บทที่ 4
แก้วกาแฟดูคุ้นตาอยู่เล็กน้อย
ทันใดนั้นก็นึกได้ว่าสมัยเด็ก ตอนที่แม่กำลังจะตกงานจากงานในโรงงาน แม่เคยพาเธอไปให้ของขวัญคุณป้าฝ่ายบุคคลสักคนที่บ้านของอีกฝ่าย ตอนนั้นเธอไปนั่งอยู่ในห้องของพี่สาวตัวน้อย มือถือแก้วโกโก้และลูบไล้มันรอบแล้วรอบเล่าแบบในตอนนี้เช่นเดียวกัน ‘แก้วสวยไหม’ พี่สาวตัวน้อยคนนั้นบุ้ยปากถาม
เธอพยักหน้าอย่างสุภาพ
‘สวยใช่ไหมล่ะ ซื้อไม่ได้ล่ะสิ ชุดนี้แพงมากเลยนะ ถ้าทำแตกจะให้เธอชดใช้!’ พี่สาวตัวน้อยเชิดหน้า แค่นเสียงฮึแล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งเธอไว้ตามลำพัง
‘สวยบ้าอะไรล่ะ’ ลั่วจื่อตัวน้อยมองเพดานพร้อมกระซิบ ‘เหมือนขี้ชัดๆ’
“เหมือนขี้มากจริงๆ นะ” ลั่วจื่อที่โตแล้วพูดพึมพำกับตัวเองนิ่งๆ แก้วกาแฟที่อยู่ในมือตอนนี้เป็นสีน้ำตาลเข้มทั้งยังขดเป็นเกลียว
เซิ่งไหวหนานทนวางมาดไม่ไหวแล้วอย่างเห็นได้ชัด เขาสำลักน้ำ หัวเราะออกมา ทำให้ลั่วจื่อหลุดจากภวังค์
เขาหอบหายใจถาม “เธอพูดถึงแก้วเหรอ รูปร่าง หรือว่าสี”
ลั่วจื่องงไปสักพักถึงได้มีปฏิกิริยากลับมาช้าๆ
“ทั้งคู่” เธอเองก็ยิ้มจนตาหยักโค้ง
“ความจริงแวบแรกที่ฉันเห็นแก้วใบนี้ก็คิดเหมือนกัน แต่พวกเขาบอกว่าฉันคิดอะไรต่ำๆ”
“นายตั้งใจจะบอกว่าฉันคิดอะไรต่ำๆ เหรอ” ลั่วจื่อรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
อยู่ดีๆ บรรยากาศก็ผ่อนคลายลงแล้ว
พวกเขาพูดคุยถึงเรื่องเพื่อนกับอาจารย์ที่รู้จักร่วมกัน วิจารณ์วิชาที่เคยลงเรียนเหมือนกัน หัวข้อสนทนาสารพัดเรื่อง แต่ไม่ได้คุยเรื่องซุบซิบนินทา ทั้งคู่ต่างมีท่าทีสุภาพและระมัดระวัง ถามตอบกันอย่างฉลาดเฉลียว ไม่มีพลาดท่าให้กันตั้งแต่ต้นจนจบ
ทั้งกลัวว่าบรรยากาศจะกร่อย แล้วก็กลัวว่าจะพูดมากเกินไปด้วย
คนที่อยู่ในแสงไฟคนนั้น ถูกแสงและเงาแบ่งแยกจนมองเห็นส่วนที่สว่างไสวและส่วนที่มืดมนได้อย่างชัดเจน เวลาลั่วจื่ออยู่ต่อหน้าเขา ไม่ว่าจะยิ้มยังไงก็รู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ เธอยังรู้ว่าความจริงแล้วเขามีอาการใจลอยอยู่ตลอดเวลา ความสนใจสักสามส่วนของเขาไม่รู้ลอยไปอยู่ที่ไหน แต่เธอสามารถสัมผัสได้
ตอนที่เขาพูดว่าชอบเสียงไวโอลิน ลั่วจื่อตื่นเต้นมาก เริ่มพูดเจื้อยแจ้วกับเขาว่าตอนเด็กตัวเองไม่ตั้งใจเรียนไวโอลิน เคยเอาโน้ตเพลงกับเก้าอี้ออกมาจัดฉากสร้างสถานการณ์หลอกแม่ พูดไปได้ครึ่งทางเธอก็เงียบไปกะทันหัน เพราะว่าสายตาของเขาเลื่อนลอยออกไปทีละนิดๆ เขายิ้มขื่น จากนั้นส่ายหน้า สุดท้ายก็ยิ้มโง่ๆ
ลั่วจื่อหยุดพูดไปเป็นเวลานาน แต่เขายังคงจมอยู่ในโลกของตัวเอง ทั้งยังเผยรอยยิ้มหลากหลายรูปแบบออกมา
ชั่วพริบตานั้นเธอทั้งโมโหและรู้สึกเหมือนถูกเหยียดหยาม แต่หลังจากนั้นไม่นาน ในสายตาของเธอก็เต็มไปด้วยภาพของเซิ่งไหวหนานที่ถูกแสงอาทิตย์สีทองอาบย้อม ลมหายใจอันเงียบสงบ รวมถึงการอมยิ้มมุมปากอย่างมีความสุขของเขา
เธอไม่รู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอะไร กระอักกระอ่วนและหงุดหงิดจากที่เธอเค้นความคิดหาหัวข้อสนทนาขึ้นมาทว่าถูกเขาเมินข้าม ดีใจที่ถูกความหล่อสุขุมของอีกฝ่ายดึงดูดจนหัวหมุน หรือมีความสุขอันต้อยต่ำที่แค่ได้นั่งมองเขาอยู่ฝั่งตรงข้ามก็พอแล้ว
ลั่วจื่อจับจ้องรอยยิ้มขมขื่นของเขาอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งเซิ่งไหวหนานรู้สึกตัว เขาเอียงศีรษะมองเธอ แต่เธอก็ยังพูดอะไรไม่ออก
ท่าทางของเขาเหมือนคนที่ตั้งใจเล่นเกม PSP มากเกินไป พอเงยหน้าขึ้นเห็นว่าถูกอาจารย์มองอยู่ก็เงอะงะ ทำอะไรไม่ถูก ทั้งยังไม่กล้าหุนหันทำอะไรทั้งนั้น ใครจะไปรู้ว่าอาจารย์แค่เพิ่งเห็นว่าตัวเองไม่สนใจเรียนเลยเตือนด้วยสายตาหรือว่าเรียกชื่อให้ตอบคำถามกันแน่ ลั่วจื่อคิดว่าเธอควรจะเอ่ยตัดพ้อว่า ‘นายได้ฟังฉันพูดบ้างไหมเนี่ย’ ใช่ไหม อย่างน้อยก็ให้แนวทางในการขอโทษกับเขา
แต่เธอแค่ยกมือขึ้นเรียกพนักงานมาเก็บเงิน
“ขอบคุณนายมาก อย่าเบี้ยวไม่จ่ายล่ะ” เธอยิ้มอย่างสดใสและดูจริงใจออกมา
การเสแสร้งที่เธอถนัดที่สุดก็คือการแสร้งจริงใจนี่แหละ
พอแค่นี้เถอะ เธอคิด
“ให้ฉันส่งเธอกลับหอพักเถอะ” เซิ่งไหวหนานเกาท้ายทอย ยิ้มพลางเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “พักหอไหนเหรอ”
“ไม่ต้องหรอก ความจริงเมื่อกี้ฉันแค่ออกมาเดินเล่น ยังไม่คิดจะกลับน่ะ”
ขณะที่คุยกันมาถึงตอนนี้ก็มีผู้ชายผิวคล้ำคนหนึ่งเดินตรงมา เขาชกเซิ่งไหวหนานเบาๆ ไปหนึ่งหมัดพร้อมเอ่ยแซว “นายแอบมาเดตกับใครกัน นี่มันคนที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย”
“นายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป?” ลั่วจื่อนึกขึ้นมาได้ คนคนนี้ก็คือผู้ชายที่ขี่จักรยานไปกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปคนนั้น
ผู้ชายสองคนหันมามองเธอด้วยสีหน้างงงวยพร้อมกัน เธอโบกมือพร้อมเอ่ยขึ้น “ฉันไปก่อนล่ะ บาย”
“ไม่จริงน่า ฉันมารบกวนการเดตของนายเข้าเหรอ คนสวย พวกนายคุยกันต่อเลย ฉันจะหายตัวไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
ความโกรธที่ลั่วจื่อกดเก็บเอาไว้ในใจเหมือนจะหาทางออกเจอในที่สุด เธอช้อนสายตามองใบหน้ายิ้มแย้มของผู้ชายคนนั้นก่อนยกมือขึ้นบีบจมูกเบาๆ แล้วเอ่ยนิ่งๆ ว่า “ฉันก็คิดว่าคุณควรจะหายตัวไปจริงๆ เหงื่อของคุณเป็นกลิ่นเนื้อผัดซอสทั้งนั้นเลย”
เซิ่งไหวหนานหัวเราะเสียงดัง ส่วนชายผิวคล้ำถูกสายตาของเธอทิ่มแทงจนสติหลุด เขาอึ้งไปนานถึงได้จับปกเสื้อเชิ้ตขึ้นมาดมใกล้ๆ จมูกแล้วพึมพำ “ฉันเพิ่งเปลี่ยนเสื้อมานะ…”
ผ่านไปนานเขาถึงได้ยิ้มโง่ๆ แล้วพูดว่า “ขอโทษทีๆ!” จากนั้นก็วิ่งหนีไป คราวนี้เซิ่งไหวหนานให้ความสนใจกับเธอเต็มที่ ทว่าแววตาของลั่วจื่อทั้งคมปลาบและเฉยชา
เซิ่งไหวหนานชะงักไปเล็กน้อย เขาเหมือนกำลังตั้งใจใคร่ครวญบางอย่าง ผ่านไปครู่ใหญ่ก็เอ่ยว่า “ขอโทษนะ”
ลั่วจื่อยักไหล่ ประกายแหลมคมตอนเผชิญหน้ากับชายผิวคล้ำสลายหายไปจนหมดแล้ว เธอรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาจึงแค่ยิ้มน้อยๆ ตอบ “ขอบคุณที่เลี้ยงนะ ไปล่ะ”
เธอหันหลังเดินไปไกลมากแล้วในตอนที่หันหน้ากลับไปอีกครั้งอย่างกะทันหัน
แผ่นหลังของเซิ่งไหวหนานยังคงตั้งตรงดูดี ปอยผมโบกสะบัดเล็กน้อย แกว่งไกวไปมาอยู่ในสายตาของเธอ
ดูเหมือนจะต่างไปจากแผ่นหลังที่เดินอยู่ด้านหน้าตนเองทุกเช้าสมัยมัธยมปลายอยู่บ้าง แต่ก็ดูเหมือนไม่มีอะไรแตกต่างไปเช่นกัน
“เซิ่งไหวหนาน!”
ลั่วจื่อได้ยินเสียงตัวเองชัดเจน ในที่สุดเธอก็ได้ตะโกนเรียกชื่อของเขาใส่แผ่นหลังของเขา
วันนี้เป็นวันแห่งประวัติศาสตร์วันหนึ่ง ต่อให้ไม่นับว่ามีความสุขก็ตาม
“ขอบคุณที่นายเลี้ยงกาแฟฉัน แต่ว่ากาแฟแก้วนี้ถือว่าฉันแบล็กเมลเอามาก็แล้วกัน ความจริงแล้วฉันจงใจเข้าไปแก้ไขสถานการณ์ให้ ฉันเห็นพวกนายไปต่อกันไม่รอดแล้วก็เลยเข้าไปยุ่งทำตัวเป็นฮีโร่เอาเอง ยังดีที่นายจำได้ว่าฉันเป็นใคร ไม่งั้นฉันอาจจะต้องแกล้งทำเป็นคนบ้าผู้ชายมาจู่โจมทักทายนายแล้ว ครั้งหน้าเวลาเจอเรื่องแบบนี้อย่ามาเคลียร์กันหน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตจะดีที่สุด ตรงนั้นคนพลุกพล่านไปมา ถึงนายจะนิ่งมากแต่มันไม่ดีกับผู้หญิงคนนั้น ต่อให้เธอจะมุทะลุกว่านี้ ไม่สนใจอะไรกว่านี้ แต่การถูกคนมากขนาดนั้นเห็นยังไงก็รู้สึกไม่ดี พอกลับไปย้อนนึกดูจะต้องเสียใจภายหลังมากแน่ๆ แน่นอนว่าฉันเองก็ไม่มีสิทธิ์มาเตือนอะไรนาย ฉันแค่อยากอธิบายเหตุผลที่ฉันปรากฏตัวซะหน่อย หวังว่านายจะไม่ถือสานะ” ลั่วจื่อเทออกมาหมดหน้าตัก หลังพูดจบก็ยิ้มอย่างตรงไปตรงมา
นี่เป็นรอยยิ้มที่เป็นธรรมชาติจริงๆ เพียงหนึ่งเดียวของเธอในวันนี้
รอยยิ้มของเซิ่งไหวหนานเองก็จริงใจมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ขอบคุณนะ”
“ไม่เป็นไร” เธอยิ้มน้อยๆ ก่อนเอ่ยต่อ “นายเองก็มีไหวพริบ ปฏิกิริยาตอบสนองที่เป็นเลิศของนายมองแวบเดียวก็รู้ว่าได้มาจากประสบการณ์จริงหลายครั้ง”
รอยยิ้มของเขาเบิกบานยิ่งกว่าเก่า แต่ไม่ได้โต้แย้งเธอกลับ ทั้งยังโพล่งประโยคหนึ่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องสักนิดออกมา “น่าเสียดายจริงๆ ที่ตอน ม.ปลาย ไม่ได้รู้จักเธอ”
ลั่วจื่อได้ยินประโยคนี้แล้วรอยยิ้มก็จางหายไป
เรื่องที่น่าเสียดายยังมีมากกว่านั้นเยอะ เธอไม่ได้ตอบอะไร แค่หันหลังเดินจากไปทันที
เซิ่งไหวหนานยืนมองแผ่นหลังของเธออยู่ที่เดิมสักพัก สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงยืนโง่งมอยู่แบบนั้นครู่ใหญ่ ไม่ได้สังเกตเห็นว่าบรรดาผู้หญิงที่เดินเข้าออกหอพักไปมาล้วนแอบชำเลืองมองตัวเองทั้งสิ้น ก่อนเขาจะผิวปากออกมาพลางยักไหล่แล้วหันตัวเดินไปทางซูเปอร์มาร์เก็ต เขายังไม่ทันได้ซื้อผงซักฟอกเลย
เดินไปได้สองก้าวเขาก็หยุดลงอีกครั้ง จากนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดแอพฯ รายชื่อผู้ติดต่อแล้วกรอกตัว ‘L’ ลงไป หน้าจอแสดงรายชื่อยาวเหยียดขึ้นมาทันที เขาปัดหน้าจอไล่หาชื่อ ‘ลั่วจื่อ’ จนพบ
ช่วงเข้ามหาวิทยาลัย เขาได้ขอยืมรายชื่อเพื่อนร่วมโรงเรียนเจิ้นหวามาจากรุ่นพี่ผู้หญิง แล้วเซฟเบอร์โทรศัพท์กับอีเมลของเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย P ทุกคนที่เขาทั้งรู้จักและไม่รู้จักเอาไว้
ถึงยังไงก็ต้องมีสักวันที่ได้ใช้งาน
ลั่วจื่อสัมผัสได้ว่าโทรศัพท์มือถือสั่น เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็เห็นหน้าจอโชว์ข้อความแจ้งเตือนว่า ‘คุณได้รับข้อความใหม่หนึ่งข้อความจากเซิ่งไหวหนาน’
‘ฉันขอเบอร์โทรของเธอมาจากเพื่อนที่เธอรู้จัก นี่เป็นเบอร์ของฉัน เซิ่งไหวหนาน’
ลั่วจื่อถอนหายใจเบาๆ
ความจริงเธอรู้เบอร์ของเซิ่งไหวหนานมานานแล้ว ช่วงเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ เธอเคยวิ่งไปที่หอพักของรุ่นพี่ผู้หญิงเพื่อขอยืมรายชื่อเพื่อนร่วมโรงเรียนเจิ้นหวา ตอนนั้นเธอหน้าแดงอธิบายกับรุ่นพี่ว่าตัวเองอยากรู้จักเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย P ที่มาจากโรงเรียนเดียวกันเยอะๆ วันหน้าจะได้ช่วยเหลือกันได้ ความจริงแล้วอีกฝ่ายไม่ได้สนใจสักนิดว่าเธอพูดอะไร รุ่นพี่แทะแอปเปิ้ลไปพลางดึงเอกสารจากชั้นหนังสือยื่นให้เธอ
ลั่วจื่อเซฟแค่เบอร์ของเขาเอาไว้ แต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่เคยโทรออกไปหาเบอร์นี้ แต่มันก็ยังคงอยู่ในลิสต์รายชื่อผู้ติดต่อ
ทันทีที่คิดว่าเซิ่งไหวหนานถามเบอร์โทรของตัวเองจากคนอื่น เธอก็มีความสุขขึ้นมาเล็กๆ อดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะล้อเขาไหมว่า ‘เฮ้! นายจะถามไปทำไมกัน วางแผนอะไรไว้หรือไง’ แต่ว่าความสุขแค่ชั่วพริบตานั้นก็ถูกความผิดหวังล้ำลึกปกคลุมอย่างรวดเร็ว
ได้รู้จักกันแบบนี้ซะแล้ว
ทั้งๆ ที่เธอรอมานาน จินตนาการมานานขนาดนั้น แต่ตอนนี้เธอกลับไม่มีความสุข ลั่วจื่อเงยหน้ามองท้องฟ้าผืนใหญ่ของฤดูใบไม้ร่วงที่ปราศจากเมฆ ในใจคิดว่าความฝันของฉันเป็นจริงทั้งอย่างนี้ซะแล้ว
ในตอนที่ความฝันของเธอเป็นจริง อีกฝ่ายกำลังใจลอย
พอแค่นี้ ช่างมันเถอะ…
จะเป็นละครแนว ‘ฉันรักเธอ แต่มันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ’ จริงๆ งั้นเหรอ
ลั่วจื่อรู้สึกว่านี่เป็นข้ออ้างที่ดูมีวรรณศิลป์และสูงส่ง เรียกศักดิ์ศรีของคนจำนวนนับไม่ถ้วนรวมถึงตัวเธอเองด้วยกลับมา
เธอรักษาข้อความนั้นเป็นอย่างดี ก่อนเก็บโทรศัพท์มือถือกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงโดยไม่ได้ตอบกลับไป
ทว่าหลังกลับถึงหอพัก เธอคิดๆ แล้วก็ยังคงปีนขึ้นเก้าอี้อย่างระมัดระวัง เอาขวดชาดำที่ ‘ให้ตายเธอก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้’ ซึ่งเธอแย่งมันมาได้ขวดนั้นวางตั้งไว้ด้านบนสุดของตู้ ตรงตำแหน่งที่แทบจะแตะโดนเพดาน จากนั้นก็กระโดดลงจากเก้าอี้แล้วเงยหน้ามองมันเงียบๆ ชื่นชมขวดชาที่ถูกแสงอาทิตย์ตกดินซึ่งทอแสงเฉียงๆ เข้ามาตกกระทบจนเป็นประกายระยับราวกับอำพัน โดยที่ภายในใจรู้สึกเปียกปอน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 ก.ค. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.