บทที่หนึ่ง
ขณะที่หลิวไป่ทงออกจากวังก็เป็นเวลาย่ำค่ำแล้ว
แสงตะวันยามสายัณห์สาดส่อง ช่างชวนให้ผู้คนครั่นคร้ามยิ่ง
เขาจ้องมองดวงตะวันสีแดงเจิดจ้าลับตาไปตรงขอบฟ้าอย่างเหม่อลอย ในที่สุดก็ตัดสินใจได้ ล้วงผ้าเช็ดหน้าไหมออกมาซับเหงื่อที่ขมับลวกๆ พลางยกชายชุดขุนนางก้าวขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่นอกประตูวังนานแล้ว จากนั้นสั่งให้สารถีเคลื่อนรถม้าไปยังตรอกหลิ่วเยี่ย
สารถีบังคับรถม้าผ่านถนนสายนี้มาจนคุ้นทางแล้ว แม้ฟ้าจะเริ่มมืดแต่ก็ยังบังคับรถม้าได้อย่างชำนิชำนาญ ลัดเลี้ยวไปตามตรอกซอกซอยไม่ถึงครึ่งชั่วยาม รถม้าก็มาหยุดลงหน้าจวนหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ลึกในตรอกหลิ่วเยี่ย
คนในจวนทราบข่าวแต่แรกแล้ว หลิวไป่ทงเพิ่งจะลงจากรถม้า ประตูใหญ่ด้านหน้าก็ค่อยๆ เปิดออกเสียงดังแอ๊ด
พอหลิวไป่ทงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวนี้ ความกระตือรือร้นที่มีแต่เดิมก็เหมือนถูกน้ำเย็นสาดจนเหือดหายไปกว่าครึ่ง ความกลัวแล่นจับขั้วหัวใจ รอจนตั้งสติได้เขาก็หันไปมองปากประตูที่มืดมิด รับรู้ได้ว่าจวนที่อยู่ตรงหน้าคล้ายว่ากลายร่างเป็นปีศาจกระหายเลือดไป มันอ้าปากกว้างประหนึ่งอ่างรองเลือด รอจะกลืนกินเขาเข้าไปในท้องของมัน
ไม่ทันที่ความหวาดหวั่นจะแผ่ลามไปทั่วใจเขา ก็มีชายหนุ่มคิ้วยาวดวงตาเรียวเล็กเดินออกมาจากในจวน หยุดยืนที่บันไดขั้นบนสุด
คนผู้นี้น่าจะเพิ่งถึงวัยยี่สิบได้ไม่นาน เขาสวมชุดแพรเฟยอวี๋ ขององครักษ์เสื้อแพรพอเห็นหลิวไป่ทงก็มีท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ทอดสายตามองลงมาจากด้านบนแล้วเอ่ยว่า “ใต้เท้าหลิวมาได้เสียที”
หลิวไป่ทงถึงกับตัวสั่นสะท้าน เขารีบเก็บอาการหวาดหวั่นบนสีหน้า แล้วหันไปประสานมือคำนับชายหนุ่มพลางยิ้มเอ่ยประจบประแจง “ข้าน้อยมาช้า ใต้เท้าหวังอย่าได้ถือโทษ”
เขาไม่กล้าละล้าละลังอีกแล้ว รีบสาวเท้าก้าวขึ้นบันไดเดินตามคนผู้นั้นเข้าไปด้านใน
จวนหลังนี้ดูภายนอกแล้วไม่ได้สะดุดตาอะไร หากแต่ภายในกลับตกแต่งไว้อย่างหรูหราอลังการยิ่งนัก
ไม่ต้องพูดถึงทางเดินที่ปูลาดด้วยหินฮั่นไป๋อวี้ในสวนยังเต็มไปด้วยพืชพรรณล้ำค่าหายาก แม้แต่กรงนกแก้วที่แขวนไว้ใต้ชายคาก็ล้วนทำจากกระดองเต่าที่ทางเซียนหลัวส่งมาบรรณาการ สิ่งของหายากเหล่านี้ต่อให้สอดส่ายสายตาหาไปทั่วเมืองจิงเฉิงแห่งนี้ก็ยังหาดูได้ยากยิ่ง ได้ยินว่าเป็นของพระราชทานแก่หวังกงกงในวันเทศกาลซั่งหยวน
หลิวไป่ทงลอบถอนหายใจ ผู้ที่ได้รับพระเมตตาอย่างล้นเหลือเพียงนี้ ในยุคสมัยนี้เห็นจะมีแต่หวังหลิงเพียงผู้เดียวเท่านั้น
ชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้องโถงกลางก่อนหลิวไป่ทงก้าวหนึ่ง อีกฝ่ายยังไม่ถูกเรียกจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไป ได้แต่ยืนแขนแนบลำตัวกลั้นหายใจรออยู่ใต้ชายคา
ท่ามกลางบรรยากาศมืดครึ้ม จู่ๆ ก็มีเสียงร้องด่าดังมา ฟังดูแปลกพิกลอย่างบอกไม่ถูก “เดรัจฉาน!”
เดิมทีบรรยากาศเคร่งเครียดกดดันของบ้านหลังนี้ก็ทำให้หลิวไป่ทงไม่สบายใจอยู่แล้ว จู่ๆ มาได้ยินเสียงกระโชกโฮกฮากคล้ายดังขึ้นข้างหูจึงยิ่งตกใจจนสะดุ้งโหยง เขาเงยหน้ามองด้วยความตื่นกลัว จึงค่อยเห็นว่าเป็นนกแก้วในกรงที่หลุดคำผรุสวาทออกมา
หากเป็นเวลาปกติ ถูกสัตว์เดรัจฉานร้องด่าเช่นนี้หลิวไป่ทงย่อมไม่เก็บมาใส่ใจ ทว่าหลายวันมานี้สภาพจิตใจของเขาแตกต่างจากเมื่อก่อน แค่คำว่า ‘เดรัจฉาน’ ก็สามารถกระตุ้นความละอายที่แทบไม่หลงเหลือในใจเขากลับขึ้นมาได้ จนราวกับถูกตบหน้าเข้าอย่างจัง ความโกรธผลักดันให้ความคิดที่อยากจะทุบหม้อจมเรือผุดขึ้นมาในใจ
“ใต้เท้าหลิว เชิญเข้ามาได้” เวลานี้เอง ชายหนุ่มที่เข้าไปด้านในก่อนหน้านี้ก็ออกมาจากในห้องพลางเรียกเขา เห็นสีหน้าหลิวไป่ทงดูซีดเผือด ผ่านไปสักพักแล้วยังเหมือนไม่ได้ยินที่เขาพูด ก็ตีหน้าเครียดแล้วขึ้นเสียง “ใต้เท้าหลิว!”
หลิวไป่ทงถูกเรียกด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนว่ากำลังเตือน ขนที่สันหลังเขาพลันลุกชันราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน ความคิดที่เพิ่งผุดขึ้นในหัวพลันอันตรธานไปทันใด เขาฝืนฉีกยิ้มให้ชายหนุ่มผู้นั้นแล้วก้าวเข้าไปในห้องโถงกลาง
แววเหยียดหยามวาบขึ้นในดวงตาชายหนุ่ม เขายืนอยู่ข้างประตู มองดูหลิวไป่ทงเดินผ่านไปด้วยท่าทางระมัดระวังอย่างยิ่ง จากนั้นจึงค่อยปล่อยม่านลง เดินตามอีกฝ่ายเข้าไป
ที่นั่งเจ้าบ้านในห้องโถงมีชายวัยกลางคนใบหน้าขาวไร้หนวดเครานั่งอยู่ด้วยสีหน้าท่าทางสุภาพเรียบร้อย ทว่าแผ่นหลังที่เหยียดตรงกลับดูไม่เหมือนขุนนางทั่วไป แต่เหมือนมีเงาร่างของขุนพลมาทาบทับอยู่เสียมากกว่า
เขากำลังพลิกเปิดอ่านหนังสือเล่มบางโดยอาศัยแสงตะเกียงในครอบแก้วที่สาวใช้ถือส่องให้ พอเงยหน้าขึ้นเห็นทั้งสองคนเข้ามาก็วางหนังสือลงแล้วพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน “มาแล้วสินะ”
ทุกครั้งที่เห็นขันทีใหญ่ผู้รักษาพระราชลัญจกรซึ่งทรงอำนาจอย่างมากผู้นี้ หลิวไป่ทงก็อดจะรู้สึกสงสัยในใจไม่ได้ ด้วยไม่ทราบว่าคนผู้นี้ฝึกฝนวิชาเร้นลับใดกัน ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายอายุปาเข้าไปครึ่งร้อยแล้ว ทว่ากลับดูเหมือนคนอายุสามสิบกว่าๆ เท่านั้น
ปีนี้หลิวไป่ทงมีการติดต่อในทางลับกับหวังหลิงไม่น้อย จึงพอจะเข้าใจนิสัยของอีกฝ่ายมาบ้าง รู้ดีว่าแม้เวลานี้ใบหน้าของหวังหลิงจะเปื้อนยิ้ม แต่ที่จริงกลับเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความอดกลั้นสักเท่าไร เขาจึงไม่กล้าชักช้า รีบก้าวเข้าไปหา แล้วอธิบายเรื่องราวอย่างชัดเจน “ข้าน้อยได้จัดวางคนไว้ในสำนักตรวจการแล้ว รอเพียงเข้าเฝ้าในวันพรุ่งนี้ ข้าน้อยจะนำคนของพวกเราถวายฎีกาฟ้องร้อง ให้ขับฟู่ปิงและบุตรชายออกจากตำแหน่ง”
“อืม” หวังหลิงหรี่ตามองด้วยความพอใจ แล้วพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “ใต้เท้าหลิวเป็นศิษย์คนโปรดของฟู่ปิง ให้ท่านเป็นผู้นำฟ้องร้องกล่าวโทษฟู่ปิงย่อมเห็นผลกว่าให้ผู้อื่นฟ้อง”
หวังหลิงพูดจบก็หัวเราะเสียงดังลั่น สีหน้าเบิกบานผ่อนคลายราวกับความฝันที่เฝ้าเก็บไว้ในใจมานานปีบรรลุผลสมประสงค์ในที่สุด จึงรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
หลิวไป่ทงกลับรู้สึกขมปร่าในปาก บอกไม่ถูกว่ารสชาติเป็นอย่างไร ได้แต่ยืนนิ่งด้วยความหวาดกลัว
หวังซื่อเจาที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นสีหน้าหลิวไป่ทงดูละล้าละลังก็ไม่เห็นด้วยกับท่าทีของอีกฝ่าย แอบยิ้มหยัน ล่อลวงอาจารย์ผู้มีพระคุณ หักหลังทอดทิ้งคุณธรรม ทับถมเมื่อเห็นคนตกต่ำ เรื่องชั่วร้ายต่างๆ นานาที่ว่ามาเจ้าหลิวไป่ทงผู้นี้ล้วนเคยทำมาแล้วทั้งสิ้น เวลานี้แสร้งทำเหมือนรับไม่ได้ให้ผู้ใดดูกัน หากมิใช่เขาแปรพักตร์มาเข้าพวกด้วย ท่านอากับหลี่ซื่อเม่าจะปรักปรำเอาผิดพ่อลูกแซ่ฟู่ได้รวดเร็วปานนี้หรือ
บัดนี้หลี่ซื่อเม่าขึ้นไปถึงตำแหน่งราชเลขาธิการโดยอาศัยความช่วยเหลือของผู้เป็นอาในทางลับ ฟู่ปิงถูกจับกุมคุมขัง แม้แต่ฟู่เหยียนชิ่งบุตรชายคนโตของฟู่ปิงก็ถูกจับตัวกลับมาไต่สวนดำเนินคดียังเมืองจิงเฉิงซึ่งเป็นเมืองหลวง
ระยะเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งเดือน สกุลฟู่ก็ตกต่ำลงอย่างรวดเร็วเหมือนร่วงลงมาจากยอดเมฆ ไม่อาจหวนกลับมามีอำนาจได้อีก
เขายิ้มหยันเย็นชา ฟู่ปิงได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้พระองค์ก่อน เย่อหยิ่งทะนงตน ดื้อรั้น และไม่เห็นหัวใคร ตั้งตัวเป็นศัตรูกับอาของเขาอยู่เรื่อยไป จึงเห็นฟู่ปิงเป็นหนามตำใจมานานแล้ว บัดนี้ถึงคราวตกต่ำ ครอบครัวแตกฉานซ่านเซ็น ที่เป็นเช่นนี้ก็ล้วนต้องโทษตนเอง
แต่ว่า…
เบื้องหน้าเขากลับมีใบหน้างามกระจ่างเปี่ยมด้วยความสดใสยวนเสน่ห์ผุดขึ้นมา ไม่รู้ว่าหากบุตรีผู้งดงามประหนึ่งบุปผาดั่งหยก* ของฟู่ปิงผู้นั้นรู้ว่าครอบครัวของตนเองตกต่ำลงในชั่วข้ามคืน ในใจจะคิดเห็นเช่นไร
พอนึกถึงสาวน้อยผู้งดงามน่ารัก หวังซื่อเจาก็แทบอดใจรอไม่ไหว ครั้งแรกที่ได้พบนางก็เมื่อสองสามปีก่อน เวลานั้นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ อาของเขาเป็นแค่หัวหน้าขันทีแห่งวังตะวันออกเท่านั้น เขามาเมืองจิงเฉิงเพื่อขออาศัยพึ่งพิงอีกฝ่าย ได้เข้าเป็นองครักษ์เสื้อแพรเพราะอาของเขาช่วยติดสินบน เนื่องจากไม่มีตำแหน่งที่ได้จากการสอบขุนนางฝ่ายบู๊ เขาจึงต้องเริ่มทำงานในตำแหน่งพลทหารเล็กๆ ส่วนสกุลฟู่นั้นเป็นขุนนางใกล้ชิดของอดีตฮ่องเต้ เรียกได้ว่ากำลังอยู่ในช่วงเวลาอันรุ่งเรืองทบทวี
ไม่นานหลังจากนั้น ในงานฉลองวันคล้ายวันเกิดของราชครูเหยียน ขุนนางทั้งหลายของราชสำนักต่างไปร่วมกินเลี้ยง แม้แต่รัชทายาทก็ยังไปเยือนถึงจวนด้วยตนเองเพื่ออวยพรให้แก่อาจารย์ผู้มีพระคุณ ผู้เป็นอาได้ชี้แนะและสนับสนุนหลานอย่างเขา จัดการในทางลับเพื่อให้ได้พาเขาไปด้วย
ในงานเลี้ยงครั้งนั้นเอง เขาได้พบคุณหนูสกุลฟู่ผู้งามหมดจด ตอนนั้นนางยังไม่ถึงวัยปักปิ่น* ด้วยซ้ำ แต่กลับโดดเด่นงดงามน่ามองแล้ว นางถูกห้อมล้อมด้วยเหล่าสตรีอยู่ในศาลาริมน้ำ ยามนางขยับเขยื้อนเคลื่อนกายก็ดูน่ามองไปเสียหมด
นางพูดคุยหัวเราะอย่างมีชีวิตชีวา เผยให้เห็นสติปัญญาอันเฉลียวฉลาด โดดเด่นราวกับจันทรากลางท้องนภา สะดุดตาที่สุดในหมู่หญิงสาวตระกูลชั้นสูงทั้งหมด
ตั้งแต่นั้นมาเขาก็คอยสอบถามเรื่องของนางต่อหน้าผู้เป็นอาอยู่เนืองๆ แต่กลับได้ข่าวว่านางหมั้นหมายกับบุตรชายคนโตของมหาบัณฑิตลู่เซิ่งไว้แล้วตั้งแต่ยังเล็ก รอเพียงครบกำหนดไว้ทุกข์ให้มารดา ก็จะแต่งออกไปเป็นภรรยาของคุณชายลู่
พอได้ทราบเช่นนี้เขาก็ผิดหวังยิ่งนัก แต่ก็รู้ดีว่าตลอดมาเขากับคุณหนูสกุลฟู่แตกต่างกันราวก้อนเมฆกับดินโคลน คนงามที่ยากจะพานพบเช่นนี้เดิมทีก็เกินฝันสำหรับคนเช่นเขาอยู่แล้ว แม้ไม่อยากยอมรับแต่ก็จำต้องระงับความปรารถนานี้เอาไว้
ไม่คาดคิดเลย เวลาผันผ่านสถานการณ์ก็แปรผัน เพียงแค่สองปีเท่านั้น รัชทายาทได้ขึ้นครองราชย์ อาของเขาก็ก้าวหน้าขึ้นอย่างพรวดพราดกลายเป็นขันทีใหญ่ผู้รักษาพระราชลัญจกรที่มีอำนาจทั้งในและนอกราชสำนัก ขณะที่ฟู่ปิงกลับถึงคราวถดถอยลงเรื่อยๆ เพราะว่ามีนิสัยเย่อหยิ่งทะนงตนจนไม่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้องค์ใหม่
แต่สิ่งที่ทำให้เขาพึงพอใจยิ่งกว่าก็คือหนึ่งเดือนกว่าก่อนหน้านี้ ขณะที่อาของเขากับหลี่ซื่อเม่าวางแผนโค่นอำนาจฟู่ปิงอยู่นั้นเอง จู่ๆ คุณชายสกุลลู่ที่หมั้นหมายกับคุณหนูฟู่ก็ดื่มสุราเมามายจนพลาดพลั้งทำผิดคุณธรรม ถึงกับก่อเรื่องอันมัวหมองกับลูกพี่ลูกน้องหญิงซึ่งเป็นญาติห่างๆ ในบ้านของตนเอง เรื่องนี้ไม่ทราบว่าใครเป็นคนแพร่ข่าวออกมาจนกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวที่รู้กันทั่ว
คุณชายลู่กระอักกระอ่วนใจที่ไม่อาจยับยั้งให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปได้ จำต้องรับลูกพี่ลูกน้องผู้นั้นมาเป็นภรรยา
จะว่าไปแล้วเรื่องรักๆ ใคร่ๆ พรรค์นี้สำหรับบุรุษก็ถือเป็นเรื่องปกติ มิได้สลักสำคัญอะไร ผู้ใดเลยจะรู้ พอฟู่ปิงได้ทราบเรื่องนี้ก็ถึงกับโกรธเกรี้ยวเลยทีเดียว
เนื่องจากตอนนั้นเขาดำรงตำแหน่งเป็นข้าหลวงตรวจการฝ่ายขวา ได้รับมอบหมายให้ไปดูแลจัดการที่อวิ๋นหนาน แม้ตัวจะมาไม่ได้ แต่เขาก็ได้เขียนจดหมายถึงจวนสกุลลู่ที่อยู่เมืองหลวงในคืนนั้นเอง ประณามว่าคุณชายลู่ประพฤติตัวมัวหมอง มิอาจเป็นคู่หมายที่เหมาะสม ในจดหมายใช้ถ้อยคำรุนแรงไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย
แต่ไรมาฟู่ปิงก็รักใคร่ไยดีบุตรีผู้นี้มากนัก จึงเลือกสรรผู้ที่จะมาเป็นลูกเขยอย่างเข้มงวด ตั้งแต่ตอนตกลงหมั้นหมายเชื่อมสัมพันธ์สองตระกูล เขาก็ได้รับคำสัญญาที่มหาบัณฑิตลู่ตกปากรับคำแทนบุตรชายว่าสามีภรรยาจะให้เกียรติซึ่งกันและกัน หากไม่มีเหตุผิดพลาดอันใดในห้าปีนี้จะมารับนางไปเป็นภรรยา แต่บัดนี้ยังมิทันได้แต่ง คุณชายลู่ก็มาตระบัดสัตย์เสียแล้ว นี่จะไม่ให้ฟู่ปิงโมโหได้หรือ
ฟู่ปิงรู้ดีว่าที่คนสกุลลู่ทำเรื่องงามหน้าในเวลานี้ จะต้องเป็นเพราะมีจิตคิดเป็นอื่นแน่ ท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะหยันของผู้อื่น เขายังคงขอถอนหมั้นกับสกุลลู่อย่างไม่ห่วงหน้าพะวงหลังอะไรทั้งสิ้น ถึงยามนี้ความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลจึงกลายเป็นเย็นชาต่อกันไป
บัดนี้สกุลฟู่ตกต่ำลง คุณหนูฟู่ไม่อาจได้รับความช่วยเหลือจากสกุลลู่แล้ว จึงมีสภาพโดดเดี่ยวน่าเวทนาอย่างแท้จริง หลังจากถูกคุมตัวกลับมาที่เมืองหลวง นอกจากจะถูกยึดทรัพย์และถูกส่งไปอยู่กองสังคีต* แล้ว นางก็ไม่มีทางเลือกอื่น
เขาหยักยิ้มมุมปาก บุปผาบอบบางที่กำลังเบ่งบานอวดความงาม หากต้องร่วงหล่นจมโคลนก็น่าเสียดายนัก
บัดนี้เขาได้ขึ้นเป็นรองผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพร ผู้เป็นอาก็กำลังมีอำนาจมาก ถ้าอยากจะแต่งภรรยา คุณหนูสกุลฟู่ที่มีความผิดติดตัวย่อมไม่คู่ควร แต่หากไถ่ตัวพานางกลับมาบ้าน ให้นางเป็นเหมือนของเล่น ถือเป็นสินส่วนตัวก็น่าจะพอทำได้
ที่ทำให้พึงพอใจมากที่สุดก็คือคราวนี้ฮ่องเต้มอบหมายให้เขาเดินทางไปอวิ๋นหนานเพื่อริบทรัพย์สินของสกุลฟู่ แล้วนำตัวสมาชิกของสกุลฟู่กลับมาเมืองหลวง ระหว่างเดินทางเขาคงจะทำอะไรๆ ได้สะดวกทีเดียว
หวังซื่อเจาคิดไปคิดมา ในใจพลันบังเกิดความรื่นเริงขึ้นจนแทบยั้งตัวไม่อยู่ นั่งแทบไม่ติดเก้าอี้
เมื่อได้ฟังหลิวไป่ทงเล่าเรื่องราวสกุลฟู่ทั้งหมด หวังหลิงก็สอบถามเรื่องบุตรีของฟู่ปิงอย่างละเอียด ที่สุดยังซักไซ้ถึงรายละเอียดการตายของฟู่ฮูหยินในอดีตด้วย
หลิวไป่ทงเป็นศิษย์ของฟู่ปิง เมื่อก่อนเคยไปมาหาสู่กับสกุลฟู่อยู่บ่อยครั้ง บุตรและภรรยาของเขายังเคยไปมาหาสู่กับทางบุตรและภรรยาของสกุลฟู่เช่นกัน จึงรู้เรื่องราวในสกุลฟู่เป็นอย่างดี พอรู้ว่าหวังหลิงไม่ยอมให้เขาเล่าอย่างขอไปทีแน่ จึงต้องบากหน้าเล่าทุกเรื่องที่ตนเองรู้ให้เขาฟังโดยละเอียด
หวังซื่อเจาเห็นผู้เป็นอาดูสนใจเรื่องนี้มากก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ พลันหวนนึกถึงเรื่องประหลาดในกาลก่อนได้เรื่องหนึ่ง คำถามนับร้อยก็ผุดขึ้นในใจเขาพร้อมๆ กัน คิดจะออกปากถามแต่ก็ยั้งไว้หลายครา เหลือบเห็นใบหน้าใต้แสงตะเกียงของอาตนเองดูอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด เขาก็จำต้องอดใจไม่ถามไว้
หวังหลิงได้ฟังมากพอแล้วจึงโบกมือให้หลิวไป่ทงเงียบ เขาหลุบตาลงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็หันไปยิ้มให้หวังซื่อเจา “ได้ยินว่าฟู่ปิงรักบุตรีผู้นี้มาก เขาเลี้ยงดูนางมาเสมือนเป็นบุตรชายตั้งแต่ยังเล็ก ไม่เพียงให้นางได้เปิดหูเปิดตาตามพี่ชาย ขณะที่ถูกย้ายไปอยู่อวิ๋นหนานยังได้อบรมสั่งสอนนางด้วยตนเอง นอกจากนี้ฟู่ฮูหยินก็มิใช่หญิงชาวจงหยวน** ขณะยังมีชีวิตอยู่ได้ยินว่ามีความคิดไม่เหมือนผู้ใด เจ้าไปคราวนี้ก็อย่าได้ดูเบาคุณหนูสกุลฟู่เพราะว่าอายุน้อยเด็ดขาด หากสะเพร่าจนเกิดเรื่องไม่คาดฝันแล้วเสียงานขึ้นมา คงไม่อาจทูลรายงานต่อฝ่าบาทได้”
“หลานจะพยายามไม่ให้เกิดเหตุผิดพลาด” หวังซื่อเจาได้ยินแววกำราบตักเตือนอย่างเข้มงวดในน้ำเสียงผู้เป็นอาแล้วก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจยิ่งกว่าเดิม
“แน่นอน” หวังหลิงทำทีปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่บนชายแขนเสื้อ แล้วพูดอย่างเรียบๆ ว่า “โชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือของใต้เท้าหลิว คนของเราจึงแฝงเข้าไปอยู่ในสกุลฟู่ได้นานแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าคุณหนูฟู่ผู้นั้นจะหาทางเล่นลูกไม้อะไร”
หลิวไป่ทงยิ้มเจื่อน ก่อนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อ
จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก มีคนมาขอเข้าพบ
หวังหลิงนั่งอยู่นานแล้วก็รู้สึกเมื่อยไม่น้อย เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวนี้จึงเอนหลังพิงเก้าอี้ไท่ซืออย่างเกียจคร้าน แล้วสั่งให้คนผู้นั้นเข้ามาได้
พอคนผู้นั้นเข้ามาก็ตรงเข้าไปกระซิบสองสามประโยคที่ข้างหูหวังหลิง แล้วรีบถอยออกมาทันที
สีหน้าหวังหลิงแปรเปลี่ยน จากนั้นก็เหลือบมองไปยังหลิวไป่ทงด้วยสายตาคมกริบ เอ่ยว่า “ใต้เท้าหลิวช่วยออกไปข้างนอกสักครู่หนึ่งก่อน ข้ามีเรื่องจะหารือกับหลานชายสักหน่อย”
หลิวไป่ทงกำลังใจเต้นไม่เป็นส่ำ พอได้ยินเขาบอกก็ไม่กล้าเห็นต่างใดๆ รีบถอยออกไปจากห้องอย่างลนลาน
“มีอะไรหรือท่านอา” หวังซื่อเจาจ้องมองใบหน้าผู้เป็นอาครู่หนึ่งก็ยังไม่ได้ยินอะไร จึงถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
สีหน้าหวังหลิงกลับมาเป็นปกติแล้ว เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คดีของฟู่ปิงยังอยู่ระหว่างการไต่สวน ที่อวิ๋นหนานจึงขาดคนคอยดูแลจัดการชั่วคราว บัดนี้มีพวกเร่ร่อนออกก่อเหตุวุ่นวายขึ้นหลายแห่ง เมื่อครู่ความทราบถึงพระกรรณฝ่าบาทแล้ว จึงมีรับสั่งให้เลือกขุนนางใหญ่สักคนในราชสำนักไปรับตำแหน่งข้าหลวงตรวจการฝ่ายขวาแทนเขา รับพระบัญชาเดินทางไปยังอวิ๋นหนาน ทั้งยังมีรับสั่งให้ผิงอวี้ไปคุ้มกันด้วยตนเอง พอไปถึงที่นั่นแล้วให้ผิงอวี้เป็นผู้คุ้มกันบุตรีของขุนนางต้องโทษเดินทางกลับเมืองหลวง”
“ผิงอวี้?” หวังซื่อเจาแทบลุกพรวดขึ้นมา “เป็นเขาไปได้อย่างไร! ให้เขาแทรกเข้ามาเช่นนี้ พวกเราจะหาประโยชน์จากคดีสกุลฟู่ได้หรือ”
“ก็แค่บุตรีของขุนนางต้องโทษคนเดียว เขาจะคุ้มกันก็คุ้มกันไปสิ ไยต้องทำเป็นโมโหเช่นนี้ด้วย” หวังหลิงดูสงบใจได้แล้ว “เจ้าอย่าลืม ตอนที่อดีตฮ่องเต้ยังมีพระชนม์ชีพ ฟู่ปิงที่เป็นถึงราชเลขาธิการนึกทะนงตน เคยยื่นฎีกาให้ถอดถอนซีผิงโหวออกจากตำแหน่งหลายครั้ง ความผิดโทษฐานอยู่ในตำแหน่งแต่ไม่ได้ทำงาน ตอนนั้นทั่วทั้งราชสำนักล้วนเป็นศิษย์ของฟู่ปิง เสียงก่นด่าประณามดังขึ้นไม่หยุด ทำให้ซีผิงโหวต้องถูกถอดออกจากตำแหน่งอันทรงเกียรติและถูกเนรเทศไปยังเมืองเซวียนฝู่ทั้งครอบครัว
เวลาต่อมาอดีตฮ่องเต้เสด็จไปตรวจทัพชายแดนที่เมืองเซวียนฝู่ ขณะทรงพำนักที่ค่ายทหาร ในยามวิกาลก็เกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ขึ้นมา อดีตฮ่องเต้ได้รับความช่วยเหลือจากผิงอวี้ซึ่งขณะนั้นถูกเนรเทศให้ไปประจำการที่ค่ายทหารแห่งนั้นช่วยเหลือเอาไว้ พระองค์ทรงรอดมาได้ ครอบครัวซีผิงโหวถึงได้กลับมารับตำแหน่งดังเดิม หากไม่มีเรื่องนั้น เกรงว่าชั่วชีวิตนี้ซีผิงโหวคงจะต้องอยู่อย่างลำบากยากแค้นที่เมืองเซวียนฝู่เสียแล้ว บัดนี้สกุลฟู่ประสบเคราะห์กรรม ผิงอวี้หาทางซ้ำเติมก็คงไม่ถือว่าทำผิด ต่อให้ตรวจพบอะไรก็คงจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่มีทางสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องที่ตนเองไม่ควรจะยุ่งหรอก”
แม้ผู้เป็นอาจะพูดเช่นนี้ ทว่าพอหวังซื่อเจานึกถึงผู้บังคับบัญชาโดยตรงผู้นี้ก็ยังรู้สึกขุ่นเคือง เห็นอยู่ว่าทั้งสองอายุใกล้เคียงกัน แต่เพราะชาติกำเนิดทำให้คนผู้นี้เหยียบบนหัวเขามาตลอด ทั้งยังชอบซ่อนมีดไว้ในรอยยิ้ม ชั่วร้ายเจ้าเล่ห์นัก ถึงตัวเขาอยากจะเข้ามาแทนที่อีกฝ่ายมากเพียงใด ก็ยังหาทางจับผิดผิงอวี้ไม่ได้เสียที
หลิวไป่ทงรออยู่ใต้ชายคาราวหนึ่งถ้วยชาหวังซื่อเจาจึงออกมาจากห้อง
หลิวไป่ทงอยากจะเข้าไปบอกลาหวังหลิงในห้อง แต่ถูกหวังซื่อเจาขวางไว้ “ท่านอาเหนื่อยจึงนอนหลับพักผ่อนไปแล้ว ใต้เท้าหลิวไม่ต้องมากพิธี ตามข้าออกไปจากจวนเถอะ”
หลิวไป่ทงยิ้มแล้วขานรับ ทั้งสองเดินออกจากจวน ตลอดทางไม่พูดคุยกันสักคำ
ที่น่าแปลกก็คือจวนหลังนี้ออกจะใหญ่โต แต่กลับไม่มีคนรับใช้เดินผ่านไปผ่านมาแม้แต่คนเดียว
พอหลิวไป่ทงเดินเลี้ยวไปถึงทางเดินยาวก็มีสายลมราตรีวูบหนึ่งพัดมาปะทะใบหน้า ความหนาวยะเยือกคล้ายแทรกเข้าไปในผิวหนังจนถึงกระดูก หลิวไป่ทงตัวสั่นเทาด้วยความหนาว ทั้งยังได้กลิ่นประหลาดคล้ายคาวเลือดโชยมา แต่กลิ่นนั้นจางยิ่งนัก ยังไม่ทันจะได้กลิ่นชัดก็สลายไปพร้อมกับสายลม
ขณะนึกสงสัย หลิวไป่ทงก็เหลือบไปเห็นหวังซื่อเจากำลังมองสำรวจเขาอยู่ด้านข้าง สายตาอีกฝ่ายคมปลาบยิ่งนัก เขาตกใจจนผงะถอยหลัง ไม่กล้าเผยพิรุธใดๆ ให้เห็น เพียงแสร้งกระแอมกระไอเพื่อกลบเกลื่อนอาการลืมตัวเมื่อครู่นี้
พอออกมานอกประตูใหญ่ ทั้งสองต่างก็แยกย้ายกันไปคนละทาง หวังซื่อเจาหวั่นใจเรื่องที่ผิงอวี้จะไปอวิ๋นหนานเพื่อควบคุมตัวบุตรีขุนนางต้องโทษของสกุลฟู่ด้วยตนเอง เขาจึงเร่งม้าไปยังหน่วยป้องปราบฝ่ายเหนือของหน่วยองครักษ์เสื้อแพร
เมื่อหลิวไป่ทงขึ้นรถม้าแล้วก็เดินทางกลับจวน ก่อนจะปล่อยม่านรถลงเขาก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามราตรีอย่างไม่ตั้งใจ เห็นเพียงความมืดมิดของรัตติกาลคล้ายกดทับลงมาเหนือศีรษะ ราตรียาวนานไร้ที่สิ้นสุดได้มาถึงแล้ว
ครึ่งเดือนให้หลัง ณ จวนสกุลฟู่ในเมืองชวีจิ้ง มณฑลอวิ๋นหนาน
จู่ๆ แม่นมหลินที่หลับไปถึงครึ่งคืนก็ตกใจตื่นเพราะเสียงความเคลื่อนไหวอันแผ่วเบา
นี่เป็นช่วงเวลาเงียบสงัดอย่างแท้จริง ราตรีนี้เงียบเสียจนไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมพัด เสียงนี้จึงไม่เพียงดังขึ้นอย่างฉับพลัน แต่ยังฟังดูน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก แค่ชั่วพริบตาเดียวนางก็ตื่นเต็มตาแล้ว
นางควานหารอยแหวกของม่านกั้นรอบเตียงแล้วชะโงกหน้าออกไปเงี่ยหูคอยฟัง เสียงนั้นฟังดูขาดห้วงและเหมือนถูกกดข่มเอาไว้ ทั้งยังแฝงด้วยความรู้สึกทุกข์ทนเจ็บปวด ชัดเจนว่าดังมาจากห้องด้านใน
สถานการณ์เช่นนี้มิใช่ว่าเพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก นางถอนหายใจพลางลุกขึ้น หยิบเสื้อมาคลุมไหล่แล้วถือตะเกียง รีบสาวเท้าเข้าไปห้องด้านใน
“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ” นางเดินไปถึงเตียงแล้วเลิกม่านขึ้น โน้มกายเข้าไปหา ร้องเรียกผู้ที่นอนอยู่อย่างเป็นห่วง “แม่นมมาแล้วเจ้าค่ะ อย่ากลัวไปเลย ฝันร้ายอีกแล้วหรือเจ้าคะ”
แม่นมหลินถือตะเกียงเข้าไปใกล้ แสงสีเหลืองนวลส่องให้เห็นหญิงสาวใบหน้างดงามผุดผาดผิวขาวลออที่นอนอยู่บนเตียง ไม่รู้ว่าเวลานี้นางกำลังฝันเห็นสิ่งใด หน้าผากขาวเนียนดุจเครื่องกระเบื้องจึงเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็ก เรือนผมดำขลับเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ คิ้วงามขมวดแน่น เสียงสะอื้นเบาๆ คล้ายกำลังเจ็บปวดดังลอดออกมาจากปากเป็นครั้งคราว
แม่นมหลินกังวลว่าหากปล่อยให้คุณหนูฝันร้ายนานไปจะทำให้จิตใจย่ำแย่ อดร้อนใจดั่งมีไฟแผดเผาไม่ได้ จึงรีบวางตะเกียงไว้ข้างๆ โอบร่างฟู่หลันหยาไว้แนบอกแล้วตบปลอบเบาๆ พลางร้องเรียกซ้ำๆ ในที่สุดนางก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วลืมตาโพลง
ความหวาดหวั่นยังคงอยู่ในแววตาฟู่หลันหยาไม่จางหาย สองมือนางกำผ้าห่มแน่น ยังคงหอบหายใจไม่หยุด พอเห็นแม่นมหลินก็ยังผวาจนเกือบจะหลุดเสียงร้องออกมา
แม่นมหลินพูดปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างแผ่วเบาอยู่พักใหญ่ ในที่สุดฟู่หลันหยาก็รู้ตัวว่าตนเองกำลังอยู่ที่ใด นางสงบลงได้เสียที
แม่นมหลินเห็นว่าแววหวาดกลัวหายไปจากดวงตาของคุณหนูแล้วก็โล่งอก นางพลันเรียกสาวใช้สองสามคนให้ไปยกน้ำร้อนกับนำผ้าสะอาดเข้ามา แล้วช่วยผลัดเปลี่ยนชุดนอนที่ชุ่มเหงื่อให้
ฟู่หลันหยาเอนร่างนอนลงเงียบๆ ปล่อยให้แม่นมหลินกับสาวใช้จัดการไป ในห้วงความคิดยังวนเวียนอยู่ในความฝันเมื่อครู่นี้
ตั้งแต่บิดาถูกเรียกตัวเข้าเมืองหลวงเป็นการเร่งด่วน หลายวันมานี้นางก็เอาแต่ฝันร้าย
ความฝันในช่วงแรกส่วนใหญ่ล้วนไม่ปะติดปะต่อ หลังจากตื่นขึ้นมาไม่ว่านางพยายามหวนนึกถึงเพียงใดก็จะจำได้แต่ภาพที่ขาดๆ หายๆ
สองสามวันที่ผ่านมานี้ ภาพฝันนั้นค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น มีหลายครั้งที่นางฝันเห็นตนเองอยู่ในหุบเหวลึก รอบด้านมืดมนอนธการ หมอกหนาทึบปกคลุม ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าราวกับภาพสะท้อนในคันฉ่องสำริดที่ดูบิดเบี้ยวอย่างน่าประหลาด
นางอยู่เพียงลำพัง รู้สึกแค่ความหวาดหวั่นพรั่นพรึง ขณะที่ร้องเรียกหาบิดาและพี่ชายในความฝัน กลับได้ยินเพียงเสียงสะท้อนอันเวิ้งว้างว่างเปล่ากลับไปกลับมาภายในหุบเหว ไม่ได้ยินเสียงขานตอบจากบิดาและพี่ชายเลยสักครั้ง
นางวิ่งโซซัดโซเซจนอ่อนล้า ในความเลือนรางมีแขนข้างหนึ่งที่เย็นเยียบมาวางบนไหล่ นางตกใจอย่างมาก หันไปมองด้วยความกลัว กลับเห็นเป็นใบหน้าเศร้าหมองและซีดเผือดของมารดา…
ทุกครั้งที่หวนนึกถึงภาพนี้ ความรู้สึกไม่สบายใจจะประดังขึ้นในใจฟู่หลันหยาอย่างลึกล้ำ หลังจากมารดาตายไป อีกฝ่ายก็แทบไม่ได้ปรากฏในความฝันของนาง ไม่อาจเห็นหน้าได้โดยง่าย แต่เหตุใดสีหน้ามารดาจึงดูน่าหวาดหวั่นเช่นนี้…
“คุณหนู” แม่นมหลินยื่นชามใส่ยาช่วยให้จิตใจสงบซึ่งยังร้อนกรุ่นมาให้ฟู่หลันหยาเพื่อขัดจังหวะความคิดของนาง “เปลี่ยนยามาหลายเทียบแล้ว โรคฝันร้ายของคุณหนูกลับไม่ดีขึ้นเสียที คงต้องให้พ่อบ้านโจวไปเชิญท่านหมอมาดูอาการคุณหนูสักหน่อยแล้ว”
พูดแล้วก็เอื้อมมือไปแตะหน้าผากฟู่หลันหยา แล้วพูดอย่างยินดี “ดีนะเจ้าคะที่ไม่มีไข้ ข้างนอกคนเร่ร่อนกำลังออกอาละวาดก่อเหตุร้าย แม้แต่ท่านหมอเฉิงยังต้องหลบไปอยู่ชนบท ไม่อาจมาช่วยดูอาการให้คุณหนูได้ในเร็ววัน มิเช่นนั้นด้วยความสามารถเขาน่าจะหาสาเหตุอาการป่วยของคุณหนูได้นานแล้ว มีหรือคุณหนูจะล้มป่วยเนิ่นนานถึงเพียงนี้”
แม่นมหลินมองดูคุณหนูด้วยความเป็นห่วงยิ่งนัก ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ดีๆ ฟู่หลันหยาเกิดอาการฝันร้าย ยามกลางวันก็ขวัญผวาหวาดหวั่น หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้พวกนางทั้งนายและบ่าวคงได้ออกเดินทางมุ่งไปยังเมืองสู่เพื่อเยี่ยมเยียนลุงของคุณหนูไปแล้ว หากเป็นเช่นนี้คงจะคลาดกับชาวอี๋ ที่เข้ามาก่อจลาจลได้พอดิบพอดี ไม่ต้องติดอยู่ในเมืองจนไปที่ใดไม่ได้เช่นนี้
ฟู่หลันหยารับยาชามนั้นไปดื่มเงียบๆ พลางหวนนึกถึงคืนที่บิดาถูกเรียกตัวอย่างลับๆ ให้เร่งรีบเดินทางเข้าเมืองหลวง ตอนที่ออกเดินทาง บิดาจำต้องมอบหมายให้เสิ่นฟู่เหนียนรองข้าหลวงตรวจการเขตทหารอวิ๋นหนานรับช่วงดูแลงานต่างๆ ในอวิ๋นหนานเป็นการชั่วคราว บัดนี้ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว กลับไม่ได้ข่าวคราวใดๆ จากบิดาเสียที จนนางอดนึกคลางแคลงใจไม่ได้
ว่าไปแล้ว ตั้งแต่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ บิดาก็ถูกลดขั้นแล้วย้ายไปรับตำแหน่งในดินแดนห่างไกลหลายต่อหลายครั้ง ตอนแรกถูกขับออกจากสภาขุนนาง จากนั้นก็ถูกส่งตัวออกไปนอกเมืองหลวง ในขณะที่หลี่ซื่อเม่าศัตรูตลอดกาลของบิดากลับเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ ไม่เพียงได้เลื่อนขึ้นเป็นราชเลขาธิการ ยังได้ควบตำแหน่งเสนาบดีกรมปกครองอีกด้วย มีผู้สนับสนุนจำนวนมากในราชสำนัก เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออีกฝ่ายเฟื่องฟูเช่นนี้ ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ว่าบิดานางจะต้องพบเจอความยากลำบากมากเพียงใด
“แม่นม” นางรีบบอก “สองวันนี้พี่ชายคงมีจดหมายมาบ้างกระมัง”
แม่นมหลินกำลังช่วยเหน็บชายผ้าห่มให้ฟู่หลันหยา ได้ยินเข้าก็ส่ายศีรษะ “ตอนกลางวันแม่นมไปถามพ่อบ้านโจวแล้ว นายท่านกับคุณชายใหญ่ไม่ได้ส่งจดหมายมาเลย คิดว่าคงจะยุ่งอยู่กับงานของทางการ ช่วงนี้คงจะหาเวลาว่างไม่ได้เจ้าค่ะ”
ฟู่หลันหยาได้แต่รำพึงในใจ
บิดาวิ่งวุ่นไปทั่ว เป็นไปได้ที่จะวุ่นวายอยู่กับงานจนไม่มีเวลาส่งจดหมายมาหานาง แต่พี่ชายเพิ่งได้เข้ารับตำแหน่ง สองพี่น้องสนิทสนมกันมาก จึงมักส่งจดหมายถามไถ่ความเป็นไปของครอบครัวถึงกันและกันอยู่เนืองๆ เขายังเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับงานให้นางได้ทราบด้วย การที่ไม่ส่งจดหมายหานางนานร่วมเดือนเช่นนี้แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
และเรื่องที่ทำให้นางหงุดหงิดยิ่งนักก็คือชาวอี๋กำลังก่อจลาจลอยู่ข้างนอก คนเร่ร่อนกลุ่มใหญ่พากันทะลักเข้ามาในเมือง พวกนางจึงต้องอุดอู้อยู่แต่ในจวนราวกับคนติดเกาะ บัดนี้แม้แต่จดหมายจากบิดาและพี่ชายก็ไม่มีมา แทบไม่ต่างจากการถูกตัดขาดจากโลกภายนอกเลยทีเดียว
นางนิ่วหน้าพลางมองออกไปยังความมืดมิดด้านนอกหน้าต่าง แล้วจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าอาการฝันร้ายของนางเกิดขึ้นในช่วงหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ซึ่งตรงกับช่วงที่บิดาต้องออกจากจวนไปพอดิบพอดี
ฟู่หลันหยาเอาแต่ครุ่นคิดกลัดกลุ้มจนไม่ทันรู้ตัวว่ามีแสงจันทร์เจิดจ้าลอดม่านหน้าต่างเข้ามาตกกระทบบนใบหน้า ส่องให้เห็นทุกส่วนที่งดงามราวกับสลักเสลาขึ้นมา ผิวเนียนละเอียดไร้รอยตำหนิดูบอบบางดุจหยกเนื้อดี ราวกับแค่มีอะไรมากระทบก็อาจแตกสลายได้
กระทั่งแม่นมหลินที่เป็นคนเลี้ยงดูฟู่หลันหยามากับมือตั้งแต่ยังเล็กก็ยังไม่อาจละสายตาไปชั่วขณะ ได้แต่คิดว่า…ฮูหยินก็ถือเป็นสาวงามลือชื่อ แต่คุณหนูกลับงามกว่าฮูหยินในวัยเยาว์เกินสามส่วน ไม่รู้เหตุใดคุณชายลู่ถึงได้ทำความผิดอย่างเลอะเลือน ยอมละทิ้งคู่หมายที่งามสมกันเช่นคุณหนูได้ลงคอ
สองเดือนก่อน พอนายท่านทราบเรื่องที่คุณชายลู่รับหญิงอื่นเป็นภรรยา ก็ถอนหมั้นกับสกุลลู่ด้วยความเดือดดาล หลังคุณหนูทราบข่าวกลับไม่มีท่าทีกรุ่นโกรธหรือเจ็บช้ำอันใด ยังมาปลอบประโลมนายท่านอย่างสบายอกสบายใจเสียด้วยซ้ำ
แม่นมหลินรู้ดี แม้ฟู่หลันหยาจะไม่เคยพูด แต่อีกฝ่ายก็ยอมรับการแต่งงานเชื่อมไมตรีระหว่างตระกูลครั้งนี้ อย่างไรเสียไม่ว่าจะด้วยรูปโฉมหรือความรู้ของคุณชายลู่ก็ล้วนโดดเด่นเหนือผู้ใด
สิ่งที่ทำให้แม่นมหลินเสียดายอย่างมากก็คือสองตระกูลมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งคุณชายลู่ก็ยังมาเยี่ยมเยียนถึงจวน ยามบังเอิญได้พบคุณหนู แม้จะแค่เห็นกันอยู่ห่างๆ แต่ก็ไม่อาจปิดแววแย้มยิ้มยินดีในดวงตาได้
ตอนนั้นนางรู้ว่าคุณชายลู่รู้สึกถูกตาต้องใจคุณหนู ถ้าทั้งสองได้แต่งงานกันจะต้องเป็นคู่สามีหนุ่มภรรยาสาวที่รักใคร่ปรองดองกันอย่างแน่นอน
ใครเลยจะคิดว่าคู่วาสนากลับต้องมาแยกจากกันเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงฟู่หลันหยา เพราะแม้แต่แม่นมเช่นนางก็ยังรู้สึกเศร้าหมองเป็นกังวลไปด้วย คิดว่าที่อีกฝ่ายเกิดล้มป่วย เกินกว่าครึ่งคงเป็นเพราะในใจยังกลัดกลุ้มต่อเรื่องนี้เป็นแน่
ฟู่หลันหยาไม่ทันสังเกตว่าแม่นมหลินกำลังคิดสิ่งใดอยู่ นางก็กลับลงไปนอนอย่างเศร้าหมอง จ้องมองม่านกันฝุ่นเหนือศีรษะด้วยสายตาเลื่อนลอย แล้วพูดขึ้นว่า “แม่นม หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ พวกเราไม่ได้รับจดหมายจากภายนอกแม้แต่ฉบับเดียวเลยหรือ”
แม่นมหลินไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณหนูจึงยังครุ่นคิดปัญหานี้ไม่ยอมปล่อยวาง แต่แม้นางจะไม่เข้าใจก็ไม่อาจโกหก จึงตอบขณะที่ปล่อยม่านลงว่า “แม่นมคอยไปสอบถามจากพ่อบ้านวันเว้นวัน ก่อนหน้านี้ก็บอกว่าพอมีส่งมาอยู่ แต่สองสามวันมานี้กลับไม่ได้รับเลยแม้แต่ฉบับเดียว”
ฟู่หลันหยาได้ยินเช่นนั้นก็ไม่อาจนอนต่อได้อีก นางผุดลุกขึ้นนั่งทันทีแล้วถามด้วยสีหน้าจริงจัง “แม่นม กล่องบุผ้าไหมที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ข้าก่อนตายอยู่ที่เรือนตัวเป่าใช่หรือไม่”
“เหตุใดจู่ๆ คุณหนูจึงถามถึงของสิ่งนี้เล่าเจ้าคะ”
“ข้าคิดถึงท่านแม่ อยากจะขอดูกล่องที่ว่าสักหน่อย รบกวนแม่นมช่วยไปนำมาให้ข้าทีเถิด”
แม่นมหลินคิดว่าคนกำลังป่วยคงจะคิดมากเป็นห่วงมากเป็นธรรมดา มีอาการเพ้อบ้างก็ไม่นับว่าแปลก จึงรีบรับปาก ก่อนลุกขึ้นยืนพลางเดินไปยังเรือนตัวเป่า ล้วงเอากุญแจที่พกติดตัวออกมาเปิดลิ้นชักลับ จากนั้นหยิบกล่องออกมา เดินกลับมาที่หน้าเตียง
กล่องใบนั้นมีสามชั้น ทั้งในและนอกกล่องล้วนเป็นกลไก ยามประคองไว้ในมือรู้สึกหนักอึ้ง
ฟู่หลันหยารับกล่องมาเปิดออกจนถึงชั้นล่างสุดอย่างง่ายดาย แล้วหยิบถุงผ้าใบเล็กๆ ออกมา จากนั้นแก้มัดปากถุงออก เทยาลูกกลอนสีขาวดุจหิมะออกมาสองสามเม็ด
“นี่…” แม่นมหลินมองดูฟู่หลันหยาอย่างตื่นตะลึงระคนสงสัย หากนางจำไม่ผิด กล่องบุผ้าไหมใบนี้นอกจากจะมีเทียบยาและตำรับยาโบราณแล้ว ยังมีถุงผ้าที่บรรจุยาลูกกลอนอีกหลายใบ ไม่รู้ว่ายาลูกกลอนสีขาวนี้ฮูหยินได้มาจากที่ใด ได้ยินว่าต้องหาซื้อมาด้วยเงินมากมายอยู่ สามารถถอนพิษได้ทุกชนิด ตอนนายท่านตรวจการอยู่ที่นี่ เคยถูกยิงด้วยห่าธนูของชาวอี๋จนได้รับบาดเจ็บ ธนูดอกนั้นอาบยาพิษไว้ นายท่านจึงมีไข้สูงนานหลายวัน ล้มป่วยปางตาย โชคดีที่ได้กินยาตัวนี้ นายท่านจึงรักษาชีวิตไว้ได้
ไม่รู้ว่าคุณหนูอยากทำสิ่งใดกันแน่จึงได้นำถุงยานี้ออกมา
ฟู่หลันหยาใช้ปลายนิ้วคีบยาเม็ดหนึ่งไว้ มองอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ นางก็หัวเราะ เงยหน้าไปทางแม่นมหลินแล้วเอ่ยว่า “แม่นมไปเอาน้ำมาให้ข้าที ข้าจะกินยา”
“กินยา?” แม่นมหลินตกตะลึง “นี่จะกินเข้าไปได้หรือเจ้าคะ คุณหนูก็ทราบดี ยาเม็ดนี้เอาไว้ใช้แก้พิษ ต่อให้กินแล้วไม่เป็นอะไรก็ไม่อาจกินสุ่มสี่สุ่มห้าได้”
ทว่าแม่นมหลินกลับเห็นคุณหนูเอานิ้วชี้มาแตะที่ริมฝีปาก ทำสีหน้าเตือนไม่ให้ส่งเสียง
แม่นมหลินมองดูฟู่หลันหยา จู่ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงกดเสียงกระซิบถาม “คุณหนู หรือว่า…”
น้ำเสียงฟู่หลันหยาเปลี่ยนเป็นเย็นชา “สองสามวันมานี้ข้าครุ่นคิดนานแล้ว รู้สึกว่าในจวนมีอะไรไม่ชอบมาพากล แม่นม ตอนนี้ข้าร้อนใจ อยากจะพิสูจน์เรื่องหนึ่งให้แน่ใจว่าที่แท้ข้าฝันร้าย หรือว่า…ถูกวางยาพิษ”
“ถูกวางยาพิษ?!” แม่นมหลินมองฟู่หลันหยาด้วยสายตาตกตะลึงพรึงเพริด พูดอะไรไม่ออกอยู่นาน
เวลานี้เอง จู่ๆ ก็มีคนเร่งรีบมาเคาะประตูห้องด้านใน “คุณหนู! คุณหนูเจ้าคะ! ข้างนอกมีทหารของทางการกองหนึ่งมา บอกว่า…บอกว่านายท่านของพวกเราต้องโทษ พวกเขาจะเข้ามาสะสางภายในจวน คนพวกนั้นสวมชุดแพรเฟยอวี๋ ดูแล้วเป็นองครักษ์เสื้อแพร พ่อบ้านโจวทัดทานไว้ไม่อยู่ ตอนนี้เปิดประตูเข้ามาแล้วเจ้าค่ะ”
องครักษ์เสื้อแพร? คำนี้เสมือนสายฟ้าฟาดดังกึกก้อง สีหน้าแม่นมหลินถอดสี พยายามข่มใจให้สงบแล้วเอ่ยว่า “พูดจาเหลวไหล! นายท่านของพวกเราเป็นผู้ตรวจการอวิ๋นหนานที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้ง ต่อให้มาสะสางเรื่องคดี ก็ต้องเป็นนายท่านของพวกเราต่างหากที่เป็นผู้ตรวจสอบผู้อื่น! จะเป็นองครักษ์เสื้อแพรจริงหรือ เกรงว่าเกินครึ่งคงต้องเป็นคนเร่ร่อนปลอมตัวมา ไปสิ รีบให้พ่อบ้านโจวนำคนรับใช้ขับไล่พวกเขาออกไป อย่าให้คุณหนูต้องพลอยตกอกตกใจไปด้วย”
สาวใช้หลายคนที่อยู่หน้าประตูยังไม่ทันได้ตอบ ข้างนอกก็มีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นทันที ลานเรือนที่เดิมทีมีเพียงแสงสลัวจู่ๆ ก็สว่างจ้าเหมือนเวลากลางวัน
ฟู่หลันหยาใจเต้นรัว ได้ยินเสียงชายหนุ่มดังขึ้นจากด้านนอก “ได้ยินว่าตอนนี้เจ้านายตัวจริงของจวนมีเพียงคุณหนูฟู่ผู้เดียวใช่หรือไม่ คุณหนูฟู่ ไฉนยังไม่ออกมาอีกเล่า อย่าโทษว่าพวกเราไม่เกรงใจ จำต้องขอเข้าไปตรวจสอบในห้องแล้ว!”
พ่อบ้านโจวที่อยู่ข้างๆ คอยอ้อนวอน “คุณหนูของพวกเรายังมิได้ออกเรือน พวกใต้เท้าโปรดเห็นแก่ธรรมเนียมจารีตบ้าง”
“ธรรมเนียมจารีต?” ชายผู้นั้นหัวเราะเสียงเย็น “บุตรและภรรยาของขุนนางต้องโทษปฏิเสธไม่รับราชโองการ ตามกฎแล้วต้องตัดหัว นี่มันเวลาใดแล้ว ยังไม่รู้จักแยกแยะหนักเบาอีก!”
คนที่พูดก็คือหวังซื่อเจา พอเข้ามาในจวนสกุลฟู่ได้แล้ว ผิงอวี้ก็นำคนไปที่ห้องหนังสือนอก แต่เขากลับตรงเข้ามาถึงเรือนชั้นใน
แม่นมหลินได้ยินเช่นนั้น ทั้งร่างก็เหมือนตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง พ่อบ้านโจวติดตามรับใช้ข้างกายฟู่ปิงมานาน ออกเดินทางไปทั่ว นับว่ามีความรู้กว้างขวาง คงไม่ถึงกับแยกไม่ออกว่าผู้ใดเป็นองครักษ์เสื้อแพรตัวจริงตัวปลอม
ในใจฟู่หลันหยากลับมาสงบนิ่งประดุจบึงน้ำอันราบเรียบ ยามเอ่ยปากพูดก็เหลือเพียงเสียงแหบเบา “แม่นม ไม่ว่าข้างนอกจะเป็นคนหรือผีก็ช่วยข้าสวมเสื้อผ้าก่อนเถอะ”
เดิมทีแม่นมหลินรู้สึกเหมือนฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย พอเห็นคุณหนูไม่ออกอาการลนลานก็เรียกสติที่หายไปกว่าครึ่งกลับคืนมาได้ นางรีบขานรับพลางช่วยฟู่หลันหยาสวมเสื้อหวีผมแต่งตัวด้วยมืออันสั่นเทา
หวังซื่อเจาพูดจบ เห็นว่าห้องหลายห้องเบื้องหน้ายังคงเงียบกริบ ไร้ความเคลื่อนไหวอันใด เขาก็อดรู้สึกสมใจอยากไม่ได้
เขากวาดตามองจากห้องฝั่งตะวันออกไปจรดห้องฝั่งตะวันตก ขณะกำลังคาดเดาว่าฟู่หลันหยาพักอยู่ที่ห้องใดกันแน่ เขาก็พูดขึ้นว่า “พวกเราใช้ไม้อ่อนไปแล้ว ยามนี้ก็จำต้องใช้ไม้แข็ง ในเมื่อบุตรีขุนนางต้องโทษแข็งขืนไม่ยอมรับราชโองการ พวกเราก็จำต้องบุกเข้าไปแล้ว!”
พูดยังไม่ทันขาดคำ ห้องฝั่งตะวันออกก็เปิดผางออกทันใด จากนั้นก็มีคนสองคนเดินออกมา คนที่เดินนำหน้าเป็นหญิงวัยสี่สิบกว่า ข้างหลังเป็นหญิงสาวอายุราวสิบห้าสิบหกปี…
เมื่อหวังซื่อเจาจับจ้องที่หญิงสาวผู้นั้น เขาก็ไม่อาจเคลื่อนสายตาไปทางอื่นได้เลย
แม้เขาจะอ่านหนังสือมาไม่มาก แต่ก็เคยเรียนบทพรรณนาความงามที่ใช้ในฉากแสดงความรักมาบ้าง เป็นต้นว่า ‘บุปผาบานสะพรั่ง ทั่วเมืองพลันใจสั่นไหว’ หรือ ‘ดวงตาทอประกายดุจสายน้ำ รอยยิ้มงามเลอล้ำปานบุปผา’ กระนั้นเขาก็ยังรู้สึกว่าบทกวีใดๆ ก็ไม่อาจใช้บรรยายความงามน่ารักของหญิงสาวผู้นี้ได้ เพียงเห็น วิญญาณก็แทบมลาย กระดูกคล้ายแหลกสลายไปจนสิ้น
เนิ่นนานหลังจากนั้นเขาก็กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น กำลังจะเอ่ยปากพูดกลับได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลังเสียก่อน พอเขาหันไปมองราวกับมีไฟลุกโหมขึ้นในใจ แต่เขาก็จำต้องเดินไปรับหน้า “ใต้เท้าผิง”
ฟู่หลันหยาเองก็กำลังมองสำรวจหวังซื่อเจาและพวกพ้องของเขาโดยไม่พูดอะไร เห็นพวกเขาสวมชุดองครักษ์เสื้อแพรของทางการจริง เอวเหน็บดาบซิ่วชุนที่มองเห็นได้อย่างเด่นชัด ทั้งยังมีท่าทีก้าวร้าวรุนแรง อวดดีราวกับไม่ยี่หระกฎหมายบ้านเมือง เป็นองครักษ์เสื้อแพรที่เพียงชาวบ้านได้ยินชื่อก็พากันอกสั่นขวัญหายจริงๆ เศษเสี้ยวแห่งความหวังที่แอบซ่อนไว้ก่อนหน้านี้ถูกทำลายจนหมดสิ้น นางนึกถึงบิดาว่าบัดนี้ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร ริมฝีปากก็ซีดขาว หัวใจเจ็บปวดราวกับมีเข็มทิ่มแทง
ขณะกำลังร้อนใจอย่างมาก จู่ๆ ก็มีชายหนุ่มเข้ามาอีกกลุ่ม ตอนที่เข้ามาคนกลุ่มนี้ราวกับติดปีกดำทะมึนคู่หนึ่งไว้ที่หลัง ถึงกับทำให้ในลานเรือนมีลมหนาวเย็นยะเยือกพัดโชยมาเป็นระลอก
คนที่อยู่หน้าสุดมีเรือนร่างสูงโปร่งกำยำ รูปโฉมหล่อเหลา ดูเกลี้ยงเกลาน่ามองอย่างแท้จริง พอเข้ามาแล้วก็เพียงเหลือบมองฟู่หลันหยาคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปพูดกับชายที่มาก่อนด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ที่แท้ยามรองผู้บัญชาการหวังตรวจยึดทรัพย์ก็ไม่ไปค้นที่อื่น จำเพาะต้องแล่นเข้ามาตรวจค้นในหมู่หญิงสาว พวกข้าต้องตามหาตัวเจ้าตั้งนานกว่าจะพบ”
สีหน้าเหมือนจะแฝงด้วยรอยยิ้ม ทว่าน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยแววเย้ยหยันกระทบกระเทียบ
ติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.