มีเรื่องหนึ่งจะสั่งเจ้า”

“เชิญนายท่านสั่งการ”

เขาเอ่ยคำพูดง่ายๆ ไม่กี่คำ เงาดำชะงักไปคล้ายประหลาดใจ แต่แล้วก็รับคำอย่างนอบน้อมทันทีและจากไป

“แค่การเชือดไก่ก็ต้องให้ข้าใช้มีดเชือดวัว…” ดวงตาของกวนหยางทอประกายวูบ ริมฝีปากคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “หวังว่า ‘อาจารย์’ อย่างเจ้าจะมีค่าพอ”

ฮวาชุนซิน

 

 

(ติดตามต่อในเล่ม)

หน้าที่แล้ว1 of 33

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: