X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักรัตติกาลซ่อนกล

ทดลองอ่าน รัตติกาลซ่อนกล บทที่ 7

หน้าที่แล้ว1 of 13

บทที่เจ็ด

ฟู่หลันหยากำลังกินอาหารกับแม่นมหลิน หลี่หมินก็มาเคาะประตูอยู่ข้างนอก แล้วยื่นกระปุกเล็กๆ กระปุกหนึ่งให้ “นี่เป็นยาทาแก้บาดเจ็บข้อเท้าแพลง ใช้แล้วได้ผลดี ทาตรงที่แพลงเช้าเย็น ไม่กี่วันตรงที่แพลงก็จะหายบวมได้”

แม่นมหลินรู้สึกเหนือความคาดหมาย นางรีบรับไปพลางขอบอกขอบใจเป็นการใหญ่ ฟู่หลันหยามองดูกระปุกยาในมือแม่นมด้วยท่าทางคล้ายครุ่นคิดอะไรอยู่ จากนั้นก็ยิ้มน้อยๆ แล้วลุกขึ้นกล่าวขอบคุณ

หลี่หมินรีบยิ้มตอบ เขาไม่กล้าพูดอะไรมากอีก ได้แต่รีบถอยออกไปทันที

ตอนที่ก้าวลงบันไดก็หันไปมองแวบหนึ่งแล้วถอนหายใจโล่งอก ที่จริงใต้เท้าผิงมีอีกประโยคหนึ่งฝากเขาไปถ่ายทอดให้คุณหนูฟู่ด้วย นั่นก็คือ…

‘พวกข้ามีภารกิจต้องทำ จะให้ดีที่สุด คุณหนูฟู่ก็โปรดทายาบ่อยๆ จะได้ไม่เป็นภาระถ่วงให้ผู้อื่นต้องเสียเวลา’

เขารู้สึกว่าคำพูดนี้ออกจะร้ายกาจไปสักหน่อย พอเผชิญหน้าฟู่หลันหยาแล้ว ไม่ว่าสิ่งใดก็ล้วนพูดไม่ออกทั้งนั้น จึงปิดบังไว้ไม่ยอมบอกออกไป

 

กินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ไม่นานนักคนรับใช้วังมู่อ๋องก็นำเสื้อผ้ากับถุงเท้ารองเท้ามาให้ แต่กลับมิใช่เสื้อผ้าสำหรับคิมหันตฤดูทั้งหมดเฉกเช่นเมื่อวาน เพราะยังมีกระโปรงผ้าไหมตัวหนากับเสื้อขนสัตว์เพิ่มมาด้วย

คนผู้นั้นบอกว่า “ชายาซื่อจื่อให้ข้าน้อยมาบอกคุณหนูฟู่ว่าการเดินทางไปยังเมืองจิงเฉิงคราวนี้เส้นทางยาวไกลนัก ออกจากอวิ๋นหนานไปแล้วอากาศจะเย็นลง เสื้อผ้าเหล่านี้ขอมอบให้คุณหนูฟู่กับแม่นมไว้สำหรับสวมใส่กันหนาวระหว่างทาง ชายาซื่อจื่อยังบอกอีกว่านางมีงานมาก ดูแลได้ไม่ทั่วถึง คุณหนูได้โปรดอย่าได้ถือสาหาความ”

ฟู่หลันหยาไม่คาดคิดเลยว่าหลังผ่านเหตุการณ์เมื่อคืนมาได้ ชายาซื่อจื่อจะยังมีแก่ใจคิดเผื่อนาง พอรับเสื้อผ้ามาแล้ว นางจึงแสดงความขอบคุณด้วยสีหน้าจริงจัง

แม่นมหลินปลาบปลื้มจนน้ำตาคลอขณะส่งคนผู้นั้นออกไป เมื่อกลับเข้ามาในห้องก็เก็บหีบห่อสัมภาระที่มีอยู่ไม่มากกับฟู่หลันหยา จากนั้นสองนายบ่าวก็พร้อมแล้วที่จะออกเดินทาง

ใครเลยจะรู้พอเปิดประตูออกมา ที่หน้าประตูกลับมีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้น ขวางหน้าเอาไว้ให้พวกนางอยู่แต่ในห้อง

สองนายบ่าวตกตะลึงพรึงเพริด หวังซื่อเจายืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าประตู

“คุณหนูฟู่” เขากวาดตามองดูชายกระโปรงฟู่หลันหยาด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม หยิบกระปุกเล็กๆ ใบหนึ่งออกมาจากด้านหลังแล้วยื่นให้ ปากก็เอ่ยว่า “คุณหนูฟู่คงบาดเจ็บที่ข้อเท้า นี่เป็นยาทาที่ข้าพกติดตัวมานาน บาดเจ็บฟกช้ำอันใดมาล้วนใช้ได้ผลดีเยี่ยม”

แม่นมหลินกลัวเขามาตลอด จึงรีบดึงตัวฟู่หลันหยาไปไว้ด้านหลัง ฝืนยิ้มให้แล้วเอ่ยว่า “ลำบากใต้เท้าหวังแล้ว เมื่อครู่ใต้เท้าหลี่เพิ่งนำยามาให้เจ้าค่ะ”

“ใต้เท้าหลี่?” หัวคิ้วหวังซื่อเจาขมวดมุ่น หลี่หมินถึงกับส่งยามาให้เชียวหรือนี่ ก็แค่เจ้าหนุ่มน้อยคนหนึ่ง จะไปรู้ประสาอะไร ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ว่าผิงอวี้ต้องเป็นคนให้เขานำมาให้แน่ๆ

หวังซื่อเจายิ้มเอ่ยว่า “ยากระปุกนั้นของเขาเป็นยาทั่วไป ยาของข้าสิเป็นของล้ำค่าหาได้ยาก ใช้ได้ดีที่สุด เหมาะกับอาการข้อเท้าแพลง คุณหนูฟู่เพียงแค่ทาไว้ที่ข้อเท้าสักครู่ รับว่ายานี้จะช่วยให้หายได้ชะงัดนัก”

ฟู่หลันหยากระตุกมุมปาก แล้วบอกอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “ความหวังดีของใต้เท้าหวัง ข้าขอรับไว้ด้วยใจ เพียงแต่ใต้เท้าหลี่บอกไว้ว่ายาของเขามีฤทธิ์ต้านกับยาชนิดอื่นๆ ข้าเพิ่งทาไปแล้วครั้งหนึ่ง เวลานี้เริ่มจะออกฤทธิ์แล้ว ถ้าใช้ยาอื่นปนเปกัน เกรงว่าจะไม่เหมาะ ใต้เท้าหวังโปรดนำกลับไปเสียเถอะ”

หวังซื่อเจายากจะได้เห็นฟู่หลันหยาทำสีหน้าอ่อนหวานกับตนเอง เขามีหรือจะยอมเลิกรา จึงคะยั้นคะยอให้นางรับไว้ จู่ๆ ประตูหลายบานทางด้านหลังก็เปิดออก หลี่หมินกับองครักษ์คนอื่นพากันออกมา ดูเหมือนว่าพวกเขาได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว สายตาทุกคู่จึงมองมาทางนี้ หวังซื่อเจาทำอะไรไม่ได้จำต้องปล่อยนางไป

พอออกจากวังอ๋อง ฟู่หลันหยาก็ยืนนิ่ง สำรวจรอบด้านผ่านม่านหมวกแพร กลับเห็นว่านอกจากรถม้าขององครักษ์เสื้อแพรที่จอดอยู่หน้าประตูแล้ว ยังมีขบวนรถอีกหนึ่งขบวนด้วย

รถม้าสองคันในขบวนนั้น แม้จะมิได้หรูหราสะดุดตา แต่ดูจากคานรถและไม้ประกอบตัวรถสีดำสนิทแล้ว นี่มิใช่ของที่คนธรรมดาจะจัดหามาใช้ได้

รถม้าคันนั้นมีคนห้อมล้อมทั้งหน้าและหลัง เป็นองครักษ์เสื้อแพรที่สวมชุดเต็มยศ ดูแล้วสง่างามน่าเกรงขาม

นางอดประหลาดใจไม่ได้ หรือว่ามีคนของวังมู่อ๋องออกเดินทางไกลไปพร้อมกัน ดูจากสถานการณ์แล้ว…หรือจะเป็นชายาซื่อจื่อ

เพียงชั่วครู่นางก็ได้เห็นคนผู้นั้นยืนอยู่กับมู่เฉิงปินและผิงอวี้ ท่าทางดูสุภาพเรียบร้อย เรือนร่างสูงเด่นเป็นสง่า หากจำไม่ผิดดูเหมือนเขาจะแซ่เติ้ง

เมื่อคืนเขาก็อยู่ตรงลานเรือนด้วย ทว่าตั้งแต่เริ่มมีการใช้เลือดงูตรวจร่างกาย ดูเหมือนเขาจะไม่สบายสักเท่าไรนัก

เวลานี้พอเขาทักทายมู่เฉิงปินแล้วก็ตั้งท่าจะจากไป ประสานมือกล่าวอำลาด้วยรอยยิ้ม “พี่เขย ข้ากับน้องสาวมารบกวนพักที่วังนานแล้ว ทำให้ท่านกับพี่หญิงต้องลำบากไม่น้อย เวลานี้ใกล้จะถึงวันเกิดของท่านยายซึ่งอยู่ไกลถึงจิงโจว อาการป่วยของพี่หญิงก็ดีขึ้นมากแล้ว ข้ากับน้องสาวไม่ขออยู่รบกวนต่อ จะขอออกเดินทางไปยังจิงโจวก่อน”

พี่เขย? คุณชายเติ้งผู้นี้เป็นญาติกับสกุลมู่นี่เอง

ฟู่หลันหยาพอจะรู้อยู่บ้างว่าขุนนางและผู้สูงศักดิ์คนใดที่มีความเกี่ยวดองเป็นญาติกับมู่อ๋อง กวาดตามองไปทั่วเมืองหลวง นอกจากสกุลเติ้งที่ถือเป็นสกุลที่โดดเด่นแล้วก็ไม่มีตระกูลอื่นอีก

เมื่อครู่เขาพูดถึงน้องสาว…หรือว่าคุณหนูแห่งจวนหย่งอันโหวก็มาอยู่ที่วังมู่อ๋องนี้ด้วย

รอยยิ้มบนใบหน้ามู่เฉิงปินดูฝืดฝืนอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องเมื่อคืนหรือไม่ จึงรู้สึกได้ว่าสีหน้าเขาไม่ค่อยสดใส พูดคุยกับเติ้งอันอี๋ตามมารยาทได้พักหนึ่งก็ส่งอีกฝ่ายขึ้นรถม้าไป

เวลานี้มู่เฉิงปินจึงค่อยหันไปพูดกับผิงอวี้อย่างกระตือรือร้น “ชายาข้ากำลังป่วย จึงไม่สะดวกจะไปส่งไกลๆ จะให้เจ้ามาที่อวิ๋นหนานก็คงไม่ค่อยมีโอกาสเท่าไรนัก ไว้คราวหน้าตอนข้าเดินทางเข้าเมืองจิงเฉิงไปถวายรายงานพร้อมท่านพ่อ พวกเราค่อยร่ำสุรากันให้เต็มคราบแล้วกัน”

ผิงอวี้ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้ากับข้าไยต้องพูดจาให้มากความ ขอเพียงมีโอกาสได้พบกัน ต้องร่ำสุราจนกว่าจะเมามายแน่นอน!” พอประสานมือคำนับตอบแล้วก็พลิกร่างขึ้นหลังม้า

มู่เฉิงปินหัวเราะร่า ตอบกลับเสียงดังก้อง “ได้สิ!”

ทางฟู่หลันหยากับแม่นมหลินกำลังจะขึ้นรถม้า จู่ๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากในวัง

หญิงสาวที่เดินนำหน้าสวมหมวกม่านแพร การแต่งกายและเครื่องประดับโดดเด่นสะดุดตา ดูพิถีพิถัน และสมฐานะโดยไม่ดูหยิ่งผยองจนเกินไป มีสาวใช้ล้อมหน้าหลัง ยามเยื้องย่างป้ายหยกห้อยเอวกระทบกันเสียงดัง ก้าวย่างอย่างชดช้อย กิริยาท่าทางงดงามน่ารักเป็นที่สุด

เมื่อเดินมาถึงข้างกายมู่เฉิงปิน นางก็ยอบกายลงคำนับ

มู่เฉิงปินพยักหน้า แล้วกำชับว่า “พวกเจ้าพี่น้องสองคนต้องคอยดูแลกันและกันให้ดีระหว่างเดินทาง พอถึงจิงโจวแล้วก็ให้ม้าเร็วมาแจ้งพวกเราสักหน่อยว่าปลอดภัยดี ถึงญาติผู้พี่เจ้าจะป่วยอยู่ แต่ก็ยังห่วงหาอาทรพวกเจ้าทั้งสองอยู่ในใจ”

เขายังบอกอีกว่า “หลายวันมานี้มีคนเร่ร่อนออกเพ่นพ่านอาละวาด ทำให้เจ้าติดอยู่ที่อวิ๋นหนาน เดินทางกลับเมืองหลวงไม่ได้ ตอนนี้มีพี่ชายร่วมทางไปด้วย พี่สาวเจ้าคงวางใจได้เสียที”

โฉมงามพยักหน้า ลมพัดชายม่านหมวกแพรมุมหนึ่งพะเยิบไปตามการเคลื่อนไหวของนาง เผยให้เห็นปลายคางเรียวเล็กขาวเนียน

ฟู่หลันหยารู้แล้วว่าสตรีผู้นี้ก็คือคุณหนูเติ้งแห่งจวนหย่งอันโหวนั่นเอง ในเมื่อพวกเขาเดินทางไปจิงโจว ซึ่งเป็นทางผ่านไปเมืองจิงเฉิงเช่นกัน ไม่รู้ว่าจะได้ร่วมทางกับพวกเขาหรือไม่

ขณะกำลังครุ่นคิด ผิงอวี้ก็เบนหัวม้าตวัดแส้แล้วบอกว่า “สายแล้ว จ้งเหิง พวกเรายังมีภารกิจ ขอตัวออกเดินทางก่อนแล้ว”

พูดยังไม่ทันจบก็ควบม้าจากไป เห็นได้ชัดว่าไม่อยากจะร่วมทางกับขบวนรถม้าของสกุลเติ้ง

บรรดาองครักษ์เสื้อแพรที่เหลือต่างรีบหนีบท้องม้าแล้วควบตามหลังผิงอวี้ไปทันที

ฟู่หลันหยาได้ยินเสียงล้อรถม้าบดเคลื่อน ร่างนางโงนเงนไปข้างหลัง พอขยับจนนั่งได้อย่างมั่นคงแล้วก็เอนร่างพิงกับตัวรถม้าพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เมื่อครู่นี้ตอนที่มู่เฉิงปินพูดคุยกับผิงอวี้ ไม่มีการเอ่ยสักคำว่าสองคณะจะร่วมทางด้วยกัน คิดๆ ดูแล้วหลังจากได้ประสบกับเล่ห์ลวงของนิกายเจิ้นหมัวมาเมื่อคืน ก็คงไม่มีผู้ใดอยากจะพลอยติดหลังแหไปด้วย

 

คณะเดินทางมุ่งขึ้นเหนือ ผ่านไปได้สองชั่วยามก็มาถึงจุดพักม้า

ไม่รู้ว่าผิงอวี้สังเกตเห็นอะไรเข้า จู่ๆ ก็รั้งบังเหียนสั่งให้ทุกคนลงจากหลังม้า แล้วให้เข้าไปพักผ่อนในจุดพักม้าสักพักหนึ่ง

ฟู่หลันหยากับแม่นมหลินจำต้องลงจากรถม้าเข้าไปในจุดพักม้า ขณะจะหยิบน้ำออกมาดื่มก็ได้ยินเสียงรถม้าและเสียงม้าวิ่งห้อตะบึงดังมา

หลี่หมินกับองครักษ์เสื้อแพรคนอื่นๆ เงยหน้าหันไปมองข้างนอก เขาพูดอย่างประหลาดใจว่า “นั่นรถม้าของจวนหย่งอันโหวนี่”

ผ่านไปครู่หนึ่ง คนกลุ่มนั้นก็ลงจากหลังม้าเดินเข้ามา เป็นคุณชายเติ้งกับผู้ติดตามจริงๆ พอเห็นผิงอวี้ คุณชายเติ้งก็นิ่งอึ้งไป “เจ๋ออี้?”

ผิงอวี้นิ่วหน้า

คุณชายเติ้งไม่ใส่ใจสีหน้านั้น ยังยิ้มให้เขาพลางเอ่ยว่า “เดิมทีคิดว่าพวกเจ้าเดินทางไปแล้วเสียอีก ไม่คิดว่าจะมาหยุดพักที่นี่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้เดินทางไปด้วยกัน รอให้ไปถึงจิงโจวก่อนแล้วค่อยแยกทาง จะได้คอยดูแลคุ้มครองกันและกัน…ดีหรือไม่”

“ไม่สะดวก” ผิงอวี้ผุดลุกขึ้น แล้วหยิบแส้ม้าเดินออกไปข้างนอก

 

พอออกเดินทางจากจุดพักม้า ตะวันแดงฉานที่ขอบฟ้าก็คล้อยต่ำลงมากแล้ว ขึ้นเหนือต่อไปอีกครึ่งชั่วยาม ในที่สุดยามท้องฟ้าเริ่มมืดลงก็ล่วงเข้าสู่เมืองลิ่วอัน

เมืองลิ่วอันอยู่ติดกับกุ้ยโจว มีรถม้าเดินทางสัญจรผ่านไปมาอยู่เนืองๆ และเพราะตั้งอยู่แนวหลังด่านสู้รบต่างๆ ของอวิ๋นหนาน จึงแทบไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากความวุ่นวายของสงคราม การค้าขายในเมืองก็เจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง

ระหว่างเดินทางเข้าเมือง ถึงแม้แม่นมหลินจะไม่เห็นทิวทัศน์ภายนอก แต่ก็ได้ยินเสียงผู้คนจ้อกแจ้กจอแจแว่วเข้ามาทางหน้าต่าง นางอดจะถอนหายใจไม่ได้ “มาถึงสถานที่ที่มีผู้คนอยู่อาศัยบ้างเสียที”

ฟู่หลันหยามัวแต่คาดเดาถึงจุดประสงค์ที่นิกายเจิ้นหมัวจะจับตัวนางมาตลอดทางจนเหม่อลอย จึงดูเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของแม่นมหลิน

มาถึงโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดของเมือง พอฟู่หลันหยากับแม่นมหลินลงมาจากรถม้าก็เห็นภาพอันงดงามของโคมไฟที่ทยอยถูกจุดขึ้น มีผู้คนเดินไปมาขวักไขว่หน้าประตูโรงเตี๊ยม ถนนหนทางรอบๆ ก็ดูคึกคักเป็นอย่างมาก

นางเงยหน้าขึ้น เหลือบเห็นแผ่นหลังผิงอวี้ที่กำลังเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมพอดี

ฟู่หลันหยารู้สึกแปลกใจ โรงเตี๊ยมแห่งนี้ออกจะดูพลุกพล่าน แต่ผิงอวี้กลับเลือกที่นี่เป็นสถานที่พัก นี่เพราะอยากจะแสดงออกว่าไม่เห็นนิกายเจิ้นหมัวอยู่ในสายตา หรือมีจุดประสงค์อื่นใดกันแน่

พอเข้าไปในโรงเตี๊ยม ก็เห็นได้ชัดว่าการตกแต่งข้างในช่างแตกต่างจากโรงเตี๊ยมแห่งนั้นบนถนนหลวงชวีจิ้งที่ได้เข้าพักเมื่อคราวก่อนอย่างสิ้นเชิง

เดินลึกเข้าไปก็เป็นสวนดอกไม้เล็กๆ แห่งหนึ่งที่ปลูกดอกไม้ต้นไม้นานาพรรณไว้ไม่น้อย การจัดวางต่างๆ ดูไม่ได้ทำอย่างลวกๆ แต่กลับทำให้นางหวนนึกถึงโรงน้ำชาอันมีชื่อหลายแห่งในเมืองจิงเฉิง

เดินผ่านสวนดอกไม้ด้านหน้าแล้วก็มาถึงหอเล็กสามชั้นที่ประดับประดาอย่างงดงาม แค่มองหอหลังนี้ปราดเดียวก็รู้ว่าล้วนเป็นห้องพักแขก ดูจากการจัดวางห้องหับแล้วรับคนได้ไม่น้อยเลย

ฟู่หลันหยาเดินผ่านห้องโถงรวมเข้าไปข้างใน มองดูสภาพโดยรอบก็ตะลึงงัน ราวกับว่าได้กลับไปยังเมืองจิงเฉิงอีกครั้ง นางกับพี่ชายเคยแอบไปฟังเพลงที่หอหลิวเปยในเมืองจิงเฉิงหลายครั้ง ในภาพประทับจำนั้น การตกแต่งของหอหลิวเปยแทบไม่ต่างจากที่นี่เลย

จำได้ว่าครั้งหนึ่งจู่ๆ มารดาก็ทะเลาะเบาะแว้งกับบิดาด้วยเรื่องอันใดไม่ทราบได้ บิดาของนางไม่ยอมไปที่เรือนชั้นใน ออกมาอยู่ตามลำพังที่ห้องหนังสือ ผ่านไปนานนับเดือนจึงค่อยย้ายกลับ

นางกับพี่ชายเห็นว่ามารดาดูเศร้าหมอง อุตส่าห์คิดหาทางหยอกเย้ามารดาให้เบิกบานใจอยู่นาน แต่ส่วนใหญ่มารดาก็เพียงยิ้มให้ แล้วไม่ยอมพูดอะไรกับพวกนางสักคำ

นางเห็นมารดาเท้าคางพลางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างบ่อยครั้ง บรรยากาศในบ้านอึมครึม นางก็พลอยรู้สึกหดหู่ไปด้วย

พี่ชายของฟู่หลันหยาไม่อยากเห็นนางเอาแต่ถอนหายใจเฮือกๆ อยู่อย่างนี้ จึงรับปากพานางไปฟังเพลงที่หอหลิวเปย เพื่อจะได้เบิกบานใจ

บัดนี้มาย้อนนึกถึง แม้ว่าฟู่หลันหยาจะดูสุภาพเคารพเชื่อฟังต่อหน้าบิดาและคนอื่นๆ แต่กลับมีเพียงพี่ชายที่รู้ว่าลึกๆ แล้วนางไม่ได้เรียบร้อยเช่นนั้น

ครั้งแรกที่ไปยังหอหลิวเปย นางเพิ่งจะอายุได้สิบเอ็ดสิบสองปี จึงแต่งตัวแบบเด็กชาย ไม่ได้สะดุดตาผู้ใดสักนิด ลอบเข้าไปในหอได้อย่างสะดวกราบรื่นโดยมีพี่ชายช่วยอำพราง

ของกินเล่นที่หอหลิวเปยรสชาติดี ดนตรีก็ไพเราะ หลังจากออกมาแล้วนางยังหัวเราะร่าพลางพูดคุยถึงหน้าตาและการแต่งตัวของนักดนตรีกับพี่ชายอย่างสนุกสนาน แต่เพราะคุยกันเพลินจนลืมตัว จึงเกือบชนกับชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเข้า

อาจเป็นเพราะสายตาของชายวัยกลางคนผู้นั้นที่ทอดมองนางดูแปลกพิกลยิ่ง แม้ผ่านมาหลายปีถึงเพียงนี้แล้วนางก็ยังคงจดจำหน้าตาของคนผู้นั้นได้อยู่เลย

เขาอายุราวสามสิบกว่า พันศีรษะด้วยผ้าป่านกับชุดยาวเหมือนบัณฑิต ใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลา คิ้วยาวจรดจอนหู สีหน้าท่าทางสุภาพอ่อนโยน คนผู้นั้นยังยืนเฝ้ามองอยู่ที่เดิมแม้นางกับพี่ชายเดินจากมาไกลแล้ว…

จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงแม่นมหลินพูดเจื้อยแจ้วดังแว่วมา ตัดห้วงคิดคำนึงของนางให้หยุดลง

ฟู่หลันหยาเม้มปาก ไม่รู้จะพูดอันใด ได้แต่เดินตามเถ้าแก่โรงเตี๊ยมไปเงียบๆ ปล่อยให้ความคิดฟุ้งไปไกล ราวกับว่าเมื่อทำเช่นนี้แล้วความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นยามคิดถึงบิดาและพี่ชายจะบรรเทาลงได้บ้าง

แม้ในโรงเตี๊ยมจะมีห้องพักจำนวนมาก แต่เพราะมีจำนวนแขกเข้าพักมากเกินไป จึงเหลือเพียงชั้นสามที่ยังมีห้องว่าง

เดินมาถึงชั้นสาม ฟู่หลันหยาก็ไม่แปลกใจสักนิดที่ผิงอวี้ให้เถ้าแก่จัดเตรียมห้องของนางกับแม่นมหลินไว้ข้างๆ ห้องตนเอง

ฟู่หลันหยาได้ยินผิงอวี้จัดแจงสิ่งต่างๆ จนเรียบร้อยด้วยความสุขุมก็รู้สึกโล่งใจ ดูแล้วผิงอวี้คงมิได้ครั่นคร้ามต่อนิกายเจิ้นหมัวที่หมายเล่นงานนาง อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังไม่ปล่อยปละละเลยโดยไม่ใส่ใจว่าพวกนางสองนายบ่าวจะอยู่หรือตาย

ฟู่หลันหยาจึงยิ่งแน่ใจว่าสิ่งที่คาดเดาไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ถูกต้อง ผิงอวี้มีความเกี่ยวพันอันลึกซึ้งกับคนที่ซื้อตัวพ่อบ้านโจวจริงๆ การที่เขาต้องการปกป้องคุ้มครองนางกับแม่นมหลินให้ปลอดภัย ก็เพื่อค้นหาสิ่งที่อยู่ในตัวนางซึ่งสามารถใช้โต้กลับคนผู้นั้นได้

คนเยี่ยงใดกันที่มีทั้งเจตนาร้ายต่อนางและเกี่ยวพันกับผิงอวี้อย่างล้ำลึก…

พอเข้ามาในห้องแล้ว แม่นมหลินก็ประคองให้ฟู่หลันหยานั่งลงที่ขอบเตียง ก่อนหันกลับไปสำรวจการจัดวางตกแต่งที่โอ่อ่าแสนประณีต นางถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ห้องพักห้องนี้ตกแต่งได้งามหรูออกปานนี้ ไม่รู้ว่าเข้าพักคืนหนึ่งต้องใช้เงินมากเท่าใด”

ฟู่หลันหยาเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าการแต่งห้องพักเช่นนี้ดูคุ้นตาอย่างน่าประหลาด พลันหวนนึกไปถึงความรู้สึกเมื่อแรกเดินเข้ามาในสวนดอกไม้ของโรงเตี๊ยม นางครุ่นคิดด้วยความฉงน หรือที่นี่จะเป็นหอหลิวเปยจริงๆ ไม่น่าจะใช่กระมัง หอหลิวเปยเป็นสถานที่หย่อนใจสำหรับฟังดนตรี แต่ที่นี่กลับเป็นห้องพักรับรอง

อีกอย่างหอหลิวเปยอยู่ที่เมืองหลวง โรงเตี๊ยมแห่งนี้อยู่ที่อวิ๋นหนาน ไม่ว่าเรื่องที่ตั้งหรือการใช้สอย จะอย่างไรก็ไม่อาจเชื่อมโยงถึงกันได้เลย

ขณะกำลังครุ่นคิดก็มีเสียงเถ้าแก่ดังขึ้น “คุณชายขอรับ ถึงแม้โรงเตี๊ยมของพวกเราจะอยู่ที่อวิ๋นหนาน แต่การตกแต่งและรูปแบบการจัดวางสิ่งต่างๆ ล้วนเลียนแบบมาจากโรงเตี๊ยมที่เมืองจิงเฉิงอย่างไม่ผิดเพี้ยน ไม่ปิดบังท่าน โรงเตี๊ยมของข้ามีแขกเข้าพักมาก คืนนี้มีห้องพักแขกสองสามห้องนี้เท่านั้นที่ยังว่าง ไม่อาจรับรองแขกจำนวนมากเช่นนี้ได้ไหว พวกผู้ติดตามของท่านอาจต้องยอมไปพักที่ลานด้านหลังบ้างจึงจะพอขอรับ”

ผ่านไปพักหนึ่งก็มีเสียงชายหนุ่มดังขึ้น เสียงนั้นนิ่งสุขุมและสุภาพยิ่งนัก “เติ้งอวิ๋น เจ้าจัดการแล้วกัน”

อีกคนขานรับ “ขอรับ คุณชาย”

คุณชายเติ้ง? แม่นมหลินกับฟู่หลันหยานิ่งอึ้งไปพร้อมกันทันใด เนื่องจากเพิ่งได้ยินเสียงของเขาที่จุดพักม้า ยังคงจำได้แม่น

คิดไม่ถึงว่าพวกเขาก็มาพักที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ด้วย ดีไม่ดีอาจจะพักอยู่ห้องฝั่งตรงข้ามนี้เอง

แม่นมหลินอดไม่ได้ต้องกระซิบถาม “คุณหนูเจ้าคะ นายท่านกับฮูหยินของพวกเราเคยไปมาหาสู่กับจวนหย่งอันโหวหรือไม่ แม่นมรู้สึกว่าคุณชายเติ้งดูเหมือนจะรู้จักคุณหนูนะเจ้าคะ”

“รู้จักข้า?” นางตะลึงงัน สกุลฟู่กับจวนหย่งอันโหวไม่เคยไปมาหาสู่กันเสียหน่อย

แม่นมหลินพยักหน้า “เมื่อคืนที่ลานเรือน คุณชายเติ้งเอาแต่จ้องมองคุณหนู แต่มิได้ใช้สายตาหยาบโลนเหมือนใต้เท้าหวัง ดูเหมือนจะรู้จักคุณหนูจริงๆ”

พูดถึงตรงนี้ก็พลันนึกถึงคุณชายเติ้งผู้สุภาพเรียบร้อยดุจบัณฑิต ซึ่งดูเหมือนมีเงาร่างของผู้รู้หนังสือทาบทับ จู่ๆ นางก็เกิดความคิดอันบรรเจิด “คุณหนูว่าคุณชายเติ้งกับคุณชายลู่รู้จักกันหรือไม่ คุณชายลู่มีใจคิดถึงคุณหนูเสมอ เห็นคุณชายเติ้งเดินทางมาอวิ๋นหนาน จึงได้ไหว้วานให้เขามาคอยดูแล…”

แม่นมหลินเพิ่งพูดได้ครึ่งเดียว ก็เห็นแววตาฟู่หลันหยาดูเย็นชาลงฉับพลัน นึกได้ว่าเป็นนางที่ปากพล่อย จึงตบปากตนเองด้วยความสำนึกผิด “แม่นมพูดอะไรออกมาหรือนี่! ไม่พูดเรื่องเจ้าคนสารเลวนั่นแล้ว”

พูดจบแม่นมหลินก็หันหลังกลับแล้วเดินไปข้างโต๊ะ แสร้งทำทีกุลีกุจอ แต่ในใจเจ็บปวด คุณชายลู่นั้นดูเหมือนจะดี ใครเลยจะรู้ว่าสิ้นไร้คุณธรรม ไม่พูดเสียยังดีกว่า ไม่พูดถึงเขาแล้วกัน

ฟู่หลันหยานิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนสงบใจลงได้ในไม่ช้า เห็นแม่นมหลินมีสีหน้ารู้สึกผิด ก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังครุ่นคิดแต่เรื่องหยุมหยิม จึงทั้งขบขันทั้งสงสาร “แม่นม ที่แม่นมถือคือชุดนอนของข้า เหตุใดเอาไปแขวนบนชั้นวางอ่างล้างหน้าเสียเล่า”

แม่นมหลินได้ยินน้ำเสียงฟู่หลันหยาสงบลงแล้ว ดูไม่ได้เจ็บปวดหรือรู้สึกแย่อันใด ความกังวลใจก็สลายไปทันใด

ขณะที่สองนายบ่าวกำลังล้างหน้าล้างมือ เด็กรับใช้ก็ยกอาหารเย็นมาให้

ตรากตรำเดินทางมาเช่นนี้ ฟู่หลันหยาย่อมจะหิวนานแล้ว เพิ่งกินเสร็จก็มีคนเคาะประตู เป็นผิงอวี้นั่นเอง เขาสวมชุดยาวผ้าไหมสีเขียวเข้มอันประณีต คาดเอวด้วยไหมถัก หาได้ยากนักที่เขาจะไม่สวมชุดแพรเฟยอวี๋ ไม่รู้ว่าเพราะมีธุระต้องออกไปข้างนอกหรือไม่

แม่นมหลินเห็นสีหน้าผิงอวี้ดูเย็นชาก็ไม่กล้าถามให้มากความ รีบเปิดประตูแล้วเชิญเข้ามา

ผิงอวี้เข้ามา เหลือบเห็นจานชามบนโต๊ะเบื้องหน้าฟู่หลันหยาดูสะอาดเกลี้ยงเกลา ไม่เหลือแม้แต่น้ำแกงสักหยด ก็เอ่ยประชดว่า “ยังเจริญอาหารดีนี่”

ฟู่หลันหยาได้แต่อดทนไม่กลอกตา ทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดคำจาร้ายๆ ของเขา จากนั้นจึงลุกขึ้นเอ่ยว่า “ใต้เท้าผิงมีธุระหรือ”

สายตาผิงอวี้หยุดอยู่ที่ใบหน้าของฟู่หลันหยาเป็นครู่ใหญ่ สีหน้ายังคงเรียบเฉย “ข้าต้องออกไปข้างนอกสักครู่หนึ่ง สั่งให้พวกหลี่หมินคอยเฝ้าไว้ข้างนอกแล้ว ที่นี่มีแต่พยัคฆ์ซุ่มมังกรซ่อน* ถ้าเจ้ายังอยากมีชีวิตรอด ดีที่สุดก็อย่าเดินเพ่นพ่านไปทั่วแล้วกัน”

พยัคฆ์ซุ่มมังกรซ่อน? แม่นมหลินเผยสีหน้าหวาดผวาพลางหันไปมองฟู่หลันหยา

ฟู่หลันหยานิ่วหน้าน้อยๆ สูดลมหายใจเข้าลึก เท้ามือกับโต๊ะแล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปหาผิงอวี้สองก้าว แม่นมหลินเห็นดังนั้นก็รีบตรงเข้าไปประคองไว้

มาถึงตรงหน้าผิงอวี้ ฟู่หลันหยาก็พูดด้วยน้ำเสียงเหมือนต้องการหารือ “ขอบคุณใต้เท้าผิงที่แจ้งให้ทราบ เพียงแต่ไม่ทราบว่าใต้เท้าผิงจะกลับมาเมื่อใด ข้ามีเรื่องจะปรึกษากับใต้เท้าผิงสักหน่อย”

ผิงอวี้เห็นฟู่หลันหยาเงยหน้ามองมาที่ตนเอง ดวงตาดำขลับเจิดจ้าเป็นประกาย ริมฝีปากแดงระเรื่อ น้ำเสียงก็อ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูก เขานิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง แล้วตัดบทนางด้วยน้ำเสียงกระด้าง “ข้าจะกลับมาเมื่อใดไม่จำเป็นต้องรายงานเจ้า! ถึงแม้ชั่วคราวนี้ข้าต้องคอยคุ้มกันพวกเจ้านายและบ่าวให้ปลอดภัย ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำตามคำสั่งของเจ้า!”

พูดจบ ผิงอวี้ก็ไม่รอให้ฟู่หลันหยาเอ่ยอะไรอีก เพียงหันหลังเตรียมเดินออกไป ทว่าเพิ่งจะวางมือบนที่จับประตูเขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วปิดประตูลงไปอีกครั้ง หันกลับมาพูดว่า “ดีที่สุดพวกเจ้าก็อย่าหลับเป็นตายแล้วกัน ได้ยินข้ากลับมาก็จำไว้ว่าให้เปิดหน้าต่างด้วย”

“เปิดหน้าต่าง?” แม่นมหลินได้ยินดังนั้นก็ประหลาดใจ

ผิงอวี้พูดประชดอย่างขบขัน “ไม่เปิดหน้าต่างไว้แล้วข้าจะเข้ามาทางหน้าต่างจากห้องข้างๆ ได้อย่างไร หรือเจ้าอยากให้ข้ามาเคาะประตูต่อหน้าผู้คนกลางดึกกลางดื่น ให้เขารู้กันทั่วว่าข้ากับคุณหนูของเจ้าอยู่ร่วมห้องกัน”

แม่นมหลินจึงค่อยเข้าใจว่าผิงอวี้กังวลว่าจะมีคนทำให้คุณหนูเกิดเรื่องยุ่งยากในยามวิกาล จึงรีบรับปาก “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณใต้เท้าผิงที่รอบคอบ ไม่ให้คุณหนูต้องเสื่อมเสีย”

ผิงอวี้เหลือบมองฟู่หลันหยาแวบหนึ่งก็เบือนหน้าหนี ก่อนเปิดประตูแล้วเดินจากไป

ผิงอวี้ออกจากโรงเตี๊ยม ด้านหนึ่งสอบถามสถานการณ์ในเมืองจากเด็กรับใช้ที่อยู่ตรงประตูโรงเตี๊ยมพลางลอบสังเกตรอบด้านไปด้วย

จริงดังคาด เขาเห็นเงาร่างหนึ่งออกมาจากตรอกด้านข้างทางหางตา

ผิงอวี้ตีสีหน้าเรียบเฉยคล้ายไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ทว่าในใจกลับนึกหยัน คนสะกดรอยตามพวกนี้ตามติดเหมือนเป็นเงาตามตัว รับมือได้ยากนัก

ออกจากโรงเตี๊ยมแล้วผิงอวี้ก็มุ่งหน้าไปตามถนน ตลอดทางเขารู้สึกว่ามีคนคอยซุ่มดูอยู่ทุกที่

เงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าข้างหน้ามีตรอกเล็กอยู่ ตรงปากตรอกมีคนขายโคมไฟ คนไม่น้อยกำลังมุงอยู่หน้าแผงขายของ ยืนออขวางทางหน้าปากตรอกจนมิด

ผิงอวี้คิดแผนไว้แล้วจึงเดินอาดๆ เข้าไปหากลุ่มคน

ทุกคนเห็นมีคนขอทางอยู่ด้านหลังก็จำต้องแหวกออกเป็นทางให้ครู่หนึ่ง รอจนผิงอวี้เดินผ่านไปแล้ว คนทั้งกลุ่มก็กลับมายืนออหน้าปากตรอกตามเดิมอย่างรวดเร็ว

ผิงอวี้เข้าไปในตรอกได้ก็เอามือไพล่หลังเดินไปได้สองก้าว ในตรอกไร้ซึ่งแสงจากโคมไฟ ในไม่ช้าความมืดมิดก็อำพรางร่างเขาไว้เกือบครึ่ง คอยเงี่ยหูฟังเสียงความเคลื่อนไหวจากด้านหลังอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็โคจรลมปราณแล้วกระโดดขึ้นพลางไต่ไปตามกำแพงลานเรือนด้านหนึ่งติดๆ กันหลายก้าว จากนั้นพลิกร่างขึ้นไปถึงบนกำแพง แล้วกระโดดขึ้นๆ ลงๆ อีกหลายก้าว ก่อนหายลับไปในความมืด

เขาทำเช่นนี้อยู่หลายรอบ จึงนับว่าสลัดจนพ้นจากสายตาของผู้ที่ตามสะกดรอยได้แล้ว

 

รอจนผิงอวี้หาตรอกฝูลู่ที่เป็นแหล่งขายของชำทางด้านทิศใต้ของเมืองพบก็ผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว

ตรอกสายนี้เป็นที่ที่ช่างฝีมือทั้งหลายมารวมตัวกันตั้งแผงขายของในตอนกลางวัน ตลาดแห่งนี้มักจะมีคนมาเยือนอย่างหนาตาจนดูจอแจ ทว่าเวลานี้ร้านค้าในตรอกพากันเก็บแผงไปแล้ว มีเพียงแสงสีเหลืองนวลส่องลอดออกมาตามรอยแยกตรงบานประตูของร้านค้าแต่ละร้าน ยิ่งทำให้ดูเปลี่ยวร้างเงียบงัน

เขาค่อยๆ เดินผ่านตรอกนั้นไป พอเดินไปสุดตรอกก็ยืนนิ่ง กวาดตามองไปตามป้ายที่แขวนไว้ด้านบนของแต่ละร้าน แล้วไปหยุดอยู่ที่ป้ายซึ่งแขวนไว้หน้าร้านตีเหล็กร้านหนึ่งทางขวามือ บนป้ายนั้นเขียนไว้ว่า ‘ร้านตีเหล็กสกุลฉิน’

เขาเดินเข้าไปใกล้อีกสองก้าว อาศัยแสงโคมไฟเพ่งมองเสาต้นหนึ่งที่อยู่ข้างประตู ก็พบสัญลักษณ์เล็กๆ ตรงมุมที่ไม่สะดุดตาจริงดังคาด

ผิงอวี้มองจนแน่ใจแล้วก็ล้วงหยิบป้ายคำสั่งอันเล็กออกมาจากชายแขนเสื้อ เอามือไพล่หลังไว้แล้วเดินขึ้นบันได เคาะประตูอย่างไม่ลังเล

มู่เฉิงปินมอบป้ายคำสั่งนี้ให้เขาคืนก่อนวันที่จะออกเดินทาง

สกุลมู่เฝ้าพิทักษ์อวิ๋นหนานมานานปี จึงรู้จักกลุ่มอำนาจต่างๆ ในดินแดนแถบตะวันตกเฉียงใต้อย่างทะลุปรุโปร่ง

ตามที่มู่เฉิงปินเล่ามา ป้ายคำสั่งนี้ทำขึ้นโดยเจ้าสำนักของสำนักฉินแห่งเมืองสู่เมื่อร้อยปีก่อน เพื่อระลึกถึงบุญคุณของมู่อ๋องที่ช่วยชีวิต จึงได้มอบป้ายคำสั่งนี้ให้แก่มู่อ๋องเป็นกรณีพิเศษ เพียงอาศัยป้ายนี้ก็สามารถเข้าออกสำนักฉินได้อย่างเสรี เพื่อสืบถามข่าวคราวต่างๆ จากคนในสำนักฉิน

สำนักฉินเป็นศัตรูคู่แค้นกับนิกายเจิ้นหมัวมาโดยตลอด ขัดแย้งต่อสู้กันมานับร้อยปีไม่เคยหยุด บัดนี้การดูแลจัดการงานต่างๆ ทั้งหลายในสำนักฉินล้วนมีคุณชายใหญ่แห่งสกุลฉินเป็นผู้ดูแล และคุณชายใหญ่ฉินก็มาพำนักที่เมืองลิ่วอันพอดี

ผิงอวี้รู้ว่ามู่เฉิงปินมอบป้ายคำสั่งให้ตนเองก็เพราะเหตุผลดังนี้ ด้านหนึ่งคือต้องการให้เขามาสืบประวัติผู้คุมกฎซ้ายของนิกายเจิ้นหมัวจากปากของคนสำนักฉิน เพื่อจะได้สะสางบัญชีแค้นในอดีตให้สาสม

อีกด้านเกรงว่าคงเป็นเพราะมีสัมพันธ์ฉันมิตรกับฟู่ปิง พอเห็นว่านิกายเจิ้นหมัวกำลังจับตาดูฟู่หลันหยาจนตกอยู่ในสถานการณ์อันยากลำบาก จึงคิดจะอาศัยอำนาจของคนสำนักฉินมาหนุนช่วย

ผิงอวี้เคาะประตูแล้วยืนคอยอยู่หน้าประตูเงียบๆ ในใจเริ่มคาดเดาบางอย่างไว้ ไม่ว่านิกายเจิ้นหมัวกับสำนักบูรพาจะมีจุดมุ่งหมายใดจึงได้พยายามเล่นงานฟู่หลันหยา ทั้งสองกลุ่มนี้ก็ต่างถูกดึงเข้ามาพัวพันแล้ว สำนักฉินเองก็ไม่แน่ว่าจะขาวสะอาดนัก

แต่ไม่ว่าอย่างไร คนของสำนักฉินเป็นผู้ชำนาญในวิถีทางนอกกฎหมาย เก่งกาจในการสืบหาข่าว มาลองสอบถามดูก่อนก็ยังดีกว่ามุ่งสืบหาข่าวไปอย่างไม่รู้ทิศทาง

ไม่นานก็มีเสียงความเคลื่อนไหวที่ด้านหลังประตู มีคนมองลอดออกมาทางรอยแง้มประตู

พอเห็นว่าข้างนอกเป็นชายหนุ่มแปลกหน้า คนผู้นั้นก็ไม่ยอมเปิดประตูจริงดังที่ผิงอวี้คาดไว้ บอกแต่เพียงว่า “ร้านข้าเลิกกิจการแล้ว ไม่ทราบว่าท่านมาเยือนกลางดึกเช่นนี้มีธุระอันใด” เสียงนั้นฟังแล้วเฒ่าชรามาก

ผิงอวี้ยิ้ม ถือป้ายคำสั่งนั้นไว้ในมือแล้วเอ่ยว่า “มีเรื่องต้องขอรบกวน ข้ามีธุระด่วนมาหาเจ้านายของเจ้า”

คนผู้นั้นเห็นสิ่งที่อยู่ในมือผิงอวี้ชัดเจนก็นิ่งเงียบไปพักใหญ่ รีบเปิดประตูให้แล้วกล่าวว่า “คุณชาย เชิญเข้ามาข้างในขอรับ”

ผิงอวี้เดินเข้าไปก็กวาดตามองคนผู้นั้นแวบหนึ่ง เห็นเป็นชายชราอายุร่วมเจ็ดสิบ มีผมหงอกหร็อมแหร็ม ใบหน้ายับย่น หลังค่อมจนยืดตัวตรงไม่ได้

ชายชราเชิญผิงอวี้เข้าไปในร้านแล้วปิดประตูลงอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็กุลีกุจอยกน้ำชาเชื้อเชิญให้เขานั่ง

ผิงอวี้เห็นชายชราดูเหน็ดเหนื่อยอย่างมากขณะต้อนรับ เขาก็ยกมือห้ามแล้วเอ่ยว่า “ไม่ต้องวุ่นวายไปหรอก ข้ามาขอคำชี้แนะจากเจ้านายของเจ้าแค่ไม่กี่เรื่องก็จะกลับแล้ว”

ชายชราหอบไปพลางพูดไปพลาง “นายท่านไม่อยู่ในร้านเป็นการชั่วคราว คุณชายมีธุระใด ฝากบอกกับบ่าวก็ได้นะขอรับ”

พูดจบเห็นผิงอวี้นิ่งเงียบไม่พูดอะไร ชายชราก็พูดขึ้นอีกว่า “สิ่งที่อยู่ในมือคุณชายคือป้ายคำสั่งดั้งเดิมของสำนักฉิน ย่อมต้องเข้าใจระเบียบปฏิบัติของคนสำนักฉิน มีอะไรก็บอกมาได้เลย”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ขอพูดตรงๆ แล้วกัน” ผิงอวี้ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ได้ยินว่านิกายเจิ้นหมัวมีผู้คุมกฎซ้ายผู้หนึ่งที่ไม่เคยเผยโฉมมาตลอดเกือบสิบปี เอาแต่ฝึกฝนวิชาลี้ลับอยู่ในนิกาย ไม่ทราบว่าช่วงที่ผ่านมานี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ จึงชักนำผู้คุมกฎผู้นี้ให้ออกมาปรากฏตัวอีกครั้ง”

ชายชราผู้นั้นนิ่งฟังจนจบ จู่ๆ ก็ก้มลงไอโขลกสองสามที จากนั้นกำหมัดแล้วทุบหลังตนเองแรงๆ “ผู้คุมกฎซ้ายของนิกายเจิ้นหมัวผู้นี้เก่งกาจนัก ตลอดมามีฐานะสูงส่งกว่าสาวกคนอื่นๆ ในนิกาย เรื่องทั่วไปในนิกายไม่อาจกระทบถึงนางได้ อีกทั้งเก็บตัวมานานเกือบสิบปีแล้ว จะออกมาเคลื่อนไหวบ้างก็มิใช่เรื่องแปลก ไม่จำเป็นว่าจะต้องเกิดเหตุขึ้นเสมอไป”

ผิงอวี้ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วแสร้งทำเป็นพยักหน้าอย่างจริงจัง “เช่นนั้นไม่ทราบว่ามีกลุ่มอำนาจอื่นใดที่ออกมาเคลื่อนไหวในแถบอวิ๋นหนานบ้างหรือไม่”

ชายชราส่ายหน้าด้วยร่างอันสั่นเทาเนื่องจากอายุที่มากแล้ว “ช่วงนี้พวกเร่ร่อนในอวิ๋นหนานเพิ่งจะสงบลงบ้าง แต่ในแถบนี้ก็ยังไม่ค่อยสงบราบคาบเสียเท่าไรนัก อยู่เฉยๆ ใครเล่าจะรนหาที่เข้ามาก่อเรื่องในอวิ๋นหนาน”

ผิงอวี้หัวเราะหยันในใจ แต่สีหน้ายังคงยิ้มแย้มไม่เปลี่ยนแปลง มองดูชายชราแล้วเอ่ยว่า “ผู้คุมกฎซ้ายของนิกายเจิ้นหมัวปรากฏตัวออกมาอาจไม่ใช่เรื่องแปลก แต่คุณชายใหญ่แห่งสำนักฉินที่ดึกดื่นแล้วไม่หลับไม่นอน กลับแสร้งปลอมตัวเป็นชายชราที่นี่ ตั้งใจมารอฟังข้าสืบข่าวโดยเฉพาะ ไม่ทราบว่าทำเช่นนี้เพื่อเหตุผลใด”

ชายชราผู้นั้นจึงหยุดทำท่าเหนื่อยหอบทันที

ผิงอวี้เห็นดังนั้นก็พูดด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “สำนักฉินเชี่ยวชาญในการสืบข่าว ตั้งแต่ก่อนข้าจะเข้ามาในเมือง พวกเจ้าก็คงล่วงรู้ฐานะของข้าแล้ว คาดเดาได้ว่าข้าจะอาศัยป้ายคำสั่งสกุลมู่เพื่อมาถามข่าวคราวที่นี่ จึงแสร้งทำทีเป็นชายชราเบื้อใบ้ ใช้คำพูดล่อหลอกข้าให้สับสนเรื่องราวของนิกายเจิ้นหมัว แต่น่าเสียดาย คุณชายใหญ่สำนักฉินแม้จะแปลงโฉมเก่งกาจเป็นอันดับหนึ่ง ทว่ายังอ่อนด้อยเรื่องการปิดบังอำพรางกำลังภายในอยู่บ้าง”

เสียงหอบเหมือนหายใจไม่ทันในอกของชายชราเงียบลงโดยสิ้นเชิง อากาศในห้องคล้ายแข็งค้างไปทันใด

ผิงอวี้วางป้ายคำสั่งในมือลงบนโต๊ะ ก่อนหัวเราะหยันเอ่ยว่า “ได้ยินว่าอดีตเจ้าสำนักมอบป้ายคำสั่งนี้แก่มู่อ๋องเพื่อเป็นการตอบแทนที่ช่วยชีวิต เคยบอกเหล่าศิษย์ในสำนักไว้หลายครั้งว่าต่อไปหากได้เห็นป้ายคำสั่งนี้ก็เท่ากับได้เห็นเจ้าสำนัก ผ่านมาหลายปี สกุลมู่ไม่เคยยกเอาป้ายนี้มาอ้างเพื่อร้องขอเรื่องใดอย่างไร้เหตุผลมาก่อน บัดนี้มู่อ๋องซื่อจื่อเพียงแค่อยากจะมาสืบข่าวบางเรื่องที่แทบไม่สลักสำคัญอันใด แต่คุณชายใหญ่แห่งสำนักฉินกลับแสร้งลวงหลอกเช่นนี้ ทำให้เห็นถึงหัวจิตหัวใจคนของสำนักฉิน ว่าน้ำหนักของคำว่า ‘คุณธรรม’ ที่จริงแล้วมีจำกัดเพียงใด”

พูดจบผิงอวี้ก็บอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ลาก่อน”

ดวงตาชายชราผู้นั้นเป็นประกายขึ้นทันที เขารีบบอก “ใต้เท้าผิงอย่าเพิ่งไป!” ยามที่ออกปาก เสียงนั้นก็กลายเป็นเสียงของชายหนุ่มผู้เปี่ยมด้วยพลังเข้มแข็งยิ่งแล้ว

ผิงอวี้เองก็ไม่ได้คิดจะไปอยู่แล้ว พอได้ยินอีกฝ่ายทัดทานเอาไว้ เขาย่อมจะถือโอกาสนี้หยุดยืน

“ข้าไม่ได้คิดจะปิดบัง แต่ว่าเรื่องนี้น่าแปลกนัก พวกเราจึงไม่กล้าออกหน้าอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ”

ชายชรา ไม่สิ ต้องเรียกคุณชายใหญ่แห่งสกุลฉิน พูดขึ้นอย่างช้าๆ ว่า “พวกเราเองก็เพิ่งทราบเมื่อไม่นานนี้เองว่าผู้คุมกฎซ้ายนิกายเจิ้นหมัวได้ออกนอกด่านไปแล้ว แต่เป็นเพราะเหตุใดกลับไม่อาจรู้ รู้เพียงว่ามีคนจากหลายกลุ่มเดินทางเข้ามาในแถบอวิ๋นหนานช่วงที่ผ่านมา มีสองสามกลุ่มเป็นกลุ่มที่หายหน้าไปจากยุทธภพเมื่อยี่สิบปีก่อน เช่นนิกายตงเหลียนกับสำนักหนานซิง นอกจากนี้เมื่อสองสามวันก่อน ข้าได้ยินว่าเหมือนจะมีคนของสำนักบูรพามาที่อวิ๋นหนานด้วย”

“สำนักบูรพา?” ผิงอวี้นิ่วหน้า

“ใช่แล้ว” เจ้าสำนักฉินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นอย่างหงุดหงิด “ใต้เท้าผิง ขอบอกโดยไม่ปิดบัง ข้อเท็จจริงที่ข้าได้รู้มีเพียงเท่านี้ ช่วงที่ผ่านมาข้าพยายามสืบข่าวว่าคนเหล่านี้มาที่อวิ๋นหนานเพื่ออะไร แต่สืบมานานแล้วก็ยังไม่ได้เบาะแสอันใดเลยแม้แต่น้อย”

สีหน้าผิงอวี้เปลี่ยนเป็นนิ่งขรึม หวนนึกถึงอะไรขึ้นได้ก็ไม่รั้งรออยู่อีก เขาหยิบป้ายคำสั่งไม้เก็บกลับไปไว้ในชายแขนเสื้อดังเดิม มองดูเจ้าสำนักฉินก่อนเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ขอรบกวนเจ้าสำนักฉินอีกแล้ว ขอลาก่อน”

ผิงอวี้ยกมือขึ้นประสานคำนับอย่างลวกๆ ก้าวขาทำท่าจะเดินออกไป

เจ้าสำนักฉินรั้งไว้ “ใต้เท้าผิง บอกข้าได้หรือไม่ ถึงแม้เมื่อครู่ท่านจะดูออกว่าข้าใช้วิชาแปลงโฉม แต่ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าชายชราผู้นี้เป็นข้าผู้แซ่ฉิน”

ผิงอวี้จำต้องหยุดเดิน หันมาเหลือบมองฝ่ามือของเจ้าสำนักฉิน แล้วกระตุกมุมปาก “ข้าเคยได้ยินมู่อ๋องซื่อจื่อบอกว่าตอนเด็กๆ เจ้าสำนักฉินเล่นไม่ทันระวังจนทำให้นิ้วขาดไปนิ้วหนึ่ง เวลาที่เจ้าแปลงโฉม แม้จะเสริมนิ้วที่ขาดไปแล้ว แต่เวลารินน้ำชา กลับไม่ใช้แรงนิ้วก้อยช่วยประคอง ก็เท่ากับว่าเป็นนิ้วที่เสริมแต่งขึ้นเท่านั้น คิดแล้วคงฝึกฝนมาหลายปีจนคุ้นชิน ต่อให้ตั้งใจปกปิดก็ยังอดที่จะเผยพิรุธไม่ได้”

เจ้าสำนักฉินนิ่งอึ้งไปอึดใจหนึ่ง มองดูผิงอวี้ที่รีบร้อนจากไป จู่ๆ เขาก็กระชากหน้ากากแปลงโฉมที่สวมไว้บนหน้าออกด้วยความโกรธ เผยให้เห็นรูปโฉมหล่อเหลาของชายหนุ่มผู้หนึ่ง

ฟู่หลันหยาอาบน้ำเสร็จแล้วก็นอนลงบนเตียง นึกถึงสิ่งที่เห็นเมื่อตอนเย็น ความคิดก็ล่องลอยไปยังหอหลิวเปยที่เมืองหลวง

ครั้งแรกที่ไปเยือน นางยังไม่ทันสังเกตเห็นอะไร แต่ภายหลังพอไปบ่อยครั้งเข้าก็ค่อยๆ สังเกตว่าการจัดวางผังของหอหลิวเปยนั้นยอดเยี่ยมมาก โดยมีลักษณะสอดคล้องกับเลขที่คำนวณได้ในระบบซานหยวน

จำได้ว่าตอนนั้นนางเคยพูดคุยเล่นกับพี่ชายว่าเจ้าของหอหลิวเปยจะต้องรู้ศาสตร์แห่งฉีเหมินตุ้นจย่าแน่นอน มิเช่นนั้นจะจัดวางผังร้านสุราสำหรับนั่งฟังดนตรีโดยยึดตามหลักเก้าวังไปเพื่ออะไร หรือทำไปเพราะอาจปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นเขาวงกตในสักวันหนึ่งภายหน้าอย่างนั้นหรือ

ภายหลังนางกับพี่ชายจึงจดจำการจัดวางผังของหอหลิวเปยได้อย่างแม่นยำ ยามว่างก็มักจะลองคาดเดาอยู่ที่บ้าน ดูว่าในหอหลิวเปยนั้น สามมหัศจรรย์อยู่ที่ใด แปดประตูอยู่ที่ใด และช่องทางหลบหนีอยู่ที่ใดบ้าง

ใครเลยจะรู้ ผลลัพธ์ที่ทั้งสองคำนวณออกมานั้นแตกต่างกัน หากไม่ใช่ตำแหน่งของช่องทางหลบหนีไม่ถูกต้อง ก็เป็นสามมหัศจรรย์มีทางเข้าออก

นางไม่ยอมแพ้ โทษว่าพี่ชายคำนวณผิด พี่ชายไม่รู้จะทำอย่างไรจึงยิ้มกล่าวว่า ‘ก็ได้ พวกเราไปหาท่านพ่อให้ช่วยตัดสินแล้วกัน’

หวนนึกถึงรอยยิ้มอันร่าเริงของพี่ชายในความทรงจำ ในใจนางก็ราวกับมีอะไรมาทิ่มแทง จึงพลิกตัวแล้วเปลี่ยนไปคิดถึงเรื่องอื่น

การจัดวางผังของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ย่อมจะเล็กว่าหอหลิวเปยที่เมืองจิงเฉิงมาก แต่ตอนที่เดินผ่านประตูเข้ามาในลานเรือน นางกลับบังเกิดความรู้สึกคุ้นเคยอย่างไม่อาจสลัดทิ้ง จากลานเรือนไปถึงพืชพรรณในสวนดอกไม้ ทุกๆ ที่ล้วนดูเหมือนถูกคิดคำนวณมาเป็นอย่างดีล่วงหน้าแล้ว ทั้งระยะห่างและเหลี่ยมมุมดูเป็นระเบียบเสมอกันอย่างประณีต

น่าเสียดายที่ไม่อาจทอดสายตามองสำรวจจนทั่ว มิเช่นนั้นหากได้ยืนอยู่เหนือชายคา แล้วมองลงมายังหมู่เรือนทุกแห่งของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ น่าจะมองออกว่าเกิดปัญหาตรงที่ใด

ขณะกำลังครุ่นคิด แม่นมหลินก็ออกมาจากห้องอาบน้ำ คลำทางมาถึงขอบเตียงแล้วนั่งลง เห็นฟู่หลันหยากำลังนิ่งเงียบไม่พูดอะไรก็คิดว่าหลับแล้ว จึงช่วยเหน็บผ้าห่มให้แล้วล้มตัวลงนอนใกล้ๆ

 

ดึกมากแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ในโรงเตี๊ยมพากันหลับใหล มีเสียงหลี่หมินกับเหล่าองครักษ์เสื้อแพรคนอื่นๆ พูดคุยกันเบาๆ แว่วมาจากด้านนอกเป็นครั้งคราว แม่นมหลินได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกคลายกังวลไปหลายส่วน

ถึงอย่างนั้นนางก็ยังจดจำคำพูดของผิงอวี้ก่อนจะออกไปได้ จึงไม่กล้าปล่อยให้ตนเองหลับสนิท

ทั้งสองคนพยายามฝืนไม่ให้หลับแม้จะง่วงงุน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงตะคอกเบาๆ จากด้านนอก “ใครน่ะ!”

ดูเหมือนจะเป็นเสียงของหลี่หมิน

สองนายบ่าวหัวใจเต้นรัว สะดุ้งตื่นทันที กลั้นหายใจรอฟังความเคลื่อนไหวด้านนอก

จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าวุ่นวายสับสน หลี่หมินร้องบอกอย่างตื่นตระหนก “ระวัง! อาวุธลับ!”

จากนั้นก็มีเสียงหวีดแหลมดังขึ้น ราวกับมีคนจำนวนมากวิ่งกรูกันมาตามโถงทางเดิน

“เจ้าโจรชั่วมาจากที่ใดกัน กล้าลอบโจมตีขุนนางสำคัญของราชสำนักเชียวหรือ!” เป็นเสียงตะคอกของหวังซื่อเจา

ฟู่หลันหยากับแม่นมหลินนอนต่อไม่ได้อีกจึงลุกขึ้นนั่ง ทั้งสองได้ยินเสียงดาบเสียงกระบี่ฟาดฟันรุนแรงดังมาจากข้างนอก รู้สึกราวกับว่าเสียงเหล่านั้นฟาดกระหน่ำลงที่หัวใจ น่าประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งนัก

ท่ามกลางเสียงอึกทึก คาดว่ามีคนได้รับบาดเจ็บ เพราะมีเสียงร้องครวญครางโอดโอยขึ้น จากนั้นก็มีเสียงเหมือนของหนักล้มลงกับพื้น

มีคนส่งเสียงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พวกเจ้าเป็นใครกันแน่ ถึงกล้าก่อเรื่องอย่างกับว่าบ้านเมืองไร้กฎหมายเช่นนี้!”

ฟู่หลันหยานายบ่าวไม่มีแก่ใจจะเงี่ยหูฟังเสียงจากข้างนอกเพื่อแยกแยะว่าใครเป็นใครอีกแล้ว สถานการณ์ข้างนอกวุ่นวายขึ้นทุกที เวลาราวกับหยุดเดินไปฉับพลัน ทุกชั่วขณะที่ผ่านไปช่างแสนทรมาน นางลุกขึ้นหยิบถ้วยชาบนโต๊ะมาถือไว้ คอยจ้องมองที่บานประตูอย่างระมัดระวัง ร่ำร้องในใจด้วยความหวาดหวั่นว่า…ขอให้เหตุการณ์ข้างนอกสงบลงเสียที

จู่ๆ ประตูก็ถูกคนข้างนอกถีบเปิดออก ชายในชุดดำร่างสูงใหญ่ปิดบังใบหน้าควงดาบส่องประกายวูบวาบบุกเข้ามา

ฟู่หลันหยารีบขว้างถ้วยชาในมือใส่ใบหน้าคนผู้นั้นอย่างแรงพลางตวาดอย่างเกรี้ยวกราด “พวกเจ้ามาก่อกวนข้าครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อสิ่งใดกัน!”

ตอนแรกแม่นมหลินก็ตัวสั่นสะท้านไม่หยุด พอได้ยินคำนี้ ไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวเอาแรงมาจากที่ใด นางพุ่งตรงเข้าไปหา เหวี่ยงเก้าอี้สองตัวที่อยู่ข้างโต๊ะใส่ชายผู้นั้นพลางตวาดก้อง “ข้าขอสู้ตายกับพวกเจ้า!”

ชายผู้นั้นพยายามอย่างมากที่จะบุกเข้ามา เดิมทีคิดว่าจะจับตัวฟู่หลันหยาได้ง่ายๆ คิดไม่ถึงว่าพวกนางจะสู้สุดชีวิตเช่นนี้ แม้จะเหวี่ยงดาบปัดถ้วยชาที่พุ่งใส่ใบหน้าออกไปได้ แต่กลับหลบอาวุธชิ้นใหญ่ของแม่นมหลินไม่พ้น ถูกเก้าอี้ฟาดอย่างแรง เจ็บปวดมึนงงจนเหมือนเห็นดาวระยิบระยับ

รอจนค่อยๆ หายเจ็บ เขาก็ร้องครางงึมงำพลางเงื้อดาบขึ้นจะฟันแม่นมหลิน

แม่นมหลินใช้กลยุทธ์เดิมอีกครั้งด้วยการขว้างเก้าอี้สองตัว แต่การโจมตีอันไร้กระบวนท่าเช่นนี้ สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้วก็ได้ผลแค่ในคราวแรกเท่านั้น

คนผู้นั้นเตรียมพร้อมไว้แล้ว จึงซัดเก้าอี้กระเด็นไปในหมัดเดียว ท่วงท่าว่องไวดุจสายลม เหวี่ยงดาบมาจะฟันถูกแม่นมหลินอยู่รอมร่อ

ชั่วขณะนั้นก็ได้ยินเสียงดังสวบ ร่างของคนผู้นั้นแข็งค้างไป ชั่วครู่หนึ่งเขาก้มลงมองดูปลายดาบที่โผล่ออกมาตรงหน้าท้องของตนเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ มีเสียงขลุกขลักประหลาดดังในลำคอ จากนั้นก็ล้มโครมลงพื้น

เติ้งอันอี๋ชักดาบออกจากด้านหลังของคนผู้นั้น ไม่สนใจที่ปลายดาบยังมีโลหิตหยาดหยดลงมา รีบสาวเท้าก้าวยาวๆ เข้าไปหาฟู่หลันหยา “คุณหนูฟู่ ด้านนอกมีมือสังหารบุกจู่โจมกะทันหัน องครักษ์เสื้อแพรเห็นทีจะต้านไม่อยู่แล้ว รีบหนีไปกับข้าเถอะ”

พูดจบก็ก้าวเข้ามาจะฉุดแขนนาง

เมื่อครู่ฟู่หลันหยาคิดว่าจะช่วยชีวิตแม่นมหลินไว้ไม่ได้เสียแล้ว ขณะกำลังสิ้นหวัง ไม่คิดเลยว่าคุณชายเติ้งจะปรากฏตัวออกมาอย่างฉับพลัน พอเห็นเขาเดินเข้ามาใกล้ นางก็เบี่ยงตัวหลบแล้วคว้ามือแม่นมหลินเดินออกไปข้างนอก

น่าเสียดายที่ข้อเท้ายังไม่หายเจ็บ เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกคุณชายเติ้งเอื้อมมือมารั้งตัวไว้

ใบหน้าอันคมคายของเติ้งอันอี๋เผยแววร้อนรน เห็นฟู่หลันหยาดูหวาดระแวง ตอนแรกก็ประหลาดใจ จากนั้นจึงยิ้มอย่างขมขื่น “คุณหนูฟู่ ข้างนอกโกลาหลไปหมด ข้าจะพาเจ้าหนีไปชั่วคราวก่อน ไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายเจ้า คุณหนูฟู่โปรดเชื่อใจข้าสักครั้งเถอะ”

เชื่อใจเจ้า? ฟู่หลันหยาหัวเราะหยันในใจ การเดินทางครั้งนี้พบเจอแต่พวกคนชั่ว ข้าเชื่อใจใครไม่ได้หรอก! แล้วจึงเดินอ้อมตัวเขาที่กำลังขวางทาง พยายามจะเดินออกไปให้ได้

เติ้งอันอี๋ไม่คาดคิดมาก่อน คราวนี้จึงมิได้ขัดขวางอีก ได้แต่ยืนมองเงาร่างด้านหลังของฟู่หลันหยาอยู่เงียบๆ แววตาอ่านยากว่าคิดอะไร ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยสาวเท้าเดินตามไป

สองนายบ่าวออกมาแล้วจึงพบว่าโถงทางเดินที่เดิมทีโล่งกว้างบัดนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวายสับสน หลี่หมินกับองครักษ์เสื้อแพรทุกคนมีมือสังหารประกบติดคนละสองคนทั้งนั้น กำลังต่อสู้ติดพันอย่างยากลำบาก ทั้งยังมีมือสังหารบุกขึ้นบันไดมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย

มือสังหารที่บุกมาใหม่หันมาเห็นฟู่หลันหยาก็พุ่งทะยานเข้ามาหาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ตอนนี้แม่นมหลินตั้งสติได้แล้ว ไม่มีเวลาให้คิดอะไรอีก นางก็กระชากมือฟู่หลันหยาให้ออกวิ่งไปอีกทางทันที น่าเสียดายฟู่หลันหยาเจ็บข้อเท้ามาก มือสังหารก็บุกมาหลายคน แม้จะมีเติ้งอันอี๋กับคนอื่นช่วยต้านไว้ แต่ก็ยังมีมือสังหารบุกตามฟู่หลันหยามาทันอยู่ดี

ฟู่หลันหยาวิ่งหนีเอาชีวิตรอด วิ่งกะเผลกไปตามทางเดินคดเคี้ยว มีเสียงต่อสู้ดังสับสนวุ่นวายแว่วตามหลังมาไม่ขาดสาย นางคลำหาทิศทางท่ามกลางความสับสนอลหม่าน รอจนได้สติแล้วจึงพบว่าแม่นมหลินพลัดหลงกับตนเองไปตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้

“แม่นม” ฟู่หลันหยาร้อนใจดุจมีไฟแผดเผา นางหันกลับไปมองอย่างตื่นตระหนก ขณะจะหวนกลับไปค้นหาแม่นมหลินตามทางที่หนีมา จู่ๆ ก็มีกระบี่ยาวแทงเข้ามาต่อหน้า ห่างจากใบหน้านางไม่ถึงครึ่งฉื่อ นางตกใจจนหวีดร้องแล้วหันหลังกลับวิ่งหนีสุดชีวิต

ไม่ช้าด้านหลังก็มีเสียงของหนักๆ หล่นลงพื้นดังตุบ เติ้งอันอี๋ตะโกนเรียกอย่างร้อนรน “คุณหนูฟู่!”

ฟู่หลันหยาใจเต้นไม่เป็นส่ำ พยายามคลำทางที่วกวนราวกับเขาวงกตอย่างสะเปะสะปะ น่าแปลกนัก เมื่อตอนเย็นยังเป็นทางเดินราบเรียบดีๆ อยู่แท้ๆ เวลานี้ไม่ทราบว่าเกิดเหตุประหลาดใดขึ้นมา เดินไปเดินมากลับวนมาอยู่ที่เดิม ทำอย่างไรก็หาทางลงชั้นล่างไม่พบ

เสียงมือสังหารประดังเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง นางก็ยังหาบันไดทางลงไม่พบ แม้ข้างหลังจะมีหน้าต่าง แต่หอหลังนี้สูงนัก หากกระโดดลงไปจากชั้นสามต้องถึงตายอย่างไม่ต้องสงสัย

ฟู่หลันหยารู้สึกว่าตนเองค่อยๆ ถูกบีบเข้าไปหาทางตัน ขณะที่กำลังสิ้นหวังยิ่งยวด จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนจะผล็อยหลับนางนึกถึงหอหลิวเปย ดั่งมีแสงสว่างวาบขึ้นในความคิด นางเงยหน้าขึ้นมองทันใด พบว่าด้านข้างจุดที่ตนเองยืนอยู่มีทางเดินแคบๆ ซ้ายขวาเป็นหน้าต่างข้างละบาน ล้วนแต่ปิดไว้สนิท มองลอดกรอบหน้าต่างด้านขวาไปสามารถเห็นดวงจันทร์สว่างจ้าได้อย่างชัดเจน

ฟู่หลันหยาตะลึงงัน ผังของทั้งหอหลังนี้ราวกับเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย เจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้จะใช่คนเดียวกับเจ้าของหอหลิวเปยหรือไม่ ดูเป็นผู้ที่คลั่งไคล้ศาสตร์แห่งฉีเหมินตุ้นจย่าเหมือนกัน เมื่อครู่นางตื่นตระหนกจึงเดินเข้ามาในมุม พอก้าวแรกเดินผิด ก้าวต่อๆ มาจึงผิดทิศผิดทางไปหมด

‘ด้านตะวันออกนี่แหละจึงจะเป็นทางหลบหนี’ เสียงหัวเราะของพี่ชายยังดังก้องอยู่ข้างหู ‘หยินหยางหมุนเวียนไร้สิ้นสุด สองลักษณ์กลับคืนสู่เก้าวัง เด็กน้อย ตอนที่เจ้าคำนวณพลาดไปหนึ่งวังนะ’

มีเสียงฝีเท้าตามมาด้านหลัง คนผู้หนึ่งวิ่งทะยานมาหานาง ด้านหน้าไม่มีทางให้หนีอีกแล้ว นางจึงกัดฟันผลักบานหน้าต่างทางด้านขวาอย่างไม่ลังเลแล้วกระโดดลงไป

ไร้ซึ่งทางถอยแล้ว พี่ชาย ข้าได้แต่เชื่อพี่เท่านั้น

ฟู่หลันหยาได้ยินน้ำเสียงตกใจและโกรธเกรี้ยวของคนผู้นั้นดังแว่วมาจากด้านหลัง “ฟู่หลันหยา!”

ไม่ช้าคนผู้นั้นก็พุ่งทะยานมาถึง ก่อนที่นางจะกระโดดออกมา เขากำลังจะคว้าแขนของนางได้อยู่แล้วเชียว แต่น่าเสียดายที่ช้าไปหนึ่งก้าว ด้วยความตื่นตระหนกกลับคว้าได้เพียงชายแขนเสื้อของนางขาดติดมือมาเท่านั้น

ฟู่หลันหยาได้ยินเสียงลมพัดอู้ดังก้องข้างหูก็หลับตาแน่น หัวใจเต้นรัวแทบจะกระโดดออกมานอกอก

เดิมทีคิดว่าคงร่วงตกลงมา ใครเลยจะรู้ ไม่ช้าก็ตกลงมาถึงที่แห่งหนึ่ง จุดที่ตกลงนั้นเป็นพื้นหนานุ่ม เห็นได้ชัดว่ามีคนเอาของมารองไว้เป็นเบาะตรงนี้ตั้งแต่แรกแล้ว

ฟู่หลันหยาโล่งอกได้เสียที ไม่ว่าเจ้าของหอหลังนี้จะสร้างหอประหลาดเช่นนี้ขึ้นมาเพื่อเหตุผลใด แต่สุดท้ายแล้วก็มิได้เปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ตามอำเภอใจ ทางหนีจึงยังอยู่ในจุดที่พี่ชายเคยคำนวณไว้ในอดีตตามที่นางคาดไว้แล้ว

ใครเลยจะรู้ นางไม่ทันได้โล่งอกโล่งใจดีก็มีคนกระโดดตามลงมา และตกมาอยู่ข้างกายนางพอดี

นางเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ยังไม่ทันได้พูดผิงอวี้ก็ดึงนางขึ้นจากพื้น ตวาดนางอย่างฉุนเฉียว “เจ้าบ้าไปแล้วรึ!”

ฟู่หลันหยามองดูผิงอวี้อย่างประหลาดใจ “ใต้เท้าผิง?”

สีหน้าผิงอวี้บึ้งตึงไม่น่าดูขณะจ้องมองฟู่หลันหยา พอเขาจะเอ่ยปากพูด ฉับพลันก็มีเสียงของหนักๆ เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ เหนือศีรษะ

ทั้งสองตะลึงงันทันใด เงยหน้าขึ้นไปก็พบว่าทั้งสองกำลังอยู่ในอุโมงค์ที่กว้างโล่ง แสงจันทร์สาดส่องลงมา ด้านบนของอุโมงค์ราวกับมีของที่ใช้ปิดปากอุโมงค์ค่อยๆ เคลื่อนมาประกบปิดทั้งสองข้าง

สีหน้าของทั้งสองคนแปรเปลี่ยนไปทันที เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนี้ติดตั้งกลไกเอาไว้ หากพวกเขายังไม่รีบออกไป ไม่ช้าจะต้องถูกขังไว้ในนี้เป็นแน่

ผิงอวี้ผุดลุกขึ้นยืนทันที หันมองไปรอบๆ ผนังอุโมงค์แห่งนี้แม้จะลื่นแต่ก็มีหินตะปุ่มตะป่ำดูไม่ราบเรียบไปเสียทั้งหมด พอจะใช้ยืมแรงฉุดตัวขึ้นไปได้

เขาไตร่ตรองจนมั่นใจแล้ว จึงรวบตัวฟู่หลันหยามาแนบอก รัดที่เอวนางไว้แน่น ปีนขึ้นไปด้านข้างผนัง แล้วโคจรลมปราณกระโดดออกจากอุโมงค์

เวลานี้ฟู่หลันหยาไม่คำนึงถึงเรื่องน่าอับอายอีกแล้ว นางจึงทำตัวนิ่งๆ อยู่ในอ้อมกอดของเขา ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย ด้วยเกรงว่าจะกลายเป็นการเพิ่มภาระให้เขาจนทำให้กระโดดออกไปจากที่นี่ไม่ได้

ใครเลยจะรู้ ขณะจะกระโดดพ้นปากถ้ำอยู่แล้ว ผิงอวี้กลับเป็นอะไรไม่ทราบได้ จู่ๆ แขนก็อ่อนเปลี้ย ทั้งสองจึงร่วงตกลงมาในอุโมงค์อีกครั้ง

ฟู่หลันหยาตกลงมาจนมึนงงไปหมด ได้แต่ลูบคลำส่วนที่เจ็บป้อยๆ พลางมองดูผิงอวี้ คนผู้นี้เป็นอะไรไปอีกเล่า ข้าเคยเห็นฝีมือเขามาก่อนหน้านี้เรียกได้ว่าไม่ธรรมดาเลย เหตุใดพื้นอุโมงค์ที่ดูต่ำเตี้ยแค่นี้กลับกระโดดออกไปไม่พ้น

ผิงอวี้ใจเต้นรัวจนหูอื้ออึง เหนื่อยหอบอยู่พักใหญ่ รอจนพละกำลังฟื้นฟูคืนมาจึงค่อยหันไปพูดกับฟู่หลันหยาอย่างไม่พอใจ “เจ้าหันไปสิ!”

“ไยต้องหันไปด้วย!” ฟู่หลันหยางงงันมิรู้ต้นสายปลายเหตุ น้ำเสียงจึงแสดงว่าเหลืออดเช่นกัน

ผิงอวี้ไม่พูดพล่ามอีกแล้ว จากนั้นจึงดึงตัวนางเข้าหาแล้วโอบรัดเอวของนางจากด้านหลัง ร่างเขาแนบแผ่นหลังของนาง แล้วโคจรลมปราณอีกครั้งเพื่อกระโดดขึ้นไป

คราวนี้หน้าอกเขาไม่ได้แนบกับส่วนอ่อนนุ่มสองข้างของนางแล้ว อาการสะบัดร้อนสะบัดหนาวจึงบรรเทาลงมาก เพียงอึดใจเดียวก็กระโดดออกมาได้

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน เมษายน 64)

 

หน้าที่แล้ว1 of 13

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: