บทที่ห้า
รอจนเถาเม่ยเอ๋อร์ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่านางได้นอนอยู่ภายในห้องนอนของตนเองแล้ว นางได้ยินเสียงบดยาดังมาจากด้านนอกห้อง เมื่อลงจากเตียงเดินออกมาก็เห็นเถาจ้งซานคล้ายจะสงบลงอย่างหาได้ยากยิ่ง เขากำลังใส่สมุนไพรบางส่วนลงไปในเครื่องบดก่อนออกแรงผลักไปมา
เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืนคลุมเครือราวภาพฝัน
ร้านไป่เฉ่าถูกอาบไล้อยู่ท่ามกลางสายลมอันอบอุ่น ยังคงเป็นเช่นที่ผ่านมา จินเจิ้งกำลังเช็ดฝุ่นบนโต๊ะ
นางนวดขมับที่ยังคงรู้สึกปวดอยู่น้อยๆ ก่อนส่งเสียงเรียกอย่างไร้เรี่ยวแรง “จินเจิ้ง เจ้า…”
“คุณหนู ท่านตื่นแล้วหรือขอรับ” จินเจิ้งเดินมาต้อนรับ “เมื่อคืนช่างแปลกมากจริงๆ น้ำในถังนั้นเปลี่ยนเป็นสีดำไปจนหมด ส่วนคุณหนูสกุลสือผู้นั้นก็ปลอดภัยดีแล้ว แต่ไรมาไม่เคยพบเห็นวิธีการรักษาเช่นนั้นมาก่อน”
“ถ้าอย่างนั้นเขา…” นางมองหาเงาร่างสีขาวนั้นไปรอบด้าน เขาเพิ่งผ่านความเจ็บปวดจากการสูญเสียมารดา เดิมทีก็เป็นผู้ที่ประสบพบเคราะห์เช่นเดียวกับนาง แต่กลับมีทั้งด้านดีและด้านร้าย ซับซ้อนยากจะแยกแยะได้ชัดเจน
“ท่านเขยไปเก็บยาสมุนไพรแล้วขอรับ เขาบอกว่าศพของนายท่านได้ฝังลงสู่ดิน พิธีเสร็จสิ้นแล้ว จะต้องเปิดกิจการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อีกครั้งแล้ว ปัญหาส่วนตัวถือเป็นเรื่องเล็ก หากกระทบต่อราษฎรผู้บริสุทธิ์จะเป็นเรื่องใหญ่”
“ท่านเขย?”
นางถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าชีวิตที่เหลือของตนเองต้องอยู่กับคนผู้นั้น แต่การกระทำของคนผู้นั้นนับวันจะยิ่งคาดไม่ถึงมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เหมือนกับโจรภูเขาผู้หนึ่งเลยสักนิด
“แล้วอาการป่วยของท่านป้าสวีเป็นเช่นไรบ้าง” นางพลันนึกขึ้นมาได้ หลังตนเองประสบเรื่องสูญเสียบิดาและพี่ชายเสียสติก็ไม่ได้ไปเยี่ยมสวีฮูหยินมานานแล้ว
“ได้ยินว่าอาการหนักขึ้นเรื่อยๆ ขอรับ บางเวลาก็กล่าวเพ้อเจ้อ บางเวลาก็อาละวาด จดจำคนในครอบครัวตนเองไม่ได้แล้ว ช่างน่าสงสารเสียจริง”
เมื่อเห็นพี่ชายยังคงก้มหน้าก้มตาบดยา หัวใจนางก็หนักอึ้งขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ เคราะห์กรรมที่มาเยือนโดยกะทันหันนี้ถึงกับทำลายความสุขของสองครอบครัว แต่ช่างเถิด ในเมื่อนี่คือหนี้กรรมที่เกิดมาจากสกุลเถา ก็ให้คนสกุลเถาชดใช้คืนเถิด!
เมื่อเดินเข้าไปในเรือนเล็กที่คุ้นเคยแห่งนั้นอีกครั้ง ดอกไม้ยังคงงดงามเหมือนเก่า เพียงแต่ไม่อาจได้ยินเสียงรถม้าขวักไขว่ภายนอกประตูโรงหมอจี้ซื่ออีกต่อไปแล้ว
เสียงโหยหวนราวกับถูกฉีกกระชากหัวใจดังออกมาเป็นระลอก ทำลายความคิดและการตัดสินใจที่เถาเม่ยเอ๋อร์รวบรวมมาอย่างยากลำบาก
“เม่ยเอ๋อร์” เมื่อเปิดประตูก็เห็นสวีลี่คังกำลังป้อนยาให้สวีฮูหยินด้วยตนเอง พอเห็นเถาเม่ยเอ๋อร์เดินเข้ามา น้ำตาพลันนองใบหน้าชรา ไม่เหลือความสงบนิ่งดังที่ผ่านมาอีก “เม่ยเอ๋อร์มาแล้ว อาการป่วยของท่านป้าเจ้ายังไม่หายดี ข้าไม่มีเวลาไปดูแลเรื่องพิธีศพของพ่อเจ้าเลย ช่างน่าละอายใจนัก” สวีลี่คังกล่าวเสียงสั่น
“ท่านลุงกล่าวหนักไปแล้ว เป็นสกุลเถาที่ทำให้พวกท่านลำบาก เม่ยเอ๋อร์ขอรับผิดต่อท่านลุงอีกครั้ง” นางมองดูแววตาสวีฮูหยินที่ใกล้เคียงกับเสียสติ ในใจพลันรู้สึกปวดร้าว
“เฮ้อ นี่คือคราวเคราะห์ของสกุลสวี เม่ยเอ๋อร์ เจ้าไม่จำเป็นต้องโทษตนเองแล้ว ความพยายามอยู่ที่คน ความสำเร็จอยู่ที่ฟ้า…”
สวีลี่คังยังกล่าวไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงหวีดร้องของสวีฮูหยินดังขึ้นอีกครั้ง ดวงตากลอกขึ้นบนเขม็ง ปากพ่นฟองขาว ตัวเกร็งเอนล้มไปข้างหลัง
“ฮูหยิน!”
“ท่านป้า!” เถาเม่ยเอ๋อร์ตกตะลึงจนใบหน้าเผือดสี ไม่คิดว่าอาการป่วยของสวีฮูหยินจะหนักหนาเพียงนี้ “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ท่านลุง ท่านป้า…นาง…”
สวีลี่คังผงกศีรษะอย่างเจ็บปวด ในมือมีเข็มเงินหลายเล่มที่ทยอยปักลงไป
“เม่ยเอ๋อร์ไม่เชื่อ ท่านลุง ท่านไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
“เม่ยเอ๋อร์ เจ้าเองก็รู้ โรคเกิดเร็วดุจภูเขาถล่ม แม้เป็นหมอก็ไม่อาจต่อสู้กับสวรรค์หรือหลีกเลี่ยงการเกิดแก่เจ็บตายได้”
เถาเม่ยเอ๋อร์มองอย่างตกตะลึง หลังจากสวีฮูหยินชักไปหนหนึ่ง สีหน้าก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ จากนั้นเข้าสู่สภาพหลับลึก นางจึงผ่อนลมหายใจออกมาได้ในที่สุด
“เม่ยเอ๋อร์ได้ยินมาว่ามีสมุนไพรชนิดหนึ่งที่สามารถรักษาอาการป่วยของท่านป้าได้เจ้าค่ะ”
“หืม?”
“วันนี้ตอนเช้าได้ยินจินเจิ้งบอกว่ามีสมุนไพรล้ำค่าชนิดหนึ่งคือนอแรด ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ดินแดนของพวกเรามี แต่ชาวต่างแดนเป็นผู้นำเข้ามาถวายให้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้สมุนไพรชนิดนี้จึงหาได้ยากยิ่งในหมู่ราษฎร น่าเสียดายที่พระราชวังต้องห้ามหาใช่สถานที่ที่ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเราสามารถเข้าไปได้”
“นอแรดนั้นหาได้ยากจริงๆ ข้าเคยเห็นกับตามาหนหนึ่ง”
เถาเม่ยเอ๋อร์รู้สึกปีติจากใจ “อะไรนะเจ้าคะ ท่านลุงเคยเห็นจากที่ใดมาก่อนหรือ”
สีหน้าสวีลี่คังเคร่งขรึมลงทันที “นั่นเป็นเรื่องเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ในปีนั้นภายในพระราชวังมีอยู่เพียงสองชิ้น ชิ้นหนึ่งฮ่องเต้พระราชทานให้แก่อวี้จางอ๋องเซียวจง อีกชิ้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ด้วยเหตุนี้ทำให้ต้องสังเวยไปถึงสองชีวิต”
“เอ๋? เรื่องพวกนี้ท่านลุงรับรู้มาจากที่ใดหรือเจ้าคะ”
สวีลี่คังไร้วาจาไปชั่วขณะ จากนั้นจึงกระแอมเสียงเบา “อ้อ เม่ยเอ๋อร์ เจ้ารั้งอยู่ที่นี่อีกสักพักเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะให้คนไปต้มยามาให้ท่านป้าเจ้ากิน”
“ไม่ดีกว่าเจ้าค่ะ เม่ยเอ๋อร์ขอตัวก่อนแล้ว”
เมื่อเดินออกมาจากสกุลสวี เถาเม่ยเอ๋อร์พลันตระหนักว่าตนเองไม่ได้กลิ่นหอมสดชื่นที่เคยฟุ้งไปทั่วทั้งสวนนั้นอีกแล้ว คล้ายว่าการดมกลิ่นจะมีปัญหา
สวีเทียนหลินไม่อยู่บ้าน เช่นนั้นก็คงออกไปตรวจรักษาอยู่ เถาเม่ยเอ๋อร์ลอบถอนหายใจ ในเมื่อพบพานมิสู้ไม่พบ เช่นนั้นก็ตามแต่โชคชะตาก็แล้วกัน ที่ผ่านมานางไม่เคยคิดมาก่อนว่าสวีเทียนหลินที่ถนอมปกป้องตนมาตั้งแต่เด็ก ยามที่เผชิญกับจุดสูงสุดต่ำสุดในชีวิตจะทำให้นางเกิดความรู้สึกผิดหวังเพียงนี้
ในตอนที่กำลังก้มหน้าครุ่นคิดขณะที่เข้ามาในห้องโถงหลักของร้านไป่เฉ่า เถาเม่ยเอ๋อร์ก็เดินชนเข้ากับ ‘กำแพงขาว’ กำแพงหนึ่ง ก่อนที่กำแพงขาวนั้นจะขยับเคลื่อนไหวเข้ามาประชิดนาง
ลมหายใจของหลินจื่อเฟิงแผ่พลังของบุรุษเพศออกมา กลิ่นอายนั้นเป็นความเผด็จการที่เขามีมาแต่กำเนิด สีหน้าเขากรุ่นโกรธ ขวางทางเดินของนางดุจทิวเขาอันสลับซับซ้อน
“เจ้าไปที่ใดมา”
“ไปเยี่ยมท่านป้าสวีที่บ้านสกุลสวี!”
เถาเม่ยเอ๋อร์คิดผลักเขาออก ทว่าสุดท้ายก็ตระหนักได้ว่าความอ่อนโยนและความบอบบางของสตรีไม่อาจสู้กับกำลังของบุรุษได้จริงๆ หากสตรีผู้หนึ่งสามารถเอาชนะความทะนงตนของบุรุษผู้หนึ่งได้ เกรงว่าบุรุษผู้นั้นคงจะทุ่มเทใจให้สตรีผู้นั้นอย่างถึงที่สุด นางรู้ว่าตนเองเป็นเพียงเครื่องสังเวยที่มีไว้ระบายความแค้นของเขา เป็นผู้ที่ไม่มีวันชำระล้างความผิดได้หมดสิ้น…นางเป็นได้เพียงแค่นี้เท่านั้น
“จริงหรือ” เขาขมวดคิ้วก่อนจะแค่นเสียง “ข้าว่าเจ้ามีความคิดอื่นเสียมากกว่า ไปหาเขามาหรือ”
เถาเม่ยเอ๋อร์ส่ายศีรษะอย่างผิดหวัง “หลินจื่อเฟิง มีอะไรก็กล่าวมาตามตรงเถอะ ชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว ก็คงยากจะแก้ปมในใจเจ้า มิสู้กล่าวทีเดียวให้เด็ดขาดไปเลย!”
“เม่ยเอ๋อร์ เจ้าเป็นผู้มีความกล้าเหนือผู้อื่น ยังคงรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ได้แม้จะเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง ช่างชวนให้ผู้คนต้องมองดูเจ้าใหม่โดยแท้!” หลินจื่อเฟิงกล่าวพร้อมขยับประชิดใบหน้านางมากขึ้น กลิ่นหอมที่ดึงดูดผู้คนนั้นซึมซาบเข้าไปในจมูกนางอีกครั้ง
“เป็นสกุลเถาที่ล่วงเกินเจ้า หาใช่สกุลสวี เหตุใดจึงต้องสร้างปัญหาให้สกุลสวีด้วย”
“ในเมื่อเจ้าเป็นคู่หมั้นของข้า เจ้าก็ต้องรู้จักสำรวม นับจากวันนี้ร้านไป่เฉ่ากับโรงหมอจี้ซื่อไม่มีวันไปมาหาสู่กันอีก จำได้แล้วใช่หรือไม่”
“หลินจื่อเฟิง แม้ข้าเถาเม่ยเอ๋อร์จะมอบคำสัญญาให้เจ้าแล้ว แต่หากเจ้าบีบบังคับกันมากเกินไป ข้าก็แค่ชดใช้อีกหนึ่งชีวิตให้เจ้าเท่านั้น ภายในร้านไป่เฉ่านี้ ข้ายังคงเป็นบุตรสาวสกุลเถาอยู่!” นางผลัก ‘กำแพงขาว’ ตรงหน้าออกไป คิดเพียงอยากไปค้นดูตะกร้าสานที่บรรจุกันเฉ่าตะกร้านั้น
“เม่ยเอ๋อร์ ข้าคือสามีในอนาคตของเจ้า เจ้าจะต้องเชื่อฟังข้าตามธรรมเนียมปฏิบัติ!” เสียงของหลินจื่อเฟิงก้องกังวานประดุจเสียงของอสนีบาต ส่งผลให้เปลือกตาเถาเม่ยเอ๋อร์กระตุกทันที
ในใจนางเต็มไปด้วยความรู้สึกสลับซับซ้อน เมื่อได้กลิ่นหอมที่แผ่กำจายออกมาช้าๆ จากร่างเขาก็อดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ “สิ่งใดบนร่างเจ้าที่ส่งกลิ่นหอมเช่นนี้ ข้าคล้ายจะไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน”
“หืม?” เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาคมคล้ายต้องการมองนางให้ทะลุปรุโปร่ง หลังผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดเขาก็ผ่อนคลายลงพร้อมเหยียดยิ้มออกมา “หากอยากรู้ว่านั่นเป็นกลิ่นหอมอะไร เจ้าก็รับปากเงื่อนไขของข้าเสีย”
เถาเม่ยเอ๋อร์พยายามข่มความอยากรู้อยากเห็นของตนเองเอาไว้ มองตอบเขากลับไปด้วยแววตาที่หนักแน่นชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยเก็บดวงตางดงามคู่นี้ให้กลายเป็นดวงดาวที่ไม่สะดุดตาอยู่ภายใต้แสงจันทร์
นางหมุนกายแล้วตะโกนออกไปข้างนอก “จินเจิ้ง นำสมุนไพรที่เถ้าแก่หอจวี้หม่านต้องการไปส่งด้วย!”
“มาแล้วขอรับ ให้แบ่งออกเป็นห่อเล็กๆ หรือว่ารวมเป็นห่อใหญ่เลยขอรับ” จินเจิ้งถาม
“นี่เป็นตำรับยาที่ทำให้คนไข้ขับเหงื่อ ต้องใส่เรียงตามลำดับลงไปจึงจะดี แน่นอนว่าต้องแบ่งเป็นห่อ ตอนนี้อากาศร้อนแล้ว ยาที่ต้มให้คนไข้ไม่อาจทิ้งไว้ได้นาน การแบ่งครั้งต้มจะดีกว่า”
“ขอรับ ข้าขอตัวก่อน” จินเจิ้งตอบรับ จากนั้นก็เดินออกจากประตูไป
เถาเม่ยเอ๋อร์ไม่สนใจมองหลินจื่อเฟิงอีกแม้สักครั้งเดียว นางห่อยาลูกกลอนที่ทำออกมาจนเสร็จเรียบร้อยถึงได้เดินเข้าไปในห้องด้านใน
หลินจื่อเฟิงมองหญิงงามผู้มีเหงื่อหลั่งรินเดินหายไปต่อหน้าโดยไม่ละสายตา ภายในใจพลันวูบโหวงเล็กน้อย
ขณะที่เถาเม่ยเอ๋อร์ยังคงเหม่อลอย ทั้งที่บุรุษผู้นั้นเป็นโจรภูเขาผู้มีความแค้น ทว่ากลับทำให้ผู้คนมักหลงลืมฐานะของเขา เขาเป็นคนเช่นไรกันแน่นะ ด้วยเหนื่อยล้าทั้งกายใจ ดังนั้นแม้จะยังไม่ถึงเวลาพักผ่อนตามปกติ นางก็เผลอหลับตาลงไปโดยไม่รู้ตัว
เมื่อตื่นขึ้นมาสีหน้าของเถาเม่ยเอ๋อร์ก็สดใสขึ้นมาก นางได้ยินเสียงนกขมิ้นเหลืองร้องแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบสงัด ยามเดินเข้าไปในห้องโถงหลักก็ได้ยินเสียงบดยาอันคุ้นเคยผสานมากับกลิ่นดอกหลิ่วฮวาเซียงยามรุ่งสาง ซึ่งเสียงนั้นดังขึ้นกระทบใจเถาเม่ยเอ๋อร์เข้าแล้ว
“จินเจิ้ง ดมออกหรือไม่ว่านั่นคือกลิ่นอะไร” เสียงของหลินจื่อเฟิงดังกระจ่างชัด
เมื่อลอบมองไปก็เห็นเพียงจินเจิ้งถือของสีดำชิ้นหนึ่งขึ้นมาทั้งดมทั้งกัด ทั้งบิดทั้งหัก
“ท่านเขย ข้าไม่เคยเห็นของสิ่งนี้มาก่อน กลิ่นหอมนี้เป็นเอกลักษณ์ยิ่ง ประหนึ่งแทรกซึมไปถึงกระดูกของท่านได้ในชั่วพริบตา มิใช่หลันเฉ่า หาใช่ชะมดเชียง แล้วก็ไม่ใช่รากซี่ซิน เป็นสิ่งใดกันแน่หรือขอรับ”
“กลิ่นหอมนี้หอมมากใช่หรือไม่ ทั้งยังล้ำค่ามากด้วย สามารถแทรกซึมเข้าไปในอวัยวะภายในของมนุษย์ ทำให้จิตใจที่กระสับกระส่ายสงบลงได้”
“ขอรับ” จินเจิ้งผงกศีรษะแรงๆ “ไม่ว่าจะมองเช่นไรก็ดูไม่เหมือนของที่ต้าเหลียงมี”
“ถูกต้องแล้ว ของอัศจรรย์นี้ไม่ใช่ของที่ต้าเหลียงมี”
“หา? มันคืออะไรขอรับ” ปากของจินเจิ้งอ้ากว้าง เขาชะโงกหน้าเข้าไปใกล้อย่างสงสัย คิดอยากฟังคำพูดถัดไป
“ของสิ่งนี้มาจากอาณาจักรฝูหนานที่อยู่ห่างออกไปไกลมาก ต้องข้ามผ่านเขตหนานไห่จึงจะถึงได้ เดิมทีทางฝูหนานก็ไปมาหาสู่ใกล้ชิดกับราชวงศ์เราอยู่ การที่ของสิ่งนี้มาปรากฏอยู่ที่เมืองเจี้ยนคังได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”
“พูดเสียยิ่งใหญ่ นี่ก็แค่เครื่องหอมชนิดหนึ่งเท่านั้นมิใช่หรือ ของที่หรูหราแต่ใช้งานจริงไม่ได้จะไปมีประโยชน์อันใดกัน” เถาเม่ยเอ๋อร์ฟังออกอยู่ แม้ภายนอกหลินจื่อเฟิงจะดูเหมือนสนทนากับจินเจิ้ง ทว่าความจริงกำลังกล่าวให้นางฟัง นางจึงจงใจกล่าวคำยั่วยุเพื่อให้เขากล่าวต่อ
หลินจื่อเฟิงขมวดคิ้วดังคาด กลิ่นอายหยิ่งผยองค่อยๆ ผุดขึ้นมา “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านี่เป็นแค่เครื่องหอม”
“ผู้น้อยความรู้ตื้นเขิน ไม่รู้ก็ไม่แปลก”
คิ้วของเขาเลิกขึ้นคล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ ต่อมาจึงกดข่มน้ำเสียงลงไป
“หลันเฉ่ากลิ่นอ่อนรวยรื่น ชะมดเชียงกลิ่นหอมฉุน รากซี่ซินกลิ่นหอมฉุนแสบจมูก แม้ล้วนเป็นกลิ่นมีค่า แต่ก็ไม่อาจเทียบเคียงได้กับกลิ่นหอมนี้แม้แต่น้อย กลิ่นหอมนี้เป็นกลิ่นเปรี้ยวหวานแฝงความเย็น หลังเผาไหม้แล้วจะยังทิ้งกลิ่นอยู่นาน ในใต้หล้านี้ไม่มีกลิ่นหอมใดเป็นเช่นนี้อีก”
“อ้อ? ชะมดเชียงถูกระบุเป็นของชั้นเลิศใน ‘คัมภีร์ยาสมุนไพรของเสินหนง’ ทว่ากลับถูกเจ้ากล่าวถึงอย่างต้อยต่ำเพียงนี้เสียได้”
เถาเม่ยเอ๋อร์ไม่พูดมากไปกว่านี้อีก นางเดินไปหยิบดอกไป๋จวี๋ที่เก็บไว้ตั้งแต่ฤดูหนาวปีที่แล้วออกมา กลีบดอกเหล่านี้ยังคงครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่เสียทีที่นางเก็บรักษาไว้อย่างยากลำบาก อากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว หากไม่นำออกมาผึ่งลมให้ทันเวลา เกรงว่าแมลงจะทำกลีบดอกเหล่านี้เสียหายเป็นแน่
นึกไม่ถึงว่าหลินจื่อเฟิงจะนิ่งอึ้งไป เทียบกับท่าทีที่เขาไปยั่วยุสกุลสวีวันนั้นแล้ว ยามนี้เขาก็ดูเป็นคนละคน
“ท่านเขย ท่านรีบบอกมาเร็วเข้า มันเป็นของอะไรกันแน่หรือขอรับ” จินเจิ้งข่มความประหลาดใจไว้ไม่ไหวจึงถามขึ้นมาอย่างร้อนใจ
เถาเม่ยเอ๋อร์ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ ดังมา จากนั้นก็ได้ยินหลินจื่อเฟิงหันกายกลับไปกล่าวกับจินเจิ้ง
“ชื่อของมันเรียกว่าไม้เฉินเซียง เกิดจากต้นไม้โบราณที่ล้มฝังลงไปในดิน อาจเพราะเป็นโรคหรือถูกแมลงกัดกิน จนผ่านกาลเวลายาวนานนับสิบปีถึงหนึ่งร้อยปี ดูดกลืนสารอาหารในน้ำและดินไปมาก เป็นเพราะเปลือกไม้ผุพังเหลือเพียงเนื้อไม้ด้านใน ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้จมน้ำและได้ชื่อนี้มา* ในการเก็บเครื่องหอมนี้จะต้องเดินเข้าไปในป่าเขา บริเวณที่มีป่าไม้แน่นหนาซึ่งมีต้นไม้เกิดใหม่ หากไม่ทันระวังก็อาจเสียชีวิตได้ ดังนั้นจึงเป็นของล้ำค่ามาก”
“หืม? แล้วท่านไปได้มันมาจากที่ใดกัน” จินเจิ้งตกตะลึง
“เรื่องนี้…” หลินจื่อเฟิงชะงักไปชั่วครู่ก่อนกล่าวเสียงทุ้ม “มีสหายเก่าผู้หนึ่งมอบให้”
“เช่นนั้นสหายเก่าผู้นั้นของท่านไปได้มันมาจากที่ใดหรือ” จินเจิ้งคล้ายมองไม่เห็นคิ้วที่ขมวดแน่นของหลินจื่อเฟิง ยังคงอยากถามให้ถึงที่สุด
“เรื่องนี้…”
“จินเจิ้ง ในเมื่อผู้อื่นเขาไม่อยากพูด เจ้าก็ไม่ต้องไปบังคับให้เขาลำบากใจแล้ว ก็แค่เครื่องหอมเท่านั้น มีอะไรน่าตื่นเต้นกัน” เถาเม่ยเอ๋อร์ตระหนักว่ายิ่งตนเองไม่สนใจ หลินจื่อเฟิงก็ยิ่งถูกกระตุ้นได้ง่ายขึ้น ในการรับมือกับเขา นางจำต้องใช้ความสงบสยบการเคลื่อนไหว นั่นจึงเป็นแผนรับมือที่ดีที่สุด
และดังคาด หลินจื่อเฟิงถูกสีหน้าเรียบเฉยของเถาเม่ยเอ๋อร์กระตุ้นโทสะบ้างแล้วจริงๆ “นี่ไม่ใช่เครื่องหอมทั่วไป หากจับคู่กับสมุนไพรตัวอื่นได้อย่างเหมาะสมก็จะเป็นตำรับยาชั้นดีที่สามารถรักษาโรคขจัดทุกข์ได้ เดิมตัวเฉินเซียงนี้ก็มีสรรพคุณในการรั้งลมปราณลงและอบอุ่นภายใน ดึงลมปราณเข้าและอบอุ่นไต”
“ในเมื่อไม่ใช่ของของจงหยวน เหตุใดเจ้าจึงเหมือนนับสมบัติของตระกูล ได้เล่า ดูแล้วจะต้องคุ้นเคยเป็นอย่างดียิ่ง เม่ยเอ๋อร์ช่างความรู้ตื้นเขินเสียจริง ไม่รู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า วันหน้าต้องขอให้ช่วยสั่งสอนให้มากแล้ว” นางลอบรู้สึกขบขัน คนหยิ่งผยองผู้สูงส่งที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ อาศัยเพียงแค่ลมปากของสตรีคนเดียวก็ถูกบีบให้ต้องพ่ายแพ้แล้ว นี่มิใช่เรื่องที่ชวนให้รู้สึกสะใจหรอกหรือ
“เจ้า…” เส้นเลือดเขียวบนหน้าผากเขาผุดขึ้นมากะทันหัน นัยน์ตาดำขลับสาดประกายเย็นชา
เถาเม่ยเอ๋อร์หลบเลี่ยงสายตาคมปลาบของเขาพลางใช้นิ้วคีบกลีบดอกไป๋จวี๋ขาวบริสุทธิ์ขึ้นมาวางเรียงกันบนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย รอจนถึงยามซื่อ จึงจะเป็นช่วงเวลาผึ่งลมที่ดีที่สุด
“พี่เถา!” เสียงของสือรุ่ยเซียงดังลอดเข้ามา “เร็ว รีบยกเข้ามา!”
เห็นเพียงคนงานสองคนยกข้าวสารสองหาบเข้ามาวางลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล
“รุ่ยเซียง เจ้าทำอะไรของเจ้ากัน”
เถาเม่ยเอ๋อร์มองอย่างตกใจ สือรุ่ยเซียงที่แต่งกายมาอย่างงดงามประณีต บนหน้าผากติดแผ่นฮวาเตี้ยน ใบหน้าอมชมพูดูสดใส กำลังมองไปที่หลินจื่อเฟิงอย่างหลงใหล
“เมื่อสองวันก่อนหากไม่ใช่พี่เถากับพี่ชายท่านนี้ช่วยชีวิตเอาไว้ รุ่ยเซียงก็คงสิ้นชีพไปนานแล้ว ท่านพ่อกับรุ่ยเซียงรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก ท่านพ่อตั้งใจให้รุ่ยเซียงนำข้าวสารมามอบให้เป็นพิเศษ ท่านพ่อกล่าวว่าข้าวสารของร้านไป่เฉ่านับจากนี้ร้านข้าวสารฝูเซิ่งจะเป็นผู้ดูแลเอง พี่เถาสนใจแต่เรื่องช่วยชีวิตคนก็พอ เรื่องอื่นๆ ไม่ต้องลำบากแล้ว”
“เรื่องนี้เดิมทีก็ไม่ได้มีอะไรมาก รุ่ยเซียง เจ้าเกรงใจเกินไปแล้ว” เถาเม่ยเอ๋อร์ส่ายศีรษะ
“อีกอย่าง รุ่ยเซียงขอหาญกล้าถามหนึ่งคำถาม พี่เถา มิทราบว่าพี่ชายผู้นี้คือ…”
“เขา?”
เถาเม่ยเอ๋อร์ชะงัก เห็นเพียงหลินจื่อเฟิงกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มกำลังยืนรอให้นางตอบกลับไป
“เขาคือ…ญาติผู้พี่ของข้า หลินจื่อเฟิง” เถาเม่ยเอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าลึก ในที่สุดก็เค้นประโยคนี้ออกมาอย่างยากลำบาก สถานะของเขายุ่งยากซับซ้อนเกินไป แม้จะเป็นสามีในอนาคตของนาง ทว่ายามนี้ไม่ใช่โอกาสที่เหมาะสมในการป่าวประกาศ
“เช่นนั้นก็ดีเลย!” สือรุ่ยเซียงพลันยินดี เอวบางยักย้ายนวยนาดไปหาหลินจื่อเฟิง
หลินจื่อเฟิงไม่ทันระวังจนเกือบจะถูกสือรุ่ยเซียงชนเข้าให้ จักจั่นทองตัวหนึ่งบนศีรษะนางวูบไหวเกือบจะตกลงมา เห็นเพียงนางยกมือขึ้นประคองจักจั่นทองบนศีรษะเอาไว้ แขนเสื้อกว้างวาดออกปิดบังใบหน้าแดงระเรื่อ
“ท่านพ่อคาดเดาได้ไม่ผิดจริงๆ ด้วย จะต้องเป็นเพราะสกุลเถาเกิดเรื่อง พี่หลินจึงตั้งใจมาช่วยเหลือ” สือรุ่ยเซียงขวยเขินขึ้นมากะทันหัน “เมื่อเป็นเช่นนี้รุ่ยเซียงก็โล่งใจแล้ว ขอพี่เถาอย่าได้ถือโทษ”
สือรุ่ยเซียงปิดบังความยินดีในอกไว้ไม่มิด นางในยามนี้ยิ่งดูงดงามมีเสน่ห์ ไม่กล้ากล่าววาจาเผยความนัยอีก
หัวใจเถาเม่ยเอ๋อร์ลอบรู้สึกหนักอึ้ง ราวกับเมฆหมอกที่ก่อตัวครึ้มลอยอยู่เหนือบ่อมรกตกว้าง
สือรุ่ยเซียงรับกล่องไม้หลีกล่องหนึ่งมาจากมือคนงาน ก่อนเปิดฝากล่องออก หยิบเสื้อคลุมยาวสีขาวตัวหนึ่งออกมาอย่างนุ่มนวล แล้วนำไปคลุมบนร่างหลินจื่อเฟิง
เสื้อคลุมยาวสีขาวตัวนั้นตัดเย็บอย่างประณีต ทั้งยังมีประกายสีทองออกมา ถึงกับใช้งานฝีมือปักด้ายทองพิเศษที่มาจากร้านเฟิ่งผิงซึ่งเป็นร้านที่ดีที่สุดในเมืองหลวง เห็นได้ชัดว่าสือรุ่ยเซียงสิ้นเปลืองกำลังไปมากเพียงใด
การจู่โจมของสือรุ่ยเซียงทำให้หลินจื่อเฟิงทำตัวไม่ถูกไปเล็กน้อย
“เพื่อช่วยชีวิตรุ่ยเซียงแล้ว ถึงกับทำให้อาภรณ์ของพี่หลินต้องเสียหาย รุ่ยเซียงรู้สึกกังวลใจมาก จึงใช้เวลาสองวันสองคืนเร่งให้เขาทำอาภรณ์ตัวนี้ออกมา ขอพี่หลินได้โปรดรับเอาไว้ด้วยเจ้าค่ะ”
“สำหรับเขาก็แค่เรื่องง่ายเพียงพลิกฝ่ามือเท่านั้น ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เป็นหมออยู่แล้ว หากรับข้าวสารแล้วยังรับอาภรณ์ไว้อีก ช่างน่าละอายใจมากจริงๆ” เถาเม่ยเอ๋อร์ลอบข่มความกังวลในใจก่อนกล่าวออกมาเสียงเรียบ
“พี่เถา ท่านจะต้องให้พี่หลินยอมรับเอาไว้ มิฉะนั้นรุ่ยเซียงคงกินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นแน่”
“เช่นนั้นก็ต้องแล้วแต่พี่หลินแล้ว”
เถาเม่ยเอ๋อร์เพิ่งตระหนักได้ว่าดอกไป๋จวี๋ดอกหนึ่งในมือไม่รู้ว่าถูกบีบจนเละไปตั้งแต่เมื่อใด
“ฮ่าๆๆ!” หลินจื่อเฟิงหัวเราะ “ในเมื่อคุณหนูจริงใจมาเช่นนี้ หากข้ายังปฏิเสธต่อไปก็จะดูไม่จริงใจเสียแล้ว”
สือรุ่ยเซียงดีใจอย่างมาก นางกล่าวด้วยอาการขวยเขิน “นี่เรียกได้ว่าพี่หลินให้เกียรติรุ่ยเซียงแล้ว ท่านพ่อยัง เชิญพี่หลินไปเยือนที่เรือนในวันพรุ่งนี้ ขอพี่หลินได้โปรดตอบรับคำเชิญนี้ด้วย”
“เรื่องนี้…” หลินจื่อเฟิงมองดูแววตากระตือรือร้นของสือรุ่ยเซียงแล้วก็เริ่มลังเลขึ้นมา
“พี่หลินอย่าได้เข้าใจผิด เป็นเพราะระยะนี้ท่านพ่อตรากตรำงานทั้งวันทั้งคืน จิตใจกระวนกระวาย กลางคืนนอนไม่หลับ ดังนั้นจึงได้คิดเชิญพี่หลินไปตรวจรักษาให้เจ้าค่ะ”
“แร่จูซา หวงเหลียน อย่างละครึ่งตำลึง ตังกุยสองเฉียน ตี้หวงตากแห้งสามเฉียน กันเฉ่าสองเฉียน บดละเอียดเป็นผง แช่สุรานึ่งแป้ง ให้มีขนาดใหญ่เท่าเมล็ดหมาจื่อ คลุกกับแร่จูซา กินหนละสามสิบเม็ด กลืนน้ำลายตามลงไป ใช้เพียงตำรับนี้ก็พอ ไม่ต้องรบกวนให้พี่หลินไปเยือนด้วยตนเองแล้ว” ในที่สุดเถาเม่ยเอ๋อร์ก็วางดอกไป๋จวี๋ลงแล้วหันกายเดินไปทางตู้ลิ้นชัก
ทุกคนได้ยินต่างพากันตกใจที่ในวาจาของเถาเม่ยเอ๋อร์แฝงความไม่พอใจเอาไว้
สือรุ่ยเซียงเปลี่ยนจากดีใจเป็นกังวลทันที “พี่เถา รุ่ยเซียงเป็นห่วง กลัวว่าท่านพ่อจะมีโรคภัยไข้เจ็บแอบแฝง หากไม่ซักถามอาการต่อหน้า เกรงว่าจะไม่กระจ่าง”
“กตัญญูรู้คุณคือคุณธรรมอันดับแรก ความคิดเช่นนี้ของคุณหนูรุ่ยเซียงทำให้ข้าเลื่อมใส แต่โปรดวางใจเถิด ในเมื่อให้เกียรติข้าถึงเพียงนี้ วันพรุ่งนี้ข้าจะต้องไปเยี่ยมเยือนถึงที่เรือนอย่างแน่นอน!”
ไม่รู้ด้วยเหตุใดท่าทีของหลินจื่อเฟิงจึงผิดไปจากปกติ ชวนให้ผู้คนไม่เข้าใจยิ่งนัก
สือรุ่ยเซียงตอบรับเสียงเบา จักจั่นทองสั่นไหวน้อยๆ “ข้ากับพี่หลินเป็นผู้มีวาสนาต่อกันจริงๆ เสียด้วย!” กล่าวจบนางก็หันไปเรียกคนงานเตรียมตัวจะกลับ
“ช้าก่อน!” เถาเม่ยเอ๋อร์กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “รุ่ยเซียง เจ้าไม่ได้ขอให้ข้าช่วยเจ้าหาตำรับยารักษาความงามมาให้หรอกหรือ”
“ทำไมหรือเจ้าคะ” สือรุ่ยเซียงถามอย่างประหลาดใจ
“ก็คือต้องใช้กันจวี๋ เจ้าต้องจำไว้ให้ดี เดือนสามห้าวันแรกเก็บต้นกล้าของมัน เรียกอวี้อิง เดือนหกห้าวันแรกเก็บใบของมัน เรียกหรงเฉิง เดือนเก้าห้าวันแรกเก็บดอกของมัน เรียกจินจิง เดือนสิบสองห้าวันแรกเก็บก้านของมัน เรียกฉางเซิง หลังนำของทั้งสี่อย่างในปริมาณเท่าๆ กันตากแห้งด้วยกันเป็นเวลาหนึ่งร้อยวัน แล้วบดหนึ่งพันครั้งจนเป็นผง ก็ให้ดื่มหนึ่งเฉียนพร้อมสุราทุกครั้ง หรือใช้น้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอนน้ำผึ้งขนาดใหญ่ประมาณเมล็ดต้นอู๋ถง กินเจ็ดเม็ดคู่กับสุราวันละสามครั้ง หลังกินได้หนึ่งร้อยวันจะรู้สึกว่าร่างกายเบาสบาย ใบหน้าชุ่มชื้น กินหนึ่งปีผมขาวเปลี่ยนเป็นผมดำ กินสองปีฟันที่หลุดไปจะขึ้นใหม่ กินห้าปีผู้เฒ่าอายุแปดสิบปียังสามารถกลับมาเยาว์วัยได้ ทำตามนี้ มีแต่ประโยชน์ไร้พิษภัย”
สือรุ่ยเซียงถูกประโยคยาวๆ ของเถาเม่ยเอ๋อร์ทำให้ตกตะลึง ถึงกับหยุดฝีเท้าลงจริงๆ “วิธีการที่พี่เถาพูดนี้ได้ผลจริงๆ หรือเจ้าคะ”
“สิ่งนี้บันทึกอยู่ใน ‘ตำรับยาอวี้หาน’ แต่ผลจะเป็นเช่นไรนั้นยังต้องให้เจ้าเป็นผู้สัมผัสเอง มีคำกล่าวว่าหากมุ่งมั่นและศรัทธาในสิ่งที่ปรารถนาย่อมสมหวังอย่างแน่นอน!” ดวงตารูปเมล็ดซิ่งของเถาเม่ยเอ๋อร์หรี่ลงเป็นรอยยิ้ม
ในที่สุดสือรุ่ยเซียงก็จากไปด้วยสีหน้าพึงพอใจ
เถาเม่ยเอ๋อร์พบว่าวันนี้ตนเองกล่าววาจาไปมากมายนัก คล้ายสัมผัสได้ว่าหลินจื่อเฟิงกับจินเจิ้งต่างใช้สายตาแปลกประหลาดมองมาที่นาง ทว่านางไม่ถอยหนีเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังเผชิญหน้ากับแววตาหยอกล้อของหลินจื่อเฟิงตรงๆ
หลินจื่อเฟิงและจินเจิ้งรีบแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ถึงความผิดแปลกของนาง ต่างก็แยกย้ายหลบเลี่ยงไป ได้ยินเพียงเสียงของหลินจื่อเฟิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มอันจอมปลอมว่า “เจ้าอยากเห็นภาพเซียนงามสง่าหรือไม่”
จินเจิ้งมองดูเสื้อคลุมยาวสีขาวอันประณีตตัวนั้นแล้วพลันกระจ่างแจ้งทันใด จึงรีบร้อนกล่าว “ดีขอรับ ข้าอยากเห็น”
ทั้งสองคนมองสบตากันยิ้มๆ คราหนึ่งก่อนหลบไปทางห้องโถงด้านหลังอย่างรีบร้อน
“พวกเจ้า!” เถาเม่ยเอ๋อร์รู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก
ยามนี้ดวงอาทิตย์กำลังขึ้นอยู่กลางท้องฟ้า ช่วงเวลาของการนำดอกไป๋จวี๋ออกผึ่งลมได้มาถึงแล้ว หากแต่นางเป็นสตรี เดิมร่างกายก็อ่อนแอโดยธรรมชาติ ย่อมไม่อาจเคลื่อนย้ายโต๊ะตัวใหญ่ตัวนั้นได้ไหว
ในตอนที่กำลังหงุดหงิดก็ได้เห็นเฉินเซียงชิ้นนั้นถูกวางทิ้งไว้อยู่ด้านข้าง ดูไม่สะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
เถาเม่ยเอ๋อร์คาดเดาได้ว่านั่นเป็นของที่หลินจื่อเฟิงจงใจทิ้งเอาไว้ บางทีเขาอาจมองความในใจนางทะลุปรุโปร่งนานแล้ว สตรีที่รักยาสมุนไพรดุจชีวิตจะไม่สนใจสมุนไพรที่มีที่มาประหลาดได้อย่างไร นางนำเฉินเซียงยัดใส่ในอกเสื้อเงียบๆ ปิดบังความปีติยินดีที่ลอบผุดขึ้นในก้นบึ้งหัวใจ แล้วเดินกลับไปยังห้องนอน
กลิ่นหอมรวยรื่นอวลอยู่เต็มสวน หลินจื่อเฟิงยังคงสวมอาภรณ์สีขาวตัวเดิม ขณะที่เดินผ่านห้องนอนของเถาเม่ยเอ๋อร์ ภายในนั้นมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ลอยล่องอยู่ กลิ่นหอมนั้นหอมหวนนาน มีสรรพคุณช่วยรวบรวมสมาธิ ทำให้ผู้ที่รู้สึกหงุดหงิดสงบลงได้ทันที
บทที่หก
เมืองหลวงในเดือนห้า แสงแดดงดงามดั่งภาพฝัน คล้ายเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยน ตรงกันข้ามกับเถาเม่ยเอ๋อร์ในยามนี้ที่ยิ่งเดินออกมานอกเมืองไกลมากขึ้นเท่าไร นางก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจมากเท่านั้น
รถม้าทั้งในและนอกเมืองยังคงสัญจรผ่านไปมา ทุ่งหญ้ารอบกายแผ่ไพศาลเปี่ยมด้วยความอุดมสมบูรณ์ ไกลออกไปเป็นทิวเขาเขียวชอุ่มอันสลับซับซ้อน ทว่าคล้ายกำลังจะมีฝนตกลงมา
เถาเม่ยเอ๋อร์อาศัยตอนที่หลินจื่อเฟิงออกไปข้างนอกสั่งให้จินเจิ้งปิดร้านแล้วออกนอกเมืองมาด้วยกัน เนื่องจากได้ฟังชาวไร่ผู้หนึ่งกล่าวว่าใกล้ๆ กับเขาชีสยานั้นมีเซียนชุดขาวผู้หนึ่งเคยใช้นอแรดช่วยชีวิตคนตัดฟืนที่ขึ้นไปตัดฟืนบนเขา
ชาวไร่ผู้นั้นแต่ไรมาก็พูดจาซื่อสัตย์และรอบคอบมาโดยตลอด ในเมื่อกล่าวเช่นนี้ออกมาย่อมไม่ใช่ข่าวที่เชื่อถือไม่ได้แน่ มีค่าควรที่จะให้ไปค้นหา
เถาเม่ยเอ๋อร์จึงแต่งกายอย่างเรียบง่ายแล้วเดินออกมาด้วยฝีเท้าที่ว่องไว
“คุณหนู เขาชีสยาลูกนั้นอยู่ห่างจากเมืองหลวงถึงสี่สิบกว่าลี้ พวกเราเดินไปเช่นนี้ไม่รู้ว่าจะไปถึงเมื่อใด และต่อให้ไปถึงเขาชีสยาแล้ว พวกเราจะสามารถตามหาผู้สูงส่งท่านนั้นพบจริงๆ หรือ หรือต่อให้ตามหาผู้สูงส่งท่านนั้นพบจริง แต่ผู้อื่นเขาจะยอมมอบสมุนไพรที่ล้ำค่าเช่นนั้นให้พวกเราจริงๆ หรือ” จินเจิ้งสะพายล่วมยาติดตามเถาเม่ยเอ๋อร์ เขาวิ่งจนเหงื่อออกเต็มใบหน้า
“จินเจิ้ง เป็นสกุลเถาของพวกเราที่ติดค้างสกุลสวี ขอเพียงพวกเราทำได้ก็จะต้องพยายามให้ถึงที่สุด เชื่อมั่นในความเป็นไปได้สิ ข้าจะต้องหามันพบอย่างแน่นอน!”
บนทางสายหลักที่มองไม่เห็นปลายทางมีฝุ่นควันคละคลุ้ง ขอทานกลุ่มหนึ่งทยอยกันเข้ามามิขาดสาย
“เหตุใดจู่ๆ จึงมีขอทานมามากมายเพียงนี้” เถาเม่ยเอ๋อร์ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
ขอทานชราผู้หนึ่งเดินไปกุมท้องไป สีหน้าปรากฏอาการทุกข์ทรมาน ตอนที่เถาเม่ยเอ๋อร์กำลังนิ่งอึ้งอยู่นั้น ขอทานชราก็พลันทรุดลงบนพื้น
“ท่านลุง” เถาเม่ยเอ๋อร์พุ่งเข้าไปหาตามจิตใต้สำนึกพร้อมแหวกกลุ่มคนที่มุงอยู่ออก
ขอทานชราผู้นั้นหน้าเหลืองราวเทียนไข หมดสติไปเรียบร้อยแล้ว
เถาเม่ยเอ๋อร์ยื่นมือไปหยั่งลมหายใจของเขา สัมผัสได้ว่ายังคงมีไอร้อนอยู่เล็กน้อย ทั้งเขายังมีอาการชักกระตุกที่เกิดจากความเจ็บปวด ใบหน้าจึงบิดเบี้ยวไปบ้าง
“จะต้องกินอะไรผิดสำแดงมาแน่” มีคนกล่าว
ยามนั้นเองขอทานเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่อยู่ด้านข้างก็ร้องไห้ขึ้นมา “ผู้เฒ่าทนความหิวโหยมาหลายวัน จู่ๆ ก็มีคนมีฐานะนำลูกพลับแห้งกล่องหนึ่งมามอบให้ ผู้เฒ่ากล่าวว่าตั้งแต่เด็กตนก็ชอบขโมยลูกพลับของบ้านอื่นกิน ยามนั้นดีใจจึงกินไปสองชิ้นติดๆ กัน จากนั้นก็เหงื่อออกไม่หยุด ร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด”
“ผู้เฒ่านอนกลางดินกินกลางทรายมาโดยตลอด ยามนี้กินจนท้องไส้ไม่ดี เกรงว่า…” จินเจิ้งพึมพำ
“ไม่ นี่คือนิ่วในลำไส้ ลู่ไทเฮาของซ่งเซี่ยวฮ่องเต้เคยประชวรด้วยโรคนี้มาก่อน สวีเหวินป๋ออาศัยตำรับยาเซียวสือทังรักษาจนหาย ทว่าน่าเสียดายที่วันนี้พวกเรารีบร้อนออกมา จึงไม่ได้เตรียมพร้อมมากนัก”
เถาเม่ยเอ๋อร์หยิบผ้าเช็ดหน้าที่มีลายปักคำว่า ‘ร้านไป่เฉ่า’ ของตนออกมาแล้วมอบให้ขอทานเด็กหนุ่มผู้นั้น
“นี่เป็นหลักฐานยืนยันตัวตนของข้า นำมันไปขอเทียบยายังโรงหมอจี้ซื่อที่อยู่ภายในตัวเมือง จากนั้นไปขอสมุนไพรจากร้านไป่เฉ่าที่อยู่ด้านข้าง กินตามเทียบยานั้น จะต้องช่วยรักษาโรคของผู้เฒ่าได้อย่างแน่นอน”
“นี่…” ขอทานเด็กหนุ่มผู้นั้นน้ำตานองหน้าทันที “ขอบคุณคุณหนูมากขอรับ บุญคุณใหญ่หลวงนี้ผู้น้อยจะไม่มีวันลืม เพียงแต่พวกเราไม่มีเงินทองไปหาหมอ”
“ไปเถอะ บอกพวกเขาว่าเป็นคำสั่งจากคุณหนูเถา ร้านไป่เฉ่าจะไม่คิดเงินสักเหรียญเดียว”
“ขอบคุณคุณหนู ท่านเหมือนพระโพธิสัตว์กวนอินมาโปรดจริงๆ!”
เถาเม่ยเอ๋อร์ยิ้มบางๆ ก่อนโบกมือ “การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เดิมก็เป็นหลักการของหมออยู่แล้ว อย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย” กล่าวจบนางก็ลุกขึ้นเร่งรีบจากไป
จินเจิ้งรีบร้อนติดตามมา “คุณหนู หากพวกเราใจบุญเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จะเดินทางไปถึงเขาชีสยาเมื่อใดกัน”
ตอนที่เขากำลังกล่าวพลันได้เห็นชาวบ้านกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าร้องตะโกนเสียงดังขณะมุ่งไปยังตัวเมือง ทุ่งหญ้าถูกรบกวนราวกับมีกีบม้าจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเหยียบย่ำพื้นดินทุกกระเบียดนิ้ว
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” จินเจิ้งขวางคนผู้หนึ่งไว้
คนผู้นั้นตะโกนอย่างร้อนใจ “อะไรกัน พวกเจ้ายังไม่สะทกสะท้านอีกหรือ ได้ยินว่าโหวจิ่งแห่งชนเผ่าเซียนเปยก่อกบฏ ได้ข้ามผ่านแม่น้ำฉางเจียงมาแล้ว กำลังรุกคืบมายังเจี้ยนคัง หากยังไม่รีบกลับไปหลบซ่อนตัวอีก ช้ากว่านี้ก็คงไม่เหลือชีวิตแล้วกระมัง เพราะโหวจิ่งผู้นั้นเป็นคนเถื่อน ฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา!”
“อะไรนะ!” เถาเม่ยเอ๋อร์ตกใจจนหน้าเผือดสี “ราชสำนักเรามีทหารหาญนับแสนนาย พวกเขาวางอาวุธยอมแพ้กันไปหมดสิ้นแล้วหรือ ป้อมปราการมากมายเพียงนั้นต่างถูกจัดการหมดแล้ว?”
คนผู้นั้นเพียงมองเถาเม่ยเอ๋อร์แล้วส่ายศีรษะ เร่งรีบวิ่งต่อไปยังประตูเมือง
“คุณหนู พวกเราก็รีบกลับไปกันเถอะขอรับ มิฉะนั้นจะปล่อยให้ตนเองต้องตกอยู่ในมือทหารกบฏเหล่านั้นหรือ”
จินเจิ้งมองดูชาวบ้านที่วิ่งตรงเข้ามามีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ช้าก็มารวมตัวกันที่ประตูเมืองอย่างแน่นขนัดราวกับมดอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่ ข้าไม่เชื่อว่าทหารนับแสนนายของต้าเหลียงเราจะต่อต้านศัตรูที่มีจำนวนคนน้อยกว่าไม่ได้ หากตามหานอแรดไม่พบข้าก็ไม่มีวันกลับไป!”
“คุณหนู!” จินเจิ้งร่ำไห้กล่าว “ให้เชื่อมั่นในความเป็นไปได้ ท่านมิได้เพิ่งกล่าวคำพูดนี้ไปหรอกหรือ และในตอนนี้มีเพียงการรักษาชีวิตเอาไว้ให้ได้ก่อนจึงจะไปสนใจเรื่องอื่นได้ คุณหนู ท่านอย่าได้ดื้อรั้นถึงเพียงนี้เลย ชาวบ้านที่หนีภัยมีมากเพียงนี้ จะบอกว่าล้วนตาบอดกันหมดหรือไร”
ผู้คนที่อยู่บนทางหลักมีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ สุดขอบฟ้ามีเมฆครึ้มเคลื่อนคล้อยกดดันเข้ามา ดวงอาทิตย์ถูกบดบัง เหลือทิ้งไว้เพียงขอบแสงสีทอง ชวนให้ผู้คนรู้สึกอาวรณ์หาแสงแดดฤดูใบไม้ผลิ เพียงแต่ช่วงเวลางดงามเหล่านั้นได้ผ่านไปแล้ว มีเพียงฝนที่กำลังตั้งเค้า
ฉับพลันก็มีเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นขึ้น สายลมกระโชกพัดหอบมา ม้าหลายสิบตัวห้อตะบึงมาท่ามกลางฝุ่นคลุ้ง ชาวบ้านเร่งรีบเข้าเมืองกันอย่างวุ่นวาย เหลือทิ้งไว้เพียงแพะหลงฝูงไม่กี่ตัวที่หลบตัวสั่นอยู่ในพงหญ้า คล้ายกำลังรอชะตาถูกสังเวยอย่างไรอย่างนั้น
เรือนผมงดงามของเถาเม่ยเอ๋อร์ถูกสายลมแรงพัดจนยุ่งเหยิง กลุ่มคนบนม้านั้นร้องตวาดคำหนึ่งแล้วหยุดฝีเท้าม้าลง
“ท่านแม่ทัพ พวกเรามาถึงชานเมืองเจี้ยนคังแล้วขอรับ เกรงว่าฮ่องเต้คงยังทรงกรนอยู่เลย!”
“ฮ่าๆๆ!” แม่ทัพผู้นั้นกระชากบังเหียนหยุดม้าพร้อมหัวเราะอย่างสาแก่ใจ “ยอดเยี่ยม วันนี้พวกเราเสร็จสิ้นการเดินทางแล้ว พวกเจ้าสามารถพักผ่อนได้ รอพรุ่งนี้สืบข่าวสภาพของพื้นที่เรียบร้อยแล้วก็รอต้อนรับท่านอัครเสนาบดีได้!”
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ!”
หัวใจเถาเม่ยเอ๋อร์หนักอึ้งขึ้น คาดไม่ถึงว่าพวกกบฏจะเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วเพียงนี้ เกรงว่าคงไม่อาจเดินทางต่อไปได้อีกแล้ว
จินเจิ้งที่อยู่ข้างกายสติหลุดลอยไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาขดตัวกลมพลางเขยิบซ่อนตัวอยู่ใต้ต้นไม้
“ท่านแม่ทัพ ตรงนั้นมีคนอยู่ด้วยขอรับ” ทหารกบฏผู้หนึ่งค้นพบร่องรอยของคนอย่างรวดเร็ว
“หืม? ยังมีพวกไม่กลัวตายด้วยรึ” แม่ทัพผู้นั้นประหลาดใจเป็นอย่างมาก มองตามประกายดาบของทหารกบฏผู้นั้นไป
ห่างออกไปไกลสิบก้าว มองเห็นเพียงสตรีแต่งกายเรียบง่ายผู้หนึ่งยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางสายลม
“ท่านแม่ทัพ วาสนาของพวกเราช่างไม่ธรรมดาเลย ลำบากมาหลายวัน นึกไม่ถึงว่าจะได้พบหญิงงามเช่นนี้!” แววตาของทหารกบฏผู้นั้นราวกับหมาป่าที่จับจ้องลูกแกะ ทั้งหื่นกระหายและหยาบโลน “เห็นทีความคิดเคลื่อนทัพมายังเมืองหลวงของท่านอัครเสนาบดีจะเป็นการกระทำที่ชาญฉลาดจริงๆ ไม่เพียงแต่ได้รับทรัพย์สมบัติของใต้หล้า ยังสามารถครอบครองหญิงงามของใต้หล้าได้อีกด้วย ชื่อเสียงหญิงงามแห่งเจียงหนานมิใช่เล่าขานเพียงลมปาก!”
“เหอะ! หากท่านอัครเสนาบดีมีความคิดคับแคบเช่นเจ้าจะยังสามารถทำการใหญ่อะไรได้อีก หลบไป!” นึกไม่ถึงว่าแม่ทัพผู้มีหนวดเคราเต็มหน้า ยามมองไปยังให้ความรู้สึกป่าเถื่อนไร้หัวคิด ผู้ใดจะคาดคิดว่ายามเปล่งวาจากลับหนักแน่นเข้มงวด สะท้านวิญญาณผู้ฟัง
“ขอรับ” ทหารกบฏผู้นั้นตัวสั่นอย่างห้ามไม่ได้ หดคอพร้อมล่าถอยไป
ทหารจำนวนหนึ่งภายใต้คำสั่งของแม่ทัพเดินมาล้อมรอบเถาเม่ยเอ๋อร์และจินเจิ้ง
ลมกระโชกสายหนึ่งพัดหอบมา ดอกไม้ข้างทางโปรยปรายลงมาจำนวนนับไม่ถ้วน หลังเสียงฟ้าร้องดังขึ้นไม่กี่ครั้ง หยาดฝนเม็ดเล็กก็พรั่งพรูลงมา ไอเย็นแฝงกลิ่นของดินโคลนให้ความรู้สึกทั้งอ้างว้างและบ้าคลั่ง ฝนของเจียงหนานช่วงนี้มักจะร่วงหล่นจากฟากฟ้าอย่างอ่อนโยนอ้อยอิ่ง โปรยปรายไม่ขาดตอน ไม่เคยตกลงมาอย่างหนักหน่วงเช่นนี้มาก่อน ในชั่วพริบตาทุกคนต่างพากันอาภรณ์เปียกปอน
เถาเม่ยเอ๋อร์นึกเสียใจขึ้นมาบ้างแล้ว นางน่าจะฟังคำพูดของจินเจิ้งแต่แรก ถอยก่อนแล้วค่อยบุก ยามนี้เส้นทางข้างหน้าอันตรายยิ่งนัก มองไม่เห็นปลายทางอีกต่อไป
“ท่านแม่ทัพ กลับไปค่ายก่อนเถอะขอรับ! พาตัวพวกเขากลับไปสอบสวนด้วย!”
ดวงตาถูกเม็ดฝนบดบัง ในความหนาวชื้นแฝงพลังอันฮึกเหิมของเหล่าทหารกบฏ ข้างหูได้ยินเสียงร่ำไห้อย่างเจ็บปวดของจินเจิ้ง “ล้วนโทษข้าที่ไม่ได้ปกป้องท่านให้ดี! ดวงวิญญาณนายท่านบนสวรรค์จะต้องกล่าวโทษข้าเป็นแน่!”
นางอยากบอกจินเจิ้งว่า ‘มีสุขในทุกข์ มีทุกข์ในสุข เมื่อเหตุเกิดแล้วก็ต้องรับมืออย่างสงบใจ’
ทว่ากลับถูกผ้าปิดดวงตาเอาไว้อย่างแน่นหนาเสียก่อน
หลังกลับมามองเห็นแสงสว่างอีกครั้ง เถาเม่ยเอ๋อร์ก็พบว่าตนเองถูกพาเข้ามาในกระโจมหลังหนึ่ง
แม่ทัพผู้นั้นเปลี่ยนอาภรณ์แล้ว กำลังดื่มสุราร้อนชามหนึ่ง ข้างกายมีเพียงทหารคนสนิทสองนายติดตาม
ทหารทั้งสองแววตาวูบไหว ทางหนึ่งลอบชำเลืองมองท่าทีของแม่ทัพเคราดก อีกทางก็ลอบมองเถาเม่ยเอ๋อร์
นางเปียกปอนไปทั้งร่าง เผยทรวดทรงสะโอดสะองเส้นสายเว้าโค้ง เรือนผมแนบสนิทกับใบหน้า งามประดุจดอกบัวกลางสระที่แผ่กลิ่นหอมเจือจางออกมาจากกอใบเขียวขจี
แม่ทัพเคราดกอ้าปากกระดกสุราร้อนลงไปอึกแล้วอึกเล่า สายตาดุจลูกธนูแหลมคมสาดมองมาอย่างเร่าร้อน “สตรีเช่นเจ้าเป็นชาวเมืองหลวงรึ ในช่วงเวลาที่เกิดสงครามเช่นนี้ เจ้ากินดีหมีหัวใจเสือมาหรือไรถึงได้กล้าออกมานอกเมือง ไม่กลัวว่าจะไม่ได้กลับไปอีกแล้วหรือ”
เถาเม่ยเอ๋อร์ถลึงตาใส่ทหารคนสนิททั้งสองด้วยความโกรธเคือง ก่อนสะบัดเรือนผมที่ยุ่งเหยิงไปด้านหลังศีรษะ “ข้าเป็นเพียงสตรีอ่อนแอผู้หนึ่งเท่านั้น อย่างมากก็แค่หนึ่งชีวิต มีสิ่งใดให้กลัวกัน”
“หืม?” แม่ทัพเคราดกตกใจ “มองไม่ออกว่าสตรีเช่นเจ้ามีความสามารถเช่นนี้ซ่อนอยู่ สรุปว่าเจ้าเป็นสกุลหวังหรือสกุลเซี่ย”
“ทำให้ท่านแม่ทัพต้องผิดหวังเสียแล้ว! ข้าหาใช่สกุลหวังหรือสกุลเซี่ย หากแต่เป็นเพียงบุตรสาวชาวบ้านธรรมดาอย่างสกุลเถา”
สกุลเถา? แม่ทัพเคราดกหรี่ตามองประเมิน พบว่าบนใบหน้าเถาเม่ยเอ๋อร์ปราศจากระลอกคลื่นแม้แต่เศษเสี้ยว นึกไม่ถึงว่าทั้งความมุ่งมั่นและความกล้าหาญของนางจะถึงกับเอาชนะแม่ทัพผู้สู้ศึกในสนามรบมาอย่างโชกโชนไปได้
“ข้าเคยได้ยินว่าในราชวงศ์เหลียงมีคนชื่อเถาหงจิ่งอยู่ผู้หนึ่ง หรือว่าเจ้าจะเป็นคนในตระกูลของเขา?”
เถาเม่ยเอ๋อร์แค่นเสียงดูแคลน ยิ้มบางกล่าว “ในเมื่อข้าตกอยู่ในกำมือของทหารกบฏแล้ว พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ จะฆ่าหรือจะทรมานข้าก็ตามแต่ใจเถิด!”
“เจ้าพูดว่าข้าคือทหารกบฏ? ผู้ใดบอกเจ้า เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าข้าเป็นทหารกบฏ!” แม่ทัพเคราดกเริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
“คำว่า ‘ทหารกบฏ’ สองคำนี้เขียนอยู่บนหน้าผากท่านอย่างชัดเจน ยังต้องกลัวว่าผู้อื่นจะไม่รู้อีกหรือ”
“หืม?”
“ในเมื่อมาถึงเมืองหลวงแล้ว เหตุใดถึงไม่เข้าไปในเมืองเล่า ในเมื่อมาอย่างเปิดเผยชอบธรรม เหตุใดจึงต้องรบกวนชาวบ้าน นับแต่สมัยโบราณมีเพียงทหารไร้ศีลธรรมจึงจะลงมือทำร้ายชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ท่านแม่ทัพลักพาตัวบุตรสาวชาวบ้านมาโดยไร้เหตุผลเช่นนี้ นับว่าชอบธรรมหรือ”
“ฮ่าๆๆ! ฝีปากคมกล้าดีเยี่ยม ข้านับถือยิ่งนัก! แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะปฏิบัติเช่นไรกับเจ้าบ้าง”
“จิตใจของซือหม่าเจา แม้คนผ่านทางยังล่วงรู้ หากท่านแม่ทัพเข้าใจหลักในการทำการใหญ่ เหตุใดจึงต้องพึ่งพาขุนนางกบฏผู้กลับกลอก อกตัญญูกับแผ่นดินเช่นนี้ด้วย”
ปัง! แม่ทัพเคราดกผู้นั้นลุกขึ้นยืนตบโต๊ะพร้อมกล่าวอย่างโมโห “ท่านอัครเสนาบดีเป็นแม่ทัพผู้สู้ศึกอย่างชอบธรรม เพื่อขจัดขุนนางชั่วข้างกายฮ่องเต้และกำจัดขุนนางกังฉินจึงได้เคลื่อนทัพมา เหตุใดจึงเป็นกบฏไปได้เล่า”
“แม้แต่เด็กน้อยในชนบทยังรู้ว่าคนชั้นต่ำที่ขายนายเพื่อความรุ่งโรจน์ ทรยศแผ่นดินผู้หนึ่ง จะมาจงรักภักดีต่อราชวงศ์ของเราได้อย่างไร ดูแล้วท่านแม่ทัพไม่น่าเป็นคนเช่นนั้น เหตุใดจึงต้องช่วยเหลือคนชั่วทำความชั่ว สละชีพเพื่อคนชั้นต่ำผู้นั้นด้วย”
“เจ้า!” เคราของแม่ทัพเคราดกเริ่มกระเพื่อมสะบัดไหว “เจ้าพูดว่าข้าช่วยเหลือคนชั่วทำความชั่ว? เจ้า…”
ในตอนนั้นเองทหารคนสนิทข้างกายเขาผู้หนึ่งก็รีบร้อนกล่าวขึ้นมา “ท่านแม่ทัพอย่าได้โกรธเกรี้ยวไป เหตุใดจึงต้องถือสากับสตรีตัวเล็กๆ ผู้หนึ่งด้วย มอบนางให้ข้าน้อยเถิดขอรับ ให้ข้าน้อยจัดการนางเอง!”
“เหอะ!” แม่ทัพเคราดกหัวเราะเสียงเย็น “ช่างเถอะ ข้าเป็นถึงแม่ทัพที่ผ่านมานับร้อยศึก ยังต้องเกรงกลัวสตรีอ่อนแอเช่นเจ้าอีกหรือ ลากตัวออกไป นำไปขังเอาไว้ก่อน!”
“ท่านแม่ทัพ ท่านยกนางให้ข้าน้อยได้หรือไม่ ข้าน้อยยังไม่มีภรรยาขอรับ” ทหารคนสนิทผู้นั้นกล่าวโน้มน้าว ถามออกมาอย่างระมัดระวัง
“หืม?” สายตาดุจมีดน้ำแข็งของแม่ทัพเคราดกสาดมองไปยังเถาเม่ยเอ๋อร์
ลมหายใจของเถาเม่ยเอ๋อร์ติดขัดขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่นางจะแค่นหัวเราะเสียงเย็นออกมากะทันหัน “การกระทำของท่านแม่ทัพยังมิสู้โจรที่สังหารคนรวยเพื่อคนจน แทนที่จะให้ข้าต้องได้รับความอัปยศ ยังมิสู้ตวัดดาบเดียวมาเสียเลย!”
“คุณหนูเองก็คงรู้ว่าบนโลกใบนี้เรื่องที่ทรมานที่สุดคือการอยู่มิสู้ตายกระมัง”
“ข้าเกิดมาในตระกูลแพทย์ พบเห็นความตายและการลาจากมามาก จะไม่รู้ได้อย่างไร”
“ฮ่าๆๆ!” แม่ทัพเคราดกผู้นั้นเปลี่ยนจากมีโทสะมาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ข้ายังหลงคิดว่าคุณหนูไม่มีวันเกรงกลัวอะไรเสียอีก”
เถาเม่ยเอ๋อร์ฝืนกดข่มความหนาวเยือกที่มาจากอวัยวะภายในของตนเอง ลอบครุ่นคิดว่าวันนี้จะหลบหนีคราวเคราะห์ครั้งนี้ไปได้อย่างไร ก็พลันได้ยินเสียงหวีดหวิวของสายลม ลูกธนูสีดำดอกหนึ่งแล่นเข้ามาจากช่องว่างของประตูกระโจม พุ่งเข้าใส่ลำคอของแม่ทัพเคราดกผู้นั้นโดยตรง
“ระวัง!” เถาเม่ยเอ๋อร์กรีดร้องตกใจ ไม่ว่าอย่างไรชีวิตมนุษย์ย่อมสำคัญที่สุด นางจะเมินเฉยไม่สนใจได้อย่างไร
สีหน้าแม่ทัพเคราดกเปลี่ยนไปกะทันหัน เขาเบี่ยงตัวหลบออก แต่สุดท้ายยังคงหลบไม่พ้น ได้แต่มองดูลูกธนูดอกนั้นยิงถูกแขนซ้ายของตนเองกับตา
หนึ่งในสองทหารคนสนิทพุ่งออกนอกกระโจมไปเรียกคนมาคอยเฝ้าระวังทันที ส่วนอีกนายนั้นก็ไม่มีแก่ใจจะจับจ้องเถาเม่ยเอ๋อร์อีก
ดาบธนูไร้ตา แม้จะเป็นแม่ทัพผู้ชำนาญศึก แต่ในสถานการณ์วิกฤตก็สามารถพลาดท่าได้เช่นกัน แม่ทัพเคราดกผู้นั้นล้มลงกับพื้นทันที เขาประคองต้นแขนซ้ายพร้อมร้องเสียงเบา “ลูกธนูดอกนี้มีพิษ!”
ภายนอกกระโจมมีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น เสียงฝีเท้าจำนวนมากใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทั้งยังมีลมประหลาดพัดหอบเข้ามาอีกครั้ง ท้องฟ้ามืดครึ้มลงในพริบตา
เถาเม่ยเอ๋อร์กล่าวเสียงสั่น “รีบดึงม่านลง จุดไฟ ไปเอาล่วมยาของข้ามา! เร็วเข้า!”
ทหารคนสนิทผู้นั้นมองเถาเม่ยเอ๋อร์อย่างลังเล ก่อนหันไปมองแม่ทัพเคราดกเพื่อสอบถาม
สีหน้าของแม่ทัพเคราดกผู้นั้นยิ่งซีดขาว ร่างกายที่แข็งแกร่งอ่อนยวบไร้กำลังในชั่วพริบตา เขาผงกศีรษะอย่างอ่อนล้า “ทำตามที่นางสั่งเถอะ”
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ!” ทหารคนสนิทผู้นั้นร้องตะโกนเรียก “ใครก็ได้ไปเอาตัวเด็กคนนั้นกับล่วมยามา!”
เพียงไม่นานจินเจิ้งก็เดินกอดล่วมยาเข้ามาในกระโจมใหญ่
“คุณหนู ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
เถาเม่ยเอ๋อร์กวาดมองจินเจิ้งอย่างว่องไวคราหนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เจ้ายังไหวหรือไม่”
“คุณหนู ข้าไม่เป็นอะไร ท่าน…” สายตาของจินเจิ้งมองไปทางแม่ทัพเคราดกที่อยู่ด้านข้าง เห็นเพียงลูกธนูดอกนั้นปักลึกเข้าไปในเนื้อ ริมฝีปากของแม่ทัพเคราดกเริ่มสั่นระริกขึ้นมา
เถาเม่ยเอ๋อร์กล่าวอย่างเคร่งเครียด “จินเจิ้ง ตัดแขนเสื้อของเขาออก สถานการณ์เร่งด่วนตอนนี้คือการนำหัวลูกธนูออกมาก่อน มิฉะนั้นพิษจากหัวลูกธนูจะแทรกซึมลึกเข้าไปยังอวัยวะภายใน หากช้ากว่านี้เกรงว่าจะไม่อาจช่วยได้แล้ว”
จินเจิ้งผงกศีรษะ ก่อนตัดแขนเสื้อของแม่ทัพเคราดกออกตามคำสั่งของเถาเม่ยเอ๋อร์
เถาเม่ยเอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าลึกพลางตั้งสติ จากนั้นจึงเปิดล่วมยาอย่างว่องไว หยิบยาลูกกลอนเม็ดเล็กๆ มาบดใส่บาดแผล
“ช้าก่อน!” ทหารคนสนิทระแวดระวังขึ้นมาทันที “เจ้าใส่ยาอะไรให้ท่านแม่ทัพ”
“นี่คือยาลูกกลอนเจี่ยกู่หวัน ทำมาจากด้วงมูลสัตว์ แร่สยงหวง งาช้าง บดเป็นผงในปริมาณเท่าๆ กันแล้วปั้นเป็นยาลูกกลอน มีไว้เพื่อดึงหัวลูกธนูออกโดยเฉพาะ ท่านแม่ทัพ รู้สึกว่าบนต้นแขนคันจนยากจะทนได้ไหวหรือไม่”
แม่ทัพเคราดกผู้นั้นขยับร่างเล็กน้อยอย่างอ่อนแรง สีหน้าคล้ายกำลังพยายามอดทนอย่างใหญ่หลวง
“อ๊าก!” ตามมาด้วยเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของแม่ทัพเคราดก เถาเม่ยเอ๋อร์ถอนหัวลูกธนูออกอย่างว่องไว
เมื่อเห็นแม่ทัพเคราดกผู้นั้นตัวสั่นไปทั้งกาย เหงื่อหลั่งชโลม บนต้นแขนซ้ายมีเนื้อเละๆ กำลังมีโลหิตและหนองทะลักออกมาอย่างน่าหวาดกลัว เถาเม่ยเอ๋อร์ก็หยิบขวดยาขวดหนึ่งออกมาแล้วเทลงไปบนต้นแขนซ้ายของแม่ทัพเคราดก ในที่สุดแม่ทัพเคราดกก็ทนไม่ไหวร้องโอดครวญออกมาเสียงดัง
ชิ้ง! ที่ด้านหลังแม่ทัพเคราดกไม่รู้ปรากฏทหารผู้หนึ่งตั้งแต่เมื่อใด คมดาบเงาวับส่องประกายภายใต้แสงเทียน เพิ่มกลิ่นอายเย็นชาอยู่หลายส่วน
“ไม่ ถอยออกไป…” สีหน้าแม่ทัพเคราดกยังคงซีดขาว เขาโบกมืออย่างอ่อนแรงพลางกล่าว “เห็นทีวันนี้ข้าจะได้พบผู้สูงศักดิ์แล้ว คุณหนูเถา ดั่งคำกล่าวที่ว่าทวนเปิดเผยหลบหลีกง่าย เกาทัณฑ์ลับยากระวัง จวบจนวันนี้ข้าจึงเพิ่งเข้าใจความหมายของมัน ยามนี้ไม่ว่าเป็นผู้ใดที่ต้องการกำจัดข้า วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คนของคุณหนูก็ทำให้ข้ายอมรับนับถือจากใจแล้ว”
“ท่านแม่ทัพ ยามเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดเช่นนี้ท่านยังสามารถหนักแน่นเป็นปกติได้ นับว่าเข้มแข็งยิ่งกว่ากวนอวิ้นฉางที่ขูดกระดูกรักษาแผลเสียอีก ข้าขอชื่นชมเจ้าค่ะ”
“น่าละอายใจนัก…”
“ทว่าท่านแม่ทัพอย่าได้ลืมบุญคุณของแผ่นดิน สูญเสียความเป็นวิญญูชนจนโยนไข่มุกลงข้างทางเสียได้เล่า”
“เฮ้อ…” นึกไม่ถึงว่าแม่ทัพเคราดกผู้นั้นจะทอดถอนใจ “โยนไข่มุกลงข้างทาง? ทุกวันนี้หากจะถอยหลังกลับเกรงว่าจะไม่ทันแล้ว ข้าติดหนี้บุญคุณคุณหนู ย่อมรู้จักตอบแทนอย่างแน่นอน คุณหนูไม่ต้องกลับเมืองอีกแล้ว ในช่วงเวลานี้เมืองเจี้ยนคังไม่อาจหลีกเลี่ยงศึกสงครามได้ หาสถานที่สักแห่งซ่อนตัวอยู่ก่อน รอให้เรื่องผ่านพ้นไปแล้วค่อยคิดหาแผนรับมือ”
“ที่ท่านแม่ทัพกล่าวหมายความว่าภัยพิบัติครั้งนี้ยากจะหลีกเลี่ยงหรือ”
ภายนอกกระโจมมีเสียงฝนตกราวกับแมลงไต่ เข้าโจมตีหัวใจช้าๆ และค่อยๆ กัดกินไปทีละนิด หัวใจนางรู้สึกเจ็บปวดอย่างช่วยไม่ได้
แม่ทัพเคราดกผู้นั้นไร้วาจา
“สั่งให้คนหาแพะมาตัวหนึ่ง แล้วสังหารแพะเอาโลหิตมาดื่มกินและทาบาดแผล หลังผ่านไปไม่กี่วันก็จะหายดีเอง โชคดีที่เป็นเพียงลูกธนูพิษทั่วไป ตอนนี้พิษได้ถูกกำจัดไปแล้วเจ้าค่ะ”
เถาเม่ยเอ๋อร์จัดการบาดแผลให้แม่ทัพเคราดกเรียบร้อย ในใจรู้สึกสับสนอย่างหนักราวกับถูกลูกธนูยิงทะลุหัวใจตนเอง นางจึงกล่าวลาแม่ทัพเคราดก ก่อนเร่งรีบเดินออกจากกระโจมทหารไปพร้อมกับจินเจิ้ง
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 20 ก.ย. 62)
Comments
comments
No tags for this post.