บทนำ
…ตลอดมาในหัวใจ…
…อบอุ่นอ่อนโยนได้เพราะมีรักของเธอแทรกผ่านหลอมรวม
เคยคิดบ้างไหมว่าโลกนี้จะมีใครสักคนที่เกิดมาเพื่อจะเป็นคนรักของเราเพียงเท่านั้น
เคยหวังไหมว่าจะมีใครสักคนมีชีวิตอยู่เพียงเพื่อจะทำทุกอย่างให้
…ฉันเกิดมาเพื่อเป็นคนของเธอ…ประโยคง่ายๆ แต่จะมีหัวใจดวงไหนได้รับโอกาสซึมซับความหมายทุกอณู
ลัลน์…หญิงสาวธรรมดาๆ คนหนึ่ง ใช้ชีวิตห่างไกลผู้คนในเมืองสงบ
มิน…ผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่งที่เกิดมาเพื่อเฝ้ามอง และมีชีวิตเพื่อผู้หญิงธรรมดาๆ นั้น
ความรักที่ซึมผ่านระหว่างคนทั้งสอง ฝ่ายหนึ่งรับรู้เพียงแค่มันคือความคุ้นชิน หากแต่อีกฝ่ายเข้าใจความหมายชัดเจน…เขาเกิดมาเพื่อเธอ…รักเธอ…และจะขออยู่เคียงข้างเธอเท่านั้น…
ความรัก…ขอให้สุดท้ายคนที่เกิดมาเพื่อกันและกันได้รัก…ได้อยู่เคียง…และได้เดินไปข้างๆ กัน
‘…ไม่มีลัลน์ มินก็เท่ากับไม่มีอะไรเลย…’ และ ‘…ไม่มีมิน…หัวใจของลัลน์หรือจะเรียนรู้คำว่ารักได้อีก…’
ตลอดมาและตลอดไป รักนั้นสถิตอยู่ที่กลางใจชัดเจนเสมอสำหรับคนสองคน
‘มินรักลัลน์…ลัลน์รักมิน และเรารักกัน’
บทที่ 1
แสงแดดจัดจ้าบนถนนทางหลวงหมายเลข 107 หรือเส้นทางเชียงใหม่-ฝางทำให้ชายหนุ่มที่กำลังขับรถเพียงลำพังต้องเอื้อมมือไปหยิบแว่นกันแดดสีเข้มจากซอกชิดคอนโซลใกล้กระปุกเกียร์มาสวม ทั้งๆ ที่ปากยังขยับพูดโทรศัพท์ผ่านอุปกรณ์เสริมที่ทำให้ไม่ต้องจับโทรศัพท์แนบหู
“เออน่า บ้านพี่นพอยู่หลังโรงพักติดกับที่ว่าการอำเภอ สังเกตจากร้านมินิมาร์ต…อยู่ซ้ายมือ รู้แล้วน่าหมอก ไม่หลงหรอก” ธารณ์บอกเพื่อนอย่างใจเย็น เขามีความจำเป็นที่จะต้องเดินทางไปยังอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่เพื่อสัมภาษณ์นักธุรกิจท้องถิ่น เจ้าของกิจการสวนส้มที่ชีวิตพลิกผันจากภาวะล้มละลายมาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงน่าจับตามอง ซึ่งตั้งรกรากอยู่ที่อำเภอนี้
จุดหมายแรกที่ธารณ์มุ่งไปไม่ใช่สวนส้มของผู้ที่เขาจะไปสัมภาษณ์ หากแต่เป็นบ้านพักของญาติผู้พี่ของสายหมอก เพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน และยังคงคบหาสนิทสนมต่อมาจนปัจจุบัน แม้ต่างแยกย้ายกันไปประกอบอาชีพหลังเรียนจบที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยสักนิด
ความสนิทสนมที่มีมานานทำให้บางครั้งธารณ์ได้มีโอกาสพบกับญาติของเพื่อนสนิท รวมถึงพี่นพหรือพันตำรวจเอกนพวินทร์ ญาติผู้พี่ของสายหมอกที่บางครั้งเวลาไปประชุมที่กรุงเทพฯ ก็จะไปพักกับน้องชาย อาจไม่สนิทสนมเป็นการส่วนตัวมากนัก แต่ธารณ์ก็นับถือพี่นพในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง
ตอนที่เขาบอกสายหมอกว่าจะต้องไปแม่อาย เพื่อนก็เปรยว่านพวินทร์เพิ่งย้ายไปประจำตำแหน่งผู้กำกับหรือหัวหน้าโรงพักที่สถานีตำรวจอำเภอแม่อาย แล้วจัดการโทรหาญาติผู้พี่ขอคำแนะนำเรื่องที่พัก ซึ่งนพวินทร์ก็มีน้ำใจช่วยจัดการดูแลให้เสร็จสรรพ
แม้เกรงใจญาติผู้พี่ของเพื่อน แต่ถ้าเขาปฏิเสธน้ำใจของนพวินทร์อาจจะเป็นการเสียมารยาทมากกว่า ธารณ์จึงตอบรับความช่วยเหลือและนัดว่าจะไปพบทันทีที่ไปถึง แต่เพราะนี่คือการเดินทางครั้งแรกของเขาไปยังอำเภอนี้ สายหมอกจึงต้องคอยบอกทางทั้งๆ ที่เจ้าตัววุ่นอยู่กับการเตรียมจัดงานแต่งงาน
ธารณ์รู้ว่าหากไม่ติดเรื่องการเริ่มต้นชีวิตในฐานะหัวหน้าครอบครัว…จบชีวิตชายโสด สายหมอกก็คงจะตามมาด้วยเพราะไอ้เพื่อนตัวดีรักและเคารพพี่นพมากอยู่เหมือนกัน แต่นั่นแหละ เอาแน่อะไรกับสายหมอก…เพื่อนของเขาตอนนี้ถ้าจะขยับไปไหนโดยไม่มีรานี…แฟนสาวไปด้วยเห็นท่าจะไม่มีทาง
“ฉันมีเบอร์พี่นพน่า เดี๋ยวจะโทรหาพี่เค้าอีกที นายไม่ต้องห่วงหรอก” ธารณ์บอกเพื่อน เมื่อได้ยินเสียงบอกลาเอาง่ายๆ ตามมาจึงกดตัดสาย
ธารณ์มองถนนที่เริ่มคดเคี้ยว ตามองไปข้างหน้า ในหัวนึกคำนวณเวลาเดินทางคร่าวๆ ไปด้วย สภาพถนนดี…ระยะทางราวสองร้อยกิโลเมตรจากเชียงใหม่น่าจะใช้เวลาขับรถไม่เกินสองชั่วโมง รอยยิ้มสบายๆ ระบายบนใบหน้า การเดินทางตามลำพังไปเรื่อยๆ เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วสำหรับเขา ถ้าจะจัดประเภทการดำเนินชีวิตของตัวเองก็น่าจะเป็นพวกชีพจรลงเท้า เพราะแม้จะไม่ใช่การเดินทางเรื่องงาน ธารณ์ก็มักหาเรื่องเที่ยวตะลอนไปเรื่อยๆ อยู่เสมอ เขาเอื้อมมือไปเร่งเสียงเพลงที่ตัวเองหรี่เบาเพื่อคุยโทรศัพท์กับสายหมอกเมื่อสักครู่ให้ดังขึ้น ดนตรีกับบทเพลงฟังสบายทำให้อดไม่ได้ที่จะผิวปากคลอ
แม่อาย…สวนส้ม…
นอกจากนั้นจะมีอะไรรอเขาอยู่ที่ปลายทางบ้างนะ แม้เป็นคนชอบเดินทางแต่บางทีธารณ์ก็อดคิดไม่ได้ว่าปลายทางที่ตัวเองกำลังเดินทางไปนั้น จะมีที่ไหนที่เขาอยากลงหลักปักฐานอยู่ตลอดไปบ้างหรือเปล่า
“ถึงไหนแล้วธารณ์” เสียงนพวินทร์ที่ดังมาตามสายทำให้ธารณ์ยิ้ม
“ใกล้แล้วครับพี่ ผมเพิ่งผ่านอำเภอไชยปราการ”
“ไม่ต้องขับตรงเข้าฝางนะ ออกซ้ายที่ถนนเลี่ยงเมืองง่ายกว่า อีกไม่เกินชั่วโมงก็น่าจะถึงแม่อายแล้วล่ะ”
“ครับพี่” ธารณ์รับคำ เวลาที่คำนวณไว้ในทีแรกว่าน่าจะไม่เกินสองชั่วโมงคงจะถึงกลับกลายเป็นสองชั่วโมงกว่าเข้าไปแล้วที่เขายังไม่ถึงแม้แต่อำเภอฝาง
“พี่รอที่บ้านนะ ธารณ์เลี้ยวเข้าประตูหน้าโรงพักมาเลย ตรงเข้ามาด้านหลังโรงพักที่ซอยแรกก็เลี้ยวอีกที บ้านพี่อยู่หลังที่สามจากปากทาง รถกระบะของแฟนพี่จอดอยู่หน้าบ้านนั่นแหละ เลี้ยวมาก็เห็น มีคันเดียวจอดเด่นเชียว แถวนี้นอกจากแฟนพี่แล้วไม่มีใครเป็นนักเลงรถกระบะหรอก” เสียงของนพวินทร์แซวภรรยาติดแววอารมณ์ดี แล้วธารณ์ก็เหมือนจะได้ยินเสียงลอดมาแว่วๆ ที่จับใจความได้ไม่ชัดนัก แต่เขาคิดว่าน่าจะเป็นเสียงของนภางค์ ภรรยาของนพวินทร์
“ครับพี่ เดี๋ยวเจอกันครับ” ธารณ์ตอบรับแล้วรอจนนพวินทร์เป็นฝ่ายตัดสายเสียก่อน
ลายแทงที่นพวินทร์บอกตรงเผงไม่คลาดเคลื่อน ธารณ์ชะลอความเร็วผ่านหน้าบ้านพักตำรวจสองหลังซึ่งมีรถเก๋งและรถมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ในซองหน้าบ้าน รถกระบะโฟร์วีลส์คันใหญ่ตามเทรนด์ที่มีรูปทรงราวกับรถถังย่อมๆ จอดอยู่ริมถนนหน้าบ้านพักหลังที่สาม ส่วนในซองจอดมิดชิดนั้นมีรถจากัวร์ที่ธารณ์เคยได้ยินจากสายหมอกว่าพี่ชายแสนจะภูมิใจอวดโฉมอยู่
ธารณ์เอี้ยวหน้าไปมองทั้งๆ ที่ยังจอดรถไม่เรียบร้อย เห็นเจ้าของบ้านในชุดเสื้อยืดสีขาวสะอาด สวมกางเกงเลสองคนยืนเคียงกันราวกับคู่แฝด แต่เป็นแฝดต่างขนาดและต่างเพศ ขยับลุกยืนจากการนั่งเล่นที่เก้าอี้ไม้หน้าระเบียงบ้าน
บ๊อกๆ
“พี่ต้ามานี่นะ!” เสียงของเจ้าของบ้านฝ่ายหญิงเอ็ดเรียกสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนตัวเล็กที่เห่าเสียงดังพร้อมกับวิ่งวนไปมา
“สวัสดีครับพี่นพ พี่นาย” ธารณ์เปิดประตูก้าวลงจากรถ ตรงเข้าไปหาเจ้าของบ้านทั้งสองพร้อมกับยกมือไหว้
นภางค์หรือพี่นาย ภรรยาของพันตำรวจเอกนพวินทร์ส่งยิ้มมาให้ ในขณะที่รวบอุ้มเจ้าขนฟูตัวน้อยที่ยังคงส่งเสียงเห่าไม่เลิก บอกไม่ถูกว่าเป็นการแสดงออกเพื่อไล่หรือต้อนรับแขกแปลกหน้าอย่างเขากันแน่
“นึกห่วงอยู่เหมือนกันว่าจะหลงหรือเปล่า” นภางค์ทัก
“เธอก็พูดเกินไป มาไม่ยากหรอกใช่ไหมธารณ์” นพวินทร์ถาม
“ไม่ยากครับพี่”
บ๊อกๆ เจ้าสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนที่ยังคงเห่าไม่เลิกทำให้นภางค์อดไม่ได้ที่จะเอ็ด
“เดี๋ยวเถอะพี่ต้า พอแล้ว”
“เธอไปเอ็ดมันทำไมเล่า ปล่อยลงเดินสิ เดี๋ยวมันก็เลิกเห่า” นพวินทร์ยื่นมือไปอุ้มเจ้าตัวน้อยจากอ้อมแขนของภรรยา แล้ววางลงอย่างทะนุถนอมกับพื้น ธารณ์ยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าเชิงหมั่นไส้สามีของนภางค์
“ลูกชายเค้า…ตามใจรักกันยิ่งกว่าเมีย ว่าแต่หิวไหมธารณ์ เดี๋ยวเราไปหาอะไรกินกันก่อน แล้วพี่จะให้เด็กพาไปเช็กอินที่โรงแรมดีไหม” นภางค์แซวสามีแล้วถามธารณ์ด้วยความเป็นห่วง
“ยังไงก็ได้ครับพี่” ธารณ์ตอบพร้อมกับก้าวตามนพวินทร์ที่เดินมาตบไหล่พาเขาไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ตรงระเบียงหน้าบ้านพัก
“ตอนแรกว่าจะชวนนอนที่บ้าน แต่หมอกบอกว่าธารณ์ไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายเอง ทางสำนักพิมพ์รับผิดชอบทั้งหมด พี่เลยคิดว่าไปนอนโรงแรมน่าจะดี ธารณ์จะได้พักสบายๆ เป็นส่วนตัวไม่ต้องคอยเกรงใจพี่ เลยให้พี่นายช่วยจัดการจองที่พักให้ เอ้าๆ ดื่มน้ำก่อนนะ ขอพี่กับพี่นายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บ แล้วเราไปหาอะไรทานแถวท่าตอนริมแม่น้ำกกกัน” นพวินทร์บอกพร้อมกับหันไปพยักหน้าให้ภรรยา ในขณะที่เด็กสาวคนหนึ่งเดินถือถาดแก้วน้ำดื่มเข้ามาวางตรงหน้าเขา
“ครับ” ธารณ์ได้แต่รับคำแล้วมองตามหลังเจ้าของบ้านทั้งสองที่หายกลับเข้าไปในบ้าน
เจ้าขนฟูสีทองกระโดดตามทั้งสองคนไป ธารณ์มองครอบครัวเล็กๆ ของนพวินทร์แล้วอดยิ้มไม่ได้ แม้จะไม่มีทายาท แต่ชีวิตคู่ของนพวินทร์และนภางค์ก็ดูสงบมีความสุข สายหมอกเคยบอกว่าลูกน่ะคู่นี้มีแล้ว คือเจ้าตาต้า ปอมเมอเรเนียนขนฟูที่นพวินทร์แสนจะตามใจนักหนานั่นเอง
กระไอแดดร้อนจัดที่แผดเผาไปทั่วอาจทำให้สาวๆ ส่วนใหญ่พากันมองหาร่มเงาเลี่ยงห่าง แต่คงไม่นับรวมหญิงสาวร่างเล็กที่เดินเรื่อยๆ ไปตามแนวต้นส้ม ใบหน้าที่ควรขาวจัดเพราะพื้นเพเป็นคนเหนือกลับดูเข้ม ซึ่งน่าจะเป็นเพราะเจ้าตัวไม่ยี่หระต่อแสงอาทิตย์สักเท่าไร ท่าทางเอาการเอางานจริงจังของเธอคือภาพคุ้นตาของผู้คนในสวนนี้ เช่นเดียวกับร่างสูงของชายหนุ่มที่กำลังสาวเท้าเร็วเข้าไปหา
“ลัลน์!” เสียงตะโกนเรียกไม่มีผลกับคนเดิน ลัลน์ยังคงก้าวเท้าต่อเรื่อยๆ ราวกับไม่ได้ยินเสียงใดๆ แต่ใบหน้าเผยรอยยิ้ม แม้จะไม่มากนักแต่แววตาสดใสแสดงถึงความขี้เล่น
ชายหนุ่มก้าวเท้าเร็วขึ้นเกือบเป็นวิ่งมาดักหน้า “ลัลน์”
หญิงสาวมองเมิน เบี่ยงตัวเพื่อจะให้พ้นคนขวางทาง แต่ไปได้ไม่ไกลเพราะมือของเขาเอื้อมมารั้งแขนเธอเอาไว้
“จะรีบไปไหน พ่อนายโทรหา ลัลน์ลืมเอามือถือมาหรือเปล่า” น้ำเสียงคนเรียกอ่อนโยนเอาใจ รู้ดีว่าหญิงสาวตรงหน้ากำลังหาเรื่องรวน ลัลน์ไม่ตอบคนที่ส่งสายตาง้องอนแต่ก็รับโทรศัพท์มือถือมากรอกเสียงพูดโดยดี สองเท้าก้าวต่อทำเป็นไม่สนใจคนเดินเคียง
“ลัลน์ค่ะพ่อ”
“มือถือไปไหนหนูลัลน์” เสียงคุณภวิชถามมาตามสาย
“ในรถค่ะ พ่อมีอะไรคะ”
“เข้าบ้านได้แล้วมั้งลูก นักข่าวที่จะสัมภาษณ์พ่อ…คนที่ว่าเป็นเพื่อนน้องชายท่านนพมาถึงแล้วนะ ท่านนพโทรมาตะกี้ว่ากำลังจะไปกินข้าวกันที่ท่าตอน มารับพ่อหน่อยสิ จะได้ไปสมทบกับเขา” คุณภวิชบอกลูกสาว
“ลัลน์ยังไม่เสร็จเลยค่ะพ่อ กำลังเตรียมส่งส้มเข้าโรงแวกซ์ พ่อไปเถอะค่ะ ไม่ต้องรอลัลน์หรอก ถ้าพี่เมธิยังอยู่ที่บ้าน พ่อให้พี่เมธิขับรถให้นะคะ อย่าขับเอง” ลัลน์ตอบพร้อมกับก้าวขาออกเดิน
นักข่าวที่ติดต่อขอมาสัมภาษณ์ทำสกู๊ปชีวประวัติและการดำเนินธุรกิจของบิดาเธอทำให้หลายคนตื่นเต้น แต่ลัลน์ไม่ใช่หนึ่งในหลายคนนั้น เธอไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไรหรอก เพียงแค่คิดว่าไม่เห็นจะต้องทำราวกับเป็นเรื่องใหญ่โตมากกว่า ที่สำคัญคือวันนี้ลัลน์มีงานให้ห่วงอีกเยอะ และต้องจัดการให้เรียบร้อยทั้งหมด ทิ้งไปไม่ได้ง่ายๆ จะให้เสียการเสียงานไปต้อนรับใครเห็นทีจะไม่ไหว เพราะนอกจากงานแล้ว ลัลน์รู้ตัวดีว่าเธอรับแขกไม่เก่งเอาเสียเลย
“แล้วกัน มาก่อนเถอะลัลน์ ท่านนพก็ไปนะลูก อย่าเสียมารยาทน่า” เสียงของภวิชคะยั้นคะยอ แต่ลูกสาวก็ยังยืนยันความตั้งใจ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่นพไม่ว่าอะไรลัลน์หรอก อีกอย่างพรุ่งนี้เราจะหยุดกัน ลัลน์อยากเคลียร์งานให้เรียบร้อยด้วย พ่อไปเถอะค่ะ แต่อย่าขับรถเองนะคะ ข้อเท้าพ่อยังไม่หายดี…ลัลน์เป็นห่วง”
บิดาของเธอตกบันไดเมื่อวานนี้ ผู้ใหญ่เวลาที่ล้มมักเจ็บมากกว่าเด็กเสมอ ดูอย่างพ่อของเธอสิ แค่บันไดสามขั้นแต่ข้อเท้าก็แพลงบวมจนน่ากลัว ดีเท่าไรแล้วที่กระดูกไม่หักหรือแตก
“งั้นก็ได้ แต่ลัลน์จะกลับบ้านกี่โมง จะอยู่จนเย็นเลยเหรอลูก”
“ยังไม่รู้เลยค่ะ ว่าจะดูจนเสร็จแล้วบางทีอาจเลยไปโรงแวกซ์กับลุงสอน เพราะหลังงานของพี่เมธิไม่กี่วันสวนเราจะหยุดพักให้คนงานไปวัดสำหรับยี่เป็งด้วย อาจจะนานน่ะค่ะ พ่อไม่ต้องรอลัลน์ดีกว่า แล้วก็ไม่ต้องห่วงด้วยนะคะ”
หลังทำการเก็บเกี่ยว ส้มจะถูกส่งเข้าโรงแวกซ์เพื่อเคลือบเงาก่อนส่งไปขาย ซึ่งเป็นงานที่วันนี้ลัลน์อยากทำให้เรียบร้อยโดยไว
“เอ้าๆ ตามใจ แต่อย่าให้ถึงเย็นหรือค่ำนะลูก มินอยู่ด้วยใช่ไหม กลับมาพร้อมกันก็แล้วกันนะ แล้วปืนล่ะพกไปหรือเปล่า ขับรถระหว่างทางพ่อเป็นห่วง” ลัลน์ปรายสายตาไปยังคนที่ถูกเอ่ยชื่อที่ยังเดินเคียงเงียบๆ แววตายังคงขุ่นอยู่บ้างแม้จะไม่จริงจังนัก
ชายแดนที่ไม่ไกลจากพม่าสักเท่าไร รวมทั้งชนกลุ่มน้อยและจีนฮ่อที่มีถิ่นฐานทั่วไปในอำเภอแม่อาย ฝาง และท่าตอน ทำให้บางครั้งดินแดนแถบนี้เรียกว่าไกลปืนเที่ยง ที่คุณภวิชเป็นห่วงมากก็คือเรื่องความปลอดภัย เพราะเมื่อไม่นานมานี้ลูกชายเจ้าของสวนส้มใกล้เคียงที่เป็นเพื่อนทางธุรกิจถูกลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่ โชคดีที่ทางตำรวจและทหารร่วมมือกันช่วยเหลือออกมาได้อย่างปลอดภัย และคนร้ายก็ถูกดักจับได้เช่นกัน ทำให้พอหายใจได้ทั่วท้องกันขึ้นมาบ้าง
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นร้อนๆ มีหรือที่จะไม่ทำให้เจ้าของสวนส้มต่างๆ เป็นกังวล จะให้ปล่อยคนงานดูแลแล้วเอาแต่เก็บตัวอยู่ในบ้านก็เห็นทีจะไม่เข้าท่า เพราะพืชผลที่ต้องดูแลและธุรกิจนั้นยังไงก็ต้องดำเนินต่อไปอยู่ดี การระวังตัวให้หนักจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่พอจะทำได้
“ค่ะ พ่อไม่ต้องห่วงนะ เสร็จแล้วลัลน์จะรีบกลับ” ลัลน์บอกแล้วรอจนบิดาตัดสัญญาณก่อนจึงกดวางสาย เธอยื่นโทรศัพท์คืนให้มินโดยไม่พูดอะไรกับเขาแม้แต่คำเดียว
“นักข่าวมาแล้วเหรอ” มินถามพร้อมกับยื่นหมวกปีกกว้างมาให้ “ไม่ใส่หมวกอีกแล้ว เดี๋ยวก็เป็นลมหรอก แดดร้อนจะตาย”
“อืม” ลัลน์ตอบแบบขอไปที แม้จะยอมรับหมวกมาสวม แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะยอมคุยกับเขาดีๆ สักหน่อย
“ลัลน์…จะโกรธอีกนานไหม มินง้อแล้วนะ”
“ทำไม ถ้าบอกว่าอีกนานจะเลิกง้องั้นสิ” ลัลน์ตวัดเสียงใส่ ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน ตามองตรงเตรียมเอาเรื่อง
“โธ่ อย่าพูดแบบนั้นสิ ยังไงมินก็ง้อลัลน์เสมอนั่นแหละน่า เลิกงอนแล้วยิ้มให้มินหน่อยดีกว่านะ ตั้งแต่มินกลับมาบ้านคราวนี้ลัลน์ยังไม่ยอมยิ้มให้มินเลย”
น้ำเสียงและแววตาเอาใจไม่ช่วยอะไรมากนัก เพราะลัลน์ยังคงทำตาดุมอง
“ยังอยากเห็นเหรอ ตัวเองไม่กลับบ้านนานแค่ไหนแล้ว นึกว่าไม่อยากเห็นหน้าคนที่สวนส้มสารัณแล้วเสียอีก”
“ไหนใครๆ บอกว่ามีแต่เด็กๆ ที่ทำหน้าบึ้งแล้วน่ารัก…ดูสิ ลัลน์ทำหน้าบึ้งก็น่ารักดีเหมือนกัน”
“อย่ามาทำเหมือนพี่เป็นเด็กเล็กๆ นะ”
“เป็นเด็กเถอะ อย่าเป็นพี่เลย แบบนี้น่ารักกว่า”
คำพูดของมินทำเอาคนฟังยิ่งรีบตีหน้ายักษ์เข้าให้
“ทำเป็นพูด ตัวเองไม่ชอบเรียกพี่ทั้งๆ ที่เค้าอายุมากกว่าแล้วยังจะมาหาว่าเป็นเด็กอีกนะ”
นานแค่ไหนแล้วลัลน์ก็จำไม่ได้ที่มินไม่ยอมเรียกเธอว่าพี่ ทั้งๆ ที่ลัลน์อายุห่างจากเขาเกือบปี แถมทุกครั้งที่มีโอกาส มินจะคอยหาทางข่มให้เธอดูเหมือนเด็กเล็กๆ อีกด้วย ลัลน์หัวเสียแล้วก็ได้แต่นึกโมโหเพราะทำอะไรมินไม่ได้ ความสูงที่มากขึ้นเรื่อยๆ ของเขาทำให้สุดท้ายแล้วลัลน์แทบจะกลายเป็นเด็กเวลาคุยกับมินเข้าจริงๆ เพราะเธอต้องแหงนหน้าคุยกับเขา
“ว่าไง จะตอบได้หรือยังว่าทำอะไรนักหนาที่เชียงใหม่” แววตาอ่อนแสงและท่าทางเอาใจของเขาทำให้ลัลน์เริ่มซักถึงสิ่งที่ค้างคาใจอีก
คราวนี้มินทำหูทวนลม แถมยังทำท่าจะผละไปหาลุงสอนที่กำลังคุมคนงานเก็บส้มเสียด้วย มันทำให้ลัลน์นึกอยากเอาอะไรขว้างเข้าให้จริงๆ แต่ก็ทำได้แค่เอื้อมมือไปดึงชายเสื้อเขาเอาไว้ไม่ให้เดินหนีไปไหน
“บอกมาเดี๋ยวนี้เลย ทำไมปีนี้ไม่ค่อยยอมกลับบ้าน” น้ำเสียงของลัลน์มีแววคาดคั้น
“คิดถึงเหรอ” คนไม่ยอมตอบคำถามเอ่ยน้ำเสียงลอยๆ เหมือนไม่สนใจ แต่หูและหัวใจรอฟังคำตอบ
“คิดถึงสิ” ลัลน์ตอบได้ทันทีไม่ต้องคิด ตั้งแต่เล็กจนโตคำว่าครอบครัวสำหรับเธอคือพ่อ พี่เมธิ และมิน ด้วยวัยที่ใกล้เคียงกันมากที่สุดทำให้ลัลน์ติดที่จะมีมินอยู่ใกล้ๆ เสมอ ทั้งๆ ที่หากว่ากันตามสายเลือดก็ไม่มีส่วนไหนที่จะนับเรียงเป็นพี่น้องได้เลยสักนิด ดังนั้นยามต้องห่างกันนานๆ มีหรือที่ความคิดถึงจะไม่เกาะกุมหัวใจ
ครอบครัวที่ลัลน์เรียกเต็มปากว่าของเธอนั้น จริงๆ แล้วมาจากเสี้ยวของสองครอบครัวที่มารวมเป็นหนึ่งมากกว่า ลัลน์เป็นลูกคนเดียวในขณะที่มินยังมีเมธิเป็นพี่ชายแท้ๆ หลายคนเรียกมินว่าลูกหลง เพราะความห่างของอายุกับพี่ชายคนเดียวที่มากถึงสิบสองปีหรือหนึ่งรอบนั่นเอง
บิดามารดาของเมธิและมินเป็นหุ้นส่วนกิจการสวนส้มสารัณมาตั้งแต่สมัยบุกเบิก สัดส่วนลงทุนอาจไม่มากมาย แต่ความสนิทสนมผูกพันระหว่างบิดาของลัลน์และบิดาของสองพี่น้องก็แน่นแฟ้นจนเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนตาย น่าเสียดายที่บุพการีของมินและเมธิบุญน้อย มีชีวิตดูแลครอบครัวและร่วมเป็นร่วมตายกับคุณภวิชได้ไม่นานก็ประสบอุบัติเหตุรถชนระหว่างขับรถขนส้มเข้าเชียงใหม่เสียชีวิตพร้อมกันทั้งคู่ ตอนนั้นมินยังเล็กอายุไม่ถึงห้าขวบดี ในขณะที่เมธิใกล้จะเข้ามหาวิทยาลัย ส่วนลัลน์ก็เพิ่งจะหกขวบเท่านั้นเอง
ความสูญเสียไม่คาดฝันทำเอาสองพี่น้องที่ยังเป็นผู้เยาว์เคว้งคว้าง พื้นเพครอบครัวของบิดามารดาที่เป็นคนใต้ แต่ตั้งใจย้ายมาลงหลักปักฐานสร้างตัวกับเพื่อนรักคือคุณภวิช ทำให้เมธิและมินไม่มีญาติพี่น้องตามสายเลือดอยู่ข้างกายคอยโอบอุ้มปลอบโยนเลยแม้สักคนเดียว จะว่าไปจริงๆ แล้วต่อให้เป็นสายเลือดเดียวกันสองพี่น้องก็ไม่รู้ว่าจะมีใครบ้าง เพราะปู่ย่าอีกทั้งตายายนั้น เท่าที่รู้จากบิดามารดาก่อนท่านเสียชีวิตคือไม่มีใครที่ยังมีชีวิตอยู่
คุณภวิชบิดาของลัลน์เข้ามาโอบอุ้มทั้งคู่ แล้วนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ลัลน์ก็เหมือนได้พี่ชายและน้องชายมาเป็นครอบครัว เมธิที่อายุห่างจากน้องๆ ค่อนข้างมากเริ่มมีความรับผิดชอบและหวังจะช่วยงานลุงให้ได้มากที่สุดจึงไม่ค่อยมีเวลาสนิทสนมกับน้องมากนัก กลายเป็นมินกับลัลน์ที่อายุใกล้เคียงกันที่สนิทกันยิ่งกว่า จนคล้ายกับว่าจะเป็นเสมือนเงาของกันและกันในทุกที่ แม้แต่ตอนเรียนในเชียงใหม่ จนกระทั่งทั้งมินและลัลน์จบการศึกษาระดับปริญญาตรี
ลัลน์นั้นเจริญรอยตามเมธิ หยุดการศึกษาของตัวเองไว้แค่นั้น ตั้งใจมุ่งกลับบ้านมาอยู่สวน ในขณะที่มินดึงดันจะขอเรียนต่อปริญญาโท จึงเป็นช่วงเวลาแรกที่มินกับลัลน์อยู่ห่างกันด้วยระยะของการเดินทาง จะว่าการศึกษาทำให้มินห่างออกไปลัลน์ก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะแรกๆ มินยังคงกลับบ้านตามปกติอย่างสม่ำเสมอเมื่อมีช่วงเวลาหยุดเอื้ออำนวย จะมาห่างไปจริงๆ ก็ระยะหลังนี้ที่นอกจากจะไม่ค่อยกลับบ้าน ลัลน์ยังรู้สึกเหมือนมินมีบางสิ่งปิดบังซึ่งเธอไม่ชอบใจเลยสักนิด
ความรู้สึกเหมือนถูกกันให้ห่างแม้มินจะส่งเสียงมาทางโทรศัพท์อยู่เสมอทำให้ลัลน์เหงาปนขัดใจ…มินเป็นความคุ้นเคยของเธอมาตลอดตั้งแต่เล็ก…
“เหงาเหรอ” คำถามเหมือนยั่วทำให้คราวนี้ลัลน์เริ่มหมดความอดทน
มินเฉไฉเลี่ยงที่จะตอบคำถามมาหลายครั้งถึงสาเหตุที่เขาห่างบ้านไป ท่าทางมีลับลมคมในแม้แต่กับเธอทำให้ลัลน์นึกโมโห เดี๋ยวนี้โตแล้วหัดมีความลับกับเธองั้นสิ
“กลับเชียงใหม่ไปเลยไป๊ ไม่บอกก็ไม่ถามแล้ว” ลัลน์กลายเป็นคนเดินหนีเสียเองในครั้งนี้ ทำเอาคนแกล้งไม่รู้ไม่ชี้ต้องร้องอ้าว
“โธ่ลัลน์ อย่าโกรธสิ ทำไมขี้โมโหแบบนี้นะ” มินรีบเอาใจก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เทอมนี้เป็นเทอมสุดท้ายแล้ว มินมีโปรเจ็กต์ยุ่งๆ ต้องทำให้เสร็จหลายตัวน่ะ”
“ใช่แค่เทอมนี้ที่ไหนที่มินไม่ค่อยกลับบ้าน ปิดเทอมที่ผ่านมาก็หายไปเลย ลองนับนิ้วดูเลยนะว่ามินไม่กลับบ้านนานเท่าไรแล้ว นี่ถ้าไม่เป็นเพราะพี่เมธิจะแต่งงาน มินก็ไม่โผล่หน้ากลับมาหรอก พี่พูดถูกไหม”
“ก็มันวุ่นๆ หลายอย่างนี่นา” มินทำเสียงอ้อมแอ้มตอบ…นอกจากเรื่องเรียนแล้ว เขายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทุ่มเทมากในตอนนี้…
“เรื่องอะไรนักหนา เรียนหรือว่าผู้หญิง” น้ำเสียงของลัลน์กรุ่นแววหวาดระแวง แล้วก็ต้องซัดผัวะไปบนแขนแข็งแรงเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอจากเขา
“ไม่ใช่เรื่องผู้หญิงหรอกน่า คิดอะไรบ้าๆ ไร้สาระ มินไม่เคยมีผู้หญิงที่ไหนสักหน่อย” มินตอบโดยค้างคำพูดบางประโยคไว้เพียงในใจ…ชีวิตนี้มินจะมีใครได้อีก…ไม่มีทาง…
“ให้มันจริงเถอะ” แม้จะไม่ได้คำตอบชัดเจน แต่น้ำเสียงหนักแน่นของเขาก็เหมือนจะทำให้ลัลน์รู้สึกสบายใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
“มินไม่โกหกลัลน์หรอกน่า ว่าแต่ถ้ามินยังไม่กลับมาอยู่บ้านหลังเรียนจบทันที ต้องรออีกสักหน่อย จะได้ไหมลัลน์” มินลองหยั่งเชิงด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ใจระทึกรอฟังคำตอบ
“อะไร! จะไปไหน นี่บอกมาเลยนะว่าจะไปไหนกันแน่ ทำไมถึงจะยังไม่กลับบ้าน” คราวนี้ลัลน์ถามเสียงสูง ดวงตาวาวเอาเรื่องคาดคั้นจนมินต้องแอบกลืนน้ำลาย
“ยังไม่แน่หรอก ลองถามเผื่อไว้เท่านั้นเอง” มินบอกแล้วสาวเท้าเดิน แต่ก็กลายเป็นว่าคนตัวเล็กแต่อายุมากกว่ากระโดดมาขวางตรงหน้าด้วยท่าทางเอาเรื่อง
“อย่ามาทำเดินหนีนะ บอกมาเดี๋ยวนี้เลย แอบหนีไปสมัครงานที่ไหนหรือเปล่าเนี่ย”
“ไม่หรอกน่า มินจะไปทำงานที่ไหนได้ถ้าไม่ใช่ที่สวนส้มสารัณของเรา” มินตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ตั้งใจจะสร้างความมั่นใจให้กับลัลน์
“แล้วยังไง จะไปไหนทำอะไรล่ะ เดี๋ยวนี้บ้านมีก็ไม่กลับแล้วยังมาทำท่าทางลึกลับอีก จะไม่อยากเป็นชาวสวนก็บอกมาตรงนี้เลย พี่จะได้ทำใจไว้แต่เนิ่นๆ”
สวนส้มสารัณในวันนี้คุณภวิชได้ปล่อยวางหลายเรื่องให้กับสองแรงแข็งขันอย่างเมธิและลัลน์ เมธิจะคอยดูแลเรื่องบริหารและจัดการโดยประจำอยู่ที่สำนักงาน ในขณะที่ลัลน์เหมารับผิดชอบงานทุกอย่างในสวน ตั้งแต่เริ่มเตรียมดินปลูกส้ม ดูแลไปจนกระทั่งได้พืชผลส่งขาย
แม้ลัลน์และเมธิจะช่วยดูแลงานได้เป็นอย่างดีไม่มีบกพร่อง แต่สวนส้มสารัณก็ยังรอคอยมิน น้องชายคนเล็กสุดให้เรียนจบแล้วกลับมาช่วยกันอยู่ทุกลมหายใจ คุณภวิชซึ่งนับได้ว่าเป็นหัวหน้าครอบครัวหวังอยากให้ลูกหลานกลับมาอยู่พร้อมหน้า ช่วยกันดูแลสวนส้มสารัณ ดังนั้นท่านจึงวางตำแหน่งและหน้าที่รองผู้จัดการทั้งของเมธิและลัลน์ในมือของมินตั้งแต่เขายังเรียนไม่จบปริญญาตรี
ลัลน์เคยคิดว่าตัวเองรู้ใจน้องชายมากกว่าใคร เปรยกับทั้งพ่อและพี่ชายว่าสุดท้ายมินต้องกลับมาช่วยงานของเธอมากกว่าเมธิแน่ๆ แต่พอเขาเริ่มห่างบ้านไป ลัลน์ก็เริ่มนึกห่วงและไม่มั่นใจ
…หรือสุดท้ายแล้วเขาจะไม่ชอบชีวิตแบบนี้…เธอคิดผิดและหวังมากเกินไปหรือเปล่า
“กลับสิ ยังไงก็ต้องกลับ ชีวิต…อนาคต ทุกอย่างของมินอยู่ที่นี่นี่นา ว่าแต่ลัลน์ดีกว่า ลืมหรือเปล่าว่าถ้ามินเรียนจบเอาปริญญามหาบัณฑิตมาฝากได้ ตัวเองสัญญาอะไรไว้กับมิน”
“จำได้น่า มินบอกว่าพี่จะต้องทำอะไรให้มินอย่างหนึ่ง ว่าแต่อะไรล่ะ บอกตอนนี้ไม่ได้เหรอ พี่อยากรู้…ขี้เกียจรอ” ลัลน์บอกพลางส่งสายตาอยากรู้ตามไป…เธอเริ่มหวั่นใจว่าคำขอของเขาจะทำให้ตัวเองผิดหวัง…
“ไม่ได้ รอก่อน อีกไม่นานแล้วล่ะ” มินไม่ยอมเฉลย ทุกอย่างที่พยายามและทุ่มเทหมายถึงทั้งชีวิตของเขา มินอยากมั่นใจให้มากที่สุดว่าพร้อม เขาไม่อยากผิดหวัง แม้ต้องแลกกับความเหงาและห่างบ้านมินก็กัดฟันทน ทั้งๆ ที่หัวใจของเขาไม่เคยจากสวนส้มสารัณไปไหนได้ไกลเลย
“ตามใจ รอก็ได้ แต่ถ้ามินอยากหนีไปทำงานที่ไหนหลังจบไม่ยอมกลับมาอยู่บ้าน ก็เตรียมใจรอฟังบทเทศนาของพ่อกับพี่เมธิด้วยล่ะ พี่ไม่ช่วยหรอกนะ” อาการปากแข็งของมินทำให้ลัลน์หงุดหงิด จึงเลือกที่จะทำเป็นไม่ใส่ใจ
“ขู่จริงเลย เชื่อกันหน่อยสิ ยังไงสุดท้ายแล้วมินก็จะกลับมาทำสวนน่า จะอยู่แล้วก็ตายที่สวนส้มสารัณใกล้ๆ พ่อนาย พี่เมธิ แล้วก็ลัลน์” มินบอกใบหน้าจริงจัง
ประกายตาที่มุ่งมั่นของเขาทำให้ลัลน์ยิ้ม แม้ยังไม่ได้ความกระจ่างกับพฤติกรรมห่างบ้านของเขา แต่เวลานี้ความหวาดหวั่นใจที่ว่าเขาอาจจะไม่กลับมาอยู่บ้านด้วยกันลดน้อยลงแล้ว จึงตัดใจเลิกซักไซ้เอาคำตอบหรือตั้งท่างอนต่อไปอีก เพราะรู้จักนิสัยของเขาดี
ปากแข็ง! ลองตั้งใจว่าจะไม่พูด บีบคอยังไงมินก็ไม่มีทางพูด…เชื่อใจ ตลอดมาเธอสามารถเชื่อใจน้องชายคนนี้ได้ไม่ใช่หรือ…
“ให้มันได้อย่างที่พูดเถอะ พี่ พ่อ แล้วก็พี่เมธิจะตั้งตาคอยวันรับปริญญาของมิน”
“มินเองก็ตั้งตาคอยมาตลอดเหมือนกัน แต่ก็อีกไม่นานแล้วล่ะ” น้ำเสียงของเขามาดมั่น ความสูงของเขาในวันนี้ทำให้เธอต้องเอียงคอมอง แต่ก็เห็นเพียงเสี้ยวหน้าคมสัน ดวงตาที่มักจะสงบนิ่งตามนิสัยชอบคิดอะไรในใจเงียบๆ ไม่บอกใครของเขาฉายแววมุ่งมั่น
น้องชายของเธอโตขึ้นมากเลยนะ
“สูงขึ้นเยอะเหมือนกันนะเรา”
“โตแล้วค้าบ โตแล้ว” น้ำเสียงและหน้าตาท่าทางเหมือนอ่อนใจกับความคิดของเธอทำให้ลัลน์หัวเราะ
“หนูลัลน์ มาดูทางนี้หน่อยสิ” เสียงตะโกนเรียกของลุงสอนทำให้ลัลน์ย่นจมูกให้มินก่อนจะหันไปหา
“ว่าไงคะลุงสอน”
มินส่ายหน้าน้อยๆ มองตามแผ่นหลังของเธอที่เดินห่างไปแต่ไม่ไกลนัก แล้วตัวเองก็หันไปดูคนงานบ้างเหมือนกันด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง โดยไม่เห็นสายตาของลัลน์ที่มองกลับมา
การเข้าสวนวันนี้สำหรับลัลน์ แม้จะมีงานหนักเหมือนเคย แต่เธอรู้สึกปลอดโปร่งสบายใจ ความอบอุ่นใจที่หายไปนานกลับมาเพราะวันนี้มินกลับบ้านมาอยู่ใกล้ๆ
…มินไม่เคยทิ้งเธอไปไหนได้ไกล…
ภาพมินและลัลน์ที่อยู่เคียงข้างกันและกันเสมออาจเป็นความคุ้นตาของใครๆ แต่สำหรับลัลน์ มันคือความคุ้นใจที่อบอุ่นมาเนิ่นนาน
“หือ?” ถุงกระดาษใบหนึ่งถูกยื่นมาให้เมื่อลัลน์เปิดประตูรถขึ้นไปนั่งคู่กับมินซึ่งรับหน้าที่เป็นคนขับ เธอรับมาเปิดในขณะที่มินสตาร์ตรถ แล้วขับออกไปจากสวน
“อ้าว เรื่องใหม่ออกแล้วเหรอ” ลัลน์มองชื่อนักเขียนบนปกแล้วอมยิ้มดีใจ นักเขียนหน้าใหม่ที่ฝีมือเขียนอาจดูไม่เท่าไร แต่สำหรับลัลน์แล้ว เธอชอบภาษาและการเล่าเรื่องราวของนักเขียนคนนี้
“อืม ตั้งแต่อาทิตย์ก่อนน่ะ อย่าเพิ่งอ่านในรถสิลัลน์ ตาจะเสีย” มินเอ็ดเบาๆ เมื่อเห็นลัลน์พลิกเปิด
“ก็ได้ๆ กลับไปอ่านที่บ้านก็ได้” ลัลน์ยอมปิดหน้าหนังสือแต่โดยดีเมื่อไล่สายตาอ่านคำโปรยจบลง เก็บหนังสือลงถุงตามเดิม มุมปากยิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงมินหน้าเคาน์เตอร์ชำระค่าหนังสือนิยาย
…นิยายรักหวานแต่คนซื้อเป็นชายหนุ่มท่าทางเคร่งขรึม ไม่รู้คนขายจะคิดยังไง…
“นายนักข่าวเค้าจะสัมภาษณ์พ่อนายวันพรุ่งนี้เหรอลัลน์” มินถามอีก สรรพนามที่มินและเมธิใช้เรียกบิดาของลัลน์เป็นสรรพนามที่ชาวบ้านใช้เรียกท่านตั้งแต่วันที่สวนส้มสารัณเริ่มก่อร่างสร้างตัว
“ไม่หรอกมั้ง เห็นว่าวันนี้ก็จะคุยกันเลยนี่นา”
“วันเดียวจะเสร็จเหรอ พรุ่งนี้น่ะมันวันงานแต่งงานของพี่เมธิแล้วนะ พ่อนายจะต้องไปเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวนี่นา”
“โธ่มิน มันจะอะไรนักหนาเล่า ก็แค่สัมภาษณ์เอง ตื่นเต้นไปได้ นี่เค้ามาถึงไวด้วย เมื่อกลางวันที่พ่อโทรมาบอกว่าจะออกไปกินข้าวกับเค้าไง จำไม่ได้เหรอ ดีไม่ดีพี่ว่าเค้าจัดการสัมภาษณ์กันตั้งแต่กินข้าว เสร็จไปแล้วล่ะมั้ง”
“อืม แล้วเค้าต้องถ่ายรูปสวนส้มไหมนะลัลน์” มินถามคำถามที่ลัลน์ลืมคิด การที่เธอเลือกทำงานและขลุกอยู่ในสวนตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็เพราะคิดว่าตัวเองรับรองแขกและต่อรองการค้าไม่เก่งเลย งานสวนอาจจะหนักไปบ้างแต่ลัลน์ก็คิดว่าสบายใจดี และเต็มใจอย่างยิ่งที่จะอยู่ข้างหลังเมธิ ผู้ที่แม้ไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดแต่เธอก็ไว้ใจเขาไม่ต่างจากตัวเอง
“ทำไม กลัวพี่ชายจะไม่ได้แต่งงานหรือกลัวสวนเราจะไม่ได้ถ่ายรูปล่ะ”
“ไอ้ห่วงพี่เมธิจะไม่ได้ลงจากคานน่ะมินก็ห่วงอยู่ แต่ก็ไม่มากเท่าไรหรอก ยังไงเค้าก็ต้องหาทางจนได้ ที่มินห่วงก็คือถ้านายนักข่าวเค้าต้องถ่ายรูปสวนของเราแต่ยังไม่ได้ถ่ายวันนี้จะได้ถ่ายวันไหน ใครจะพาเค้าไป เพราะหลังงานแต่งงานของพี่เมธิพรุ่งนี้แล้ว พ่อนายให้พี่เมธิไปฮันนีมูนนะ หรือลัลน์จะพาไป”
“ยังไม่รู้เลย แต่ยังไงวันพรุ่งนี้ก็ไม่ได้แน่ๆ บ้านเราหยุดงานอย่างเด็ดขาดกันทุกคนนั่นแหละ นี่พี่ว่าจะไปขอแปลงกายเป็นญาติฝ่ายเจ้าสาวกั้นประตูเงินประตูทองด้วยสิ” ลัลน์บอกพร้อมกับยักคิ้วให้มินอย่างอารมณ์ดี…ปัญหาเรื่องรับแขกเอาไว้ทีหลังก็แล้วกันตอนนี้…
“หึ! ญาติๆ พี่หยาเค้าคงยอมหรอกนะ ไอ้ที่เตรียมกั้นๆ กันอยู่น่ะ มินว่าไม่ต่ำกว่าห้าประตูหรอก ทำไมเค้าถึงไม่ให้ฝ่ายเจ้าบ่าวกั้นประตูบ้างนะ” มินบ่นอู้
“รอให้ตัวเองแต่งก่อนสิแล้วค่อยไปขอฝ่ายเจ้าสาว เผื่อเค้าจะยอม” ลัลน์ย้อนเข้าให้ คราวนี้มินไม่ยอมต่อปากต่อคำ กลับปรายสายตามาแล้วทำท่าทางบ่นแต่ไร้เสียง
“บ่นอะไร แล้วนี่วันนี้เข้านอนไวๆ เลยนะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ารู้ไหม”
“ย้ำจริงเลย มินไม่ใช่เด็กๆ น่า เมื่อไหร่จะรู้สักทีว่ามินโตแล้ว” มินบ่นสีหน้าเรียบ ซึ่งเป็นท่าทางที่ลัลน์เห็นแล้วอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ เจ้าน้องคนเล็กไม่ชอบให้ใครดูถูกว่าเป็นเด็กๆ
“จ้า…โตแล้ว เชื่อค่า งั้นตอนนี้พี่เมธิแต่งงานแล้ว คนโตแล้วก็จะบ่นไม่ได้เหมือนกันนะว่าโดนแย่งพี่ชาย” ลัลน์วกกลับไปเอ่ยถึงพี่ชายคนโตของบ้าน
“คืนนี้ต้องมีคนนอนไม่หลับคนหนึ่งแน่ลัลน์ เชื่อไหม เปิดบ้านใหญ่ทำข้าวต้มไม่ก็เตรียมน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ไว้เถอะ ดีไม่ดีจะมีพ่อนายไปร่วมด้วยอีกคน มินเคยนึกนะว่าชาตินี้จะมีพี่สะใภ้กับเขาหรือเปล่า เพราะรอแล้วรออีกพี่เมธิก็ไม่ยอมมีใครสักที จนอายุปาเข้าไปสามสิบนี่แหละ ตอนสองคนนั้นเป็นแฟนกันใหม่ๆ นะ มินโมทนาสาธุทุกวันว่าอย่ามีอะไรมาสะกิดใจให้พี่หยาหวนนึกเสียดายว่าคิดผิด มาโล่งใจเต็มที่ก็ตอนที่เขาตกลงแต่งงานกันได้นี่แหละ เพราะว่าพลาดจากพี่หยาแล้วมินว่าเห็นทีชาติหน้าก็คงยังอยู่บนคานล่ะพี่เมธิเนี่ย” แม้คำพูดจะเหมือนปรามาสพี่ชาย แต่น้ำเสียงของมินบอกชัดถึงความยินดีที่มีเต็มหัวใจ ซึ่งเป็นความรู้สึกเดียวกับลัลน์…งานมงคลใหญ่ของบ้าน…
“ทำแซวพี่เมธิ ว่าแต่มินดีกว่า เสร็จงานพี่เมธิก็จะกลับเชียงใหม่เลยหรือเปล่า เรียนหนักมากเหรอมิน” ลัลน์ถามแล้วนิ่วหน้าน้อยๆ เอื้อมมือข้างหนึ่งไปหยิบหมอนอิงมากอด อีกข้างจัดการปรับระดับของเบาะให้เอนนอนได้มากขึ้น
“ปวดท้องอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย นี่มินไม่อยู่ก็ทานข้าวไม่เป็นเวลาอีกแล้วใช่ไหม” มินไม่ตอบคำถามแต่หันมามองท่าทางของลัลน์ด้วยสายตาเป็นห่วง เขาชะลอรถให้ช้าลงแล้วเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักหน้ารถหยิบกล่องยาออกมายื่นส่งให้
“ขอบใจจ้ะ” ลัลน์รับมาถือไว้
“ทานก่อนสิ เดี๋ยวปวดมากขึ้นนะ” มินสำทับ จัดการหยิบขวดน้ำเปล่าส่งตามมาให้เมื่อเห็นว่าลัลน์ยังไม่มีทีท่าจะขยับตัวทานยาเสียที
นิสัยเสียอย่างหนึ่งของเธอคือไม่ค่อยใส่ใจดูแลตัวเอง ลองได้ทำอะไรสักอย่างก็จะอยู่กับมันจนลืมหมดแม้แต่เรื่องกิน ก่อนนี้ยังไม่เดือดร้อนเท่าไรเพราะมินอยู่ใกล้ๆ คอยกำกับเกือบทุกย่างก้าว แต่เมื่อเขาห่างบ้านไป ลัลน์ก็กลายเป็นหลงลืม ไม่ได้ทำอะไรเพื่อตัวเองเข้าจริงๆ ปล่อยปละละเลยเพราะมัวจมอยู่กับงานจนลืมเวลาเสมอ ไม่ค่อยได้ใส่ใจเรื่องอาหารการกินจนสุดท้ายก็ได้โรคกระเพาะมาเป็นเพื่อนใหม่ในที่สุด
ท่าทางจริงจังของมินทำให้ลัลน์หัวเราะเบาๆ ตามองยาในมืออย่างนึกเบื่อ เธอไม่ชอบยาสักเท่าไร จะกิน ฉีด หรือทาก็ไม่ชอบเลยสักอย่าง เกลียดที่สุดก็เห็นจะเป็นทิงเจอร์ทาแผล ทั้งๆ ที่ชอบเล่นซนตามมินมาตั้งแต่เล็กๆ เวลาที่ได้แผลกลับบ้าน เธอต้องคอยวิ่งหนีจนใครๆ พากันอ่อนใจ จะมีก็แต่มินที่พยายามทุกทางหลอกล่อให้เธอทายาได้สำเร็จ
“ว่าไง จะกลับเชียงใหม่วันไหน อยู่บ้านได้กี่วัน” ลัลน์ทวงคำตอบที่มินยังไม่ให้
“ยังไม่แน่เลย ขอดูก่อนนะ ถ้าอยู่ได้ก็ว่าจะอยู่จนหลังยี่เป็ง” น้ำเสียงของมินเหมือนลังเลไม่มั่นใจ
…บ้านที่ห่างไปนาน…ความผูกพันที่เกาะเกี่ยวหัวใจเขาเอาไว้ พอได้กลับมาสัมผัสก็กลายเป็นยิ่งกระหายอยากอยู่ให้นานขึ้นอีก แต่เขามีเรื่องสำคัญรออยู่ที่เชียงใหม่
“จะอยู่ได้จริงเหรอ ไม่รีบกลับเชียงใหม่หรือไงล่ะ” ลัลน์อดไม่ได้ที่จะย้อน
“ตกลงลัลน์อยากให้มินอยู่หรืออยากไล่ให้ไปไวๆ กันแน่นะ” น้ำเสียงของมินแม้จะเรียบนิ่ง แต่คนที่โตมาด้วยกันมีหรือจะไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร…นึกอยากจะหาเรื่องน้อยใจเธอบ้างล่ะสิ…
“ใครเค้าไล่ตัวกันล่ะ ก็เห็นไม่ค่อยชอบกลับบ้านแล้วเดี๋ยวนี้ บ่นว่ายุ่งๆ ถามอะไรก็ไม่ตอบ เคยรู้ไหมล่ะว่าที่ตัวเองทำน่ะพี่เป็นห่วงเพราะไม่รู้เลยว่ามินยุ่งอะไรนักหนา หรือว่าเดี๋ยวนี้พี่จะห่วงหรือรู้สึกอย่างนั้นกับมินไม่ได้อีกแล้ว เป็นสิทธิ์ของคนอื่นที่พี่ห้ามแตะต้องแล้วใช่ไหมล่ะ” ลัลน์ย้อนเข้าให้บ้าง ใช่แต่เขาคนเดียวที่น้อยใจเป็น เธอก็เป็นเหมือนกันนี่นา
“ลัลน์ ไม่เอาน่า ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ ไม่ว่าเมื่อไหร่มินก็ยังอยากให้ลัลน์คิดถึง…ห่วงมินเสมอนั่นแหละ” สุดท้ายแล้วก็เป็นมินอีกตามเคยที่ต้องง้องอน เขาถอนหายใจเบาๆ พลางเหลือบตาไปมองคนที่ทำเฉยหลับตาไม่พูดต่อความกับเขา เปลือกตาที่เจ้าของบังคับให้กดแน่นจนคิ้วชนเป็นรอยทำให้นึกห่วงว่าเธอคงกำลังปวดท้องจนไม่มีแก่ใจจะเถียงเขามากกว่าอย่างอื่น
“มันบีบล่ะสิ ไหวไหมลัลน์” น้ำเสียงห่วงใยที่ได้รับแม้จะทำให้ลัลน์อุ่นใจ แต่เธอนิ่งเพราะยังไม่อยากพูดอะไรในเวลาที่อาการปวดท้องรุนแรงแบบนี้
“ไม่ต้องไปโรงแวกซ์แล้วดีไหม ลุงสอนคงจัดการได้ มินว่าเราแวะไปหาหมอก่อนเข้าบ้านดีกว่านะลัลน์” มินเริ่มลืมไปแล้วว่ากำลังคุยกันเรื่องอะไร ท่าทางของลัลน์ทำให้เขาร้อนรน
ลัลน์สูดลมหายใจลึกเมื่ออาการบีบจุกเบาลง รู้ดีว่าอีกประเดี๋ยวคงกลับมารังควานอีก สีหน้าของมินทำให้นึกอาทร อยากให้เขาหายเป็นห่วง จึงเลิกคิดที่จะยอกย้อนต่อไปอีก
“ไม่ไปโรงแวกซ์แล้วก็ได้ แต่ว่าไม่ไปหาหมอเหมือนกัน กลับบ้านเถอะ พี่อยากเข้าบ้านมากกว่า”
“ไหวแน่นะ” มินไม่วางใจ ตามองอีกฝ่ายพยักหน้าตอบ
“ไปหาหมอก็ได้ยามาเหมือนที่มีนั่นแหละ เสียเวลา”
“ดูแลตัวเองบ้างสิลัลน์ มินเป็นห่วงนะรู้ไหม”
“ห่วงก็เท่านั้น เพราะยังไงมินก็ไม่ชอบกลับบ้าน” ลัลน์วกเข้าเรื่องเดิมอีกจนได้
“มินสัญญาว่าจบแล้วจะกลับมาอยู่สวนส้มสารัณ อยู่ข้างๆ ลัลน์ตลอดไป” มินบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังหนักแน่น
“แล้วก่อนจบล่ะ จะยังวุ่นๆ ไม่ได้กลับบ้านเหมือนเดิมล่ะสิ” ต่อให้พยายามข่มใจไว้ไม่อยากทะเลาะกับมินให้หัวเสีย แต่ลัลน์ก็ยังอดไม่ได้
“มันมีเรื่องต้องคิดต้องทำเยอะน่ะ กลับไปรอบนี้ก็อาจจะยุ่ง หาโอกาสกลับบ้านยากสักหน่อยนะ”
“ยิ่งกว่าที่ผ่านมาอีกเหรอ” ถามไปแล้วก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้ แค่ปกติมินก็ไม่ค่อยกลับบ้านอยู่แล้ว นี่ลองออกปากเอง ดีไม่ดีจะกลายเป็นว่าเธอจะได้เห็นหน้าเขาอีกทีหลังสอบ ไม่ก็วันรับปริญญาเลยหรือเปล่า
“ก็คงอย่างนั้น…” มินตอบไม่เต็มเสียง ทำท่าเหมือนกำลังมีความลับที่ไม่อยากเปิดเผย แล้วความข้องใจของลัลน์ก็มีอำนาจเหนือความรู้สึกไม่อยากชวนทะเลาะ
“ยุ่งอะไรบ้างล่ะ ทำไมต้องทำเสียงเหมือนมีอะไรลับๆ ล่อๆ ด้วย” น้ำเสียงที่เริ่มมีแววคาดคั้นของลัลน์ไม่ทำให้มินยอมเฉลย เขายังคงยิ้มมองถนนตรงหน้าเงียบๆ “เดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับพี่นะ ตามใจ ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก ไม่เห็นจะอยากรู้เลย” เมื่อไม่ได้อย่างใจลัลน์ก็ทำเป็นเมินไม่สน
“งอนเหรอ ไหนๆ หัวล้านหรือเปล่าเนี่ย”
“ใครบอกว่างอน ไม่สักหน่อย พี่ก็แค่กลัวแต่ว่ามินจะไปติดสาวๆ ที่ไหนแล้วไม่อยากกลับมาเป็นชาวสวนเสียก็เท่านั้น แล้วตัวเองก็จะกลายเป็นคนเสียคำพูดเพราะสัญญาไว้กับพี่ พี่เมธิ แล้วก็พ่อน่ะสิ” ลัลน์บอก
“บอกว่าไม่มีเรื่องผู้หญิงคนอื่นที่ไหน ทำไมไม่เชื่อกันบ้างเลยนะ”
“ก็คนมันทำตัวน่าสงสัยนี่นา”
“งั้นไปอยู่ที่บ้านในเมืองไหม ไปเฝ้ามินเลยเอาหรือเปล่า”
“เรื่องอะไร ใครอยากทำอะไรแบบไหนก็ตามใจสิ จะเสียอนาคตก็เพราะตัวเอง ไม่เห็นจะอยากสนเลย ช่างปะไร” ลัลน์บอกพลางเอื้อมมือไปเร่งเครื่องเสียงในรถให้ดังขึ้น แล้วขยับตัวนอนในท่าที่คิดว่าจะช่วยบรรเทาอาการปวดท้องที่บีบเป็นช่วงๆ ได้ หางตาเห็นริมฝีปากมินขยับไปมา แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเสียงเพลงที่ถูกเร่งให้ดังขึ้นหรือมินพูดเบา ลัลน์ถึงไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไร
“บ่นอะไร”
“เฮ้อ…ช่างมันเถอะ” มินบอกแล้วไม่พูดอะไรอีก ลัลน์ได้แต่มองแล้วส่ายหน้า
นอกจากทำท่าทางมีความลับแล้ว เจ้าน้องชายยังชอบทำท่าทางประหลาดมากขึ้นทุกวัน…หรือมินจะเข้าสู่ช่วงวัยทองก่อนวัยหนุ่ม คิดได้อย่างนั้นแล้วลัลน์ก็หัวเราะเบาๆ กับตัวเอง
“เป็นอะไร” มินมองท่าทางของลัลน์แล้วอดถามอย่างสงสัยไม่ได้
“เปล่า” ลัลน์ปฏิเสธเสียงสูงแล้วก็หลับตานิ่ง ทำเป็นไม่สนใจจะต่อล้อต่อเถียงอะไรมินอีก เลิกคิดหาทางบีบบังคับให้เขายอมคายความลับออกมา ตั้งสติให้อยู่กับเสียงเพลง หวังว่ามันจะช่วยให้ลืมอาการเจ็บป่วยของตัวเองได้
มินค่อยๆ ลดความเร็วลง ขับรถอย่างระมัดระวัง หวังจะลดทุกแรงกระแทกรวมไปถึงแรงเหวี่ยงยามเข้าโค้งเพื่อให้กระทบถึงลัลน์น้อยที่สุด แล้วก็มีเพียงเสียงเพลงเท่านั้นที่ดังระหว่างคนทั้งคู่ไปจนตลอดทาง
ติดตามตอนต่อไปวันพรุ่งนี้ เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.