บทที่สี่
ฟู่หลันหยารู้ดีว่าหากยังอยู่ที่เดิมย่อมไม่ปลอดภัยแน่ นางจึงดึงมือแม่นมหลินวิ่งออกไปนอกห้องอย่างไม่ลังเล
เพิ่งจะออกมาถึงด้านนอก จู่ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงชะงักอีกครั้ง
“มีอะไรหรือคุณหนู” แม่นมหลินยังขวัญหนีดีฝ่อไม่หาย เหงื่อออกเปียกชุ่มศีรษะ เห็นคุณหนูมีสีหน้าลังเลก็ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ
ฟู่หลันหยาไม่ทันได้ตอบก็รีบเดินกลับเข้าไปในห้อง ก้มลงคลำหาของโดยอาศัยแสงจันทร์ ไม่ช้าก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากชายแขนเสื้อแล้วคุกเข่าลง รวบรวมเข็มเงินหลายเล่มที่ตกกระจายอยู่ตามพื้นเมื่อครู่มาห่อไว้
นางรีบเก็บกวาดอย่างคล่องแคล่ว แต่ก็ระมัดระวังอย่างยิ่ง ด้วยเกรงว่าจะถูกเข็มตำ พอเก็บเรียบร้อยแล้วก็ไม่ละล้าละลังอยู่อีกแม้ชั่วขณะเดียว รีบลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
“นี่คือ?” แม่นมหลินยิ่งงุนงงสับสน อาวุธลับพวกนั้นน่าหวาดกลัวนัก ไม่แน่อาจชุบยาประหลาดที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตไว้ก็เป็นได้ ไยฟู่หลันหยาต้องเก็บเข็มเหล่านั้นไว้ด้วย
“ออกจากที่นี่ก่อนเถอะ” ฟู่หลันหยาเดินไปข้างกายแม่นมหลิน รีบจูงมือนางพาเข้าไปยังห้องพักที่อยู่ติดกัน
ประตูห้องไม่ได้ลั่นดาลไว้ เพียงผลักเข้าไปก็เปิดออกได้
ภายในห้องยังจุดตะเกียงน้ำมันเอาไว้อยู่ ส่องสว่างจนเห็นสิ่งของภายในห้องได้อย่างชัดเจน การจัดวางแทบจะเหมือนกับในห้องพักของพวกนางไม่ผิดเพี้ยน
“คุณหนู คนประหลาดเมื่อครู่นี้มีความเป็นมาเช่นไร เหตุใดต้องจ้องจะทำร้ายพวกเราด้วย” แม่นมหลินหันกลับไปปิดประตูด้วยตัวสั่นเทิ้ม คอยเดินตามฟู่หลันหยาไม่ห่าง ไม่มีแก่ใจจะนั่ง เอาแต่เดินวนอยู่กลางห้องด้วยท่าทางหวาดผวา “ถ้าเกิดพรรคพวกของเขากลับมาฆ่าพวกเราอีกจะทำอย่างไรดี”
เพิ่งประสบเหตุการณ์น่ากลัวมา นางก็รู้สึกว่าทุกแห่งในโรงเตี๊ยมนี้ช่างดูไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย แต่ถึงจะหนี พวกนางนายบ่าวจะหนีไปที่ใดได้เล่า
ฟู่หลันหยาไม่พูดอะไรเลย นางเพิ่งรอดตายมาได้เมื่อครู่นี้เอง ขาทั้งสองข้างของนางยังสั่นไม่หาย พอจะเปิดปากพูดก็รู้สึกลำคอสากระคายกระหายน้ำอย่างมาก เหลือบไปเห็นกาน้ำชาก็รีบเอื้อมไปรินมาดื่ม
ขณะกำลังเทน้ำชา มือยังสั่นระริกอยู่เล็กน้อย
ดื่มลงไปหลายอึกติดๆ กัน อารมณ์จึงค่อยๆ สงบลง นางจึงหันไปมองแม่นมหลิน เห็นอีกฝ่ายยังมีสีหน้าท่าทางหวาดผวา นางจึงดึงมือแม่นมหลินมานั่งลงข้างกายแล้วตบปลอบที่หลังมือให้คลายใจ พูดเสียงแหบแห้งว่า “วางใจเถอะ องครักษ์เสื้อแพรที่ชั้นล่างจะต้องได้ยินเสียงเอะอะแล้วเป็นแน่ คงจะรีบขึ้นมาในไม่ช้านี้”
นางยังพูดไม่ทันจบก็มีเสียงดังขึ้นที่บันไดจริงๆ ฝีเท้าวิ่งตึงตังมาอย่างรวดเร็วดังขึ้นที่อีกด้านของโถงทางเดิน มาถึงห้องพักที่อยู่ติดกัน เสียงฝีเท้าก็ชะงักกึกทันที มีคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “เกิดเรื่องอันใดกัน แล้วบุตรีขุนนางต้องโทษเล่า”
ไม่ช้า เหมือนจะมีคนพบเห็นร่องรอยการต่อสู้ในห้องแล้ว จึงตะโกนขึ้น “ดูเหมือนจะหนีออกไปทางหน้าต่าง ข้าจะไปดูเอง!”
ถึงจะเป็นเช่นนี้ก็ยังเหลือคนอยู่ในห้องห้องนั้นไม่น้อย “ใต้เท้าผิงเล่า”
เพียงชั่วอึดใจ เสียงฝีเท้าวิ่งสับสนก็มาถึงห้องพักที่อยู่ติดกัน จากนั้นประตูก็ถูกผลักเปิดออก “ใต้เท้าผิง!”
องครักษ์เสื้อแพรหลายคนปรากฏตัวที่ปากประตู ทุกคนล้วนถือดาบไว้ในมือและแต่งกายเต็มยศ ตั้งแต่เกิดเสียงเอะอะจนรีบมาถึงที่เกิดเหตุ ล้วนแต่เคลื่อนไหวรวดเร็วจนน่าตกใจ
ฟู่หลันหยาแอบชื่นชมในใจว่าคนเหล่านี้ฝึกฝนมาดีทีเดียว เห็นพวกเขาจะเข้ามาก็ตีหน้าขรึมแล้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่นี้มีโจรบุกเข้ามาลอบทำร้าย ใต้เท้าผิงมาพบเห็นทันเวลา จึงไล่ตามคนผู้นั้นไปแล้ว”
ว่าแล้วก็อธิบายอีกว่า “โจรผู้นั้นเข้ามาทางหน้าต่างห้องพักที่อยู่ติดกัน แล้วกระโดดหนีออกไปทางเดิม”
ทุกคนเข้าใจทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงไม่กล้าชักช้า รีบแบ่งกำลังคนออกเป็นสองทาง
ทางหนึ่งกลับไปที่ห้องข้างๆ กระโดดตามลงไปทางหน้าต่าง เพื่อจะตามไปช่วยเป็นกำลังเสริมให้ผิงอวี้
อีกทางกลับไปที่โถงทางเดินแล้ววิ่งลงชั้นล่าง วางแผนกระจายกำลังกันโอบล้อมคนร้ายเพื่อประสานงานกันทั้งด้านในและด้านนอก
เดิมทีหวังซื่อเจาก็อยู่ในหมู่คนที่วิ่งมาด้วย แต่พอเดินตามทุกคนที่กำลังจะออกไปแล้วได้สองก้าว เห็นว่าองครักษ์คนอื่นคงจะแยกย้ายกันไปจนหมดในไม่นาน จู่ๆ ก็เกิดความคิดบางอย่าง หันกลับไปมองฟู่หลันหยาที่อยู่ในห้อง เขาชะงักเท้า จากนั้นก็หันร่างกลับเดินเข้าไปในห้อง
แม่นมหลินรู้สึกหวาดกลัวหวังซื่อเจามาโดยตลอด ความกลัวที่มีต่อเขายังมากกว่าที่มีต่อผิงอวี้เสียอีก เห็นคนผู้นี้เดินออกไปแล้ววกกลับเข้ามาด้วยดวงตาวาวโรจน์ ก็ไม่ทราบว่าเขามีเจตนาใดกันแน่ ประหนึ่งมีสัญญาณเตือนดังขึ้นในใจนางอย่างฉับพลัน มองดูเขาด้วยแววตาระแวดระวังราวกับกำลังเผชิญหน้าศัตรูตัวฉกาจ
หวังซื่อเจาเดินเข้าไปหาฟู่หลันหยา แม้นางจะตกใจจนหวาดกลัว สีหน้าตื่นตระหนก ทว่าดวงตายังวาววามเป็นประกาย ริมฝีปากชมพูระเรื่อราวกับดอกอิงฮวาในยามวสันต์
เขามองดูจนปากคอแห้งผาก จู่ๆ ก็คืบเข้าหาฟู่หลันหยาอีกก้าว มองดูนางด้วยสีหน้ายิ้มๆ “คุณหนูฟู่คงตกใจแย่แล้ว”
แม่นมหลินมองดูอย่างอกสั่นขวัญผวา สายตาที่บุรุษใช้มองเช่นนี้มีความหมายอย่างไรนางย่อมรู้ดีที่สุด เห็นเขาเข้ามาใกล้คุณหนูมากขึ้นทุกทีก็ประหวั่นพรั่นพรึง รวบรวมความกล้าแล้วพูดว่า “ใต้…ใต้เท้า ใต้เท้าผิงน่าจะกลับมาในไม่ช้า”
นางรู้ว่าแม้องครักษ์เสื้อแพรจะมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องความโหดเหี้ยม ทว่าเนื่องจากได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้มาก คนที่จะเข้ามาเป็นองครักษ์เสื้อแพรได้ส่วนมากจึงเป็นลูกหลานตระกูลดี
หลังถูกตรวจค้นบ้านยึดทรัพย์จนถึงถูกคนลอบทำร้ายในคืนนี้ แม่นมหลินก็คอยเฝ้าสังเกตดูท่าทีผู้คนที่อยู่รอบข้างตลอด พวกเขายังนับว่าเอื้อเฟื้ออยู่ มีเพียงหวังซื่อเจาผู้นี้ที่ดูเหมือนจะแอบแฝงเจตนาไม่ดีต่อคุณหนูอย่างโจ่งแจ้ง
แม่นมหลินทั้งเกลียดทั้งกลัว ด้วยรู้ว่าหวังซื่อเจาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผิงอวี้ จึงจงใจอ้างชื่อใต้เท้าผิงออกมาเผื่อจะทำให้เขานึกเกรงกลัวขึ้นมาบ้าง
ใครเลยจะรู้ นางไม่พูดถึงผิงอวี้ก็คงไม่เป็นไร แต่พอพูดถึงขึ้นมา ความขุ่นเคืองที่หวังซื่อเจาได้รับมาหลายวันนี้ก็สะกดไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ไฟแค้นที่เก็บกดไว้พลันพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที
การเดินทางมายังอวิ๋นหนานคราวนี้ เขาตั้งใจจะมาหาฟู่หลันหยาโดยเฉพาะ ทว่าตั้งแต่ได้พบหน้าครั้งแรกจนกระทั่งบัดนี้ เขากลับไม่ได้แตะต้องนางแม้แต่ชายแขนเสื้อ สาเหตุหนึ่งย่อมต้องเป็นเพราะผิงอวี้จงใจวางตัวเป็นศัตรูกับเขา แต่เหตุใดทั้งฟู่หลันหยาและบ่าวของนางจึงไม่รับรู้ความชื่นชมพอใจของเขาบ้างเลย
ในการทำงานเขามักจะใช้ไม้อ่อนก่อนจะใช้ไม้แข็งตลอดมา ‘ไม้อ่อน’ ที่ว่านั้นเขาถามตนเองแล้วก็คิดว่าใช้มามากพอแล้ว ทว่าบ่าวหญิงผู้นี้ที่ดูไม่ต่างอะไรกับสุนัขกลับทำเป็นเย่อหยิ่งหัวสูง ตอนที่คุณหนูของนางอยู่ในห้องเดียวกับผิงอวี้ ไยไม่ออกมาเอะอะโวยวายบ้างเล่า เวลานี้เขาก็แค่อยากพูดคุยกับฟู่หลันหยาบ้างเท่านั้นเอง…ยายแก่นี่ทำเป็นเต้นแร้งเต้นกาเสียอย่างนั้น ช่างน่ารังเกียจจริงๆ
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเขาไม่ควรจะไว้หน้าสองนายบ่าวนี้อีก นับจากนี้ไปฟู่หลันหยาจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร เขาล้วนคิดไว้หมดแล้วมิใช่หรือ
ไม่ยอมให้เขาแตะต้อง…เขายิ่งอยากจะแตะให้ได้
เขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะฉวยโอกาสกับฟู่หลันหยาให้ได้ จึงเพียงหัวเราะเยาะด้วยสีหน้ารังเกียจ แล้วยื่นมือไปจะจี้สกัดจุดที่ร่างของฟู่หลันหยาและบ่าว
เขาทะนงตนว่ามีฝีมือ จึงคิดไว้ว่าขณะที่ทั้งสองยังไม่ทันได้ร้องตะโกนเรียกใคร เขาก็จะทำให้พวกนางไม่อาจขยับตัวได้
คิดไม่ถึงว่าขณะกำลังยื่นมือออกไป จู่ๆ ฟู่หลันหยาก็ขยับตัวครั้งหนึ่ง ฉับพลันก็มีเสียงเพล้งดังตามมา กาน้ำชาและถ้วยชามบนโต๊ะพากันหล่นกระแทกพื้น
เสียงนี้ราวกับสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาท่ามกลางราตรีอันเงียบสงัด ไม่ช้าก็มีเสียงดังสับสนวุ่นวาย เสียงฝีเท้าที่เดินไปถึงบันไดแล้วก่อนหน้านี้พากันหยุดชะงัก ชั่วครู่เดียวองครักษ์เสื้อแพรหลายคนก็หันกลับแล้วรีบวิ่งตรงมายังสุดปลายโถงทางเดินอย่างรวดเร็ว
หวังซื่อเจาจ้องมองเศษกระเบื้องที่แตกกระจายทั่วพื้น ผ่านไปนานจึงค่อยได้สติ รอจนเข้าใจว่าฟู่หลันหยามีเจตนาปัดชุดน้ำชาตกลงมา ใบหน้าเขาก็เหี้ยมเกรียมทันที
หวังซื่อเจาเงยหน้าขึ้นมองฟู่หลันหยา เห็นสายตานางจ้องกลับมาอย่างมีความหมายล้ำลึก แววตานั้นประหนึ่งบ่อน้ำโบราณที่ลึกสุดหยั่ง แสดงให้เห็นว่าไม่เกรงกลัวและไม่ยอมอ่อนข้อให้
จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงองครักษ์ดังขึ้นจากด้านหลัง “เกิดอะไรขึ้น หรือว่าไอ้โจรนั่นมันย้อนกลับมาอีก!”
ในเมื่อเอะอะจนคนรอบข้างแห่กันมาแล้ว ถึงเขาจะไม่ยอมแต่ก็จำต้องรามือ ทำได้เพียงเพ่งมองฟู่หลันหยาอีกครั้ง ดวงตาฉายแววสับสน
ในบรรดาคนที่มามีองครักษ์เสื้อแพรผู้หนึ่งที่อายุยังน้อย มีชื่อว่าหลี่หมิน เป็นบุตรชายของอวิ๋นหยางป๋อ มีอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น ไม่ว่าหน้าตาจะดูเป็นเช่นไร แต่ในการทำงานก็ยังดูเป็นเด็กอยู่มาก เขาก็คือเจ้าหนุ่มที่นำน้ำชามาให้ฟู่หลันหยากับพวกบ่าวไพร่ระหว่างการตรวจยึดบ้านนั่นเอง
พอเข้ามาในห้องก็เห็นหวังซื่อเจาอยู่ด้วย ตอนแรกยังตกตะลึง ต่อมาจึงหันไปมองฟู่หลันหยากับบ่าวของนาง เห็นฟู่หลันหยาแม้จะดูสงบนิ่ง ทว่าสาวใช้สูงวัยที่อยู่ข้างกายนางกลับจ้องหวังซื่อเจาเขม็ง ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความกลัวระคนชิงชัง
เขาจึงเข้าใจได้หลายส่วนทันที อดไม่ได้ต้องเดินเข้าไปในห้องแล้วถามฟู่หลันหยา “คุณหนูฟู่ เกิดอะไรขึ้น”
ฟู่หลันหยาจึงค่อยเหลือบมองมาทางหลี่หมิน สายตาเป็นประกาย ทว่าน้ำเสียงยังคงสั่นกลัวไม่หาย “โจรผู้นั้นดูเหมือนจะมีพรรคพวก และดูเหมือนจะมีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ไม่แน่ไปแล้วอาจย้อนกลับมาอีก ข้ากลัวว่าใต้เท้าหวังผู้นี้เพียงผู้เดียวอาจรับมือไม่ไหว ในใจนึกหวั่นเกรงจึงไม่ทันระวังจนทำชุดน้ำชาหล่นลงมา”
โกหกหน้าตาย! หวังซื่อเจาแอบส่งเสียงหึออกทางจมูก แล้วเม้มปากแน่น
หลี่หมินได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็หันไปกระซิบกระซาบปรึกษากับองครักษ์ที่อยู่ข้างๆ แล้วจึงว่า “รองผู้บัญชาการหวัง ใต้เท้าผิงยังไม่กลับมาตอนนี้ มิสู้ให้ข้าน้อยกับท่านคอยเฝ้าอยู่ที่นี่ด้วยกัน ป้องกันโจรผู้นั้นจะหวนกลับมาลอบโจมตี ดีหรือไม่”
หวังซื่อเจาไม่อาจวางอำนาจสั่งให้พวกเขาออกไปในตอนนี้ได้ ด้วยรู้ดีแก่ใจว่าคืนนี้มิอาจสนองความต้องการของตนเองได้แล้ว จำต้องฝืนยิ้มแล้วพูดกับหลี่หมินว่า “ก็ได้ ข้าเป็นห่วงก็แต่ใต้เท้าผิง ออกไปนานเช่นนี้แล้วยังไม่กลับมา หากไม่เกิดเหตุพลิกผันได้ก็จะดี”
ขณะที่พูดก็ทำเหมือนเป็นห่วงเป็นใยความปลอดภัยของผิงอวี้เสียเหลือเกิน
หลี่หมินกับพวกล้วนรู้ดีว่าปกติแล้วหวังซื่อเจากับผิงอวี้ไม่ค่อยจะลงรอยกันสักเท่าใด พอได้ฟังเช่นนี้ก็วางเฉยเสีย ไม่ต่อความยาวสาวความยืดอีก
ครานี้หลี่หมินก็อยู่ด้วยแล้ว คนที่เหลือต่างลงไปช่วยผิงอวี้กับคนอื่นๆ
ดังนั้นในห้องจึงเหลือเพียงสี่คน ต่างคนต่างครุ่นคิดกับตนเองจึงไม่มีใครเอ่ยปาก บรรยากาศออกจะอึดอัดอย่างน่าประหลาด
โชคดีที่ผ่านไปไม่นานก็มีเสียงดังขึ้นด้านนอก เสียงพูดแทรกด้วยเสียงฝีเท้า รู้ได้ว่าผิงอวี้กับพวกองครักษ์กลับมากันแล้ว
พอเข้ามาผิงอวี้ก็กวาดตามองสภาพในห้อง สุดท้ายก็มาหยุดที่ร่างฟู่หลันหยา
ทว่ามองเพียงแวบเดียวก็เบนสายตาไป แล้วพูดกับเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาว่า “ก็แค่คนเร่ร่อนที่มีฝีมือบ้างเท่านั้น คิดจะมาขโมยของกิน ดั้นด้นไปทั่วจนเข้ามาในโรงเตี๊ยม เมื่อครู่ข้าจับตัวไว้ได้จึงสั่งสอนอบรมไปพักหนึ่ง ดูแล้วเขาน่าสงสารจึงปล่อยตัวไป พลอยทำให้พวกเราลำบากกันไปครึ่งค่อนคืน ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปพักเถอะ”
“คนเร่ร่อน?” หวังซื่อเจาไม่ขยับเขยื้อน หันไปมองผิงอวี้แล้วเอ่ยว่า “ด้วยฝีมือของใต้เท้าผิง แค่คนเร่ร่อนกระจอกๆ คนหนึ่ง ถึงกับทำให้ท่านต้องออกไปไล่กวดได้ตั้งนานสองนาน? ช่างเปิดหูเปิดตาข้าน้อยจริงๆ”
คำพูดนี้แฝงนัยแปลกแปร่ง สหายองครักษ์ที่อยู่รอบข้างเดิมทีกำลังจะออกไปแล้ว พอได้ยินเช่นนี้ก็ชะงักเท้าด้วยความประหลาดใจ
ผิงอวี้หันมามองหวังซื่อเจาด้วยสายตาประหนึ่งกำลังมองคนโง่เง่าอยู่ก็มิปาน เลิกคิ้วขึ้นแล้วพยักหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “ก็จริง หลายปีมานี้รองผู้บัญชาการหวังยุ่งอยู่กับการหาทางเลื่อนตำแหน่งจนแทบไม่มีโอกาสได้ออกไปที่ใด มีที่ให้ต้องออกมาเปิดหูเปิดตามากมายนัก จะรู้สึกตื่นตกใจบ้างก็เป็นเรื่องที่โทษเจ้าไม่ได้”
หวังซื่อเจาถึงกับสะอึก คนรอบข้างพากันกลั้นหัวเราะเอาไว้ ไม่กล้าจะรั้งรออยู่อีก ด้วยเกรงว่าหากเผลอหัวเราะออกมาอาจทำให้หวังซื่อเจาผูกใจเจ็บได้
ทุกคนแยกย้ายกันไปในไม่ช้า หวังซื่อเจายังยืนอยู่ที่เดิม ก่อนหน้านี้เขากังวลมาตลอดว่าฟู่หลันหยาคงปล่อยให้ผิงอวี้แตะเนื้อต้องตัวไปแล้ว แต่ดูจากห้องพักแขกทั้งสองห้องที่ได้เห็นเมื่อครู่ ทั้งสองคนยังอยู่กันราบรื่นดีไม่เกิดเรื่องอันใด ถึงแม้ในใจเขาจะยังไม่ยินยอม แต่รู้ว่าตนเองมีหน้าที่ ช่วงที่ยังอยู่ใต้บังคับบัญชาของผิงอวี้จึงไม่อาจทำอะไรได้ ตอนนี้จำต้องออกจากห้องไปก่อน
ไม่ช้าภายในห้องก็กลับมาเงียบสงบดังเดิม
ผิงอวี้ทำราวกับไม่เห็นสองนายบ่าว ทั้งไม่ได้บอกให้พวกนางกลับไปยังห้องของตนเอง เพียงแค่เดินไปหน้าโต๊ะแล้วปลดดาบซิ่วชุนออก
เขาเห็นแต่แรกว่าชุดน้ำชาบนโต๊ะหล่นพื้นแตกหมดแล้ว หวนนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่หวังซื่อเจาก็อยู่ในห้องด้วยจึงไม่ประหลาดใจนัก เขาเพียงเหลือบมองฟู่หลันหยาแล้วเดินกลับไปที่ประตู คิดเรียกเด็กรับใช้ของโรงเตี๊ยมซึ่งปกติจะเฝ้าอยู่ตลอดแต่ไม่โผล่หน้าออกมาให้มาช่วยเปลี่ยนชุดน้ำชาให้ใหม่
จู่ๆ ก็ได้ยินฟู่หลันหยาพูดขึ้นข้างหลัง “ใต้เท้าผิงรู้สึกอย่างไรบ้างที่ใช้บุตรีขุนนางต้องโทษเป็นเหยื่อล่อ”
เปลวไฟของตะเกียงน้ำมันปะทุเสียงดังเปรี๊ยะ
น้ำเสียงฟู่หลันหยาไม่ช้าไม่เร็ว แต่กลับซ่อนแฝงแรงกดดันบางอย่าง
ผิงอวี้ที่กำลังจะเปิดประตูถึงกับชะงัก
“เหตุใดคุณหนูฟู่จึงพูดเช่นนี้” เขาหันกลับมาแล้วพูดเรียบๆ
แม่นมหลินเองก็งุนงง มองดูฟู่หลันหยาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
ฟู่หลันหยามองดูผิงอวี้คล้ายเข้าใจเรื่องทั้งหมด “ถ้าข้าเดาไม่ผิด ใต้เท้าผิงคงจะรู้นานแล้วว่ามีคนปองร้ายข้า จึงจงใจเรียกข้าต่อหน้าทุกคนว่าคุณหนูหลู ทั้งยังให้ข้าพักอยู่ห้องข้างๆ”
“ไม่ผิด” สีหน้าผิงอวี้เปลี่ยนเป็นผ่อนคลาย ดูคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ข้าอุตส่าห์เป็นห่วงเป็นใยใส่ใจต่อเจ้าถึงเพียงนี้ ไม่ควรจะสำนึกขอบคุณข้าบ้างหรือ”
ฟู่หลันหยาสีหน้านิ่งขรึม “ข้าก็แค่สตรีอ่อนแอคนหนึ่ง ใต้เท้าผิงต่างหากที่เคยพบเห็นเรื่องใหญ่ภัยร้ายต่างๆ มาจนชิน แม้แต่ข้าเองยังไม่เชื่อว่าการเรียกขานว่าคุณหนูหลูจะทำให้คนอื่นเลิกติดใจสงสัยได้ ใต้เท้าผิงเองหรือจะเชื่อ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าผู้ที่มาปองร้ายข้าในคืนนี้ก็ไม่เหมือนว่ามาลงมืออย่างกะทันหัน ไม่แน่ว่าคงซุ่มรออยู่ที่นี่นานแล้ว น่าจะรู้พื้นเพของข้าอย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่ว่าจะเรียกข้าว่าอะไรพวกเขาต่างก็รู้ดีว่าข้าแซ่ฟู่ ท่านเองรู้แก่ใจกลับยังทำเช่นนี้ นี่เท่ากับฝังซ่อนเงินไว้แล้วป่าวประกาศว่าที่นี่ไม่มีเงินสามร้อยตำลึงเสียมากกว่า จงใจจะลวงให้พวกเขาลงมือเท่านั้น”
ผิงอวี้ยืนข้างประตูเงียบๆ พลางมองดูฟู่หลันหยา ในที่สุดก็เลิกยิ้มเย้านางเสียที
“ที่ท่านลงไปดื่มสุรากับพวกผู้ใต้บังคับบัญชาแล้วแสร้งว่าเมา ก็เพื่อให้พวกเขาเข้าใจผิดว่าท่านเป็นคนจำพวกแข็งนอกอ่อนใน ทำงานสะเพร่าหละหลวม พวกเขาจะได้ดำเนินตามแผนการต่อไป ไม่รู้สึกสงสัยระแวดระวังอีก”
ขณะที่พูด นางก็กวาดตาไปเห็นรองเท้าสีดำของผิงอวี้อย่างไม่ได้ตั้งใจ เห็นรองเท้าซึ่งเดิมทีก็สะอาดสะอ้านดีกลับมีรอยเปื้อนกลีบดอกไม้สีเหลืองทองที่ถูกบดขยี้ ดูแล้วคุ้นตามาก
นางจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เบนสายตาออกไปเหมือนไม่มีอะไร แล้วพูดต่อ “เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านไม่เพียงบอกคนร้ายโต้งๆ ว่าห้องของข้าอยู่ที่ใด ยังบอกเป็นนัยด้วยว่าไม่ต้องกังวลเรื่องกำลังพลองครักษ์เสื้อแพร อยากจะเข้ามาเข่นฆ่าก็ทำได้อย่างเปิดเผย ข้าเดาว่าเมื่อครู่นี้ตอนที่คนผู้นั้นแอบเข้าห้องข้า ใต้เท้าผิงก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวนานแล้ว แต่ยังรั้งรออยู่โดยไม่ทำอะไร คิดแล้วคงอยากจะรอคนร้ายกับพรรคพวกทั้งหมดให้เข้ามาก่อน จะได้รวบจับเสียให้หมดในคราวเดียว ส่วนข้ากับบ่าวจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ท่านไม่ใส่ใจสักนิด”
นางเงยหน้าขึ้นมองผิงอวี้ “ใต้เท้าผิง ที่ข้าพูดมาถูกต้องหรือไม่”
ขณะที่นางพูด ผิงอวี้คอยมองอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ แววตาประหนึ่งบ่อน้ำลึก ดูไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไร
เดิมทีเขาคิดว่าจะจับสังเกตได้ถึงความรู้สึกโกรธหรือประชดประชันจากน้ำเสียงของนาง ใครเลยจะรู้ นางกลับพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สีหน้านิ่งขรึม ไม่มีแววหงุดหงิดเกรี้ยวกราดแม้แต่น้อย คิดแล้วนางที่เป็นเพียงเด็กสาวแรกรุ่นแต่กลับล่วงรู้ใจคนอย่างล้ำลึกเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจขึ้นมาอีกหลายส่วน
จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่เขากลับมาเมืองจิงเฉิงเมื่อสองปีก่อน เนื่องจากมีความมุ่งหมายบางอย่าง จึงหาทางติดต่อฟู่ปิงทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจหลายต่อหลายครั้ง ในความเห็นของเขา ขุนนางผู้เป็นกำลังสำคัญของราชสำนักท่านนี้ แม้จะมีความสามารถ แต่กลับเคร่งครัดความถูกต้องมากเกินไป ไม่รู้จักยืดหยุ่นในการทำงาน มักจะไล่ต้อนผู้อื่นอย่างไม่ไว้หน้า
ต่อมาหวังหลิงออกหน้าเล่นงานฟู่ปิงเอง เนื่องจากฟู่ปิงทำให้ผู้คนในราชสำนักเจ็บแค้นไว้มาก จึงมีขุนนางไม่น้อยที่แอบไม่พอใจอีกฝ่าย ภายในระยะเวลาสั้นๆ ยิ่งไม่มีใครคบหาสมาคมด้วย ฟู่ปิงได้รู้ซึ้งถึงวิถีของโลกแล้วว่าเป็นเช่นไร
ตอนนั้นผิงอวี้เพียงมองดูอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเย็นชา เห็นฟู่ปิงต้องสูญเสียตำแหน่ง ถูกปลดออก จนต้องกลายเป็นผู้ต้องหา เขาก็รู้สึกสาแก่ใจอย่างบอกไม่ถูก
ต้องทราบก่อนว่าที่จวนซีผิงโหวถูกฉกฉวยอำนาจและฐานะไปในอดีต ก็เพราะบรรดาผู้ที่หันไปพึ่งพิงราชเลขาธิการผู้นี้พากันรวมหัวฟ้องร้องกล่าวโทษให้ปลดบิดาเขาจากตำแหน่ง รากฐานที่อุตส่าห์สั่งสมมาหลายร้อยปีพลันพังทลายลงในชั่วข้ามคืน
โทษฐานที่เป็นบุตรชายคนเล็กของตระกูล เขาจำต้องติดตามบิดาไปยังค่ายทหารเมืองเซวียนฝู่ในฐานะทหารที่ถูกเนรเทศ ในช่วงนั้นเผ่าหว่าล่าคอยมาก่อกวนหลายครั้ง เขาที่เป็นทหารชั้นผู้น้อยต้องคอยเฝ้าแนวหน้าอย่างยากลำบากทุกวัน
ช่วงสามปีนั้นเขาต้องใช้ชีวิตเสี่ยงอันตรายอยู่อย่างหวาดหวั่น จึงถูกเคี่ยวกรำจนมีนิสัยแข็งกร้าว
ทั้งยังมีศึกสงครามเกิดขึ้นเนืองๆ เกิดเหตุพลิกผันขึ้นมากมายจนเกือบต้องสละชีพอยู่หลายครั้ง
ถ้าไม่ใช่เพราะภายหลังเขาใช้สติปัญญาคิดหาทางจนช่วยชีวิตอดีตฮ่องเต้ไว้ได้ กระทั่งบิดายังได้รับการอภัยโทษ เกรงว่าชั่วชีวิตนี้เขาคงจะได้เป็นแค่ทหารเลวที่ค่ายทหารเมืองเซวียนฝู่นั่นเอง ไม่มีโอกาสจะพลิกฟื้นกลับมาได้อีก…
หวนคิดถึงภาพอันเลือนรางในความทรงจำ สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา เดินไปที่ข้างโต๊ะ ยกชายเสื้อขึ้นแล้วนั่งลง พูดเสียงเรียบว่า “เกรงว่าคุณหนูฟู่คงจะลืมฐานะของตนเองเสียแล้ว ข้ารับพระบัญชาให้มาคุมตัวเจ้ากลับเมืองจิงเฉิง ไม่ได้มีหน้าที่ปัดเป่าเภทภัยให้เจ้า เจ้าน่าจะรู้ว่าในท้องที่อวิ๋นหนานเวลานี้ไม่ปกติสุข ต่อให้เจ้าตายไประหว่างการเดินทาง ข้าก็มีเหตุผลเป็นพันอย่างที่จะอธิบายแก่ราชสำนักได้ ข้าควรทำงานเช่นไร มิใช่หน้าที่ที่เจ้าจะมาชี้แนะ”
น้ำเสียงเขาแม้จะเรียบเรื่อยแต่แฝงด้วยท่าทีดูแคลนอันแสนเย็นชา แม่นมหลินได้ยินแล้วก็หน้าชา เหลือบมองฟู่หลันหยาด้วยความเป็นห่วง กลัวก็แต่คุณหนูจะทนการหยามหยันเช่นนี้ไม่ได้จนหลุดปากแสดงความเกรี้ยวกราดออกมา
ทว่าผิดคาด ฟู่หลันหยากลับไม่โกรธสักนิด เพียงย้ายสายตาไปจ้องตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะ แสงเปลวไฟวูบไหวสะท้อนอยู่ในดวงตาดำขลับของนาง ชั่วครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ใต้เท้าผิงพูดได้ถูกต้อง ข้าก็แค่บุตรีของขุนนางต้องโทษ ย่อมไม่อยู่ในฐานะที่จะชี้แนะได้ว่าท่านควรทำงานอย่างไร แต่ใต้เท้าผิงอย่าลืม ถ้าข้ากับบ่าวเกิดพลาดท่าให้คนร้ายขึ้นมาจริงๆ เรื่องที่ท่านอยากรู้ เกรงว่า…คงไม่อาจได้รู้ไปตลอดกาล”
พอพูดเช่นนี้ แววตาผิงอวี้ก็วูบไหวอย่างที่ยากจะได้เห็น เพียงชั่วพริบตาก็กลับมาเป็นปกติ จากนั้นก็ยิ้มหยันเอ่ยว่า “คุณหนูฟู่สำคัญตัวมากไปกระมัง ข้าไม่มีอะไรที่สนใจในตัวพวกเจ้านายบ่าวเลยแม้แต่น้อย”
ฟู่หลันหยาถอนหายใจเบาๆ แต่สายตากลับไพล่มองไปที่รองเท้าสีดำของผิงอวี้ “ใต้เท้าผิง ถ้าข้าดูไม่ผิด รองเท้าของท่านเปื้อนกลีบดอกจินเชวี่ยมากระมัง”
ผิงอวี้เหลือบมองรองเท้าตนเอง ในดวงตาคล้ายมีประกายวาบขึ้นมา
แต่เพียงชั่วครู่เดียวเขาก็เข้าใจความนัยที่แฝงในคำพูดของฟู่หลันหยา จึงมองดูนางด้วยความประหลาดใจยิ่ง หญิงผู้นี้ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ มีความเฉลียวฉลาดลึกล้ำอย่างแท้จริง ยังรับมือยากกว่าชายหลายคนที่ข้าเคยพบเจอมาไม่น้อย
ฟู่หลันหยามองดูผิงอวี้อย่างเปิดเผย “ดอกจินเชวี่ยใช้ทำยาได้ ซ้ำยังมีรสหวานอร่อย ชาวบ้านพื้นถิ่นมักนำมาใช้ทำอาหาร บัดนี้มีคนเร่ร่อนเพ่นพ่านไปทั่วอวิ๋นหนาน ดอกจินเชวี่ยตามรายทางมากกว่าครึ่งคงถูกเก็บไปจนหมดแล้ว มีเพียงในป่าเขาที่ไร้ผู้คนอยู่อาศัยจึงจะพอพบเห็นได้บ้าง ตอนเข้าพักที่โรงเตี๊ยมเวลาย่ำค่ำ ข้าได้ประเมินจากสภาพที่ได้เห็นรอบๆ ตอนที่มาถึงแล้ว ถ้าข้าจำไม่ผิดรอบโรงเตี๊ยมแห่งนี้ไม่มีต้นไม้ หรืออาจบอกได้ว่าที่ใต้เท้าผิงไล่ตาม ‘คนเร่ร่อน’ ที่มาปองร้ายเมื่อครู่นี้ คาดไม่ถึงว่าจะติดตามอย่างไม่ลดละจนเข้าไปในป่าเลยทีเดียว”
พูดถึงตรงนี้ มุมปากของนางก็มีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้น “ใต้เท้าผิง ถ้าเป็นไปตามที่ท่านเล่ามา หากท่านไม่ใส่ใจสักนิดว่าพวกเราสองคนนายบ่าวจะเป็นตายร้ายดีเช่นไร แล้วจะไล่ตามอย่างกัดไม่ปล่อยเช่นนี้เชียวหรือ”
ผิงอวี้มีท่าทีตกใจอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนกลับมาเป็นปกติ ได้ฟังแล้วก็ไม่แม้แต่เลิกคิ้ว เพียงแค่หัวเราะพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางคร้านๆ มองดูฟู่หลันหยาแล้วเอ่ยว่า “คุณหนูฟู่พูดผิดแล้ว ข้าเป็นคนทะนงตน โจรที่ถึงกับกล้ามาท้าทายองครักษ์เสื้อแพรเช่นนี้ ข้าไม่เคยปล่อยให้รอดตัวไปง่ายๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเจ้านายบ่าวเลยแม้แต่น้อยจริงๆ”
“จริงหรือ” เรียวคิ้วงามของฟู่หลันหยาเลิกขึ้นน้อยๆ “หรือที่ใต้เท้าผิงเลือกจะยุติการสืบสวนเรื่องการตายอย่างกะทันหันของพ่อบ้านโจวไปอย่างลวกๆ นั้น เพราะมีเหตุผลเช่นนี้เอง”
นางรู้ชัดว่าคืนนั้นผิงอวี้คาดเดาวิธีการวางยาพิษของนางได้แล้วแท้ๆ แต่กลับยอมปล่อยให้นางรอดตัวไปได้ คงมิใช่ทำไปด้วยจิตใจอันดีงาม เห็นได้ชัดว่าเขามีแผนการอื่น
บัดนี้ศพของพ่อบ้านโจวถูกเคลื่อนไปยังที่ว่าการเมืองชวีจิ้งแล้ว ส่วนผงยาพิษจากซอกเล็บของนางก็สาบสูญไร้ร่องรอย เรียกได้ว่าตายอย่างไร้หลักฐาน ต่อให้ผิงอวี้อยากจะสืบสาวราวเรื่องนางก็ไม่หวั่นว่าเขาจะพลิกคดีเก่าขึ้นมาสืบใหม่ได้อีก
ด้วยเหตุนี้ การที่นางพูดขึ้นมาในตอนนี้ก็เพราะพอคาดเดาได้แล้วว่าผิงอวี้น่าจะรู้ตัวของผู้อยู่เบื้องหลังการซื้อตัวพ่อบ้านโจว กระทั่งอาจเป็นเพราะเหตุนี้เองจึงคิดแผนการใช้นางกับแม่นมหลินเป็นเหยื่อล่อ
ผิงอวี้ได้ฟังแล้วก็นิ่งมองฟู่หลันหยาเงียบๆ มีประกายบางอย่างที่ไม่ชัดเจนกำลังวูบไหวในแววตา
ที่นางพูดมานั้นถูกต้องทั้งหมด คืนนั้นหลังจากที่เขาคาดเดาได้ว่าหวังหลิงส่งคนมาซื้อตัวพ่อบ้านโจว ก็คิดว่าจะยอมปล่อยให้ฟู่หลันหยารอดตัวไป เพราะหากเทียบกันแล้วเขาย่อมสนใจเรื่องซับซ้อนเบื้องหลังการซื้อตัวพ่อบ้านโจวของหวังหลิงมากกว่าการมุ่งเล่นงานบุตรีของขุนนางต้องโทษ
เท่าที่ผิงอวี้เข้าใจเกี่ยวกับหวังหลิง อีกฝ่ายเป็นคนที่มักกระทำการใดๆ อย่างรอบคอบ ไม่เคยทำอะไรอย่างไร้เป้าหมาย เหตุใดจึงต้องเปลืองสมองคิดวางแผนเล่นงานฟู่หลันหยาที่อยู่ห่างไกลกันนับพันหลี่เรื่องนี้ทำให้เขาสงสัยใคร่รู้อย่างแท้จริง
ฟู่หลันหยาจ้องมองเขา จับสังเกตได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทุกชั่วขณะบนใบหน้าเขาแม้เพียงเล็กน้อย จึงพูดเบาๆ ว่า “ใต้เท้าผิงก็สงสัย…หรือมิใช่”
ใช่แล้ว ข้าสงสัย เขายอมรับในใจ
เพราะว่าสงสัยจึงจงใจใช้นางและบ่าวเป็นเหยื่อล่อเพื่อลวงให้อีกฝ่ายลงมือ และเพราะเหตุนี้เขาจึงมิได้ไยดีสักนิดถึงความปลอดภัยของทั้งสอง ในความคิดเขา เมื่องูยอมออกจากรูแล้ว ไยต้องใส่ใจปกป้องคุ้มภัยให้ ‘เหยื่อล่อ’ ด้วยเล่า
พอคนผู้นั้นลงมือแล้ว เขาก็ไล่ตามไป กลัวแค่ว่าคนผู้นั้นจะหนีรอดไปได้
เดิมทีคิดว่าคืนนี้เตรียมการพร้อมสรรพแล้วจะต้องรวบจับคนของหวังหลิงไว้ได้ทั้งหมดในคราวเดียวแน่ จากนั้นจะได้สืบสวนให้รู้ถึงเป้าหมายที่หวังหลิงทำเช่นนี้
ใครเลยจะรู้ว่าคนที่ลอบทำร้ายฟู่หลันหยาในยามวิกาลกลับมิใช่คนของสำนักบูรพา แต่เป็นชาวอี๋!
และที่ทำให้เขาผิดคาดยิ่งกว่าก็คือขณะที่เขาคิดว่าใกล้จะจับตัวเจ้าคนแคระนั่นได้อยู่รอมร่อ เจ้านั่นกลับใช้อาคมอันใดไม่ทราบได้ หายวับไปต่อหน้าต่อตาเสียอย่างนั้น
ฟู่หลันหยาเห็นเขาไม่ตอบ เอาแต่นิ่วหน้าจ้องมองนางไม่พูดไม่จา จู่ๆ จึงพูดขึ้นว่า “ใต้เท้าผิง อย่างที่ท่านเห็น คนที่อยากเล่นงานข้าซุ่มซ่อนตัวอย่างลึกลับมาก ใต้เท้าผิงอยากจะกระชากตัวการที่อยู่เบื้องหลังออกมา ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ในชั่วข้ามคืน หนึ่งคือต้องวางแผนให้ดี สองคือพวกเราสองนายบ่าวจะต้องอดทนให้ความร่วมมือด้วย สองประการนี้จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้ หากใต้เท้าผิงจะกีดกันพวกเรานายบ่าวไม่ให้ข้องเกี่ยว แล้วค้นหาคำตอบด้วยตนเอง เกรงว่าต่อให้พอจะพบเส้นสนกลในบางอย่างได้ แต่ก็คงเหมือนทรายที่ไหลลอดร่องนิ้วหายไป ไม่อาจปะติดปะต่อจนไขความจริง”
นางพลันนิ่งเงียบไปทันที รอให้ผิงอวี้รับปาก
แม่นมหลินฟังถึงตรงนี้ ในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดคุณหนูจึงต้องสาธยายให้ใต้เท้าผิงผู้นี้ฟังอย่างละเอียดลออถึงเพียงนี้
สกุลฟู่ประสบเหตุร้าย เดิมทีคุณหนูไร้คนให้พึ่งพา พอผ่านเหตุการณ์ในคืนนี้แล้วจึงได้รู้ว่ามีคนชั่วซุ่มรออยู่ข้างกาย สองนายบ่าวอาจถูกทำร้ายได้ทุกเมื่อ
คุณหนูไร้ทางถอย จำต้องพุ่งเป้าไปที่ใต้เท้าผิง แม้รู้ดีว่าเขามีความเคียดแค้นในอดีตกับนายท่าน แต่ก็ฉลาดที่จะหาข้อต่อรองให้ตนเอง ไม่อ่อนน้อมยอมตามง่ายๆ จนถึงกับพลิกเป็นฝ่ายโน้มน้าวให้ใต้เท้าผิงต้องยอมปกป้องคุ้มครองนางอย่างเต็มใจ
แม่นมหลินรู้สึกขมขื่นแทบจะหลั่งน้ำตา เหตุใดคุณหนูต้องตกระกำลำบากถึงเพียงนี้ ไม่กี่วันก่อนยังเป็นคุณหนูผู้สูงส่ง แวดล้อมด้วยคนรักใคร่พะเน้าพะนออยู่แท้ๆ เพียงชั่วพริบตากลับกลายเป็นบุปผาร่วงลงคลุกธุลี ต้องคิดหาทางวางแผนเอาตัวให้รอดเฉพาะหน้าทั้งนายและบ่าว
ฟู่หลันหยายังจับจ้องที่ผิงอวี้ เห็นว่าแม้เขาจะไม่ตอบ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าโอนอ่อนลงมาก นางจึงยิ้มเอ่ยว่า “ใต้เท้าผิงเป็นคนฉลาด ข้าขอพูดเพียงเท่านี้ นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกเราสองนายบ่าวไม่รบกวนการพักผ่อนของใต้เท้าผิง ขอลาไปก่อน”
พูดจบก็ลุกขึ้นหันไปมองแม่นมหลินแวบหนึ่ง แล้วเดินออกไปที่ประตู
ขณะกำลังจะเปิดประตู จู่ๆ ข้างหลังก็มีเสียงผิงอวี้พูดขึ้นว่า “คนที่ลอบทำร้ายเจ้าเมื่อครู่นี้มีทักษะการใช้อาวุธลับร้ายกาจนัก เจ้ากลับห้องพักเวลานี้ หากเขาย้อนกลับมา ต่อให้ข้านึกอยากจะคุ้มกันเจ้าเพียงไร ก็เกรงว่าจะไม่อาจทำได้…”
ใบหน้าแม่นมหลินเต็มไปด้วยความหวาดกลัว จริงสิ คนประหลาดเมื่อครู่นี้ฝีมือร้ายกาจนัก หากย้อนกลับมา พวกข้าสองนายบ่าวคงไม่โชคดีอีก มากกว่าครึ่งคงต้องถูกคนผู้นั้นทำร้ายแน่
“เรื่องมาถึงขั้นนี้คงต้องยอมให้พวกเจ้าอยู่ร่วมห้องกระมัง” ผิงอวี้เบนสายตาไปจากฟู่หลันหยา ลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “แน่นอน ถ้าคุณหนูฟู่เกี่ยงว่าตนเองมีฐานะสูงส่ง รักหน้าจนยอมตายแต่ไม่ยอมให้ชื่อเสียงต้องแปดเปื้อน ก็คิดเสียว่าข้าไม่ได้พูดแล้วกัน”
แม่นมหลินอ้าปากค้างพูดไม่ออกไปชั่วขณะ พอได้สติก็หันไปมองฟู่หลันหยาทันที หากเป็นยามปกติมีหรือที่นางจะยอมให้บุรุษใดหาญกล้ามากล่าวถ้อยคำเช่นนี้ต่อหน้าคุณหนู แต่วันนี้ต่างจากวันวาน คนประหลาดที่ได้พบก่อนหน้านี้ช่างน่ากลัวนัก นางจะยอมให้อีกฝ่ายเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอีกครั้งได้หรือ
เห็นฟู่หลันหยาไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง แม่นมหลินก็แอบจับมือฟู่หลันหยา แล้วกระซิบเบาๆ ทั้งสงสารทั้งทำอะไรไม่ถูก “คุณ…คุณหนู ตอนนี้ เอาชีวิตให้รอดก่อนเป็นเรื่องสำคัญกว่านะเจ้าคะ”
ขณะสองนายบ่าวกำลังจะล้มตัวลงนอนบนเตียงซึ่งเดิมผิงอวี้ใช้นอน ผิงอวี้ก็เดินออกมาจากห้องอาบน้ำ
เขาอาบน้ำเร็วมาก ไม่สนใจว่าน้ำถูกนำมาเติมไว้ในห้องอาบน้ำนานจนเย็นเฉียบแล้วสักนิด เพียงรีบอาบน้ำเร็วๆ สักพักก็เสร็จเรียบร้อย ตอนที่เดินออกมา สายลมราตรีพัดพากลิ่นเจ้าเจี่ยว* หอมสดชื่นออกมาวูบหนึ่ง
ม่านรอบเตียงถูกปลดลงแต่แรกแล้ว แม่นมหลินนอนอยู่ริมนอก คอยระวังป้องกันฟู่หลันหยาเป็นอย่างดีโดยให้นอนริมด้านใน พอได้ยินเสียงห้องอาบน้ำเปิดออกก็รีบหลับตาลง เงี่ยหูฟังเสียงผิงอวี้ทำสิ่งต่างๆ ด้วยความหวาดหวั่น
ห่างออกไปเพียงม่านกั้นผิงอวี้ก็เดินมายืนตรงพื้นหน้าเตียง ก่อนนอนลงบนผ้านวมผืนหนาที่ปูไว้เรียบร้อยแล้วแต่แรกโดยไม่พูดอะไร พอล้มตัวลงนอนเรียบร้อย จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดีดนิ้ว ตามมาด้วยเสียงฟ้าว คล้ายมีของสิ่งหนึ่งพุ่งตรงออกไปชนเปลวไฟตะเกียงน้ำมันจนดับ
ห้องตกอยู่ในความมืดทันที
ฟู่หลันหยานอนเงียบๆ ได้ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่าร่างของแม่นมหลินเกร็งเขม็ง คว้าจับมือของนางไว้ ก็รู้ในทันทีว่าอีกฝ่ายนึกระแวงผิงอวี้ นางจึงได้แต่ทอดถอนใจเบาๆ ลำบากอะไรเช่นนี้ ในเมื่อร้องขอให้ผิงอวี้คุ้มกันแล้ว ยังต้องระแวงถึงขั้นนี้ไปไย
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเห็นได้ชัดว่าผิงอวี้ไม่มีความคิดเช่นนั้น ต่อให้เกิดความคิดขึ้นมา ด้วยฝีมือของเขาแล้ว เพียงแค่ม่านที่กางกั้นจะไปป้องกันอะไรได้
นางจึงเป็นฝ่ายจับมือแม่นมหลินไว้แทน แล้วกระซิบปลอบว่า “แม่นม หลับเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องเดินทางอีก”
แม่นมหลินได้ยินเสียงอันเรียบนิ่งของฟู่หลันหยาก็ค่อยสงบลงได้ นางขานรับเบาๆ อย่างลังเล ในที่สุดร่างที่เกร็งมาตลอดดุจสายธนูที่ขึงตึงก็ผ่อนคลายลง
แมลงนอกหน้าต่างร้องระงม แสงจันทร์สาดส่องลงบนพื้นตรงหน้าต่างดุจประกายของเกล็ดหิมะ
ผิงอวี้ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวเล็กน้อยบนเตียง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าอากาศในห้องน่าอึดอัดจนรู้สึกหายใจไม่ออก เขาจึงพลิกตัวหันหลังให้เตียงทันที ค่อยรู้สึกว่าหายใจหายคอได้คล่องขึ้นสักหน่อย
ติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.