บทที่ 5
ธารณ์ทอดสายตาออกไปนอกรถ มองชาวบ้านลงมือทำซุ้มประตูจากก้านมะพร้าว ต้นกล้วย และต้นอ้อยอย่างสนใจ ใบหน้าเปื้อนยิ้มของผู้คนที่กำลังลงมือช่วยกันนั้นแสดงถึงความเต็มใจที่ได้ร่วมลงแรงเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนซึ่งสะท้อนให้เห็นชัดถึงความสามัคคี
“เค้าทำอะไรกันเหรอหนูลัลน์” ธารณ์หันไปถามหญิงสาวที่นั่งอยู่เบาะหลัง
การเข้าสวนส้มกับเธอแต่เช้าเพื่อถ่ายภาพการทำสวนทำให้เขามีโอกาสได้ใกล้ชิดเธอไปด้วย แม้ว่าจะไม่ได้อยู่กันตามลำพังเพราะมีมินคอยเดินตามเสมอราวกับเป็นบอดี้การ์ด อาจไม่ค่อยเอ่ยปากพูดอะไรเท่าไรแต่ชายหนุ่มอ่อนวัยก็ไม่ยอมห่างไปไหน รวมถึงในเวลานี้ที่รับหน้าที่เป็นสารถีท่าทางนิ่งเงียบขับรถไปส่งเขากลับโรงแรมที่พัก
“ประตูป่าค่ะ เป็นส่วนหนึ่งในประเพณียี่เป็ง”
ลัลน์ให้ความกระจ่างกับสิ่งที่ธารณ์สงสัยอย่างเต็มใจ แม้ยังจำน้ำเสียงหนักแน่นของเขาที่ทำให้เธอวางหน้าไม่ถูกเมื่อคืนได้ดีก็ตาม โชคดีที่อย่างน้อยวันนี้ธารณ์กลับไปวางตัวเรียบร้อย…เป็นพี่และเพื่อนที่ดีอย่างสุภาพ ไม่มีคำพูดให้เธอรู้สึกเหมือนหัวใจถูกกระตุกอีก
“อ๋อ…ครับ”
“ก่อนวันยี่เป็งสักสองสามวัน แต่ละบ้านแล้วก็วัดจะเริ่มมีการตกแต่งด้วยประตูป่านี่ล่ะค่ะ ส่วนการลอยกระทงเมื่อก่อนก็จะลอยกันในคืนก่อนยี่เป็ง เราเรียกว่าคืนกระทงเล็ก เพราะว่าวันยี่เป็งส่วนใหญ่คนจะเข้าวัดกันจนค่ำ แต่ว่าเดี๋ยวนี้ก็มีลอยกันได้ตามแต่ใจ คืนไหนก็ได้ล่ะค่ะ”
“อืม ดีจัง ถ้าอย่างนั้นแล้วหนูลัลน์ล่ะลอยกระทงวันไหน”
“ถามจริงๆ เหรอคะ”
“จริงสิครับ”
“ลัลน์ไม่ค่อยได้ไปลอยกระทงหรอกค่ะ ส่วนใหญ่จะไปวัดแล้วก็ปล่อยโคมลอยมากกว่า”
“อ้าว กำลังจะขอตามไปด้วยคนเชียว พี่ว่าจะขอเก็บรายละเอียดเสียหน่อย”
“คุณก็ไปเองได้นี่ ไม่เห็นต้องรอลัลน์” มินเปรย แม้น้ำเสียงจะเรียบนิ่งแต่ธารณ์ก็พอดูออกว่าเด็กหนุ่มไม่ค่อยพอใจเขาสักเท่าไร
“มิน! ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ ปีนี้ไปก็ได้ค่ะ จะได้พาพี่ธารณ์ไปเที่ยวแล้วถือโอกาสลอยกระทงสักครั้งในรอบหลายปีด้วย”
“แต่…” มินตั้งท่าจะค้าน แต่มือบางที่เอื้อมมาจับไหล่เขาไว้ก็บีบแน่น มันทำให้มินถอนหายใจแรง หยุดทุกคำพูดเอาไว้
“รบกวนหรือเปล่า ถ้าหนูลัลน์ไม่อยากไป เอาไว้พี่ชวนพี่นพพี่นายไปก็ได้ครับ แต่วันไปวัดพี่ขอตามไปด้วยได้ไหม” ธารณ์ที่รู้สึกถึงความตึงเครียดของเจ้าบ้านทั้งสองเอ่ยน้ำเสียงอารมณ์ดี
“ไม่เป็นไรค่ะ ไปได้ ว่าแต่พี่ธารณ์ได้ข้อมูลเรื่องสวนส้มพอหรือยังคะ ถ้าพอแล้วพรุ่งนี้ช่วงกลางวันเราไปเที่ยวหมู่บ้านยะผ่ากันไหมคะ ชวนพี่นายกับพี่หญิงไปด้วย แล้วหัวค่ำค่อยไปลอยกระทงกัน”
“ถ้าหนูลัลน์สะดวกก็โอเคเลย ขอบคุณมากนะครับ อือ…หมู่บ้านยะผ่าเป็นยังไงเหรอครับ” ธารณ์ถาม
“เป็นหมู่บ้านสามชนเผ่าค่ะ ไว้พรุ่งนี้พี่ธารณ์จะรู้ว่าเป็นยังไง”
รอยยิ้มสดใสของลัลน์ทำให้ธารณ์ยิ้มเช่นเดียวกับที่พยายามส่งยิ้มไปให้มินด้วย แต่ดูท่าทางจะไม่ค่อยเข้าตาเขาสักเท่าไร เพราะมินยังคงทำสีหน้าเรียบเฉย ตามองตรงไปยังถนนราวกับการขับรถคืองานสำคัญยิ่งกว่าทุกสิ่งในโลกนี้
สายลมทำให้ความเย็นของอากาศยามค่ำคืนทวีมากขึ้นไปอีก ความมืดที่คืบคลานเข้ามาไม่ทำให้ร่างสูงที่ยืนกอดอกสนใจขยับไปมองหาแสงสว่างของไฟฟ้า สายตาของเขาทอดมองไปยังแสงไฟของห้องที่รู้ดีว่ามีใครอยู่ที่นั่น ที่มินเลือกจะทำในตอนนี้คือก้าวไปนั่งบนเก้าอี้ใกล้ระเบียงมากกว่า ค่ำคืนที่พี่ชายเดินทางไปฮันนีมูน เขาตัดสินใจกลับมานอนที่บ้านตัวเองไม่นอนที่บ้านใหญ่ต่อ ซึ่งบอกตามตรงว่ามันทำให้สบายใจมากกว่า
การได้อยู่ใกล้ชิดลัลน์เป็นความสุข แต่บางครั้งก็ทรมาน แววตาห่วงใยเอ็นดูและถ้อยคำที่คอยย้ำว่าเป็นพี่จากเธอทำให้มินสะท้อนใจและนึกขื่นเสมอ ได้แต่หวัง…ได้แต่คอยว่าสักวันจะได้บอกเธอถึงความในใจ เปลี่ยนแววตาของเธอที่มองเขาให้มีความหมายลึกซึ้งกว่านั้น
หัวใจที่เฝ้าคอยเก็บงำความรู้สึกเพื่อรอวันเวลาที่เหมาะสมทำให้บางครั้งมินอยากจะถอยออกมาบ้างสักนิด หวังจะให้ตัวเองได้มีสถานที่ซึ่งเป็นอิสระและสามารถทอดสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้งของหัวใจที่มีต่อลัลน์ออกมาได้บ้าง โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมารับรู้ก่อนเวลาอันควร
เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นทำให้เขาขยับตัวเพื่อหยิบมันออกมาจากกระเป๋ากางเกงและกดรับ ก่อนกรอกเสียงไปทันทีไม่รอฟังต้นสายเอ่ยทักมาก่อน
“มีอะไรไอ้โต้ง”
“เฮ้ย! จะกลับวันไหนว้า รายงานกลุ่มต้องส่งอาทิตย์หน้าแล้วนะ แล้วจะมีติวกันด้วย อาจารย์นิตเคี่ยวจะตายแกก็รู้” เสียงโต้งบ่นมาตามสายอย่างอ่อนใจ
“หลังยี่เป็งได้ไหมวะ”
“ทำไมต้องหลังยี่เป็ง หรือว่าแกจะรอลอยกระทงกับพี่ลัลน์ โธ่ไอ้มิน แกก็รู้อยู่แล้วว่าพี่ลัลน์ไม่ชอบลอยกระทง” โต้งบ่นมาตามสาย เขารู้ดีว่าในชีวิตของมินไม่มีอะไรสำคัญเกินกว่าพี่สาวนอกสายเลือด…พี่สาวที่มินไม่เคยคิดว่าเป็นพี่…
“เออน่า ข้าจะอีเมลรายงานส่วนของข้าไปให้แล้วกัน เดี๋ยวจะทำให้เสร็จคืนนี้แล้วรีบส่งไป ขอร้องนะไอ้โต้ง” น้ำเสียงที่ฉายแววไม่สบายใจชัดเจนของมินทำให้โต้งเริ่มรู้สึก
“มีอะไรหรือเปล่าวะมิน”
มินถอนหายใจแล้วเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ตายังคงมองไปยังห้องนอนของลัลน์…เงาของเธอที่เดินผ่านทำให้เขายิ้ม…แต่ก็อดเศร้าไม่ได้ เขาต้องมองห่างๆ เก็บกดความรู้สึกทุกอย่างไว้ในใจมานานแค่ไหนแล้ว…และต้องเก็บไว้ตลอดไปหรือเปล่า
“ที่บ้านมีแขกว่ะ ข้า…” มินอ้ำอึ้ง อยากบอกว่าเป็นแขกที่เขาไม่ชอบเพราะมาป้วนเปี้ยนใกล้คนที่เขารัก แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา แม้จะเป็นโต้ง…เพื่อนเพียงคนเดียวที่รู้ว่าเขารักลัลน์
“เกี่ยวกับพี่ลัลน์ไหมเนี่ย แขกผู้ชายเหรอ” โต้งเอ่ยเสียเอง อาการนิ่งเงียบของมินทำให้เขาถอนหายใจ “ไอ้มดแดงแฝงพวงมะม่วงเอ๊ย ไม่สิ อย่างแกมันต้องแฝงพวงส้ม เออๆ จะทำอะไรก็ตามใจ”
“ขอบใจ แล้วข้าจะรีบกลับไป ไม่ต้องห่วงนะ”
“เออๆ อย่าลืมก็แล้วกันว่าการเรียนสำคัญกับแกแค่ไหน ไอ้ที่แกหวังมาเป็นสิบปีน่ะมันเหลือแค่เอื้อมนะโว้ย” โต้งเตือน
“ข้ารู้น่า ขอบใจนะ”
“อ้อ อีกเรื่อง วันนี้ข้าเข้าไปใน ม. มา เจออาจารย์เอด้วย อาจารย์ถามหาแกนะมิน บ่นใหญ่ว่าวันนี้โทรเข้ามือถือไม่ได้เลย ไปมุดอยู่ตรงไหนมาวะ” สิ่งที่ได้รู้จากเพื่อนทำให้มินขยับตัว
“อาจารย์เอมีอะไรวะ วันนี้ข้าเข้าสวนทั้งวัน คลื่นมือถือคงมีๆ หายๆ น่ะ”
“ก็ไอ้งานประชุมวิชาการไง Abstract ที่ส่งไปมีแต่ของแกนะที่ผ่าน เวรจริงๆ ตาร้อนกันทั้งคณะเลยรู้ไหมไอ้มิน” คราวนี้มินกระตือรือร้นกับข่าวที่ได้ยิน งานประชุมวิชาการคราวนี้หินสุดๆ เพราะเป็นงานใหญ่ระดับนานาชาติ วันก่อนที่อาจารย์เอโทรหาเขาเพื่อซักถามรายละเอียดมินยังนึกหวั่นแอบเครียด แต่ตอนนี้เรียกได้ว่าทั้งดีใจและโล่งใจ
“จริงเหรอวะ”
“จริงสิ อาจารย์เอบอกว่ารีบทำ Manuscript ได้แล้ว เดี๋ยวจะไม่ทัน งานนี้แกต้องเป็นคนรันเอง Oral presentation นะโว้ย ดังนั้นรีบกลับมาได้แล้วรู้ไหม”
“ข้าไม่ลืมหรอกน่า แต่ขอเป็นหลังยี่เป็งนะ”
“เออๆ ตามใจ แต่ยังไงพรุ่งนี้โทรไปหาอาจารย์เอก่อนก็แล้วกัน” โต้งกำชับก่อนจะวางสายไป
มินวางโทรศัพท์บนโต๊ะใกล้ตัว ความดีใจปรากฏบนใบหน้าเป็นรอยยิ้มภาคภูมิ…ก้าวแรก…ในที่สุดผลงานวิจัยของเขาก็ผ่าน มีสิทธิ์เข้าไปนำเสนอท่ามกลางนักวิชาการและบุคคลมีชื่อเสียงระดับโลกจนได้ จากนี้ไปยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำต้องทุ่มเท แต่เขายินดี
ดวงตาของมินทอดมองไปยังบ้านใหญ่อย่างมีความหวัง ทุกย่างก้าวเขาพยายามสุดกำลังเพื่อคนที่เขารักจะได้ภาคภูมิใจและวางใจยอมฝากชีวิตไว้ในมือเขา…ความมั่นคงในอนาคตเพื่อเธอเท่านั้น
ไฟในห้องของลัลน์ดับแสง…ลัลน์เข้านอนแล้ว…
คราวนี้มินขยับตัวเข้าห้องบ้าง แต่ไม่ได้เข้านอน เขาเดินไปยังโต๊ะเขียนหนังสือ กดเปิดโคมไฟแล้วหยิบสมุดบันทึกที่พกติดตัวเสมอออกมา
ปากกาสีสวย…สีที่ลัลน์ชอบถูกหยิบมาจรดลงไป…ทุกอย่างรอบตัวของเขามีแต่สิ่งที่เกี่ยวกับลัลน์ ความเป็นเธอที่เขารักและเติบโตมาพร้อมกับมัน…
ใบหน้าของมินก้มลงต่ำ ดวงตามองตัวอักษรที่ถูกถ่ายทอดจากหัวใจผ่านปลายปากกา
เสียงเพลงแผ่วเบาช่วยปลอบประโลมหัวใจของคนที่เฝ้าเก็บงำความรู้สึกเอาไว้ให้ผ่อนคลาย มีแรงใจสู้ทนกับความต้องการที่อยากจะรั้งลัลน์มาโอบกอด แล้วบอกให้รู้ถึงความรักที่ก่อตัวมาเนิ่นนาน และตะโกนบอกใครว่าเขารักเธอ
…ไม่นาน…อีกไม่นานก็จะถึงวันที่เขาพร้อมจะบอกเธอถึงความรักที่มีในหัวใจ…ไม่นาน
อากาศร้อนจัดจนหลายคนต้องมองหาร่มหรือหมวกสำหรับบังแดด บ้างก็สวมแว่นกันแดดสีเข้ม แต่สำหรับหญิงสาวที่เดินหน้าใสพร้อมรอยยิ้มเสมอทำให้ธารณ์ยิ่งสนใจเธอ…ผู้หญิงที่เป็นธรรมชาติ บริสุทธิ์สดใสเช่นเดียวกับสภาพแวดล้อมที่เธอเติบโตมา…
“น้ำเย็นๆ ไหมคะ หรือว่าจะไปต่อเลย” ลัลน์หันมาถามชาวคณะที่มาพร้อมกันเมื่อทุกคนเดินมายังจุดเริ่มต้นของการเดินเท้าไปยังหมู่บ้านยะผ่า ข้างกายมีร่างสูงของมินที่ยังคงเงียบขรึมคอยเดินเคียงไม่ห่างไปไหน
“ยังไม่หิวเท่าไรหนูลัลน์ ไปกันก่อนก็ได้ แล้วเดี๋ยวเราค่อยกลับมานั่งพักดื่มน้ำเย็นๆ กันตอนขากลับ หรือคนอื่นว่ายังไง” นภางค์เอ่ยชวนเพื่อนๆ ร่วมคณะหลังจากหันไปขอความเห็นจากทุกคน
เด็กชาวเขาสี่ห้าคนที่ยืนอยู่ในละแวกนั้นต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยท่อนไม้ยาวขนาดเหมาะมือพร้อมรอยยิ้ม ใบหน้ามอมแต่ดวงตาใสกระจ่างของเด็กๆ ดูท่าจะเป็นด่านแรกในการต้อนรับนักเดินทางของการท่องเที่ยวที่หมู่บ้านนี้
“รับไว้เถอะค่ะพี่ธารณ์ เผื่อจะช่วยไล่แมลงหรือค้ำเวลาเดิน แล้วเดี๋ยวตอนกลับเราค่อยเอามาคืนเด็กๆ ก็ได้ค่ะ” ลัลน์บอกในขณะที่ตัวเองก็ยื่นมือไปรับพร้อมกับบอกขอบใจเด็กๆ
เส้นทางเดินไปสู่หมู่บ้านชาวเขาเป็นเส้นทางธรรมชาติที่ได้รับการพัฒนาให้พร้อมสำหรับนักท่องเที่ยวผู้มาเยือน โดยมุ่งให้กลมกลืนกับป่าและกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติน้อยที่สุด มีราวให้จับในบางช่วงกันลื่นล้ม เป็นทางเดินที่ผ่านต้นไม้น้อยใหญ่ร่มรื่นและลำห้วยเล็กๆ มีเสียงทิวไม้ลู่ตามลมจนใบกระทบกันเคล้ากับเสียงเล็กๆ ของจิ้งหรีดและนกที่โผจับไปมาอยู่บนยอดไม้แว่วให้ได้ยินเป็นระยะ ให้ความรู้สึกสดชื่นเป็นธรรมชาติของป่าที่อุดมสมบูรณ์
“ระวัง”
มินส่งมือให้ลัลน์ยามที่ต้องก้าวขายาวๆ ผ่านก้อนหินใหญ่ในบางจังหวะ
“ขอบใจจ้ะ” ลัลน์ตอบแล้วเงยหน้าไปส่งยิ้ม แต่แล้วก็เผลอขมวดคิ้ว “เมื่อคืนนอนกี่โมง”
สีหน้าของมินแม้ดูเป็นปกติ แต่ลัลน์รู้สึกว่าตาของเขายังดูโรยๆ เหมือนคนพักผ่อนน้อย
“ไม่ดึกหรอกน่า” มินตอบน้ำเสียงสบายๆ
“ไม่ดึกแต่ว่าเช้าน่ะสิ ทำอะไรนักหนานะมิน อยากกลับเข้าเมืองก่อนไหม ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนพี่ก็ได้นะ จะได้กลับไปตั้งใจเรียนเต็มที่” ลัลน์ถามด้วยความเป็นห่วง แล้วก็เห็นว่าชายหนุ่มชักสีหน้าทันตา
มินเดินห่างไม่ยอมพูดอะไร พยายามข่มความไม่พอใจที่พุ่งขึ้นมาในอก…หมู่นี้เขานอนดึกเพราะวุ่นกับข้อมูลวิจัยและเรื่องโปรเจ็กต์เรียนก็จริง แต่เพราะทำเพื่อลัลน์เท่านั้น การที่เธอพูดเหมือนไล่เขาไปไกลๆ ในเวลาที่มีผู้ชายแปลกหน้าเข้ามาใกล้ชิดทำให้มินน้อยใจพานจะกลายเป็นโกรธ…โกรธทั้งๆ ที่รู้ว่าลัลน์ไม่ตั้งใจและคงเป็นห่วงเขามากกว่า
โมโหอีกแล้ว เป็นอะไรนะ หมู่นี้โกรธง่ายเสียจริง ท่าทางของมินทำให้ลัลน์ไม่เข้าใจ เธอมองตามด้วยแววตาสงสัยแล้วก็อดถอนใจไม่ได้
“อากาศสดชื่นนะ เสียอย่างเดียว พี่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเท่าไรเลยชักเริ่มหอบ” นภางค์เปรย เหงื่อที่ผุดพราวบนหน้าผากทำให้ลัลน์หันไปหา
“ไหวไหมคะพี่นาย”
“โอ๊ย แค่นี้เอง หนูลัลน์”
“เอาคุณนายมาออกเหงื่อบ้างน่ะดีแล้วหนูลัลน์ ออกกำลังกายเสียบ้าง ไม่ใช่เอาแต่เข้าครัวทำกับแกล้มเหล้าให้สามี” ปณิตาหรือพี่หญิง ภรรยาณัฐวัฒน์แซวเพื่อนที่หันไปค้อน
“ย่ะ ทำว่าเพื่อนนะ หล่อนก็ใช่ย่อยหรอก พี่วัฒน์กับพี่นพน่ะพอกันล่ะน่า” นภางค์บอก แล้วก็ได้เสียงหัวเราะกลับมาจากทุกคน
นพวินทร์กับณัฐวัฒน์นั้นแม้จะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ก็รู้กันดีว่าสนิทสนมกันพอดู กิจวัตรประจำวันคือการตั้งก๊วนสังสรรค์ทุกมื้อเย็นที่มักสลับสับเปลี่ยนไปตามบ้านของกันและกัน รวมถึงบ้านของคุณภวิชด้วย จึงเป็นหน้าที่กลายๆ ให้แม่บ้านของแต่ละคนได้ตระเตรียมอาหารให้ทั้งก๊วนเสมอ แม้ปากจะค่อนขอดบรรดาสามี แต่ลัลน์รู้ดีว่าการได้ดูแลพวกเขาเป็นความสุขของปณิตาและนภางค์เช่นกัน
“ก็ถ้าไม่ทำจะให้ออกไปหากินที่อื่นเหรอ ของของเรานี่นา ก็ต้องรักต้องดูแลสิ จริงไหมล่ะ” ปณิตาพูดพร้อมยิ้มลอยหน้าให้ ดูเหมือนคำพังเพยที่ว่า ‘เสียทองเท่าหัวไม่ยอมเสียผัวให้ใคร’ นั้น ตัวเธอก็ยึดไว้มั่นเช่นกัน
การเดินเท้าที่ขลุกขลักไปบ้างสนุกสนานด้วยเสียงหยอกเย้าพูดคุย จนกระทั่งถึงปลายทางที่ต้องการมาเยือน ทางเดินเข้าสู่หมู่บ้านสองข้างทางเป็นบ้านที่อยู่อาศัยของเหล่าชาวเขา ไม่ว่าจะเป็นปะด่องหรือกะเหรี่ยงคอยาว อาข่าและลาหู่หรือมูเซอ
หลายบ้านมีหญิงสาวไม่ก็ผู้เฒ่าผู้แก่กำลังถักทอผ้าด้วยวิธีโบราณที่สืบต่อกันมาตรงหน้าชาน บ้านเรือนและการใช้ชีวิตรวมทั้งเครื่องแต่งกายที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ตามชาติพันธุ์ ทำให้ธารณ์อดไม่ได้ที่จะยกกล้องบันทึกภาพแม่เฒ่าที่มีใบหูค่อนข้างยาวซึ่งสวมตุ้มหูขนาดใหญ่ไว้และกำลังทอผ้า
“เค้าตั้งรกรากกันอยู่ที่นี่มานานแล้วเหรอ หนูลัลน์” ธารณ์ถามหญิงสาวใกล้ตัว ตามองหญิงสาวชาวเขาที่สวมห่วงเงินหลายห่วงรอบคอจนลำคอสูงระหง
“จริงๆ แล้วเค้าไม่ได้อยู่ที่นี่กันมาตั้งแต่ดั้งเดิมหรอกค่ะ ที่นี่จัดทำขึ้นโดยกลุ่มเอกชน ชักชวนให้ชาวเขาเหล่านี้มาอาศัยอยู่ เพื่อเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสวิถีชีวิตของพวกเขา แล้วก็รับเงินเดือนและอาหารจากกลุ่มเอกชนเป็นการแลกเปลี่ยน ส่วนใหญ่ก็พากันมาอยู่ทั้งครัวเรือนเลยค่ะ” การบอกเล่าของลัลน์ทำให้ธารณ์อดนึกถึงการชำระเงินค่าเข้าชมตั้งแต่แรกที่มาถึง
“อืม พี่เคยได้ยินเรื่องคณะปกป้องสิทธิมนุษยชนกับเจ้าของหมู่บ้านชาวเขา”
“มันเป็นเรื่องพูดยากนะคะ แต่ละคนต่างมีเหตุผลเป็นของตัวเอง อย่างชาวเขาเหล่านี้ว่าไปนี่ก็คืออาชีพที่จะทำให้พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องเบียดเบียนใคร และยังสามารถคงวิถีชีวิตของบรรพบุรุษเอาไว้ได้ด้วย วิธีคิดของนักอนุรักษ์ลัลน์ก็ไม่ได้คิดว่าผิดเหมือนกัน ความเท่าเทียมของมนุษย์มีใครบ้างไม่อยากได้ มันเป็นเรื่องของมุมมองและความพอใจในชีวิตน่ะค่ะ แต่สำหรับลัลน์…ลัลน์มองว่าบทบาทของเราอยู่ตรงไหน วางมันให้ถูก ทำมันให้ดี อย่าทำร้ายใครก็พอ”
วิธีคิดของลัลน์ทำให้ธารณ์ยิ่งสนใจเธอมากขึ้น หญิงสาวที่อยู่ในดินแดนที่เรียกว่าห่างไกลเมืองหลวงแต่มีมุมมองของความคิดอย่างเข้าใจ เรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ไม่ตามกระแส ในขณะเดียวกันก็ไม่สวนทาง แต่ดำเนินชีวิตเคียงข้างการปรับเปลี่ยนของโลกโดยที่ยังคงความเป็นตัวของตัวเองอย่างเชื่อมั่น
เสียงดนตรีแบบพื้นเมืองดังขึ้นจากลานดินกว้างที่อยู่ไม่ห่างนัก เด็กชาวเขาตัวเล็กๆ แก้มแดงหลายคนหันไปจูงไม้จูงมือกันออกวิ่งในขณะที่นักท่องเที่ยวบางคนเดินตาม ที่ปลายสายตา การเต้นรำของเหล่าชาวเขากำลังเริ่มต้น นภางค์หันมากระตุกมือของลัลน์และชักชวนให้ตามกันไปชม แล้วทั้งหมดก็สาวเท้าไวขึ้น
มินกลับมาเดินใกล้ลัลน์ในที่สุด แม้ยังคงไม่ค่อยพูดค่อยจาเท่าไรแต่ก็เดินตามไม่ยอมห่างแทบจะทุกย่างก้าว พอไปถึงลานแสดงก็เลือกที่จะสาวเท้ามายืนเคียงด้านหนึ่ง จากการยืนของเขาตามทิศทางของแสง ทำให้เกิดร่มเงาทอดมายังคนข้างกายที่ตัวเล็กกว่า
“ขอบใจนะมิน” ลัลน์หันไปบอกน้องชายเพราะรู้ดีถึงความมีน้ำใจของเขา
“ขึ้นไปเลี้ยงน้ำมินด้วยแล้วกันนะ” มินหันมาบอกพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก น้ำเสียงที่บอกว่าตอนนี้คนพูดกลับมาอารมณ์ดีเหมือนเคยทำให้ลัลน์ยิ้มรับคำท่าทางสดใส
“จ้ะ”
พอได้มายืนข้างกันใกล้ๆ แบบนี้เธอก็อดเทียบไม่ได้…นี่เธอกลายเป็นคนตัวเล็กที่สุดในบ้านแล้วใช่ไหมเนี่ย…
คณะทัวร์ทั้งหมดเดินทางกลับจากหมู่บ้านยะผ่าอย่างสนุกสนาน เก็บความประทับใจในวิถีชีวิตของชนกลุ่มน้อยและรอยยิ้มที่ได้รับจากเขาเหล่านั้นเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ แม้ว่าสำหรับหลายคนจะไม่ใช่การมาเยือนครั้งแรกก็ตาม
“วันนี้เลยดึงหนูลัลน์กับมินไว้ทั้งวันเลย เอาอย่างนี้นะ เดี๋ยวหนูลัลน์ไม่ต้องไปส่งธารณ์ที่โรงแรมหรอก ให้ไปกับพี่ดีกว่าเพราะว่าจะชวนไปหาพี่นพสักหน่อยด้วย” นภางค์ที่นั่งพักบนศาลาปากทางเข้าหมู่บ้านยะผ่าบอก มือก็ยกหมวกปีกกว้างพัดไปมาให้ความเย็น
“แหม อย่าพูดเหมือนกับว่ากวนลัลน์กับมินสิคะ จริงๆ แล้วพี่ธารณ์น่ะมาเพราะธุระของบ้านลัลน์ด้วยเหมือนกันน้า”
“พี่รู้หรอกน่า แต่ก็ขอบใจหนูลัลน์อยู่ดีที่มีน้ำใจให้พวกเรา เสียเวลาทำงานมาเที่ยวด้วยกันแบบนี้”
“ดีออกค่ะ เที่ยวกันหลายๆ คนสนุกดีออก” ลัลน์บอกพร้อมกับยิ้ม เสียงฝีเท้าที่จำได้ขึ้นใจและรู้โดยไม่ต้องมีใครบอกทำให้เธอหันไปโดยที่รอยยิ้มยังติดแก้ม รับถุงบรรจุขวดน้ำเย็นจัดจากมินมาส่งต่อไปยังพี่ๆ ทั้งหมดทันที
“ขอบใจจ้ะ อ้าว แล้วของหนูลัลน์ล่ะ เอาขวดนี้ไปนะ” นภางค์รีบส่งขวดน้ำใบหนึ่งมาให้เมื่อเห็นว่าจำนวนในถุงนั้นพอดีสำหรับพวกพี่ๆ เท่านั้นเอง
“ไม่เป็นไรค่ะ ของลัลน์อยู่ที่มิน” ลัลน์ตอบพร้อมกับยิ้ม
มินจัดการเปิดขวดน้ำเย็น เสียบหลอดส่งมาให้ลัลน์ดูดหนึ่งทีแล้วรับกลับไปดูดต่อ ความคุ้นชินที่จะทำอะไรด้วยกันแบ่งปันกันเป็นเรื่องปกติของมินและลัลน์
มันเป็นภาพที่ดูธรรมดาๆ สำหรับคนที่คุ้นเคย หากแต่ไม่ธรรมดาสำหรับธารณ์ เขาเดินกลับมาจากร้านขายน้ำอย่างช้าๆ ดวงตาคอยมองอย่างสังเกตโดยไม่พูดอะไร
“ถ้าพี่นายจะแยกกลับแล้ว งั้นไว้เราเจอกันอีกทีตอนหัวค่ำเลยไหมคะ ที่ไหนดีคะ” ลัลน์ถามต่อ เพราะในตอนค่ำนั้นทั้งหมดจะไปลอยกระทงพร้อมกัน
“ไปเจอกันที่บ้านพี่ก่อนดีไหม ใกล้สะพานท่าตอนที่สุดนี่นา แล้วเราค่อยไปพร้อมกัน” นภางค์เสนอ ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย
“ว่าไงคะคุณหญิง เข้าห้องน้ำหรือยัง จะได้ไปกันเสียที” นภางค์หันไปเย้าเพื่อน
“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณนายขา แหม กลุ่มเรานี่ดีจังนะ มีทั้งคุณหญิงคุณนาย” ปณิตาแซวกลับมา แล้วทุกคนก็ได้หัวเราะกันสนุกสนาน ก่อนชวนกันไปขึ้นรถ แยกย้ายกันไปเพื่อจะได้มาพบกันใหม่อีกครั้งในตอนหัวค่ำ
แสงอาทิตย์โพล้เพล้เพราะใกล้ค่ำเป็นสัญญาณให้หลายคนตื่นตัว บริเวณที่คึกคักสำหรับช่วงเวลาที่ท้องน้ำเป็นตัวเอกของประเพณียี่เป็งไม่พ้นว่าจะเป็นสะพานท่าตอน ผู้คนมากมายพากันมุ่งหน้าไปที่นั่นเพื่อลอยกระทงตามประเพณี เช่นเดียวกับคุณภวิช ลัลน์ และมิน
“จะไปแน่เหรอลัลน์ ไม่ชอบงานลอยกระทงนี่นา” มินถามด้วยความเป็นห่วงก่อนจะออกจากบ้าน เขารู้ดีว่าเธอไม่ชอบงานลอยกระทงเท่าไรนัก เพราะมีประสบการณ์ไม่ค่อยดีในวัยเด็กที่ถูกโยนประทัดโดนกลางหลังจนเสื้อกันหนาวไหม้ทะลุ แม้ไม่มีบาดแผลใดๆ แต่ก็ทำให้ลัลน์กลายเป็นคนผวาเสียงประทัดอยู่นานพอดู แม้กระทั่งตอนนี้ที่อาจไม่ถึงกับร้องกรี๊ด แต่ก็ยังคงไม่ชอบเหมือนเดิม
“ไม่เป็นไรหรอกมั้ง พี่โตแล้วน่า อีกอย่าง ไม่ได้ลอยกระทงนานแล้วด้วย” ลัลน์มองกระทงใบตองในมืออย่างพิจารณา แล้วจัดการปักธูปลงไปก่อนจะส่งให้มิน “ของมิน แล้วก็นี่ของพ่อค่ะ”
คุณภวิชที่ค่อยๆ เดินตามมารับกระทงจากมือลูกสาว
“พ่อนายไปไหวแน่นะครับ ยังเจ็บขาหรือเปล่า” คราวนี้มินหันไปหาผู้เป็นลุง
“โธ่ ยังไหวน่ามิน ไม่ต้องห่วงหรอก ลุงยังฟิตปั๋งน่า”
คุณภวิชยกแขนเบ่งกล้ามท่าทางขึงขังโชว์หลานและลูกสาว อาการเจ็บขาเพราะล้มของท่านนั้นดีขึ้นมากแล้ว แม้จะยังมีขัดๆ อยู่บ้างแต่ก็เรียกว่าพอจะเดินไกลๆ ได้ไม่ต้องห่วง เพียงแต่อาจจะช้าบ้างเท่านั้น
“งั้นไปกันเลยไหมคะ เดี๋ยวพวกพี่นายจะคอย” ลัลน์บอกแล้วจึงขยับเข้าไปประคองบิดาให้ออกเดินไปขึ้นรถ โดยมีมินตามมาเป็นสารถีเช่นเคย
แม้จะออกเดินทางมาเป็นหมู่คณะ แต่ในที่สุดลัลน์ก็กลายเป็นตัวคนเดียวจนได้ ผู้คนมากมายที่มาลอยกระทงริมสองฝั่งแม่น้ำกกทำให้ลัลน์พลัดหลงหลังจากที่เดินตามกันมาได้พักใหญ่ เสียงประทัดที่เด็กๆ จุดโยนสนุกสนานทำให้เธอต้องยกมือปิดหูแล้วพยายามเดินเลี่ยง
“แย่จัง หลงจนได้” ลัลน์บ่นกับตัวเอง เธอเปิดกระเป๋าใบเล็กที่สะพายคล้องคอมองหาโทรศัพท์มือถือแล้วอดไม่ได้ที่จะสบถ…สงสัยลืมไว้บนรถอีกแล้ว…
ลัลน์ถอนหายใจเบาๆ กับตัวเองพลางกวาดตามองไปรอบๆ อย่างชั่งใจว่าจะเอายังไงต่อไปดี…กลับไปคอยทุกคนที่รถ หรือว่าไปลอยกระทงเองก่อนดีนะ…
เสียงประทัดยังคงดังไม่หยุด ทำให้ลัลน์ปรายตามองไปข้างหน้าที่ริมฝั่งน้ำซึ่งผู้คนเบียดเสียดแล้วถอนหายใจด้วยความเสียดาย…เอาไว้ลอยปีหน้าแล้วกัน…
เธอหมุนตัวตั้งใจจะกลับไปทางเดิม ตั้งแต่เล็กๆ ลัลน์เป็นคนที่หลงทางง่ายและตามหาใครไม่เก่งเลย มันทำให้ลัลน์ไม่ชอบที่จะต้องไปอยู่ท่ามกลางผู้คนหรือสถานที่ไม่คุ้นเคย
“ลัลน์” เสียงเรียกที่จำได้ขึ้นใจและมือที่เอื้อมมายึดข้อมือไว้ทำให้ลัลน์ยิ้มกว้างหันไปหา…และทุกครั้งที่หลงทางมินจะเป็นคนตามหาเธอเจอ…
“มิน ดีจัง กำลังจะไปรอที่รถเชียว”
“หลงอยู่เรื่อยเลยนะ โทรศัพท์มือถือก็ชอบลืม ไม่ค่อยพกติดมืออีกเหมือนกัน มันน่าจะเรียกว่ามือวางจริงๆ เลย ว่าแต่อยากไปเดินเที่ยวก่อนไหมล่ะ เดี๋ยวมินโทรบอกพ่อนายก่อนว่าเจอลัลน์แล้ว จากนั้นเราก็ไปเที่ยวต่อได้”
ลัลน์ก้มลงมองกระทงใบตองในมือเพื่อประกอบการตัดสินใจโดยที่ยังไม่ให้คำตอบใดๆ มินมองตามแล้วยิ้ม
“ไปนะลัลน์ ลอยกระทงก่อนแป๊บเดียวเอง กลัวประทัดใช่ไหม มินอยู่นี่ไม่ต้องกลัวหรอกน่า มินไม่ทิ้งลัลน์ไปไหนหรอก จะอยู่กับลัลน์เสมอ” น้ำเสียงของมินและท่าทางที่เป็นผู้ใหญ่พร้อมปกป้องใครสักคนของเขาทำให้เธอยิ้มด้วยความอุ่นใจ…อดยอมรับไม่ได้ว่าเมื่อมีเขาอยู่ข้างตัวแบบนี้เธอก็รู้สึกมั่นใจ ไม่กลัวอะไรเสมอจริงๆ…
มือที่ว่างเปล่าของมินทำให้ลัลน์นึกสงสัยว่ากระทงของเขาที่เธอเตรียมให้หายไปไหนกัน
“กระทงของมินล่ะ”
“ให้พี่นายไปแล้ว เห็นบ่นว่ากระทงของแกโดนเจ้าตาต้าแทะเละ มินเลยยกให้ ไม่โกรธนะ” มินถามด้วยสีหน้าไม่สบายใจ กลัวลัลน์จะโกรธที่เขายกกระทงที่เธอเตรียมให้ไปกับคนอื่น
“อ๋อ อืม ไม่เป็นไรหรอก งั้นเราลอยด้วยกันก็ได้เนาะ ว่าแต่มินโทรบอกพ่อทีสิ” ลัลน์บอกแล้วยืนคอยให้มินโทรศัพท์ เสียงประทัดที่ยังดังต่อเนื่องทำให้บางคนต้องเดินเลี่ยงมาชนลัลน์จนเซ
“ลัลน์” มินผวาเข้ามาหาเมื่อเห็นว่าลัลน์กำลังจะกลืนหายไปกับกลุ่มคนอีกครั้ง
“คนเยอะจังเนาะมิน บ้านเราคนเยอะขนาดนี้เลยหรือเนี่ย พี่เพิ่งรู้” ลัลน์บอกในขณะที่มินส่ายหน้าอย่างไม่ชอบใจ แล้วเขาก็จูงเธอเดินไปจนถึงผู้ชายคนหนึ่งที่ขายลูกโป่งข้างทาง จัดการซื้อลูกโป่งสีแดงลูกใหญ่มาสองใบ เขาส่งให้ลัลน์ถือเชือกเอาไว้ใบหนึ่ง ส่วนอีกใบหนึ่งก็ผูกเข้ากับข้อมือของเธอ
“อื้อ…อะไรน่ะมิน”
“ผูกไว้จะได้ไม่หาย หรือหายอีกมินจะได้ตามลัลน์เจอไวๆ ไงล่ะ แล้วผูกลูกที่ลัลน์ถือให้มินด้วย เผื่อคลาดกันอีกลัลน์จะได้รู้ว่ามินอยู่ตรงไหน”
ลัลน์ยิ้มให้กับไอเดียของเขาที่ทำราวกับเธอเป็นเด็กเล็กๆ แต่ก็จัดการผูกเชือกเข้าที่มือของมินแต่โดยดี ปากก็อดพูดไม่ได้
“พี่ต้องเขียนชื่อนามสกุลแล้วก็ที่อยู่ใส่กระเป๋าเสื้อไว้ด้วยไหม มิน”
“เอาไหมล่ะ จะได้รู้ว่านอกจากชอบหลงทางแล้วยังหลงลืมด้วย” เสียงมินที่เย้ามาทำให้ลัลน์หัวเราะ แต่แล้วมือใหญ่ของเขาก็ถูกยื่นมาให้ “ขอมือครับ”
“ทำไมล่ะ” ลัลน์ถามอย่างไม่เข้าใจ
“ส่งมาเถอะน่า เร็วสิลัลน์ จะได้ไปลอยกระทงกัน” มินเร่ง ทำให้ลัลน์ยื่นมือไปหาอย่างงงๆ “จับไว้ด้วยไง จะได้ไม่หายแน่ๆ อย่าปล่อยมือล่ะ” ประโยคนี้ของมินทำให้ลัลน์ยิ้มอีกจนได้
“ค่า ท่านรองผู้จัดการ”
ลูกโป่งสีสดสองลูกที่พอมาอยู่ใกล้กัน บางจังหวะของการขยับก็ทำให้เชือกที่ผูกรั้งไม่ให้ลูกโป่งหลุดลอยประสานเกลียวราวกับเป็นเส้นเดียว เชื่อมคนสองคนไว้ด้วยกันท่ามกลางผู้คนมากมาย
ลัลน์ทอดสายตามองกระทงของเธอที่กำลังลอยไปตามน้ำ มือยังคงวักน้ำส่งให้ลอยไปยังกลางลำน้ำให้ได้มากที่สุด
“อธิษฐานอะไรก่อนลอยกระทงน่ะมิน”
กระทงที่มีอยู่เพียงใบเดียวทำให้เธอและมินต้องลอยร่วมกัน โดยที่แต่ละคนผลัดกันยกชิดหน้าผากอธิษฐานคนละครั้ง ใบหน้าจริงจังยามอธิษฐานของเขาทำให้เธอนึกอยากรู้
“ตอนนี้อย่ารู้เลย ไว้สมหวังแล้วจะบอก” มินบอกน้ำเสียงเรียบนิ่งขณะใช้มือช่วยวักน้ำส่งกระทงเช่นกัน
“แหม หมู่นี้มินชักจะมีความลับมากขึ้นทุกทีเลยนะ ก็ได้ ไม่ถามก็ได้ แต่สมหวังแล้วอย่าลืมบอกล่ะ สัญญาแล้วนะ” ลัลน์ไม่วายย้ำ
“ครับ ขอให้มีวันนั้นก่อนเถอะ” คราวนี้เสียงของมินแผ่วเบาราวกับบอกตัวเอง
ผู้คนที่ทยอยเดินเบียดลงมาริมน้ำทำให้มินตัดสินใจชวนลัลน์ขยับห่างเพื่อเปิดโอกาสให้คนอื่นๆ ได้ลอยกระทงบ้าง ทั้งคู่เดินเลี่ยง พยายามหลบการเบียดเสียดจนกระทั่งได้ไปยืนหายใจทั่วท้องเมื่อเดินห่างจากริมน้ำได้พอสมควร
“โห คนเยอะจริงๆ มาจากไหนกันนักนะ” ลัลน์บ่นอู้
“ไหวไหม” น้ำเสียงห่วงใยจากมินทำให้ลัลน์หันไปส่งยิ้ม
“สบายน่า ว่าแต่เราจะเอายังไงต่อดี มินโทรบอกพ่อว่าเราจะกลับไปคอยที่รถแล้วดีไหม จะได้ไปเจอกันที่รถเลย”
“มินหิว หาอะไรกินก่อนดีกว่า” น้ำเสียงและท่าทางของเขาทำให้ลัลน์คิดตาม อาหารและขนมที่เหล่าพ่อค้าแม่ค้าพากันนำมาขายราวกับออกร้านก็ดูน่าสนใจดีเสียด้วย
“อือ ก็ดี งั้นกินอะไรดีล่ะมิน ก๋วยเตี๋ยวผัดดีกว่า” มือบางเอื้อมไปจับแขนมินเพื่อดึงไปร้านที่ตาเธอมองอยู่ก่อนแล้ว
“หนูลัลน์ อยู่นี่เอง ลอยกระทงหรือยังน่ะ” เสียงเรียกที่คุ้นหูทำให้ลัลน์ชะงักและหันไปมอง แล้วก็ได้เห็นพ่อของเธอ นพวินทร์ นภางค์ พร้อมทั้งธารณ์เดินมาหา
“เรียบร้อยแล้วค่ะ แหม ดีจริง เจอกันจนได้ พี่ๆ ล่ะคะ ลอยกระทงกันหรือยัง” ลัลน์ปล่อยแขนของมินเพื่อก้าวไปสมทบด้วยความดีใจ ไม่ทันเห็นสีหน้าและแววตาที่เปลี่ยนไปของมิน
“เรียบร้อยแล้วเหมือนกัน หลงเป็นเด็กๆ เลยนะเรา แล้วนี่อะไรกัน ทั้งมินทั้งหนูลัลน์ ผูกลูกโป่งคู่เชียว” นพวินทร์แหย่
“ไอเดียมินค่ะ เผื่อพลัดกันอีกจะได้มองเห็นง่ายๆ ลัลน์น่ะจอมหลงทางเสมอล่ะค่ะ นี่ถ้าไม่ได้มินก็อาจกลับไปคอยที่รถแล้ว อดลอยกระทงแน่ปีนี้” ลัลน์ไล่สายตาไปมองลูกโป่งสีสดแล้วหัวเราะเบาๆ
“นั่นสิ มินหาหนูลัลน์เจอเสมอมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ผมเลยวางใจถ้ามีมินอยู่ใกล้ๆ” คุณภวิชพูดถึงหลานชายอย่างภูมิใจ ทำให้มินที่เดินตามมายิ้มที่มุมปาก
“ผมยินดีดูแลลัลน์เสมอครับ พ่อนายอย่าห่วงเลย” น้ำเสียงหนักแน่นของมินทำให้ผู้ใหญ่ถึงกับหัวเราะ คุณภวิชตบไหล่หลานชายหนักๆ แสดงความเชื่อมั่นในตัวเขา
“พี่มิน” เสียงหญิงสาวร้องเรียก ก่อนจะปรากฏตัวเกาะแขนมินและยกมือไหว้ผู้ใหญ่ท่านอื่นๆ
“อ้าว ต่าย มาลอยกระทงเหมือนกันหรือเรา” ณัฐวัฒน์ถาม
“ค่ะ พี่มินมาลอยกระทงเหรอ ไหนบอกว่าไม่มาไง” ท่าทางของต่ายทำให้ลัลน์ขมวดคิ้วมอง
“พี่มากับพ่อนาย” มินบอกขณะพยายามแกะมือของต่ายออกอย่างสุภาพ
“เสร็จหรือยังคะ ไปลอยกระทงกับต่ายนะพี่มิน นะ” น้ำเสียงของต่ายอ่อนหวาน แต่มันทำให้ลัลน์รู้สึกไม่ชอบใจนัก…มินมากับผู้ใหญ่ จะทิ้งไปได้ยังไง ทำไมต่ายถึงไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควรบ้างนะ…
“เอ่อ…” มินอึกอัก
“ไปก็ได้นะมิน ไม่ต้องห่วงพวกลุงหรอก นี่พวกเราคนแก่ๆ ไปหาข้าวต้มกินกันดีกว่าไหม แล้วค่อยกลับกัน ให้เด็กๆ ได้มีเวลาของเขาบ้าง” คุณภวิชหันไปหาพรรคพวก
“นั่นสิ น่าสนใจนะ” นพวินทร์เอ่ยรับเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ทั้งหมดจึงพากันเดินไปยังร้านอาหารเจ้าอร่อยที่อยู่ไม่ไกลนัก ลัลน์นั้นยังไม่ออกเดินตามผู้ใหญ่ ยืนละล้าละลังมองมิน คอยว่าเขาจะเอายังไง จะไปกับเธอหรือว่าไปกับต่ายแน่โดยมีธารณ์ยืนคอยเช่นกัน
“อ้าว หนูลัลน์มาลอยกระทงหรือเจ้า” เสียงเรียกคุ้นหูทำให้ลัลน์หันไปมอง หญิงสาวอายุไม่ห่างจากเธอมากนักที่อุ้มเด็กหญิงตัวเล็กไว้กับอกทำให้เธอส่งยิ้มแล้วขยับไปหา
“พี่หล้า พายายหนูมาลอยกระทงเหมือนกันหรือเจ้า” ลัลน์ทัก
“โอ๊ย ว่าจะกลับแล้วหนูลัลน์ บ่ไหว ยายหนูงอแงเหลือเกิน ว่าแต่มากับใครเจ้า คนนี้ใช่ก่ที่เค้าบอกกันว่าเป็นแฟนหนูลัลน์” แม้จะบ่นลูกสาวแต่หล้าก็ไม่วายถามถึงคนที่เดินตามลัลน์มา
“พี่ธารณ์เป็นนักข่าวเจ้า มาทำข่าวเรื่องสวนส้ม บ่ใช่แฟนลัลน์หรอก” แม้ไม่สบายใจนักแต่ลัลน์ก็พยายามข่มความรู้สึกให้เป็นปกติ บอกอย่างใจเย็น
เธอทำใจไว้บ้างแล้วว่าจะต้องเจอกับคำถามแบบไหนจากชาวบ้าน แต่พอเบี่ยงหน้าไปมองธารณ์ที่ยืนห่างออกไปไม่ไกลนักก็อดหนักใจไม่ได้ สีหน้าและแววตาที่เป็นปกติและระยะห่างทำให้เธอพยายามมองในทางที่ดี…เขาน่าจะไม่ได้ยินหรอก…
“แหม ได้ยินว่าเป็นน้องท่านนพบ่ใช่เหรอหนูลัลน์ บ่ต้องเขินหรอก หลังงานแต่งอ้ายเมธิ เห็นทีสวนส้มสารัณจะมีข่าวดีของลูกสาวเจ้าของสวนใช่ก่” หล้ายังไม่หยุดความเข้าใจผิดของตัวเองง่ายๆ ทำให้ลัลน์นึกในใจว่าไม่น่าเข้ามาคุยด้วยเลย
ลูกสาวตัวน้อยของหล้าที่ยังร้องไห้กระซิกทำให้เธอเลือกที่จะหันไปสนใจมากกว่าผู้เป็นแม่ ไหนจะผู้คนที่เบียดเสียด อีกทั้งเสียงประทัดที่ยังกึกก้องเป็นพักๆ น่าจะทำให้หนูน้อยตื่นกลัว
“โอ๋ ยายหนู ไปกินขนมกับพี่ลัลน์เอาก่ อืม…นี่พี่หล้ายังบ่ได้ลอยกระทงใช่ก่เจ้า” กระทงที่ยังอยู่ในถุงคล้องติดข้อมือข้างหนึ่งของหล้าทำให้ลัลน์ถาม
“ยังเลย ทีแรกยายหนูร้องโวยวายว่าจะมาลอยกระทง พี่เลยต้องพามา แต่ยังบ่ทันถึงริมน้ำก่ร้องจะกลับแล้ว”
ท่าทางสะอึกสะอื้นของเด็กน้อยทำให้ลัลน์อดไม่ได้ที่จะหันไปสบตายิ้มปลอบ ดวงตาที่ยังคงพราวหยาดน้ำไหวระริกของเด็กน้อยมองเลยใบหน้าของลัลน์ไปเหนือศีรษะ ลัลน์มองตามแล้วก็รู้ว่าลูกโป่งที่ผูกติดข้อมือตัวเองไว้อาจจะช่วยดึงดูดความสนใจของแม่หนูน้อยจากสิ่งที่กำลังตื่นกลัวได้
“ลูกโป่ง…ยายหนูชอบก่ พี่ลัลน์ให้เอาก่” ลัลน์ถามแล้วเด็กน้อยก็พยักหน้าเป็นคำตอบ เธอจึงยกข้อมือมาตั้งใจจะแกะเชือกที่ผูกข้อมือออก แต่การใช้มือข้างเดียวแก้เชือกเส้นเล็กดูจะไม่ง่ายนัก
“พี่ช่วยนะ” ธารณ์ที่ขยับมาใกล้เสนอตัว ท่าทางสุภาพมีน้ำใจของเขาทำให้ลัลน์ยื่นมือไปหาแต่โดยดี
มือใหญ่และใบหน้าคมสันที่ก้มลงมองและง่วนอยู่กับการคลายปมเชือกผูกลูกโป่งให้อย่างตั้งใจและอ่อนโยนนั้นทำให้หล้ามองอย่างล้อเลียน ลัลน์ได้แต่ส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร ตรงข้ามกับคนยืนไกลที่มองจ้องมาไม่วางตา
“พี่มิน นะ…ไปลอยกระทงกับต่ายนะ พ่อนายอนุญาตแล้ว” ต่ายถามคนที่เธอแอบฝากใจไว้ให้ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน แต่ตอนนี้มินไม่มองเธอเลยสักนิด เขายืนกำมือแน่น ตาวาวมองลัลน์และธารณ์ พยายามข่มความไม่พอใจเอาไว้
“อ้อ ได้ยินที่ตลาดเค้าคุยกันว่าพี่ลัลน์มีแฟนแล้ว คุณคนนี้หรือเปล่าพี่มิน ต่ายเห็นเค้าชอบอยู่ใกล้ๆ พี่ลัลน์เสมอเลย สมกันดีเนาะ” ต่ายมองตามสายตาของมินแล้วพูด
มินขยับไปขอยืมมีดจากแม่ค้าที่ตั้งแผงขายของใกล้ตัว แล้วเชือกผูกลูกโป่งสีแดงสดอีกลูกก็ถูกตัดขาด ปล่อยให้ลูกโป่งนั้นลอยสูงขึ้นฟ้าโดยที่เจ้าของไม่สนใจมันเลยแม้แต่น้อย
“อ้าว ทำไมล่ะพี่มิน น่าเสียดายออก” ต่ายร้อง
“จะไปลอยกระทงก็ไปเถอะ พี่จะกลับกับพ่อนาย” มินบอกต่ายด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ เขาสะบัดตัวห่างแล้วก้าวดุ่มๆ ไปรวมกลุ่มกับคุณภวิช ไม่หันกลับมามองต่ายอีกเลย ทิ้งให้เด็กสาวได้แต่มองตามด้วยความน้อยใจเพียงลำพัง
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน ตุลาคม 64)
Comments
comments
No tags for this post.