บทที่ 5
เมื่อมาถึงเวลากินมื้อเย็น ลั่วจื่อก็ออกจากหอพักมุ่งหน้าไปที่โรงอาหารสาม ถึงแม้จะตรงกับเวลากินข้าวพอดี แต่ช่วงสุดสัปดาห์คนกลับไม่เยอะเท่าไหร่นัก ตอนนี้เธอกำลังอารมณ์ไม่ดี ไม่รู้สึกหิวอะไร จึงสั่งกับข้าวแบบส่งๆ อย่างสองอย่างแล้วก็ยกถาดอาหารเดินหาที่นั่งเดี่ยวติดบานหน้าต่างสักที่อย่างอืดอาด
“ลั่วจื่อ!”
เมื่อหันไปตามเสียงเรียกลั่วจื่อก็เห็นเจียงไป่ลี่กับแฟนกำลังนั่งตรงข้ามกันอยู่ที่โต๊ะติดหน้าต่าง
ประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้า ตอนที่เจียงไป่ลี่นั่งตาบวมหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียงก็ได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง
บรรยายแบบนี้ออกจะเรียบง่ายไปอยู่บ้าง เหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นโดยละเอียดคือเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เจียงไป่ลี่ก็กดตัดสาย เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง เจียงไป่ลี่ก็กดตัดสายอีกครั้ง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นครั้งที่สาม เจียงไป่ลี่เลยปล่อยให้มันดังต่อไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ ซะเลย…
จากนั้นก็ยังคงมีสายโทรเข้ามารอบแล้วรอบเล่าอย่างมานะอดทน
เสียงริงโทนโทรศัพท์มือถือของเจียงไป่ลี่ตั้งเป็นเพลงแนวอีดีเอ็ม ของเกาหลีสักเพลง โคตรจะไม่เพราะ ลั่วจื่อที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือขมวดคิ้วหันไปมอง เห็นเจียงไป่ลี่กำลังชำเลืองมองหน้าจอโทรศัพท์ เหมือนกำลังทำการต่อสู้ภายในใจอย่างดุเดือด
ลั่วจื่อตัดสินใจมอบทางลงให้เธอ
‘ถ้าไม่ปิดเครื่องก็รับสายซะ มันน่ารำคาญ’
เจียงไป่ลี่กัดริมฝีปาก สุดท้ายเธอก็เลือกหยิบโทรศัพท์มือถือไปรับสายตรงทางเดิน จากนั้นก็ไม่ได้กลับมาอีก จนกระทั่งมาปรากฏตัวที่โรงอาหารในตอนนี้
ลั่วจื่อไม่ตกใจในความเร็วของการกลับมาคืนดีกันของคู่นี้ เธอยกถาดอาหารขึ้นน้อยๆ เชิงตอบกลับเป็นมารยาทก่อนละสายตาออก เดินหาที่นั่งต่อไป
แต่เจียงไป่ลี่กลับกวักมือเรียกเธอไม่เลิก ท่าทางเหมือนต้องการให้ลั่วจื่อมานั่งข้างพวกเขาให้ได้ “ขอร้องล่ะ มากินด้วยกันเถอะน่า”
มุมปากของแฟนเจียงไป่หลี่หยักยกขึ้นเล็กน้อย หน้ายิ้มตาไม่ยิ้ม สายตามองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธกับคำพูดของเจียงไป่ลี่ ลั่วจื่อสัมผัสถึงบรรยากาศระหว่างพวกเขาได้อย่างชัดเจน รู้ว่าตัวเองควรเข้าไปช่วยแก้สถานการณ์ เธอจึงพยักหน้า
แฟนของเจียงไป่ลี่ชื่อเกอปี้ เป็นผู้ชายที่หล่อมาก ดวงตาเรียว จมูกโด่ง ริมฝีปากบางสวยทว่าก็ไม่เหมือนผู้หญิง เมื่อเทียบกันแล้วหน้าตาของเจียงไป่ลี่นับว่าพอผ่านมาตรฐานเท่านั้น
พวกเขาเคยเป็นคู่รักที่ได้รับเกียรติขึ้นกระทู้อันดับสามของเว็บบอร์ดมหาวิทยาลัยโดยไม่ระบุชื่อ ส่วนลั่วจื่อพยายามหลีกเลี่ยงพวกเขาตั้งแต่วันรายงานตัววันแรกเป็นต้นมา
วันนั้นเจียงไป่ลี่ปรากฏตัวขึ้นที่ห้องพักพร้อมเกอปี้ หลังทั้งสองคนโยนกระเป๋าเดินทางลงบนพื้นห้องก็พิงตัวข้างโต๊ะดื่มน้ำสลับกับพัดคลายร้อน ตอนนั้นลั่วจื่อกำลังปูเตียง เธอที่คุกเข่าอยู่ข้างเตียงจึงบิดตัวหันมาทักทายพวกเขา หลังบอกชื่อแซ่ บ้านเกิดเสร็จก็หันกลับไปปูเตียงต่อ เจียงไป่ลี่ตั้งแต่เข้าห้องมาก็เอาแต่บ่นกับชายหนุ่มที่อยู่ข้างตัว ถึงแม้ทักษะออดอ้อนจะไม่ค่อยชำนาญนักแต่ดันพูดมากสุดๆ ยกตัวอย่างเช่น ‘ถึงห้องพักจะเล็ก แต่ก็หายากที่จะได้อยู่กันเพียงสองคนเท่านั้น’ ‘ฉันเกลียดการติดมุ้งที่สุด แต่ปักกิ่งช่วงร้อนจัดตอนเดือนเก้าก็ยังน่ากลัวอยู่ดี’ ‘นึกไม่ถึงว่าแถวประตูมหาวิทยาลัยฝั่งตะวันตกจะมีแค่เคเอฟซีไม่มีแมคโดนัลด์ แบบนี้จะให้มีชีวิตอยู่ยังไงกัน’ ‘ยังไงน้ำแร่ภูเขาตราหนงฟูก็ยังอร่อยกว่าเนสท์เล่อยู่ดี’ ทำให้ลั่วจื่อคิดอย่างอึดอัดใจว่าตัวเองควรจะแก้อาการหูทิพย์ที่มีมาตั้งแต่เกิด ไม่อย่างนั้นนิสัยชอบแอบฟังของเธออาจทำให้ตัวเองเหนื่อยตายอยู่ในห้องพักนี้ ทันใดนั้นเจียงไป่ลี่ก็เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้กะทันหัน ‘จริงสิ ลั่ว…’
‘ลั่วจื่อ’ ฝ่ายชายต่อคำให้
‘อ้อ งั้นเหรอ ลั่วจื่อใช่ไหม ลั่วจื่อ เมื่อกี้พวกเราเพิ่งซื้อซิมโทรศัพท์มือถือใหม่ด้วยกัน บอกเบอร์ของเธอให้พวกเราหน่อยสิ’
ลั่วจื่อกำลังยุ่งกับการจับผ้านวมยัดเข้าไปในปลอกผ้านวมจึงตอบโดยไม่แม้แต่จะหันหน้าไปมอง ‘ขอโทษที พอดีฉันยังไม่ได้ซื้อซิมใหม่เลย ฉันเซฟเบอร์พวกเธอไว้ก่อนแล้วกัน รอแป๊บนะ’
เธอล้วงโทรศัพท์มือถือออกมา ขณะที่เจียงไป่ลี่เริ่มบอกเบอร์ เธอก็กดมันเข้าไปในโทรศัพท์ทีละตัวๆ
‘เปลี่ยนเลขสามห้าสองหลักสุดท้ายของเธอเป็นสามหกก็จะเป็นเบอร์ของฉัน ฉันชื่อเกอปี้’
ลั่วจื่อเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ ในตอนนั้นถึงเพิ่งจะตั้งใจมองสำรวจ ‘สุดหล่อ’ ข้างกายเจียงไป่ลี่ ตอนนี้เขากำลังเอนพิงขอบหน้าต่าง พยักหน้ายิ้มๆ ให้เธอด้วยสีหน้าแฝงความนัยลึกซึ้ง
ที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าเรื่องนี้คือเจียงไป่ลี่ที่อยู่ด้านข้างเองก็มีสีหน้าเย็นชาลงโดยไม่ปิดบังสักนิด
ลั่วจื่อพยักหน้า ก่อนหันกลับไปหามุมปลอกผ้านวม จับผ้านวมยัดเข้าไปใหม่
สองสัปดาห์จากนั้น เจียงไป่ลี่แทบจะไม่ได้คุยอะไรกับลั่วจื่อ ส่วนลั่วจื่อก็ตอบสนองตามอีกฝ่ายโดยสมบูรณ์ ในช่วงระหว่างนั้นเธอมักจะได้เจอกับพวกเขาในสถานที่อย่างซูเปอร์มาร์เก็ตอยู่บ่อยๆ ซึ่งเธอเองก็ไม่แม้แต่จะทักทาย แต่จะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นไปซะเลย หรือในถนนแคบๆ ที่จำเป็นต้องเงยหน้าก็จะพยักหน้าส่งๆ ให้เจียงไป่ลี่แล้วเดินต่อไป เมินข้ามการมีตัวตนอยู่ของเกอปี้ไปโดยสมบูรณ์
ช่วงเวลานั้นได้กำหนดกฎการอยู่ร่วมกันขั้นพื้นฐานระหว่างเธอกับเจียงไป่ลี่เอาไว้ เจียงไป่ลี่ไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น ช่วงสมัครสภานักศึกษาอันคึกคักในสองสัปดาห์ให้หลัง ตอนที่เกอปี้ไปเจอ ‘นังจิ้งจอก’ ตัวจริงเข้า เธอก็ไม่เหลือความเป็นศัตรูและความระวังตัวให้ลั่วจื่อแล้ว กลับกันยังรับความเงียบของลั่วจื่อได้ว่าเป็นนิสัยโดยธรรมชาติของเธอ ไม่ได้เป็นเหมือนเพื่อนสมัยมัธยมปลายที่กล่าวหาลั่วจื่อว่าหยิ่งยโส หรือเอาแต่ถามไม่เลิกว่าเธออารมณ์เสียอยู่ใช่หรือเปล่า
ภายหลังลั่วจื่อมาคิดดูแล้วก็รู้สึกว่านี่อาจจะเป็นความโชคดีในความโชคร้ายที่เขาว่ากัน
“เธอกินแค่นี้เองเหรอ” เจียงไป่ลี่เอ่ยขัดความคิดของเธอ พร้อมใช้ตะเกียบเคาะถาดอาหารของลั่วจื่อที่มีแค่โจ๊กข้าวโอ๊ตใส่ดอกเบญจมาศกับผัดผักบุ้งเท่านั้น
“ฉันไม่หิวน่ะ” เธอตอบ
“ลดความอ้วนหรือไง ไม่เอาน่า” เกอปี้หยักยกมุมปาก เอ่ยลากเสียงยาว ในน้ำเสียงแฝงความหยอกเย้า ทว่าลั่วจื่อแค่ก้มหน้ายิ้มตอบอย่างสุภาพ ไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืด
“ถ้าเกิดอ้วนขึ้นมาจริงๆ ปฏิกิริยาของผู้ชายก็จะไม่ใช่แบบนี้แล้ว คิดว่าฉันไม่รู้หรือไง ตอนแข่งร้องเพลงของมหา’ลัยรอบแรกเมื่อสองวันก่อน พวกผู้ชายอย่างพวกนายนินทาผู้เข้าแข่งขันบนเวทีทุกคน ทั้งที่พวกเพื่อนนายหน้าตาแย่ยิ่งกว่าผู้เข้าแข่งขันเหล่านั้นอีก รู้จักว่าคนอื่นทำไมไม่รู้จักส่องกระจกดูตัวเองบ้าง” เจียงไป่ลี่กัดตะเกียบพลางเอ่ยค้าน
“โอ๊ะ! พูดอย่างกับตอนนั้นเธอไม่ได้ร่วมวงด้วยอย่างนั้นแหละ” เกอปี้ยิ้ม เป็นรอยยิ้มแบบงามล่มเมือง แต่ดวงตากลับจ้องไปที่ลั่วจื่อ
“ฉัน…ก็แค่คิดว่าทำให้พวกเพื่อนนายหมดสนุกกันมันไม่ค่อยดี”
“ความจริงเธอกลัวว่าจะถูกพวกเราเมินล่ะสิ”
“นายจะไม่ยอมจบใช่ไหม!” ปากเจียงไป่ลี่ยังกัดตะเกียบ ขณะที่ใบหน้าแดงแปร๊ดขึ้นมาทันที เจียงไป่ลี่ถลึงตาใส่เกอปี้ ลั่วจื่ออึ้งไปเล็กน้อยที่เห็นว่าทั้งสองคนกำลังจะทะเลาะกันอีกแล้ว ก่อนจะเริ่มตั้งใจรับผิดชอบหน้าที่ที่ทำให้เธอมานั่งอยู่ตรงนี้ “ไป่ลี่ เธอซื้อพวกนี้มากินเหรอ คอเป็ดรสหมาล่า ของโรงอาหารอร่อยไหม ฉันได้ยินมาว่าใกล้มหา’ลัยมีร้านโจวเฮยยา มาเปิด…”
เจียงไป่ลี่หันหน้ามาตอบเธอ “เหลือแค่สองชิ้น ให้เธอกินก็แล้วกัน ฉันจะไปซื้อโค้ก เธอเอาไหม”
ลั่วจื่อยังไม่ทันตอบเจียงไป่ลี่ก็ลุกพรวดออกไปแล้ว
“เปลี่ยนหัวข้อสนทนาได้ไม่ฉลาดเลย” เกอปี้ยิ้มเย็น
ลั่วจื่อก้มหน้ากัดส่วนโค้งด้านในที่เนื้อหนาที่สุดของคอเป็ดไปคำหนึ่ง เธอไม่ยิ้มแล้วก็ไม่ได้ตอบอะไร
“ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าเธอเองก็เป็นหวัด?”
เธอฟังออกว่าเกอปี้จงใจเน้นคำว่า ‘เองก็’
“อืม”
“ดีขึ้นหรือยัง”
พูดมากชะมัด ลั่วจื่อขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนเงยหน้าขึ้นมองเขา
“ความจริงนายนี่มันสารเลวจริงๆ นะ” น้ำเสียงของเธอนิ่งสงบเหมือนกำลังบรรยายว่าคอเป็ดเค็มเกินไปอย่างไรอย่างนั้น
เกอปี้ยังไม่ทันได้ตอบสนองก็ได้ยินเสียงเจียงไป่ลี่ตะโกนมาแต่ไกลว่า “มาช่วยฉันหน่อย! ซื้อมาสามแก้ว ถือไม่ไหวแล้ว”
เขาไม่ขยับ ขณะที่ลั่วจื่อวางตะเกียบลงแล้วลุกไปช่วยหยิบมาสองแก้ว เจียงไป่ลี่วางแก้วในมือไปตรงหน้าเกอปี้ให้ก่อน
หลังจากนั้นเจียงไป่ลี่ก็เอาแต่พูดไม่หยุดเหมือนกลัวว่าบรรยากาศจะกร่อย ลั่วจื่อตอบรับเธอกลับไปมั่วซั่วเป็นพักๆ ส่วนเกอปี้ยังคงเงียบไม่พูดอะไร ซ้ำสายตาก็เอาแต่จ้องลั่วจื่อที่กินโจ๊กอยู่ไม่ยอมเลิกรา
ลั่วจื่อกินเร็วมาก เธอไม่ได้ปล่อยให้พวกเขาสองคนรอนานเกินไป จากนั้นทั้งสามคนก็ลุกไปเก็บถาดอาหารพร้อมกัน เจียงไป่ลี่เดินนำไปก่อนเล็กน้อย
“นี่เป็นครั้งที่สองที่เราได้คุยกันใช่ไหม พวกเราไม่ได้มีความแค้นอะไรต่อกันใช่หรือเปล่า ทำไมถึงชอบพูดจากระทบกระทั่งฉันอยู่เรื่อย” เกอปี้หรี่ตาลง แม้แต่ความโกรธยังดูเสแสร้งแกล้งทำ ลั่วจื่อมองสบตาเขาอย่างเข้าใจดี เธอมองดูรอยยิ้มกับท่าทางเชี่ยวชาญพวกนั้นของเขา
ยังไงก็ตาม เธอกลืนคำพูดที่ขึ้นมาถึงปากแล้วลงไปใหม่ ต่อให้นี่จะเป็นแค่ครั้งที่สองที่เธอได้คุยกับเขา แต่ลั่วจื่อรู้ว่าคนประเภทเกอปี้ชอบผู้หญิงต่อปากต่อคำ เล่นตัวเล่นลิ้นกับเขาอย่างมั่นใจ ดังนั้นขอแค่อดทนก็จะผ่านไปได้เอง
“ฉันไม่เคยได้ยินว่าไป่ลี่กับเธอเป็นเพื่อนสนิทกันซะหน่อย แต่เธอกลับปกป้องไป่ลี่ไม่เบา” อีกฝ่ายยังคงไม่เต็มใจจะเลิกรา
ฉันกลับเคยได้ยินมาจริงๆ ว่านายมันไม่รู้จักดีชั่ว ลั่วจื่อเอ่ยแขวะอยู่ในใจ เธอผลักถาดอาหารไปบนชั้น แล้วหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดมือ ก่อนตะโกนบอกไป่ลี่ “นี่! ฉันจะไปซูเปอร์มาร์เก็ต ขอตัวก่อนล่ะ”
เธอลืมกระชับเสื้อนอกให้แน่น ชั่วพริบตาที่ผลักประตูโรงอาหารออกไปจึงรับลมหนาวเข้ามาเต็มเปา หลังเดินไปไม่กี่ก้าวลั่วจื่อก็แอบหันไปมองดูทิศทางที่พวกเขาเดินไป เจียงไป่ลี่ไม่ได้สวมเสื้อนอก ภาพแผ่นหลังที่คล้องแขนเกอปี้อยู่ท่ามกลางลมฤดูใบไม้ร่วงนั้นดูบอบบางอย่างมาก ลั่วจื่อนึกเศร้าใจขึ้นมา ในความทรงจำของเธอ ทุกครั้งที่ได้เห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกัน เธอไม่เคยได้เห็นภาพสองมือจับประสาน มีแต่ภาพเจียงไป่ลี่คล้องแขนเกอปี้แน่นๆ ฝ่ายเดียวมาโดยตลอด
เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนเกอปี้เป็นหวัด ตอนสี่ทุ่มโทรมาบอกว่าอยากกินของร้อนๆ เจียงไป่ลี่ก็เลยวิ่งไปยังร้านโจ๊กจยาเหออีผิ่นที่อยู่ข้างนอกมหาวิทยาลัยเพื่อซื้อโจ๊กตับหมูใส่ผักปวยเล้งกับฟองเต้าหู้ทอด หลังใส่ถุงแล้วก็กอดไปส่งให้ที่หอพักของเขา ส่วนตัวเขากลับแกล้งแสดงสีหน้าเป็นห่วง เอ่ยหยอกเย้ารูมเมตของเธอ
‘ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าเธอเองก็เป็นหวัด ดีขึ้นแล้วหรือยัง’
สารเลว… ลั่วจื่อส่ายหน้าอีกครั้ง
เธอไม่มีทางหาเรื่องเปลืองแรงไปบอกเจียงไป่ลี่ว่าผู้ชายคนนี้ใช้ไม่ได้ รีบเลิกกันจะดีที่สุด ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เจียงไป่ลี่จัดการเรื่องผู้หญิงของเกอปี้ไปไม่น้อย เรื่องใหญ่ๆ ต่างผ่านมาหมดแล้ว ทว่ายังคงไม่ยอมตัดใจ ดังนั้นเธอเลยไม่มีความจำเป็นต้องไปหาเรื่องทดสอบความอดทนของอีกฝ่ายแบบเกินความจำเป็นอีก
บางทีอย่างลั่วจื่ออาจนับว่าเป็นคนที่อยู่วงนอกเลยมองเห็นได้ชัด แต่เจียงไป่ลี่ก็อาจไม่ใช่คนวงในที่มองไม่ออก เพียงแต่เธอเต็มใจจะทำก็เท่านั้น
ความอดทนคือปัญญาอย่างหนึ่ง เจียงไป่ลี่เคยเอ่ยเอาไว้เอง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 ก.ค. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.