บทที่สอง
สีหน้าหวังซื่อเจาบูดบึ้งทันที ยังคงเอ่ยอย่างดื้อดึง “เป็นที่ขบขันของใต้เท้าผิงแล้ว แม้ข้าน้อยยังอ่อนด้อยประสบการณ์ แต่ก็รู้ว่าเรือนชั้นในเป็นแหล่งซ่องสุมของพวกคนชั่ว ก่อนหน้านี้เคยได้รับคำสั่งให้ตรวจยึดทรัพย์มาหลายครา ล้วนค้นเจอหลักฐานสำคัญในการกระทำผิดของขุนนางต้องโทษได้ที่เรือนชั้นใน ข้าน้อยเกรงว่าบุตรีของผู้กระทำผิดจะซุกซ่อนอะไรไว้ จึงจำต้องมาตรวจค้นที่เรือนชั้นในเป็นที่แรก”
“อ้อ” ในดวงตาผิงอวี้มีแววถากถาง แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นพยักหน้าอย่างจริงจัง “รองผู้บัญชาการหวังพูดได้มีเหตุมีผล แต่ถ้าข้าจำไม่ผิด คดีของฟู่ปิงและบุตรชายผ่านการไต่สวนของสามตุลากาแล้ว มีหลักฐานเอาผิดแน่นหนายากจะปฏิเสธ มีข้อกล่าวหายาวเหยียดสิบกว่าข้อหา เพียงพอให้ทั้งพ่อทั้งบุตรชายถูกโบยในศาลได้ร้อยกว่ายก คดีที่มีหลักฐานรัดกุมแน่นหนาเพียงนี้ พวกเราแค่มาทำตามระเบียบปฏิบัติก็พอ ไยต้องใจร้อนเพียงนี้ด้วย ที่เจ้าร้อนใจดังมีไฟมาแผดเผาจนถึงกับต้องตรงดิ่งเข้ามาในเขตเรือนชั้นในเช่นนี้ เป็นเพราะเจ้าคิดว่าขุนนางต้องโทษหลบหนีออกจากคุกหลวงมาได้ แล้วมาซ่อนตัวอยู่ในเรือนชั้นในแห่งนี้?”
หวังซื่อเจาถูกไล่ต้อนจนพูดไม่ออก
ฟู่หลันหยาได้ยินแล้วก็มือเท้าเย็นเฉียบ ทั้ง ‘หลักฐานเอาผิดแน่นหนาจนยากจะปฏิเสธ’ ‘ถูกโบยในศาล’ ‘คุกหลวง’…แต่ละคำมิต่างจากสายฟ้าฟาดกระหน่ำใส่หูของนางจนอื้ออึง
นางรู้แต่แรกแล้วว่าสองปีมานี้บิดาทำงานในราชสำนักอย่างยากลำบาก และรู้ว่าชีวิตการเป็นขุนนางนั้นมีขึ้นก็ย่อมมีลง ผันผวนปรวนแปรไม่แน่ไม่นอนเป็นเรื่องปกติ แต่นางไม่คิดเลยว่าบิดาผู้เปรียบเสมือนไม้สูงใหญ่ที่แตกกิ่งก้านสาขาอันเขียวชอุ่มในราชสำนักจะล้มครืนลงอย่างไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้
“พวกท่าน…” แม้รู้ดีว่าความหวังมีไม่มาก แต่ฟู่หลันหยาก็ยังหาโอกาสพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งระคนสั่นเครือ “หนึ่งไม่มีราชโองการ สองไม่มีหนังสือกล่าวโทษ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกท่านมิใช่โจรที่แสร้งปลอมแปลงแต่งตัวเป็นทหารของทางการ”
คำพูดนี้ของนางเห็นได้ชัดว่าเป็นแค่ความพยายามอย่างสิ้นหวัง อาศัยเพียงคำเรียก ‘องครักษ์เสื้อแพร’ ที่ผู้คนหวาดผวา เกรงว่าโจรผู้ร้ายที่หาญกล้าพอจะปลอมแปลงแต่งกายเป็นองครักษ์เสื้อแพรคงยังไม่เกิดมา
ผิงอวี้ได้ยินเช่นนี้ ในที่สุดก็หันมามองฟู่หลันหยาเต็มตา เห็นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของนางดูงามน่ารัก รูปโฉมดูสะสวย คิดแล้วคงเป็นบุตรีที่ฟู่ปิงรักถนอมไว้ในมือราวกับไข่มุกล้ำค่าผู้นั้นนั่นเอง
เวลานี้แม้สีหน้านางจะซีดเผือดราวกระดาษ แต่ก็ยังหยัดร่างเหยียดตรงเป็นสง่า พูดจาฉะฉานมีไหวพริบอย่างหาได้ยากยิ่ง มิเสียทีที่เป็นบุตรีของสกุลฟู่
ผิงอวี้หัวเราะอย่างหยามหยัน ล้วงราชโองการออกจากเอวด้วยท่าทีคร้านๆ แล้วพูดว่า “ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งลงมา ฟู่ปิงไม่เห็นราชสำนักในสายตา ใช้อำนาจแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน มีความผิดสมควรประหาร บัดนี้ให้จองจำไว้ในคุกหลวงชั่วคราว รอการไต่สวนยืนยันโทษแล้วจึงให้ลงโทษประหาร มีพยานบุคคลช่วยยืนยันว่าฟู่ปิงสมคบคิดกับชาวอี๋มีใจเป็นปฏิปักษ์ หมดสิ้นความภักดี เนื่องจากคดีนี้พัวพันกับผู้คนมากมาย ฮ่องเต้จึงทรงมีรับสั่งเป็นพิเศษให้พวกข้ามาตรวจค้นหาหลักฐาน แล้วนำตัวบุตรีขุนนางต้องโทษเข้าเมืองจิงเฉิงไปรอรับการไต่สวน”
เขาพูดจบ โดยไม่รอให้ฟู่หลันหยาตอบก็หันไปโบกมือให้บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชา ร้องสั่งเสียงเยือกเย็น “มัวแต่ยืนอึ้งอยู่ได้ รีบทำงานสิ!”
เหล่าองครักษ์เสื้อแพรต่างรีบขานรับคำสั่ง ชักดาบซิ่วชุนออกมาอย่างพร้อมเพรียงแล้วกระจายกำลังกันออกไปดุจสายน้ำไหลหลาก
ฟู่หลันหยารู้สึกเพียงแผ่นดินผืนฟ้ากำลังพลิกผันแปรปรวนอย่างรุนแรง โชคยังดีที่แม่นมหลินตาไวมือไว รีบเข้ามาช่วยประคองนางไว้ได้ทัน จึงไม่ล้มกลิ้งตกจากบันไดลงไปเสียก่อน
สกุลฟู่เป็นขุนนางมาหลายปี ย่อมมีทรัพย์สินเงินทองมากอยู่ การตรวจยึดสิ่งของดำเนินไปถึงครึ่งค่อนคืนหลัง และยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดพัก
เพื่อป้องกันมิให้สมาชิกสกุลฟู่ฉวยโอกาสช่วงชุลมุนหลบหนีไปหรือพยายามฆ่าตัวตาย ผิงอวี้จึงให้ผู้ใต้บังคับบัญชาสองสามคนนำฟู่หลันหยาและบรรดาคนรับใช้ของสกุลฟู่มาอยู่รวมกันที่ลานเรือน แล้วคอยควบคุมตัวไว้อย่างแน่นหนา
เหล่าคนรับใช้เห็นว่าเจ้านายหมดหวังจะรอดแล้ว ส่วนใหญ่จึงรู้สึกหดหู่หมดอาลัยตายอยาก คนที่อายุยังน้อยหน่อย เมื่อไม่รู้ว่าชะตาชีวิตหลังจากนี้จะเป็นเช่นไรก็พากันแอบร้องไห้ไปหลายรอบ
แม่นมหลินเองก็อยากจะร้องไห้เช่นกัน แต่พอเห็นสีหน้าฟู่หลันหยาไม่สู้ดี เกรงว่าหากอีกฝ่ายต้องลมราตรีอันหนาวเหน็บจะล้มป่วยไปอีก ชั่วขณะนั้นจึงไม่สนใจจะมาพร่ำบ่นถึงชะตากรรมของตนเอง รีบนำเสื้อคลุมกันลมที่ติดมือมาห่มให้ฟู่หลันหยาพลางโอบกอดนางร่ำไห้เงียบๆ
ในบรรดาคนที่ถูกควบคุมตัวไว้ในลานเรือนมีเพียงพ่อบ้านโจวที่เป็นบุรุษ เพราะเขามีตำแหน่งพิเศษในจวนสกุลฟู่จึงไม่ต้องถูกกักตัวไว้ที่ลานด้านหน้าพร้อมกับเหล่ายามรักษาการณ์และคนงานชายอื่นๆ
เขาย่อมไม่อาจปล่อยอารมณ์ตนเองให้ร้องไห้คร่ำครวญเฉกเช่นสตรี แต่ด้วยรู้สึกอัดอั้นจึงทอดถอนใจไม่หยุดพลางยกชายแขนเสื้อขึ้นซับขอบตาที่แดงเรื่อเป็นครั้งคราว
ขณะพ่อบ้านโจวกำลังทอดถอนใจอย่างรวดร้าว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงแม่นมหลินดังแว่วมา “ท่านอาโจว ข้ากระหายน้ำ ท่านช่วยไปขอน้ำจากพวกเขามาได้หรือไม่”
พ่อบ้านโจวเงยหน้าขึ้นมองอย่างประหลาดใจ ก็เห็นฟู่หลันหยากำลังมองดูเขาอยู่เงียบๆ
สายลมราตรีพัดมาตามโถงทางเดิน ทำให้โคมไฟใต้ชายคาสั่นไหว
ใบหน้าฟู่หลันหยาต้องแสงโคมไฟ ประเดี๋ยวก็สว่างจ้าประเดี๋ยวก็หรุบหรู่ สีหน้าดูสงบนิ่งผิดปกติ แววตาลึกล้ำดุจบ่อน้ำ พ่อบ้านโจวมิรู้เลยว่านางมองดูเขาเช่นนี้มานานเพียงใดแล้ว
เขาบังเกิดความรู้สึกลุกลี้ลุกลน อ้าปากจะพูดแต่ไร้เสียง สุดท้ายก็ได้แต่พยักหน้ารับปากด้วยท่าทางกระอึกกระอัก “เอ่อ อาโจวจะไปบอกให้”
พ่อบ้านโจวรู้ว่าแม้องครักษ์เสื้อแพรจะได้รับมอบหมายให้มาจับกุมคน แต่ก่อนจะมีการตัดสินโทษตั้งข้อหานายท่านจนเป็นที่แน่นอน องครักษ์เสื้อแพรย่อมไม่กล้ากระทำการหยามหมิ่นใดๆ ต่อสมาชิกตระกูลที่เป็นหญิง โดยเฉพาะคุณหนูในห้องหอ ไม่ต้องพูดถึงน้ำชามเดียวเลย กระทั่งอาหารการกินในแต่ละมื้อระหว่างเดินทางกลับเมืองจิงเฉิงคราวนี้ องครักษ์เสื้อแพรย่อมไม่กล้าทำสะเพร่าให้เกิดข้อผิดพลาดแน่
องครักษ์เสื้อแพรที่ยืนอยู่ใกล้พวกเขามากที่สุดน่าจะเพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นาน ใบหน้ายังดูอ่อนเยาว์ น่าจะยังอ่อนต่อโลก หลังฟังคำขอแล้วจึงหันมามองฟู่หลันหยาครั้งหนึ่ง แค่นั้นสองแก้มของเขาก็ร้อนผ่าวทันที รีบเดินออกไปหารือกับองครักษ์เสื้อแพรอีกคนอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ช้าก็นำกาที่ใส่น้ำชาเต็มเปี่ยมกับชุดถ้วยน้ำชามาให้
พ่อบ้านโจวรับมาพลางขอบอกขอบใจเป็นการใหญ่
แม่นมหลินรินชาใส่ถ้วยแล้วส่งให้ฟู่หลันหยา
ฟู่หลันหยาจิบอึกหนึ่ง พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นสาวใช้ไม่น้อยกำลังแอบมองเงียบๆ แววตาบอกว่ากระหายน้ำเช่นกัน คงเป็นเพราะถูกกักตัวไว้ครึ่งค่อนคืน ปากคอย่อมแห้งผากกันนานแล้ว แต่ยังคงระวังตัวว่าต้องแยกแยะระหว่างนายกับบ่าว จึงไม่กล้าล้ำเส้นตามอำเภอใจ
ฟู่หลันหยาจึงให้แม่นมหลินรินน้ำชาแจกจ่ายทุกคน นอกจากนี้ยังรินน้ำชาให้แม่นมหลินกับพ่อบ้านโจวด้วยตนเอง ยกถ้วยน้ำชาชูขึ้นให้พวกเขา ฝืนยิ้มเอ่ยว่า “แม่นม ท่านอาโจว หลังจากคืนนี้ไป พวกเรานายและบ่าวคงสิ้นวาสนากันแล้ว”
แม่นมหลินขอบตาแดงเรื่อขึ้นทันที พ่อบ้านโจวกลับชะงักไปเล็กน้อย แล้วพูดด้วยท่าทางอึกอัก “ไยคุณหนูจึงพูดเช่นนี้ นายท่านยังไม่ถูกตัดสินว่าทำผิดเสียหน่อย ใช่ว่าจะหาทางพลิกคดีไม่ได้ ไม่แน่คุณหนูยังไม่ทันจะไปถึงเมืองจิงเฉิง นายท่านอาจได้กลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมแล้วก็เป็นได้”
ฟู่หลันหยาไม่พูดอีก เพียงมองดูเขาดื่มน้ำชาเต็มถ้วยจนหมด แล้วจู่ๆ ก็พูดขึ้น “ท่านอาโจว ถ้าข้าจำไม่ผิด ท่านมาอยู่จวนสกุลฟู่ของเราได้ยี่สิบปีแล้ว ที่ผ่านมาท่านคอยจัดการธุระการงานมากมายของจวน ไม่ได้พักทั้งกลางวันกลางคืน ลำบากท่านแล้ว”
สีหน้าพ่อบ้านโจวนิ่งค้างไปทันใด ก่อนรีบขอโทษขอโพย “คุณหนูยกย่องบ่าวเกินไปแล้ว คุณหนูก็คงทราบว่าตอนนั้นบ่าวมาเป็นบ่าวสกุลฟู่ได้อย่างไร ปีนั้นแม่น้ำเว่ยเกิดอุทกภัย โรคระบาดแพร่ไปในหมู่ชาวบ้านตามริมฝั่งแม่น้ำ หากมิใช่นายท่านหาทางป้องกันไว้ได้ทันกาลด้วยการแจกจ่ายยาหม้อป้องกันโรคระบาด เกรงว่าบ่าวคงป่วยตายนานแล้ว ชีวิตอันต่ำต้อยของบ่าวมีหรือจะยืนยาวมาได้อีกหลายปีเช่นนี้ ว่ากันตามจริงแล้ว ชีวิตครึ่งหนึ่งของบ่าวเป็นนายท่านช่วยเอาไว้ ไยต้องพูดถึงความลำบากด้วยเล่า”
ฟู่หลันหยาจ้องมองพ่อบ้านโจวตาเขม็ง แม้ได้ยินเขาพูดอย่างหนักแน่น สีหน้าโศกเศร้าดูสมจริง ทว่าแววตากลับเห็นได้ชัดว่าวาวโรจน์เป็นประกาย
นางรู้สึกเจ็บแปลบในอก จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา เหลือบมององครักษ์เสื้อแพรที่กำลังยืนจิบชาอยู่ใต้ร่มไม้ไม่ไกลนัก แล้วพูดเรื่อยเปื่อยคล้ายกำลังพูดคุยเล่น “ท่านอาโจว ท่านควรจะรู้ ช่วงนี้ข้าเอาแต่ฝันร้าย ให้หมอมาดูหลายคน เปลี่ยนเทียบยาก็หลายเทียบ แต่ไม่เห็นจะดีขึ้นเสียที ใจข้าเศร้าหมองยิ่งนัก รู้ว่าท่านพ่อและพี่ชายยุ่งกับงานทางการ ไม่อาจให้พวกเขาเป็นห่วงได้ จึงส่งข่าวไปหาท่านลุงที่เมืองสู่ อยากให้เขาช่วยแนะนำหมอดีที่เก่งกาจให้สักสองสามคน ไหนเลยจะรู้ ส่งจดหมายไปแล้วกลับไม่ได้ข่าวคราวอะไร หนึ่งเดือนมานี้ไม่ได้รับจดหมายตอบกลับจากท่านลุงสักฉบับ…”
พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ นางก็หยุดพูด เพียงจ้องมองพ่อบ้านโจวอย่างเงียบงัน ได้ยินนางพูดเช่นนี้แล้ว สีหน้าเขาก็ไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย นางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ท่านอาโจว ปกติท่านเป็นผู้ดูแลเรื่องจดหมายและการติดต่อต่างๆ ทั้งหมดของจวน จวนพวกเรากับภายนอกขาดการติดต่อนานนับเดือน ท่านคงทราบกระมังว่ามีสาเหตุจากอันใด”
แม่นมหลินคอยฟังอยู่ด้านข้างด้วยความสงสัย นางรู้มาตลอดว่าคุณหนูเป็นคนที่ไม่ยอมใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างไม่รู้เรื่องราวใด ในเมื่อครุ่นคิดแต่เรื่องภายในจวนขาดการติดต่อกับโลกภายนอก ย่อมต้องคิดหาวิธีไขความให้กระจ่าง แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงจงใจใช้วิธีถามตรงๆ จากพ่อบ้านโจวเช่นนี้
แม่นมหลินพลันนึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของฟู่หลันหยาที่พูดกับนางตอนเพิ่งตื่น จึงเกิดความคิดหนึ่งขึ้นในหัวทันที รีบหันไปมองพ่อบ้านโจวด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
ฟู่หลันหยากลับเอาแต่จ้องมองพ่อบ้านโจวโดยไม่หันไปทางอื่น นางค่อยๆ พูดขึ้นว่า “นอกจากเรื่องขาดการติดต่อทางจดหมายแล้ว ยังมีอีกเรื่องที่ข้าไม่เข้าใจ นั่นก็คือเรื่องที่ข้าเอาแต่ฝันร้าย ว่ากันตามจริง เดิมทีข้าคิดว่าเป็นเพราะลมปราณในกระเพาะอาหารติดขัด การลำเลียงธาตุอาหารแปรปรวน ขอแค่กินยาบำรุงสักสองสามเทียบแล้วพักฟื้นสักระยะหนึ่งก็คงหาย ใครเลยจะรู้ ตอนที่ข้าฝันร้ายเมื่อสองวันก่อนจึงได้รู้แจ้งในฝันนั้นเองว่าที่ข้าเอาแต่ฝันร้ายติดๆ กันที่แท้ก็มีสาเหตุ”
พ่อบ้านโจวได้ยินแล้วสีหน้าก็ยังไม่แปรเปลี่ยน เขาเพียงยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “เป็นเช่นนี้ช่างดีนัก ในเมื่อหาสาเหตุพบแล้ว โรคฝันร้ายของคุณหนูคงจะหายดีในไม่ช้า”
ฟู่หลันหยาส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ “จะว่าเช่นนั้นก็ไม่ได้ ฝันของข้าออกจะเหลวไหลเลอะเทอะเกินไป ถึงกับฝันเห็นท่านแม่พูดกับข้าว่าที่ข้าฝันร้ายไม่ใช่เพราะป่วยไข้ แต่เป็นเพราะมีคนวางยา ท่านอาโจวว่าเหตุใดจึงได้มีคนมาวางยาข้าเล่า ท่านว่านี่เหลวไหลหรือไม่”
นางพูดไปน้ำเสียงก็ทุ้มต่ำลง สีหน้าท่าทางดูไม่แตกต่างจากยามปกติ องครักษ์เสื้อแพรหลายคนที่ยืนมองอยู่ไม่ไกลก็คิดแค่ว่าพวกเขาสองนายบ่าวเพียงพูดคุยเรื่องทั่วไปเท่านั้น จึงไม่ได้คิดอะไรมาก
พ่อบ้านโจวได้ยินคำพูดนี้สีหน้ามิต่างจากเครื่องเคลือบชั้นดีที่มีรอยแตกร้าว ในที่สุดก็แปรเปลี่ยนเป็นเหยเก ทว่านี่ไม่ใช่เพราะเขาว้าวุ่นจนเผยพิรุธออกมา…
พ่อบ้านโจวอยู่ในจวนสกุลฟู่นานแล้ว เขาย่อมรู้นิสัยใจคอฟู่หลันหยาเป็นอย่างดี รู้ว่านางเป็นคนที่เฉลียวฉลาดเหนือใคร ไม่เคยทำอะไรโดยไร้จุดมุ่งหมายมาก่อน คำพูดนี้ดูเหมือนพูดไปอย่างนั้นเอง ทว่าแต่ละคำล้วนมีความนัยซ่อนเร้น ฟังแล้วถึงกับสั่นคลอนจิตใจ
เขาคิดไม่ถึงเลยสักนิด ทั้งที่คืนนี้ประสบเหตุร้ายถึงเพียงนี้ แต่ฟู่หลันหยาก็ยังสามารถคลำเครือไปหาแตงคาดเดาจนล่วงรู้ความจริงส่วนใหญ่ได้
ฟู่หลันหยาเห็นสีหน้าที่แปรเปลี่ยนของพ่อบ้านโจวอย่างชัดเจนก็รู้สึกเหมือนเลือดลมในอกตีกลับ ความโกรธแค้นเหมือนไอน้ำที่พวยพุ่งออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ นางจำต้องกัดฟันแน่นจึงจะรักษาสีหน้าให้เป็นปกติได้ ก่อนจะหัวเราะอย่างเย็นชา…คงไม่ต้องมอบยาถอนพิษเม็ดนั้นให้แล้ว
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็พูดขึ้นเบาๆ “ท่านอาโจว ข้ารู้ว่าท่านติดตามท่านพ่อมาหลายปี ท่านพ่อปฏิบัติต่อท่านเป็นอย่างดี ดูแลท่านดุจดั่งคนในครอบครัว ยังเคยสอนให้ท่านรู้หนังสือ ไม่ทราบว่าท่านเคยได้ยินนิทานที่เล่าเกี่ยวกับหูไฮ่ในสมัยฉินหรือไม่ ท่านพ่อของข้าเป็นผู้เที่ยงธรรม ไม่ยอมอ่อนข้อให้สิ่งผิด ทุกครั้งที่เล่าเรื่องคนเจ้าเล่ห์เยี่ยงหูไฮ่ก็มักจะพูดว่า…นับแต่โบราณมาจนถึงบัดนี้ พวกไร้ความซื่อสัตย์ภักดี ละทิ้งคุณธรรม มีเพียงจุดจบเดียวเท่านั้นคือ…”
นางหัวเราะเบาๆ แล้วชะโงกเข้ามาใกล้พ่อบ้านโจว เผยอริมฝีปากน้อยๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาที่ได้ยินเพียงแค่นางกับเขาว่า “ตาย”
พ่อบ้านโจวพลันมีสีหน้าเขียวคล้ำ ผุดลุกขึ้นยืนทันที
องครักษ์เสื้อแพรหลายคนที่อยู่ด้านข้างเห็นท่าทางพ่อบ้านโจวดูแปลกพิกลเช่นนี้ก็พากันชักดาบออกมา แล้วตะคอกสั่ง “ใครสั่งให้ลุกขึ้นยืน! รีบนั่งลงไป! พวกข้าได้รับมอบหมายให้มาจัดการความเรียบร้อย ผู้ใดกล้าขัดขืน สามารถตัดสินเจ้าฐานเป็นกบฏได้ทันที!”
ในเวลานั้นหวังซื่อเจากับผิงอวี้ก็เข้ามาในลานเรือนพอดี เห็นพ่อบ้านโจวเกิดขัดแย้งกับผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขา สีหน้าหวังซื่อเจาก็แปรเปลี่ยนเล็กน้อย รีบเดินเข้าไปหมายยับยั้งพ่อบ้านโจว
แต่ไม่รู้ว่าพ่อบ้านโจวเห็นสิ่งใดที่น่าหวาดผวากันแน่ สองตาเขาจึงจ้องมองไปข้างหน้า ไม่ได้ยินเสียงตะคอกที่ข้างหู เพียงชั่วพริบตาราวกับเขาได้เห็นภาพตรงหน้าอย่างชัดเจน รูม่านตาพลันหดตัวลงทันใด ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้ม ถอยหลังกรูดติดๆ กันหลายก้าว
คนที่เหลือเห็นสีหน้าพ่อบ้านโจวดูหวาดกลัวเช่นนี้ก็พากันขนลุกเกรียว มองตามสายตาของเขาไปข้างหน้า กลับเห็นเพียงแสงจันทร์เจิดจ้าส่องลงมาในลานเรือน ดอกไม้ใบหญ้าต้องลมส่ายไหวส่งเสียงดังซู่ๆ นอกจากนี้ก็ไม่มีสิ่งใดผิดแปลก
“เร็วเข้า! จับตัวเขามา!” หวังซื่อเจาเห็นพ่อบ้านโจวมีท่าทางแปลกพิกล เกรงว่าจะเกิดอาการสติวิปลาสเฉียบพลันแล้วอาจเปิดปากพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกมา เขาจึงไม่พูดสิ่งใดให้มากความอีก ชิงเดินเข้าไปแล้วเงื้อดาบพุ่งเข้าหาพ่อบ้านโจว
ผิงอวี้เห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ แววตาก็วูบไหว มองดูหวังซื่อเจาจากทางด้านหลัง ท่าทีคล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
พ่อบ้านโจวราวกับไม่รู้ตัวว่าคมดาบของหวังซื่อเจาและพวกผู้ใต้บังคับบัญชาของอีกฝ่ายกำลังพุ่งเข้ามาใกล้จากทางด้านหลังแล้ว เขายังคงเอาแต่จ้องมองไปข้างหน้าแน่วนิ่ง สีหน้าหวาดผวาขึ้นเรื่อยๆ จนบิดเบี้ยว โดยไม่รอให้หวังซื่อเจาและองครักษ์เสื้อแพรคนอื่นๆ เข้ามาใกล้ ก็ร้องเสียงประหลาดออกมาครั้งหนึ่ง แล้วตะโกนอย่างโหยหวนว่า “อย่า! อย่าเข้ามา!”
จู่ๆ พ่อบ้านโจวก็มีพละกำลังมหาศาลขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แม้จะมีเพียงมือเปล่า แต่กลับปัดคมดาบซิ่วชุนของหวังซื่อเจาและพรรคพวกออกไปด้านข้างอย่างแรงได้ ไม่ช้าก็ตะกายหนีสุดชีวิต ดวงตาแดงก่ำดูวาวโรจน์ ก้าวพรวดๆ เร่งฝีเท้าไปข้างหน้าราวกับคนเสียสติ วิ่งไปก็หันกลับมามองอย่างหวาดผวา ปากร้องตะโกนไม่หยุดราวกับว่าข้างหลังมีผีร้ายไล่ตามมาเอาชีวิต
แต่วิ่งไปได้ไม่ไกลนักพ่อบ้านโจวก็เหมือนถูกคนซัดหมัดเข้าใส่จนซวนเซแล้วโงนเงนล้มลงคุกเข่า เขาเจ็บปวดจนต้องกุมหน้าอกไว้ ตะเกียกตะกายจะลุกขึ้นยืน ทว่าร่างกายกลับสั่นกระตุกอย่างแรงหลายครั้ง ไม่ช้าก็กลับไปคุกเข่า ก่อนร่างจะร่วงไปนอนแน่นิ่งตัวแข็งกับพื้น ไม่ขยับเขยื้อนอีกต่อไป
ฟู่หลันหยาเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจเฮือกราวกับหมดสิ้นเรี่ยวแรง ปาดเหงื่ออยู่เงียบๆ อาศัยจังหวะที่ทุกคนพุ่งความสนใจไปที่ร่างพ่อบ้านโจว ยกชายแขนเสื้อมาบังไว้แล้วค่อยๆ ดีดผงยาที่ซ่อนไว้ในซอกเล็บทิ้งลงพื้นทีละน้อยๆ
นิ้วมือของนางสั่นเทา หัวใจเต้นโครมครามไม่หยุด ถึงจะไม่นึกเสียใจแม้แต่น้อย แต่พอคิดว่าเพิ่งฆ่าคนด้วยมือตนเองไป นางก็ยังรู้สึกเหมือนในท้องมีบางอย่างประดังขึ้นมาจนอยากจะอาเจียน
หลายวันก่อนหน้านี้ หลังตระหนักได้ว่าคนในจวนขาดการติดต่อกับผู้คนภายนอกแล้ว นางก็รู้สึกเคลือบแคลงใจในตัวพ่อบ้านโจว เพราะเขาอยู่ในจวนสกุลฟู่มาหลายปี ได้รับความไว้วางใจจากท่านพ่อเป็นอย่างมาก การงานทั้งหลายของจวนส่วนใหญ่ล้วนต้องผ่านมือเขา นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีผู้ใดทำให้จวนสกุลฟู่กลายสภาพเป็นเกาะโดดเดี่ยวได้อีก
ที่น่าแปลกยิ่งกว่าก็คือหลังจากที่นางเริ่มป่วย เดิมคิดว่าพ่อบ้านโจวจะเชิญท่านหมอเฉิงมาตรวจรักษาอาการป่วยให้ เพราะท่านหมอเฉิงเป็นหมอผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองชวีจิ้ง ทั้งยังคุ้นเคยกับบันทึกการตรวจรักษาของนางมากที่สุด เขามาตรวจด้วยตนเองคงจะสามารถออกเทียบยาจนรักษานางให้หายได้ ใครเลยจะรู้ พ่อบ้านโจวกลับไปเชิญหมอแปลกหน้ามาแทน ท่านหมอเฉิงไม่เคยได้ปรากฏตัวที่จวน
นางสงสัยใคร่รู้จึงได้ถามพ่อบ้านโจวครั้งหนึ่ง เขากลับบอกว่าท่านหมอเฉิงหลบไปอยู่ชนบทเพื่อหนีภัยจากพวกคนเร่ร่อนแล้ว ระหว่างนี้ไม่อยู่ในเมืองเป็นการชั่วคราว
นางไม่ได้รับจดหมายจากบิดา พี่ชาย และท่านลุง ทั้งยังไม่ทราบข่าวคราวใดๆ ของเรื่องราวภายนอกจากคนข้างกาย วันทั้งวันล้วนอยู่แต่ในจวน ต้องทุกข์ทรมานจากอาการฝันร้าย
วันนั้นจู่ๆ นางก็นึกถึงตำรายาที่เคยอ่าน ตำรานั้นอยู่ในห้องหนังสือของบิดา ได้จากหมอที่เดินทางผ่านมามอบไว้ให้ ในนั้นบันทึกว่ามียาพิษที่ออกฤทธิ์ช้าขนานหนึ่ง แม้พิษไม่ได้ร้ายแรงถึงแก่ชีวิต แต่จะทำให้มีอาการฝันร้ายในตอนกลางคืน กลางวันขวัญผวาอยู่ไม่สุข เป็นเช่นนี้นานไปอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
จะว่าไปแล้วก็ช่างสอดคล้องกับอาการป่วยของนางมากจริงๆ
คืนนี้หลังจากต้องตื่นขึ้นจากความฝันอย่างขวัญผวา จู่ๆ นางก็ตระหนักได้ว่าตอนที่ฝันร้ายครั้งแรก เป็นคืนที่สองนับจากวันที่บิดาได้รับพระบัญชาให้เดินทางกลับเมืองจิงเฉิงพอดี ตอนนั้นนางตั้งใจว่าจะพาแม่นมหลินและคนรับใช้เดินทางไปหาท่านลุงที่เมืองสู่ แต่เพราะอาการฝันร้ายทำให้ยามกลางวันจิตใจนางหวาดผวาไม่เป็นสุข จึงทำให้การเดินทางต้องล่าช้าออกไป
เวลาที่เริ่มมีอาการป่วยนี้เกิดขึ้นอย่างบังเอิญเกินไป คิดดูให้ละเอียดแล้วไม่น่าเชื่อเอาเสียเลย ราวกับว่ามีใครที่คิดจะกักตัวนางให้อยู่แต่ในจวน และจงใจทำให้นางฝันร้ายโดยไม่ให้เป็นที่น่าสงสัย
หลังจากปะติดปะต่อเหตุการณ์ประหลาดในจวนต่างๆ ทั้งหลายเข้าด้วยกันแล้ว นางก็อดคิดไม่ได้ว่าพ่อบ้านโจวถูกใครบงการมา และเขามีจุดมุ่งหมายใดกันแน่จึงได้ลงมือทำเช่นนี้
หากเป็นฝีมือเขาจริงๆ เช่นนั้นเรื่องที่บิดาและพี่ชายถูกคนวางแผนคิดร้ายก็ย่อมเกี่ยวข้องกับเขาด้วยไม่มากก็น้อย อย่างไรเขาก็มีฐานะเป็นคนรับใช้ผู้ภักดีของบิดา ติดตามรับใช้มานานหลายปีเพียงนี้ ไม่มีใครทราบถึงขุมกำลังอำนาจของบิดาได้กระจ่างแจ้งเท่าเขาอีกแล้ว หากคิดจะเล่นงานบิดาของนาง พ่อบ้านโจวย่อมถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะจะซื้อตัวมากที่สุด
เมื่อครู่ขณะนางอาศัยช่วงเวลาที่รินน้ำชาลอบวางยาพ่อบ้านโจว ก็ได้ซ่อนยาถอนพิษไว้ในชายแขนเสื้อด้วย ลึกๆ ในใจนางยังมีความหวังอยู่ หวังว่าทุกอย่างจะเป็นเพียงความเข้าใจผิด พ่อบ้านโจวเป็นท่านอาโจวที่ซื่อสัตย์ภักดีไว้ใจได้ ไม่เคยถูกผู้ใดซื้อตัว และไม่เคยสมคบคิดกับผู้อื่นมาทำร้ายบิดาของนาง
แต่ฟู่หลันหยาไม่คิดเลยว่าพ่อบ้านโจวจะเผยพิรุธออกมารวดเร็วปานนี้ ที่ยิ่งทำให้นางคาดไม่ถึงก็คือผงยาพิษที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ในกล่องบุผ้าไหมจะมีฤทธิ์ร้ายกาจเพียงนี้ เหมือนมีฤทธิ์ทำให้ประสาทหลอนอีกด้วย…
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ทำให้เหล่าคนรับใช้ตกอกตกใจอย่างมาก นอกจากเสียงฝีเท้าองครักษ์เสื้อแพรซึ่งมาตรวจดูศพของพ่อบ้านโจวและเสียงเสื้อผ้าเสียดสีกันดังสวบสาบแล้ว ก็ไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ อีกเป็นเวลานานทีเดียว
ฟู่หลันหยาทางหนึ่งแสร้งแสดงอาการหวาดผวาลนลาน กุมมือแม่นมหลินไว้แน่น แต่อีกทางก็ลอบสังเกตสิ่งต่างๆ ไม่ปล่อยให้คลาดสายตาแม้เพียงชั่วขณะเดียว
หวังซื่อเจามาถึงข้างศพพ่อบ้านโจวเป็นคนแรก เขากระชากผมพ่อบ้านโจวให้แหงนหน้าขึ้น พอดูจนแน่ใจว่าคนผู้นี้ตายแล้ว สีหน้าเขาก็ดีขึ้นมาก
เดิมทีผิงอวี้กำลังจะรีบเดินเข้าไปที่ศพพ่อบ้านโจวเช่นกัน แต่พอเหลือบเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหวังซื่อเจา เขาก็ตกใจ พลอยให้ชะลอฝีเท้าลงด้วย
หวังซื่อเจายังตรวจดูสภาพศพซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วลุกขึ้นพูดกับผิงอวี้ “ใต้เท้าผิง คนผู้นี้ตายอย่างน่าประหลาดนัก ดูแล้วเหมือนหัวใจวายตาย”
แม่นมหลินโอบกอดฟู่หลันหยาแน่นขึ้นอย่างเงียบๆ นางตื่นตระหนกจนเหงื่อซึมออกมือแล้ว เนื่องจากได้ยินอีกฝ่ายพูดคุยกับพ่อบ้านโจวเมื่อครู่นี้อย่างชัดเจน นึกรู้ว่าการตายของพ่อบ้านโจวน่าจะเกี่ยวข้องกับคุณหนูอย่างไม่อาจสลัดพ้น จึงกลัวว่าองครักษ์เสื้อแพรจะเกิดสงสัยในตัวฟู่หลันหยาขึ้นมา
ทว่าฟู่หลันหยายังคงดูสงบนิ่งเช่นเดิม นางจัดการดีดผงยาพิษออกไปจนหมดแล้ว ในตัวมีเพียงยาลูกกลอนถอนพิษที่มารดาทิ้งไว้ให้ถุงหนึ่ง ต่อให้ถูกองครักษ์เสื้อแพรตรวจพบความผิดปกติก็ยังบอกได้ว่าเป็นยาลูกกลอนใช้รักษาโรค แม้ตอนอยู่ในห้องนางจะเพิ่งกินยาเม็ดนี้เข้าไป แต่หากเข้าตาจนจริงๆ ถึงต้องกินยาอีกครั้งต่อหน้าพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะยาตัวนี้นอกจากมีฤทธิ์เย็นอยู่บ้างก็ไม่เป็นอันตรายอันใด
แต่น่าเสียดายที่มารดาทิ้งผงยาพิษไว้ในกล่องบุผ้าไหมน้อยไปสักหน่อย เมื่อครู่นี้ใช้เล่นงานพ่อบ้านโจวไปจนหมด ผงที่ติดในซอกเล็บก็ดีดทิ้งลงพื้นจนหมดแล้ว มิเช่นนั้นระหว่างเดินทางไปเมืองจิงเฉิงนางอาจได้ใช้ยาพิษนี้ยามเข้าตาจนก็เป็นได้
ผิงอวี้ยังยืนอยู่ที่เดิม จ้องมองร่างที่นอนตะแคงของพ่อบ้านโจว สีหน้าสับสนงุนงงอย่างยากจะได้เห็น ต่อให้ช่วงหลายปีที่ผ่านมาจะเคยพบพานเรื่องประหลาดบนศพนักโทษไม่น้อย ผิงอวี้ก็ยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ เพราะจากมุมมองของเขา จะมองอย่างไรท่าคุกเข่าตายของพ่อบ้านโจวก็เหมือนตายเพื่อชดใช้ความผิด
เขาเดินไปถึงข้างศพก็คุกเข่าลง แล้วก้มลงมองสำรวจใบหน้าของพ่อบ้านโจว เห็นสองตาของศพยังเบิกโพลงด้วยความหวาดผวาสุดขีดจนลูกตาแทบถลนออกนอกเบ้า สีหน้าดูซีดเผือดราวกับว่าตายเพราะตกใจกลัวจนขวัญกระเจิง
พอเข้าไปใกล้ ทันใดนั้นเขาก็ได้กลิ่นขมบริเวณจมูกศพ เขานิ่วหน้าทันที
ฟู่หลันหยาจับตาสังเกตทุกอากัปกิริยาของผิงอวี้อยู่เงียบๆ
สีหน้าหวังซื่อเจาไม่สู้ดี เขาเคยทำคดีน้อยใหญ่มามาก ไม่ว่าลักษณะการตายจะแปลกประหลาดพิสดารเพียงไรก็เคยเห็นมาไม่น้อย เห็นผิงอวี้นิ่งงันอยู่นานไม่พูดอะไรหัวใจก็กระตุกวูบพลางชะโงกหน้าเข้าไปดมกลิ่นด้วย “ก่อนหน้านี้ไม่เห็นมีกลิ่นนี้เลย คนผู้นี้ไม่ใช่ตายเพราะหัวใจวายหรอกรึ หรือว่าถูกพิษจนตาย”
ถูกพิษ? ในจวนเกิดเสียงอื้ออึงขึ้นทันที ผู้ใดอาจหาญทำเรื่องเช่นนี้กัน ถึงขั้นกล้าวางยาฆ่าคนภายใต้การจับจ้องขององครักษ์เสื้อแพร
ผิงอวี้ไม่ออกความเห็นอะไรทั้งสิ้น เขาลุกขึ้นหันไปมองคนในสกุลฟู่ แววตาสำรวจตรวจสอบน่าขนลุกขนพองยิ่งนัก
“ใต้เท้า” องครักษ์เสื้อแพรสองสามคนที่ก่อนหน้านี้ยกน้ำชามาให้คนสกุลฟู่เดินเข้ามาแล้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่นี้พ่อบ้านโจวขอน้ำชากาหนึ่งมาแบ่งให้คนรับใช้สกุลฟู่ดื่ม ตัวเขาเองก็ดื่มไปถ้วยหนึ่งด้วย ใต้เท้า ถ้านักโทษถูกวางยาพิษจนตาย ยาพิษนั้นเป็นไปได้หรือไม่ว่าจะถูกใส่ลงในน้ำชา”
ผิงอวี้ยกกาน้ำชาขึ้นมาดู แล้วรับถ้วยชามาดมดูทีละถ้วยจนครบ เพียงรู้สึกว่ากลิ่นนั้นจางเกินไปจนไม่อาจแน่ใจได้ จึงส่งคืนให้ผู้ใต้บังคับบัญชาแล้วหันกลับมา ค่อยๆ กวาดตามองไปยังเหล่าคนรับใช้สกุลฟู่
“ใต้เท้า” หวังซื่อเจาเหลือบมองไปยังฟู่หลันหยาอย่างคล้ายไม่ได้ตั้งใจ จู่ๆ ก็พูดขึ้นมา “ถ้าหากมีการวางยาพิษจริง ยานั้นก็น่าจะยังอยู่ในตัวคนผู้นั้น จะให้ค้นตัวหรือไม่”
ผิงอวี้ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ “ก็จริง ในเมื่อทุกคนล้วนอยู่ที่นี่ ก็ตรวจค้นให้เรียบร้อยเถอะ”
พอพูดเช่นนี้ คนรับใช้ในลานเรือนก็มีสีหน้าท่าทางที่หวาดกลัวขึ้นอีกหลายส่วน เหล่าองครักษ์เสื้อแพรขานรับคำสั่ง กำลังจะนำตัวคนรับใช้ที่นั่งกระจัดกระจายอยู่ในลานเรือนเข้าไปห้องด้านข้างที่ว่างอยู่เพื่อจะได้ตรวจค้นเป็นรายคนได้สะดวก แม่นมหลินก็พูดขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ “ใต้เท้าทุกท่าน คุณหนูของพวกเราปกติแล้วเป็นผู้รู้หนังสือรู้หลักธรรมเนียม แม้แต่มดสักตัวยังไม่อาจตัดใจบี้ให้ตาย ย่อมไม่อาจฆ่าใครได้ นอกจากนี้หลายวันก่อนยังล้มป่วยอยู่หลายวัน สุขภาพยังไม่แข็งแรงดี…”
หวังซื่อเจาย่อมจะยิ้มอยู่ในใจ ภายนอกยังคงมีสีหน้าแข็งขืนยืนยันจะทำตามระเบียบ จึงพูดตัดบทแม่นมหลินว่า “พ่อบ้านโจวเพิ่งจะตายอย่างไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด เมื่อครู่นี้คุณหนูของเจ้าก็อยู่ในลานเรือนด้วย หากไม่ตรวจค้นให้ทั่ว ไม่แน่คนทำผิดอาจยังมียาพิษติดตัวอยู่ ไม่อาจรู้ได้ว่าใครจะเป็นผู้โชคร้ายรายต่อไป”
พูดพลางผลักแม่นมหลินออกไปอย่างหมดความอดทน โผเข้าไปคว้าข้อมือบอบบางของฟู่หลันหยา แม้จะอยู่ใต้แสงจันทร์สลัว ทว่าผิวเนื้อที่ลำคอและข้อมือซึ่งเผยออกมาของนางก็ยังดูขาวผ่องราวกับอัญมณีจนเขาอดใจไม่สัมผัสไม่ได้
ฟู่หลันหยารู้สึกได้แต่แรกแล้วว่าคนผู้นี้ใช้สายตาเหิมเกริมมองนางอย่างมิได้ยำเกรง พอมาอยู่ใกล้ๆ จึงเห็นว่าดวงตาคู่นั้นมีแววหื่นกระหายอย่างยากจะปิดบัง นางพลันรู้สึกโมโห รีบถอยหนีก้าวหนึ่ง ก่อนหน้านี้ก็เตรียมคำพูดก่นด่าไว้ในใจเสียยืดยาว ประจวบเหมาะแล้วที่จะนำมาใช้ประณามหยามเหยียดหวังซื่อเจา
ผิงอวี้ที่อยู่อีกด้านเห็นหวังซื่อเจาหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ ตอนแรกเขาก็เลิกคิ้วประหลาดใจ ก่อนลอบยิ้มหยันแล้วโพล่งขึ้นว่า “ช้าก่อน!”
หวังซื่อเจาชะงักทันที เขาหันไปมองผิงอวี้อย่างฉุนโกรธระคนงุนงงสงสัย
ผิงอวี้ตีหน้าเคร่งขรึมแล้วชี้ไปยังฟู่หลันหยา พูดอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “คุณหนูฟู่ผู้นี้ ข้าจะค้นตัวนางด้วยตนเอง”
หวังซื่อเจาได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึง พอได้สติก็รู้สึกเสียหน้าอย่างรุนแรง ยิ่งโมโหกว่าเดิม
ถ้าเขาจำไม่ผิด แม้ผิงอวี้จะเป็นคนเจ้าเล่ห์ที่มักซ่อนดาบไว้ในรอยยิ้ม แต่ก็มิใช่คนที่ลุ่มหลงในอิสตรี
เมื่อก่อนบรรดาองครักษ์เสื้อแพรเคยไปร่วมสำราญด้วยกัน ข้างกายล้วนเต็มไปด้วยหญิงสาว มีเพียงผิงอวี้ที่เอาแต่พูดคุยร่าเริงสนุกสนาน น้อยครั้งมากที่จะยอมให้มีสาวงามมาคอยอยู่เป็นเพื่อนร่ำสุรา
เนื่องจากผิงอวี้ทำอะไรล้วนไม่เปิดเผยความรู้สึก แรกๆ เขาจึงยังไม่รู้สึกว่าผิดแปลกอะไร แต่พอนานวันเข้าความเคลือบแคลงใจก็ยิ่งพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ถึงกับแอบคาดเดาว่าผิงอวี้มีความชื่นชอบที่ไม่อาจเปิดเผย ยามคิดเช่นนั้นเขายังนึกได้ใจไม่น้อย
บัดนี้ผู้ตรวจการกำลังมีอำนาจ คำพูดของเหล่าผู้ตรวจการสามารถฆ่าคนได้ หากนำเรื่องที่ว่านี้ไปพูดต่อ ไม่แน่อาจสามารถกระชากผิงอวี้ลงจากตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรในคราวเดียวก็เป็นได้ แล้วตัวเขาจะได้ขึ้นรับตำแหน่งแทน
เขาร้อนใจอยากพิสูจน์ว่าสิ่งที่คาดเดานั้นเป็นจริง จึงขอยืมกำลังคนที่เก่งกล้าจากสำนักบูรพาของผู้เป็นอาให้ออกไปสืบข่าว หลังจากรวบรวมข่าวสารอยู่ครึ่งปี จึงได้ทราบว่าที่ปีนั้นซีผิงโหวถูกถอดออกจากตำแหน่งและโยกย้ายไปถิ่นทุรกันดาร ผิงอวี้ซึ่งเป็นบุตรชายคนเล็กของซีผิงโหวก็พลอยถูกเนรเทศไปยังเมืองเซวียนฝู่ด้วย และถูกกระทำการหลู่เกียรติเป็นอันมาก
ตอนนั้นเผ่าหว่าล่าของเหมิงกู่ภายใต้การบัญชาของถ่านปู้ข่านผู้เสริมสร้างกองทัพจนเข้มแข็ง คอยก่อกวนที่ชายแดนอยู่เนืองๆ เมืองเซวียนฝู่เป็นชัยภูมิของแนวหน้า ย่อมต้องเป็นจุดที่ถูกโจมตีก่อน
มีครั้งหนึ่ง ถ่านปู้ข่านรวบรวมกำลังพลทหารม้าหลายพันนายบุกจู่โจมเซวียนฝู่ในยามวิกาล หลังผ่านศึกยาวนานตลอดคืน เขาก็จับตัวเชลยศึกไว้ได้หลายสิบคน ตอนนั้นผิงอวี้ซึ่งถูกเนรเทศมาก็เป็นทหารราบอยู่ในค่ายใหญ่เมืองเซวียนฝู่และไปทำศึกที่แนวหน้าด้วย จึงโชคร้ายกลายเป็นหนึ่งในเชลยศึก
ถ่านปู้ข่านให้ส่งตัวเชลยศึกกลับไปที่เผ่า แล้วทำการคัดเลือกคนที่ยังอ่อนเยาว์และรูปโฉมใช้ได้ด้วยตนเอง จากนั้นส่งตัวไปให้แก่แม่หมอผู้หนึ่งที่ติดตามกองทัพมา
แม่หมอผู้นี้เป็นคนมีวิชาเก่งกาจที่มีชื่อเสียงของเผ่าเหอซั่วเท่อมีความสามารถในศาสตร์การดูดวงดาวและทำนายโชคชะตา สามารถทำนายทายทักเคราะห์หามยามร้าย นางถือเป็นผู้ที่ถูกแย่งชิงตัวมากที่สุดในหมู่ชาวเหมิงกู่ ซึ่งถ่านปู้ข่านต้องพยายามอย่างมากกว่าจะดึงตัวนางมาใช้งานได้
ภายใต้การชี้แนะของแม่หมอผู้นี้ ถ่านปู้ข่านสามารถรวบรวมเผ่าต่างๆ ที่กระจัดกระจายออกไปได้ไม่น้อยจนเป็นปึกแผ่น กำลังพลมีมากขึ้นเรื่อยๆ ภายหลังจึงได้บุกจู่โจมเมืองหน้าด่านทั้งเซวียนฝู่และจี้โจว มีหลายครั้งที่จู่โจมแบบไม่ให้ทันตั้งตัวจนได้รับชัยชนะอยู่หลายครั้ง โดยอาศัยสภาพอากาศที่แปรปรวนผิดวิสัย เช่น ฝนลูกเห็บ หรือไม่ก็พายุฝนฟ้าคะนอง
ถ่านปู้ข่านได้รับชัยชนะอันหอมหวานจึงยิ่งมองว่าแม่หมอคือยอดฝีมือแห่งยุค ตั้งให้นางเป็นคนโปรด แม่หมอผู้นี้อยู่ในกองทัพของถ่านปู้ข่านมาหลายปี แม้มีฐานะสูงส่งแต่กลับไม่ละโมบในทรัพย์สมบัติ ทั้งไม่อวดอ้างตนตามอำเภอใจ นางมีความชื่นชอบเพียงอย่างเดียวก็คือลุ่มหลงการเริงสวาทในยามค่ำคืนกับคนหนุ่มหน้าตาดีเพื่อฝึกฝนศาสตร์ลึกลับ โดยเฉพาะชายหนุ่มชาวจงหยวน
ดังนั้นทุกครั้งที่ถ่านปู้ข่านออกรบ เมื่อใดที่จับเชลยศึกได้ก็ล้วนส่งไปให้นางคัดเลือกถึงกระโจม ตอนนั้น ผิงอวี้ก็เป็นหนึ่งในเชลยที่ถูกส่งไป เขามีอายุเพียงสิบห้าปีเท่านั้น เพราะรูปโฉมหล่อเหลาจึงเป็นที่ต้องตาของแม่หมอ
แม่หมอผู้นี้อายุสี่สิบกว่าแล้ว รูปร่างอ้วนสูงใหญ่ ยามร่วมอภิรมย์นางชื่นชอบที่จะมัดชายหนุ่มไว้กับเก้าอี้
คราวนี้ผิงอวี้ย่อมไม่เป็นข้อยกเว้น
กว่าคนรับใช้ที่รออยู่ด้านนอกจะได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวผิดปกติที่ข้างในแล้วพากันบุกเข้ามา ก็เห็นผิงอวี้หลุดจากพันธนาการได้ตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ กำลังรัวหมัดเข้าใส่แม่หมอที่เปลือยกายล่อนจ้อนอย่างโหดเหี้ยมทั้งที่ร่างกายท่อนบนของเขาเองก็ยังเปลือยเปล่า
ดวงตาของผิงอวี้แดงก่ำ รัวหมัดอย่างแรงจนร่างอ้วนจ้ำม่ำขาวผ่องของแม่หมอสั่นกระเพื่อมไปตามแรงหมัด นางหวีดร้องด้วยความเจ็บปวด สภาพร่อแร่จนแทบจะเหมือนเศษผ้าเก่าๆ
เรื่องน่าประหวั่นพรั่นพรึงนี้เกิดขึ้นกะทันหัน ชาวเผ่าหว่าล่าไม่น้อยยังจดจำได้จวบจนบัดนี้ราวกับว่าเรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากนั้นผิงอวี้ก็อาศัยช่วงชุลมุนชิงกระบี่มาฆ่าฟันพวกคนรับใช้ตายไปหลายศพ แล้วขโมยม้าที่ผูกไว้หน้ากระโจม กระโดดขึ้นหลังห้อตะบึงไปถึงหน้าค่ายในอึดใจเดียวจนเกือบจะหนีออกไปนอกค่ายได้
ถ่านปู้ข่านทราบเรื่องก็โกรธเกรี้ยว รีบนำคนไปล้อมจับเด็กหนุ่มที่เหิมเกริมผู้นั้น พอจับได้ก็มัดเขาไว้กับเสาไม้หน้าคอกสัตว์ แล้วลงแส้อย่างแรงด้วยตนเองนับหลายสิบที
โชคดีที่คืนนั้นจางหลู่แม่ทัพผู้ทำหน้าที่รักษาการณ์ค่ายทหารที่เซวียนฝู่นำกำลังพลเข้าจู่โจมเผ่าของถ่านปู้ข่านพอดี จึงช่วยชีวิตผิงอวี้และเชลยศึกทั้งกลุ่มเอาไว้ มิเช่นนั้นผิงอวี้คงตายในค่ายทหารของถ่านปู้ข่านตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว มีหรือจะรอดชีวิตมาช่วยอดีตฮ่องเต้ออกจากค่ายทหารที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ในอีกสองปีให้หลัง รวมทั้งช่วยบิดาผู้มียศเป็นซีผิงโหวให้กลับคืนสู่ตำแหน่งได้
หวังซื่อเจาได้ยินเรื่องราวน่าเหลือเชื่อนี้ก็แอบเยาะหยันอยู่นาน ใครจะคาดคิดว่าใต้เท้าผิงผู้น่าเกรงขามก็เคยมีอดีตที่ยากจะรับได้เช่นนี้อยู่ช่วงหนึ่งด้วย
เขากระหายใคร่รู้ยิ่งนักว่าสถานการณ์ตอนนั้นของผิงอวี้และแม่หมอในกระโจมเป็นเช่นไร คิดแล้วคงน่าจะ ‘หวาดผวา’ อย่างยิ่ง มิเช่นนั้นจะทำให้ผิงอวี้รังเกียจการเข้าใกล้หญิงสาวมาจนถึงบัดนี้ได้หรือ
คิดถึงตรงนี้หวังซื่อเจาก็มองผิงอวี้ด้วยความเคลือบแคลงระคนกรุ่นโกรธ เมื่อครู่ตอนที่เขาพูดแทบไม่ยิ้มออกมา ดูไม่เห็นจะสนใจในตัวฟู่หลันหยาสักนิด
จู่ๆ หวังซื่อเจาก็นึกถึงอีกเรื่องที่เป็นไปได้ พลันบังเกิดความระแวงขึ้นในใจ หรือว่าผิงอวี้จะสงสัยเรื่องที่เกิดกับพ่อบ้านโจว
เขารีบนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ พ่อบ้านโจวตายอย่างฉับพลัน คำพูดที่จะเผยออกไปยังไม่ทันได้เอ่ยสักคำ คงไม่ได้เผยพิรุธอะไรออกไปกระมัง
แต่ว่า…ถ้าคนผู้นี้ถูกวางยาพิษจริงๆ คนที่ลงมือจะเป็นใครไปได้เล่า
เขากวาดตามองคนที่อยู่ในลานเรือนอย่างรวดเร็ว สายตามองไปยังเรือนร่างสาวงามข้างๆ ผู้มีเรือนผมดำขลับและดวงตาเจิดจ้าอย่างอดไม่ได้ เพียงชั่วครู่ก็แอบนึกกับตนเองว่าคิดมากเกินไป นางเป็นสาวน้อยบอบบางอ่อนแอออกปานนี้ ต่อให้ใจกล้าบ้าบิ่นสักเพียงใดก็คงไม่กล้าฆ่าคนแน่
ฟู่หลันหยามองดูผิงอวี้เดินเข้ามาหาอย่างเย็นชา แล้วพูดขึ้นทันที “ใต้เท้าผิง แม้คดีของบิดาและพี่ชายข้ากำลังไต่สวนอยู่ แต่ยังไม่ได้ตั้งข้อหาออกมาเป็นที่แน่ชัด ตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ หากยังไม่ได้ตั้งข้อหา พวกท่านก็ไม่ได้รับอนุญาตให้กระทำการหยามหมิ่นใดๆ ต่อบุตรและภรรยาของขุนนาง นี่เป็นข้อที่หนึ่ง ข้อที่สอง เมื่อครู่ตอนที่พ่อบ้านของข้าตายกะทันหัน ในลานเรือนมีคนของท่านอยู่ด้วยไม่น้อย ทุกคนในที่นี้ล้วนแต่เป็นผู้ต้องสงสัย เหตุใดท่านไม่ตรวจค้นตัวผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านก่อนเล่า ไฉนจะลงมือตรวจค้นพวกข้าซึ่งเป็นเพียงสตรีที่ไร้อาวุธในมือ”
ผิงอวี้ได้ฟังคำพูดอันเฉียบแหลมของนางก็หัวเราะด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน “ไม่เสียทีที่เป็นบุตรีของฟู่ปิง รู้จักพูดจาฉะฉานไม่ต่างจากบิดาของเจ้าเลย แต่สำหรับองครักษ์เสื้อแพรอย่างข้า ไม่ว่ากระทำการสิ่งใดก็จะทูลรายงานต่อฮ่องเต้ผู้เดียวเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องพูดจากับผู้อื่นให้มากความ จำเป็นต้องอธิบายให้คุณหนูฟู่ฟังด้วยหรือ”
แม่นมหลินอ้อนวอนอยู่ข้างๆ ทั้งน้ำตา “ใต้เท้า คุณหนูบ้านบ่าวยังมิได้ออกเรือน ไฉนจะปล่อยให้ชายหนุ่มมาแตะต้องตรวจค้นตามเนื้อตัวได้ นางรู้หนังสือและยึดถือจรรยา หากคิดไม่ตกจนตัดช่องน้อยแต่พอตัวเพราะเรื่องนี้ ใต้เท้าคงไม่อาจหาคำอธิบายดีๆ ให้กับทางราชสำนักได้”
ผิงอวี้จับจ้องเพียงฟู่หลันหยา “ดูท่าแล้วแม่นมผู้นี้ของเจ้ายังไม่ค่อยรู้ธรรมเนียมขององครักษ์เสื้อแพรอย่างแจ่มแจ้งเท่าใดนัก ขอเพียงตกมาอยู่ในกำมือพวกเรา แค่จะมีชีวิตรอดนั้นก็ไม่ง่ายแล้ว ต่อให้อยากตายก็เกรงว่าจะยากยิ่งกว่า ตราบใดที่ข้าไม่อนุญาต คุณหนูบ้านเจ้าถึงอยากตายก็ตายไม่ได้ คุณหนูฟู่เป็นคนฉลาดคงไม่ต้องพูดให้มากความ หากยังทำตัวยุ่งยากอีก ข้าจะไม่เกรงใจว่าต้องตรวจค้นตัวเจ้าต่อหน้าผู้คนแล้ว”
แม่นมหลินตกใจจนต้องเงียบปาก กลัวว่าผิงอวี้จะทำให้คุณหนูต้องอับอายต่อหน้าผู้คน สีหน้าจึงหวาดหวั่น ได้แต่กลั้นน้ำตาไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว
ฟู่หลันหยาสู้สายตากับผิงอวี้อยู่เงียบๆ ดวงตาที่สงบนิ่งราวกับบึงน้ำเยือกเย็นของนางค่อยๆ วาวโรจน์ราวกับมีประกายไฟเล็กๆ ปะทุขึ้นสองดวง
ผิงอวี้มองดูนางอย่างเฉยชา ไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย
หลังจากนิ่งเงียบไปนาน ในที่สุดฟู่หลันหยาก็เข้าใจว่าตนเองไม่มีอะไรไปต่อรองเขาได้ จึงหันหลังแล้วเดินไปยังห้องด้านข้างที่ใช้ในการตรวจค้น
หวังซื่อเจาได้แต่มองดูผิงอวี้เอามือไพล่หลังแล้วเดินตามฟู่หลันหยาเข้าไปในห้อง ในใจกรุ่นไปด้วยความเดือดดาล ได้แต่หวังว่าโรคไม่ชอบเข้าใกล้สตรีของผิงอวี้จะไม่หายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยารักษา เพราะหากสาวงามที่หาได้ยากยิ่งอย่างฟู่หลันหยาตกเป็นของผิงอวี้ไปเสียก่อน เขามินับว่ามาเสียเที่ยวหรอกหรือ
เดินไปพลางฟู่หลันหยาก็พยายามขบคิดอย่างหนักไปพลาง สุดท้ายจึงนึกเรื่องหนึ่งที่บิดาเคยเล่าให้ฟังได้
สองปีก่อน ตอนที่อดีตฮ่องเต้ไปพักแรมที่ค่ายทหารรักษาการณ์เมืองเซวียนฝู่ ทหารฝ่ายถ่านปู้ข่านลอบเข้ามาวางเพลิงพอดี พระองค์รอดชีวิตมาได้โดยได้รับการช่วยเหลือจากบุตรชายคนเล็กของซีผิงโหวที่ขณะนั้นเป็นทหารซึ่งถูกเนรเทศมายังเซวียนฝู่ พออดีตฮ่องเต้หนีรอดมาได้ก็ยกย่องเขาว่าทั้งกล้าหาญและรู้จักการวางแผน จึงสอบถามเรื่องราวชีวิตของเขา ไม่รู้ว่าบุตรชายของซีผิงโหวผู้นั้นตอบคำถามไปว่าอย่างไรกันแน่ พออดีตฮ่องเต้ได้ฟังแล้วก็ปลาบปลื้มเป็นอันมาก ไม่เพียงคืนตำแหน่งให้ซีผิงโหว ยังมีราชโองการเรียกตัวบุตรชายคนเล็กของเขากลับเมืองจิงเฉิง และให้เข้ารับการฝึกฝนในค่ายพลอู่จวิน
ถ้านางจำไม่ผิด…ซีผิงโหวก็มีแซ่ว่าผิง
จำได้ว่ายามที่บิดาเอ่ยถึงบุตรชายคนเล็กของซีผิงโหวก็มักจะชื่นชม บอกว่าแม้เขาจะประสบเหตุพลิกผันครั้งใหญ่ก็ยังไม่ละทิ้งปณิธาน สู้อุตส่าห์มีมานะบากบั่นต่อความยากลำบาก สุดท้ายถึงขั้นฟื้นฟูกลับมา เห็นได้ว่ามิใช่คนดักดาน
แต่น่าเสียดาย เนื่องจากนางไม่อยากข้องเกี่ยวกับองครักษ์เสื้อแพรเพราะชื่อเสียงที่เล่าลือกันมา จึงไม่เคยใส่ใจว่าใครในหมู่องครักษ์เสื้อแพรกำลังรุ่งโรจน์หรือตกอับ จนถึงบัดนี้ก็ไม่ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตและความเป็นไปของผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรสักนิด แต่หากบุตรชายคนเล็กผู้นั้นของซีผิงโหวคือใต้เท้าผิงที่อยู่ตรงหน้า คงต้องพูดว่าศัตรูคู่แค้นมักจะหลีกกันไม่พ้นจริงๆ เพราะการที่ซีผิงโหวสูญเสียตำแหน่งไปก็เนื่องมาจากบิดาของนางซึ่งยามนั้นอยู่ในตำแหน่งราชเลขาธิการเป็นผู้ฟ้องร้องกล่าวโทษ ทำให้พวกเขาถูกเนรเทศไปไกลถึงเมืองเซวียนฝู่
มิน่าเล่า ยามที่เขาเอ่ยถึงบิดาของนางจึงเต็มไปด้วยท่าทีถากถางดูแคลน
ฟู่หลันหยายิ้มอย่างขมขื่น อะไรที่เรียกว่าหลังคารั่วซ้ำฝนยังตกทั้งคืนยามนี้นางได้ประสบพบเจอกับตัวแล้ว
ภายในห้องปิดหน้าต่างและประตูสนิท จุดตะเกียงไว้เพียงดวงเดียว แสงดูสลัวราง นางเดินเข้าไปหยุดยืนนิ่งตรงกลางห้อง หันกลับมามองดูผิงอวี้ซึ่งอยู่ข้างหลังห่างออกไปหลายก้าวอย่างเงียบๆ นางรู้ดี สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้เป็นเพียงการเริ่มต้น ถ้าบิดาไม่อาจพลิกคดีได้จริงๆ ต่อไปก็ไม่รู้ว่านางจะต้องเผชิญกับการถูกกระทำหยามหมิ่นให้ต้องอับอายอีกมากเพียงใด ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่เคยคิดจะยอมแพ้ ยิ่งไม่ยอมหาทางจบชีวิตตนเองไปอย่างสิ้นหวัง ขอเพียงบิดายังมีชีวิตอยู่อีกหนึ่งวัน อาจจะหาหนทางพลิกคดีได้
แต่หากตายไป…นั่นก็เท่ากับไม่เหลืออะไรเลย
ผิงอวี้กวาดตามองการตกแต่งภายในห้อง ก่อนจะเดินมาอยู่ต่อหน้าฟู่หลันหยา เอามือไพล่หลังแล้วก้มมองนาง เห็นฟู่หลันหยามองเขาด้วยสายตาหวาดระแวงก็กระตุกมุมปาก ก่อนจะยื่นมือไปคว้าข้อมือฟู่หลันหยาไว้ ทว่าเขาไม่เหมือนกับหวังซื่อเจา เพราะเขายังรู้จักจับข้อมือนางโดยใช้ชายแขนเสื้อกันไว้ชั้นหนึ่งเพื่อเลี่ยงสัมผัสผิวกายของนางโดยตรง
ฟู่หลันหยาถอยกรูดแล้วแต่ก็ยังหลบไม่พ้น ในใจพลันกรุ่นโกรธ ร่างก็พลอยสั่นสะท้านตามไปด้วย
จนถึงบัดนี้ฟู่หลันหยาก็ไม่นึกเสียใจที่ลงมือสังหารพ่อบ้านโจว
ประการแรก การเดินทางไปเมืองจิงเฉิงคราวนี้หนทางยังอีกยาวไกล นางตัวคนเดียวไร้ที่พึ่ง พ่อบ้านโจวถูกซื้อตัวไปแล้ว ขืนยังปล่อยให้อยู่ข้างกายก็ไม่ต่างกับมีงูพิษซุ่มรอจะจู่โจม สุดท้ายจะกลายเป็นภัยกับตนเองได้
ประการที่สอง พ่อบ้านโจวมีฐานะเป็นคนรับใช้คนสนิทของบิดา ย่อมจะรู้เรื่องราวที่เป็นความลับของบิดาอย่างละเอียด พอไปถึงเมืองจิงเฉิงแล้ว หากเขาเปลี่ยนใจหันมาแว้งกัดบิดาของนางโดยอ้างตัวว่าเป็นคนรับใช้ในบ้าน เกรงว่านางคงไม่อาจพลิกคดีของบิดาได้อีกแล้ว
ดังนั้นหลังจากนางแน่ใจว่าตนเองจะไม่ทิ้งพิรุธให้ถูกจับได้ จึงไม่ลังเลที่จะลงมือ
แต่เมื่อนางต้องมาถูกบุรุษแปลกหน้าจับข้อมือเริ่มตรวจค้นตัวจริงๆ ในที่สุดขวัญกล้าและความสุขุมก็ดูเหมือนจะพังทลาย ความรู้สึกน้อยใจและโศกเศร้าประดังขึ้นมาปั่นป่วนในอกจนนางรู้สึกคลื่นเหียน
เดิมทีผิงอวี้พุ่งความสนใจไปที่มือของฟู่หลันหยา จู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่าที่ฝ่ามือมีความเคลื่อนไหวเล็กน้อย เขาจึงนิ่วหน้าแล้วกวาดตามองใบหน้าของนาง ก่อนจะเห็นว่านางมีสีหน้าซีดขาว ปากเม้มแน่นคล้ายกำลังสะกดกลั้นอาการหวาดกลัวเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
“กลัวหรือ” เขายิ้มมุมปากพลางก้มหน้าลง ดึงนิ้วมือของนางมาจ่อไว้ที่จมูกตนเองแล้วสูดดมกลิ่น จริงดังคาด แม้กลิ่นจะจางลงมากแล้ว แต่ยังคงพอได้กลิ่นขมของยาจางๆ อยู่ เป็นกลิ่นแบบเดียวกับที่อยู่บนศพของพ่อบ้านโจว
เขาเงยหน้าขึ้นมองฟู่หลันหยาทันที รู้สึกประหลาดใจด้วยไม่คิดว่าจะเป็นนางจริงๆ
เดิมทีคิดว่าบุตรีที่ฟู่ปิงรักยิ่งผู้นี้ นอกจากใบหน้าที่งดงามแล้วก็ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากหญิงสาวทั่วไป ไม่คิดเลยว่านางจะใจกล้าถึงเพียงนี้ ไม่เพียงฆ่าคนได้อย่างแนบเนียนภายใต้การจับตามองของพวกเขา หลังฆ่าแล้วก็ยังสุขุมใจเย็นไม่ออกอาการใดๆ อีก ก่อนหน้านี้เขาประเมินนางต่ำไปจริงๆ
เพียงครู่เดียวเขาก็ไม่ได้เผยแววตาประหลาดใจอีก กลับไปมีสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม
เพื่อให้แน่ใจเขาจึงก้มหน้าลงสูดกลิ่นนั้นอีกครั้ง ไม่รู้ว่ายาพิษนี้มีความเป็นมาเช่นไร เพียงผ่านไปแค่อึดใจเดียวกลิ่นขมนั้นก็จางลงอย่างมาก หากว่าช้ากว่านี้อีกเพียงครู่เดียว กลิ่นคงจางหายไปจนหมด
เขายิ้มหยัน นางต้องรู้ว่ากลิ่นยาจะหายไปแน่จึงได้ไม่แสดงความกังวลใดๆ ออกมา
“เล่ามา” แม้ไม่อาจใช้กลิ่นที่จางจนแทบจับสังเกตไม่ได้นี้เป็นหลักฐานเอาผิดนางข้อหาฆ่าคนตาย เขาก็ยังไม่คิดที่จะปล่อยนางไป จึงปล่อยแขนลงอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้นเรียบๆ “เหตุใดจึงต้องสังหารพ่อบ้านโจว”
ผิงอวี้มีรูปร่างสูงกว่าฟู่หลันหยาราวครึ่งศีรษะ นางจึงต้องแหงนหน้ามอง ตั้งแต่ที่เขาสูดดมปลายนิ้ว ฟู่หลันหยาก็พอจะทราบแล้วว่าเขาต้องคาดเดาได้มากกว่าครึ่งว่านางเป็นคนวางยา ถึงอย่างนั้นนางก็ยังไม่แสดงออกว่าว้าวุ่นใจ เพียงถอยห่างออกมาเงียบๆ แล้วพูดด้วยสีหน้าสงบ “เหตุใดใต้เท้าผิงจึงพูดเช่นนี้”
“ยังปากแข็งอีกรึ” ผิงอวี้มีสีหน้าเข้มขึ้นทันที เนื่องจากอยู่ไม่ห่างกันเท่าไร เขาจึงเห็นว่าดวงตาของนางเป็นประกายวาววามยิ่งนัก สงบนิ่งราวกับผิวทะเลสาบ เปล่งประกายระยิบระยับภายใต้แสงตะเกียง
เขาค่อยๆ เคลื่อนสายตาไปยังริมฝีปากของนาง เห็นริมฝีปากนั้นเป็นสีชมพูเข้มดุจกลีบดอกอิงฮวา
ผิงอวี้เลื่อนสายตาหนี เพียงจ้องมองเรือนผมดำขลับราวกับขนกาของนางแล้วสอบถามต่อ “มีเหตุผลใดที่พ่อบ้านโจวต้องตาย ไฉนจำเพาะต้องมาสังหารเขาในเวลานี้”
รออยู่ครู่หนึ่ง นางยังไม่ทันได้ตอบก็มีกลิ่นหอมหวานที่สุดลอยมาเข้าจมูกเขา ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ว่าเป็นกลิ่นหอมจากเรือนร่างของนาง
ติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.