บทที่ 2
“ที่นี่บรรยากาศไม่เลว”
พิรัลออกปากชมอย่างพึงพอใจหลังจากกวาดตามองไปรอบบริเวณ…สวนอาหารแห่งนี้ค่อนข้างกว้าง มีความเป็นธรรมชาติแทรกซึมอยู่ในบรรยากาศ ไม่ว่าจะเป็นเรือนใหญ่ที่ยกพื้นสูงอยู่กลางบึง มีลมรำเพยพัดโชยให้ความเย็นสบายโดยไม่ต้องพึ่งเครื่องปรับอากาศ และลมนั้นก็หอบกลิ่นหอมของพันธุ์ไม้ราตรีที่ปลูกอยู่รายรอบมาแตะจมูกให้ความรู้สึกดีไปอีกแบบ
พื้นที่ใช้สอยในร้านก็ได้รับการตกแต่งอย่างลงตัวไม่ขัดตา…โต๊ะแต่ละตัวอยู่ห่างกันพอประมาณเพื่อให้ลูกค้ามีความเป็นส่วนตัว ไม่แออัดเหมือนบางร้านที่พนักเก้าอี้แทบจะเกยกัน
“น้องดาวชอบมาที่นี่น่ะ กูก็ว่าที่นี่บรรยากาศดี อาหารก็อร่อยใช้ได้”
เอกภพบอกด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุขเมื่อนึกถึงคนรักสาว ซึ่งแม้จะคบหากันไม่นาน แต่ใจก็บอกว่าใช่เลย…คนนี้แหละคือคนสำคัญที่ชีวิตเขาจะขาดเสียมิได้
พิรัลตีสีหน้าชนิดหนึ่ง…ค่อนไปทางเย้ยหยัน ในสายตาเขา ดวงดาวเป็นผู้หญิงที่จืดชืด ยากที่จะเชื่อเหลือเกินว่าเอกภพจะหยุดความพอใจทั้งหมดไว้ที่เธอคนเดียวได้ จนถึงบัดนี้ก็ยังทำใจเชื่อไม่ลง
“ยายน้องดาวคนนั้นน่ะเหรอ” ถามเพื่อความแน่ใจและแอบหวังลึกๆ ว่าจะเป็นดาวอื่นที่เฉิดฉายกว่า แต่เพื่อนหนุ่มกลับพยักหน้ารับหงึกๆ
“ฮื่อ…คนนั้นแหละ กูคั่วอยู่ดาวเดียว วันที่สามสิบเดือนหน้ากูจะหมั้นกับน้องดาว พวกมึงต้องมาให้ได้นะ ไม่มามีเตะกันทีหลังแน่”
“นี่มึงเอาจริงเหรอ”
“จริงดิ ใจกูน่ะอยากแต่งวันนี้พรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ”
“อะไรจะอยากลงนรกเร็วขนาดนั้น”
เพื่อนหนุ่มถึงกับสำลัก วางแก้วเบียร์ลงแทบไม่ทัน ก่นว่าตัวการเสียงขรม
“ไอ้เวร พูดซะเสียหมด แต่งงานนะเว้ย ไม่ได้ลงไปหายมบาล”
“ไอ้พิมันไม่เข้าใจคนมีความรักหรอก เพราะมันไม่เคยรักใครนอกจากตัวเอง” เดชาที่นั่งข้างเอกภพออกหน้าช่วยอีกแรง
พิรัลปรายตามองแนวร่วมที่เป็นคุณพ่อลูกสองอย่างเยาะหยัน
“จะให้กูเอาอย่างมึงน่ะเหรอ…อยู่ดีไม่ว่าดี หาห่วงผูกคอ แล้วเป็นไง…มีลูกกวนตัวมีเมียกวนใจ จะไปไหนทำอะไรก็ต้องรายงานเมียหมด”
“ก็กูไม่อยากให้เค้าเป็นห่วง…” เดชาแก้ตัว “ว่าแต่มึงเหอะ อายุขึ้นเลขสามแล้วนา ไม่คิดจะคบหาผู้หญิงคนไหนจริงจังบ้างเหรอ จะหวงความโสดไปถึงไหน ไอ้ภพมันยังคิดลงจากคานแล้วเลย”
“แม่กูบ่นแบบนั้นทุกวัน มึงไม่ต้องมาบ่นซ้ำหรอก อย่าทำตัวเป็นแม่คนที่สามของกูเลย เซ็งว่ะ…”
ชายหนุ่มโบกมือปรามเพื่อนอย่างเบื่อหน่ายจริงๆ…ไม่รู้ว่าความโสดมันมีพิษมีภัยอะไรนักหนา คนรอบข้างถึงชอบยุยงส่งเสริมให้สลัดมันทิ้งไปนัก
“กูแค่เตือนไว้ กลัวมึงมีลูกไม่ทันใช้” เดชาไม่ยอมเลิกราง่ายๆ
“จะให้กูมีลูกทันใช้แบบมึงน่ะเหรอ” พิรัลทำเสียงและสายตาเยาะเพื่อนอีกครั้ง “ทันใครใช้กันแน่วะ มึงใช้มันหรือมันใช้มึง เท่าที่เห็นรู้สึกว่าลูกใช้มึงอยู่นะ”
“มันยังเด็ก…เอาไว้ให้มันโตกว่านี้สักสิบปีสิบห้าปีก็คงจะใช้งานมันได้มั่งหรอก”
“ไม่ใช่ต้องเหนื่อยกับการวิ่งไล่จับมันตามผับตามบาร์อีกเหรอ”
ชายหนุ่มขัดคออย่างอดไม่ได้อีกครั้ง ทำเอาเพื่อนบ่นพึมพลางถลึงตาขุ่นใส่
“จะพูดกันได้ไม่นานก็เพราะปากอย่างนี้แหละว้า”
พิรัลหัวเราะหึๆ เติมเบียร์ให้ตัวเองและเพื่อน หากพอรินเสร็จอีกฝ่ายกลับไม่ยอมยกขึ้นดื่ม ทำตาค้าง ตัวแข็งทื่อราวกับถูกคาถานะจังงัง ชายหนุ่มเห็นเข้าก็เลิกคิ้วเข้มขึ้นเล็กน้อยอย่างพิศวง
“เป็นไรวะ”
“แม่โว้ย…ผู้หญิงคนนั้นหุ่นดีฉิบเป๋ง”
เดชาคราง มองข้ามไหล่กว้างของเพื่อนไปตาแทบไม่กะพริบ พิรัลเหลียวมองตามแล้วก็เกิดอาการหายใจสะดุด เพราะผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่แค่หุ่นดีจริงอย่างที่เดชาพูด ใบหน้าของเธอยังอยู่ในขั้น ‘สวย’ มากอีกด้วย…แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจเขามากที่สุดคือเรือนผมดกดำเป็นเงางามอย่างน่าสัมผัสนั่น
ผู้ชายหลายคนมองเธอตาปรอยอย่างติดใจ แต่หญิงสาวไม่สนใจใคร กวาดตามองไปรอบบริเวณราวกับหาใครสักคน และมาหยุดลงที่โต๊ะของสามหนุ่ม
ริมฝีปากรูปกระจับแย้มยิ้มหวาน แล้วร่างเพรียวระหงก็ตรงดิ่งมาหาราวกับลูกธนูพุ่งตรงสู่เป้าหมาย…
ไม่มีใครรู้ว่าภายใต้ท่าเดินอย่างสาวมั่นของไปรยาคือความอายสุดๆ เมื่อต้องก้าวเข้าไปในสวนอาหารเพื่อกระทำการ ‘พิสูจน์ลายเสือ’ โดยสวมเสื้อแขนกุดที่ยาวเลยเอวมานิดหนึ่ง กับกระโปรงสูงเหนือเข่าหนึ่งฝ่ามือ ส่งผลให้เธอดูเป็นสาวเปรี้ยวขึ้นทันตา ทั้งที่ตอนแรกการแต่งกายของเธอจัดได้ว่าเรียบมาก ไม่น่าเชื่อว่าแค่ถอดเสื้อนอกกับปล่อยผมยาวสลวยระแผ่นหลังจะเปลี่ยนบุคลิกเธอได้ในพริบตาแบบนั้น
หญิงสาวทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับสายตาที่มองมา พยายามคิดว่าคนพวกนั้นเป็นหัวเผือกหัวมันเพื่อลดความประหม่าเหมือนตอนขึ้นเวทีละครเป็นครั้งแรก เพราะถ้าไม่คิดเช่นนั้น ขาเธอคงได้ขวิดด้วยความอายเป็นแน่
ใจก็นึกก่นว่าเพื่อนจอมวางแผนและตัวเองที่บ้าจี้ยอมเล่นตามแผนบ้าๆ นี่ไปตลอดทาง…
จริงอยู่…สมัยเรียนพวกเธอเคยเล่นอะไรแผลงๆ กันบ่อย หนักหนากว่านี้ก็มี แต่นั่นเธอเป็นเพียงผู้ชม ไม่ได้เป็นผู้แสดงนำ และเรื่องพวกนั้นก็ไม่เหมือนเรื่องที่เธอจะทำในตอนนี้…ความคิดเรื่องการเล่นหูเล่นตากับผู้ชายทำให้เธอกระอักกระอ่วน เพราะไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน
นี่ถ้าปิ่นแก้วรู้เข้าว่าลูกสาวคนเดียวที่เธอภูมิใจนักหนามาเล่นอะไรแบบนี้ล่ะก็…มีหวังลมจับแน่!
‘มันก็เหมือนการล้อเล่นกับเพื่อนน่ะปาย ถ้าเขาดีพอเป็นเพื่อนเขยเราได้ มันก็แค่ตลกในหมู่เพื่อนฝูงเท่านั้น…แต่ถ้าเขาชีกอกับเธอก็ซัดเปรี้ยงเลยนะ อย่าเอาไว้…ยายดาวของเราจะได้หูตาสว่างซะที’
แว่วเสียงของเพื่อนยังก้องอยู่ในหู…
เสาวนีย์ก็พูดแบบนั้นได้สิ…เธอเป็นแค่ผู้เขียนบทและผู้กำกับ ไม่ได้เป็นคนขึ้นเวทีแสดงบทน่าอายนี้เองนี่…ไปรยานึกเคือง แต่เธอก้าวมาไกลเกินกว่าจะถอยหลังกลับแล้ว ยังไงก็ต้องเล่นต่อจนจบล่ะ
เอาเถอะ…หญิงสาวคิดอย่างตัดใจ…แค่โปรยยิ้มหวาน ทำตาหวาน และพูดจาหวานๆ (ตามแผน ‘สามหวาน’ ของเสาวนีย์) เพื่อดูท่าทีเขาสักหน่อย ไม่น่าจะยากเย็นอะไร ถือเสียว่าทำเพื่อเพื่อนด้วย ดวงดาวจะได้รู้ธาตุแท้ของผู้ชายที่ตัวเองชอบว่าเป็นยังไง ลับหลังเธอมีความประพฤติแบบไหน ที่พูดจาให้สัญญาสารพัดนั่น เป็นเรื่องจริงหรือโป้ปดให้ตายใจเล่นกันแน่
ว่าที่คู่หมั้นของดวงดาวมากับเพื่อนสองคน เมื่อเดินเข้าไปใกล้และเห็นพวกเขาถนัด ไปรยาก็ต้องยอมรับว่าชายหนุ่มกลุ่มนี้ดูดีทุกคน…หล่อเหลาและมีเสน่ห์ต่างกันไปคนละแบบ พวกเขาต้องสังกัดค่าย ‘เสือผู้หญิง’ อย่างไม่ต้องสงสัย หลักฐานนั้นเห็นได้ชัดจากสีหน้าแววตาที่พวกเขาใช้มองเธอ โดยเฉพาะผู้ชายหน้าเข้มที่จ้องมองเธออย่างพึงพอใจด้วยดวงตาคมพราวระยับทำให้เธอหนาวๆ ร้อนๆ อย่างบอกไม่ถูก
หญิงสาวจำกัดสายตาที่เป้าหมาย ตัดอีกสองหนุ่มออกจากความสนใจ เพื่อให้งานง่ายขึ้นจึงสมมติให้คนหนึ่งเป็นกะหล่ำปลี ส่วนคนที่มองเธออย่างน่าเกลียดจนน่าควักลูกนัยน์ตาให้กระเด็นออกนอกเบ้าเป็นพริกชี้ฟ้า (น่าจะเหมาะกับผู้ชายที่มีดวงตาร้ายกาจอย่างเขาดี) ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้ไม่ระคายใจกับพวกเขามากนัก
“ตรงนี้ว่างหรือเปล่าคะ” หญิงสาวถามเสียงหวานปานจะหยด (จนตัวเองยังขนลุกตัวเองเลย)
“ว่างครับ” ชายหนุ่มที่เธอสมมติว่าเป็นกะหล่ำปลีเป็นคนตอบอย่างกระตือรือร้น
หน้าของไปรยายิ้มแต่ใจไม่ยิ้มด้วย คิดเพียงอย่างเดียวว่า…มันจะต้องจบลงโดยเร็วที่สุด…เธอจึงไม่มองใครนอกจากเอกภพ
ว่าที่คู่หมั้นของดวงดาวเป็นหนุ่มหล่อสวยแบบที่สาวๆ ชอบ ไม่น่าแปลกที่เพื่อนเธอจะหลงเขาหัวปักหัวปำขนาดนั้น แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาชื่นชมเขา…หญิงสาวเตือนตัวเองให้คิดถึงหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาก่อน
…ยายนีว่าไงนะ อ้อ…ใช่ เล่นหูเล่นตากับเขานิดหน่อย…
ไปรยาจึงยิ้มใส่ตาเป้าหมายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“เหงาบ้างไหมคะ”
“ไม่ครับ ผมมีเพื่อนมาด้วย” เอกภพตอบอย่างสุภาพ ท่าทางระมัดระวังตัว ไม่มีทีท่าอยากจะกระโจนใส่เธอเหมือนอีกสองคนที่ทำท่าเหมือนหมาป่าจ้องงาบหนูน้อยหมวกแดงยังไงยังงั้น
“แต่ผมเหงาครับ อยากได้คนสวยอย่างคุณมาช่วยให้หายเหงาเหลือเกิน” เดชาพูดออดอ้อน
ไปรยาฝืนยิ้มหวาน แต่คิดว่าคงออกมาแหยแฝ่นเต็มทีด้วยใจขยะแขยงเต็มกลืน เธอไม่สนใจ ‘นายกะหล่ำปลี’ หันกลับไปมองเอกภพอีกครั้ง ตั้งใจให้เรื่องนี้จบภายในห้านาทีให้ได้
“รู้ไหมคะว่าฉันสนคุณตั้งแต่แรกเห็น”
เอกภพทำท่าอึดอัด เหลือบมองเพื่อนอย่างขอความช่วยเหลือ ซึ่งพิรัลก็สนองตอบฉับไวด้วยสนใจแม่สาวตาคมผมสวยเป็นทุน
“มันไม่ว่างสำหรับคุณหรอกครับ แต่ผมน่ะว่างเสมอ”
ชายหนุ่มจบคำพูดด้วยรอยยิ้มเก๋แบบที่ละลายใจผู้หญิงให้อ่อนยวบแทบทุกราย แต่ไปรยาอยู่นอกกรณีนั้น หญิงสาวปรายตามองอย่างขยะแขยงก่อนเมินผ่านใบหน้าคมสันไปอย่างไม่ไยดีทำให้ชายหนุ่มงงเล็กน้อยที่เห็นเธอมุ่งมั่นในตัวเพื่อนเขามากขนาดนั้น
“ทำไมล่ะคะ” ไปรยาแสร้งถามอย่างไม่เข้าใจ “หรือคุณมีภรรยาแล้ว”
“ยังครับ”
“แล้วทำไมถึงปฏิเสธฉันล่ะคะ ช่วยตอบให้ชัดๆ หน่อยได้ไหม ฉันทนรับความผิดหวังอย่างไม่มีเหตุผลไม่ได้ด้วย” หญิงสาวว่าพลางจ้องตาเขาอย่างค้นหาความจริง
เอกภพถอนใจ สบตาคมงามตรงๆ ก่อนให้คำตอบอย่างหนักแน่นจริงจัง
“ผมมีคนรักแล้วครับ กำลังจะหมั้นกับเธอในไม่ช้านี้ ถึงเราจะยังไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่ผมสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ต่อเธอ ผมต้องทำตามสัญญานั้น”
ไปรยายิ้มอย่างจริงใจเป็นครั้งแรกกับคำตอบที่ได้รับ…เป็นอันว่าจบบทบาทที่เสาวนีย์เขียนให้เล่นเสียที
“คนรักของคุณเป็นคนที่น่าอิจฉามากค่ะ ฉันคงไม่รบกวนคุณแล้ว” หญิงสาวบังคับตัวเองให้ลุกขึ้นช้าๆ ไม่ทำท่าเหมือนอยากจะกระโจนออกไปจากจุดนั้น แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อข้อมือถูก ‘นายพริกชี้ฟ้า’ คว้าไว้
“ผมว่างพอให้คุณรบกวนนะครับ”
ชายหนุ่มพูดเสียงนุ่มทุ้ม ดวงตาคมพราวระยับชวนขนลุก…นี่ถ้าเธอเป็นขนมหวาน เขาคงหยิบใส่ปากเคี้ยวไปแล้วแหงๆ…หญิงสาวปลดมือเขาออกอย่างไม่ปิดบังความรังเกียจ บอกเสียงกระด้าง เย็นชา
“ไม่ล่ะค่ะ ฉันชอบตัวจริง ไม่ชอบตัวสำรอง”
ว่าจบไปรยาก็ก้าวฉับๆ จากไปโดยไม่เหลียวกลับไปมองด้านหลัง จึงไม่เห็นว่าชายหนุ่มมองตามมาด้วยอาการคอแข็งเพียงไร
พอพ้นสายตาคน หญิงสาวก็วิ่งไปหาเสาวนีย์ที่ลับล่อดูเหตุการณ์อยู่แถวนั้น แล้วพากันหลบฉากไปรวมกลุ่มกับกมลาและดวงดาวซึ่งรอผลด้วยใจระทึกราวกับลุ้นผลเอนทรานซ์อีกรอบ
“เป็นไงมั่งปาย” ดวงดาวถามเสียงสั่น
“แฟนเธอใช้ได้ยายดาว เขาไม่สนฉันเลย” ไปรยาสวมเสื้อนอก รวบผมด้วยยางผ้กำมะหยี่สีสวย พลางเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้เพื่อนฟัง สุดท้ายดวงดาวก็ถอนใจโล่งอกและยิ้มอย่างภาคภูมิ
“พี่ภพไม่ได้หลอกเราจริงด้วย”
“ฮื่อ…เขาน่ะดี แต่เพื่อนเขาน่ะเลวบรม บอกให้แฟนเธอเลิกคบเพื่อนพรรค์นี้เถอะ คบไปก็ไม่สร้างความเจริญให้หรอก” ไปรยาว่าด้วยน้ำเสียงเข่นเคี้ยวเขี้ยวฟันมิใช่น้อย “ใครพกโฟม เจล หรืออะไรที่ใช้ล้างมาได้บ้าง ขอฉันใช้ล้างมือหน่อยเถอะ ไอ้บ้ากามนั่นมันจับมือฉันด้วย ขยะแขยงจะแย่อยู่แล้ว”
“ตัวสำรอง”
เดชาพึมพำคำนั้นอย่างติดใจหลายครั้งก่อนปล่อยเสียงหัวเราะก๊าก ท่ามกลางสายตาขุ่นเคืองของพิรัลที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ขณะที่เอกภพมองเพื่อนทั้งสองยิ้มๆ
“ไอ้ภพ มึงก็เสน่ห์แรงเหมือนกันนี่หว่า ผู้หญิงเห็นมึงเป็นตัวจริง ส่วนไอ้พิเป็นแค่ตัวสำรอง” เดชาพูดแล้วหัวเราะต่อเนื่องอีกครั้งอย่างอดไม่อยู่…น้อยครั้งนักที่จะได้เห็นหัวโจกผู้มีลูกล่อลูกชนแพรวพราวเสียหน้ายับเยิน แตกเป็นเสี่ยงๆ จนต่อไม่ติดแบบนี้
พิรัลขุ่นขวางขนาดหนัก นึกคันมือคันเท้าขึ้นมาตงิดๆ
“มึงจะเก็บปากไว้กินข้าว หรือจะให้กูช่วยทำให้มันต้องหยอดน้ำข้าวต้มวะ”
“ใจเย็นน่าไอ้พิ…ก็เพิ่งเคยเห็นครั้งนี้แหละที่ผู้หญิงเห็นไอ้ภพดีกว่า แถมแม่คุณยังสะบัดใส่มึงอย่างไม่ไยดีอีก ฮึ…” เดชาทำท่าจะระเบิดหัวเราะออกมาอีกชุด แต่สายตาขุ่นขวางเหมือนหมาบ้าของเพื่อนหยุดเขาไว้ก่อน กระนั้นรอยยิ้มชอบใจก็ยังซ่านอยู่เต็มใบหน้า
“ไอ้เดช…” ชายหนุ่มเรียกเพื่อนอย่างข่มขู่ หรี่ตาแคบอย่างใช้ความคิด จุดยิ้มเย็นที่มุมปากก่อนเปิดไพ่ตาย “ถ้ามึงยังไม่เลิกทำหน้าล้อเลียนกู คุณนิ่มต้องได้รู้เรื่องที่มึงเกี้ยวแม่สาวนั่นเพราะเหงาในคืนนี้แน่”
ได้ผล…ใบหน้ายิ้มๆ ของเพื่อนจางหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนน้ำซึมบนผืนทราย
“ไอ้พิ อย่าเล่นชั่วๆ อย่างนั้นนะโว้ย” เดชาร้องอย่างร้อนตัว
ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองเพื่อนยิ้มๆ “ทำหน้าตาได้ดีขึ้นกว่าเดิมแล้วนี่หว่า”
เดชาสบถเบาๆ อย่างหัวเสีย พิรัลหัวเราะเยาะเย้ยก่อนหันไปทางเพื่อนที่นั่งชมลูกเดียว ตักเตือนอย่างหวังดีเต็มที่
“ถอนตัวถอนใจตอนนี้ยังทันนะไอ้ภพ แต่งงานไปแล้วต้องกลัวเมียหงออย่างนี้เสียเชิงชายแย่”
“ไม่ล่ะ…กูตัดสินใจแล้ว” เอกภพยืนยันอย่างมั่นคง
พิรัลทำหน้าเมื่อย “กูล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าพวกมึงคิดอะไรกัน อยู่ดีไม่ว่าดี หาห่วงมาผูกคอ…แต่งงานแล้วจะไปสนุกสนานอะไรเหมือนเดิมได้ ดูอย่างไอ้เดชสิ…กลัวเมียหงอ”
‘คนกลัวเมีย’ ทำท่าเข่นเคี้ยวเขี้ยวฟัน ขณะที่เอกภพยิ้ม ตอบสั้นๆ แต่ได้ใจความที่สุดว่า
“เมื่อมึงรักใครสักคนมากพอ…จะเข้าใจเอง”
รักหรือ…
พิรัลได้ยินแล้วอยากหัวเราะก๊าก เขาไม่ได้ขำความหมายของมัน แต่ขำที่ตัวคนพูดมากกว่า
เอกภพที่เขารู้จักและเคยตระเวนเที่ยวด้วยกันแบบถึงไหนถึงกันนั่นไม่เคยพูดจาแบบนี้ พวกเขาแข่งกันจีบหญิงมากหน้าหลายตา แสวงหาความสุขใส่ตัวกันตามความพอใจ ไม่เคยสนใจเรื่องความรัก…จะบอกว่ามันไม่เคยอยู่ในสมองเลยก็ว่าได้…ตอนที่เดชาแต่งงานแล้วตกอยู่ใต้อาณัติเมียทุกอย่าง พวกเขายังช่วยกันเย้ยหยันเลยว่าด่วนคิดสั้น ผูกเงื่อนตายใส่คอตัวเองแท้ๆ
คิดไม่ถึง…สี่ปีผันผ่าน เอกภพจะแปรพักตร์ และมีอาการน่าเป็นห่วงกว่าคราวที่เดชาสละโฉด…เอ๊ย! สละโสดเสียอีก
“กูไม่อยากเชื่อเลยว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้จากปากมึง…น้องดาวสอนมารึไงวะ”
“น้องดาวไม่ได้สอนให้กูพูด…แต่ความรักที่น้องดาวสอนให้กูรู้จักเป็นคนสอน”
เอกภพตอบเสียงนุ่ม ดวงตาพราวระยับเช่นคนที่มีความสุขสมหวังเต็มหัวใจ พิรัลทำเสียงขลุกขลักในลำคอ แทบจะสำลักกับคำพูดชวนขนลุกของเพื่อน
“พอเหอะ…เลิกพูดอะไรเลี่ยนๆ ซะที เสียดายเบียร์กับกับแกล้มว่ะ ขอให้มันอยู่ในกระเพาะกูต่อไปเถอะ…อย่าให้มันต้องขย้อนออกมาเพราะความเลี่ยนของมึงเลย เสียดายของ”
เอกภพส่ายหน้า มองเพื่อนอย่างขบขัน
“เออ…แล้วกูจะคอยดูเวลามึงมีความรักว่าจะมีอาการยังไง ดีไม่ดีอาจจะสาหัสกว่ากูก็ได้”
“นั่นดิ…กูล่ะอยากเห็นนักว่าผู้หญิงแบบไหนถึงจะจัดการไอ้จอมกะล่อนอย่างมึงได้อยู่หมัด”
“ก็คงเป็นผู้หญิงที่หมัดหนักเอาการมั้งถึงจัดการกูได้อยู่หมัดน่ะ” พิรัลยักคิ้วแผล็บ เล่นลิ้นตอบอย่างคะนองปาก “ถ้าแม่คุณหมัดไม่หนักจริง ไม่มีทางน็อกกูได้หรอก”
“มันก็ไม่แน่เสมอไปนะไอ้พิ…ถึงหมัดไม่หนัก แต่ถ้ารู้จักวิธีชกก็เอาชนะได้ไม่ยากนา ดูอย่างกูสิ…ตอนแรกก็คิดว่าไม่ แต่พอเจอน้องดาวบ่อยครั้งเข้า มันก็เหมือนถูกน้องดาวฮุคหมัดใส่กูตรงจุดเดิมครั้งแล้วครั้งเล่าจนต้องจอด” เอกภพยกตัวอย่าง ไม่วายวกกลับเข้าตัวอีกครั้ง ทำเอาเพื่อนทั้งสองมองตาค้าง
“โอ้โห…ไอ้ภพ…คำพูดของมึงแต่ละอย่าง บอกยี่ห้อว่าเป็นโรคเลิฟมาเนียขนาดหนักเลยนะเนี่ย”
“นั่นเด่ะ ตอนที่ข้ามีความรักกับคุณนิ่ม กูยังไม่เพ้อหนักขนาดนี้เลย…ไอ้ภพ มึงพูดอะไรชวนอ้วกขนาดนั้นได้ไงวะ” เป็นครั้งแรกที่เดชาหันมาถือหางเข้าข้างพิรัลในค่ำคืนนี้
“เลี่ยน…ชวนอาเจียน…” เอกภพทำหน้าเหมือนถูกดูหมิ่นอย่างแรง ไม่วายพ้อ “กูอุตส่าห์กลั่นออกมาจากใจแท้ๆ นะ”
หากเพื่อนทั้งสองไม่เห็นใจ โบกมือไม้ว่อนในอากาศ ปรามด้วยสุ้มเสียงสมเพช
“พอทีเถอะไอ้ภพ ยิ่งพูดก็ยิ่งเลี่ยน เก็บไปพูดกับน้องดาวของมึงเหอะ”
“นั่นดิ ขืนพูดมากกว่านี้คงได้แยกวงกันแต่หัวค่ำล่ะ”
เดชาว่าแล้วหันไปสั่งน้ำแข็งกับเบียร์เพิ่มอีกสองขวด ครู่เดียวของที่สั่งก็มาถึง เดชาส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้สาวเสิร์ฟทำให้เพื่อนมองพลางส่ายหัวอย่างขบขัน
“นี่เหรอวะคนกลัวเมีย”
“เฮ้ย…กูก็แค่หยอกเล่นทดสอบเสน่ห์ของตัวเอง แต่ให้ไปไกลกว่านั้นก็ไม่เล่นด้วยหรอก เดี๋ยวคุณนิ่มได้ฉีกอกเอา” เดชาทำหน้าสยองประกอบคำพูดอย่างสมจริง
“ไม่…แม้จะเป็นแม่สาวสวยหุ่นดีคนนั้นเหรอ” เอกภพหยอดเสียงถามอย่างข้องใจ
“เออ…แล้วแม่นั่นก็ไม่ได้สนกูด้วย สนแต่มึงคนเดียว ขนาดไอ้พิเขายังไม่แล เล่นเอาเสือร้ายของเราหงอย กลายร่างเป็นแมวโดนยาเบื่อเลย” เดชาจบคำพูดด้วยการหยอดสายตาล้อเลียนเสือที่กลายเป็นแมวไม่เลิก
พิรัลรู้สึกขุ่นขวางทั้งเพื่อนและแม่สาวตาคมผมสวยที่หักหน้าเขาเสียย่อยยับอีกครั้ง…ในชีวิตเขาไม่เคยถูกผู้หญิงปฏิเสธอย่างไร้ไมตรีขนาดนี้มาก่อน มีบ้างที่รสนิยมต่ำถึงเห็นเพื่อนเขาดีกว่า แต่ก็ยังเจือจานยิ้มด้วยปากหรือนัยน์ตามาให้เสมอ ไม่เคยหมางเมินใส่อย่างสิ้นเชิงแบบนี้
ประเภทที่มองเขาราวกับเป็นสิ่งน่าขยะแขยงสุดขีดนี่เพิ่งจะเคยเห็น และมันก็ทำลายความภูมิใจของเขาหล่นหายไปหลายส่วน
“เลิกพูดถึงยายนั่นเถอะ นึกถึงแล้วหมดอารมณ์…ผู้หญิงบ้าอะไรก็ไม่รู้ อุตส่าห์สงสาร เห็นว่าผิดหวังก็จะช่วยสงเคราะห์ให้ แต่ดันหยิ่งเลือกคนอีก มีอาชีพอย่างนั้นยังเรื่องมาก คงคิดว่าตัวเองวิเศษวิโสเสียเต็มประดา”
พิรัลจัด ‘ระดับ’ ให้ไปรยาตามพฤติกรรมที่ได้เห็นอย่างผิวเผิน ไม่คิดว่าเธอเป็นผู้หญิงดี เพราะภาพที่เธอเดินยิ้มหวานกรีดกรายมาให้ท่าพวกเขาถึงที่ยังติดตาอยู่
โดยที่ไม่รู้สักนิดว่าเขากำลังเข้าใจผิดมหันต์ และมันก็มีผลต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ไปถึงอนาคต ชักนำเรื่องวุ่นวายตามมาเป็นขบวนเลยทีเดียว…
พอเหลือบเห็นร่างสูงของพี่ชายก้าวเข้ามาในบ้าน พิสินีก็หันไปมองนาฬิกาเรือนโต เห็นเข็มสั้นอยู่เลยเลขสิบไปนิดหน่อย ส่วนเข็มยาวอยู่ที่เลขสามพอดิบพอดี…เพิ่งสี่ทุ่มสิบห้า ถือว่า ‘หัวค่ำ’ มากสำหรับพิรัลที่นิยมกลับบ้านตอนสองยามหรือไม่กลับเลย สาวน้อยจึงแสร้งบ่นว่า
“นาฬิกาเสียแล้วเหรอเนี่ย แหม ไอ้เราก็ดูหนังเพลินจนลืมเวลาเลยแฮะ”
“มากไปยายตัวยุ่ง การที่พี่กลับบ้านเร็วสักวันนี่มันผิดปกติมากนักเหรอ”
“ฮื่อ…พรุ่งนี้เป็นวันหยุด ตามสถิติแล้วพี่พิจะไม่กลับบ้านก่อนเที่ยงคืน และมีความเป็นไปได้ว่าอาจไปนอนค้างอยู่ที่ห้องชุด ไม่ยอมกลับบ้านจนกว่าจะบ่ายวันรุ่งขึ้น”
คำชี้แจงอย่างเป็นเหตุเป็นผลทำให้ชายหนุ่มหัวเราะ ก่อนเย้านักวิจัยตัวน้อยอย่างขบขัน
“นี่เราย้ายคณะไปเรียนสถิติมาวิจัยพฤติกรรมพี่ตั้งแต่เมื่อไหร่หืม…แม่สาวอักษร”
“ไม่ต้องย้ายคณะไปก็รู้…ก็เห็นประจำนี่”
สาวน้อยโต้กลับฉับไว พี่ชายส่ายหัวอย่างอ่อนใจแกมเอ็นดู ก่อนหยิบกระดาษสีแผ่นเล็กที่วางอยู่ข้างโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านทีละแผ่น…ลายมือของพิสินีอ่านง่ายละม้ายตัวบรรยายในหนังสือการ์ตูน
“คุณฮันนี่กับคุณรวี ขาประจำของพี่โทรมาทุกครึ่งชั่วโมงเลยมั้ง แม่หงุดหงิดใหญ่ ร่ำๆ จะเปลี่ยนเบอร์โทรใหม่แล้ว ทำไมไม่ให้เบอร์มือถือเขาไปล่ะ” เสียงใสแจ๋วรายงานประกอบและท้วงถามในตอนท้าย
พิรัลยักไหล่ ตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“ให้ไปแล้ว แต่คงโทรไม่ติดเพราะแบตฯ มือถือพี่หมด ขี้เกียจชาร์จด้วยน่ะ”
“เวรกรรม…” น้องสาวร้องคราง ก่อนถามต่ออย่างข้องใจเมื่อเห็นพี่ชายปล่อยโน้ตทิ้ง แล้วเอนหลังพิงเบาะ ดูข่าวสั้นในโทรทัศน์เฉย “แล้วพี่พิจะไม่โทรกลับไปหาเขาเหรอ”
“ไว้ก่อนก็ได้”
ชายหนุ่มว่าพลางขยับมือไปหยิบรีโมตที่วางอยู่บนโต๊ะกระจก แต่พิสินีไหวทัน ฉวยได้ก่อน ข่าวจบปุ๊บเธอก็เปลี่ยนช่องไปดูภาพยนตร์ต่างประเทศ พอได้ยินเสียงดนตรีนำร่อง พิรัลก็เบ้หน้ารังเกียจ
“เรื่องนี้อีกแล้วเหรอ…”
“ก็มันโรแมนติกดีนี่ เพิร์ลชอบ” น้องสาวว่า ทำตาเคลิ้มฝัน “อยากมีใครสักคนรักเพิร์ลแบบนี้มั่งจัง”
“พอแล้วยายน้ำเน่า วันนี้พี่ได้ยินอะไรเลี่ยนๆ จากไอ้ภพมาเกินพอแล้ว เบื่อจริง…พวกเลิฟมาเนียเนี่ย”
พิรัลบ่นอย่างหงุดหงิดระคนเบื่อหน่ายทำให้น้องสาวชะงักมองอย่างพิศวงและไม่อยากเชื่อหู
“พี่ภพเป็นโรคคลั่งรักเหรอ”
“ฮื่อ…มันจะหมั้นปลายเดือนหน้านี้แหละ ช่วงนี้มันทำตัวเลี่ยนมหากาฬเลย”
พิรัลถ่ายทอดเรื่องราวของเอกภพและดวงดาวให้ฟัง ซึ่งพิสินีก็ซักถามอย่างสนใจ เนื่องจากรู้จักเพื่อนพี่ชายดีทุกคน โดยเฉพาะเอกภพกับเดชาที่คบกับพิรัลมาตั้งแต่ชั้นมัธยมหนึ่ง พวกเขาเป็นลูกโทน เคยเห็นเธอมาตั้งแต่เด็ก…แม้พวกเขาจะเป็นชายเจ้าชู้ที่น่ากลัวสำหรับหญิงอื่น แต่เป็นพี่ชายที่น่ารักสำหรับเธอเสมอ
“ไอ้ภพมันฝากเชิญเราไปร่วมงานด้วย มันอยากแนะนำพี่สาวคนใหม่ให้เรารู้จัก”
“ไปสิไป เพิร์ลไม่ยอมพลาดแน่” สาวน้อยรับคำอย่างกระตือรือร้น ดวงตาเป็นประกายเหมือนเด็กสบอารมณ์กับของเล่นชิ้นใหม่ “อยากเห็นหน้าผู้หญิงที่ทำให้พี่ภพหยุดเสเพลได้เหมือนกัน เสือผู้หญิงอย่างพี่ภพหยุดเพราะพบรักแท้…ฟังแล้วโรแมนติกจังเลย…”
พิสินีประสานมือทั้งสองข้างไว้ในระดับคอแล้วเอียงหน้าลงไปซบอย่างฝันหวาน ขวางหูขวางตาพี่ชายเป็นที่สุด จึงค่อนว่าอย่างหมั่นไส้
“ยายน้ำเน่าเอ๊ย!”
“ตอนนี้แก๊งสามทหารเสือของพี่แตกขบวน เหลือพี่พิค้างเติ่งอยู่บนคานคนเดียวแล้วนา”
น้องสาวทำตาล้อเลียนใส่ พี่ชายเพียงแต่ยิ้ม ไม่ต่อล้อต่อเถียง เดี๋ยวกลายเป็นหนังเรื่องยาววกกลับมาเข้าตัวเองอีก จึงเปลี่ยนเรื่องโดยการถามว่า
“แม่ขึ้นนอนนานแล้วเหรอ”
“ฮื่อ ตั้งแต่สามทุ่ม วันนี้น้าปิ่นมากินข้าวกับแม่ที่บ้าน กลับไปตอนสองทุ่มกว่า พรุ่งนี้น้าปิ่นจะกลับเชียงใหม่แล้ว เสียดาย พี่พิเลยไม่ได้เจอพี่ปายเลย”
“ยายปีนป่ายนั่นยังตามแม่มาให้พี่ดูตัวอีกเหรอ” ชายหนุ่มนิ่วหน้าไม่ชอบใจ “ไหนแม่บอกว่าทางนู้นเขาเลิกยุ่งกับพี่แล้วไง”
“ก็เลิกยุ่งแล้วจริงๆ” สุ้มเสียงของน้องสาวอ่อนอกอ่อนใจด้วยความเสียดายที่แผนจับคู่สุดโรมานซ์ไม่ประสบผลสำเร็จ “น้าปิ่นเขามาคนเดียว และก็ไม่คุยเรื่องนี้กับแม่อีกแล้ว เพิร์ลพูดเพราะเสียดายเอง ในบรรดาผู้หญิงที่แม่หามาให้พี่เลือกเป็นโขยง เพิร์ลว่าคนนี้เข้าท่าที่สุดเลยนะ”
พิรัลหัวเราะในลำคอ เอื้อมมือไปโยกศีรษะของคนช่างอ้อนอย่างมันเขี้ยว
“ชีวิตพี่ทั้งชีวิตนะ จะให้เลือกเมียตามใจแม่ตามใจน้อง ไม่เอาด้วยหรอก…พี่ยังรักสนุกอยู่ เบื่อเมื่อไหร่จะหยุดเอง เราก็ตั้งใจเรียนเถอะ มัวแต่เล่นเป็นกามเทพตัวน้อยกับบ้านิยายน้ำเน่าอยู่นี่ เดี๋ยวปีนี้ก็ไม่จบหรอก”
พิสินีทำเสียงขัดใจ ดึงหัวตัวเองออกจากมือใหญ่ ยกมือขึ้นจัดผมยุ่งๆ ให้เข้าที่พร้อมกับขึงตาขุ่นใส่พี่ชาย…ไม่เข้าใจว่าหัวเธอมีเสน่ห์ตรงไหน พวกคนโตกว่าถึงได้ชอบยีเล่นกันนัก
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น สาวน้อยถอนใจ…รู้โดยพลันว่าเป็นของใคร หากคนที่เธอเชื่อมั่นว่าเป็นเจ้าของสายกลับนั่งเฉย ปล่อยให้โทรศัพท์กรีดร้องราวกับเป็นทิพยดุริยางค์ จนเธอชักหงุดหงิดรำคาญจึงบอกว่า
“รับเหอะ ของพี่แหละ ถ้าวิเคราะห์ไม่ผิด คราวนี้คงเป็นคุณรวีล่ะ”
“อาจจะเป็นฮันนี่ก็ได้”
“รับดูก็รู้”
น้องสาวท้า พิรัลจึงพิสูจน์ด้วยการหยิบโทรศัพท์ไร้สายมาแนบหู แล้วกรอกเสียงลงไป…เสียงแหลมๆ ที่ตอบกลับมาทำให้พิรัลนิ่วหน้า มองน้องสาวโดยไม่พูดอะไร แต่ชื่อที่เขาพึมพำตอบรับเป็นคำตอบได้เป็นอย่างดี
พิสินียิ้มกริ่ม…ไหมล่ะ เธอวิเคราะห์ผิดที่ไหน!
อาคารสูงสามสิบชั้นกรุกระจกสีเข้มโดยรอบสะท้อนภาพเมฆบนท้องฟ้าและทางยกระดับบนถนนหลักสายหนึ่งของกรุงเทพฯ ที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องการจราจรคับคั่ง เพราะมีอาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล และโรงเรียนตั้งเรียงรายอยู่เกือบตลอดสาย
พิรัลจอดรถคันโปรดที่ลานจอดรถชั้นห้าเอแล้วเดินเข้าไปในตัวตึก ไอเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศปรี่มาปะทะร่าง ช่วยบรรเทาความหงุดหงิดจากการใช้ชีวิตบนท้องถนนที่ติดแหง็กไปได้หน่อย ชายหนุ่มกดลิฟต์ไปยังชั้นสิบเจ็ด ผลักประตูเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัว ไม่ทันได้ทิ้งตัวนั่ง เสียงโทรศัพท์ภายในก็ดังขึ้น
“ผู้จัดการเชิญคุณพิรัลไปพบที่ห้องด่วนเลยค่ะ”
เลขาฯ หน้าห้องผู้จัดการโทรมาบอก ชายหนุ่มทำตามฉับไวด้วยความสงสัยเต็มทีว่าผู้จัดการมีธุระอะไรเร่งด่วนนักหนา หรือแบบอาคารที่เขาเพิ่งส่งไปใช้ไม่ได้ ไม่…มันไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะเขาออกแบบตามความต้องการของลูกค้า และปรึกษาวิศวกรถึงความเป็นไปได้ในการก่อสร้างเรียบร้อยทุกครั้ง
งานนั้นไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาด…
“มาแล้วหรือคุณพิรัล ผมกำลังรออยู่เชียว”
ผู้จัดการวัยกลางคนบอกอย่างร้อนรน เกรงใจ ทำให้พิรัลสงสัยหนักขึ้น
“มีอะไรครับ หรือว่าลูกค้าอยากให้ผมแก้แบบอีก” ชายหนุ่มตั้งคำถามทันทีที่ทิ้งตัวนั่งลงฝั่งตรงข้าม
“ไม่…งานนั้นไม่มีปัญหาอะไร แต่มีงานด่วนชิ้นหนึ่งของคุณดิลก เป็นงานออกแบบอาคารรับรองในรีสอร์ต” ผู้จัดการถอนใจเล็กน้อย สีหน้าลำบากใจเมื่อเสริมต่อ “เมื่อกี้ภรรยาของดิลกโทรมาหา แจ้งว่าดิลกรถคว่ำบาดเจ็บสาหัส กระดูกมือขวาแตก ซี่โครงหักทิ่มปอด คงต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลพักใหญ่…ตอนนี้คุณยังว่าง ไม่ได้รับงานชิ้นไหนไปจัดการไม่ใช่เหรอ ผมอยากให้คุณขึ้นไปทำงานที่เชียงใหม่แทนดิลกน่ะ”
บทที่ 3
ไอหมอกคลี่ตัวลงมาครอบคลุมทั่วอาณาบริเวณเหมือนม่านบางๆ ทำให้บรรยากาศยามเช้ามัวหม่น ทิ้งน้ำค้างเม็ดเล็กเกาะอยู่บนยอดหญ้า และในกลีบดอกไม้ที่เริ่มคลี่บานรับแสงอรุณของวันใหม่
ไปรยาห่อไหล่เล็กน้อยด้วยความหนาว ขยับกรรไกรในมือตัดดอกกุหลาบจากต้น เพื่อนำไปจัดใส่แจกันและรับรองลูกค้าที่มาเข้าพักในรีสอร์ต
กุหลาบหลายพันธุ์ที่เติบโตอย่างงดงามคือสิ่งหนึ่งที่บิดาผู้ล่วงลับไปแล้วทิ้งไว้ให้ ปพนชอบปลูกต้นไม้โดยเฉพาะดอกกุหลาบ มีความหลงใหลมากถึงขนาดสร้างโรงเรือนเพาะเลี้ยงเป็นกิจจะลักษณะ
พันธุ์ไหนที่ขึ้นชื่อว่า ‘ยาก’ ปลูกเลี้ยงลำบาก พ่อเธอเป็นต้องลองจนถึงที่สุด จนแน่ใจว่า ‘ถ้าไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต’ แล้วจริงๆ นั่นแหละ ถึงยอมเลิกราหาพันธุ์อื่นมาปลูกแทน
รีสอร์ตแห่งนี้จึงมีสวนกุหลาบที่งดงามเป็นจุดขาย ให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมดื่มด่ำกับความงามของดอกไม้และพฤกษานานาพันธุ์ที่รังสรรค์ให้อยู่รวมกันอย่างลงตัว
หญิงสาวนำดอกกุหลาบไปจัดใส่แจกันซึ่งเป็นงานอดิเรกหนึ่งที่ชอบนอกเหนือจากการปลูกต้นไม้ อ่านหนังสือ และฟังเพลง พอจัดเสร็จก็สั่งให้เด็กรับใช้นำไปวางที่เรือนรับรองลูกค้า ส่วนที่ใช้ประดับบ้านก็นำไปวางเอง ก่อนขึ้นชั้นบนไปอาบน้ำแต่งตัวลงมารับประทานอาหารเช้ากับปิ่นแก้ว พอสายก็ออกไปทำงานที่รีสอร์ต ซึ่งก็ไม่มีอะไรยุ่งยาก เพราะทุกอย่างมีคนทำหมดแล้ว เธอเพียงแต่เข้าไปดูแลความเรียบร้อยเท่านั้น
ชีวิตเธอดำเนินไปอย่างเรียบง่าย สงบสุข เป็นเช่นนี้ทุกวัน อาจมีบางครั้งที่ทำอะไรหลุดกรอบ แต่ก็ไม่มีผลกระทบให้ชีวิตปั่นป่วน จนกระทั่งเสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น ไปรยาเอื้อมมือไปรับมากรอกเสียงลงไป หารู้ไม่ว่ามันจะทำให้ชีวิตเธอพลิกกลับในเวลาต่อมา
“ฮัลโหล”
“ยายหนูปายเหรอ” น้ำเสียงนั้นบอกความคุ้นเคย ไปรยาหัวเราะ รู้โดยพลันว่าใครโทรมา คนที่เรียกเธออย่างนี้มีเพียงคนเดียวคือลูกพี่ลูกน้องคนสนิทของเธอ
“อีกแล้วนะพี่ภัทร์ เรียกปายน่าเกลียดแบบนั้นอีกแล้ว ให้ปายเป็นพาหะนำเชื้อโรคไม่พอ ยังจะให้เป็นยายอีก น่าเกลียดจริง”
“ปากเก่งเหมือนเดิมนะเราน่ะ” ญาติผู้พี่เย้า
“แล้วพี่ภัทร์โทรมานี่มีเรื่องอะไรจะใช้ปายอีกล่ะ”
“แสนรู้จริง”
“นั่นเขาเอาไว้ใช้กับหมา ปายเป็นคนนะ ทำไมพี่ภัทร์ชอบให้ปายกลายร่างเป็นไอ้นู่นไอ้นี่อยู่เรื่อย ไม่ให้เป็นหนูก็เป็นหมา เออ ถ้าเป็นกระต่ายน้อยค่อยน่ารักเหมาะสมกับปายหน่อย”
ปลายสายหัวเราะ “พี่ว่าเป็นกระต่ายมันหรูเกินตัวเราไปหน่อยน้า ยายหนูปาย”
“ปากอย่างนี้มันน่าช่วยไหมเนี่ย…ตกลงจะให้ปายช่วยอะไรล่ะ”
“เป็นกันชนให้พี่หน่อย”
พอได้ฟังคำตอบของญาติผู้พี่ ไปรยาก็แกล้งบ่น “เมื่อกี้ยังเป็นสิ่งมีชีวิตอยู่เลย แป๊บเดียวกลายเป็นสิ่งของไปแล้ว แถมยังเป็นของที่ถูกกระแทกให้เจ็บด้วยนา”
“น่า…เดี๋ยวเลี้ยงข้าวฟรีมื้อหนึ่ง ช่วยพี่หน่อยเถอะ ไม่งั้นพี่อาจเสียที มีเมียโดยประมาทคืนนี้ก็ได้นะ”
“น่าจะยอมๆ ตัดปัญหาไปเลย คุณชลธิษาจะได้ไม่เฝ้าตามตื๊อ แถมพี่ภัทร์จะได้ลงจากคานทองด้วย”
“พี่อายุแค่ยี่สิบเก้า ยังห่างไกลจากคานเยอะ…แล้วที่พูดเมื่อกี้น่ะเอาจริงเหรอ อยากได้เขามาเป็นญาติสะใภ้จริงน่ะ”
“ไม่” ไปรยาปฏิเสธทันที เพราะรู้จักผู้หญิงที่ชื่อชลธิษาดี…แม่ม่ายสาวคนดังที่มีเรื่องอื้อฉาวติดตัวมาตั้งแต่ตอนที่แต่งงานอย่างหรูหรากับเศรษฐีแก่คราวปู่ เพียงปีเดียวฝ่ายชายก็เสียชีวิต ทิ้งมรดกมากมายไว้ให้เธอเป็นแม่ม่ายทรงเครื่อง และมีข่าว ‘คาว’ พัวพันกับผู้ชายมากหน้าหลายตาจนเป็นที่รู้กันทั่ว
ตอนนี้ชลธิษากำลังพุ่งเป้าไปที่ธีรภัทร์…ญาติสนิทของไปรยา ซึ่งเป็นนักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง…ทายาทเพียงคนเดียวของแม่เลี้ยงธีรดา แน่ล่ะว่าไปรยายอมไม่ได้ เธอไม่ได้รังเกียจผู้หญิงคนนั้นที่เป็นม่าย แต่รังเกียจความประพฤติและนิสัยส่วนตัวมากกว่า จากการที่ได้พบและคุยกันหลายครั้งทำให้เธอรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่นึกถึงใครนอกจากผลประโยชน์และชื่อเสียงหน้าตาของตัวเอง…คนแบบนั้นให้คบหาเป็นเพื่อนยังทำใจลำบาก แล้วจะให้ทนในฐานะญาติสะใภ้น่ะหรือ…เธอรับไม่ได้หรอก
“คราวนี้จะให้ปายช่วยยังไงล่ะ”
ธีรภัทร์จึงแจงรายละเอียดทั้งหมดให้ฟัง นัดแนะเวลากันเป็นมั่นเหมาะถึงจบบทสนทนา ปิ่นแก้วเดินเข้ามาในห้องทำงาน เห็นลูกสาววางโทรศัพท์ลงพลางส่ายหัวอย่างเบื่อหน่ายก็ออกปากถามอย่างสงสัย
“ใครโทรมารึหนูปาย”
“พี่ภัทร์เขาโทรมาขอความช่วยเหลือจากปายนิดหน่อยค่ะ”
“เรื่องผู้หญิงที่ชื่อชลธิษาอีกสิท่า”
ปิ่นแก้วพอจะเดาได้ เคยได้ยินมาบ้างเหมือนกันว่าธีรภัทร์กำลังถูกแม่ม่ายสาวรุกหนัก แต่ความเป็นสุภาพบุรุษและมีธุรกิจเกี่ยวพันกันทำให้ปฏิเสธอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้ จึงตกอยู่ในสภาพอิหลักอิเหลื่อมิใช่น้อย
“ค่ะ ปายคงต้องไปช่วยสักหน่อย ญาติของเรา เราต้องปกป้อง”
หญิงสาวพูด ปิดโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการทำบัญชี แล้วขยับลุกขึ้น ไม่วายบ่นขำๆ
“ตลกดีนะคะแม่ สมัยเรียนปายยอมตกลงแสดงละครเพราะเห็นว่ามันเป็นกิจกรรมที่น่าสนุก ตอนเรียนจบก็คิดว่าพอกันที คงไม่ต้องทำอะไรแบบนี้อีกแล้ว แต่เอาเข้าจริงมันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเลย พักนี้ปายเป็นดาราจำเป็นบ๊อยบ่อย…ก็หวังว่ามันจะไม่ทำปายเดือดร้อนทีหลังแล้วกัน”
เกือบสิบปีเต็มที่พิรัลไม่ได้ขึ้นเชียงใหม่ ครั้งแรกและครั้งเดียวที่เคยมาที่นี่คือตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสี่ซึ่งเฮโลมาเที่ยวกับเพื่อนกลุ่มใหญ่ช่วงปิดภาคฤดูร้อน ผนวกกับโดยส่วนตัวเป็นคนชอบเที่ยวทางทะเล ตะลุยไปตามชายหาดและหมู่เกาะต่างๆ มากกว่าจะขึ้นดอยขึ้นภูนมัสการพระสงฆ์องค์เจ้า (ไกลวัดว่างั้นเหอะ) ทำให้เขาชอบล่องใต้ลุยตะวันออกมากกว่าจะแอ่วเหนือเที่ยวอีสาน ครั้งนี้จึงเป็นครั้งที่สองที่เขาได้มาเยือนเมืองใหญ่แห่งภาคเหนือด้วยจุดประสงค์ที่แตกต่างจากครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากมาทำงานที่ได้รับมอบหมายให้ลุล่วงไป หาได้มาเที่ยวเล่นแต่อย่างใดไม่
นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่เปลี่ยนไปมากอย่างเห็นได้ชัด มองเผินๆ โดยไม่เจาะลึกลงในรายละเอียดกับผู้คนที่ยัง ‘อู้กำเมือง’ ให้ได้ยินแล้ว ที่นี่ก็แทบจะไม่ต่างจากกรุงเทพฯ มีหลายสิ่งหลายอย่างเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทห้างร้าน โรงแรม ภัตตาคาร ห้างสรรพสินค้า และสถานบันเทิงครบวงจรที่ทันสมัย
“ไม่ต้องกลัวเหงาเลยว่ะไอ้พิ แสงสีเพียบ”
เอกภพที่มาด้วยกันพูดขึ้น ตัวเขาเป็นวิศวกรซึ่งตอนนี้ไม่ได้จับงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน จึงถือโอกาสตามเพื่อนมาในฐานะวิศวกรที่ปรึกษา หากพิรัลรู้ทันว่าเพื่อนอยากมาดูลาดเลาสถานที่ฮันนีมูนมากกว่า เนื่องจากเคยได้ยินเอกภพเปรยให้ฟังหลายครั้งว่าอยากได้สถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ เพราะดวงดาวอยากเที่ยวในประเทศ ไม่อยากเอาเงินไปทิ้งนอกประเทศ เขาจึงต้องหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวดีๆ ไปให้คนรักเลือก ทำให้เพื่อนหลายคนแซวกันสนุกปากว่าเขา ‘อินเลิฟ’ ขนาดหนัก หมั้นก็ยังไม่ได้หมั้น แต่มองการณ์ไกลไปถึงฮันนีมูนนู่นแล้ว
ราตรีเป็นอีกคนที่กระตือรือร้นกับการขึ้นเชียงใหม่ของพิรัล วางแผนตระเตรียมของฝากบังหน้าให้เขาไปพบลูกสาวเพื่อนสักครั้ง ชายหนุ่มเจอแบบนั้นเข้าก็หัวเราะขำ…ขนาดอีกฝ่ายยอมเลิกราไปแล้ว เธอก็ยังพยายามให้เขารื้อฟื้นมันขึ้นมาใหม่ ซึ่งถ้าเขายอมทำตาม…ก็บ้าเต็มทีล่ะ!
เมื่อราตรีตั้งท่าจะบอกว่ารีสอร์ตของเพื่อนชื่ออะไร ตั้งอยู่ตรงไหน พิรัลก็รีบโบกมือขัดขึ้นก่อนว่าเขาไปทำงาน ไม่ได้ไปเที่ยว และไม่มีเวลาเยี่ยมเยียนใครหน้าไหนทั้งสิ้น ทำให้เธอหงุดหงิดที่จับเขาปั้นดั่งใจไม่ได้
พิสินีซึ่งเป็นลูกคู่ของราตรีก็เชียร์เหยงๆ ให้พี่ชายแวะไปที่นั่น แต่พอเจอมาตรการ…’ถ้าไม่เลิกจุ้นก็จะไม่มีของฝาก’ สาวน้อยจึงยอมยกธงขาว และเปลี่ยนเรื่องไปสั่งเอานู่นนี่ฉอดๆ จนเขานึกรำคาญ แต่ลึกลงไปมีความเอ็นดู ถึงยังไงยายตัวยุ่งที่ชอบหนังน้ำเน่าเป็นชีวิตจิตใจก็เป็นน้องสาวคนเดียวของเขา
ชายหนุ่มขับรถส่วนตัวไปพร้อมกับเพื่อนสนิท ผลัดกันขับคนละครึ่งทาง ส่วนผู้ช่วยกับนักศึกษาฝึกงานอีกสองคนเดินทางไปด้วยรถอีกคันหนึ่ง…กว่าจะถึงเชียงใหม่ก็ย่ำค่ำ จึงตัดสินใจพักที่โรงแรมในเมืองหนึ่งคืน แล้วพรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อไปยังรีสอร์ตที่จะทำงาน
สองหนุ่มลงไปหาอะไรกินที่ภัตตาคารของโรงแรม ขณะที่ผู้ช่วยกับเด็กฝึกงานเหนื่อย อยากพักผ่อน จึงสั่งอาหารจานเดียวขึ้นมากินบนห้องแทน
“อาหารที่นี่ไม่เลวนะ”
เอกภพออกปากชม พิรัลเห็นด้วย…ก็สมกับราคาที่ค่อนข้างแพงของมันล่ะ
“น้องดาวบอกว่ามีเพื่อนคนหนึ่งเป็นลูกสาวเจ้าของรีสอร์ตชื่ออะไรยาๆ กููก็จำไม่ได้ ไม่ค่อยได้สนใจ มัวแต่มองหน้าน้องดาวเพลิน” เอกภพพูด เรียกอาการเหม็นเบื่อจากเพื่อนที่เอือมระอากับความรักหวานฉ่ำของเขาเต็มทน “แล้วรีสอร์ตที่เราจะไปทำงานกันชื่ออะไรล่ะ คงไม่ใช่รีสอร์ตของเพื่อนน้องดาวหรอกนะ”
“โลกไม่กลมขนาดนั้นหรอกน่า…ที่เราจะไปชื่อชลธิษาวิลล์ ไม่ใช่อะไรยาๆ อย่างที่มึงว่าหรอก” ชายหนุ่มบอก หางเสียงเจือรอยประชดอย่างหมั่นไส้คนมีความรัก…ไม่รู้ว่ามันจะน้ำตาลขึ้นไปถึงไหน
“เสียดายจัง น้องดาวบอกว่ารีสอร์ตของเพื่อนเธอสวยมากด้วย ปลูกกุหลาบไว้เต็มไปหมด”
“อย่าบอกนะว่ามึงจะถ่อไปถึงนั่น”
“ถ้ามีเวลาก็อยากไปดู เพราะน้องดาวเชียร์ให้ไปให้ได้…แล้วนี่เราจะอยู่ทำงานกันสักกี่วัน”
“ราวๆ สัปดาห์นึง แต่ถ้าลูกค้าเรื่องมากก็อาจจะสักสิบวัน”
“กว่าจะเสร็จก็สัปดาห์หน้าสิ แจ๋วเลย มีลองวีคเอนด์อีกตั้งสามวัน จะไถลต่อหรือกลับกรุงเทพฯ เลยล่ะ”
“ไม่รู้ ขอดูสถานการณ์ก่อน”
พิรัลตอบก่อนยกแก้วค้างเมื่อเห็นหญิงสาวร่างระหงก้าวเข้ามาในห้องอาหาร ดวงหน้าของเธอสวยแจ่มในแสงไฟกระจ่าง ผมดำยาวเป็นเงางามประดุจไหมสีเข้ม…เป็นภาพที่ติดค้างอยู่ในความทรงจำลึกๆ ของเขา
“ยายนั่นนี่” ชายหนุ่มพึมพำ มองหญิงสาวที่กวาดตามองไปรอบห้อง ก่อนหยุดที่โต๊ะหนึ่งซึ่งตั้งอยู่คนละฟากห้องกับพวกเขา ริมฝีปากบางแย้มน้อยๆ ก่อนก้าวฉับๆ ตรงไปอย่างมุ่งมั่น
“ยายนั่นไหน” เอกภพถามแล้วมองตามสายตาเพื่อน นิ่วหน้าคิดครู่หนึ่งก็ร้องอ๋อ…จำได้เช่นกัน
พิรัลเห็นหญิงสาวตรงเข้าไปทักผู้ชายหน้าตาดีมากคนหนึ่งซึ่งกำลังทานข้าวกับสาวสวยสองต่อสอง แต่เธอกลับทำตัวเป็นยาดำเข้าไปแทรก ทิ้งตัวเบียดชิดชายหนุ่มด้วยท่าทางระริกระรี้ แสดงความสนิทสนมอย่างออกนอกหน้า พูดจาหยอกล้อ หัวเราะ บางครั้งก็ทำท่ากระเง้ากระงอดออดอ้อนอย่างน่าหมั่นไส้ ขนาดผู้หญิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยังคอแข็ง พูดจาแทบไม่ออกเลย
ริมฝีปากได้รูปของพิรัลบิดออกอย่างหยามหยัน…เพราะภาพลักษณ์เก่าของเธอยังติดตา และซ้อนทับกับภาพที่เห็นขณะนี้ได้ดีเหลือเกิน
“ยายนั่นพลาดจากมึงแล้วไม่ยากไร้นะ”
เอกภพชะงักมองเพื่อนที่แค่นยิ้มเยาะหยัน
“ท่าทางแม่คุณจะหาเหยื่อใหม่แทนมึงได้แล้วล่ะ ยายคนนี้ท่าทางชั่วโมงบินสูง มาหาเหยื่อไกลถึงเชียงใหม่แน่ะ!”
‘คนชั่วโมงบินสูง’ ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เธอคิดแต่จะช่วยญาติที่รักเหมือนพี่ชายให้รอดพ้นจากแม่ม่ายสาวตัวร้าย และท่าทางที่เธอแสดงออกกับเขาก็เป็นความสนิทสนมฉันพี่น้อง ไม่คิดว่าจะมีคนตีความเป็นตุเป็นตะไปถึงไหน
ไปรยายอมรับว่าสะใจลึกๆ เมื่อเห็นแม่ม่ายคนงามนั่งคอแข็ง หน้าเข้มคล้ำด้วยความโกรธ ถ้าเปรียบธีรภัทร์เป็น ‘หมู’ รอหาม ตัวเธอก็แปรสภาพเป็น ‘คาน’ เข้าไปสอดเรียบร้อยแล้ว
“แหม…บังเอิ๊ญ…บังเอิญนะคะ มาเจอกันที่นี่ได้”
หญิงสาวพูดเจื้อยแจ้วด้วยท่าทางไร้เดียงสา
“ค่ะ” แม่ม่ายสาวรับคำด้วยเสียงที่เหมือนรีดเค้นออกจากไรฟัน เพราะหลายครั้งแล้วที่ไปรยาเป็นคานเข้ามาสอด เป็นยาดำเข้ามาแทรก เป็นก้างขวางคอ เป็นขวากหนามชิ้นใหญ่แทงตาแทงใจเธออยู่นี่
“ปายมีนัดกับเพื่อน แต่ยายจอยโทรมาบอกว่ามาไม่ได้ ไม่สบาย ปายเลยต้องเคว้งอยู่คนเดียว ปายเคยมากินสเต็กที่นี่หลายหน อร่อยมาก ก็เลยแวะเข้ามา คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอพี่ภัทร์กับคุณชล โชคดีจังเลยค่ะ”
แต่แม่ม่ายสาวคงไม่คิดอย่างเดียวกัน เพราะดวงตาที่ตกแต่งอย่างงดงามลุกเรืองราวกับเปลวไฟ ซึ่งถ้าเป็นจริง ไปรยาคงเหลือแค่ขี้เถ้ากองเดียวแน่
หญิงสาวหลบสายตาพิฆาตด้วยการหันไปสั่งอาหาร ก่อนปั้นหน้ากลับมาชวนคุยเรื่อยเปื่อยแบบหลอกด่าในที แกล้งพูดถึงข่าว ละคร ไม่ก็โฆษณา แล้วทำท่าหงุดหงิดไม่พอใจความงี่เง่าสิ้นคิดของผู้หญิงบ้ารัก วางแผนตกเบ็ด อ่อยเหยื่อแบบไร้ความคิดสร้างสรรค์ อย่างจงใจกระทบกระเทียบให้แม่ม่ายสาวแสบคันหัวใจเล่น
ธีรภัทร์ซึ่งทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีพยายามกลั้นยิ้มไว้สุดความสามารถ คิดในใจว่าญาติผู้น้องแม้จะดูหวาน เอาเข้าจริงก็ร้ายใช่เล่น ทำเอาแม่ม่ายคนงามตกอยู่ในสภาพอิหลักอิเหลื่อ ไม่กล้าเอะอะตอบ กลัวเป็นการร้อนตัวว่าตนเป็นเช่นนั้น จึงได้แต่ทำสงครามทางสายตา แต่ไปรยาสะทกสะเทือนที่ไหน มองว่ามันเป็นเรื่องน่าขัน จึงยั่วเอาๆ อย่างเมามัน…ไม่รู้สักนิดว่ามีใครบางคนเฝ้ามองบทบาทของเธออย่างมีอคติสุดๆ…
“วันพฤหัสหน้านี่วันเกิดคุณชลใช่ไหมคะ”
ไปรยาเอ่ยถามขึ้นในตอนหนึ่งของการสนทนา ซึ่งเธอกินพลางคุยเจื้อยแจ้วราวนกแก้วนกขุนทอง ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้สุดฤทธิ์สุดเดชว่าตัวเองมีอิทธิพลทำให้แม่ม่ายสาวรวบช้อน หมดความอยากอาหารมากแค่ไหน
ชลธิษามองคนถามอย่างระมัดระวัง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน
“ค่ะ น้องปายรู้ได้ยังไงคะ”
ขืนตอบตามตรงว่าธีรภัทร์บอกก็จบเห่…ไปรยาจึงแกล้งยอให้หมูบินได้หน่อย
“ก็คุณชลเป็นคนดังของจังหวัดนี่คะ ใครๆ เขาก็รู้ข่าวคราวของคุณชลกันทั้งนั้น”
นั่นไง แม่ม่ายสาวยิ้มปลื้ม หน้าบานเป็นดอกไม้แปดกลีบให้เห็นเป็นครั้งแรกในค่ำคืนนี้ โธ่…แม่คุณเอ๋ย ช่างไม่รู้เสียเลยว่าถูกด่ากระทบ ในสังคมแคบๆ ของที่นี่ แทบทุกคนรู้ข่าว ‘คาว’ ของเธอมากกว่าข่าวคราวความเคลื่อนไหวทั่วไปเสียอีก
“พี่ไม่มีชื่อเสียงขนาดนั้นหรอกค่ะ”
“ไม่ต้องถ่อมตัวหรอกค่ะ…ปีนี้ครบเท่าไหร่คะคุณชล”
“ยี่สิบสี่ค่ะ”
ไปรยาแทบจะสำลักหัวเราะ ต้องสะกดกลั้นไว้ในใจแทบแย่ แต่ประกายตาวิบวับด้วยความขันนั้นทำยังไงก็หยุดไม่ได้ ต้องหลุบแพขนตายาวงอนดกหนาบังไว้
ยี่สิบสี่…พูดมาได้ไม่อายปาก…แต่เธอก็อาจเชื่อเหมือนกัน ถ้าไม่รู้ข้อมูลมาจากป้าธีรดาที่หวงลูกชายคนเดียวเอามากๆ ถึงขนาดตรวจสอบพื้นเพผู้หญิงที่มีข่าวคราวกับธีรภัทร์แบบละเอียดยิบ จึงรู้ว่าแม่ม่ายสาวคนงามสามสิบกะรัตเข้าไปแล้ว หากใบหน้าที่ไปทำศัลยกรรมมาเกือบหมด (ป้าดาเล่าให้ฟังอีกเหมือนกัน) ดูสวยพริ้งเหมือนสาววัยยี่สิบต้น
“คุณชลแก่กว่าปายแค่ปีเดียวเอง”
“เหรอคะ แหม พี่ก็เพิ่งรู้ว่าเราอายุไล่เลี่ยกัน เราน่าจะสนิทกันได้ดีกว่านี้นะคะ”
แหม อ่อยให้หน่อยชักจะเหลิงใหญ่แล้วแม่คนนี้…ไปรยาคิดพลางรวบช้อน เตรียมตัวทำสงครามประสาทเต็มที่ เธอหันไปหาญาติผู้พี่ที่ ‘เตี๊ยม’ กันมาดีแล้วพูดเสียงหวาน
“ไว้เราไปอวยพรวันเกิดคุณชลด้วยกันนะคะพี่ภัทร์”
แม่ม่ายสาวหุบยิ้มฉับ นี่เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายอย่างสิ้นเชิง เธอไม่อยากให้ไปรยาไปร่วมงานด้วยสักนิด มีแผนการมากมายที่เธอหมายมั่นปั้นมือจะทำในคืนนั้น และมันไม่มีทางสำเร็จได้ถ้ามีก้างขวางคอชิ้นเบ้อเริ่มอย่างไปรยา
แต่ธีรภัทร์ทำเหมือนไม่รู้ว่าเธอต้องการอะไร พยักหน้ารับคำขอของญาติผู้น้องง่ายๆ ราวกับสมองไม่มีหยักเหมือนเคย
“เอาสิ” แล้วยังมีหน้าหันมาถามเธออีก “คุณชลคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมครับ”
ชลธิษาอยากจะกรีดร้องให้ลั่นอย่างขัดใจ…อยากจะว่าทั้งพี่ทั้งน้องแหละ ค่าที่คนหนึ่ง ‘แส่’ ไปเสียทุกเรื่อง ขณะที่อีกคนก็ ‘ทึ่ม’ เสียจนไม่รู้และไม่ยอมเดินมาบนสะพานคอนกรีตเสริมใยเหล็กที่เธอบรรจงทอดให้
แต่สิ่งที่เธอทำคือฝืนยิ้มหวาน…พูดแบบปากไม่ตรงกับใจ
“ไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ ยินดีเสียอีก”
“งั้นอย่าลืมมารับปายนะคะพี่ภัทร์ ปายขี้เกียจขับรถเอง”
ไปรยากระเง้ากระงอดกับญาติผู้พี่ ขัดตาแม่ม่ายสาวอีกครั้ง…ไม่รู้นังตัวแสบนี่จะจองเวรกับเธอไปถึงไหน ใจคอจะไม่ยอมเปิดโอกาสให้เธอได้อยู่กับธีรภัทร์สองต่อสองมั่งเลยหรือไง
“ได้เลย แล้ววันนี้เราเอารถมาหรือเปล่าล่ะ”
“ไม่ได้เอามาค่ะ ปายกะจะให้ยายจอยไปส่งเสียหน่อย แต่มันดันเบี้ยวนัด คงต้องกวนพี่ภัทร์อีกแล้ว”
“โอเค งั้นเดี๋ยวพี่แวะไปส่งคุณชลที่บ้านในเมืองก่อน แล้วค่อยเลยไปส่งเรา”
ธีรภัทร์สรุปเองเสร็จสรรพ แม่ม่ายสาวเม้มปาก รู้สึกเหมือนวิมานทลาย เพราะตั้งใจจะชวนเขาอยู่ดื่มกาแฟที่บ้านพลางมอมเมาด้วยเสน่ห์ต่อ…แต่แผนการทั้งหลายที่วาดไว้ถึงกัลปาวสานหมดแล้ว
ไปรยาช่างเป็นตัวมารกีดกันธีรภัทร์จากเธอได้ทุกวิถีทางจริงๆ ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าสองหนุ่มสาวเป็นญาติสนิท เพราะบิดาที่ล่วงลับไปแล้วของทั้งคู่เป็นพี่น้องกัน เธอต้องคิดว่าไปรยาจ้องจะ ‘งาบ’ ธีรภัทร์เองแน่ๆ
แต่เอาเถอะ วันพระไม่ได้มีหนเดียว มันต้องมีสักวันที่ไปรยาพลาด แล้วเธอจะฉกญาติผู้พี่ที่มันหวงนักหนามาครอง ดูซิว่าถึงตอนนั้นมันจะทำหน้ายังไง
กว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ เธอผ่านอะไรต่อมิอะไรมาเยอะแยะ ต้องละทิ้งกำพืดเดิม พยายามวางท่าเป็นผู้ดีเพื่อยกระดับตัวเอง ต้องฟาดฟันกับญาติของสามีแก่เพื่อแย่งสมบัติ ประสาอะไรกับหญิงสาวไร้ประสบการณ์ที่วันๆ เอาแต่หมกตัวอยู่ในรีสอร์ต
ตอนนี้เธอเพียบพร้อมด้วยรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ ขาดแค่เพียงคู่ครองที่ดีมีหน้ามีตามาเสริมให้เธอเป็นผู้หญิง ‘เพอร์เฟ็กต์’ อย่างน่าอิจฉา และธีรภัทร์คือ ‘ตัวเลือก’ ที่ดีที่สุดที่เธอมองเห็น เพราะเขาเป็นคนหนุ่มหน้าตาดี เรียนจบจากเมืองนอกเมืองนา มีอนาคตไกลบนถนนสายธุรกิจ มิหนำซ้ำตระกูลฝั่งมารดาก็มีเชื้อสายเจ้าทางเหนือ เรียกว่ามีคุณสมบัติโดดเด่นถูกใจเธอทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียวคือญาติตัวแสบของเขา
หากคนอย่างเธอไม่ย่อท้อยอมแพ้ต่ออะไรหรือใครง่ายๆ…การได้ธีรภัทร์มาไม่เพียงแต่จะช่วยเสริมภาพลักษณ์เธอให้ดูดีขึ้น ยังจะสร้างความสะใจให้ยิ่งยวด เพราะไปรยาคงแทบกระอักถ้าเธอทำสำเร็จ
แน่ล่ะว่าไปรยาจะได้รู้จักเธอดีขึ้น!
“ไอ้พิ มึงจะชะเง้อมองเขาไปถึงไหน ข้าวปลาไม่คิดจะกินแล้วรึไง มองสาวแล้วอิ่มเรอะ”
เอกภพออกปากอย่างนึกขำพฤติกรรมเพื่อน ที่แม้จะปรามาสหญิงสาว แต่กลับวนเวียนสายตาไปทางโต๊ะนั้นจนไม่เป็นอันกิน ทั้งที่เป็นฝ่ายชวนเขาลงมาหาอะไรกินข้างล่างแท้ๆ
“พูดบ้าอะไรวะ”
พอถูกทักที พิรัลก็หันมาตักข้าวใส่ปากซะที เอกภพมองพลางส่ายหัวขำๆ ก่อนตั้งข้อสังเกตต่อ
“ท่าทางมึงสนใจเขามากนะ”
“กวนประสาทกูแล้วอิ่มรึไง” พิรัลรวนกลับ
“ยอมรับมาเถอะน่าว่ามึงสนแม่สาวตาคมผมสวยคนนั้น”
“เออ…ข้าอยากรู้ว่ายายนั่นราคาเท่าไหร่”
“เฮ้ย!” เอกภพร้องอย่างตกใจกับคำตอบทื่อๆ ที่ค่อนข้างหยาบคายนั่น “แค่เห็นเขาเข้าไปหาผู้ชายสองหน มึงจะเหมาว่าเขาเป็นผู้หญิงอย่างนั้นเลยเรอะ!”
“ก็ผู้หญิงดีที่ไหนทำตัวอย่างแม่คนนี้ล่ะ เดินมาให้ท่ามึงถึงที่ แล้วนี่ก็ไปนั่งเบียดกระแซะเจ้าหนุ่มนั่น ทำเอาลืมคู่รักที่มาด้วยกันไปเลย ถ้าไม่ได้เป็นผู้หญิงอย่างว่าแล้วจะเป็นผู้หญิงอย่างไหน”
พิรัลแย้งอย่างมีเหตุผล แต่เพื่อนหนุ่มนิ่วหน้าไม่เห็นด้วย
“กูไม่คิดอย่างนั้นว่ะ กูว่าเขาไม่ได้เป็นผู้หญิงแบบนั้นแน่ ตอนที่เขามาให้ท่ากูน่ะ” น้ำเสียงที่เท้าความหลังมีแววตะขิดตะขวง “เขายิ้มหวาน…ทำตาหวานเยิ้มก็จริง แต่ดวงตาไม่มีไฟเลย…มึงอาจไม่ทันสังเกต เพราะไม่ได้จ้องตาเขาเหมือนกูนี่”
“มึงตาถั่วเปล่า ตั้งแต่มีน้องดาวฝีมือตกไปเยอะนี่”
พิรัลท้วงอย่างไม่ยอมจำนน จึงถูกเอกภพแยกเขี้ยวใส่
“ไอ้บ้า อย่าดูถูกฝีมือกันนะเฟ้ย ถึงกูจะทิ้งลายแล้ว แต่เสือก็ยังเป็นเสือ ของแบบนี้มองปราดเดียวก็รู้ ว่าแต่มึงเหอะ เป็นเสือตัวจริงหรือเป็นแมวลายเสือกันแน่ ของแค่นี้ถึงมองไม่ออก”
“ยายนั่นชั่วโมงบินสูง ที่มึงเห็นอาจเป็นเกมเรียกร้องความสนใจที่เขาเชี่ยวชาญมากก็ได้”
ชายหนุ่มว่าอย่างดึงดัน เชื่อมั่นในสิ่งที่เห็นและอยากเชื่อเต็มพิกัด ความที่รู้จักนิสัยใจคอกันดีทำให้เอกภพหมดใจเกลี้ยกล่อม ด้วยรู้ว่าต่อให้พูดจนน้ำลายหมดบ่อก็คงเปลี่ยนใจเพื่อนไม่ได้…ต้องให้มันค้นพบความจริงด้วยตัวเองนั่นแหละถึงจะยอมสยบ
“เหอะ ขี้เกียจเถียงกับคนหัวแข็งอย่างมึงแล้ว ถ้าอยากรู้ว่าเขาเป็นคนยังไงก็หาทางพิสูจน์เองแล้วกัน ยังไงก็ระวังตัวหน่อยล่ะ ถ้าเขาเป็นอย่างที่กูพูดจริง…หน้ามึงคงได้ถูกตีนกาอันเบ้อเริ่มประทับแน่…ขี้เกียจหัวเราะเยาะทีหลังว่ะ”
หลังจากขับรถไปส่งชลธิษาเสร็จ ธีรภัทร์ก็พาญาติผู้น้องวกกลับมาที่โรงแรมเดิมอีกครั้ง เนื่องจากไปรยาขับรถมาเอง แต่จำเป็นต้องมุสาเพราะไม่อยากให้ธีรภัทร์ไปส่งแม่ม่ายสาวคนงาม กลัวจะเกิดรายการ ‘ต่อ’ ที่นั่น ใช่ว่าเธอไม่ไว้ใจญาติผู้พี่…คนที่ไม่ชวนให้ไว้ใจจริงๆ คือแม่ม่ายสาวมากเล่ห์ผู้นั้นต่างหาก
ขึ้นชื่อว่าผู้หญิง…ย่อมมีมารยาร้อยเล่มเกวียน แล้วผู้หญิงชั่วโมงบินสูงอย่างชลธิษาก็น่ากลัวนัก หาไม่แล้วคงไม่สามารถหลอกล่อเศรษฐีเฒ่าให้จดทะเบียนสมรส และเขียนพินัยกรรมยกสมบัติให้ตัวเองตั้งครึ่งค่อนได้หรอก
“ป่านนี้คุณชลธิษาคงสาปแช่งส่วนเกินอย่างปายไม่หยุดแล้วมั้ง”
ไปรยาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความขัน ยังจำภาพแม่ม่ายสาวที่นั่งหลังตรง คอแข็ง พยายามอดทนเธอที่ชอบขัดคอ ผูกขาดการสนทนากับธีรภัทร์ได้ติดตา…ถ้าสายตาคนเป็นศาสตราวุธ…ตัวเธอเห็นจะจมกองเลือดอยู่ตรงนั้นแน่
“เรากังวลกับเรื่องนั้นด้วยเหรอ”
“คนอย่างปายไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของคนที่ไม่ชอบขี้หน้าหรอก หนักสมองเปล่าๆ ว่าแต่พี่ภัทร์เหอะ…ทำตัวเป็นหนุ่มทึ่มจนคุณชลธิษาตายใจเลย นี่ถ้าเธอรู้ว่าทั้งหมดเป็นแผนการของพี่ มีหวังได้อกแตกตายแน่”
หญิงสาวแหย่ญาติผู้พี่ที่เพียงแต่ยิ้มนิดๆ ก่อนเปลี่ยนเรื่องพูด เพราะไม่ค่อยชอบเอ่ยถึงผู้หญิงลับหลัง ไม่ว่าจะดีหรือร้าย
“เห็นว่าอาทิตย์หน้าแม่พี่กับแม่เราจะไปทัวร์ใต้กัน เราไม่ไปกับเขาด้วยเหรอยายหนูปาย”
“ขี้เกียจนั่งรถค่ะ คราวก่อนลงไปกรุงเทพฯ เป็นเพื่อนแม่ นั่งรถเมื่อยจะตาย”
หญิงสาวทำหน้าเมื่อยประกอบคำพูด ธีรภัทร์หัวเราะ นัยน์ตาเป็นประกายขบขันเมื่อแกล้งแหย่เรื่องที่ได้ยินมาผ่านหู หากไม่เคยเจาะลึกลงในรายละเอียด เพราะรู้ว่าญาติไม่อยากได้ยินหรือพูดถึงมันนัก
“อ๋อ ไอ้ที่เราลงไปเสียเที่ยว กะจะไปดูตัวหนุ่ม แต่ไอ้หนุ่มดันหัวหมอชิ่งหนีไปได้ทุกรอบใช่ไหม”
“พี่ภัทร์พูดบ้าๆ ปายไม่ได้กะจะไปดูตัวเขาสักหน่อย แม่ต่างหากที่เริ่ม กลัวปายขึ้นคานรึไงก็ไม่รู้”
“ก็น่ากลัวอยู่หรอก เราเล่นไม่ยอมคบหากับผู้ชายหน้าไหนเลยนี่ ที่มาจีบก็เฉยๆ ไม่เห็นสนสักราย”
“เนื้อคู่ปายยังไม่เกิด” หญิงสาวว่าหน้าตาย
“แล้วกว่าเนื้อคู่เราจะเกิด มิต้องตะบันน้ำกินเร้อยายหนูปาย ผู้หญิงแก่ง่ายกว่าผู้ชายด้วยนา”
หญิงสาวทำจมูกย่นนิดหนึ่งเมื่อถูกเย้าด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ ปรายตามองเขาก่อนตอกกลับ
“พี่ภัทร์ก็ดีแต่ว่าปาย ป้าดาก็ห่วงพี่เหมือนกันแหละ เห็นโทรไปคุยกับแม่บ่อยๆ คงเตรียมการหาคู่ให้พี่ภัทร์เหมือนกันล่ะมั้ง”
“เวร” ญาติผู้พี่ร้องคำเดียวแทนความรู้สึกทั้งหมด
ไปรยาหัวเราะคิก “การมีเมียนี่ถือเป็นเวรเป็นกรรมเลยเหรอคะ”
“ไม่ได้รักได้ชอบถือเป็นเวรกรรมทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวพี่ต้องไปพูดกับแม่ให้รู้เรื่องสักหน่อย สงสัยแม่พี่จะมีเวลาว่างมากเกินไปแล้ว ขอบใจที่บอกนะยายหนูปาย”
“ป้าดาจะเล่นงานปายไหมเนี่ยที่แหวกหญ้าให้งูตื่น” หญิงสาวพึมพำกังวล
“น่า…ถือว่าทำบุญกับพี่ เดี๋ยวพี่จะตอบแทนด้วยการหาลูกค้ากระเป๋าหนักไปพักที่รีสอร์ตให้” ธีรภัทร์จอดรถลงข้างรถคันเล็กของญาติผู้น้อง หันไปถามอย่างเป็นห่วง “ไม่เปลี่ยนใจไปค้างบ้านพี่จริงเหรอ ค่ำมืดแบบนี้ขับรถคนเดียวอันตรายออก เกิดเราเป็นอะไรไป อาปิ่นได้เชือดคอพี่แน่”
“โธ่เอ๊ย ปายหนังเหนียวออก จะเป็นอะไรไป ขับรถแค่ชั่วโมงเดียวก็ถึงรีสอร์ตแล้ว นี่ก็ไม่ได้ดึกมากมายอะไร แค่สามทุ่มกว่า พี่ภัทร์ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ”
“ไม่ห่วงได้ไง ก็เราเป็นผู้หญิง และถ้าเราเป็นอะไรไป ใครจะคอยช่วยพี่ล่ะ”
“หน็อย…นึกว่าห่วงเรา ที่แท้ก็ห่วงตัวเอง กลัวไม่มีคนช่วย”
ไปรยาว่าพลางค้อนปะหลับปะเหลือกใส่ ธีรภัทร์หัวเราะ ปลดล็อกอัตโนมัติให้หญิงสาวเปิดประตูลงไป ไม่วายส่งเสียงยั่วเย้าไล่หลัง
“ไว้พี่จะโทรไปขอใช้บริการใหม่นะน้อง”
“ค่ะ…แล้วก็อย่าลืมแนะนำลูกค้ากระเป๋าหนักมาให้ปายเยอะๆ ล่ะ”
หญิงสาวตอบเสียงหวานรื่น ปลดล็อกรถ ก้าวขึ้นประจำที่นั่งคนขับ โบกมือให้ญาติผู้พี่อย่างร่าเริง ธีรภัทร์ยิ้มตอบอย่างเอ็นดูก่อนจะขับรถตามกันออกไป หารู้ไม่ว่าบทสนทนาสั้นๆ เมื่อครู่มีใครคนหนึ่งได้ยินชัดเจน
พิรัลนั่นเอง…ชายหนุ่มลงมาหยิบชุดสายชาร์จกับแบตเตอรี่สำรองที่เก็บไว้บนรถ ตอนที่เห็นรถสีเงินแล่นมาจอดใกล้ๆ ก็ไม่ได้สนใจอะไร คิดว่าเป็นแขกมาเข้าพัก พอเห็นโฉมหน้าหญิงสาวที่ก้าวออกมาก็ชะงักไปนิดหนึ่ง แต่เมื่อได้ยินเสียงนุ่มทุ้มของชายหนุ่มดังไล่หลังอย่างยั่วเย้า ตัวเขาก็แข็งทื่อราวกับถูกสาปให้กลายเป็นหิน
‘ไว้พี่จะโทรไปขอใช้บริการใหม่นะน้อง’
แล้วแม่เจ้าประคุณก็ใช่ย่อย ตอบว่า
‘ค่ะ…แล้วก็อย่าลืมแนะนำลูกค้ากระเป๋าหนักมาให้ปายเยอะๆ ล่ะ’
อย่างนี้จะให้เขามองเธอเป็นอื่นไปได้ยังไง…ถ้าตอนแรกเผื่อใจว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงอย่างนั้นสักสิบเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ก็ไม่เหลือแม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว!
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 ก.พ. 64
Comments
comments
No tags for this post.