บทที่ 2
ตอนที่เจียงไป่ลี่ผลักประตูเปิดเข้ามาอย่างรุนแรงตามปกติ ลั่วจื่อเพิ่งจะเก็บไดอารี่ลงไปแล้วเตรียมจะทำการบ้านวิชาสถิติต่อ ในตอนที่ด้านหลังมีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เธอเคยชินจนไม่ได้หันหลังกลับไปมอง
เจียงไป่ลี่ทรุดตัวนั่งบนเตียง หายใจสะอึกสะอื้น
เป็นละครหลังข่าวที่ไม่มีวันจบจริงๆ ลั่วจื่อถอนหายใจ เด็กสาวอย่างเจียงไป่ลี่เป็นประเภทที่มักจะเสียใจ แต่ก็ไม่มีวันตัดใจไปตลอดกาล
โทรศัพท์มือถือมีเสียงตู๊ดๆ ดังขึ้น เป็นเสียงเจียงไป่ลี่กดโทรออก
“ฉันจะบอกนายเป็นครั้งสุดท้าย ฉันรู้ว่านายรำคาญมานานแล้ว แต่ฉันยังยืนยันคำเดิม ถ้าวันพรุ่งนี้นายเห็นฉันเดินควงแขนผู้ชายพูดคุยหัวเราะกันบนถนน แล้วบอกนายว่าพวกเราเป็นแค่พี่น้องกัน นายก็ไม่แคร์ใช่ไหม!”
บางทีอาจจะแคร์ ลั่วจื่อเล่นปากกาไปพลางคิด แต่เธอแคร์เขาเพราะรัก ส่วนเขาแคร์เธอเพราะหวงของเฉยๆ
เธอตระหนักว่าตัวเองไม่สามารถตั้งใจทำการบ้านต่อได้อีก เพราะได้ยินเสียงเจียงไป่ลี่คุยโทรศัพท์แบบขาดตอน ความคิดที่ใช้กับการบ้านก็เลยขาดตอนเหมือนกัน
แอบฟังคนอื่นคุยกันจนเป็นนิสัยซะแล้ว
ลั่วจื่อชอบมองแผ่นหลังของคนอื่น บางทีอาจเพราะครั้งแรกที่เธอเริ่มรู้จักโลกใบนี้ สิ่งที่มองเห็นก็คือแผ่นหลังที่มีชีวิตชีวา
ทุกคนจำเป็นต้องสร้างฐานข้อมูลเกี่ยวกับโลกใบนี้ขึ้นมาในสมอง เนื้อหาไม่จำเป็นต้องมาจากประสบการณ์ส่วนตัวทั้งหมด ลั่วจื่อชอบอ่านความรู้สึกของคนอื่น ใช้วิธีแบบนี้มาหลีกเลี่ยงการทรมานเส้นประสาทของตัวเอง มีอยู่หลายครั้ง ในชั่วพริบตาที่ช้อนสายตาขึ้นหรือเวลาที่เดินผ่านกันไม่กี่วินาที สีหน้ากับคำพูดไม่กี่คำของคนแปลกหน้าก็มากพอให้เธอขบคิดอย่างสนอกสนใจอยู่ครึ่งวัน
ดังนั้นการได้มาพักห้องเดียวกับเจียงไป่ลี่ก็น่าจะเป็นลิขิตฟ้า เธอคิด นักแสดงต้องการคนดูเสมอ
หลังวางสาย ในที่สุดเจียงไป่ลี่ก็ปล่อยโฮออกมา
“เลิกร้องได้แล้ว สิบนาทีแล้วนะ” ลั่วจื่อเหลือบมองนาฬิกาไปหน ก่อนเอ่ยพลางก้มหน้าลงทำการบ้านต่อ
“ฉันรู้สึกแย่ วันนี้ยืดเวลาได้”
ลั่วจื่อขมวดคิ้วหันหน้าไปมองเธอ เจียงไป่ลี่เคยบอกเธอว่าทุกครั้งที่ตัวเองร้องไห้จะต้องห้ามเกินสิบนาที สิ่งที่สำคัญที่สุดของผู้หญิงคือการรักษาความอ่อนแอและความเข้มแข็งเอาไว้แบบพอดิบพอดี ต้องรู้จักหยุด ห้ามทำอะไรที่จะทำให้คนดูถูกได้ออกมา
หลังลั่วจื่อได้ยินหลักการพวกนี้ เธอแค่กระตุกมุมปากเล็กน้อยแทนการตอบสนอง จากนั้นก็พยายามรับผิดชอบเตือนสติเจียงไป่ลี่ทุกครั้งว่าครบสิบนาทีแล้ว ขอให้ระวังการควบคุมความพอดีระหว่างความอ่อนแอและความเข้มแข็งด้วย
เจียงไป่ลี่มี ‘บรรทัดฐานของผู้หญิง’ หลายอย่าง กฎ ‘สิบนาที’ เป็นแค่หนึ่งในนั้น พวกมันกับไพ่ทาโรต์ร่วมกันชี้นำการใช้ชีวิตของเจียงไป่ลี่ด้วยกัน อย่างไรก็ตามบรรทัดฐานของผู้หญิงที่เจียงไป่ลี่ตั้งขึ้นเองนั้นกลับไม่เคยใช้งานจริงมาก่อน ทุกครั้งที่เจียงไป่ลี่ร้องไห้ไม่เคยประสบความสำเร็จในการคุมให้อยู่ภายในสิบนาที แล้วก็ไม่เคยแสดงความอ่อนแอและความเข้มแข็งที่เหมาะสมใดๆ เหลือแค่ส่วนโดนดูถูกที่ทำออกมาอย่างเต็มที่
แต่สาเหตุที่โดนดูถูกก็มักจะเป็นเพราะว่าสถานการณ์พวกนี้พบเห็นได้บ่อยเกินไป ส่งผลให้ทุกคนลืมไปว่าแค่ตัวเองไม่ทันระวังก็จะกลายเป็นหนึ่งในนั้นได้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้หญิงส่วนใหญ่เห็นแฟนตัวเองโอบไหล่ผู้หญิงอีกคนเดินกร่างอยู่บนถนน ทั้งยังพูดอย่างผ่าเผยว่า ‘เธอเป็นน้องสาวที่ฉันเพิ่งรู้จัก’ เกรงว่าก็คงจะตะโกนออกมาเหมือนเจียงไป่ลี่ว่า ‘ไสหัวไปไกลๆ พร้อมน้องสาวของนายซะ!’ จากนั้นกลับมาฟุบตัวร้องไห้สวยๆ บนเตียงเหมือนกัน
ลั่วจื่อนึกได้ว่าเมื่อครู่นี้ตอนเอาถังขยะของเจียงไป่ลี่ไปทิ้งเธอเห็นเถ้าบุหรี่ตกกระจายอยู่รอบๆ ต้องใช้เวลากวาดอยู่นานถึงสะอาด เจียงไป่ลี่ไม่ใช่สาวอินดี้นิสัยแข็งกร้าว ซ้ำยังไม่ได้ชอบสูบบุหรี่ แค่เพียงระยะนี้จู่ๆ เธอก็หลงใหลนางเอกสไตล์ทำตัวตามอำเภอใจในนิยายสักเรื่องเข้าเท่านั้น ที่น่าเสียดายก็คืออีกฝ่ายนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์ยาวๆ ภายในผับ พ่นควันบุหรี่ออกมาภายใต้แสงไฟสลัวอย่างเปี่ยมอารมณ์ แต่เจียงไป่ลี่ถูกลั่วจื่อหิ้วคอโยนออกไปข้างนอกห้องอย่างน่าสงสารตั้งแต่เริ่มฝึกสูบแล้ว
ลั่วจื่อเชื่อว่าความพ่ายแพ้ครั้งนี้จะไม่ได้สร้างบาดแผลทางใจใดๆ ให้กับเจียงไป่ลี่ ผ่านไปสักระยะเธอก็จะแสดงเป็นคนที่ทรมานจากการเลิกบุหรี่ซึ่งยังไม่ทันติดแล้วก็ไปอินกับการแสดงเป็นสาวขี้เหล้าแทน
ดูเจียงไป่ลี่กับดูทีวีไม่ค่อยต่างกันมากเท่าไหร่ ความน่าเสียดายอย่างเดียวคือไม่สามารถเปลี่ยนช่องได้ตามใจ ถ้าเกิดในมือลั่วจื่อมีรีโมตอยู่ เธอจะปิดทีวีก่อนเป็นอันดับแรกแน่นอน
ความจริงลั่วจื่อชอบความเปิดเผยตรงไปตรงมาของเจียงไป่ลี่มาก หลายๆ คนชอบทำให้ตัวเองดูเป็นคนใจกว้าง แต่เวลาอยู่ตามลำพังก็ยังฟุบตัวร้องไห้โฮบนเตียงเหมือนเจียงไป่ลี่อยู่ดีไม่ใช่เหรอ
หรือบางคนอาจเป็นเหมือนลั่วจื่อ ภายนอกดูเหมือนคนไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แต่ความจริงแล้วที่สนใจที่สุดก็คือศักดิ์ศรี สนใจมากถึงขั้นไม่ยอมตรงไปตรงมาแม้แต่เวลาเผชิญหน้ากับตัวเอง
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ลั่วจื่อก็อดเงยหน้ามองมุมหนึ่งของไดอารี่เล่มใหม่ที่โผล่ออกมาจากชั้นหนังสือไม่ได้
ทันใดนั้นเจียงไป่ลี่ก็เงยหน้าขึ้นมากะทันหัน การร้องไห้เป็นเวลานานส่งผลให้เสียงของเธอฟังดูอู้อี้เหมือนคนเป็นหวัด “ลั่วจื่อ เธอเปิดโน้ตบุ๊กอยู่ใช่ไหม เปิดเพลงได้หรือเปล่า พอไม่มีเพลง ฉันร้องไห้แบบนี้ดูไม่ได้บรรยากาศเลย”
ทุกครั้งที่เจียงไป่ลี่เสียใจก็จะกลัวความเงียบเป็นพิเศษ ตามที่อีกฝ่ายพูดไว้เองว่าการใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เหมือน ‘ภาพร่างจากวัตถุ’ อย่างลั่วจื่อนั้นจำเป็นต้องใช้ความกล้าอย่างมากเลยทีเดียว
ลั่วจื่อใช้ปลายนิ้วแตะหน้าจอสัมผัสสองครั้ง รอหน้าจอโน้ตบุ๊กที่ดับลงสว่างขึ้นมาแล้วเลือกกดเล่นลิสต์เพลงสักลิสต์ ดนตรีที่ดังขึ้นมาเป็นเพลง ‘Leichte Kavallerie’ เธอหัวเราะแบบไร้เสียงออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ในสถานการณ์แบบนี้มีแต่จะยิ่งเสียบรรยากาศมากกว่าเดิม
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การที่เจียงไป่ลี่พุ่งเข้ามาในห้องกะทันหัน ส่งเสียงร้องไห้โฮอย่างไม่เสแสร้ง หรือเสียงเพลงคลอที่ไม่เข้ากัน สิ่งเหล่านี้ล้วนมอบความมีชีวิตชีวากลับมาให้ลั่วจื่อที่เมื่อครู่รู้สึกว้าวุ่นใจ เหนือศีรษะของเธอมีแสงอาทิตย์วูบไหวอยู่ ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปทั้งนั้น
ลั่วจื่อมองนิ้วชี้ข้างขวาที่เลอะหมึกปากกาตอนเขียนไดอารี่เมื่อครู่นี้แล้วยิ้มออกมาบางๆ
ลูกพลับหนึ่งลูก อุบัติเหตุหนึ่งเรื่อง ไม่ได้หมายถึงอะไรทั้งนั้น จะลนลานไปทำไมกัน
ห้องพักเล็กๆ ที่มักจะมีเสียงร้องไห้กับเสียงทะเลาะกันทางโทรศัพท์ดังออกมาห้องนี้ความจริงแล้วเป็นสถานที่ที่เงียบสงบที่หนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะตั้งแต่เล็กจนโตลั่วจื่อไม่เคยมีพื้นที่ว่างซึ่งชวนให้รู้สึกสงบใจแบบนี้มาก่อน
ก็ให้เป็นแบบนี้ต่อไปแล้วกัน เธอคิด ประโยคที่ว่า ‘ขอเพียงมีชีวิตที่สุขสงบ สุขภาพแข็งแรงไปจนแก่เฒ่าก็พอ’ โดยคร่าวๆ ก็หมายถึงเธอไม่ได้หวังให้มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น และเธอเองก็ไม่ได้อยากได้อะไรทั้งนั้น
เธอไม่ได้อยากได้อะไรทั้งนั้น ลั่วจื่อย้ำกับตัวเองอีกครั้ง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 ก.ค. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.