บทที่หก
ผิงอวี้รู้สึกว่ารสชาติที่ว่านี้ช่างยากจะทานทน เหมือนว่าร่างของเขากำลังถูกลงทัณฑ์ทรมานจนแทบมิอาจฝืนทนได้อีกแล้วแม้เพียงชั่วเค่อเดียว
เขากัดฟันแล้วหลับตา เรียกเอาความอดทนต่อการถูกถ่านปู้ข่านเฆี่ยนตีลงทัณฑ์ที่เมืองเซวียนฝู่ในตอนนั้นขึ้นมาต้านทานไว้ บอกตนเองว่าอดทนต่อไปอีกเพียงระยะทางสั้นๆ เท่านั้น พอไม่ได้ยินเสียงประหลาดนั้นแล้ว ค่อยโยนนางลงจากหลัง
พอคิดได้เช่นนี้ ร่างกายที่รู้สึกงุ่นง่านอย่างบอกไม่ถูกก็ค่อยสงบลงได้บ้างในที่สุด
ขณะที่กำลังคิดฟุ้งซ่าน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฟู่หลันหยาหวีดร้อง “งู!”
เขาตกใจจนชะงักฝีเท้า เห็นงูเขียวธรรมดาตัวหนึ่งเลื้อยผ่านเท้าไปพอดี งูตัวนี้มีสีเขียวสด เป็นงูคนละพันธุ์กับงูเขียวหางไหม้ท้องเหลือง มีนิสัยอ่อนโยนและไม่มีพิษ
พอฟู่หลันหยาหวีดร้อง งูตัวนั้นก็รีบเลื้อยเข้าพงหญ้า หายไปในชั่วพริบตา
หัวคิ้วเขาขมวดมุ่น กำลังจะต่อว่าว่านางเป็นคนขี้ตกใจ แต่คงเป็นเพราะคืนนี้ฟู่หลันหยาต้องเผชิญเหตุการณ์ที่ไม่เคยพบพานติดๆ กันจนขวัญหนีดีฝ่อไป นางจึงได้ลืมการไว้ตัวไปโดยสิ้นเชิงแล้ว แขนสองข้างโอบรัดรอบลำคอเขาจนแน่น จะทำอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย
แผ่นหลังของเขาจึงสัมผัสได้ถึงสิ่งอ่อนนุ่มสองก้อนได้อย่างชัดเจน เนื่องจากร่างแนบร่าง เขาจึงรับรู้ได้ถึงทรวดทรงอันชัดเจนยิ่งกว่าช่วงก่อนหน้านี้เสียอีก
ประหนึ่งมีแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นในหัวสมอง เขาพลันหวนนึกไปถึงภาพความทรงจำอันน่าขยะแขยงที่สุดเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมา ท้องไส้ปั่นป่วน เขาถึงกับทนไม่ไหวอีกต่อไป รีบทิ้งร่างฟู่หลันหยาลงจากหลังในทันที
ฟู่หลันหยาเหลือบเห็นงูเลื้อยผ่านไปแล้ว เพิ่งจะโล่งอกได้บ้าง ใครเลยจะรู้ นางยังไม่ทันตั้งสติก็ถูกผิงอวี้ทิ้งลงกับพื้นเสียแล้ว เพราะไม่ทันระวังจึงล้มก้นจ้ำเบ้า ท่ามกลางความสับสนมึนงง นางเกือบจะทำให้ข้อเท้าต้องแพลงไปอีกรอบ
นางทั้งตกใจทั้งฉุนโกรธ กุมข้อเท้าที่เจ็บปวดพลางเงยหน้าขึ้นถลึงตามองผิงอวี้ คนผู้นี้เป็นอะไรกันแน่ ก่อนหน้านี้ข้าขอลง กลับไม่ให้ขยับตัว ตอนนี้จู่ๆ ก็ปล่อยให้ข้าหล่นลงมาเสียอย่างนั้น ไม่มีแม้แต่จะบอกกล่าวกันสักคำ
ยามฟู่หลันหยาได้จ้องมองดีๆ ก็ต้องตะลึงงันไป สีหน้าของผิงอวี้เหยเก เหงื่อออกจนชุ่มหน้าผาก ดูแล้วแทบไม่ได้ดีไปกว่านางสักเท่าไร
ฟู่หลันหยาถามอย่างตื่นตระหนก “ใต้เท้าผิงถูกงูฉกมาหรือ!”
นางลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก อยากจะกระเถิบเข้าไปดูอาการเขาใกล้ๆ
คิดไม่ถึงว่าพอผิงอวี้เห็นนางเดินกะเผลกเข้ามาหา เขากลับถอยห่างออกไปสองก้าวด้วยสีหน้าย่ำแย่ “ข้าไม่ได้เป็นอะไร!”
ฟู่หลันหยาได้ยินเขาพูดตวาดเสียงดังฟังชัด ไม่เหมือนว่าถูกงูพิษกัดสักนิดก็รู้สึกเหลือทนกับอาการผีเข้าผีออกของเขา นางยืนอยู่ที่เดิมได้ครู่หนึ่งก็กลับลงไปนั่ง สีหน้าเย็นชายิ่ง
ผ่านไปครู่หนึ่งนางค่อยนึกขึ้นได้ว่าตนเองถูกผิงอวี้แบกขึ้นหลังมาตลอดทาง แม้จะเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำในยามฉุกละหุก แต่ก็อดรู้สึกหงุดหงิดและอับอายไม่ได้ แต่เพราะตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมานึกย้อนเสียใจ นางจึงได้แต่นิ่งเงียบไปพักใหญ่ อดกลั้นความขมขื่นในอกกลับลงไป แล้วเตือนสติเขาเบาๆ “ใต้เท้าผิง ขอบคุณที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แต่เกรงว่าไม่เหมาะจะอยู่ที่นี่นานนัก เกิดเจ้าคนที่เรียกงูมาผู้นั้นจู่โจมอีกครั้งล่ะก็…”
เวลานี้สีหน้าผิงอวี้กลับมาเป็นปกติแล้ว แต่ไม่รู้เหตุใดเขาจึงยังดูว้าวุ่นใจ พอได้ยินที่ฟู่หลันหยาพูดก็หันไปเหลือบมองนาง แล้วตอบอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ “ข้าจะเรียกผู้ใต้บังคับบัญชาของข้ามาที่นี่”
ขณะที่พูดก็อดมองไปยังเท้าและท่อนแขนของฟู่หลันหยาที่มีชายเสื้อปิดไว้เพียงครึ่งเดียวไม่ได้ เห็นผิวเนื้อส่วนที่เผยออกมานอกผ้าดูขาวเนียนดุจหยก น่ามองเป็นพิเศษ เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ชี้ไปยังก้อนหินที่อยู่ไม่ไกลนักทางด้านหลัง แล้วพูดอย่างไม่เปิดช่องให้โต้เถียง “ข้าจะเรียกผู้ใต้บังคับบัญชามาแล้ว เจ้ารีบไปซ่อนอยู่หลังก้อนหินก้อนนั้นก่อน”
ฟู่หลันหยากำลังจะทำเช่นนี้พอดี จึงรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง แล้วเดินลากขาไปยังด้านหลังก้อนหินทีละก้าวๆ
แต่ยิ่งเข้าไปใกล้ก็อดหวนนึกถึงภาพงูพิษทั้งฝูงไม่ได้ ความประหวั่นพรั่นพรึงประดังออกมาจากส่วนลึก จนทำให้ย่างก้าวพลอยช้าลงด้วย
ฟู่หลันหยาหยุดยืนอยู่กับที่แล้วหันไปมองครู่หนึ่ง เห็นด้านหลังก้อนหินก้อนนั้นไม่มีเสียงอะไร ดูไม่เหมือนว่าจะมีสัตว์จำพวกงูเงี้ยวเขี้ยวขอมาซ่อนตัวอยู่จึงค่อยวางใจ กำลังตั้งใจว่าจะเดินเข้าไป
ขณะที่กำลังก้าวขา จู่ๆ ผิงอวี้ก็เดินมาหา พอมาอยู่ต่อหน้าแล้วเขากลับไม่มองนาง เพียงแค่ล้วงหยิบแท่งพลุไฟที่ทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับองครักษ์เสื้อแพรแท่งหนึ่งออกจากอกเสื้อ จุดด้วยแท่งจุดไฟแล้วชูขึ้นสูง จากนั้นขว้างออกไป ก่อนจะได้ยินเสียงหวีดแหลม พลุไฟพุ่งทะยานขึ้นฟ้า ระเบิดแสงจ้ากลางอากาศ ส่องให้เห็นหลังก้อนหินที่มืดมิดนั้นได้อย่างชัดเจน
ฟู่หลันหยาอาศัยแสงพลุไฟมองดูด้านหลังก้อนหินให้ชัด เห็นเป็นพื้นดินเรียบๆ ไม่มีแม้แต่มดแมลงก็วางใจได้ในที่สุด เดินก้าวต่อไปอีกสองสามก้าว เอามือยันก้อนหินพยุงตัวแล้วค่อยๆ นั่งลง
ไม่รู้ว่าผิงอวี้ดูออกหรือไม่ว่านางกลัว เพราะถึงเขาจะจุดพลุไฟแล้วก็ยังยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ได้เดินออกไป
ทั้งสองคน คนหนึ่งนั่งคนหนึ่งยืน อยู่ห่างกันไม่ไกลนัก แต่เพราะแต่ละคนต่างครุ่นคิดจึงไม่มีใครเอ่ยปาก
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใดจึงมีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังแว่วมาจากที่ไม่ไกลนัก เหมือนจะมีคนจำนวนไม่น้อยเดินมาทางนี้
พอเห็นผิงอวี้ คนที่มาก็ร้องเรียกเบาๆ “ใต้เท้าผิง!” เสียงเร่งฝีเท้าดังขึ้นทันที ไม่ช้าคนทั้งกลุ่มก็วิ่งมาถึงตรงหน้า คบไฟที่ต่างคนต่างถือมาส่องจนรอบด้านสว่างขึ้นทันที
ผิงอวี้กวาดตามองไป เห็นหวังซื่อเจาตามมาด้วย พอถึงเบื้องหน้าเขา อีกฝ่ายก็เอาแต่ชะเง้อมองไปด้านหลัง จึงรู้ว่าหวังซื่อเจากำลังมองหาฟู่หลันหยาอยู่ ผิงอวี้แอบหัวเราะหยันแล้วยืนขวางก้อนหินก้อนนั้นไว้อย่างแนบเนียน จากนั้นพูดกับหลี่หมินว่า “บุตรีขุนนางต้องโทษได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้า ตอนนี้เดินไม่สะดวก เจ้ารีบไปตามบ่าวผู้นั้นที่วังมู่อ๋องให้มาดูแลนางที”
หลี่หมินไม่คิดว่าผิงอวี้จะสั่งการเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนก็นิ่งอึ้ง จากนั้นจึงขานรับแล้วไปทำตามคำสั่ง
ผิงอวี้หันกลับมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างคร่าวๆ ให้พวกเฉินเอ่อร์เซิงฟัง “ข้าเดาว่าคนที่เรียกงูมานั้นมากกว่าครึ่งน่าจะเป็นพวกเดียวกับชาวอี๋คนนั้น พวกเจ้าเข้าไปดูในป่าลึกสักสองสามคน จำไว้ว่าต้องระวังตัวด้วย ถ้าข้าเดาไม่ผิด ชาวอี๋ผู้นั้นน่าจะถูกพาตัวไปแล้ว แต่ถ้ายังอยู่ที่เดิม จะต้องพากลับมาให้ได้ไม่ว่าตายหรือเป็น”
พูดจบก็อธิบายจุดที่พบให้อย่างชัดเจน
เฉินเอ่อร์เซิงรับคำสั่ง เตรียมจะถอยไป
จู่ๆ ดวงตาหวังซื่อเจาก็เป็นประกายวาบ เขาพูดขึ้นว่า “ช้าก่อน ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย”
เฉินเอ่อร์เซิงได้ยินดังนั้นก็ลอบส่งสายตาให้ผิงอวี้ เห็นผิงอวี้พยักหน้าอย่างแนบเนียนจนแทบไม่สังเกตเห็นก็หลุบตาลงรับคำสั่ง องครักษ์ทั้งกลุ่มพากันถอยออกไป
หลี่หมินว่องไวมาก ไม่เพียงจะพาตัวแม่นมหลินมาได้อย่างรวดเร็ว แม้แต่มู่เฉิงปินกับเติ้งอันอี๋ก็ยังตามมาด้วย
นอกจากนี้ยังมีเกี้ยวหลังหนึ่งตามหลังพวกเขามา
ตอนที่หลี่หมินไปตาม แม่นมหลินได้ข่าวว่าฟู่หลันหยาได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้า จึงหอบเสื้อคลุมกันลมไว้ในมือข้างหนึ่งพลางร้องไห้คร่ำครวญเร่งฝีเท้าเดินมา ทั้งยังคอยสอดส่ายสายตามองหาฟู่หลันหยาอย่างร้อนใจ ปากก็ร้องเรียกปนสะอื้น “คุณหนู คุณหนู คุณหนูอยู่ที่ใดเจ้าคะ!”
ฟู่หลันหยาได้ยินอย่างชัดเจนจากด้านหลังก้อนหิน รู้สึกแสบจมูกขึ้นมาทันที นางรีบเอามือยันก้อนหินแล้วลุกขึ้นมา แต่ยังซ่อนตัวอยู่ด้านหลังพลางขานตอบว่า “แม่นม ข้าอยู่นี่”
แม่นมหลินได้ยินก็ตะลึงงัน รีบก้าวยาวๆ อ้อมไปด้านหลังก้อนหิน อาศัยแสงจากคบไฟกวาดตาสำรวจฟู่หลันหยาไปทั่วตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนรวบนางมากอดไว้ในอ้อมอก พูดเสียงสั่นปนสะอื้น “ไม่เป็นไรก็ดีแล้วเจ้าค่ะ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นแม่นมคงจะ…”
แล้วก้มหน้าลงตรวจดูข้อเท้าของฟู่หลันหยาที่บาดเจ็บด้วยความสงสารจับใจ
ฟู่หลันหยาลำคอตีบตัน กลั้นน้ำตาไว้แล้วปลอบใจแม่นมหลินด้วยเสียงกระซิบอ่อนโยน รอจนกระทั่งนางสงบใจลงได้ ค่อยยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้
ผิงอวี้ฟังสองนายบ่าวปลอบประโลมกันไปมาอย่างหมดความอดทน เห็นมู่เฉิงปินมาแล้วจึงก้าวอาดๆ เข้าไปหา
ฟู่หลันหยาสะอื้นพลางปลอบใจแม่นมหลิน พอเหลือบเห็นทางหางตาว่าผิงอวี้เดินไปแล้วก็ไม่กล้าชักช้าให้เสียเวลา รีบหันไปขยิบตาให้แม่นมหลินทันที
แม่นมหลินรับรู้แล้วก็หยุดร้องไห้ เอาเสื้อคลุมกันลมมาสวมให้ฟู่หลันหยาพลางยื่นตำราโบราณเล่มนั้นกับถุงใส่ยาถอนพิษให้ถึงมือนางด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เพิ่งหนีรอดจากกองเพลิงได้ สองนายบ่าวจึงไม่ทันได้หยิบอะไรออกมาด้วย เอามาเพียงของล้ำค่าสองสิ่งนี้ที่ซ่อนไว้ใต้หมอนตอนนอนเท่านั้น โชคดีเหลือเกินที่ยังรอดปลอดภัยดีไม่เสียหายแต่อย่างใด
ฟู่หลันหยาซ่อนตำราโบราณไว้ในเสื้อตัวในอย่างเงียบๆ ปล่อยให้แม่นมเอาเสื้อกันลมมาสวมตัว ในใจลึกๆ ยังไม่หายกังวล แอบคาดเดาว่าที่ชาวอี๋หาทางเล่นงานนางไม่ยอมเลิกราเช่นนี้ ดูแล้วไม่เพียงมุ่งโจมตีที่ตัวนาง แต่เหมือนเป็นเพราะสิ่งที่นางพกติดตัว
ทว่าฟู่หลันหยาประสบเคราะห์ภัยจนครอบครัวล่มสลาย ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีสิ่งของมีค่าติดกาย ที่แท้มีสิ่งใดมีค่าพอให้คนเหล่านี้ต้องการ
นางคิดทบทวนดูแล้วก็ค่อยๆ เชื่อมโยงไปถึงตำราที่ซ่อนไว้ในอก
คิดแล้วก็เสียวสันหลังวาบ จู่ๆ ก็ได้ยินผิงอวี้พูดกับมู่เฉิงปินด้วยสีหน้ากึ่งหยอกเย้ากึ่งจริงจัง “เหตุการณ์ในคืนนี้วังมู่อ๋องคงยากจะหลบเลี่ยงว่าไม่เกี่ยวข้อง ข้าจะต้องตรวจสอบจนรู้ชัดให้ได้ ถ้าเจ้าปัดความรับผิดชอบอย่างส่งเดช หรือปิดบังลับๆ ล่อๆ ก็อย่าได้กล่าวโทษเป็นอันขาด เพราะข้าจะไม่เป็นแม้แต่พี่น้องกับเจ้า”
มู่เฉิงปินหัวเราะขึ้นมาทันทีแล้วบอกอย่างร่าเริง “ตรวจสอบเลย ต้องตรวจสอบด้วย ไฟไหม้ครั้งนี้เกิดขึ้นในวังมู่อ๋องของข้า คนก็ถูกลักพาไปจากวังข้า ต่อให้ข้ากระโดดลงแม่น้ำหวงเหอก็ยากจะล้างมลทิน* ต่อให้เจ้าไม่ตรวจสอบข้าก็จะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ จะต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองให้จงได้”
ผิงอวี้จึงค่อยหัวเราะร่า แล้วเดินกลับไปที่ก้อนหิน เห็นฟู่หลันหยาสวมเสื้อคลุมกันลมแล้วก็พูดขึ้นเรียบๆ “ไปกันเถอะ”
ฟู่หลันหยาหลุบตาลง แล้วเดินกะเผลกไปยังเกี้ยวโดยมีแม่นมหลินคอยช่วยประคอง ขณะเดินทางกลับ นางรู้สึกตลอดเวลาว่ามีสายตาสองคู่คอยจับจ้องตนเอง แต่จะเป็นด้วยเจตนาใดนั้นกลับไม่ชัดแจ้ง
มาถึงหน้าประตูวังมู่อ๋อง ฟู่หลันหยาก็ให้แม่นมหลินประคองลงจากเกี้ยว แล้วเดินขากะเผลกตามทุกคนเข้าไปข้างใน
ทั่วทั้งวังมู่อ๋องเงียบสงบ เสียงหวีดร้องอึกทึกด้วยความหวาดกลัวในเหตุไฟไหม้ก่อนหน้านี้สงบราบคาบลงแล้ว
มู่เฉิงปินจัดการรวดเร็วดุจสายฟ้า หลังจากควบคุมเพลิงที่โหมไหม้เรือนปีกตะวันตกไว้ได้แล้ว ก็สั่งให้ปิดทางเข้าออกของวังทั้งหมดจนกว่าจะจับตัวหนอนบ่อนไส้ออกมาได้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเข้าออกได้ตามอำเภอใจ
บัดนี้บ่าวไพร่ทั่วทั้งวังอ๋องถูกควบคุมไว้ที่ลานเรือนด้านหน้า รอการไต่สวนอย่างเงียบๆ
เรือนปีกตะวันตกเสียหายไปมากกว่าครึ่ง เรือนที่อยู่ข้างเคียงก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วยมากบ้างน้อยบ้าง เพื่อไม่ให้บกพร่องในการต้อนรับขับสู้พวกผิงอวี้ มู่เฉิงปินจึงให้เปิดเรือนเล็กๆ แห่งหนึ่งตรงมุมตะวันออกเฉียงเหนือของวัง ให้พวกเขาเข้าไปพักที่นั่นเป็นการชั่วคราว
เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหัน เรือนพักแห่งนั้นย่อมไม่อาจเทียบได้กับเรือนปีกตะวันตกก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังนับว่ากว้างขวางและเงียบสงบดี
พอเข้าไปในลานเรือนแห่งนั้นแล้ว ผิงอวี้ก็สำรวจตำแหน่งเรือนพักรอบๆ แล้วพูดกับมู่เฉิงปิน “จ้งเหิง เรื่องที่เกิดคืนนี้เห็นได้ชัดว่าพุ่งเป้าไปที่บุตรีขุนนางต้องโทษ ถ้าจะไปไต่สวนคนที่ลานเรือนด้านหน้าก็คงต้องจัดสรรกำลังคนไว้คอยคุ้มกันนางที่นี่ด้วย มิสู้ใช้ลานเรือนแห่งนี้เป็นสถานที่ไต่สวนเสียเลยไม่ดีกว่าหรือ จะได้ระวังไม่ให้เกิดเหตุพลิกผันขึ้นอีก”
บางทีมู่เฉิงปินคงอยากจะล้างตัวให้พ้นข้อสงสัยด้วย พอได้ยินเช่นนั้นจึงรีบตอบกลับทันทีว่าเห็นด้วย ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วด้วยซ้ำ แล้วสั่งการองครักษ์ที่อยู่ข้างๆ ให้ไปนำตัวคนรับใช้ทั้งหมดของจวนมาที่นี่
ระหว่างที่ทั้งสองคนนั้นพูดคุยกัน ฟู่หลันหยาก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ใดดี จำต้องยืนหลบมุมตรงใต้ชายคากับแม่นมหลิน รอให้ผิงอวี้จัดแจง
ผ่านเหตุร้ายในป่ามา ฟู่หลันหยาหกล้มได้รับบาดเจ็บจนข้อเท้าแพลง รู้สึกเหนื่อยล้าสุดขีด ที่ยังฝืนยืนอยู่ได้ก็ล้วนอาศัยแรงใจอันกล้าแกร่งเท่านั้น
เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไปจากความเจ็บ นางจึงเริ่มหาทางคลี่คลายเงื่อนงำของเหตุการณ์ในคืนนี้
ตอนที่เกิดเหตุไฟไหม้ นางกับแม่นมหลินนอนหลับอยู่ในห้อง องครักษ์เสื้อแพรที่เหลือล้วนกำลังแยกย้ายกันพักผ่อนในห้องของตนเอง ด้านนอกมีองครักษ์เสื้อแพรสองคนคือหลี่หมินกับเฉินเอ่อร์เซิงอยู่
หรือสามารถพูดได้ว่าลานที่พักแห่งนี้ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ถ้าชาวอี๋คิดจะเล็ดลอดเข้ามาลักพาตัวนางก็จำต้องผ่านด่านคุ้มกันที่แน่นหนานี้ให้ได้เสียก่อน
เพื่อจะบีบให้นางออกมาจากห้องพัก การวางเพลิงย่อมถือเป็นวิธีการที่ได้ผลมากที่สุด ทั้งยังสร้างความสับสนอลหม่านขึ้นในวังมู่อ๋องได้อีกด้วย ทำให้การระวังป้องกันขององครักษ์เสื้อแพรหละหลวม นับว่าเป็นวิธีการที่ใช้เมื่อใดก็ได้ผล
แต่วังมู่อ๋องก็ไม่เหมือนกับบ้านเรือนของชาวบ้านทั่วไป ถ้าจะวางเพลิง อันดับแรกจะต้องคุ้นเคยกับผังเรือนที่พักต่างๆ ในวังเสียก่อน นอกจากนี้ยังต้องฉวยโอกาสได้ถูกเวลา ทุกขั้นตอนต้องวางแผนให้ประจวบเหมาะพอดี
จากข้อนี้จึงเห็นได้ว่านอกจากชาวอี๋ที่มาลักพาตัวนางในคืนนี้แล้ว จะต้องมีคนในวังมู่อ๋องเป็นหนอนบ่อนไส้ด้วยแน่
แต่ไม่รู้ว่าผิงอวี้วางแผนจะใช้วิธีการใดหาตัวหนอนบ่อนไส้ที่แฝงตัวอยู่ในวังมู่อ๋องออกมา และเหตุใดคนผู้นั้นต้องวางแผนเล่นงานนางด้วย
ฟู่หลันหยาครุ่นคิดจนเหม่อลอย โดยไม่ทันรู้ตัวว่ามีคนกำลังจับจ้องนางอยู่
แม่นมหลินกลับเป็นคนที่จับสังเกตได้นานแล้วเพราะคอยระแวดระวังการเคลื่อนไหวทางด้านผิงอวี้อยู่ คนผู้นั้นที่จับจ้องมาเป็นคุณชายหนุ่มผู้หนึ่ง สวมชุดยาวสีเขียวคาดเข็มขัดหยก กำลังยืนอยู่ข้างกายมู่เฉิงปิน เรือนร่างสูงใหญ่บดบังแสงตะเกียงบนทางเดินไปกว่าครึ่ง
นางนึกออกแล้วว่าระหว่างเดินทางมาเคยได้ยินหลี่หมินเรียกเขาว่า ‘คุณชายเติ้ง’ ช่วงหลายวันมานี้ พวกนางนายบ่าวพบเจอเรื่องราวมามาก จำต้องคอยระวังสัญญาณเตือนทั้งหลายรอบกายมากเป็นพิเศษ จึงอดไม่ได้ที่จะมองดูสองตาของคุณชายเติ้งผู้นั้นด้วยความระแวง เห็นเขาอายุราวยี่สิบปีดูไล่เลี่ยกับใต้เท้าผิง จากท่าทางและเสื้อผ้าที่สวมใส่คงเป็นแขกคนสำคัญของวังมู่อ๋อง
นางลอบประเมินคนผู้นี้จากรูปโฉมภายนอก หากว่ากันอย่างเป็นธรรมแล้ว ใต้เท้าผิงเป็นบุรุษรูปงามที่พบเจอได้ยาก ซึ่งความรูปงามของใต้เท้าผิงยังแฝงไว้ด้วยความเย็นชาและท่าทีอันหยิ่งผยอง ในขณะที่คุณชายเติ้งตรงหน้าผู้นี้กลับดูสุภาพเรียบร้อยอย่างมาก ไม่รู้ว่านางเข้าใจผิดหรือไม่ จึงได้เห็นว่าสายตาเขายามทอดมองคุณหนู…ดูเหมือนจะแฝงไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ
นางอดไม่ได้ที่จะนึกสงสัยว่าคนผู้นี้อาจมีความเกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์ทางใดทางหนึ่งกับสกุลฟู่
เวลานี้ผิงอวี้หารือเรื่องต่างๆ กับมู่เฉิงปินจนตกลงเป็นมั่นเป็นเหมาะกันแล้ว เขาเหลือบมองมาทางฟู่หลันหยา จึงเห็นว่าแม้นางจะมีท่าทีสุขุม ยืดหลังเหยียดตรง ทว่าสีหน้ากลับดูไม่ค่อยดี คงจะเหนื่อยล้ามากทีเดียว
ผิงอวี้จึงหันไปพูดกับมู่เฉิงปินว่า “อีกสักครู่ตอนที่ไต่สวน บุตรีขุนนางต้องโทษคงไม่สะดวกจะอยู่ตรงนี้ด้วย ไม่ทราบว่าเจ้าจะให้พวกนางทั้งนายและบ่าวไปพักอยู่ที่เรือนใด”
มู่เฉิงปินจึงค่อยนึกถึงฟู่หลันหยาและบ่าวขึ้นมาได้ ว่าไปแล้ว ไม่ว่าจะเขาหรือมู่อ๋องผู้เป็นบิดาก็ต่างรู้จักมักคุ้นกันดีกับฟู่ปิง ในตอนแรกที่ฟู่ปิงหลุดจากอำนาจ พวกเขาเองยังเป็นธุระคอยให้ความช่วยเหลือในทางลับด้วยการพาหนีด้วย
แต่น่าเสียดายที่อวิ๋นหนานอยู่ไกลจากเมืองจิงเฉิงมากเกินไป สกุลมู่ของพวกเขาปลีกตัวออกห่างจากความขัดแย้งในราชสำนักนานหลายปีแล้ว อีกอย่าง ฝ่ายของหวังหลิงบัดนี้มีอำนาจมาก ต่อให้พวกเขามีใจจะยื่นมือเข้าแทรกแซงเพียงไรก็ไม่มีอำนาจพอจะกระทำได้
บัดนี้ได้ยินผิงอวี้พูดเช่นนี้ จึงหันไปมองฟู่หลันหยาด้วยสายตาขอลุแก่โทษ แล้วหันไปสั่งการพ่อบ้านที่อยู่ข้างๆ หลายคำ
ผ่านไปสักพักก็มีคนรับใช้เดินนำฟู่หลันหยากับบ่าวไปยังห้องพักด้านในสุดของเรือน
เมื่อผลักประตูห้อง ก็เห็นว่ามีคนมาจุดตะเกียงไว้ให้ก่อนแล้ว นอกจากเตียงกับโต๊ะเก้าอี้ บริเวณใต้หน้าต่างยังมีเก้าอี้ยาววางไว้อีกตัวหนึ่งด้วย
พอเข้าไปในห้อง แม่นมหลินก็รีบประคองฟู่หลันหยาไปนั่งที่เก้าอี้ยาว ให้นางได้พักเท้าข้างที่บาดเจ็บ
เพราะในห้องจุดตะเกียงไว้สว่างแล้ว เพียงแม่นมหลินเหลือบมองก็เห็นว่าเสื้อผ้าฟู่หลันหยาเปรอะเปื้อนคราบฝุ่นดินจนดำอยู่หลายจุด เท้าก็เปลือยเปล่า ไม่มีถุงเท้าเลยสักคู่ น่าเสียดายที่เสื้อผ้าของทั้งคู่ล้วนมอดไหม้ในกองเพลิงไปหมดสิ้น บัดนี้คิดจะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าสักชุดก็ไม่รู้ว่าจะไปหาได้จากที่ใด
ฟู่หลันหยาเห็นแม่นมหลินดูเป็นทุกข์กังวลก็ถอนหายใจแผ่วเบา กำลังจะพูดปลอบนางสักสองสามประโยค จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนมาเคาะประตู เปิดออกดูก็เห็นคนรับใช้ของวังมู่อ๋อง บอกว่ารับคำสั่งมาจากชายาซื่อจื่อ ให้นำเสื้อผ้ากับถุงเท้ารองเท้ามาให้
แม่นมหลินรับมาด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะเห็นเป็นเสื้อผ้าของสตรีที่ดูเรียบๆ สะอาดสะอ้านวางพับซ้อนกันมาจริงดังว่า แล้วได้ยินคนรับใช้กระซิบบอก “เมื่อครู่ได้ให้พวกใต้เท้าองครักษ์เสื้อแพรตรวจดูแล้ว แม่นมวางใจได้ ชายาซื่อจื่อบอกว่าตอนนี้นางกำลังป่วย ไร้เรี่ยวแรงจะทำอันใด แต่ขอเพียงคุณหนูฟู่อยู่ในวังนี้ นางจะคอยดูแลใส่ใจคุณหนูฟู่อย่างสุดความสามารถ”
ฟู่หลันหยาคิดไม่ถึงแม้แต่น้อย มิน่าเล่า เมื่อเย็นตอนที่เข้ามาในวังมู่อ๋อง คนรับใช้จึงคอยรับใช้พวกนางนายบ่าวอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง แม้ไม่ได้พูดอะไรมากแต่ก็ตระเตรียมทั้งน้ำร้อนและสำรับอาหารไว้ให้อย่างพร้อมสรรพ
นางจึงรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ยาว แล้วแสดงความขอบคุณผ่านทางคนรับใช้ผู้นั้น
คนผู้นั้นหัวเราะ พอถอยออกไปได้ไม่นานก็นำคนยกน้ำเข้ามาพร้อมกับสำรับอาหารร้อนๆ อีกหลายอย่าง
แม่นมหลินดีใจราวกับได้สมบัติล้ำค่า รีบกล่าวขอบคุณเป็นการใหญ่ รอจนคนรับใช้วังมู่อ๋องออกไปแล้ว ด้วยเกรงว่าฟู่หลันหยาจะเดินเหินไม่สะดวก จึงคอยอยู่รับใช้ฟู่หลันหยาอาบน้ำอย่างระมัดระวัง
ฟู่หลันหยาอาบน้ำแล้วก็มากินอาหารจนเสร็จ นางรู้สึกสดชื่นขึ้นมาก หลังจากนั้นก็เอนร่างลงนอนที่เก้าอี้ยาว อดหวนคิดถึงชายาผู้นั้นของมู่เฉิงปินไม่ได้
แม้นางจะติดตามบิดามาอยู่ที่อวิ๋นหนานตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อน ทว่าสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ก็ล้วนอาศัยอยู่ในเมืองจิงเฉิง ประกอบกับสองปีที่ผ่านมาบิดาประสบกับความยากลำบากในงานราชสำนัก จึงรักษาระยะห่างจากทั้งมู่อ๋องผู้บิดาและบุตรมาเสมอ
ด้วยเหตุนี้แม้นางจะอยู่ที่อวิ๋นหนาน แต่ก็แทบไม่ได้ไปมาหาสู่กับชายาซื่อจื่อเลย รู้เพียงว่าอีกฝ่ายเป็นบุตรีคนโตของเจิ้นหย่วนโหว เป็นหญิงที่สง่างาม ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างสุภาพและเป็นมิตร มีสัมพันธ์อันดีกับบรรดาตระกูลชั้นสูงที่มีอำนาจในเมืองหลวงหลายตระกูล
ยังได้ยินมาอีกว่าตั้งแต่นางแต่งงานเข้าสกุลมู่ สามีภรรยาก็รักใคร่กลมเกลียว แต่งงานกันมาหลายปีทั้งสองก็มีบุตรชายหนึ่งคน บุตรีหนึ่งคน
แต่ดูจากหญิงสาวที่ได้พบกันโดยบังเอิญตอนที่เข้ามาในจวน มากกว่าครึ่งหญิงสาวผู้นั้นน่าจะเป็นอนุภรรยาที่มู่เฉิงปินเพิ่งรับเข้าวังมาได้ไม่นาน จากคำพูดที่ได้ยิน ดูเหมือนนางจะเป็นที่โปรดปรานของมู่เฉิงปิน และไม่ทราบว่าที่ชายาของมู่เฉิงปินล้มป่วยนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่
ขณะครุ่นคิดจนใจลอย จู่ๆ ก็มีเสียงเอะอะดังขึ้นในลานเรือน ผ่านไปสักครู่ก็กลับมาเงียบสงบดังเดิม นางเอามือค้ำพนักพิงหลังแล้วยืดตัวขึ้น คอยฟังเสียงความเคลื่อนไหวในลานเรือนอย่างตั้งใจ
จากนั้นก็ได้ยินมู่เฉิงปินตวาดอย่างเกรี้ยวกราด “คืนนี้เกิดไฟไหม้ในวัง มีชาวอี๋ลอบเข้ามาในวังได้ ข้าสงสัยว่าจะมีคนในเป็นสาย จึงได้เรียกตัวพวกเจ้ามาไต่สวน!”
พอพูดออกไปเช่นนี้ก็เกิดเสียงกระซิบกระซาบดังหึ่งๆ ขึ้นทันที
มู่เฉิงปินกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “สกุลมู่ของข้าปกป้องชายแดนที่อวิ๋นหนานมานานปี ชื่อเสียงน่าเกรงขามจนเป็นที่เลื่องลือ ปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเข้มงวด เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ต้องมีการตรวจสอบและลงโทษอย่างรุนแรง หลังจากนี้จะมีการไต่สวน พวกเจ้าต้องให้การตามตรง ห้ามปิดบังอำพราง ผู้ใดกล้าหลบเลี่ยงบิดเบือนโกหก จะถูกลากออกมาโบยโดยไม่มีการยกเว้น”
เวลานี้แม่นมหลินเก็บสำรับอาหารบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว กำลังจะเดินไปนั่งลงใกล้ๆ ฟู่หลันหยาที่เก้าอี้ยาว พอได้ยินเช่นนี้ก็เดาะลิ้นพลางเอ่ยว่า “สมแล้วที่เป็นมู่อ๋องซื่อจื่อ เห็นเป็นคนสุภาพ แต่พอโกรธขึ้นมาก็ดูทรงอำนาจประหนึ่งอสนีบาต คุณหนูว่า แม้แต่ซื่อจื่อยังดูร้ายกาจถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่ามู่อ๋องที่รักษาการณ์อยู่ที่เมืองคุนหมิงจะยิ่งน่าเกรงขามดุจมีสามเศียรหกกรสักปานใด”
ฟู่หลันหยาไม่พูดอะไร เพียงแค่สงสัยใคร่รู้ว่าทั้งสองคนนั้นเตรียมใช้วิธีการใดหาตัวหนอนบ่อนไส้ออกมา ก่อนจะได้ยินเสียงผิงอวี้พูดอย่างเรียบๆ และดูผ่อนคลายว่า “บัดนี้อวิ๋นหนานมีข้าหลวงปกครองท้องถิ่นทั้งใหญ่น้อยเกินกว่าร้อยคน ในจำนวนเหล่านี้แทบทุกคนมีความรู้ในไสยเวท ตอนที่ยังมาไม่ถึงชวีถัว เคยมีชาวอี๋อีกคนบุกเข้ามาลอบทำร้ายในยามวิกาล คนผู้นั้นมีวิชาที่แปลกพิสดาร สามารถใช้ขลุ่ยไผ่ยิงอาวุธลับได้ ตอนที่มาถึงวังมู่อ๋องเมื่อตอนย่ำค่ำ ข้าได้ฟังเรื่องนี้จากซื่อจื่อแล้ว แม้ซื่อจื่อจะรู้อย่างละเอียดถึงวิถีของชาวอี๋ แต่มีเพียงเรื่องอาวุธลับนี้เท่านั้นที่ไม่ทราบอะไรเลยสักอย่างเกี่ยวกับมัน”
ข้างนอกเงียบกริบลงทันใด ฟู่หลันหยายิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ ในเมื่อ ‘ไม่ทราบอะไรเลยสักอย่าง’ ไฉนจึงประกาศต่อหน้าทุกคน ถ้ามีคนร้ายแอบแฝงอยู่ในหมู่คนพวกนี้จริง พอได้ยินคำพูดนี้จะมิกลายเป็นผู้ร้ายปากแข็งที่ไม่ยอมรับสารภาพอะไรสักอย่างไปแล้วหรือ
จากนั้นก็ได้ยินผิงอวี้พูดอีกว่า “ชาวอี๋ที่บุกเข้ามาในวังมู่อ๋องคืนนี้ ลักพาตัวคนไปได้อย่างเหลือเชื่อก็จริง แต่กลับไม่ระวังจนถูกอาวุธลับนั้นเสียเอง คิดแล้วพิษที่ใช้กับเข็มนั้นคงร้ายแรงมาก เพื่อที่จะช่วยให้เขารอดพ้นจากพวกเรา ผู้ที่สมคบกับชาวอี๋ผู้นี้ถึงกับลงมือใช้อาคมเรียกงู น่าเสียดาย อาคมเรียกงูที่น่ากลัวถึงเพียงนี้ ต่อให้เป็นที่อวิ๋นหนานเองก็ยังยากจะได้พานพบ ยังดีที่มู่อ๋องประจำการที่อวิ๋นหนานมานานหลายปี จึงพอจะได้ยินเรื่องไสยเวทนี้มาบ้าง บัดนี้ในดินแดนอวิ๋นหนาน ชาวอี๋ที่ก่อเหตุจลาจลส่วนใหญ่หันมาสวามิภักดิ์ การใช้ไสยเวทจึงพลอยสาบสูญไปด้วย มองหาไปทั่วทั้งอวิ๋นหนานแล้ว ตอนนี้กลับมีเพียงนิกายเดียวที่ใช้ไสยเวทนี้ นั่นก็คือนิกายเจิ้นหมัว นิกายนี้แพร่มาจากต้าหลี่ นับตั้งแต่สมัยหยวนเหนือจนกระทั่งบัดนี้ก็มีความเป็นมาไม่น้อยกว่าร้อยปี”
พูดถึงตรงนี้เขาก็ชะงักไปอึดใจหนึ่ง น้ำเสียงดูคล้ายผ่อนคลายแต่ก็ไม่เชิง “ทว่าการเข้าร่วมนิกายนี้ต้องสักลายที่เป็นสัญลักษณ์ของนิกายไว้ตรงหน้าอก ในยามปกติไม่เห็นร่องรอยที่ว่านี้ แต่ถ้าใช้เลือดงูมาราดลงไปก็จะปรากฏร่องรอยขึ้นมาให้เห็น…”
คำพูดนี้ราวกับหินก้อนใหญ่ที่ทุ่มลงไปบนผิวทะเลสาบที่สงบเงียบจนเกิดระลอกคลื่นกระเพื่อมไหว ทุกคนในที่นั้นต่างหันมามองหน้ากันอย่างนิ่งอึ้ง
ฟู่หลันหยาเองก็ตกตะลึงเช่นกัน สัญลักษณ์?
นางหวนนึกถึงตำราโบราณที่อยู่ในอกเสื้อเล่มนั้น หัวใจพลันเต้นรัว
ฟู่หลันหยาค่อยๆ แง้มหน้าต่างเป็นช่องเล็กๆ แล้วมองออกไปด้านนอก
ในลานเรือนอันกว้างขวางมีคนยืนอยู่ไม่น้อย ดูจากเสื้อผ้าแล้วส่วนใหญ่เป็นคนรับใช้ของวังมู่อ๋อง
น่าเสียดายที่ถูกบานหน้าต่างบังไว้ นางจึงเห็นเพียงส่วนหน้าอกของคนเหล่านี้ ไม่อาจเห็นใบหน้าได้
นางเคลื่อนสายตาหันไปมองก็เห็นว่ามีคนหลายคนยืนอยู่ที่ทางเดิน
คนที่ยืนบนลานขั้นบันไดมีเรือนร่างสูงใหญ่ สวมชุดแพรเฟยอวี๋ ยืนเอามือไพล่หลัง แค่มองผ่านๆ ก็รู้ได้ว่าเป็นผิงอวี้
เขาบอกวิธีจำแนกสัญลักษณ์ที่ติดตัวสมุนนิกายนี้แล้ว ก็มีคนยกกาน้ำสีดำสนิทมาวางไว้เบื้องหน้าเขากับมู่เฉิงปิน
มู่เฉิงปินเปิดฝากาออกดู พอยืนยันของที่อยู่ข้างในแล้วก็พยักหน้า “ให้ตรวจร่างกายตามวิธีที่บอก จำไว้ว่าอย่าให้มีใครหลงหูหลงตาไปได้”
ฟู่หลันหยารู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่อยู่ในกามากกว่าครึ่งต้องเป็นเลือดงูแน่ เนื่องจากเลือดงูเป็นวิธีเดียวที่จะจำแนกตัวสมุนนิกายเจิ้นหมัวได้
ในไม่ช้ากลิ่นคาวเลือดจางๆ ก็กระจายไปทั่วลานเรือน
เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม ไม่เพียงแต่บุรุษ แม้แต่สาวใช้ของแต่ละเรือนก็ไม่ยกเว้น พวกนางต่างถูกบ่าวหญิงอาวุโสสองสามคนพาไปตรวจร่างกายในเรือนด้านข้างทีละคน
ถึงจะตรวจสอบไปรอบหนึ่งแล้ว แต่พอดูจากอาการตอบสนองของทุกคนที่อยู่ในที่นั้น เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ผลแต่อย่างใด
ผิงอวี้ท่าทางเหมือนหมดความอดทน เขาเดินลงจากบันไดไปยังลานเรือน หยุดยืนอยู่หน้าแถวแรกสุดของคนรับใช้ เดินไปเดินมาสองก้าวแล้วหันไปถามมู่เฉิงปิน “คนรับใช้ของวังมู่อ๋องมาอยู่ตรงนี้หมดทุกคนแล้วหรือ”
มู่เฉิงปินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปถามพ่อบ้านที่อยู่ด้านข้าง “มีใครตกหล่นไปหรือไม่”
พ่อบ้านผู้นั้นค้อมคำนับแล้วเอ่ยว่า “เรียนซื่อจื่อ ไม่ขาดใครในวังไปสักคนเดียว ล้วนมาอยู่ที่นี่หมดแล้วขอรับ”
มู่เฉิงปินนิ่งคิดอย่างลังเลอยู่ครู่ใหญ่ คล้ายเริ่มจะเคลือบแคลงใจว่าวิธีหาตัวหนอนบ่อนไส้ที่ทำไปนั้นได้ผลจริงหรือไม่
เวลานี้จู่ๆ ก็มีบ่าวหญิงอาวุโสผู้หนึ่งพูดขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “ซื่อจื่อจัดการงานต่างๆ จนยุ่ง กระทั่งหลงลืมไป หญิงชราอย่างบ่าวขอบังอาจเอ่ยเตือน สองสามวันก่อนน้องชายของหลันอี๋เหนียงมาทำธุระที่ชวีถัว เนื่องจากโรงเตี๊ยมในเมืองถูกไฟไหม้จึงไม่มีที่พัก ตอนนี้ได้มาพักอยู่ที่วังเป็นการชั่วคราวเจ้าค่ะ”
บ่าวหญิงอาวุโสที่พูดยืนอยู่บนระเบียง ฟู่หลันหยาจึงเห็นใบหน้านางพอดี พลันรู้สึกคุ้นหน้าอย่างมาก เพื่อจะมองให้ชัดขึ้นนางจึงเอามือค้ำกรอบหน้าต่างแล้วชะโงกหน้ากวาดตามองอย่างละเอียด ก่อนจะจำได้ว่าเป็นบ่าวหญิงอาวุโสที่คอยติดตามข้างกายชายาซื่อจื่อนั่นเอง
ฟู่หลันหยาประหลาดใจเล็กน้อย แม้ว่าเมื่อก่อนนางจะไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับสกุลมู่ แต่ดูเหมือนทุกครั้งจะได้พบบ่าวหญิงอาวุโสผู้นี้คอยติดสอยห้อยตามชายาซื่อจื่อเสมอ จึงมีภาพประทับจำอยู่บ้าง
และนางก็ไม่ทราบว่า ‘หลันอี๋เหนียง’ ที่บ่าวหญิงอาวุโสพูดถึงนี้เป็นผู้ใดกัน…หรือจะเป็นอนุภรรยาของมู่อ๋องซื่อจื่อที่พวกข้าได้พบโดยบังเอิญเมื่อตอนเย็น
มู่เฉิงปินดูเหมือนจะตะลึงงันไปครู่หนึ่ง พอพูดขึ้นอีกครั้งท่าทางเขาก็ดูกระสับกระส่าย ตะคอกต่อว่าพ่อบ้าน “ในเมื่อบอกว่าจะต้องตรวจสอบทุกคนในจวน เหตุใดจึงให้น้องชายหลันอี๋เหนียงตกหล่นไปได้เล่า!”
พ่อบ้านมีท่าทีที่หนักใจอย่างมาก คิดแล้วเมื่อครู่นี้มู่เฉิงปินเพียงบอกว่าจะตรวจสอบคนรับใช้ของวัง ไม่ได้เอ่ยถึงแขกของวังด้วย แต่เห็นมู่เฉิงปินมีสีหน้าไม่พอใจเขาก็ไม่กล้าแก้ตัว รีบไปเชิญคุณชายน้อยหลันผู้นั้นมา
ไม่ช้าคนผู้นั้นก็มา เป็นชายหนุ่มอายุราวสิบแปดสิบเก้า รูปร่างสูงใหญ่ การแต่งกายดูสามัญ มองดูไกลๆ มีหลายส่วนบนใบหน้าที่ดูเป็นคนก้าวร้าวร้ายกาจอย่างบอกไม่ถูก ไม่เหมือนกับพี่สาวซึ่งเป็นอนุภรรยาสาวผู้ดูน่ารักที่ได้พบเมื่อตอนเย็น
พอเข้ามาแล้ว คนผู้นี้ก็เดินตามพ่อบ้านมายืนต่อหน้ามู่เฉิงปิน คำนับแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ไม่ทราบว่าซื่อจื่อเรียกข้าน้อยมาด้วยเรื่องอันใด”
ฟู่หลันหยาประเมินคนผู้นี้จากที่เห็นด้านข้าง สังเกตจากท่าทางของเหล่าคนรับใช้แล้ว หลันอี๋เหนียงพี่สาวของคนผู้นี้ดูเหมือนจะได้รับความรักจากมู่เฉิงปินอย่างมาก แต่หาได้ยากที่เขายังคงรู้จักหนักเบา รู้จักใช้คำเรียกขานตนเองต่อหน้ามู่เฉิงปินว่า ‘ข้าน้อย’
เห็นทีมู่เฉิงปินจะยังเลือกสรรคำพูดที่เหมาะสมไม่ได้ จึงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ผิงอวี้กลับเป็นคนออกปากแทนเจ้าตัว เดินไปอยู่ต่อหน้าคนผู้นั้น ยิ้มให้แล้วเอ่ยว่า “คุณชายหลัน คืนนี้ตอนที่เกิดเหตุไฟไหม้ในวัง ท่านอยู่ที่ใด”
คนผู้นี้โพล่งตอบอย่างตรงไปตรงมา “ตอนที่ไฟไหม้ เรือนที่ข้าพักอยู่ใกล้ๆ พอดี ข้าเห็นแสงไฟสว่างเจิดจ้าจึงรีบมาช่วยดับไฟ”
“หืม?” ผิงอวี้นิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง พยักหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกอารมณ์ได้ยาก “ตอนที่ไฟไหม้ เปลวไฟโหมแรงมาก ทุกคนต่างวิ่งหนี ท่านกลับวิ่งเข้าไปดับไฟ? ไม่กลัวว่าจะได้รับบาดเจ็บหรือ”
คุณชายหลันพูดด้วยสีหน้าสงบ “ผู้แซ่หลันไม่รู้จักหนักเบา ถูกเปลวไฟจนได้รับบาดเจ็บหลายส่วนจริงๆ เป็นที่ขบขันของใต้เท้าแล้ว”
ผิงอวี้น้ำเสียงเยือกเย็น “อย่าบอกข้านะว่าหน้าอกคุณชายหลันได้รับบาดเจ็บ”
“ช่างบังเอิญเสียจริง ใช่แล้ว”
ผิงอวี้โกรธจนหัวเราะออกมา เขาไม่อยากเสียเวลาพูดพล่ามกับคนผู้นี้อีกแล้ว จึงเพียงแค่โบกมือให้หลี่หมินกับองครักษ์คนอื่นที่ยืนอยู่ข้างหลัง
มู่เฉิงปินเห็นผิงอวี้ทำท่าเหมือนจะลงมือ ก็รีบลงจากบันไดแล้วพูดกับชายหนุ่มผู้นั้นว่า “หลันเจิ้ง เหตุที่เกิดขึ้นในคืนนี้เป็นเรื่องใหญ่ ทุกคนจึงต้องถูกตรวจสอบ เจ้าอย่าได้โกรธเคืองเลย เป็นแค่การตรวจสอบตามหน้าที่เท่านั้น เพียงครู่เดียวก็เรียบร้อยแล้ว”
ตอนแรกหลันเจิ้งยืนนิ่งไม่ขยับตัว เพียงแค่มองดูผิงอวี้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย หากแต่มีประกายดุดันผุดขึ้นในดวงตา ภายหลังไม่ทราบว่าคิดอะไรขึ้นมา เขาจึงไม่พูดอะไรอีก เพียงหันหลังเดินตามพวกหลี่หมินไป
ผ่านไปได้ไม่นานหลี่หมินก็รีบออกมา สีหน้าดูผิดคาด “ใต้เท้า คนผู้นั้นได้รับบาดเจ็บตามร่างกายหลายจุดเพราะถูกไฟลวก ตรงหน้าอกยิ่งถูกลวกจนกลายเป็นตุ่มน้ำหลายเม็ด ใช้เลือดงูมาตรวจสอบไม่ได้เลยขอรับ”
ในลานเรือนเงียบกริบไปชั่วอึดใจจนแทบจะได้ยินเสียงเข็มตกพื้น
เรื่องนี้ชัดเจนที่สุดแล้ว มู่เฉิงปินสีหน้าคล้ำไปทันทีราวกับก้นหม้อ หันไปพูดกับองครักษ์ข้างๆ ว่า “ยังมัวตะลึงอะไรอยู่ รีบไปจับตัวเขามา!” แล้วสั่งอีกว่า “ไปที่เรือนชั้นใน เรียกหลันอี๋เหนียงมาสอบสวน!”
ทุกคนขานรับคำสั่ง ไม่ช้าเรือนด้านข้างที่ใช้เป็นห้องตรวจร่างกายก็มีเสียงคนต่อสู้อย่างอุตลุด
จะอย่างไรคนเดียวก็สู้คนมากไม่ได้ หลังจากนั้นเพียงครู่เดียวหลันเจิ้งก็ถูกมัดมือมัดเท้าล่ามคอแล้วพาตัวออกมา ขณะที่ยื้อยุดฉุดกระชาก หลันเจิ้งยังคงดิ้นรนสุดแรงเกิด สองตาคมปลาบจ้องมองผิงอวี้ไม่วางตา
แต่เพราะถูกดึงกรามจนหลุดเขาจึงพูดไม่ได้ มิเช่นนั้นคงหลุดปากร้องด่าไม่หยุดแล้ว
มู่เฉิงปินกำลังจะถาม จู่ๆ ก็ได้กลิ่นเหม็นไหม้รุนแรง มีคนเงยหน้าขึ้นดู จากนั้นก็ร้องเอะอะโวยวายทันที “ไฟไหม้ทางนั้น!”
ทุกคนพากันตกตะลึง ต่างหันไปมอง
คนหนึ่งพูดขึ้นว่า “น่าจะเป็นเรือนกลาง!”
อีกคนก็พูดต่อ “เรือนกลางไฟไหม้! ไม่ได้การ ชายาซื่อจื่อยังนอนป่วยอยู่ที่นั่น แย่แล้ว!”
หลันเจิ้งเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มควันหนาทึบที่พวยพุ่งขึ้นฟ้า ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะสังเกตเห็น
เส้นเลือดตรงขมับมู่เฉิงปินเต้นตุบๆ เขากัดฟันพลางตวาดสั่งว่า “ยังมัวยืนโง่งมอะไรอีก รีบไปดับไฟสิ!”
มู่เฉิงปินพูดพลางรีบก้าวอาดๆ ออกไปอย่างรวดเร็วดุจดาวตก ทางหนึ่งก็ตะคอกว่า “เฝ้าประตูหน้าและหลังของวังไว้ให้ดี ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามปล่อยให้นางแพศยาหลันอี๋เหนียงหนีไปได้!”
ฟู่หลันหยากับแม่นมหลินเฝ้ามองจากในห้องด้วยใจเต้นระทึก อีกทั้งเป็นห่วงความปลอดภัยของชายาซื่อจื่อจนไม่อาจรั้งรออยู่แต่ในห้องได้อีก จึงผลักประตูห้องออกไป ยืนดูไฟไหม้ตรงโถงทางเดิน
มู่เฉิงปินเพิ่งจะออกไปพ้นประตูลานเรือน ฉับพลันก็มีบางสิ่งที่ดุดันรุนแรงพุ่งแหวกอากาศ แล้วเฉียดผ่านชายแขนเสื้อของเขาตรงดิ่งเข้าไปในลานเรือน ปักแน่นตรงเสาต้นหนึ่งที่ทางเดิน
ผิงอวี้กับมู่เฉิงปินมองเห็นอย่างชัดเจนก็ใจหายวาบ อาวุธลับพุ่งแหวกอากาศเข้ามาอย่างน่ารุนแรงยิ่งนัก กำลังภายในของคนที่ขว้างอาวุธลับมานับว่าหาตัวจับได้ยากยิ่ง
ฟู่หลันหยากับแม่นมหลินตกใจอย่างมาก ทว่าโชคดียิ่งนักที่พวกนางอยู่ห่างจากเสาต้นนั้นออกมาค่อนข้างไกล จึงไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
หลี่หมินที่อยู่ไม่ไกลเท่าไรรีบตรงเข้าไปดึงอาวุธลับที่ว่านั้นออกจากต้นเสา จากนั้นรีบวิ่งลงบันไดเอามามอบให้ผิงอวี้ เป็นกระบี่สั้นที่ปักบนกระดาษพร้อมข้อความ
มู่เฉิงปินทั้งหวาดหวั่นทั้งตกใจ เกิดเป็นห่วงว่าจะมีเหตุพลิกผัน เดิมจะก้าวออกไปนอกลานเรือนอยู่แล้ว ก็กลับรั้งฝีเท้าไว้ รีบเดินไปหาผิงอวี้ เห็นในมือเขามีกระดาษที่เขียนข้อความไว้ว่า
‘มู่เฉิงปิน ไม่ต้องลำบากไปช่วยชีวิตชายาของเจ้าหรอก ตอนนี้นางยังปลอดภัยดีในมือข้า เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน หลังจากนี้อีกครึ่งชั่วยาม ให้เจ้าพาหลันเจิ้งมาที่เชิงเขานอกเมืองด้านเหนือในสภาพปลอดภัยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ มาให้ตรงเวลาด้วย มิเช่นนั้นจะไม่รอ
ใต้เท้าผิง นับแต่โบราณมาวีรบุรุษยากผ่านด่านสาวงาม ลองดูซิว่าเจ้าจะคุ้มกันคุณหนูฟู่ไปได้อีกสักเท่าไรกันเชียว อย่างไรเสียโอกาสหน้าก็ยังมี’
แม้ฟู่หลันหยาจะอยู่ห่างจนไม่อาจรู้ได้ว่าบนกระดาษเขียนข้อความใดไว้ แต่ดูจากสีหน้าเคร่งเครียดของผิงอวี้กับมู่เฉิงปินแล้ว เกรงว่าข้อความบนกระดาษแผ่นนั้นคงไม่ใช่เรื่องน่ายินดี
สถานการณ์ของสกุลมู่ในคืนนั้นยุ่งยากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ในวังมู่อ๋องมีหนอนบ่อนไส้แทรกซึม เกิดเหตุไฟไหม้ติดๆ กันถึงสองครั้ง อนุภรรยาหายไปอย่างไร้ร่องรอย ผู้เป็นนายหญิงของตระกูลถูกจับตัว ที่เหนือความคาดหมายมากที่สุดก็คือผู้ที่จับตัวนายหญิงกลับเป็นอนุภรรยาที่หายตัวไป!
ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย ไม่ช้าก็ควบคุมเพลิงไหม้เอาไว้ได้ แต่มู่เฉิงปินกับผิงอวี้ที่ออกจากวังไปนานแล้วยังไม่อาจกลับมา
หลี่หมินกับองครักษ์คนอื่นซึ่งยังอยู่ที่วังและทำหน้าที่คุ้มกันฟู่หลันหยากับแม่นมหลินต่างพากันปิดปากเงียบ ต่อให้ฟู่หลันหยาตั้งใจจะแอบฟังอย่างไรก็ไม่อาจปะติดปะต่อได้
ย่างเข้าอีกครึ่งคืนที่เหลือ ฟู่หลันหยาเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว แม้จะยังเป็นห่วงความปลอดภัยของชายาซื่อจื่อ แต่นางก็ไม่อาจทนต่อความง่วงงุนได้ จึงซุกกับอกแม่นมหลินแล้วผล็อยหลับไป
นางหลับไม่สนิทนัก ในความสะลึมสะลือมีเสียงพูดคุยกับเสียงฝีเท้าดังแว่วมา สุดท้ายจึงตกใจตื่น
“ดูเหมือนใต้เท้าผิงจะกลับมาแล้ว” แม่นมหลินช่วยกระชับผ้าคลุมผืนบางให้นาง แล้วประคองให้ลุกขึ้นนั่งบนเก้าอี้ยาว
จากนั้นก็ได้ยินเสียงหลี่หมินพูดขึ้นที่ด้านนอกจริงๆ “ใต้เท้าผิง ช่วยนางกลับมาได้แล้วหรือขอรับ แล้วหลันอี๋เหนียงผู้นั้นเล่า เมื่อครู่ตอนแลกเปลี่ยนตัวประกันคงจะจับตัวนางได้ในที่เกิดเหตุแล้วกระมัง”
เสียงของผิงอวี้ฟังดูเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก “เข้าไปแล้วค่อยว่ากัน”
ฟู่หลันหยาหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ฟังจากคำพูดนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าตอนที่เรือนกลางเกิดเหตุไฟไหม้ ชายาซื่อจื่อไม่ได้ติดอยู่ในกองเพลิงอย่างที่คิดไว้ แต่ถูกหลันอี๋เหนียงผู้นั้นจับตัวไป
ฟู่หลันหยาพยายามหวนนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในคืนนี้ แล้วปะติดปะต่อหาความจริงเข้าด้วยกันทีละจุด
ตอนย่ำค่ำที่เพิ่งมาถึงชวีถัว มู่เฉิงปินบอกผิงอวี้ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนโรงเตี๊ยมในเมืองเกิดไฟไหม้เสียหาย กลุ่มของพวกเขาจึงไม่มีที่พัก จำต้องพักที่วังมู่อ๋องเป็นการชั่วคราว
ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้เอง บุรุษที่ชื่อหลันเจิ้งก็ประจวบเหมาะมีเหตุผลอันชอบธรรมที่จะเข้าพักที่นี่ด้วย
เรื่องนี้บังเอิญไปสักหน่อย นอกจากความคิดที่ว่าพวกเขาได้วางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้วก็ไม่มีข้อสรุปอื่นใดอีก
จากนั้นเกิดเหตุไฟไหม้ที่เรือนปีกตะวันตก นางถูกชาวอี๋จับตัวไป จึงแอบใช้เข็มพิษเล่นงานชาวอี๋เพื่อป้องกันตนเอง
ถัดจากนั้นเพื่อจะช่วยชาวอี๋ผู้นั้นออกไป พรรคพวกของเขาก็ไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น ถึงกับใช้อาคมเรียกงู
ผิงอวี้พานางหนีรอดจากฝูงงูพิษแล้ว เขาจึงได้ฉวยโอกาสนี้ใช้เลือดงูค้นหาตัวหนอนบ่อนไส้ในวังมู่อ๋อง ก่อนจะได้ตัวหลันเจิ้งออกมา
ดูจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดคืนนี้ มีเพียงเรื่องอาคมเรียกงูที่นับเป็นข้อพิรุธเดียวของสาวกนิกายเจิ้นหมัว เพราะถ้าไม่มีเขาสักคน ทุกคนในที่นี้ย่อมคาดไม่ถึงว่าหญิงสาวบุตรีขุนนางบุ๋นผู้หนึ่งซึ่งไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะมัดไก่ยังรู้จักตอบโต้ด้วยการใช้เข็มพิษ
พอหาตัวหลันเจิ้งได้ เดิมทีนิกายเจิ้นหมัวก็ดูเหมือนจะพลาดท่าเสียทีแล้ว ต้องทราบก่อนว่าองครักษ์เสื้อแพรขึ้นชื่อเรื่องการทรมานคนมานักต่อนัก หากเริ่มใช้การทรมานเพื่อสอบปากคำเมื่อใด ย่อมไม่มีคำว่าหยุดพัก จึงไม่ต้องกลัวเลยว่าจะเค้นความจริงจากปากหลันเจิ้งถึงแผนการทั้งหมดของนิกายเจิ้นหมัวไม่ได้
ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือโดยไม่รอให้ผิงอวี้กับพรรคพวกตรวจสอบหลันเจิ้งจนสาวไปหาหลันอี๋เหนียงได้ หลันอี๋เหนียงก็ชิงตอบโต้ก่อนด้วยการเดินหมากล่วงหน้าไปแล้วก้าวหนึ่ง
ตอนแรกวางเพลิงที่เรือนกลาง จากนั้นฉวยโอกาสที่ทุกคนไม่ทันระวังลักพาตัวชายาซื่อจื่อไป สุดท้ายถึงกับเอานางมาเป็นตัวประกันเพื่อแลกเปลี่ยนกับหลันเจิ้งซึ่งอยู่ในกำมือผิงอวี้
การเดินหมากทุกย่างก้าวของหลันอี๋เหนียงล้วนล่วงหน้าไปก่อนมู่เฉิงปินอย่างประจวบเหมาะ ไม่อาจหาทางป้องกันได้เลย…
ฟู่หลันหยาครุ่นคิดกับตนเอง
ข้าพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดผิงอวี้กับมู่เฉิงปินจึงมีสีหน้าไม่สู้ดี
แต่ว่า…หลันอี๋เหนียงเป็นใครกันแน่ ลงมือได้เฉียบขาดรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาดถึงเพียงนี้ย่อมมิใช่คนธรรมดา แม้มู่เฉิงปินจะรับนางไว้เป็นอนุภรรยา แต่เขารู้ความเป็นมาที่แท้จริงของนางหรือไม่เล่า
หัวใจฟู่หลันหยาเต้นรัวเร็ว หวนนึกถึงที่แม่นมหลินเล่าให้ฟังว่าเคยพบหลันอี๋เหนียงในเมืองจิงเฉิงมาก่อน ตอนที่ได้ฟังเรื่องนี้นางเพียงแค่รู้สึกว่าเหลวไหลไร้สาระ แต่ดูจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนี้แล้วนางก็เปลี่ยนความคิดไป…เป็นไปได้หรือไม่ว่านี่มิใช่แม่นมหลินจำคนผิดไป แต่มันคือเรื่องจริง
“แม่นม ตอนที่พบหลันอี๋เหนียงโดยบังเอิญ แม่นมบอกว่าเคยเห็นนางมาก่อนเมื่อสิบปีที่แล้ว?” นางหันไปหาแม่นมหลิน
เดิมทีแม่นมหลินก็รู้สึกว่าชายประหลาดเยี่ยงหลันเจิ้งนั้นน่ากลัวยิ่งนัก พอได้ยินที่ฟู่หลันหยาเอ่ยถาม ก็ยิ่งกระตุ้นให้นางกลัวมากขึ้น จึงตอบด้วยเสียงแผ่วเบาอย่างไม่มั่นใจ “ใช่เจ้าค่ะ แม่นมไม่เคยพบเห็นคนสองคนที่หน้าตาเหมือนกันถึงเพียงนั้นมาก่อน พอได้พบโดยบังเอิญเมื่อตอนเย็น เพียงมองผ่านๆ ก็จำนางได้ทันที แต่ใต้หล้านี้มีด้วยหรือที่ผ่านไปสิบปีแล้วยังหน้าตาไม่เปลี่ยน”
ฟู่หลันหยาขยับมือข้างที่เท้าอยู่บนเก้าอี้ยาว กระเถิบไปนั่งใกล้แม่นมหลินกว่าเดิม “ตอนนั้นแม่นมไปพบเห็นนางที่ใด เหตุใดจึงจดจำฝังใจถึงเพียงนั้น”
แม่นมหลินลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ก็…ก็เป็นสหายเก่าคนหนึ่งของฮูหยินนี่เจ้าคะ สิบปีก่อนตอนที่เข้าเมืองจิงเฉิง ฮูหยินเคยดื่มน้ำชากับนางที่หอหลินหลางอยู่หลายครั้ง เพราะนางเกิดมามีรูปโฉมงดงามเย้ายวน ทั้งยังรู้จักใช้จริตมารยา ดูน่าหลงใหล ดังนั้นแม่นมจึงจำได้แม่นยำ”
“สหายเก่า?” ฟู่หลันหยายิ่งแปลกใจ หลันอี๋เหนียงเป็นสหายเก่าของมารดามาตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว? เช่นนั้นก็อาจได้รู้เรื่องอะไรบางอย่างจากที่พวกนางรู้จักกันมาก่อนกระมัง
ฟู่หลันหยาสังเกตสีหน้าแม่นมหลินอย่างละเอียด เห็นอีกฝ่ายพยายามหลบตา รู้ดีว่าพยายามปกปิดอะไรบางอย่างไว้และไม่ได้เล่าออกมาตรงๆ นางจึงหลุบตาลงจิบชา สายตากลอกไปมา…คงต้องถามอย่างอ้อมๆ กระมัง
ใครเลยจะรู้ แม่นมหลินกลับอ้าปากหาวหวอดๆ ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่เตียงพลางเริ่มปูเตียง “ดูแล้วฟ้าใกล้จะสว่างเต็มที ในลานด้านนอกก็มีองครักษ์เสื้อแพรอยู่ เจ้าโจรนั่นเกินครึ่งคงไม่กล้ากลับมาอีกแล้ว คุณหนู อย่างไรก็นอนหลับสักพักเถอะเจ้าค่ะ ไม่แน่อาจจะออกเดินทางแต่เช้าตรู่ก็เป็นได้”
ฟู่หลันหยารู้สึกเหนื่อยอ่อนจนแทบจะทนไม่ไหวนานแล้ว ได้ยินเสียงหลี่หมินกับเหล่าองครักษ์พูดคุยกันอยู่ข้างนอกดังแว่วมาเป็นพักๆ น้ำเสียงไม่มีวี่แววเคร่งเครียดตื่นเต้นเหมือนช่วงก่อนหน้านี้ คิดแล้วพวกเขาคงสามารถเฝ้าคุ้มกันในวังได้อย่างเป็นปกติ ชายาซื่อจื่อน่าจะได้รับการช่วยเหลือกลับมาแล้ว นางจึงถอนหายใจโล่งอก ค่อยๆ ยันร่างตนเองขึ้นจากเก้าอี้ยาวอย่างยากลำบาก
แม่นมหลินเห็นเช่นนั้นก็รีบก้าวยาวๆ เข้าไปช่วยประคอง แล้วถอนหายใจเอ่ยว่า “อยู่ดีๆ ก็ต้องมาข้อเท้าแพลง ถ้าเป็นที่บ้านก็ยังเรียกท่านหมอมาช่วยดูได้ แต่ตอนนี้คง…”
ฟู่หลันหยากลับไม่เสียเวลามาคร่ำครวญสงสารตนเอง นางคลำทางไปถึงเตียงได้ก็ล้มตัวนอนลง กอดผ้าห่มแล้วผล็อยหลับไปทันที
สองนายบ่าวหลับสนิทไปจนถึงยามฟ้าสว่างเต็มที่แล้วจึงค่อยตื่นขึ้น เห็นแสงแดดข้างนอกสว่างจ้าจนแสบตา สองนายบ่าวหันมามองหน้ากันบนเตียงด้วยความประหลาดใจ ไม่รู้เลยว่าพวกนางหลับไปนานเพียงใดกันแน่ อีกทั้งก็ไม่มีใครมาปลุกพวกนางให้ลุกขึ้นเตรียมออกเดินทางด้วย
ทั้งสองจึงรีบลุกขึ้นล้างหน้าแปรงผม พอเสร็จเรียบร้อยแม่นมหลินก็พยุงฟู่หลันหยาเปิดประตูออกมา เพิ่งจะเดินออกมาก็พบกับหลี่หมินพอดี
เมื่อไม่มีผิงอวี้อยู่ด้วย หลี่หมินก็ดูจะวางตัวเป็นกันเองมากขึ้น เขาพูดกับฟู่หลันหยาว่า “ใต้เท้าผิงมีธุระ ยามนี้ได้ออกจากวังไปแล้ว ถ้าไม่มีเรื่องอะไร คุณหนูฟู่ก็พักผ่อนอยู่ในห้องก่อนชั่วคราวเถิด พวกเราจะออกเดินทางตอนเที่ยงวัน”
ฟู่หลันหยานึกถึงเรื่องชายาซื่อจื่อขึ้นมาได้ จึงจับมือแม่นมหลินประคองตัวไว้แล้วเดินไปสองก้าว กระซิบถามหลี่หมินยิ้มๆ ว่า “ใต้เท้าหลี่ ชายาซื่อจื่อกลับจวนได้อย่างปลอดภัยแล้วหรือ”
หลี่หมินมองรอยยิ้มของฟู่หลันหยาจนเหม่อลอย ใบหูร้อนผ่าวขึ้นทันที ลืมคิดเสียสนิทว่านางทราบเรื่องที่ชายาซื่อจื่อถูกจับตัวไปจากจวนได้อย่างไร เขารีบพยักหน้า ขณะกำลังจะตอบ ผิงอวี้ มู่เฉิงปิน หวังซื่อเจา และเหล่าองครักษ์เสื้อแพรก็กลับมาพอดี
เห็นได้ชัดว่าผิงอวี้คิดไม่ถึงว่าพอเดินเข้ามาในลานบ้านแล้วจะเห็นฟู่หลันหยาสนทนาอยู่กับหลี่หมิน จึงเหลือบมองนางแวบหนึ่ง เห็นนางสวมชุดผ้าไหมสีม่วงอมชมพูกลีบบัว ผมดำขลับยาวประบ่าถูกรวบไว้ครึ่งหนึ่ง ผิวกระจ่างดุจหิมะ นางยืนอยู่ใต้แสงแดดอันเจิดจ้า ดูโดดเด่นสะดุดตาอย่างบอกไม่ถูก
หวนนึกถึงถ้อยคำประโยคนั้นในจดหมายเมื่อคืนขึ้นมา เขาก็นึกหยามหยันในใจ คร้านจะมองนางอีก เพียงรีบสาวเท้าผ่านลานเรือนเข้าไปยังเรือนด้านข้าง
หลี่หมินเห็นสีหน้าผิงอวี้ดูประหลาดใจ เขาจึงค่อยรู้ตัวว่าตนเองไม่ควรจะพูดมากกับบุตรีของขุนนางต้องโทษ ได้แต่เกาศีรษะแกรกๆ แล้วรีบเดินตามผิงอวี้กลับห้องไป
หวังซื่อเจายังยืนอยู่ที่เดิม สองตาจ้องมองร่างฟู่หลันหยาไม่วางตาจนถึงกับลืมก้าวเดินอยู่พักใหญ่
ปกติแล้วฟู่หลันหยาก็นึกรังเกียจคนผู้นี้ พอจับได้ว่าเขากำลังจ้องมองด้วยแววตาหื่นกระหาย นางก็หันกลับไปอย่างเย็นชา จับมือแม่นมหลินประคองตัวเดินเข้าห้องแล้วปิดประตู
หวังซื่อเจามองตามด้านหลังฟู่หลันหยาไป เห็นว่าถึงแม้นางจะวางตัวสุภาพเคร่งขรึม แต่อากัปกิริยายังคงเผยให้เห็นท่าทางเฉกเช่นสาวบริสุทธิ์ออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ เขาพลันนึกสงสัยทันที ผิงอวี้คงยังมิทันได้มีสัมพันธ์อันใดกับนางกระมัง
หวังซื่อเจามักอวดโอ่ว่ารู้จักหญิงสาวมามาก จึงมั่นใจว่าตนเองมีสายตาอันเฉียบแหลม หลังใคร่ครวญดูแล้วก็ค่อยๆ เผยสีหน้ายินดี ความอึดอัดคับข้องใจช่วงสองสามวันมานี้มลายไปจนสิ้น เขาครวญเพลงเบาๆ แล้วเดินทอดน่องอย่างไม่รีบร้อนกลับห้อง
ผิงอวี้รินน้ำชาให้ตนเองชามหนึ่งแล้วยกดื่มจนหมด เขายืนอยู่ข้างโต๊ะพลางครุ่นคิดกับตนเองอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเหลือบไปเห็นหลี่หมินโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาจึงพูดขึ้นเรียบๆ “เมื่อครู่เจ้าพูดอะไรกับบุตรีขุนนางต้องโทษ”
หลี่หมินไม่คาดคิดว่าผิงอวี้จะถามขึ้นมา จึงนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง
แม้เขาจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผิงอวี้จริง แต่โดยส่วนตัวเขาก็นับถือผิงอวี้อย่างมากมาโดยตลอด
ตอนที่ยังไม่ได้เข้ารับตำแหน่งเป็นองครักษ์เสื้อแพร เขาเคยฟังพี่ชายคนโตกล่าวถึงผิงอวี้ด้วยความชื่นชมมาไม่น้อย
ตอนนั้นพี่ชายคนโตอยู่ในค่ายพลอู่จวิน เนื่องจากค่ายพลอู่จวินในราชวงศ์นี้มักเรียกเกณฑ์ทั้งทหารราบและทหารม้าอยู่เนืองๆ ในกองทัพจึงมีแต่ทหารที่เข้มแข็งและแม่ทัพที่ชาญฉลาด ผู้ที่แสดงความสามารถได้อย่างโดดเด่นในค่ายพลอู่จวินย่อมจะถูกเรียกเป็นยอดอัจฉริยบุคคล
ดังนั้นพอพี่ชายคนโตเอ่ยถึงชื่อผิงอวี้ให้ฟังหลายครั้งเข้า เขาก็จดจำชื่อนี้ได้ขึ้นใจ
ภายหลังเพื่อจะคัดเลือกแม่ทัพที่เก่งกาจ อดีตฮ่องเต้จึงนำระบบที่บรรพชนคิดค้นกลับมาใช้ ด้วยการรื้อฟื้นการทดสอบทางการทหารที่จัดขึ้นสามปีครั้งขึ้นมาใหม่ เดิมทีพี่ชายคนรองของเขาก็ไม่ต้องการได้ตำแหน่งโดยอาศัยบารมีของบรรพบุรุษอยู่แล้ว พอได้ทราบข่าวนี้จึงรีบไปลงชื่อทดสอบอย่างไม่ลังเล
ว่ากันตามเหตุผลแล้ว พี่ชายคนรองอ่านตำราพิชัยยุทธ์มามาก ทั้งยังหลงใหลในการต่อสู้ จนสามารถปราบคู่ต่อสู้ที่แทบจะไม่มีในเมืองจิงเฉิงลงได้อย่างราบคาบ คิดว่าจะต้องสอบได้อันดับหนึ่งเป็นแน่
คิดไม่ถึงว่าหลังผ่านการคัดเลือกมาเรื่อยๆ กระทั่งมาถึงการทดสอบรอบที่สามที่ให้ประลองขี่ม้าและยิงธนู พี่ชายคนรองของเขากลับพลาดพลั้งจนพ่ายแพ้ให้แก่ผิงอวี้ สุดท้ายจึงคว้ามาได้เพียงอันดับที่สอง
พี่ชายคนรองกลับมาแล้วยังรู้สึกไม่ยินยอม บอกว่าผิงอวี้ฝึกฝนตนเองอยู่ในค่ายทหารที่เซวียนฝู่มาหลายปี ได้ขี่ม้ารบราฆ่าฟันทั้งวัน จะไม่เก่งด้านขี่ม้าและยิงธนูได้หรือ
ยังบอกอีกว่าการทดสอบทางการทหารในรอบที่สามควรจะเพิ่มทักษะการใช้ดาบและกระบี่เข้ามาด้วย ประลองกันเช่นนี้จึงจะเรียกว่ายุติธรรม
อย่างที่โบราณว่าไว้ หากไม่เคยต่อสู้กันย่อมไม่รู้จักกัน แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ภายหลังพี่รองของเขาก็กลายมาเป็นสหายสนิทกับผิงอวี้ในที่สุด และเพราะเหตุนี้ผิงอวี้จึงดูแลใส่ใจเขามาโดยตลอด พอได้เข้ามาเป็นองครักษ์เสื้อแพรได้ไม่นาน ก็ได้รับโอกาสให้ติดตามผิงอวี้ออกมาปฏิบัติงานข้างนอก…
ขณะครุ่นคิดจนเหม่อลอย เมื่อหลี่หมินเงยหน้าขึ้นก็เห็นผิงอวี้ที่ยังคงจ้องมองเขาอยู่ ท่าทางราวกับกำลังรอฟังคำตอบจากเขาด้วยสีหน้าจริงจัง จึงได้แต่ยิ้มพูดว่า “คุณหนูฟู่ถามข้าน้อยว่าชายาซื่อจื่อกลับมาอย่างปลอดภัยแล้วหรือ แต่ข้าน้อยยังไม่ทันได้บอกนาง ใต้เท้าก็กลับเข้ามาก่อน”
สีหน้าผิงอวี้มีแววประหลาดใจแวบหนึ่ง ข้อความในจดหมายเมื่อคืนนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ บ่าวไพร่ในวังมู่อ๋องส่วนมากก็ไม่ทราบเรื่องที่ชายาซื่อจื่อถูกจับตัวไป คิดไม่ถึงว่านางจะคาดเดาเรื่องราวจนทราบความจริงได้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้
นิ่งเงียบไปพักใหญ่ เห็นหลี่หมินใช้น้ำเสียงผ่อนคลายยามพูดถึงฟู่หลันหยา เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ดีไม่น้อย เขาก็รู้สึกอึดอัดคับข้องใจขึ้นอีกหลายส่วน จึงมองดูหลี่หมินด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกแล้วออกปากว่า “คุณหนูฟู่เป็นคนฉลาดล้ำ ทั้งยังรอบรู้เรื่องกลยุทธ์ หากเจ้าไม่มีธุระอันใดก็ไม่ต้องพูดคุยกับนางให้บ่อยนัก มิเช่นนั้นนางอาจโน้มน้าวจนเจ้ายอมบอกเรื่องที่ไม่ควรบอก จนนำหายนะมาสู่ตัวเจ้าได้”
หลี่หมินฟังออกว่าน้ำเสียงผิงอวี้มิใช่แค่ตักเตือน แต่เหมือนฉุนโกรธด้วย เขาอดจะสงสัยไม่ได้
ผ่านไปครู่หนึ่งหลี่หมินจึงพยักหน้ารับปาก “ขอรับ ใต้เท้าผิง”
หัวคิ้วผิงอวี้ยังไม่คลาย มือประคองถ้วยชาพลางหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
ไม่รู้ว่าเบื้องหลังสกุลฟู่มีความลับใดกันแน่ เพื่อจะเล่นงานฟู่หลันหยาให้ได้ นิกายเจิ้นหมัวถึงกับส่งผู้คุมกฎใหญ่ของนิกายมาลงมือด้วยตนเอง โชคดีที่ขณะแลกเปลี่ยนตัวประกัน หลันเจิ้งเกิดหลุดปากออกมา มิเช่นนั้นพวกเขาคงไม่อาจคิดได้ว่าหลันอี๋เหนียงผู้ลึกลับจะเป็นถึงผู้คุมกฎซ้ายของนิกายเจิ้นหมัว
ตอนนั้นพอมู่เฉิงปินได้ยินเข้าก็ทั้งเดือดดาลทั้งตกใจ แทบอยากจะสังหารหลันอี๋เหนียงด้วยตนเองเสียให้ได้ ปกติแล้วมู่เฉิงปินมักจะระมัดระวังตัวเสมอมาไม่ว่าเรื่องใด ไม่เคยเลือกเดินทางผิดมาก่อน ใครเลยจะรู้ว่าในที่สุดก็ต้องมาพลาดท่าเสียทีให้แก่มารยาหญิง
หากมิใช่เพราะชายาของตนเองยังอยู่ในมือหลันอี๋เหนียงล่ะก็ มู่เฉิงปินคงจะรีบใช้ป้ายคำสั่งทางการทหารระดมทหารกล้าและแม่ทัพที่เก่งกาจรอบๆ ด่านชวีถัวมาจัดการนิกายเจิ้นหมัวไปแล้ว
ภายหลังแม้จะช่วยชายากลับมาได้อย่างปลอดภัยสมดังหวัง แต่เพราะจะปาใส่หนูก็กลัวถูกของมีค่าด้านข้างจึงไม่สามารถจับตัวหลันอี๋เหนียงกับหลันเจิ้งกลับมาได้ ต้องเสียท่าให้นิกายเจิ้นหมัวไปหนหนึ่งอย่างมิอาจทำอะไรได้เลย
คิดถึงตรงนี้ผิงอวี้ก็อดจะเริ่มสงสัยสิ่งที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ไม่ได้ นิกายเจิ้นหมัวเป็นพรรคมารที่ขึ้นชื่อในแถบทางใต้ของอวิ๋นหนาน ในนิกายมีคนเก่งกาจอยู่มากมาย อีกทั้งยามนี้พวกเขาก็อยู่ห่างไกลจากเมืองจิงเฉิง ต่อให้คนของสำนักบูรพาที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของหวังหลิงจะเก่งกาจสักเพียงใด ก็คงไม่อาจกำราบนิกายเจิ้นหมัว ได้
อาจกล่าวได้ว่าเหตุผลที่นิกายเจิ้นหมัวจ้องจะเล่นงานฟู่หลันหยาเป็นความคิดของนิกายเจิ้นหมัวเอง
หรือก่อนหน้านี้เขาคาดการณ์ผิดพลาดไป เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับสำนักบูรพาเลยแม้แต่น้อย?
ทันใดนั้นเขาก็นึกภาพเหตุการณ์ที่หวังซื่อเจารีบร้อนสังหารพ่อบ้านโจวในคืนนั้น ไม่สิ ถ้าจะบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับหวังหลิง แล้วจะอธิบายเรื่องที่อีกฝ่ายส่งคนมาแอบแฝงในจวนสกุลฟู่ทั้งที่ตนเองอยู่ห่างไกลออกไปเป็นพันหลี่ได้อย่างไร
นอกจากนี้หากดูจากเหตุการณ์ที่พ่อบ้านโจวถูกสังหาร ความเกี่ยวข้องของหวังหลิงกับเรื่องนี้คงมีมาเนิ่นนานแล้วก่อนที่นิกายเจิ้นหมัวจะเข้ามา เมื่อวานกลางป่าลึก หวังซื่อเจาก็อยากจะออกไปค้นหาชาวอี๋ที่ถูกเข็มพิษอย่างกระตือรือร้นผิดปกติ ท่ามกลางเรื่องราวทั้งหมดนี้จะไม่ให้คิดมากก็คงไม่ได้
เขาหรี่ตาลง ไม่รู้ว่าฟู่หลันหยาเก็บซ่อนความลับใดไว้กันแน่ จึงชักพาให้คนเหล่านี้ต้องพยายามเลือดตาแทบกระเด็น ตอนนี้เพิ่งเดินทางถึงชวีถัว ก็มีทั้งสำนักบูรพาและนิกายเจิ้นหมัวคอยซุ่มจับตาดุจพยัคฆ์จับจ้องเหยื่อเสียแล้ว ต่อไปไม่รู้ว่ายังจะชักพาปีศาจร้ายตนใดเข้ามาอีก
นิ่งคิดกับตนเองอยู่พักใหญ่ ทันใดนั้นเบื้องหน้าเขาก็ปรากฏภาพดวงตาวาววามด้วยหยาดน้ำตาของนางคู่นั้นขณะอยู่ริมลำธารเมื่อคืนนี้ ดวงตาดำขลับพร่างพรายด้วยม่านน้ำตา สุกใสวาววามถึงเพียงนั้น ช่างชวนให้เขาหวนนึกถึงประกายดาวพราวระยิบระยับเหนือทุ่งหญ้าในเขตแดนเผ่าต๋าต๋าที่เคยเห็นมา
เขาทำเสียงหึอย่างเย็นชา วางถ้วยชาลงแรงๆ แล้วก้าวเข้าไปในห้องด้านใน
หลี่หมินได้ยินเสียงผิงอวี้วางถ้วยชาอย่างแรงก็สะดุ้งโหยง มองดูด้านหลังของอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ ใต้เท้าผิงเป็นอะไรกันแน่
ติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.