บทที่หนึ่ง
นานแสนนานมาแล้ว ตอนที่ท่านเจ้าบ้านสกุลซูยังเป็นเพียงทหารเฝ้าประตูเมือง ก่อนนอนในแต่ละคืนจะต้องพูดคุยตามประสาพ่อลูกกับลูกสาวสุดที่รัก ซูเสี่ยวเตา…
‘โอ๋ๆ ลูกพ่อ ไม่ต้องกลัวๆ สกุลซูเรามีคำสอนประจำตระกูลอยู่ว่าปัญหาใหญ่แก้ได้ด้วยหมัดใหญ่! เสยหมัดตะบันหน้าเจ้าเด็กบ้าพวกนั้นน่ะถูกต้องแล้ว พ่อจะหนุน…หลังเจ้าเอง!’
…นายท่าน คราวหน้ารบกวนเว้นวรรคให้ถูกหน่อยได้หรือไม่
ป้าอาฮวาแม่นมที่อยู่ข้างนอกได้ยินแล้วสะดุ้งเฮือก
ต่อมาเมื่อท่านเจ้าบ้านสกุลซูอาศัย ‘หมัดใหญ่’ ทวนอสรพิษจั้งแปด ตลอดจนวิชาป้องกันตัวอย่างวิชาสิบสามองครักษ์ วิชาระฆังทอง วิชาเสื้อเกราะเหล็ก ไต่เต้าขึ้นมาดำรงตำแหน่งหนึ่งในนายกองของสิบแปดกองกำลังพิทักษ์ชายแดนตะวันตก บทสนทนาก่อนนอนตามประสาพ่อลูกกับลูกสาวสุดที่รักก็เปลี่ยนเป็น…
‘โอ๋ๆ ลูกพ่อ อย่าโมโหๆ เป็นหญิงแล้วอย่างไรเล่า ทีหลังเจ้าก็ถามไอ้เด็กนั่นสิว่า ‘แม่เจ้าไม่ใช่หญิงหรือไรกัน’ พอถามเสร็จก็ถีบหว่างขามันเลย พ่อจะหนุนหลังเจ้าเอง!’
…นายท่าน แน่ใจหรือว่าสั่งสอนเช่นนี้เหมาะแล้ว
ป้าอาฮวาแม่นมที่อยู่ข้างนอกได้ยินแล้วพลันหน้ามืดตาลาย
แต่ในบ้านมีคนน้อย ขาดแคลนบ่าวไม่มีสาวใช้ ป้าอาฮวายุ่งตัวเป็นเกลียว ไหนจะต้องหุงข้าวซักผ้า ไหนจะต้องเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ อยากหาโอกาสจับคุณหนูมาอบรม ‘หลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรม*ของสตรี’ เพื่อหักล้างแนวคิดผิดเพี้ยนที่นายท่านสั่งสอนเอาไว้ทีไร คุณหนูเป็นต้องตามนายท่านไป ‘ชม’ ขั้นตอนการฝึกทหารที่ค่าย หรือไม่ก็นำพวกเด็กๆ แถวบ้านออกไปก่อเรื่อง…ไม่สิ…ออกไปเล่นสนุก ป้าอาฮวาเลยทำได้แค่มองตามแผ่นหลังคุณหนูแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่เท่านั้น
ไม่ได้การ จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ ปีนี้คุณหนูก็อายุแปดขวบแล้ว หากยังไม่สั่งสอนอีกจะสายเกินไป
ในที่สุดคืนนี้ป้าอาฮวาก็รวบรวมความกล้า ตั้งใจว่าจะเข้าไปในห้องแล้วปฏิบัติหน้าที่แม่นมของตนให้เต็มกำลัง
แต่เพิ่งจะก้าวเท้าแล้วเห็นนายท่านนอนคว่ำอยู่บนเตียงราวกับหมีตัวใหญ่ ลูบหัวคุณหนูอย่างรักใคร่ทะนุถนอมเพื่อกล่อมลูกสาวให้หลับ หัวใจนางก็อ่อนยวบลงทันใด
ช่างเถิดๆ ไม่ต้องสนใจหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมอะไรนั่นหรอก ขอเพียงนายท่านกับคุณหนูมีความสุขก็พอแล้ว…
“ท่านพ่อร้องเพลงนั้นกล่อมอาเตานอนอีกได้หรือไม่” ดวงตาเป็นประกายสุกใสบนใบหน้าจิ้มลิ้มสีชมพูระเรื่อของซูเสี่ยวเตามองบิดาอย่างชื่นชมบูชาพลางแย้มยิ้ม “อาเตาอยากฟัง”
“หา? เอ่อ…ดะ…ได้สิ” ซูเถี่ยโถวทำท่าเก้อเขินเล็กน้อย ก่อนจะกระแอมให้คอโล่ง โดยไม่ลืมหันไป ‘เหลือบ’ ตามองป้าอาฮวาทีหนึ่ง “อ่ะแฮ่ม!”
ป้าอาฮวาสะดุ้งโหยง รีบร้อนปิดประตูถอยออกมาโดยไม่รอช้า
ดวงตาซูเถี่ยโถวฉายแววพอใจ มือใหญ่ดุจพัดใบลานตบร่างลูกน้อยเบาๆ จากนั้นก็ส่งเสียงร้องเพลงอย่างอารมณ์ดี
“น้องสาวอยู่บนเขาฝั่งโน้น ตัวพี่อยู่บนเขาฝั่งนี้ หน้าน้องงามดังดวงจันทร์ ส่วนพี่นั้นสูงสง่าดุจต้นสน เอิงเอยๆ เรียกเจ้าว่าน้องสาวเจ้าอย่าได้ถือโทษโกรธเคือง พี่จะข้ามเขาไปหาโอบเอวเจ้ามาเคียงคู่ครองเรือน รักมั่นสมัครสมานเนิ่นนานจนผมหงอกขาว เอิงเอยๆ…”
ท่ามกลางเสียงร้องเพลงภูเขาเก่าแก่ของชายแดนตะวันตกที่คนแถบนี้คุ้นหูและร้องได้ทุกคน ซูเสี่ยวเตาตัวน้อยค่อยๆ เข้าสู่ดินแดนแห่งความฝันอย่างเป็นสุข
กิจวัตรเช่นนี้ดำเนินไปวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า จวบจนเด็กหญิงตัวน้อยมีอายุครบสิบหกปีที่สามารถออกเรือนได้ ไม่เหมาะให้ซูเถี่ยโถวขึ้นไปนอนร่วมเตียงร้องเพลงกล่อมลูกที่เป็นสาวเต็มตัวอีกต่อไป เสียงร้องมรณะที่ดังขึ้นในบ้านสกุลซูทุกคืนถึงได้สิ้นสุดลง
“อมิตาภพุทธ ครานี้จะได้นอนสบายเสียที”
ป้าอาฮวารู้สึกขอบคุณสวรรค์เหลือเกิน
หลายปีมานี้ท่านเจ้าบ้านสกุลซู ซูเถี่ยโถว ได้เลื่อนตำแหน่งพรวดพราด จากทหารรักษาประตูเมืองตัวเล็กๆ ในอดีตมาเป็นหนึ่งในนายกองผู้ห้าวหาญแห่งชายแดนตะวันตก ได้รับตำแหน่ง ‘นายทัพแนวหน้าปีกขวาประจำกองทัพสกุลหร่วนแห่งชายแดนตะวันตก’ อย่างเป็นทางการ
นายทัพแนวหน้าผู้นี้เก่งกล้าสามารถยิ่งนัก มีทหารห้าพันนายอยู่ใต้บัญชาการ ห้าร้อยนายในนั้นเป็นทหารประจำตัวที่ติดตามซูเถี่ยโถวอย่างจงรักภักดีมานานปี นับเป็นกองกำลังที่ซุ่มโจมตีได้คล่องแคล่วยืดหยุ่นที่สุดในค่าย
ยามนี้ทหารประจำตัวห้าร้อยนายของซูเถี่ยโถวกำลังยืนล้อมเป็นวงกลมขนาดใหญ่ ส่งเสียงกู่ร้องอย่างตื่นเต้น…
“น้องสาวอัดมันเลย!”
“โจมตีเป้ามัน! โจมตีเป้ามัน!”
“วานรขโมยท้อ! ใช้กระบวนท่าวานรขโมยท้อ!”
นกนิสัยตามคนเลี้ยง ทหารนิสัยตามผู้บังคับบัญชาอย่างที่โบราณว่าไว้จริงๆ
“หนวกหู!” จากที่กำลังควงดาบเล่มใหญ่รุกไล่คู่ต่อสู้จนถอยกรูดอย่างคล่องแคล่วดุดัน ซูเสี่ยวเตาทนไม่ไหวอีกต่อไป นางปักปลายดาบลงกับพื้นดังฉึก ยกมือเท้าเอวตวาดลั่นอย่างหงุดหงิด “นี่เป็นการประลองยุทธ์อย่างเคร่งเครียดจริงจังนะ ทำราวกับข้ากำลังอัดคนตามตรอกเล็กๆ ไปได้ ถ้าอย่างไรก็เอากระสอบมาคลุมหัวอีกฝ่ายแล้วค่อยตีไปเลยสิ พวกเจ้าเห็นซูเสี่ยวเตาผู้นี้เป็นคนไร้ความละอายแก่ใจหรือไร!”
รอบตัวพลันเงียบกริบไปทันที ทุกคนไม่กล้าหายใจเสียงดังด้วยซ้ำ ต่างปิดปากเงียบเป็นจักจั่นฤดูหนาวแต่โดยดี
ซูเสี่ยวเตาในวัยสิบหกปีมีใบหน้าขาวเนียนราวกับหยก รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น เรือนผมยาวสีดำสนิทขมวดมุ่นเป็นมวยซาลาเปาซ้ายขวาสองข้างอย่างน่าเอ็นดู ใบหูขาวผ่องห้อยต่างหูห่วงหยก ชุดสีเขียวอ่อนที่สวมอยู่ดูสดใสน่ารัก น่าเสียดายที่กิริยายกมือซ้ายเท้าเอว มือขวาปักดาบลงกับพื้นดูดุดันน่ากลัว ทำลายภาพรวมอันสดใสราวกับดอกบัวตูมนี้จนแทบหมดสิ้น
“แค่กๆ น้องสาว พวกพี่ๆ ก็แค่กลัวเจ้าเสียเปรียบเท่านั้นเอง” ทหารร่างกำยำนายหนึ่งลูบหัวตนเองเก้อๆ พลางยิ้มประจบ
“นั่นสิๆ พวกพี่ๆ ไม่มีเจตนาอื่น น้องสาวอย่าโกรธไปเลย!”
“ไอ้เจ้าจินซย่าหลิวคนนี้มันต่ำช้า รู้จักกระบวนท่าสกปรกหมดแหละ พวกพี่ๆ กลัวว่าเจ้าจะมัวแต่ห่วงประลอง แล้วเปิดช่องว่างให้มันใช้กระบวนท่าต่ำช้า ถ้าน้องสาวเพลี่ยงพล้ำจนเกิดบาดเจ็บไปจะทำอย่างไรเล่า”
“นั่นสิๆ จินซย่าหลิว หากน้องสาวผมหลุดแม้แต่เส้นเดียวล่ะก็ ระวังหนังเจ้าไว้ให้ดี!”
ชายร่างบึกบึนที่เป็นคู่ประลองของซูเสี่ยวเตาแทบร้องไห้ “นี่ๆ ไม่ต้องเรียกชื่อข้าบ่อยนักก็ได้ ข้าเองก็ไม่ได้อยากชื่อนี้เหมือนกันนั่นแหละ ข้าชื่อซย่าหลิวก็จริง แต่นิสัยไม่ต่ำช้า* เสียหน่อย!”
แค่ต้องมาประลองยุทธ์กับน้องสาวผู้เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของทุกคนก็เครียดจะตายอยู่แล้ว เจ้าบ้าพวกนี้ยังมาคอยซ้ำเดิมเขา มีมโนธรรมกันบ้างหรือไม่นะ
“ยังจะมาบอกว่าไม่ต่ำช้าอีก คราวก่อน ‘ภาพวังวสันต์* สิบสองม้วน’ ของอาจารย์ฮวาชุนซินที่ข้าอุตส่าห์ซื้อมาแพงๆ เจ้ายังเอาไปแล้วไม่คืนเลยไม่ใช่หรือ”
“อะไรคือคราวก่อน ข้าเพิ่งจะยืมจากเจ้าไปเมื่อวานซืน…”
“นั่นอย่างไร! ที่แท้เจ้าก็ยังไม่ได้คืน ข้าลงชื่อยืมเป็นคนที่สอง โจวจื่อรับปากไว้แล้วด้วย เร็ว รีบคืนมาเลย!”
“อะไรคือเจ้าเป็นคนที่สอง ข้าบอกกล่าวกับโจวจื่อไว้ตั้งแต่เมื่อแปดร้อยปีก่อนแล้ว คนที่สองคือข้าต่างหาก!”
“โจวจื่อ เจ้านี่มันเหลือเกินเลยจริงๆ หนังสือภาพเล่มเดียวรับปากจะให้ยืมไว้ทั้งหมดกี่คนกันแน่ เจ้าบอกข้าชัดๆ ว่าข้าเป็นคนที่สอง!”
ทหารที่ชื่อโจวจื่อหงอยไปถนัดตา เปลี่ยนสถานะจากชายหนุ่มกลายเป็นเป้าถูกรุมไปในทันที
เสียงเอะอะอึงคะนึงของพวกเขาทำเอาซูเสี่ยวเตาปวดหัว นางกลอกตาตลบใหญ่ ก่อนจะงึมงำกับตนเอง “อะไรกันนี่ เป็นบุรุษแท้ๆ แต่กลับพูดมากยิ่งกว่าสตรี ตอนนี้ยังจะประลองอีกหรือไม่”
ดูท่าคดีเลือดหนังสือภาพเริงโลกีย์จะไม่ยุติลงง่ายๆ นางจึงแบกดาบเล่มใหญ่เดินอาดๆ ออกจาก ‘ที่เกิดเหตุ’ แต่เพิ่งจะเดินออกมาจากค่ายก็เห็นภาพแปลกประหลาดที่ชวนให้ฉงนสงสัยอย่างยิ่งเข้าเสียก่อน…
“หือ?” นางกะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็ขยี้ตา เพราะคิดว่าตนเองตาฝาด
ลมพัดแรง เมฆลอยลิ่ว ก้อนหญ้าที่ม้วนกลมๆ กลิ้งไปตามพื้นดิน
บุรุษร่างสูงสง่าผู้หนึ่งยืนปักหลักอยู่ด้านนอกค่าย ผมยาวดกดำมัดรวบไว้ด้วยรัดเกล้าหยก ดวงหน้ายิ้มละไมดูงดงามทรงเสน่ห์สะกดใจ เขาสวมชุดยาวสีน้ำเงิน คาดเอวด้วยเข็มขัดหยกขาว รองเท้าหนังกวางที่ใช้ดิ้นเงินดิ้นทองปักเป็นลวดลายงดงามเหยียบอยู่บนพื้นทรายสีเหลืองอย่างมั่นคงและงามสง่า
ที่น่าทึ่งยิ่งไปกว่านั้นคือเสื้อคลุมสีดำที่ห่มอยู่บนไหล่กว้าง ปักลายกล้วยไม้ป่าเล็กๆ ไว้ตรงขอบอย่างละเอียดประณีต ประดับคอปกด้วยขนจิ้งจอกเงินหายากที่ราคาแพงลิ่ว
ชายหนุ่มรูปงามยิ้มให้นางกว้างขึ้น เรียวปากสวยขยับน้อยๆ เพื่อเอ่ยอะไรบางอย่าง…
“คุณชายท่านนี้ ท่านมาผิดที่แล้วล่ะ!” ซูเสี่ยวเตาผู้เหมือนมีเส้นประสาทอยู่ในหัวแค่เส้นเดียวโพล่งออกไปโดยไม่ต้องคิด “หอหมื่นบุปผาซึ่งเป็นหอนางโลมที่ใหญ่และโด่งดังที่สุดของที่นี่อยู่บนถนนต้าตง จากประตูเมืองที่อยู่ด้านหลังท่านสามลี้เจอปากตรอกแรกให้เลี้ยวขวา ร้านที่แขวนโคมแดงเป็นพืด ดูเอิกเกริกสวยงามที่สุดนั่นแหละ อธิบายอย่างนี้จำได้หรือไม่ หรือจะให้ข้านำทางไป”
รอยยิ้มสะกดสายตาของชายหนุ่มรูปงามเจื่อนลงเล็กน้อย โชคดีที่เขาฝึกฝนมาจนแก่กล้า สีหน้าจึงกลับเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว เขาถอนหายใจเบาๆ พลางว่า “แม่นางเข้าใจผู้น้อยผิดแล้ว”
“จริงหรือ” นางกวาดตามองเครื่องแต่งกายบนร่างเขาอย่างฉงนสงสัย
เท่าที่นางประสบพบเจอมา บุรุษในชายแดนตะวันตกมักจะแต่งตัวสบายๆ ไม่พิถีพิถัน เมื่อใดที่แต่งตัวเต็มยศหรือพิถีพิถันเป็นพิเศษก็แสดงว่าถ้าไม่ไปร่วมดื่มสุรามงคลงานแต่งงานก็ต้องไปเที่ยวหอนางโลม คนที่อยู่ตรงหน้านางแต่งตัวสำรวยฉูดฉาด หากไม่เตรียมตัวไปเที่ยวสาวงามในหอคณิกาแล้วจะแต่งตัวเช่นนี้ด้วยเหตุใดกันเล่า
ชายหนุ่มรูปงามถูกนางกวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าจนขนลุก อดจะกระแอมหนักๆ ไม่ได้ “แค่กๆ แม่นางโปรดสำรวมด้วย ผู้น้อยไม่ใช่คนเช่นนั้นจริงๆ”
“อ้อ” นางยักไหล่ “เอาเถิด”
อะไรคือเอาเถิด อีกทั้งยังใช้น้ำเสียงแบบขอไปทีเช่นนี้ด้วย
ปกติชายหนุ่มรูปงามมีความเป็นตนเองสูง ไม่สนใจไยดีคำพูดและสายตาคนอื่น แต่เด็กสาวอ้อนแอ้นบอบบางที่ประเมินจากสายตาว่าน่าจะสูงไม่ถึงปลายคางเขาคนนี้ เหตุใดสายตาตรงไปตรงมาและคมกริบของนางถึงได้…ถึงได้น่าโมโหเช่นนี้?
“ไม่ทราบว่าแม่นางเป็นใคร อยู่ในฐานะใด เหตุใดถึงมาอยู่ที่สถานที่สำคัญทางการทหารได้” รอยยิ้มของเขาเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย ขณะเลิกคิ้วดกหนาขึ้นสูงพลางเอ่ยถาม
“เกี่ยวอะไรกับท่านด้วยเล่า” นางทำหน้างงงัน
เขายิ้มอีกครั้ง ดวงตาเรียวเฉียงดุจเนตรหงส์เป็นประกายแวบหนึ่ง “ผู้น้อยแค่สงสัยเฉยๆ เลยถามดูเท่านั้น หากแม่นางไม่ประสงค์จะโต้ตอบ ผู้น้อยย่อมไม่บีบบังคับอยู่แล้ว”
“นี่ เป็นบุรุษอกสามศอกเอาแต่พูดเยิ่นเย้อยืดเยื้ออย่างกับเล่นคำพันลิ้นไปไยกัน” นางขมวดคิ้วฟังจนสมองแทบจะผูกปมพันกัน “ช่างเถิดๆ เอาเป็นว่าตามสบายแล้วกัน ข้าไปล่ะ”
ไม่ว่าเขาจะหลงทางแล้วเดินมาถึงค่ายโดยบังเอิญหรือมาที่ค่ายเพื่อทำธุระโดยเฉพาะ พี่ทหารท่าทางดุดันน่าเกรงขามหน้าประตูค่ายก็จะขวางเขาไว้แล้วสอบถามก่อนอยู่ดี
เจอเรื่องยุ่งเหยิงแต่เช้า เลยไม่ได้ยืดแข้งยืดขาตีกับคนให้เต็มที่เลย น่าหงุดหงิดใจเป็นบ้า ท่านพ่อรับคำสั่งเบื้องบนไปปฏิบัติราชการลับ หากนางกลับบ้านตอนนี้ก็มีแต่ต้องไปนั่งแกร่วกับแม่นม ไม่เช่นนั้นก็ถูกแม่นมจับตัวไปเรียนเย็บปักถักร้อย…
เด็กสาวสะท้านเฮือกใหญ่แล้วทำคอหดเมื่อคิดถึงสิ่งที่รออยู่ที่บ้าน
ฮึ เตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกให้นานอีกนิดดีกว่า ไว้รอท่านพ่อเสร็จงานตอนเย็นแล้วค่อยกลับบ้านด้วยกัน
ซูเสี่ยวเตาแบกดาบเล่มใหญ่เดินไปทางประตูเมืองชายแดนตะวันตก นึกไม่ถึงว่าเสียงเรียกกลั้วหัวเราะจะดังขึ้นด้านหลัง
“แม่นาง”
“อะไร” นางหันกลับไปมอง
“ไม่ทราบว่าหอสุราที่ดีที่สุดในเมืองชายแดนตะวันตกไปอย่างไรหรือ” ชายหนุ่มรูปงามคลี่ยิ้มทรงเสน่ห์
แต่กลับดูมีจริตในสายตาของซูเสี่ยวเตา
คิ้วโก่งสวยขมวดแน่นขึ้น ขณะถามอย่างไม่เกรงใจ “นี่ท่านเกี้ยวข้าอยู่หรือ”
รอยยิ้มสะกดใจชะงักค้าง เขาถอนหายใจทีหนึ่ง “แม่นาง ผู้น้อยไม่ใช่คนเสเพลเช่นนั้น”
“ดูไม่ออกเลยแฮะ…” นางลูบคาง
“ถูกต้องแล้ว” กำลังจะยิ้มอย่างพึงพอใจก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาเสียก่อน “เอ่อ…แม่นางพูดเช่นนี้…”
“เอาล่ะๆ ไม่ต้องมากความ ข้าจะบอกให้เดี๋ยวนี้” สิ่งที่นางกลัวที่สุดในชีวิตคือคนพูดน้ำไหลไฟดับด้วยภาษาปัญญาชน “หอสุราที่ดีที่สุดในเมืองชายแดนตะวันตกมีชื่อว่าหอบานสะพรั่ง เดินเข้าประตูเมืองแล้วเลี้ยวซ้ายตรอกแรกเข้าถนนใหญ่ฝั่งตะวันออก ร้านที่แขวนโคมไฟแดง ดูเอิกเกริกสวยงามที่สุดนั่นแหละ ร้านนี้เจ้าของเดียวกับหอหมื่นบุปผาเลยตกแต่งคล้ายๆ กัน มองปราดเดียวก็รู้แล้ว ข้าอธิบายอย่างนี้จำได้หรือไม่ แต่ถึงจำไม่ได้ข้าก็ไม่พาไปหรอก หอบานสะพรั่งนั่นน่ะ แค่ซาลาเปาธรรมดาๆ เข่งเดียวยังสามตำลึงเข้าไปแล้ว มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละถึงจะยอมเข้าไปให้โดนโกง!”
ชายหนุ่มรูปงามผู้ถูกตราหน้าเป็น ‘คนโง่’ ไปทันทีหางตากระตุกเล็กน้อย คราวนี้แม้แต่รอยยิ้มที่แสนภาคภูมิใจยังฝืนยิ้มไม่ออก
ลูกตาของแม่นางน้อยผู้นี้ถูกลาคาบไปแล้วใช่หรือไม่ ตอนอยู่ในเมืองหลวง เขาเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์แห่งจวนแม่ทัพ แค่อมยิ้มพลางปรายตามองนิดเดียวก็ทำให้คนอื่นหลงจนเข่าอ่อนไปตามๆ กัน ทั้งยังเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งชายแดนตะวันตกที่ราชสำนักแต่งตั้ง เหตุใดพอมาอยู่ต่อหน้านางเขาถึงได้กลายเป็นคนที่ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่างเช่นนี้
หร่วนชิงเฟิงโมโหขึ้นมาจริงๆ แล้ว เขาขยับคอเสื้อคลุมขนจิ้งจอกที่อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าผูกแน่นเกินไป คิ้วดกหนาเลิกสูง “แม่นางไม่มีมโนธรรมเอาเสียเลย รู้ทั้งรู้ว่าร้านนั้นโกงลูกค้ายังจะให้ข้าไปอีกหรือ”
“เจ้าบอกเองว่าอยากไปหอสุราที่ดีที่สุดของชายแดนตะวันตก ข้าบังคับให้เจ้าไปหรืออย่างไร” ซูเสี่ยวเตาเองก็ฉุนขึ้นมาเหมือนกัน “หนุ่มหน้าขาวอย่างเจ้านี่พูดจาอย่างไรกันนะ จงใจหาเรื่องชวนทะเลาะใช่หรือไม่ ดี! มาเลยๆ ข้ากำลังกลุ้มอยู่พอดีว่าเช้านี้ยังไม่ได้วิวาทให้สาแก่ใจสักยก หากเข้ามาข้าก็จะสนองให้!”
เขายืนปากอ้าตาค้างไปทันที
แม่นางน้อยคนนี้หน้าตาออกจะสวยงามน่ารัก เหตุใดถึงได้พูดจากระโชกโฮกฮาก กิริยาก้าวราวดุดันเช่นนี้
จำได้ว่าหลายปีก่อนตอนที่ตามท่านพ่อมาตรวจตราค่ายที่ตั้งกองทัพ มองไปทางใดก็เห็นดอกไม้ขาวบานสะพรั่ง ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส บุรุษแข็งแกร่งดังขุนเขา สตรีนุ่มนวลดุจสายน้ำ ไม่เห็นจะดุร้ายเช่นนี้เลยนี่นา
หร่วนชิงเฟิงรำพึงกับตนเอง แล้วอดเจ็บปวดกับสัจธรรม ‘สายน้ำไหลเลยแล้วไม่คืนหวน ใดใดล้วนเปลี่ยนแปรไม่จีรัง’ ไม่ได้
“นี่! ตกลงจะตีกันหรือไม่”
เขาทำหูทวนลม จมจ่อมอยู่กับความสะท้อนใจ
“นี่! ยืนเหม่ออะไรอยู่ได้” ซูเสี่ยวเตาตะโกนพลางกระทืบเท้าเหยงๆ แต่เขากลับไม่มีท่าทางใดๆ ตอบโต้ ความโมโหที่พองตัวขึ้นมาจึงสลายตัวไป
เฮ้อ…น่าเบื่อชะมัด ดูท่าจะเจอคนปัญญาอ่อนเข้าจริงๆ แล้วข้าจะเอาเรื่องเอาราวคนปัญญาอ่อนให้ได้อะไรขึ้นมา
นางส่ายหน้าพลางแบกดาบเดินจากไป
กว่าหร่วนชิงเฟิงจะได้สติกลับมา เบื้องหน้าก็เหลือแต่ลมที่เต็มไปด้วยฝุ่นทราย ก้อนหญ้าที่เมื่อครู่กลิ้งมาจากฝั่งซ้ายกลิ้งย้อนมาจากฝั่งขวาใหม่…
พลบค่ำวันนั้น ซูเสี่ยวเตาเดินกลับไปกลับมาหน้าประตูบ้านสกุลซู เฝ้ารออยู่นาน สุดท้ายคนที่มาคือหวังร่างใหญ่ หนึ่งในทหารประจำตัวของซูเถี่ยโถว
“น้องสาว หัวหน้าบอกว่าคืนนี้ต้องไปร่วมงานเลี้ยงที่หอบานสะพรั่ง เลยจะไม่กลับมากินข้าวเย็น ให้เจ้ากับแม่นมกินให้อิ่ม ไม่ต้องรอ”
แย่แล้ว หากรู้ว่าท่านพ่อจะไม่กลับมากินข้าวเย็น วันนี้นางคงไม่ออกไปไหน แล้วทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อยอยู่กับบ้านแทน เฮ้อ…ตอนนี้สายเกินไปแล้ว ไม่รู้ว่าป่านนี้แม่นมจะโกรธสักเพียงไร
“ขอบคุณมากพี่หวัง ข้าเข้าใจแล้ว” ซูเสี่ยวเตาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วจำต้องเดินคอตกลากเท้าหนักอึ้งเข้าไปในบ้าน จากนั้นก็ปิดประตูลง
“คุณหนู ในที่สุดก็กลับมาเสียที…ตายแล้ว เหตุใดเสื้อผ้าถึงได้สกปรกมอมแมมถึงเพียงนั้น ผมเผ้าก็หลุดลุ่ย ไหนจะคราบน้ำตาบนแก้มอีก เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ!” ป้าอาฮวายกถาดใส่กับข้าวออกมา พอเห็นดังนั้นก็สูดหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความตกใจ แล้วรีบวางอาหารลง เอื้อมมือมาจับนางไว้ “คุณหนู ไปทะเลาะกับใครมาอีกแล้ว หรือไปขลุกอยู่กับพวกห่ามๆ ในค่าย โอ๊ย เหตุใดนายท่านถึงไม่มาดูแลบ้างนะ ชายหญิงพออายุเจ็ดขวบก็นอนฟูกเดียวกันไม่ได้ ปีนี้คุณหนูอายุสิบเจ็ดเข้าไปแล้ว…”
“สิบหกกับอีกเจ็ดเดือนต่างหาก” นางทำตัวหด แต่ยังไม่วายเอ่ยแย้ง
“ก็ใกล้จะสิบเจ็ดแล้วล่ะเจ้าค่ะ” ป้าอาฮวาสาดน้ำเย็นใส่อย่างไม่เกรงใจ ทำลายความพยายามที่จะทำตัวบอบบางของนางลง “คุณหนู ไม่ใช่ว่าแม่นมขี้บ่น แต่เด็กสาวทั่วไปพออายุได้สิบสี่สิบห้าก็มีคู่หมายแล้ว นายท่านอาลัยไม่อยากให้ท่านออกเรือนเร็ว จนป่านนี้เลยยังไม่ยอมมองหาคู่ครองให้ท่านเสียที แต่คุณหนูจะไม่ดูแลตนเองอย่างนี้ไม่ได้…”
“คู่หมายอะไรกันเล่า” ในที่สุดซูเสี่ยวเตาก็ทนต่อไปไม่ไหว เถียงกลับฉุนๆ “มีคู่หมายและแต่งงานไปมีอะไรดี แต่งงานแล้วต้องอยู่เหมือนถูกปล้น ต้องให้ฝ่ายชายทั้งเงินทั้งร่างกาย อีกทั้งยังต้องไปกตัญญูพ่อแม่สามี ดูแลน้องสามี คลอดลูกเลี้ยงลูก หาอนุเข้าบ้าน…ได้ใช้ชีวิตสบายๆ ไม่ชอบ ดันวิ่งโร่เข้าไปอยู่บ้านคนหนึ่งอย่างคนต่ำศักดิ์ เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด นึกว่าข้าเสียสติหรือไร”
แม่นมฟังคำพูดของนางแล้วลมแทบจับ เอ่ยถามปากคอสั่น “คะ…คุณหนูพูดจาเช่นนี้ได้อย่างไร หากใครได้ยินแล้วเอาไปลือข้างนอก คงไม่มีคนกล้ามาสู่ขอแน่ๆ”
“ถึงไม่มีใครเก็บไปลือก็ไม่มีคนกล้ามาสู่ขอข้าอยู่ดี” นางพูดอย่างหลงตนเอง “ข้าเป็นใคร ข้าน่ะลูกสาวของซูเถี่ยโถวเชียวนะ ต่อไปจะเป็นแม่ทัพหญิงที่สร้างคุณงามความดีเข่นฆ่าศัตรู แต่งงานไปไม่เท่ากับปล่อยให้ฝีมือยุทธ์ที่ข้ามีสูญเปล่าหรอกหรือ”
“คุณหนู…” ป้าอาฮวาแทบกระอักเลือดอยู่รอมร่อ
“อีกอย่างท่านพ่อก็เคยพูดไว้ ถ้าเป็นบุรุษที่สู้ข้าไม่ได้ แต่งงานไปก็เปล่าประโยชน์ ถ้าเป็นบุรุษที่สู้ข้าได้ ต่อไปเวลาสามีภรรยามีปากเสียงแล้วเกิดลงไม้ลงมือกันขึ้นมาข้าก็แย่สิ ดังนั้นท่านพ่อจึงเลือกให้ข้าไม่ต้องแต่งงานเช่นกัน” นางยิ้มระรื่นปลอบอีกฝ่าย “แม่นมอย่ากังวลไปเลย ต่อไปข้าจะรับหน้าที่เลี้ยงดูท่านกับท่านพ่อจนถึงบั้นปลายชีวิตเอง จะไม่ให้ขาดตกบกพร่องแม้แต่นิดเดียว”
“คุณหนู…” ป้าอาฮวาอยากจะร้องไห้โฮ “อย่าพูดเช่นนี้สิเจ้าคะ…”
“ก็ได้ๆ ข้าไม่พูด ไม่พูดแล้วก็ได้” นางรีบประคองแม่นมไปนั่งที่โต๊ะกินข้าว “โห เย็นนี้ทำอะไรกินเนี่ย หอมยิ่งนัก เดี๋ยวจะกินข้าวสักสามชามใหญ่ๆ ไปเลย”
ป้าอาฮวารู้สึกว่าอนาคตเบื้องหน้าดำมืดเหลือเกิน…
หลังกินข้าว แม่นมที่รวบรวมกำลังใจขึ้นมาใหม่เก็บล้างถ้วยชามจนเสร็จเรียบร้อยก็เข้าห้องไปรื้อ ‘บัญญัติสตรี’ กับ ‘จรรยาสตรี’ ที่ซุกไว้ก้นหีบนานเป็นโกฏิปีออกมา ตั้งใจว่าจะจับคุณหนูของตนมาค่อยพูดค่อยจาเกลี้ยกล่อมกันดีๆ ทว่าหาหน้าบ้านสามรอบ หาหลังบ้านอีกสามรอบก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของคุณหนู
ในเวลาเดียวกันนั้น ซูเสี่ยวเตาแอบปีนกำแพงออกมาเรียบร้อยแล้ว กำลังมุ่งหน้าไปหากองหนุนที่หอบานสะพรั่ง รอท่านพ่อออกจากงานเลี้ยงแล้วกลับบ้านพร้อมกัน ทีนี้ต่อให้แม่นมไม่เต็มใจสักเพียงใดก็ต้องปล่อยนางไป
ถนนตะวันตกอันจอแจมีหอสุราร้านอาหารตั้งเรียงกันแน่นขนัด พอล่วงเข้ายามราตรี โคมแดงก็ส่องสว่างเป็นสาย ฉายแสงให้เห็นค่ำคืนอันสนุกสนานคึกคัก
นางเดินมาถึงประตูหน้าของหอบานสะพรั่งที่มีคนเดินเข้าออกไม่ขาดระยะ กำลังจะก้าวเข้าไปข้างในก็นึกถึงเงินในถุงเงินขึ้นมาเสียก่อน จึงคิดว่าช่างเถิด นั่งรออย่างอดทนอยู่ตรงเสาด้านหน้าก็แล้วกัน
“ไม่รู้ว่าเป็นงานเลี้ยงของขุนนางระดับสูงคนใดกันนะ รวยเหลือเกินจริงๆ ถึงกับมาจัดที่หอบานสะพรั่งเชียว” นางเอามือเท้าคาง กลิ่นหอมของสุราและอาหารเลิศรสจากข้างในลอยออกมากระทบจมูก ทั้งที่เพิ่งกินข้าวอิ่มเมื่อครู่ยังอดน้ำลายสอไม่ได้ “จะว่าไป ได้ยินว่าอาหารกับสุราของหอบานสะพรั่งรสชาติยอดเยี่ยม โดยเฉพาะเนื้อตงพัว* กับพระกระโดดกำแพง* คีบใส่ปากแล้วแทบกลืนลิ้นตามลงไปด้วย จุ๊ๆๆๆ”
หร่วนชิงเฟิงสวมเสื้อคลุมขนเตียวม่วง* เดินทอดน่องออกมาจากหอบานสะพรั่งแล้วเห็นร่างอ้อนแอ้นในเสื้อนวมลายดอกไม้ตัวหนาที่นั่งยองๆ เอามือเท้าคางตรงโคนเสาอย่างองอาจผ่าเผยได้ทันที
เอ๋? ความรู้สึกขัดแย้งที่แสนคุ้นเคยนี้…นี่มันเด็กสาวที่เขาเจอเมื่อตอนเที่ยงไม่ใช่หรือ
“แม่นาง เหตุใดถึงเป็นเจ้าได้”
เสียงทุ้มกังวานที่ดังขึ้นคุ้นหูอย่างยิ่ง ซูเสี่ยวเตาเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ “หา? เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“ที่นี่? ข้าก็ต้องมากินข้าวอยู่แล้วสิ” เขาตอบยิ้มๆ “แม่นางเล่า”
ใต้ความมืดสลัวของรัตติกาลและแสงสว่างของโคมแดง ท่านั่งยองๆ ในตอนนี้ของเด็กสาวดุดันเมื่อตอนกลางวันกลับดูน่ารักขึ้นอย่างบอกไม่ถูก น้ำเสียงของเขาจึงพลอยนุ่มนวลขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
“ข้ามารอ…” เด็กสาวพลันนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบลุกพรวดขึ้นมาดึงเขาไปยืนหลบอยู่ด้านข้าง ท่าทางกระวนกระวายอย่างยิ่ง “ช้าก่อน นี่เจ้าคงไม่ได้เซ่อซ่าเข้าไปกินข้าวในหอบานสะพรั่งจริงๆ หรอกนะ”
หร่วนชิงเฟิงก้มหน้ามองมือเล็กดำปิ๊ดปี๋…ที่เปรอะเปื้อนจากการปีนกำแพงเมื่อครู่…ทิ้งคราบสกปรกไว้บนเสื้อคลุมขนเตียวม่วง มุมปากกระตุกริกๆ นิสัยรักความสะอาดทำให้เขาอยากดึงเสื้อคลุมออกจากอุ้งมือมารยิ่งนัก แต่พอเห็นสีหน้าร้อนรนเห็นอกเห็นใจของนางแล้วก็ทำไม่ลง
“ใช่ อาหารอร่อยใช้ได้” เขาพยักหน้า “เนื้อตงพัว พระกระโดดกำแพง น้ำแกงข้นนกเป็ดน้ำแปดทรัพย์ แล้วก็ถาดสำรับร้อยบุปผาทำได้รสชาติเทียบเคียงกับมาตรฐานเมืองหลวงเลยทีเดียว”
“ซี้ด…” นางสูดหายใจเข้าลึก
หร่วนชิงเฟิงขบขันกับท่าทางเสียดายสุดซึ้งของนาง “แม่นางสงสารถุงเงินข้าอย่างนั้นหรือ”
“ข้าสงสารพ่อแม่เจ้าต่างหาก” นางถอนหายใจเฮือก มีลูกโง่อีกทั้งยังใช้เงินล้างผลาญอีก ช่างน่าสงสารแท้ๆ
“แม่นาง เหตุใดข้าถึงได้รู้สึกว่าสายตาที่เจ้ามองข้ามันแปลกชอบกล”
“เจ้าหนุ่ม เจ้ามาจากเมืองหลวงหรือ” นางตบบ่าเขาพลางถามด้วยน้ำเสียงจริงใจ
“ถูกต้อง”
“ออกเดินทางคนเดียว?”
“ใช่” ยิ่งฟังเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าแปลก “แล้วอย่างไรหรือ”
“พกเงินติดตัวมาด้วยเท่าไร”
“แม่นางคิดจะทำอะไรหรือ” เนตรหงส์ของเขาหรี่ลงทันที
“เหตุใดจึงได้ทำสายตาเช่นนั้น นึกว่าข้าจะปล้นเงินเจ้าหรือไร” ซูเสี่ยวเตากลอกตาหนึ่งตลบใหญ่ แล้วเดาะลิ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าจะเตือนด้วยความปรารถนาดีหรอกว่าให้ระวังถุงเงินไว้ให้ดีๆ อย่าทำเซ่อซ่าจนถูกหลอกไปหมดเนื้อหมดตัว ทีนี้แม้แต่ค่าเดินทางกลับเมืองหลวงก็ไม่เหลือ อีกอย่างชายแดนตะวันตกนี่ไม่มีอะไรให้เที่ยวชมนักหรอกนะ มีแต่ทหารแล้วก็ทหาร ถ้าเที่ยวเสร็จก็รีบกลับบ้านโดยเร็วดีกว่า เข้าใจหรือไม่”
อย่างนี้นี่เอง
เขาหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ นัยน์ตาเรียวยาวพราวระยับด้วยรอยยิ้ม
“หัวเราะบ้าอะไร นี่ข้าจริงจังนะ!” นางนึกฉุน แม้ถ้อยคำจะขึงขังเกรี้ยวกราด แต่เอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานใสของเด็กสาวกลับฟังแล้วน่าขบขันแทน
“ฮ่าๆ” เขากลั้นเสียงหัวเราะต่อไปไม่ไหวแล้ว
“เชื่อหรือไม่ว่าข้าต่อยจมูกเจ้าให้หักในหมัดเดียวได้”
เสียงหัวเราะสะดุดลงทันที พอเห็นว่านางดูเสียความรู้สึกก็รีบอธิบาย “ขออภัยๆ ที่หัวเราะเมื่อครู่เป็นเพราะผู้น้อยซาบซึ้งใจ นึกไม่ถึงว่าจะถูกแม่นางเข้าใจผิด ผู้น้อยเสียมารยาทแล้วจริงๆ”
“นึกว่าข้าก็โง่หรือไร ถึงจะเชื่อคำพูดพรรค์นี้ของเจ้า” นางแค่นเสียงหึขึ้นจมูกเคืองๆ
คำว่า ‘ก็’ หมายความว่าอย่างไร
หร่วนชิงเฟิงหางตากระตุกอีกครั้ง แล้วพลันฉุกคิดได้ว่าดูเหมือนตนเองจะเข้าใจอะไรบางอย่างผิดตั้งแต่ต้นจนจบ…ช้าก่อน อย่าบอกนะว่านางนึกว่าเขา…
สมองสว่างวาบ นึกอยากแกล้งนางขึ้นมาทันใด เลยแกล้งลูบท้องทำหน้านิ่ว
“เป็นอะไร”
“เมื่อครู่ยังกินไม่อิ่ม…”
สายตาน่าเวทนาที่จ้องมองมาทำเอาซูเสี่ยวเตาขนลุกซู่ไปทั้งตัว “เอ่อ…กะ…กินไม่อิ่มแล้วอย่างไร”
“อาหารทั้งหมดที่สั่งมากินเมื่อครู่ เจ้าของร้านคิดเงินข้าหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง” ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มที่ดูใกล้เคียงกับความอับอาย “ข้า…ตอนนี้ไม่มีเงินติดตัวแล้ว”
“หนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง…” นางเบิกตาโพลงพร้อมยกมือขึ้นกระชากคอเสื้อเขาเข้ามาใกล้ จนน้ำลายกระเซ็นใส่ใบหน้าคมคายไร้ที่ติดวงนั้น “เจ้าโง่จริงๆ ใช่หรือไม่!”
ใช่ เขาจะต้องโง่แน่นอน ไม่เช่นนั้นจะยอมให้น้ำลายคนอื่นกระเซ็นใส่หน้าโดยไม่เช็ด ทั้งที่เป็นโรครักความสะอาดได้อย่างไรกันเล่า
สีหน้าของหร่วนชิงเฟิงดูน่าสงสารขึ้นทุกที “แม่นางวางใจเถิด ข้าไม่ทำให้เจ้าลำบากไปด้วยหรอก…โรงจำนำที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ใดหรือ”
“ชายแดนตะวันตกไม่มีโรงจำนำ!” นางลากเขาเดินออกมาข้างนอกอย่างหัวเสีย “ทั้งเนื้อทั้งตัวเจ้าเหลือของมีค่าแค่เสื้อคลุมขนเตียวม่วงตัวนี้แหละ ต่อให้จำนำแลกเงินได้ ก็น่ากลัวว่าไม่ถึงพรุ่งนี้คงถูกผลาญหมดแล้ว ไม่ได้ๆ ข้ารับไม่ได้!”
“แม่นางอย่าได้ดูถูกกันเกินไป ด้วยคุณสมบัติอย่างข้า…”
“หากยังพูดมากอีกข้าจะจับเจ้าไปส่งหอชายบำเรอชายแดนตะวันตก มีข้าวให้กิน มีที่ให้อยู่ อีกทั้งยังได้…” ในที่สุดนางก็นึกขึ้นได้อย่างทันท่วงทีว่าถึงอย่างไรตนก็เป็นเด็กสาวบริสุทธิ์ผุดผ่องวัยเพียงสิบหก และยังเป็นถึงลูกสาวของนายทัพแนวหน้าปีกขวา เลยกลืนคำว่า ‘ขายตัว’ ลงคอไปเสีย “แค่กๆ”
เฮ้อ…วิถีชีวิตชาวเมืองชายแดนตะวันตกช่างโผงผางเสรีโดยแท้
หร่วนชิงเฟิงถอนหายใจ แล้วเป็นอีกครั้งที่เกิดความคิดว่าจะต้อง ‘หาวิธีปรับเปลี่ยนฟื้นฟูวิถีความเป็นอยู่อันดีงามของราษฎรในชายแดนตะวันตก’ ให้ได้
“จะว่าไป…” หลังจากปล่อยให้นางลากเดินสักครึ่งถนน เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “นี่แม่นางจะพาข้าไปที่ใด”
“สอนเจ้าใช้ชีวิตในชายแดนตะวันตกให้รอดกลับเมืองหลวงอย่างไม่บุบสลายน่ะสิ” ซูเสี่ยวเตาลากเขาไปหาแผงขายเกี๊ยวที่ตั้งอยู่ตรงหัวถนนอย่างไม่ฟังเสียง “นั่งลง ท่านปู่ปา รบกวนขอเกี๊ยวน้ำไส้เนื้อสองชาม เอาเผ็ดๆ ใส่ต้นหอมซอยกับน้ำแกงเยอะๆ”
“เอ่อ…” หร่วนชิงเฟิงก้มหน้าลงมองโต๊ะไม้เรียบง่ายที่เห็นได้ชัดว่าเช็ดไม่สะอาดนัก แล้วทำท่าลังเล “แม่นาง เมื่อครู่ผู้น้อยบอกว่าไม่มีเงินแล้วก็จริง แต่พอจะมีเศษเหรียญทองแดงติดตัวอยู่สองพวง ข้าว่าร้านเล็กๆ ข้างหน้านั่น…”
“เจ้าจะบอกว่าเจ้าตั้งใจใช้เหรียญทองแดงสองพวงที่เหลือติดตัวให้หมดในคืนนี้อย่างนั้นหรือ”
พอถูกนางตวัดสายตามองมา คำว่า ‘ใช่’ บนริมฝีปากก็ผิดเพี้ยนกลายเป็น ‘…เปล่า’ ไปเสียได้
“นับว่าเจ้ายังไม่เกินเยียวยา” นางพยักหน้าหงึกๆ อย่างพึงพอใจ หยิบตะเกียบสองคู่จากในกระบอกออกมาใช้แขนเสื้อเช็ดลวกๆ แค่สองที ก่อนจะยื่นให้เขาคู่หนึ่ง “เอ้า!”
มือใหญ่เรียวยาวยื่นค้างอยู่กลางอากาศ ร้องห้ามไม่ทัน สุดท้ายก็ต้องรับตะเกียบ แล้วล้วงผ้าเช็ดหน้าสีขาวบริสุทธิ์ในแขนเสื้อออกมาเช็ดซ้ำอีกครั้งอย่างพิถีพิถัน ก่อนจะพับผ้าเป็นรูปสี่เหลี่ยมเล็กๆ วางลงบนโต๊ะ แล้ววางตะเกียบไว้บนผ้าอย่างระมัดระวัง
ซูเสี่ยวเตาเห็นแล้วคันไม้คันมือ อยากต่อยคนขึ้นมาตงิดๆ
ทั้งที่เขามีบุคลิกสูงส่งสง่างามคู่กับหน้าตาคมคายแท้ๆ แต่เหตุใดการกระทำถึงได้นุ่มนิ่มเช่นนี้นะ
“แม่นางจะให้ข้าช่วยเช็ดหรือไม่” เห็นนางจ้องตนเองเขม็ง เขาก็เข้าใจผิด จึงถามยิ้มๆ
“ไม่ต้อง!” มือเล็กขาวเนียนกระแทกตะเกียบลงกับโต๊ะดังป้าบ ก่อนจะพูดอย่างห้าวหาญ “เกิดเป็นคนต้องดื่มสุราชามโตๆ กินเนื้อชิ้นใหญ่ๆ อย่าสนใจเรื่องหยุมหยิม เช่นนี้ถึงจะสะใจ!”
“เกี๊ยวน้ำมาแล้ว” ท่านปู่ปายิ้มแย้มยกเกี๊ยวน้ำชามใหญ่มาวางลงตรงหน้าสองหนุ่มสาวคนละชาม น้ำมันพริกสีแดงฉานกับตัวเกี๊ยวขาวพิสุทธิ์ลอยอยู่ในน้ำแกงควันฉุย ยิ่งได้ต้นหอมซอยหนึ่งกำมือมาช่วยชูกลิ่นก็ยิ่งทำให้ท้องร้องจ๊อก
“ฮ้าด…ชิ่ว!” หร่วนชิงเฟิงที่สำลักกลิ่นน้ำมันพริกจามออกมาพรืดใหญ่ รีบยกแขนเสื้อขึ้นป้องปากแทบไม่ทัน
“เจ้าไม่กินเผ็ดหรือ” นางปรายตามอง
“กินๆ” เขาตัดสินใจมุ่งมั่น
“เช่นนั้นก็กินเลย ไม่ต้องเกรงใจ” เด็กสาวคีบเกี๊ยวตัวใหญ่ใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างมีความสุข ไม่ทันไรริมฝีปากจิ้มลิ้มก็แดงไปด้วยน้ำมันพริก สีหน้าสะท้อนให้เห็นความอิ่มเอมใจ
หร่วนชิงเฟิงถือตะเกียบเงื้อง่าเหนือชามใบใหญ่ที่มีน้ำมันสีแดงลอยฟ่องอยู่หลายครั้งก็ยังหามุมที่กล้าจุ่มปลายตะเกียบลงไปไม่ได้เสียที สุดท้ายท่านปู่ปาที่อยู่อีกทางทนมองต่อไม่ไหว จึงยื่นช้อนแกงมาให้เงียบๆ
เฮ้อ…กินแกงกินบะหมี่ในเมืองชายแดนตะวันตกนี่ไม่มีใครใช้ช้อนกันหรอก มีแต่คีบเนื้อกินจนหมดแล้วใช้สองมือยกชามขึ้นมาซดน้ำแกงอึกใหญ่ๆ ต้องอย่างนี้สิถึงจะอร่อย!
แต่ชายหนุ่มคนนี้ดูเป็นลูกผู้ดีมีสกุลที่เพิ่งมาชายแดนตะวันตก ควรอยู่หรอกที่จะไม่คุ้นเคย
หร่วนชิงเฟิงหันไปยิ้มให้ชายชราอย่างซาบซึ้ง ก่อนจะใช้ช้อนตักเกี๊ยวที่มีขนาดใหญ่จนน่าตกใจขึ้นมาตัวหนึ่ง กัดกินช้าๆ อย่างสุภาพเรียบร้อย พอเกี๊ยวแป้งบางนุ่มลื่นไส้อร่อยชุ่มฉ่ำและหอมพริกเข้าปาก เขาก็อดจะเลิกคิ้วไม่ได้ “เอ๊ะ?”
“เป็นอย่างไร”
“อร่อย” ดวงตาเรียวยาวเป็นประกาย ขณะเอ่ยชมยิ้มๆ
“ข้าก็ว่าอย่างนั้น” ซูเสี่ยวเตาทำท่าภูมิอกภูมิใจ ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปลดเสียงกระซิบอย่างลับๆ ล่อๆ “อีกทั้งยัง…”
อยู่ๆ ร่างเล็กก็โน้มกายเข้ามาเป่าลมหายใจหอมรวยรินดุจกลิ่นกล้วยไม้ใกล้ๆ ติ่งหูกับต้นคอไวสัมผัสของเขาเสียววาบ หัวใจปั่นป่วนอย่างไร้สาเหตุ ความคิดสับสนยุ่งเหยิง ใบหน้างามสง่าร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่อยู่ “อีก…อีกทั้งยังอะไร”
“อีกทั้งยังชามละแค่สามอีแปะเท่านั้น” พูดจบนางก็ตบบ่าเขาอย่างตื่นเต้นดีใจ “ยอดไปเลยใช่หรือไม่”
“แค่กๆๆๆ” น้ำมันพริกในปากทะลักเข้าไปในหลอดลม เขาสำลักเสียจนดวงหน้าคมคายแดงก่ำพอๆ กับน้ำแกงในชาม เหมือนต่างสะท้อนกันและกันให้แดงสุกใสขึ้นไปอีก
“เฮ้! เป็นอะไร เป็นอะไรไป” ซูเสี่ยวเตารีบช่วยตบหลังให้
“พอแล้วๆ” เขาไอโขลกพลางเค้นเสียงออกมา ใบหน้าคมคายดูไม่จืด “ข้าหายแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว”
ไม่อยากเชื่อเลยว่าเด็กสาวรูปร่างอ้อนแอ้นบอบบางอย่างนางจะมือหนักจนน่าตกใจ หากยังถูกนางตบแรงๆ เช่นนี้ต่อไป ไม่ตายก็คงพิการ
“จะดื่มน้ำสักถ้วยหรือไม่” ท่านปู่ปาเข้ามาถามอย่างใจดี
“ขอบคุณ แต่ไม่ต้องจริงๆ” เขาล้วงผ้าเช็ดหน้าสีขาวอีกผืนออกมาปิดปากได้อย่างทันท่วงที พอหยุดไอแล้วก็ใช้ผ้าซับปากเบาๆ ก่อนจะเก็บเข้าไปในแขนเสื้อใหม่
คราวนี้ซูเสี่ยวเตาจะค่อนขอดเขาว่านุ่มนิ่มก็กระไรเลย…เพราะนางไม่เคยเห็นบุรุษคนใดเช็ดปากได้นุ่มนวลแต่ไม่กรีดกรายตุ้งติ้งเลยสักนิดเช่นนี้มาก่อน…นางงึมงำ “กินเผ็ดไม่ได้ก็ไม่เห็นเป็นไร บอกกันตรงๆ ก็จบเรื่อง ใช่ว่าข้าจะชกเจ้าเสียหน่อย”
“ขอบคุณแม่นางที่เมตตายั้งมือ” มุมปากเขากระตุกเล็กน้อย
“พูดได้ดีๆ” นางยิ้มกว้าง “ถ้าเช่นนั้นให้ท่านปู่ปาทำแบบไม่เผ็ดให้เจ้าอีกสักชามดีหรือไม่”
“ไม่ต้องหรอก ข้าอิ่มแล้วจริงๆ” เขาอมยิ้มตรงมุมปาก
“แต่เมื่อครู่เจ้าบอกว่าหิวไม่ใช่หรือ”
หร่วนชิงเฟิงกระแอม แล้วตอบยิ้มๆ “ตอนแรกหิว แต่ตอนนี้ท้องอืดแล้ว”
“นี่! เจ้าหนุ่ม เจ้าหยอกข้าเล่นอยู่อย่างนั้นหรือ” นางทำหน้าง้ำจ้องเขาอย่างไม่สบอารมณ์
“ผู้น้อยไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น…” เขาอธิบายอย่างร้อนตัวนิดๆ
ซูเสี่ยวเตาถลึงตาดุดันจ้องมองเขาอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็โบกมืออย่างใจกว้าง “ช่างเถิดๆ ข้าก็แค่อยากสอนให้เจ้ารู้ว่าชายแดนตะวันตกเรายังมีอย่างอื่นให้กินนอกเหนือจากอาหารแพงลิบลิ่วที่หอบานสะพรั่ง อีกอย่างคนหนุ่มจากบ้านเดินทางมาไกลแต่ใช้เงินมือเติบไม่ใช่นิสัยที่ดี อย่างน้อยก็ควรเก็บเงินไว้เป็นค่าเดินทางกลับบ้านบ้าง เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้ว” เขาตอบด้วยสีหน้าจริงใจ แต่รู้สึกผิดอยู่ลึกๆ
นางพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วหันไปจัดการเกี๊ยวชามโตต่อจนหมดเกลี้ยง จากนั้นยังช่วยเอื้อเฟื้อจัดการชามของเขาต่อ
หร่วนชิงเฟิงเห็นแล้วปากอ้าตาค้าง ตกตะลึงจังงังอยู่นาน
นะ…นางเอาเกี๊ยวชามโตๆ ถึงเพียงนี้ตั้งสองชามไปยัดไว้ตรงไหนกัน
“เอิ้ก!” สุดท้ายซูเสี่ยวเตาก็เรอเสียงดังแล้วลูบท้องพลางยิ้มอย่างอิ่มเอม “สบายพุงยิ่งนัก”
“แม่นาง…” นี่ขั้นเซียนแล้วจริงๆ
“เอาล่ะ ข้าเองก็กินอิ่มแล้ว ควรกลับบ้านเสียที” เด็กสาวใช้แขนเสื้อเช็ดคราบมันแผล็บบนปากจิ้มลิ้มลวกๆ แล้วล้วงเงินหกอีแปะจากถุงใบน้อยที่ร้อยติดผ้าคาดเอวออกมาวางบนโต๊ะ “ท่านปู่ปา ไว้เจอกันใหม่”
“เจ้า…จะไปทั้งอย่างนี้เลยหรือ” เขาเงยหน้ามองคนที่ลุกขึ้นปัดก้นทำท่าจะเดินจากไป
“อ้อ จริงสิ ลืมไปเลยว่ายังมีเจ้าอีกคน” นางหันมามองอีกฝ่าย แล้วลูบคางครุ่นคิด “ถ้าอย่างไรคืนนี้ข้าจะหาโรงเตี๊ยมถูกๆ ให้เจ้าอาศัยนอนก่อนสักคืน ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาช่วยสอบถามให้ว่ามีขบวนพ่อค้าไปเมืองหลวงบ้างหรือไม่ ถ้าเจ้าได้ไปกับพวกเขาก็จะประหยัดค่าเดินทางไม่น้อย ดีหรือไม่”
“ขอบใจแม่นางที่มีน้ำใจ แต่ผู้น้อยยังไม่คิดจะกลับเมืองหลวง”
“ไม่กลับไปเจ้าจะอยู่ทำอะไรที่ชายแดนตะวันตกกัน” นางผงะ เงินสองพวงที่เขามีจะใช้ได้นานเพียงใดกันเชียว
หร่วนชิงเฟิงอมยิ้ม ดวงตาโชนแสงแวววาว มือใหญ่เรียวยาวปัดมุมหนึ่งของเสื้อคลุมขนเตียวม่วงเบาๆ ด้วยกิริยารุ่มรวยเสเพลอย่างบอกไม่ถูก “แม่นางวางใจได้ ผู้น้อยมีแผนการอยู่แล้ว”
“คนที่เหลือเงินแค่สองพวงติดตัวยังจะมีแผนการใดได้” ซูเสี่ยวเตากวาดตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วปรามาสอย่างไม่เกรงใจ
“แม่นางดูเบาผู้น้อยเกินไปแล้ว” เขาติงยิ้มๆ
“เจ้าแปลกที่แปลกถิ่น อีกทั้งยังขัดสนเงินทอง อย่าให้สุดท้ายกลายเป็นต้องขายเสื้อผ้าหรือไม่ก็ขายตัวแล้วกัน…เอ่อ เรื่องหอชายบำเรอเมื่อครู่ข้าก็แค่พูดส่งเดชไปอย่างนั้นเอง อย่าได้คิดอะไรสั้นๆ เป็นอันขาดเชียว” สีหน้านางเปลี่ยนไปถนัดตา ขณะพยายามเกลี้ยกล่อม “แม้ว่าด้วยหน้าตาของเจ้า หากพามาเปิดตัวจะต้องกลายเป็นดาวเด่นอย่างแน่นอน แต่ศักดิ์ศรีกับมโนธรรมก็สำคัญนะ ต่อให้ไม่ได้เป็นคนฉลาดเฉลียวอะไรก็อย่าได้ขายก้น…อื๊อ!”
สวรรค์ โลกนี้ยังมีสตรีที่พูดจาไม่สำรวมปากได้เท่านางอีกหรือไม่!
หร่วนชิงเฟิงใช้มือตะปบปากเล็กๆ ไว้ได้อย่างทันท่วงที เขาตกใจเสียจนเหงื่อผุดซึมไปทั้งตัว สายตาคมกริบกวาดมองไปโดยรอบ ด้วยกลัวว่าคนอื่นจะได้ยินคำพูดแผลงๆ อันน่าตกใจของนางเข้า
โชคดีที่ท่านปู่ปากับลูกค้าโต๊ะอื่นกำลังส่งเสียงคุยกัน
“มากับข้านี่!” นัยน์ตาที่ทอยิ้มอยู่เป็นนิตย์เปลี่ยนเป็นเฉียบขาดเย็นชา ขณะลากนางออกจากที่เกิดเหตุอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
บทที่สอง
ซูเสี่ยวเตาถูกเขาลากจากแผงขายเกี๊ยวตรงมุมถนนใหญ่ไปยังแผงขายเต้าหู้ตรงสุดถนน ตอนแรกยังงุนงงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อตั้งสติได้ โทสะก็พุ่งพรวดเข้ามาในใจ จึงเงื้อศอกกระทุ้งใส่ท้องน้อยของเขาทันที
หร่วนชิงเฟิงสัมผัสได้ถึงอันตราย เขายกมือขึ้นเพื่อรับแรงปะทะนั้นโดยไม่ต้องคิด แต่เพียงพริบตาเดียวก็เปลี่ยนใจ รีบแสร้งทำเป็นถูกนางถองแบบตั้งตัวไม่ติด อีกทั้งยังร้องอึ้กเพื่อความแนบเนียน
ข้อศอกโดนท้องเขาเต็มรัก นางโพล่งออกไปด้วยความตกใจ “หะ…เหตุใดจึงไม่หลบเล่า”
“แค่กๆๆๆ” เขาแค่นยิ้มพลางใช้ชายแขนเสื้อเช็ด ‘คราบเลือด’ ตรงมุมปาก “แม่นาง เจ้าถองข้าด้วยเหตุใดกัน”
“เจ้า…เฮ้อ…ไฉนข้าจึงลืมไปได้นะว่าเจ้าสมองไม่ดี ซ้ำยังเหลาะแหละ มีดีแต่หน้าตา ย่อมต้องไม่รู้วิชายุทธ์อยู่แล้ว” ซูเสี่ยวเตาละอายแก่ใจอย่างยิ่ง รีบเอื้อมมือไปลูบท้องน้อยเขาทันที “ขออภัย มาๆ ให้ข้าดูซิว่าบาดเจ็บร้ายแรงหรือไม่”
ใครกันสมองไม่ดี แล้วใครกันที่เหลาะแหละมีดีแต่หน้าตา…
ใบหน้าคมคายเขียวคล้ำไปครึ่งหนึ่งทันที หน้าท้องแบนราบกำยำที่อยู่ใต้เสื้อคลุมขนเตียวม่วงกับชุดฤดูใบไม้ร่วงบางๆ จึงถูกนางลูบเข้าอย่างจัง
“เอ๊ะ?” นางรับรู้ได้ว่ากล้ามเนื้อใต้ฝ่ามือกระตุกทีหนึ่ง ความแข็งแกร่งที่สัมผัสได้ทำให้ซูเสี่ยวเตาที่ไล่ตีไล่ต่อยบุรุษมาตั้งแต่เล็กจนโตอึ้งไปทันที จากนั้นก็อุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ “โห!”
หร่วนชิงเฟิงผู้เป็นคุณชายเจ้าสำราญอันดับต้นๆ ของเมืองหลวงไม่เคยคาดฝันเลยว่าจะมีวันที่ตนเองถูก ‘ลวนลาม’ ริมถนนเช่นนี้ได้!
“แหม ดูไม่ออกเลยนะว่าเจ้ามีพื้นฐานร่างกายยอดเยี่ยม กล้ามแน่นซ่อนรูปถึงเพียงนี้ ท่านพ่อของข้าบอกว่าร่างกายเช่นนี้เหมาะจะจับมาฝึกเป็นหน่วยสอดแนมที่สุด เป็นอย่างไร เจ้าสนใจหรือไม่เล่า” นางลูบครั้งเดียวไม่ยอมพอ ยังคงลูบแล้วลูบเล่าอย่างติดใจ
ลูบเสียจนหัวใจ ในอก ท้องน้อย ไม่ว่าส่วนที่สมควรหรือไม่สมควรก็ติดไฟร้อนวูบวาบขึ้นมาพร้อมกัน ใบหน้าคมคายแดงก่ำ ขณะตะกุกตะกักอย่างลนลาน “มะ…แม่…แม่นาง…สำรวมด้วย…”
สัตว์ร้ายตัวเขื่องค่อยๆ ตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิดของรัตติกาล…
ฮึก…แย่แล้ว!
“อย่าขี้เหนียวนักเลย ลูบแค่ทีสองทีเนื้อเจ้าไม่น้อยลงหรอกน่า”
เนื้อไม่น้อยลงน่ะใช่ แต่เนื้อบางส่วนขยายใหญ่ขึ้นแทนน่ะสิ…แค่กๆ…
หร่วนชิงเฟิงไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตนเองก็มีแง่มุมลามกอยู่ด้วยเช่นกัน ใบหน้าของเขาเป็นสีแดงก่ำสลับกับขาวซีด สุดท้ายก็ตัดปัญหาด้วยการคว้ามือเล็กที่จุดไฟให้ตนเอาไว้
“ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกันเกินงาม แม่นางอย่าเสียมารยาท” โทสะของเขาเดือดปุดๆ ด้วยความขุ่นใจ
ซูเสี่ยวเตาไม่คิดเลยว่าบุรุษที่ดูป้อแป้อ่อนแอเช่นเขาจะแรงเยอะถึงเพียงนี้ มือใหญ่บีบแน่นราวกับคีมเหล็กจนนางขยับมือไม่ได้ พยายามสลัดอยู่หลายครั้งก็สลัดไม่หลุด
แต่ใจที่อยากช่วยบิดา ‘เกณฑ์ทหาร’ ก็ยิ่งกระตือรือร้นขึ้นมาเช่นกัน ขนาดมือถูกบีบจนเจ็บนิดๆ ยังไม่โกรธเคือง อีกทั้งยังถามด้วยความตื่นเต้น
“นี่ ในเมื่อเจ้าชอบชายแดนตะวันตกถึงเพียงนี้ แล้วเคยคิดหางานทำอย่างจริงจังหรือไม่ จะได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างสงบสุขมั่นคงอย่างไรเล่า”
“เหตุใดแม่นางถึงได้ถามเช่นนี้” เขาปล่อยมือออก ทำหน้าหวาดระแวงมองเด็กสาวที่ตาเป็นประกาย พลางสะท้านใจน้อยๆ
“คืออย่างนี้” พูดไปได้ไม่ทันไร นางก็ยกมือขึ้นโอบไหล่เขาอย่างถือวิสาสะ พร้อมหัวเราะหึๆ “ภาษิตว่าเหล็กดีต้องเอามาทำตะปู บุรุษที่ดีต้องเป็นทหาร เคยคิดจะเข้ากองทัพรับใช้ราชสำนัก แล้วเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรผู้ปกป้องผืนแผ่นดินในอนาคตบ้างหรือไม่”
“…” เขาอึ้งไปโดยสิ้นเชิง
“พี่สาวมีเส้นสายที่ช่วยเจ้าได้ รับประกันความสำเร็จเต็มร้อย” นางใช้คำพูดล่อลวงเด็ก…เอ๊ย หาทหารใหม่ๆ มาให้กองทัพสกุลหร่วนต่อไป “ทหารเกณฑ์ใหม่ยังจะได้รับเบี้ยหวัดขั้นต่ำสองตำลึง มีอาหารให้กินสามมื้อ อีกทั้งยังมีกิจกรรมรื่นเริงนอกสถานที่อย่างล่าสัตว์หรือหาของป่า นอกจากนั้นหากได้รับคัดเลือกให้เข้ามาอยู่ใต้การบังคับบัญชาของนายทัพแนวหน้าปีกขวาซูเถี่ยโถว ยังจะได้รับภาพเหมือนหนึ่งเดียวที่ไม่มีใครเหมือนของนายทัพซูอีกใบ เป็นอย่างไร”
“…” เขายังคงเงียบอึ้งอยู่เช่นนั้น
“เป็นอย่างไรๆ น่าสนใจมากเลยใช่หรือไม่”
“ไม่ทราบว่านายทัพซูเป็นอะไรกับแม่นาง…”
“เขาเป็นท่านพ่อของข้า” นางรับอย่างเปิดเผยพลางหัวเราะหึๆ
ที่แท้ก็อย่างนี้ หร่วนชิงเฟิงเข้าใจในทันที
มิน่าเล่า เขาถึงได้รู้สึกว่าเด็กสาวตรงหน้ามีบุคลิกคล้ายนายทัพแนวหน้าบางนายในงานเลี้ยงคืนนี้อย่างยิ่งยวดทีเดียว ล้วนแต่โผงผางตรงไปตรงมาด้วยกันทั้งคู่ ที่แท้ก็ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น…
หร่วนชิงเฟิงไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี
“เฮ้อ…” เขานวดหว่างคิ้ว ทั้งที่ปวดเศียรเวียนเกล้า แต่ไม่รู้เหตุใดมุมปากถึงได้ยกขึ้นนิดๆ
“ตัดสินใจได้หรือยัง” นางจ้องเขาเขม็ง
“ขอขอบใจความปรารถนาดีของแม่นาง แต่ผู้น้อยเป็นลูกโทนของบ้าน ต้องสืบทอดกิจการวงศ์ตระกูล น่ากลัวว่าจะเข้าเป็นทหารใต้อาณัติของนายทัพซูไม่ได้”
“คนปัญญาอ่อนอย่างเจ้าก็สืบทอดกิจการวงศ์ตระกูลได้ด้วยหรือ” นางถึงกับตาค้าง
“ใครบอกแม่นางว่าข้าปัญญาอ่อน” เขาเลิกคิ้ว เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
“หา? เจ้าไม่ได้ปัญญาอ่อนหรือ”
“ข้าแสดงหลักฐานมากพอให้แม่นางแน่ใจว่าข้าปัญญาอ่อนตั้งแต่เมื่อไรกัน หือ?”
บรรยากาศรอบตัวเขาเปลี่ยนไปแทบเป็นคนละคน จากคุณชายหยิบโหย่งเจ้าสำราญกลายเป็นชายหนุ่มองอาจทรงอำนาจน่าเกรงขาม โดยเฉพาะคิ้วหนาตวัดหางเฉียงขึ้นและนัยน์ตาสีดำแวววาว หัวใจนางดีดตัวทีหนึ่ง แล้วเต้นแรงขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ซูเสี่ยวเตาพลันพบว่าหัวสมองมีแต่ความว่างเปล่า เค้นคำพูดไม่ได้แม้แต่คำเดียว สักพักใหญ่ถึงค่อยพึมพำออกมา “เอ่อ…ก็ที่เจอกันเมื่อตอนกลางวันเหมือนมากเลยนี่นา…”
“เช่นนั้น…” เขาคลี่ยิ้ม แล้วโน้มร่างสูงใหญ่เข้ามาใกล้จนปลายจมูกแทบชนกัน แผ่ความกดดันและกลิ่นอายห้าวหาญสมชาย น้ำเสียงทุ้มต่ำมีเสน่ห์อย่างยากจะบรรยาย “ตอนนี้เล่า”
นางสัมผัสได้ว่าใบหูทั้งสองข้างร้อนวูบวาบไปหมด ดวงตาสุกใสกะพริบถี่ๆ อย่างทำอะไรไม่ถูก “ตะ…ตะ…ตอนนะ…นี้…”
รอยยิ้มในนัยน์ตาลึกล้ำชัดเจนขึ้น ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ากระทบใบหูเล็กเบาๆ “เจ้ากลัวหรือ”
เรื่องอะไรข้าต้องกลัวด้วย! นางอยากย้อนกลับไปเช่นนี้ แต่หัวใจเต้นเร็วเหลือเกิน อีกทั้งไม่รู้เพราะเหตุใดถึงได้แข้งขาอ่อนยวบ
บอกตามตรง นางไม่ได้กลัว แต่…แต่ใจมันสั่น อกมันหวิว หัวมันหมุน…อ๊ะ เพราะว่าเขาเข้ามาใกล้เกินไปนั่นแหละ นางถึงได้รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง!
“จะ…เจ้าเอาหน้าไปห่างๆ หน่อย!” นางยกมือดันหน้าเขาออกไป “ข้าจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว”
หร่วนชิงเฟิงไม่อยากเชื่อเลยว่าใบหน้างดงามคมคายที่กระชากหัวใจหญิงสาวในเมืองหลวงมานับไม่ถ้วนของตนจะต้องมาถูกเด็กสาวชาวบ้านคนหนึ่ง ‘ผลักไส’ โดยแรงอย่างไร้ความลังเลและไร้เยื่อใย
เพราะมัวแต่ตกตะลึงจังงัง เมื่อซูเสี่ยวเตาพูดทิ้งท้ายว่า “ไม่ใช่คนปัญญาอ่อนแต่ดันมาหลอกคนปัญญาอ่อนอย่างข้าให้เลี้ยงเกี๊ยว เจ้ามันทุเรศจริงๆ” และสะบัดหน้าเดินจากไป เขาเลยไม่ทันได้เหนี่ยวรั้งนางไว้แล้วอธิบายให้ฟัง จนกลายเป็นปัญหายุ่งยากในกาลต่อมาที่ทำให้ความเข้าใจผิดยิ่งร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ
แต่นั่นเป็นเรื่องราวในภายหลัง
ที่สำคัญก็คือเมื่อเขาได้สติกลับมาก็พบว่าตอนนี้ดึกมาก ประตูเมืองปิดไปแล้ว ไม่สามารถกลับไปที่ค่ายนอกเมืองได้ และคืนนี้เขาก็ไม่อยากกลับจวนแม่ทัพสงบประจิมไปผจญกับ ‘นางบำเรอ’ ที่บิดายัดเยียดให้ติดตามมาด้วย สายตาของหญิงสองคนนั้นหิวกระหายราวกับหมาป่าเห็นเนื้อก็ไม่ปาน
“เฮ้อ…” เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วดึงพัดสีขาวจากในอกเสื้อมาเคาะไหล่เล่นอย่างอ่อนใจ พลางพึมพำ “หนทางแห่งการรักษาความบริสุทธิ์ผุดผ่องยังอีกยาวไกลนัก…”
คืนนั้นซูเสี่ยวเตาแอบปีนกำแพงกลับเข้าบ้าน โชคดีซูเถี่ยโถวผู้ดื่มจนเมามายถูกทหารในกองกำลังส่วนตัวหามกลับบ้านมาเรียบร้อยแล้ว ป้าอาฮวาเลยสาละวนอยู่กับการต้มน้ำแกงสร่างเมากับต้มน้ำสำหรับอาบให้เจ้านายจนปลีกตัวไม่ได้ ยังผลให้ไม่อาจสานต่อแผนการจับคุณหนูของตนมา ‘อบรมวิถีกุลสตรี’
พอกลับเข้าห้องตนเองแล้วนึกถึงคนทุเรศที่ได้เจอในวันนี้ขึ้นมา นางก็โมโหจนต้องวิ่งโร่ออกไปห้องเก็บฟืน หาฟืนท่อนยาวที่มีส่วนคอดส่วนโค้งมาปิดกระดาษขาวลงไป วาดเป็นรูปเต่าใส่เสื้อคลุมขนฟูแล้วจับวางพิงผนังห้อง จากนั้นก็เขวี้ยงมีดบินใบหลิวใส่อยู่ประมาณครึ่งชั่วยามถึงค่อยพอหายโมโห สามารถไปอาบน้ำเข้านอนได้อย่างสบายใจ
เมื่อตื่นนอนในเช้าวันถัดมา ซูเสี่ยวเตาผู้มีความคิดเรียบง่ายมาแต่ไหนแต่ไรก็ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานไปเกือบหมดแล้ว นางไปนั่งกินข้าวเช้ากับท่านพ่อของตนอย่างเริงร่า ซดโจ๊กข้าวฟ่างร้อนๆ กินกับต้นกระเทียมผัดเนื้อและไช้เท้าดองรสเผ็ดอย่างเอร็ดอร่อย
ซูเถี่ยโถวผู้มีรูปร่างบึกบึนกำยำราวกับราชาภูเขามองลูกสาวสุดที่รักด้วยสายตารักใคร่เอ็นดู พลางถามอย่างอารมณ์ดี “ลูกพ่อจะกินหมั่นโถวอีกสักสองสามลูกหรือไม่ หรือจะให้อาฮวานึ่งซาลาเปาไส้เนื้อมาสักเข่งดี?”
วันนี้ซูเสี่ยวเตาถูกป้าอาฮวาบังคับแต่งตัวเสียอ่อนหวาน ผมทำเป็นทรงหงส์เหิน สวมชุดสีเหลืองอ่อนตัดกับผ้าคาดเอวสีเขียวใบหลิว ขับเน้นใบหน้าดวงเล็กให้ยิ่งดูน่ารักน่าชังราวกับดอกบัวตูม น่าเสียดายที่ใบหน้าดวงนั้นแทบฝังอยู่ในชามโจ๊ก มือซ้ายถือหมั่นโถวขนาดใหญ่ที่กินไปเป็นลูกที่สาม ส่งเสียงเคี้ยวหงับๆ แตกต่างกับรูปลักษณ์ภายนอกราวฟ้ากับเหว
แต่ในสายตาของซูเถี่ยโถว ไม่ว่ามองอย่างไรลูกสาวของตนก็ยังน่ารักมากๆ อยู่ดี
“ท่านพ่อ” นางเคี้ยวหมั่นโถวหมดลูกภายในไม่กี่คำก็ยกชามโจ๊กซดจนเกลี้ยงและใช้มือเช็ดปาก ก่อนจะบอกอย่างเริงร่า “วันนี้รอข้าด้วยนะ ข้าจะไปค่ายกับท่าน เมื่อวานแข่งประลองยุทธ์กับพวกพี่โจวจื่อยังไม่เสร็จเลย”
“จะมีปัญหาอะไร…เอ่อ…” ซูเถี่ยโถวหัวเราะพลางตอบรับ แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่านายใหญ่แห่งกองทัพผู้ถืออำนาจปกปักรักษาชายแดนอย่างเป็นทางการมาถึงแล้วเมื่อวาน ช่วงนี้ทุกคนจึงระวังตัวแจ รักษากฎระเบียบในค่ายอย่างเคร่งครัด จึงไม่อาจให้ลูกสาวเข้านอกออกในตามใจชอบอย่างที่แล้วมาอีก หนำซ้ำ…
เห็นบิดามีสีหน้าลำบากใจ นางก็ใจหายวาบ รีบถามขึ้นทันที “เกิดอะไรขึ้น หรือว่าพวกเผ่าอี๋ตะวันตกเคลื่อนไหวอีกแล้ว จะรบกันแล้วหรือ”
นับจากสงครามใหญ่บนเขาซีอู่เมื่อสิบปีก่อนเป็นต้นมา กองทัพสกุลหร่วนอันเกรียงไกรก็ขับไล่พวกเผ่าอี๋ตะวันตกให้ถอยร่นไปถึงหนึ่งพันลี้ หลายปีมานี้พวกเผ่าอี๋ตะวันตกจึงทำได้แค่ก่อความวุ่นวายและศึกเล็กๆ ไม่ได้ทะเยอทะยานอยากยึดครองชายแดนตะวันตกอีกต่อไปแล้ว
แต่ถึงอย่างไรซูเสี่ยวเตาก็คลุกคลีอยู่ในค่ายมานานปี พอจะรู้ข่าวทางการทหารที่ไม่ใช่ข่าวลับอยู่บ้าง เห็นว่าปีนี้ชนเผ่าอี๋ตะวันตกแล้งหนัก เก็บเกี่ยวพืชผลได้น้อย ม้าวัวขาดแคลน หากชาวเผ่าอี๋ตะวันตกเลือกที่จะเคลื่อนไหวในเวลานี้ก็ไม่แปลก
“ลูกพ่อไม่ต้องกังวลไป” ซูเถี่ยโถวเกรงลูกสาวจะเสียขวัญ ประกอบกับไม่อาจแพร่งพรายข่าวทางการทหารที่แท้จริง จึงเลือกอ้างอิงเรื่องที่เชื่อถือได้ “แค่ว่าช่วงนี้แม่ทัพสงบประจิมเพิ่งมารับช่วงกองทัพสกุลหร่วนอย่างเป็นทางการ สิบสองค่ายใหญ่ทางตะวันออกและตะวันตกต้องฝึกฝนอย่างเข้มงวด ท่านแม่ทัพใหญ่กล่าวว่าอีกเจ็ดวันให้หลังจะมาดูการซ้อมรบของทหารกองต่างๆ ในค่าย เพื่อคัดเลือกสามกองที่มีฝีมือเก่งกาจที่สุด…แค่กๆ สรุปก็คือต่อจากนี้เจ้าหนุ่มนั่นคงประลองยุทธ์กับเจ้าอีกไม่ได้แล้ว”
ไม่รู้ว่าพูดอ้อมเสียขนาดนี้ ลูกสาวจะฟังเข้าใจหรือไม่
“ท่านพ่อ ท่านกลัวว่าข้าเข้าไปในค่ายแล้วท่านแม่ทัพใหญ่เจอเข้าจะถูกลงโทษตามกฎทหารอย่างนั้นหรือ” ความคิดของนางแล่นวาบแล้วถามอย่างรู้ทัน
“โถ นึกอยู่แล้วเชียวว่าลูกสาวของพ่อฉลาดเฉลียวเป็นที่สุด พูดแค่นี้ก็เข้าใจ” ซูเถี่ยโถวยิ้มแย้มอย่างยินดีปรีดา
“ท่านพ่อ ถ้าอย่างไรข้าจะหาโอกาสเข้าพบท่านแม่ทัพ ขอร้องให้เขาพิจารณาฝีมือข้าดู หากผ่านเกณฑ์จะได้เข้าเป็นทหารหญิงในกองทัพสกุลหร่วน” เด็กสาวตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น “โธ่เอ๊ย เหตุใดข้าถึงไม่คิดได้ให้เร็วกว่านี้นะ โง่จริงๆ เลย!”
ซูเถี่ยโถวตกใจจนหัวใจแก่ๆ แทบจะกระเด้งออกจากปาก “ไม่ๆ ไม่ได้ๆ กองทัพไม่ใช่ที่ที่น่าอยู่แต่อย่างใด มองไปทางไหนก็มีแต่ทหารตัวเหม็นหึ่ง หากเจ้าได้กลิ่นแล้ววิงเวียนจะทำอย่างไร”
อีกอย่างกองทัพสกุลหร่วนใช่ว่านึกจะเข้าก็เข้าได้ง่ายๆ เสียเมื่อไรเล่า หากไม่ได้ฝึกฝนเคี่ยวกรำอย่างหนัก บากบั่นจนข้ามภูเขาศพมาได้ จะไม่มีทางยืนในนั้นได้อย่างมั่นคงแม้แต่วันเดียว!
ลูกสาวตัวเล็กนุ่มนิ่มหอมกรุ่นของเขาจะเดินบนเส้นทางมหาภัย รับมือกับความลำบากยากเข็ญเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า
“ลูกพ่อ ฟังนะ ปกติเจ้าทำตัวเป็นยอดหญิงข่มเหงบุรุษ…แค่กๆ…ข้าหมายความว่าปกติเจ้ารำดาบควงทวนให้ร่างกายแข็งแรงนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่การศึกสงครามไม่ได้น่าสนุกแต่อย่างใด หากเกิดสงครามขึ้นมาจริงๆ แล้วเจ้าออกรบร่วมกับกองทัพ ต่อให้พ่อมีหัวใจสักร้อยดวงก็แตกสลายจนไม่เหลือหรอก” ใบหน้าคร้ามเข้มของซูเถี่ยโถวซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว
“แต่ท่านพ่อเคยพูดเสมอว่าการปกป้องบ้านเมืองเป็นหน้าที่ของคนทุกผู้ไม่ใช่หรือ” นางทักท้วง “อีกอย่างท่านก็สั่งสอนข้ามาเองกับมือ หรือว่าท่านไม่มั่นใจใน ‘สามสิบหกกระบวนท่าดาบเบิกภูผา’ ของสกุลซูเรา”
ผู้เป็นพ่ออับจนด้วยคำพูดในทันใด
“ข้าไม่กล้าพูดว่าศึกษาเคล็ดวิชาดาบชุดนี้จนเข้าใจถ่องแท้ แต่อย่างน้อยๆ ก็เรียนรู้มาสักหกถึงเจ็ดส่วนล่ะน่า” นางทำหน้าห้าวหาญ ก่อนจะตบหน้าขาตนเองอย่างฮึกเหิม “ท่านพ่อ ชายชาตรีจะได้ทดแทนคุณแผ่นดินและสร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูลก็ขึ้นอยู่ที่ได้ออกรบนี่แหละ!”
“ประเด็นคือ…เจ้าเป็นสตรี” ซูเถี่ยโถวพึมพำเบาๆ
นางตวัดตามองมาอย่างดุดันทันที “อะไรนะ”
“ปะ…เปล่า…” ผู้เป็นพ่อกลืนน้ำลาย แล้วรีบยิ้มประจบ “เหตุใดพ่อจะไม่รู้ว่าลูกสาวพ่อมีปณิธานยิ่งใหญ่ ทั้งยังมั่นใจในเพลงดาบสกุลซูเราอย่างมาก…”
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปเอาดาบมาเดี๋ยวนี้เลย” เด็กสาวพูดพลางลุกพรวด ทำท่าจะวิ่งออกไปข้างนอกอย่างตื่นเต้น
ซูเถี่ยโถวตกใจจนเหงื่อท่วม ร้อนใจดังไฟลนจนทำอะไรไม่ถูก โชคดีป้าอาฮวายกหม้อพุทราแดงต้มลำไยเข้ามาทันการณ์ นางเอ่ยถามว่า “นั่นคุณหนูจะไปที่ใดเจ้าคะ”
เท้าของซูเสี่ยวเตาชะงักอยู่กลางทาง ความคิดในใจต่อสู้กันหนึ่งยก สุดท้ายก็เดินไหล่เหี่ยวคอตกกลับมายิ้มแหยๆ “แม่นม ข้ากินจนอิ่มแปล้ ขอออกไปเดินย่อยสักสองรอบ เดี๋ยวก็กลับ”
“อาฮวา เจ้ามาพอดี” ซูเถี่ยโถวทำราวกับหญิงสาวผู้ถึงคราวคับขันแล้วเจอคนผ่านมาช่วยพอดี แทบอยากจับมือแม่นมไว้แล้วหลั่งน้ำตาด้วยความซาบซึ้ง “ระยะนี้กองทัพงานยุ่ง เจ้าช่วยอยู่กับคุณหนูให้มากๆ แทนข้าที หากว่างๆ ก็ทำของอร่อยๆ มาบำรุงนาง ดูสิ แขนขานางเล็กจะเท่าไม้เขี่ยไฟอยู่แล้ว น่าสงสารอะไรอย่างนี้ ข้าเห็นแล้วปวดใจยิ่งนัก”
ซูเสี่ยวเตาก้มลงมองแขนขาตนเอง
เล็กมากเลยหรือ ก็ไม่นี่นา เมื่อวานข้ายังใช้ ‘แขนขาเล็กๆ’ นี้จัดการพี่โจวจื่อไปหนึ่งยกก่อนจะเปลี่ยนเป็นดาบเล่มใหญ่…
“นายท่านโปรดวางใจ เรื่องดูแลคุณหนูไว้เป็นหน้าที่ข้าเอง” มีหรือป้าอาฮวาจะไม่เห็นว่านายท่านของตนหลิ่วตาส่งสัญญาณมาให้จนตาแทบกระตุกอยู่แล้ว นางจึงรีบรับคำด้วยความยินดี
“ไม่เอานะท่านพ่อ…” ซูเสี่ยวเตาสูดหายใจเฮือก
“เป็นเด็กดีนะลูก เดี๋ยวตอนเย็นพ่อเลิกจากค่ายแล้วจะเอาของอร่อยมาฝาก” ซูเถี่ยโถวทั้งร้อนตัว ทั้งสงสาร ทั้งรู้สึกผิด จึงไม่กล้ามองสบสายตาวิงวอนของลูกสาวตรงๆ จากนั้นก็เผ่นหนีออกมาอย่างไม่รอช้าโดยไม่ลืมส่งเสียงตะโกน “เหล่าหลู่ เร็วเข้าๆ เตรียมม้า! ข้าจะไประดมพลเช้าสายอยู่แล้ว”
ห้องโถงใหญ่เงียบกริบลงทันใด
“ท่านพ่อไร้มโนธรรมสิ้นดี” สักพักใหญ่ นางก็งึมงำออกมาพลางถอนหายใจ
“คุณหนู วันนี้มาเรียนงานฝีมือที่พวกเราพูดกันไว้คราวก่อนนะเจ้าคะ” ป้าอาฮวาคลี่ยิ้มร้ายกาจ เหมือนสาแก่ใจที่ได้สมปรารถนาหลังจากเฝ้ารออะไรบางอย่างมาเนิ่นนาน
ซูเสี่ยวเตาขนหัวลุกพลางสะท้านเฮือกในใจ
ทนทรมาทรกรรมกับเข็มปักผ้าเล่มเรียวเล็กมาตลอดช่วงเช้า ในที่สุดซูเสี่ยวเตาก็ทนต่อไปไม่ไหว อาศัยจังหวะระหว่างที่ป้าอาฮวาเข้าครัวไปเตรียมอาหารกลางวัน รีบโยนตะกร้าใส่เข็มด้ายรวมทั้งเศษผ้าที่ใช้ฝึกปักผ้าขึ้นไปบนขื่อ แล้วถลกชายกระโปรงวิ่งออกไปข้างนอกราวกับติดปีกบิน
ไม่ไหวแล้ว หากยังฝึกของบ้าๆ นั่นต่อไป นางคงได้ถูกเข็มตำจนปัญญาอ่อนแน่!
ซูเสี่ยวเตาวิ่งแน่บออกมาจนถึงศาลเจ้าที่ริมทางที่อยู่ห่างจากคฤหาสน์สกุลซูสิบแปดลี้ ถึงค่อยเกาะต้นไม้ใหญ่ข้างศาลหอบหายใจฟืดฟาดเพื่อพักเหนื่อย
“อ้าว เสี่ยวเตาเป็นอะไรไปล่ะนั่น ทำราวกับมีเสือไล่กวดหลังมาก็ไม่ปาน” ท่านย่าหวังที่ขายไข่ต้มใบชากับน้ำชาข้นชะโงกหน้ามาถามอย่างสงสัย
“ท่านย่า แค่เสือยังน้อยไป” นางถอนหายใจเฮือก พลางยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก “เสือยังฟาดได้ แต่แม่นมฟาดไม่ได้…”
“ดื้อกับแม่นมเจ้าอีกแล้วหรือ” ท่านย่าหวังจะหัวเราะก็สงสาร จึงเปลี่ยนมาเทน้ำชาร้อนๆ ใส่เครื่องปรุงที่คั่วจนหอมฟุ้ง ทำเป็นชาข้นส่งให้นาง “เอ้า ดื่มอะไรร้อนๆ ให้ท้องอุ่นเสียก่อน เรื่องอื่นไว้ค่อยคิดกันทีหลัง”
“ขอบคุณท่านย่าหวัง”
ซูเสี่ยวเตายกชามชาข้นสีน้ำตาลแก่กลิ่นหอมฉุยขึ้นจิบสองอึก กลิ่นหอมของถั่วลิสงกับงาคั่วบดละเอียดพุ่งเข้ามาแตะจมูก พอเข้าปากก็กลายเป็นกระแสธารอุ่นๆ ที่ไหลผ่านอวัยวะภายใน อารมณ์ฮึดฮัดอัดอั้นที่เก็บไว้ตั้งแต่เช้าสลายไปกว่าครึ่งทันที
“ชาข้นของท่านย่าหวังอร่อยจริงๆ”
“ชาแค่นี้เอง เจ้าชอบกินก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ กินไข่ต้มใบชากับชาข้นรับประกันว่าอิ่มท้อง” ใบหน้าชราของหญิงสูงวัยยิ้มจนย่นเป็นกลีบดอกไม้ ก่อนจะพูดต่ออย่างกระตือรือร้น “เป็นเพราะได้เสี่ยวเตาช่วยไล่ตะเพิดพวกอันธพาลที่มาเก็บค่าคุ้มครองให้แท้ๆ ไม่เช่นนั้นหลายปีมานี้ข้าคงทำมาหากินอย่างสงบสุขไม่ได้”
เด็กสาวเขินอายนิดๆ ที่ถูกชม “แหม ข้าก็แค่ต่อยอันธพาลไม่กี่คนเท่านั้น เรื่องเล็กออกจะตายไป ท่านย่าหวังไม่ต้องเก็บมาใส่ใจหรอก”
ความจริงเป็นเพราะพวกอันธพาลถึงคราวเคราะห์ด้วย เนื่องจากตอนนั้นนางเพิ่งเรียน ‘ฝ่ามือพิชิตวัวข้ามภูผาผนึกกำลังไร้เทียมทาน’ จากบิดามาหมาดๆ สบโอกาสทั้งทีจะไม่ลองมือได้อย่างไรเล่า
ตอนนั้นนางเพิ่งจะอายุสิบสี่ แต่กลับเล่นงานบุรุษตัวโตๆ หลายคนจนเบาเรี่ยเบาเล็ด ฟันร่วง กระดูกหัก แม้แต่เจ้าหน้าที่ทางการยังตกใจ สุดท้ายท่านพ่อต้องออกหน้าช่วยนางจนเรื่องสงบลงได้ เฮ้อ…นับจากนั้นมานางก็ไม่กล้าลงมือหนักถึงเพียงนั้นอีกเลย อมิตาภพุทธ
ซูเสี่ยวเตาลืมความทรงจำที่ตน ‘ซัด’ พี่โจวจื่อในค่ายเมื่อวานไปจนหมดสิ้นโดยไม่รู้ตัว
“เสี่ยวเตาเป็นยอดหญิงเลื่องชื่อของชายแดนตะวันตกเรา แม้เป็นหญิงแต่ก็ไม่ยอมแพ้บุรุษ ฝีมือระดับเจ้าน่ะ ลงสมรภูมิไปสู้กับพวกเผ่าอี๋ตะวันตกได้สบายๆ”
พอคิดถึงเรื่องราวในอดีต หญิงชราก็รู้สึกเหมือนเลือดในกายสูบฉีดแรง สองตาเป็นประกายเหมือนจะบอกว่า ‘ข้าสนับสนุนเจ้านะ’
“จริงหรือ ท่านย่าหวัง ท่านเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันใช่หรือไม่” เด็กสาวลิงโลดอยู่ในใจ ขณะตบโต๊ะโดยแรงด้วยความตื่นเต้น “ได้! ด้วยแรงสนับสนุนของท่าน รับประกันว่าข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน”
“หา?” ท่านย่าหวังตามไม่ทัน
ซูเสี่ยวเตายกชาข้นของท่านย่าหวังขึ้นมาซดรวดเดียวหมดแบบไม่กลัวร้อน ก่อนจะวางชามลงกับโต๊ะดังปึ้ก ยกมือเช็ดหน้าขาวเนียนราวกับหยกของตนเองสองที แล้วประกาศดังลั่น “ข้าไปล่ะ!”
ท่านย่าหวังอยากจะพูดอะไรอีกคำสองคำก็สายเกินการณ์ เพราะเด็กสาวเดินอาดๆ จากไปเรียบร้อยแล้ว
“เอ่อ…” หญิงชรารู้สึกเย็นวาบตรงต้นคออย่างไร้สาเหตุ แล้วอดกลืนน้ำลายไม่ได้ “เมื่อครู่ข้าไม่ได้พูดอะไรผิดใช่หรือไม่”
เวลาเดียวกันนั้น ในค่ายกองทัพสกุลหร่วนที่อยู่ห่างออกมานอกตัวเมืองห้าสิบลี้ คมอาวุธกำลังปะทะกันอย่างดุเดือดจนเสียงดังสนั่น เพราะผู้บัญชาการสูงสุดคนใหม่ของกองทัพสกุลหร่วนจำนวนสามแสนนายกำลังยืนอยู่บนแท่นบัญชาการ ใช้ดวงตาคมกริบดุจอินทรีมองลงมายังการโรมรันของเหล่าทหารกล้าจากสิบสองค่ายย่อย
“ทัพปีกซ้าย กระบวนทัพงูหางยาวแถวเดียว!” เขาสั่งเสียงเข้ม
“ขอรับ!” ทหารกล้าหนึ่งพันนายรับคำดังกึกก้อง แล้วรีบแปรกระบวนทัพเป็นงูตัวยาวอย่างคล่องแคล่ว อาวุธในมือสะท้อนแสงแดดวูบวาบบาดตา
“ทัพปีกขวา กระบวนทัพอินทรีเหินเวหา!” เขายกมือขวาขึ้น
“ลุย!” ทหารทัพปีกขวาเคลื่อนไหวอย่างฮึกเหิมน่าเกรงขามภายใต้การนำของซูเถี่ยโถว
วันนี้ทัพปีกซ้ายขวาซ้อมรบด้วยยุทธวิธีใช้คนน้อยจู่โจมคนมาก ภายใต้การบัญชาการของนายทัพหนุ่มแน่น ทัพปีกซ้ายแปรกระบวนอย่างคล่องแคล่วเป็นระเบียบ ราวกับงูหลามยักษ์ที่เลื้อยจากสวรรค์ลงมาพันรัดศัตรูทุกหัวระแหงให้หักเป็นท่อนๆ
ฝ่ายทหารฝีมือดีห้าร้อยนายที่มีซูเถี่ยโถวนำทัพก็เป็นประดุจอินทรียักษ์แกร่งกล้า แบ่งออกเป็นจะงอยปาก กรงเล็บ ปีกที่พร้อมเข้าโจมตีได้ทุกเมื่อ ต่อให้งูยักษ์เจ้าเล่ห์น่ากลัวเพียงไรก็สามารถพุ่งเข้าไปจู่โจมจุดอ่อนได้ในจังหวะแยบยล ผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วยาม กระบวนทัพงูหางยาวแถวเดียวก็ถูกตีเสียจนแตกพ่ายจนหัวหางต่อกันไม่ติด
ไต้อวี้เป็นหนุ่มเลือดร้อน พอเห็นดังนั้นใบหน้างามสง่าก็แดงก่ำพลางเหลือบมองแม่ทัพใหญ่ที่ยืนกอดอกบนแท่นด้วยท่าทางครุ่นคิดอย่างกระวนกระวาย ก่อนจะตั้งสติกระชับมือเข้ากับทวนด้ามทอง แล้วล้วงมือเข้าไปดึงธงเล็กจากในอกเสื้อออกมาสั่งการเปลี่ยนกระบวนทัพอย่างรวดเร็ว
“เปลี่ยน กระบวนทัพกุญแจทอง!”
ทัพปีกซ้ายที่มีวี่แววจะเพลี่ยงพล้ำรีบแปรกระบวนเป็นกุญแจทองอันแน่นหนาน่าเกรงขาม ทหารที่ถูกฝ่ายตรงข้ามใช้ชาดแต้มสำเร็จจนเป็น ‘ทหารตาย’ นั้นแม้จะไม่อยากเพียงใด แต่ก็ต้องแกล้งนอนเป็นศพแน่นิ่งอยู่บนพื้นตามกติกา ซ้ำพอถูกเหยียบในระหว่างช่วงชุลมุนก็ห้ามขยับตัว ห้ามร้อง ห้ามด่า ทรมานยิ่งกว่าฆ่ากันจริงๆ เสียอีก
ทหารสกุลหร่วนส่วนที่ยังไม่ได้ลงสนามเห็นภาพนั้นเข้า ใบหน้าที่ถูกแดดเผาจนดำกร้านต่างกลั้นยิ้มไปตามๆ กัน พร้อมอดสงสัยอยู่ในใจไม่ได้ ไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพใหญ่ไปเอาความคิดนี้มาจากที่ใด วิธีนี้ผู้ลงสนามไม่ต้องถูกฟาดจนสลบหรือหมดแรงเสียก่อนถึงค่อยล้มลงบนพื้น แต่ขอเพียงถูกชาดแต้มลงบน ‘จุดสำคัญ’ ก็ต้องสละสิทธิ์ในการรบแล้วตายไปเสีย ทรมานออกจะตายไป
ทว่าสิบหกหน่วยย่อยของกองทัพสกุลหร่วนกลับเลื่อมใสชื่นชมยิ่งนัก วิธีการของท่านแม่ทัพใหญ่ช่วยลดอัตราบาดเจ็บของทหารจากอาวุธระหว่างการซ้อมรบได้ แม้แต่ยารักษาอาการบาดเจ็บก็ยังใช้น้อยลงร่วมพันขวด นอกจากนั้นยังทรงประสิทธิภาพในการสอนทหารว่าควรเลี่ยงจุดสำคัญอย่างศีรษะ ลำคอ หน้าอกอย่างไร
หร่วนชิงเฟิง ‘วางท่าขรึม’ กวาดตามองอยู่บนแท่นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่ความจริงในใจหัวร่องอหายไปหลายตลบ สีชาดนี้เป็นสีย้อมเฉพาะตัวของโรงทอผ้าที่มีสกุลหร่วนเป็นเจ้าของ หากโดนแล้วไม่มีทางหลุดออกได้ง่ายๆ เว้นแต่ใช้น้ำมันพืชเช็ดเท่านั้นถึงจะออกหมด
“อืม พอซ้อมรบเสร็จจะบอกดีหรือไม่นะ” เขาลูบคางอย่างครุ่นคิด
สีที่เปื้อนเสื้อผ้าน่ะช่างเถิด แต่ส่วนที่เปื้อนหน้าเหมือนจุดแดงบนซาลาเปานี่โดดเด่นน่ามองยิ่งนัก เก็บเอาไว้ดูหลายๆ วันก็ไม่เลว
ทว่าสถานการณ์ในสนามเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ กระบวนทัพกุญแจทองปิดกั้นทหารกล้าห้าร้อยนายของซูเถี่ยโถวเอาไว้อย่างแน่นหนา ไม่ทันถึงครึ่งชั่วยามก็มีทหาร ‘ล้ม’ เกินร้อย เหลืออีกสามร้อยกว่านายที่ยังยืนหยัดต่อสู้กับกำลังพลกองหน้าแนวซ้ายหกร้อยกว่านายอย่างดุเดือด
แม้จะอยู่ในวัยกลางคน ซูเถี่ยโถวก็ยังฮึกเหิมดุดัน เหงื่อร้อนๆ ไหลโซมกายขณะถือทวนอสรพิษจั้งแปดกวาดออกไปรอบตัวพร้อมเปล่งเสียงกึกก้องที่ทำให้ฟ้าสนั่นดินสะเทือน ก่อนที่ทหารทัพปีกซ้ายร่วมห้าสิบนายจะกรูกันเข้ามาล้อมเขาไว้ทุกด้านอย่างพร้อมโจมตี
แม้แข็งแกร่งทรงพลัง แต่น่าเสียดายที่ถูกรุมกลุ้มจากทุกทาง…
หร่วนชิงเฟิงนึกถึงแม่นางน้อยที่ดูเหมือนเรียบร้อยอ่อนหวาน แต่ความจริงโผงผางบุ่มบ่ามคนนั้น นัยน์ตาคมเข้มขึ้นเล็กน้อย อยากจะยกมือให้สัญญาณหยุด แต่สุดท้ายความมีสติก็ห้ามเขาเอาไว้เสียก่อน
ซูเถี่ยโถวคนนี้ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่งห้าวหาญ ไม่มีทางที่จะตกม้าตายเอาง่ายๆ เช่นนี้แน่ ดูต่อไปก่อนแล้วกัน
ไม่ผิดจากที่คิด แม้ซูเถี่ยโถวจะเป็นคนโผงผาง แต่ก็คิดอ่านละเอียดรอบคอบ พอเห็นว่ากระบวนทัพกุญแจทองอันแน่นหนาปิดล้อมพวกตนเอาไว้หมดแล้ว ก็ตะโกนสั่งดังลั่น “พวกเรา! กระบวนท่ากลิ้งดาบขโมยท้อ!”
“รับทราบ!” ทหารกล้าสามร้อยกว่านายรับคำดังลั่น แล้วทิ้งตัวลงไปกลิ้งบนพื้น ใช้ดาบแต้มสีในมือจู่โจมเป้ากางเกงคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
หว่างขาเจ็บจุก ทหารทัพปีกซ้ายที่ ‘ถูกอาวุธ’ ร้องโอดโอยพลางเข่าอ่อนไปตามๆ กัน พอจะตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา หน้าผากก็ถูกแต้มจุดแดงไปเรียบร้อยแล้ว!
ไต้อวี้ยืนอึ้ง เช่นนี้ก็ได้หรือ
กำลังพลทัพปีกซ้ายลดลงไปกว่าครึ่งทันที มิหนำซ้ำสองร้อยกว่านายที่เหลือก็ยืนหนีบขาอยู่กลางกระบวนทัพด้วยความหวาดกลัว เรียกได้ว่าพ่ายแพ้หมดรูป จึงถูกทหารไม่กลัวตายและไม่กลัวอายของซูเถี่ยโถว ‘ฆ่า’ ทิ้งเรียบทั้งกองทัพอย่างรวดเร็ว!
แม่ทัพใหญ่ผู้องอาจที่ยืนอยู่บนแท่นบัญชาการเห็นแล้วหัวเราะลั่นออกมาอย่างลืมตัวจนไม่เหลือภาพลักษณ์เดิม
“ศึกครั้งนี้ ทัพปีกขวาเป็นฝ่ายชนะ!” รองแม่ทัพเก่าแก่ของสกุลหร่วนกระแอมเตือนสติอยู่ข้างๆ พลางกลั้นยิ้มตรงมุมปาก แล้วประกาศเสียงดัง
“เรียนท่านแม่ทัพใหญ่!” ไต้อวี้เองก็เป็นบุตรชายตระกูลแม่ทัพชื่อดังในเมืองหลวง แต่ยังไม่เคยเห็นกลยุทธ์เช่นนี้สักครั้ง เขาปักปลายด้ามทองของทวนคู่ใจลงไปในดินสิบชุ่น* แล้วประสานมือคำนับพลางพูดอย่างมีน้ำโห “วิธีที่นายทัพปีกขวาซูใช้ไม่ใช่กลยุทธ์ที่มีคุณธรรม แต่เป็นวิธีแบบอันธพาล ไต้อวี้มิอาจยอมรับได้!”
ซูเถี่ยโถวจับทวนอสรพิษจั้งแปดพาดบ่า เช็ดเหงื่อบนใบหน้าลวกๆ แล้วไม่ลืมที่จะประสานมือคำนับหร่วนชิงเฟิง
“เรียนท่านแม่ทัพใหญ่ ท่านนายทัพปีกซ้ายไต้กล่าวได้ถูกแล้ว กลยุทธ์ที่ข้าใช้ไม่ปรากฏในตำราพิชัยสงคราม เพราะเป็นกลยุทธ์ที่ข้าคิดขึ้นมาเอง แต่ข้าคิดว่าในเมื่อถึงขั้นลงสนามไปสู้รบแบบเข่นฆ่ากันให้ตายไปข้างแล้ว ใช้วิธีแบบอันธพาลจะเสียหายตรงไหน ในความคิดของข้า แค่ชนะข้าศึกได้ก็พอแล้ว”
“นายทัพแนวหน้าปีกขวาซู การทำศึกจะไร้แบบแผนเช่นนี้ไม่ได้” ไต้อวี้หน้าตาเคร่งเครียด ขณะกัดฟันกรอด “หากใช้กลยุทธ์ของท่านในการสู้รบขนาดเล็ก ข้าเห็นดีเห็นงามด้วยเป็นอย่างยิ่ง แต่ในสมรภูมิจริง มีเพียงการใช้ยุทธศาสตร์สง่าผ่าเผยบัญชาการไพร่พลเท่านั้นถึงจะสามารถตรึงกำลังข้าศึกแล้วเอาชนะได้…”
“นายทัพแนวหน้าปีกซ้ายไต้ ข้าเองก็เลื่อมใสกลยุทธ์อันเลิศล้ำของท่านมากเหมือนกัน” ซูเถี่ยโถวอยู่ในกองทัพมายี่สิบกว่าปี ฝึกปรือตนเองจนเจนจัด แม้ภายนอกจะดูแข็งทื่อโผงผาง แต่ภายในรู้จักประนีประนอมผ่อนปรน เมื่ออีกฝ่ายเป็นคุณชายตระกูลแม่ทัพจากเมืองหลวง เขาจึงกล่าวยิ้มๆ แบบไม่อ่อนไม่แข็งเกินไป “แต่กำลังพลทัพปีกขวาของข้ามีไว้ใช้งานดุจดาบเร็วอยู่แล้ว ยิ่งเร็วยิ่งชุลมุนเท่าไรก็ยิ่งก่อกวนข้าศึกได้มากเท่านั้น พวกเราใช้วิธีที่เร็วที่สุดเข่นฆ่าศัตรู ตีแนวหน้าให้แตก เพื่อให้ทัพใหญ่ที่อยู่ข้างหลังตรึงสถานการณ์ได้ง่ายขึ้น ดังนั้นข้าคิดว่าวิธีของตนเองดีมากแล้ว”
ที่กล่าวมาไม่ผิดแม้แต่นิดเดียว…ไต้อวี้เลยได้แต่อึ้ง พูดอะไรไม่ออก
“เอาล่ะ! นายทัพแนวหน้าทั้งสองท่านทำได้ดีมาก” ในที่สุดหร่วนชิงเฟิงก็เอ่ยปาก เสียงทุ้มเป็นกังวานหนักแน่นทรงพลังในทุกคำ “โดยเฉพาะใจที่ฮึดสู้แบบไม่ยอมแพ้ สมแล้วที่เป็นชายอกสามศอกของกองทัพสกุลหร่วนเรา! แต่วันนี้นายทัพแนวหน้าปีกขวาซูมาเหนือกว่าจริงๆ นำวิธีแบบอันธพาลมาใช้ในสถานการณ์เช่นนี้ได้ฉลาดยิ่งนัก ไต้อวี้ ทีนี้ท่านคงรู้แล้วสินะว่าพวกท่านลุงทั้งหลายทำศึกแบบไม่เลือกวิธีการ ขอแค่ได้ชนะเป็นพอ นี่แหละที่ตำราพิชัยสงครามกล่าวว่าทำศึกต้องรู้จักปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์”
ซูเถี่ยโถวหน้าแดงเรื่อด้วยความปลาบปลื้มที่ได้รับคำชม ทหารกล้าฝีมือดีห้าร้อยนายใต้อาณัติต่างก็หน้าบานเป็นจานไปตามๆ กัน
ส่วนไต้อวี้กับทหารทัพปีกซ้ายหนึ่งพันนายนั้นประเดี๋ยวก็หน้าแดงประเดี๋ยวก็หน้าซีด ทั้งกระอักกระอ่วน ทั้งอาย ทั้งขัดใจนิดๆ อัดอั้นเป็นอย่างยิ่ง
“กองทัพสงบประจิมของสกุลหร่วนเราถนัดใช้กลยุทธ์เปิดเผย กลยุทธ์ลับ และกลยุทธ์พิสดารมาแต่ไหนแต่ไร ยังเคยใช้ ‘กระบวนทัพไล่หมาป่ากินเสือ’ ที่ด่านเทียนเหมินตีทัพใหญ่สามแสนนายของชนเผ่าอี๋ตะวันตกสำเร็จมาแล้ว ดังนั้นขอเพียงเป็นกลยุทธ์ที่ข้าศึกป้องกันไม่ได้ก็ถือเป็นกลยุทธ์ที่ดีทั้งสิ้น” ดวงตาคมของแม่ทัพหนุ่มโชนแสงแวววาวดูน่าครั่นคร้ามอย่างยิ่ง “ที่พูดมานี้ทุกคนเข้าใจหรือไม่”
ไต้อวี้กับทหารในกองพากันสะดุ้ง
“ขอรับ ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”
หร่วนชิงเฟิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะตวัดตาไปมองซูเถี่ยโถวผู้มีร่างกายสูงใหญ่กำยำและบุคลิกโผงผางแล้วอดยิ้มไม่ได้ “นายทัพแนวหน้าปีกขวาซู”
“ขอรับ” ซูเถี่ยโถวรีบทรุดตัวลงคุกเข่าข้างเดียว ประสานมือขานรับเสียงดังก้องดุจระฆัง
“วันนี้ท่านนายทัพใช้ทวนอสรพิษจั้งแปดได้อย่างยอดเยี่ยม ข้าเห็นแล้วคันไม้คันมือยิ่งนัก” คิ้วเข้มคมดุจใบดาบตวัดเฉียงขึ้นเล็กน้อย ขณะยกมุมปากขึ้นนิดๆ “ไม่ทราบว่าท่านยังมีแรงเหลือมาประมือกับข้าหน่อยหรือไม่”
“คำสั่งของท่านแม่ทัพใหญ่ถือเป็นเกียรติของข้า” ตอนแรกซูเถี่ยโถวผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะฉีกยิ้มอย่างรวดเร็ว
ท่านแม่ทัพใหญ่เป็นลูกชายคนโตที่ท่านโหว มอบหมายให้รับช่วงต่อกองทัพสกุลหร่วน แม้จะยังหนุ่มแน่น ซ้ำยังมีบุคลิกสุภาพสูงส่งแบบคุณชายลูกผู้ดี แต่ตนเคยสืบรู้มาว่าท่านโหวให้ท่านแม่ทัพใหญ่คอยติดตามข้างกายและฝึกสอนศิลปะการพิชัยสงครามให้ตั้งแต่อายุหกขวบ ครั้นพออายุสิบสี่ได้นำกำลังพลแปดร้อยนายของจวนโหวขึ้นไปซ้อมรบบนเขา แล้วเจอกองโจรหนึ่งหมื่นคนของตี๋เหล่าหู่ซึ่งเป็นโจรป่าเลื่องชื่อของซานซีกำลังนำกำลังเข้าโจมตีเมืองซานซีพอดี
กำลังพลของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันชัดเจนถึงเพียงนี้ หากเป็นนายทัพคนอื่น ทหารแปดร้อยนายมีแต่จะตายเรียบ เก้าในสิบคนจะต้องตัดสินใจถอยทัพกลับเข้าเมืองซานซี ปิดประตูเมืองอย่างแน่นหนา แล้วค่อยให้ม้าเร็วรีบไปขอกำลังเสริมมาจากค่ายใหญ่
แต่ไม่คิดเลยว่ากองโจรหนึ่งหมื่นคนจะถูกฆ่าเกลี้ยงในคืนเดียวกลางป่าเก่าแก่อันเป็นเส้นทางมุ่งหน้าเข้าเมืองซานซี
พอฟ้าสาง เด็กหนุ่มหน้าตางดงามในอาภรณ์ขาวพลิ้วคนหนึ่งก็สาวเท้าเนิบๆ ออกมาพลางเช็ดถูดาบคู่ใจอย่างไม่เร่งร้อน เหมือนกำลังเดินเล่นอย่างสบายอารมณ์และเมื่อครู่เพิ่งเข้าไปเก็บดอกไม้สักกิ่งจากในป่า…
หยดเลือดที่สาดกระเซ็นมาโดนอาภรณ์ขาวแห้งกรังเป็นสีดำไปนานแล้ว ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มรื่นรมย์ ทหารแปดร้อยนายที่ตามมาข้างหลังล้วนแต่เลือดอาบชุดเกราะ ได้รับบาดเจ็บมากันถ้วนหน้า บางคนสาหัสเป็นพิเศษ ถูกฟันหลังเป็นแผลใหญ่เลือดชุ่มหรือไม่ก็มีธนูสองดอกปักอยู่บนหลัง แต่ทุกนายยังดูฮึกเหิมอย่างยิ่ง
แปดร้อยนายสู้กับหนึ่งหมื่นคน นอกจากจะได้รับชัยชนะอย่างหมดจด ยังไม่สูญเสียไพร่พลไปแม้แต่นายเดียว
ศึกครั้งนี้เลื่องลือไปทั่วแผ่นดิน…
พอคิดว่าวันนี้ตนดวงดี ถูกแม่ทัพหนุ่มผู้มีพรสวรรค์เป็นเลิศเรียกตัวมาเป็นคู่ประลองฝีมือ ซูเถี่ยโถวก็ดีใจยิ่งกว่าได้รับรางวัลสักพันตำลึงทองด้วยซ้ำ!
“นายทัพแนวหน้าปีกขวาซู อีกหนึ่งชั่วยามให้หลังเจอกันที่ลานซ้อมยุทธ์” หร่วนชิงเฟิงกล่าวยิ้มๆ แล้วเห็นทุกคนอ้าปากหวอด้วยสีหน้าริษยาก็อดเอ็ดขันๆ ไม่ได้ “พวกเจ้าเองก็อยากสู้กับข้าถึงเพียงนี้เชียว ก็ได้ๆๆๆ ไปลงชื่อไว้กับท่านอาจารย์จ่างซุน ใครไม่กลัวเจ็บไม่กลัวตาย ข้ารับประลองด้วยทั้งนั้น”
“ขอบคุณท่านแม่ทัพใหญ่!” ทุกคนดีใจจนเนื้อเต้น เสียงโห่ร้องดังก้องไปทั่ว
หา? ต้องดีใจถึงเพียงนี้เลยหรือ
ความจริงเขาเป็นคนหนุ่มที่ฝักใฝ่โคลงกลอน มีความรู้ในเชิงอักษร แต่ไม่ยึดติดกับขนบธรรมเนียม ปกติไม่ค่อยชอบจับหอกจับดาบเท่าไรนัก…
หร่วนชิงเฟิงผู้งามสง่ามองทหารใต้อาณัติที่พากันถูมือถูไม้อย่างกระเหี้ยนกระหือรือแล้วไม่รู้ว่าควรดีใจหรือควรปวดหัวดี สุดท้ายเขาก็ส่ายหน้าถอนหายใจ แล้วเดินลงจากแท่นบัญชาการช้าๆ เพื่อไปเปลี่ยนชุดรัดกุมสำหรับฝึกยุทธ์
บทที่สาม
“นั่นใคร!”
ซูเสี่ยวเตาเพิ่งจะกรายเข้ามาใกล้ประตูใหญ่หน้าค่ายก็ถูกทหารสวมเกราะทั้งชุดท่าทางขึงขังหลายนายใช้ทวนพู่แดงขวางไว้
“ข้าเอง” นางสะดุ้งโหยง มือเล็กรีบหนีบปลายทวนเล่มหนึ่งไปให้พ้นลำคอ คิ้วโก่งขมวดมุ่น “พี่จ้าวจื่อ วันนี้ดุเหลือเกินนะ”
ชายร่างสูงใหญ่ผิวคล้ำเข้มหน้าแดงวาบ ก่อนจะกระแอมหนักๆ “แค่กๆ น้องสาว ไม่ใช่ว่าพี่จ้าวจื่อแล้งน้ำใจ แต่ท่านแม่ทัพใหญ่มีคำสั่งลงมาว่าคนทั่วไปหากไม่มีเรื่องมารายงานจะเข้ามาในค่ายไม่ได้ ผู้ใดฝ่าฝืนต้องถูกโบยตามกฎทหารห้าสิบไม้”
“ข้ารู้ๆ ตอนนี้ท่านแม่ทัพใหญ่มาแล้ว ทุกอย่างก็ต้องทำตามที่ท่านแม่ทัพใหญ่พูด ใช่ว่าข้าจะขัดคำสั่งเสียหน่อย” นางยิ้มกริ่ม “ดังนั้นพี่จ้าวจื่อช่วยไปรายงานท่านแม่ทัพใหญ่ให้ข้าที ว่าข้ามีความประสงค์จะเข้าร่วมกองทัพ ขอให้ท่านแม่ทัพใหญ่โปรดพิจารณาด้วย”
“น้องสาวอย่าพูดเป็นเล่น เรื่องนั้นจะได้อย่างไรกันเล่า” จ้าวจื่อเบิกตากว้างมองนางด้วยความตกใจ
นายทหารอีกคนก็รีบพูดขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว “น้องสาวรีบกลับไปโดยเร็วเถิด เกิดท่านแม่ทัพใหญ่โมโหขึ้นมาจะยุ่ง”
“ข้ามีเหตุมีผลอย่างนี้จะทำให้ท่านแม่ทัพใหญ่โมโหได้อย่างไรกันเล่า” ดูเอาเถิด ท่าทางนางสำรวม จริงใจและน่ารักเพียงใด!
แต่ไม่ว่านางจะพูดจนปากเปียกปากแฉะ ทำซื่อ ทำเซ่อ ทำเป็นน่ารักอย่างไร พวกพี่ๆ ทหารก็ใจแข็งไม่ยอมให้นางเข้าไปท่าเดียว เรียกว่าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์แต่ก่อนเก่าบ้างเลย
คราวนี้ซูเสี่ยวเตาโมโหขึ้นมาแล้ว เด็กสาวเท้าสะเอวกระทืบเท้า “ได้ ดูถูกกันนักใช่หรือไม่! หากวันนี้ข้าเข้าไปในค่ายทหารชายแดนตะวันตกไม่ได้ ข้าจะเปลี่ยนไปใช้แซ่หร่วนแทน ไม่ใช้แซ่ซูแล้ว คอยดูแล้วกันว่าใครจะแน่ หึ!”
นึกหรือว่าทำเช่นนี้แล้วจะขวางนางได้ นางน่ะลูกสาวซูเถี่ยโถวเชียวนะ มุดเข้ามาขุดดินเล่นในค่ายทหารชายแดนตะวันตกตั้งแต่อายุสามขวบแล้ว กำแพงค่ายมีรูสุนัขลอดหรือรูหนูตรงไหนบ้าง นางรู้ดีกว่าใครทั้งนั้น!
อีกสองถ้วยชา* ให้หลัง
ซูเสี่ยวเตาคลานออกมาจากรูสุนัขลอดตรงปีกตะวันออกอย่างระมัดระวัง รูนี้เป็นรูประจำของเจ้าเหล่าผี สุนัขล่าเนื้อที่ท่านรองแม่ทัพเลี้ยงไว้ นางค้นพบเข้าโดยบังเอิญตอนช่วยเขาให้อาหารมัน มิหนำซ้ำขนาดก็กำลังเหมาะเจาะ พอให้สุนัขล่าเนื้อกับคนที่มีรูปร่างเล็กบางอย่างนางลอดได้พอดี
นางยังรู้ด้วยว่าพวกทหารลาดตระเวนกันตอนไหน เวลาลาดตระเวนจะผัดเปลี่ยนกันกี่นายกี่หมู่ อีกทั้งยังรู้รหัสลับที่ใช้ในวันนั้นๆ ด้วย แต่นางไม่โง่พอที่จะอยู่ที่เดิมรอขานรหัสกับพวกเขาหรอกนะ รีบทำให้จบเรื่องโดยไวดีกว่า อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
“หวังว่าพอท่านพ่อรู้เข้าจะไม่โกรธมากนักนะ” เด็กสาวสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะเริ่ม ‘คลำทาง’ ไปยังกระโจมแม่ทัพใหญ่อย่างไร้ความลังเล
แน่นอนว่าบริเวณหน้ากระโจมจะต้องมีทหารฝีมือดีของสกุลหร่วนคอยอารักขาอย่างแน่นหนา ส่วนด้านหลังกระโจมแม่ทัพใหญ่คือประตูเข้ากระโจมรองแม่ทัพซึ่งมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาพอกัน
ดังนั้นนางจึงค่อยๆ เลียบไปทางด้านข้างกระโจม แล้วทิ้งตัวลงนั่งยองๆ เลิกชายผ้ากระโจมผืนหนึ่งขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะมุดคลานเข้าไปข้างในราวกับหนู
ใครเลยจะรู้ว่ายังไม่ทันได้ลุกขึ้นมาก็ได้เห็นภาพหนุ่มรูปงามเปลือยร่างอันเย้ายวนอาบน้ำชวนให้เลือดกำเดาไหลเข้าเสียก่อน!
เฮือก…ของลับ…
นางเบิกตากว้าง ลืมไปโดยสิ้นเชิงว่าตนเป็นสาวเป็นนาง ไม่ควรมองสัดส่วนโอฬารกลางพุ่มพฤกษ์ของผู้อื่นแบบจ้องเอาๆ เช่นนี้ ตะ…แต่…มันน่าตกใจจริงๆ นี่นา มิหนำซ้ำนางยังอยู่ในท่านอนราบแหงนหน้าไปทาง ‘เจ้านั่น’ พอดี…นาง…นี่นางตาฝาดไปหรือ เหตุใดถึงได้เห็นมันผงกหัวหงึกๆ ได้เล่า!
นะ…นี่ข้าจะเป็นตากุ้งยิงแล้ว!
หร่วนชิงเฟิงเองก็ตกใจจนหน้าถอดสี ท่อนแขนยาวเอื้อมไปคว้าเสื้อคลุมสะอาดที่แขวนอยู่บนฉากบังตามาปิดสัดส่วนที่แข็งตัวของตนเองอย่างรวดเร็ว จึงสามารถอำพรางภาพวาบหวิวไว้ได้
ซูเสี่ยวเตายังไม่ทันได้สติกลับมาจากอาการตกตะลึงที่ได้เห็นความเป็นชายอันแสนโอฬารเมื่อครู่ ก็พลันได้ยินเสียงแคร้ง พร้อมกับที่รู้สึกวาบตรงลำคอ เมื่อคมกระบี่เย็นเฉียบเข้ามาจ่อประชิดคอตนเอง
“ช้าก่อน…” ดวงตาสุกใสเป็นประกายมองเขาอย่างหวาดกลัว
“เจ้าเองหรือ!” สีหน้าของหร่วนชิงเฟิงเย็นชาอย่างน่ากลัว รอยยิ้มที่อยู่ในเนตรหงส์เป็นเนืองนิตย์หายไปในพริบตา แต่พอเห็นหน้านางชัด เขาก็ผงะไปเล็กน้อย
“จะ…เจ้า?” นางเองก็จำเขาได้เช่นกัน ดวงตายิ่งเบิกกว้างจนกลมดิก “จะ…เจ้าเข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ช้าก่อน เจ้าเข้ามาในค่ายทหารเพื่ออะไร หรือจะเป็นสายลับ”
“ข้าน่ะหรือ” จิตสังหารรอบตัวเขาหายไปแล้ว รอยยิ้มขบขันกลับมาสู่เนตรหงส์อีกครั้ง ริมฝีปากหยักมุมน้อยๆ “เมื่อครู่ข้าเหงื่อออกทั้งตัว ซ้ำหัวหูก็มีแต่ฝุ่น เลยสั่งให้คนยกถังน้ำร้อนมาให้ เพิ่งจะล้างตัวจนสะอาดก็เห็นโจรราคะหญิงลอบดอดเข้ามาในกระโจมลับๆ ล่อๆ คิดจะกระทำชำเรา…”
“ใครจะอยากกระทำชำเราเจ้า!” ใบหน้าเนียนแดงก่ำ นางโมโหเสียจนติดอ่าง “อะ…อีกอย่างที่นี่ก็เป็นกระโจมแม่ทัพใหญ่ อยู่ๆ ก็เข้ามาอาบน้ำในกระโจมแม่ทัพใหญ่ถือว่าทำผิดกฎทหาร มีโทษถึงประหารเชียวนะ เทียบกันแล้วข้าก็แค่ทะเล่อทะล่าเข้ามาเท่านั้น…หากท่านแม่ทัพใหญ่สั่งโบย เจ้าจะต้องถูกโบยมากกว่าข้าสามสิบไม้ ดูซิว่าใครจะกลัว!”
แม่สาวร่างเล็กผู้นี้พูดฉอดๆ อย่างมั่นอกมั่นใจทีเดียว
หร่วนชิงเฟิงอดนึกขันและปวดหัวนิดๆ ขึ้นมาพร้อมกันไม่ได้ ซูเถี่ยโถวเป็นชายดิบเถื่อนห้าวหาญ ไม่รู้ว่าให้กำเนิดแม่สาวน้อยท่าทางฉลาดแต่ความจริงเซ่อซ่าเช่นนี้ได้อย่างไร
“แม่นางเสี่ยวเตา หากวิเคราะห์กันตามเหตุผลแล้ว การที่บุรุษที่ไม่ใช่แม่ทัพใหญ่จะเข้ามาอาบน้ำในกระโจมแม่ทัพใหญ่อย่างเปิดเผยมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใดกัน” เขาแย้มยิ้มพลางถามเนิบๆ “หากข้าไม่ใช่แม่ทัพใหญ่ ข้ายังจะเป็นใครได้อีกเล่า”
“เจ้า…เป็นชายบำเรอของท่านแม่ทัพใหญ่!” นางสูดหายใจเฮือกใหญ่ทันที
ให้ตายเถอะสวรรค์ ข้าไม่อยากล่วงรู้เรื่องส่วนตัวพรรค์นี้แม้แต่นิดเดียว นี่ช่างลับสุดยอดของลับสุดยอดจริงๆ!
เขาแทบสำลักลมหายใจตนเอง ใบหน้าคมคายดำคล้ำไปกว่าครึ่ง “ในหัวเจ้ามีอะไรอยู่บ้างกันแน่”
“แล้วยังจะเป็นอะไรได้เล่า” ซูเสี่ยวเตาใช้สายตาเหยียดหยามมองเขาหัวจรดเท้า ตั้งแต่เรือนผมยาวสลวยดุจสายน้ำ กระดูกไหปลาร้าสุดเย้ายวน แล้วไหนจะแผ่นอกขาวเนียนดุจจันทราทอแสงที่โผล่ออกมาจากเสื้อคลุมผ้าไหม…รู้สึกโมโหขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “พูดมาสิๆ!”
หากไม่เพราะได้รับการอบรมบ่มเพาะจากครอบครัวมาตั้งแต่เด็กว่าบุรุษจะทำร้ายสตรีไม่ได้แม้แต่ปลายก้อย ป่านนี้หร่วนชิงเฟิงคงได้บีบคอนางให้ตายไปแล้ว
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วหายใจออกช้าๆ นับหนึ่งถึงสิบอยู่ในใจ สุดท้ายสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติ
“แม่นางเสี่ยวเตา คำพูดของเจ้าทำร้ายจิตใจข้านะ”
ตนเองเป็นชายหนุ่มรูปงาม ทำท่าเศร้าสร้อยระทดระทวยเช่นนี้ หากใครไม่เข้าใจผิดก็แปลกแล้ว
“เฮ้อ…” เด็กสาวเองก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่งเพราะได้บรรลุแจ้ง เข้าใจความขมขื่นฝืนใจของเขาแล้ว “ข้าผิดเอง…เมื่อคืนไม่น่าโมโหแล้วทิ้งเจ้าไว้คนเดียว ตอนนี้เจ้าเลยตกมาอยู่ในอุ้งมือมารของแม่ทัพใหญ่จนต้องมาเสียพรหมจรรย์…”
มุมปากหร่วนชิงเฟิงกระตุกริกๆ ก่อนจะยกมือนวดหว่างคิ้ว “ข้านี่ล่ะแม่ทัพใหญ่”
“เจ้ายังหนุ่มยังแน่น พลาดพลั้งไปก็ไม่เป็นไรหรอก ต่อไปให้ปรับปรุงตัวก็พอ…เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ!”
“ข้าคือแม่ทัพสงบประจิม หร่วนชิงเฟิง!” เขาเน้นเสียงทีละคำ
…ทั้งที่กระโจมนี่มั่นคงแน่นหนา แต่เหตุใดนางถึงได้รู้สึกว่ามีลมเย็นพัดเข้ามาวูบหนึ่งกันนะ
“เจ้า…” นางกระโดดเหยงไปข้างหลัง พร้อมยกมือชี้สันจมูกโด่งตรงของเขา ใบหน้าเล็กผิดสีไปโดยสิ้นเชิง “เจ้า…เจ้า…”
“ข้านี่แหละหร่วนชิงเฟิง อยากจะพิสูจน์ดูหรือไม่” เขามองนางเหมือนจะยิ้มก็ไม่ใช่ ไม่ยิ้มก็ไม่เชิง
ซูเสี่ยวเตาจ้องมองฝ่ายตรงข้าม ใบหน้าเปลี่ยนจากสีขาวเป็นเขียว ก่อนจะกลายเป็นแดงก่ำ
“ไหนขอคิดหน่อยซิ” ชายหนุ่มยกนิ้วเรียวยาวขึ้นมานับไล่ทีละกระทง “บุกรุกเข้ามาในสถานที่สำคัญทางการทหาร พูดจาให้แม่ทัพใหญ่ของราชสำนักเสื่อมเสีย แอบดูความเป็นส่วนตัวของคนอื่น อืม ไม่ต้องพูดอะไรมาก แค่สองกระทงแรกก็ร้ายแรงพอให้ต้องโทษตัดหัวแล้ว…”
“ข้ายอมรับผิด!” หัวใจสั่นเสียไม่มีดี แต่นางก็ยังพยายามเชิดหน้ามองเขา แล้วเอ่ยเสียงดังอย่างกล้าหาญ
“เจ้ายอมรับผิด?” รอยยิ้มบนใบหน้าคมคายแข็งค้าง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน
“ถูกต้อง ท่านพ่อของข้าบอกว่าถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด เมื่อผิดก็ต้องยอมรับผิด สกุลซูเราไม่มีคนขี้ขลาดอ่อนแอ” พอคิดถึงคำที่บิดาพร่ำสอน อกเล็กๆ ก็ยืดสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัวแล้วกล่าวอย่างองอาจ “แม่ทัพใหญ่ การบุกรุกสถานที่สำคัญทางการทหารเป็นความผิดของข้า ส่วนทำให้แม่ทัพใหญ่เสื่อมเสียชื่อเสียงและแอบดูความเป็นส่วนตัวของคนอื่นนั้น แม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่ผิดก็คือผิด ซูเสี่ยวเตาคนนี้กล้าทำกล้ารับ แต่แม่ทัพใหญ่โปรดละเว้นชีวิตให้ข้าได้ทดแทนคุณแผ่นดินได้หรือไม่”
เขามองนางตาค้าง
“โลกเรามีวิธีทำคุณไถ่โทษอยู่ไม่ใช่หรือ” ความขลาดกลัวของนางหายไปแล้ว ดวงตาคู่งามเป็นประกายแรงกล้า “ซูเสี่ยวเตาคนนี้อยากลงสมรภูมิห้ำหั่นข้าศึก เอาชีวิตน้อยๆ เข้าแลกกับกองทัพชนเผ่าอี๋ตะวันตก แม่ทัพใหญ่เห็นเป็นเช่นไร”
“เห็นเป็นเช่นไร?” นานทีเดียวกว่าหร่วนชิงเฟิงจะหาเสียงตนเองเจอ แล้วเพิ่มน้ำหนักมือที่นวดหว่างคิ้วให้มากขึ้น
เฮ้อ…
“ข้ารู้สึกว่าแม่นางเสี่ยวเตาดูงิ้วเรื่องมู่หลานเกณฑ์ทหารมากเกินไป กองทัพของราชสำนักเราตอนนี้แข็งแกร่ง ซูเถี่ยโถวพ่อเจ้าก็เป็นนายทัพแนวหน้าที่เก่งกาจนายหนึ่งของกองทัพสกุลหร่วน ต้องให้เจ้ามา ‘หมายใจจะหาซื้ออาชา แทนบิดาออกรบไม่กลัวตาย’ ตั้งแต่เมื่อไรกัน”
“ท่านพ่อก็ส่วนท่านพ่อ ข้าอยากไปเข่นฆ่าศัตรูปกป้องแผ่นดินด้วยตนเอง แม้แต่ท่านพ่อก็ทำให้ข้าล้มเลิกความตั้งใจไม่ได้” ใบหน้าเรียวเล็กดูขึงขังจริงจังยิ่งนัก
“แม่นางเสี่ยวเตา ราชสำนักเราไม่เคยมีแม่ทัพนายกองที่เป็นหญิง” เขาก้มลงมองนาง พลางบอกเสียงนุ่มนวล “การที่สตรีจะมาเป็นทหารนั้นไม่สะดวกหลายประการ”
ต่อให้นางหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่และรูปร่างสูงใหญ่ยิ่งกว่าบุรุษ เขาก็ให้นางเป็นทหารไม่ได้ นับประสาอะไรกับที่นางรูปร่างอ้อนแอ้นบอบบางซ้ำยังหน้าตาอ่อนหวานน่ารัก จะให้มาเป็นตุ๊กตานำโชคอยู่ในค่ายอย่างนั้นหรือไร
“ข้าจะปลอมตัวเป็นบุรุษ ข้าทำได้แน่” นางบอกอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ
“ไม่ได้ ทำเช่นนี้ผิดกฎกองทัพ” เนตรหงส์กระดกเฉียง เขาปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด “ข้าไม่อนุญาต”
“แม่ทัพใหญ่ ชั่วดีอย่างไรข้าก็เคยเลี้ยงเกี๊ยวน้ำไส้เนื้อเจ้าชามเบ้อเริ่ม จะไม่เจรจากันหน่อยหรือ” ซูเสี่ยวเตาทำแก้มป่อง
เขาเห็นแล้วแทบหัวเราะออกมา อยากเอานิ้วจิ้มแก้มป่องเนียนนั่นนัก ลำบากแทบตายกว่าจะห้ามตนเองได้ “เรื่องงานก็เรื่องงาน เรื่องส่วนตัวก็เรื่องส่วนตัว”
“เจ้าอยากให้ข้าโดนตัดหัวมากกว่าจะให้ข้าเป็นทหารหรือ” ใบหน้าเรียวเล็กหม่นหมอง รู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก
“เมื่อไรกันที่ข้า…” เขาใจอ่อนยวบอย่างไร้สาเหตุ น้ำเสียงก็พลอยนุ่มนวลขึ้นไปด้วย “เฮ้อ…ในสายตาเจ้า หร่วนชิงเฟิงผู้นี้เป็นคนแล้งน้ำใจ โหดเหี้ยมอำมหิต ดีแต่ฆ่าคนอย่างนั้นหรือไร”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย” นางตอบไปตรงๆ
รอยยิ้มบนใบหน้าคมคายแข็งค้างไปอีกครั้ง เหตุใดเขาฟังคำพูดของนางแล้วไม่สบอารมณ์นักนะ
“จนข้า ‘เปิดอกกันตรงๆ’ กับเจ้าแล้ว น้องสาวยังจะบอกว่าไม่สนิทกับข้าอีกหรือ”
นางขนลุกเกรียวทั้งตัว
“เมื่อครู่ข้าไม่ได้ตั้งใจเข้ามาดูเจ้าก้าวออกมาจากอ่างอาบน้ำเนื้อตัวเปล่าเปลือยเสียหน่อย” เด็กสาวแก้ต่างอย่างฉุนเฉียว “อีกอย่างมีใครเขาอาบน้ำกันกลางวันแสกๆ บ้างเล่า” สำอางเสียไม่มี!
“เมื่อครู่ข้าเพิ่งประลองฝีมือกับพ่อเจ้า เหงื่อออกทั้งตัว จึงกลับกระโจมมาอาบน้ำเช่นนี้ผิดตรงไหนกัน” เขาย้อนถามยิ้มๆ
ต่อให้รอยยิ้มของเขาทรงเสน่ห์เพียงไร ซูเสี่ยวเตาก็ยังรู้สึกว่าเขายิ้มเหมือนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อยู่ดี ไม่ว่ามองมุมใดก็ราวกับกำลังวางแผนเล่นงานใครอยู่อย่างไรอย่างนั้น…ช้าก่อน เมื่อครู่เขาบอกว่าประลองฝีมือกับใครนะ!
“ท่านพ่อของข้า?” นางเบิกตากว้าง “เจ้าประลองฝีมือกับท่านพ่อของข้าอย่างนั้นหรือ แล้วใครชนะ”
“ผู้น้อยด้อยสามารถ เลยเอาชนะไปได้นิดเดียว” เขาทำหน้าถ่อมตัว แต่ริมฝีปากกลับหยักยิ้มตรงมุม
“เป็นไปได้อย่างไรกัน” นางตกตะลึงพรึงเพริด ก่อนจะโพล่งถามว่า “ท่านพ่อของข้าอ่อนข้อให้เจ้าล่ะสิ”
รอยยิ้มของหร่วนชิงเฟิงชะงักไปเล็กน้อย มุมปากกระตุกทีหนึ่ง “น้องสาวไม่เชื่อมั่นในตัวข้าถึงเพียงนี้เชียว?”
“ข้อแรก ข้าไม่ใช่น้องเจ้า ข้อสอง ข้าเชื่อมั่นในตัวท่านพ่อของข้าต่างหาก” ซูเสี่ยวเตายกมือเท้าเอว ใบหน้าเล็กเชิดขึ้นอย่างมั่นใจในตนเอง
“วิชายุทธ์ที่ตกทอดกันมาในสกุลซูเราเลิศล้ำไร้เทียมทาน ขอเพียงมีทวนสักเล่มอยู่ในมือ จะสู้กับยอดฝีมือสักสามคนห้าคนไม่ใช่ปัญหา ดังนั้นท่านพ่อของข้าไม่มีทางแพ้เจ้าแน่”
“น้องสาวใจร้ายยิ่งนัก พูดจาทำร้ายจิตใจคนอื่นได้ทุกคำ” เขาถอนหายใจเฮือก จากนั้นรอยยิ้มก็กลับคืนสู่สองตาที่เป็นประกายอีกครั้ง “หากน้องสาวไม่เชื่อ พวกเราสองคนก็มาประลองฝีมือกันอย่างเปิดเผยสักครั้งดีหรือไม่ หากเจ้าชนะ ข้าจะยอมให้เจ้าเข้าร่วมกองทัพ เริ่มจากตำแหน่งทหารคนสนิทของข้าเลยทีเดียว แต่หากเจ้าแพ้…”
“หากข้าแพ้ ข้าขออำลาวงการ!” นางตบต้นขาฉาดอย่างเด็ดขาด
“แค่กๆ” เขาเผลอหัวเราะจนสำลัก ก่อนจะมองฝ่ายตรงข้ามอย่างจริงจัง “ไม่ต้องถึงขั้นนั้นหรอก น้องสาวมั่นใจในตนเองถึงเพียงนี้ เชื่อว่าฝีมือจะต้องสูงส่งมากแน่ ต่อให้สุดท้ายเจ้าแพ้ ข้าก็ยังจะอนุญาตให้เจ้าเป็นองครักษ์ลับของแม่ทัพใหญ่ที่คุ้มครองเจ้านายอย่างจงรักภักดีและร่วมเป็นร่วมตายกับเจ้านาย ตำแหน่งนี้มียศเท่ากับขุนนางขั้นหกเชียวนะ น้องหญิงเห็นว่าอย่างไรบ้าง”
ซูเสี่ยวเตาผู้คิดอะไรลึกๆ ไม่เคยเป็นไม่ทันระแคะระคายว่าคนเจ้าแผนการบางคนเริ่มได้คืบจะเอาศอก ใช้คำเรียกขานที่ฉวยโอกาสนางขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ ‘แม่นาง’ ‘น้องสาว’ จนข้ามขั้นระดับความสนิทมาเป็น ‘น้องหญิง’ ที่ฟังแล้วชวนให้เข้าใจผิดอย่างยิ่ง
เนื่องจากนางไม่เคยได้รับคำชมเรื่องฝีมืออย่างเปิดเผยเช่นนี้มาก่อน ซูเสี่ยวเตาถึงกับหน้ามืดด้วยความปลาบปลื้ม ในหัวมีแต่คำว่า ‘ฝีมือสูงส่ง’ ‘คุ้มครองเจ้านายอย่างจงรักภักดี’ และ ‘ร่วมเป็นร่วมตาย’
โดยเฉพาะตำแหน่ง ‘ขุนนางขั้นหก’ ที่เขาพูดตบท้ายยิ่งเหมือนระเบิดความลิงโลดขึ้นในใจนาง ความมีสติรู้คิดที่เหลือไม่ถึงสองส่วนอยู่แล้วกระเจิดกระเจิงไปหมด สมองมีแต่ความคิดที่ทำให้เลือดในกายร้อนฉ่าว่า วิเศษ! ในที่สุดข้าก็จะได้สร้างเกียรติยศให้วงศ์ตระกูล ได้ระบายความอัดอั้นที่เกิดมาเป็นลูกสาวบ้างแล้ว
“ได้ ตกลงตามนี้” นางยื่นมือออกไปอย่างแทบทนรอไม่ไหว “ตบมือสามครั้งเป็นการสาบาน ใครผิดคำพูดจะต้องวิ่งเปลือยก้นรอบเมืองชายแดนตะวันตกสามรอบ!”
“แค่กๆ”
“อะไร คิดจะเปลี่ยนใจอย่างนั้นหรือ” นางถามขึ้นอย่างลนลาน
“เปล่า” เขายกแขนเสื้อขึ้นบังอาการสำลักจนตัวโยนของตนได้อย่างนุ่มนวลสง่างาม นานทีเดียวกว่าลมหายใจจะกลับเป็นปกติ ก่อนจะเอ่ยชมยิ้มๆ “สาบานได้ดี ตกลงตามนี้”
“มา!” มือเล็กเงื้อขึ้นสูง
“เฮ้อ…” เขากลืนความรู้สึกทั้งโมโหทั้งขันลงคอ แล้วตบมือกับนางสามครั้งแต่โดยดี
มือใหญ่เรียวยาวอบอุ่นแนบประกบกับมือเล็กนุ่มนิ่มสามครั้ง ไม่รู้เพราะเหตุใดหัวใจของเขาถึงได้ไหวสะท้านเป็นครั้งๆ ตามไปด้วย คงเพราะฝ่ามือนางมีไตแข็งกร้านหรือไม่ก็เพราะปลายนิ้วเล็กๆ ดุจเด็กน้อยของนางดูน่ารักน่าทะนุถนอมเหลือเกินเมื่อเทียบกับนิ้วเรียวยาวเห็นข้อกระดูกชัดเจนของเขา
เนตรหงส์พลันอ่อนโยนขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เนื่องจากการประลองนี้เป็นความลับ ดังนั้นจะให้ใครล่วงรู้ไม่ได้เด็ดขาด
หร่วนชิงเฟิงสั่งให้องครักษ์คนสนิทไปตระเตรียมลานประลองยุทธ์ที่มิดชิดที่สุดในค่ายเพื่อเป็นเวทีประลองในครั้งนี้
ห้องประลองลับที่สร้างโดยขุดเข้ามาในภูเขาแห่งนี้เป็นที่ซ้อมยุทธ์ขององครักษ์ลับสกุลหร่วน พอได้รับคำสั่งจากท่านแม่ทัพใหญ่ในวันนี้ หัวหน้าองครักษ์ลับก็สั่งงานลูกน้องให้ทำความสะอาดห้องจนไม่มีฝุ่นให้เห็นแม้แต่ละอองเดียวได้ภายในเวลาแค่ชั่วจิบชาหนึ่งจอก มิหนำซ้ำยังไม่ลืมนำมุกเรืองแสงหลายเม็ดออกมาวางให้แสงสลัวนวลตา จากนั้นก็เสริมบรรยากาศด้วยโคมไฟ
นี่จะมาประลองยุทธ์หรือมาเข้าห้องหอกันแน่!
ทันทีที่ก้าวเข้ามาข้างใน รองเท้าหนังกวางปักดิ้นเงินดิ้นทองเป็นลวดลายงดงามของหร่วนชิงเฟิงก็สะดุดกึก ใบหน้างามคมคายปรากฏร่องรอยของความเขินอายอย่างที่หาได้ยาก
“อ่ะแฮ่ม” เขาหันมาพูดกับซูเสี่ยวเตาที่กำลังมองไปรอบตัวด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยู่ข้างหลัง “ที่นี่ล่ะ”
“โห ในค่ายมีห้องลับดีๆ เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดข้าถึงไม่เคยรู้เลย” นางหายโมโหเรื่องที่ถูกบังคับให้ปิดตาเมื่อครู่ เปลี่ยนมาร้องอุทานอย่างชื่นชม
“นอกจากข้า รองแม่ทัพ แล้วก็องครักษ์ลับของสกุลหร่วน ไม่มีใครรู้จักที่นี่หรอก” เขาจ้องมองเด็กสาวด้วยแววตาอ่อนโยน
น้องหญิงสกุลซู ดูสิว่าพี่ให้อภิสิทธิ์กับเจ้าเพียงใด…
“ไม่มีใครรู้จัก?” ซูเสี่ยวเตาชะงักกึก ก่อนจะสูดหายใจเฮือกใหญ่ “เจ้าคงไม่คิดจะฆ่าข้าปิดปากหรอกนะ”
“ฆ่าเจ้า?” เขาโมโหเสียจนหน้ามืด ต้องกัดฟันเค้นเสียงออกไปว่า “ในสายตาเจ้า หร่วนชิงเฟิงผู้นี้เป็นคนอย่างไรกันแน่”
“ไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ ข้าก็แค่ถามดูเท่านั้น อย่าเคืองน่า” นางรีบเข้ามาตบหลังเขาเบาๆ พลางยิ้มประจบ
ภายใต้แสงสลัวของมุกเรืองแสง ใบหน้าบึ้งตึงของเขายิ่งดูดำคล้ำจนนางอดจะเป็นกังวลไม่ได้
พวกชนเผ่าอี๋ตะวันตกจ้องจะเล่นงานเราทุกขณะจิต หากนางเผลอทำให้แม่ทัพสงบประจิมผู้ยิ่งใหญ่โมโหจนลมจุกอกตายขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า
“หึ!” เขายังทำหน้าง้ำ แต่ก้มตัวลงมาเล็กน้อยเพื่อให้เจ้าของร่างเล็กเตี้ยตบไหล่ตนเองถึง
ทว่าพอชายหนุ่มก้มตัวพลางโน้มหน้าลงมาเช่นนี้ กลับสร้างความทรมานให้นางอย่างยิ่ง
ซูเสี่ยวเตาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะเหตุใด ใบหน้าของเขาโน้มลงมาตรงบริเวณกกหูกับซอกคอนางพอดี ลมหายใจที่อวลกลิ่นอายเข้มแข็งอย่างบุรุษเป่ารดใบหูไวสัมผัสเบาๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ปลายจมูกถากผ่านผิวกายจนนางตัวแข็งทื่อไม่เป็นตัวของตัวเอง
นอกจากนั้นนางยังสัมผัสได้ว่าหัวใจกับท้องน้อยของตนเองปั่นป่วนอย่างน่าประหลาด ทั้งเสียวซ่าน วูบวาบ และร้อนผ่าว…
นางอยากถอยหนีไปข้างหลัง ทว่าเขาทิ้งศีรษะลงมาซบไหล่นางเข้าเต็มๆ ซ้ำยังถอนหายใจเฮือก “ข้าโมโหจนแน่นหน้าอกไปหมดแล้ว”
ประโยคนั้นปิดกั้นโอกาสจะก้าวเท้าถอยของนางไปสิ้น ซูเสี่ยวเตากัดฟันกรอดๆ อยู่สองสามที สุดท้ายก็ยังยอมตบหลังต่อให้เขาอีกสองสามที ทว่าในที่สุดก็ยังโพล่งถามไปอย่างดุดันตามนิสัยคนใจร้อน
“ดีขึ้นหรือยัง”
หร่วนชิงเฟิงเป็นแม่ทัพชาญสมรภูมิที่ออกศึกมานานปี รู้จักรุกรู้จักถอย หยุดเมื่อควรหยุด หลังจากถอนหายใจอย่างเคร่งขรึมทีหนึ่ง เขาก็ยืนตรงแล้วคลี่ยิ้มสะกดใจให้นาง
“ดีขึ้นแล้ว”
โชคดีที่ดีขึ้นแล้ว เพราะนางแทบห้ามกำปั้นที่คันยิบๆ ของตนเองไม่ไหว
“ข้าถนัดเพลงดาบ ไม่ทราบว่าอาวุธของแม่ทัพใหญ่คืออะไร”
“ม้านั่งแบบพับได้” เขาฉีกยิ้มกว้าง
“หา?” เด็กสาวอึ้ง
“พูดเล่นหรอก” หร่วนชิงเฟิงขยิบตาให้นางอย่างทะเล้น “น้องหญิงเคร่งเครียดเกินไป ข้าเลยพูดจาให้ตลกเพื่อคลี่คลายบรรยากาศ”
…ท่านพ่อ ข้าขอซัดผู้บังคับบัญชาท่านได้หรือไม่
หางตาซูเสี่ยวเตากระตุกริกๆ ต้องใช้เรี่ยวแรงมหาศาลทีเดียวถึงจะสามารถห้ามตนเองไม่ให้กระโจมเข้าไปซัดเขาจนน่วม ก่อนจะแค่นเสียงประชด “ฮ่าๆ ขำมาก”
หร่วนชิงเฟิงเองก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองเข้าสู่ทางสายมืดขึ้นมานิดๆ ไม่เช่นนั้นเหตุใดถึงคิดว่าผู้ใหญ่รังแกเด็ก บุรุษรังแกสตรี เสือรังแกกระต่ายเป็นเรื่องที่สนุกเพลิดเพลินถึงเพียงนี้ได้เล่า
“กลับมาที่เรื่องสำคัญกันดีกว่า จำกัดที่สิบกระบวนท่า หากสามารถทำให้อาวุธหลุดมือคู่ต่อสู้และกดอีกฝ่ายลงกับพื้นได้ในสิบกระบวนท่าก็ถือว่าชนะ” เขาเดินไปที่ราวอาวุธช้าๆ แล้วหยิบกระบองไม้เกาลัดที่ใช้น้ำมันขัดถูจนขึ้นเงาลงมาจากราว
กระบองยาวกลมกลึง ไม่มีหนาม ไม่มีคม ไม่ทำให้บาดเจ็บ ข้อนี้สำคัญยิ่ง
ส่วนซูเสี่ยวเตาย่อมต้องเลือกดาบเล่มใหญ่แน่นอนอยู่แล้ว สันดาบหนา ใบดาบวาววับ ด้ามจับหุ้มหนังหมาป่าอย่างดี ช่วยให้จับกระชับมือ ไม่ลื่น อาวุธชนิดนี้ดุดันน่ากลัว ขัดกับภาพลักษณ์น่ารักอ่อนหวานของนางโดยสิ้นเชิง
แต่พอได้เห็นนางถือดาบเล่มใหญ่ยืนจังก้าอยู่ตรงนั้นอย่างห้าวหาญ หร่วนชิงเฟิงก็มีอันอึ้งไป
ดาบเล่มใหญ่ดูหนักแน่นขึงขัง ขณะที่คนถือรูปร่างเล็กบางนิดเดียว ไม่รู้เพราะเหตุใดสมองของเขาจึงได้นึกถึงกลอน ‘ดาบเล่มเขื่องหนักอึ้งเกินแรงนาง ร่างบอบบางหอบฮักยืนไม่ไหว’ ขึ้นมา
เขาชักอยากกระแอมอีกแล้วสิ
“เข้ามาเลย!” นางคำรามลั่นพลางตบดาบเป็นการคำนับ
หร่วนชิงเฟิงรีบปรับอารมณ์แล้วยิ้มบาง “เชิญ”
ซูเสี่ยวเตาทำปากเก่งไปอย่างนั้น แต่ในใจรู้ดีว่าฝ่ายตรงข้ามได้รับการอบรมเลี้ยงดูจากสกุลหร่วนแห่งเมืองหลวง ซ้ำยังเป็นแม่ทัพสงบประจิมที่ราชสำนักแต่งตั้ง มีหรือวรยุทธ์จะอ่อนด้อย ดังนั้นนางจึงระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยใช้กระบวนท่า ‘หนึ่งดาบเบิกภูผา’ หยั่งเชิงก่อน
หร่วนชิงเฟิงสวมเสื้อคลุมสีขาวนวล ผูกผ้าคาดเอวสีทอง ท่าทางเช่นคุณชายลูกผู้ดี ชายหนุ่มย่างเท้าเนิบนาบ มือใหญ่เรียวยาวถือกระบองไม้เกาลัดอย่างผ่อนคลาย รับดาบเล่มใหญ่ทรงพลังที่ฟาดลงมาได้โดยไม่เหนื่อยแรง
แรงสะเทือนที่เกิดขึ้นทำให้ง่ามนิ้วโป้งของนางเจ็บแกมชา หัวใจสะดุ้งวาบ ยิ่งไม่กล้าประมาทชายหนุ่มรูปงามที่ดีแต่ยิ้มกริ่มคนนี้มากกว่าเดิม
เยี่ยม มีดีอยู่เหมือนกัน ไม่ได้เป็นแค่หมอนปักลายที่สวยแต่รูป
ความคิดนั้นผ่านเข้ามาในหัว ร่างเล็กอ้อนแอ้นบิดตัวคล่องแคล่ว วาดดาบในมือออกจากตัวเป็นวงกลมอย่างรวดเร็วโดยมีจุดหมายอยู่ที่เอวเขา น่าเสียดายที่กระบองไม้เกาลัดที่ถูกยกอย่างเนิบนาบยังชิงสกัดปลายดาบนางได้ก่อนเหมือนเดิม พอเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นว่าเขายังมีท่าทางปกติ หน้าไม่แดง หายใจไม่หอบ ดวงตาแต้มยิ้มสบายอารมณ์ ซูเสี่ยวเตาเห็นแล้วโมโหจนเลือดแทบพุ่ง
ยิ้มบ้ายิ้มบออะไรกัน!
บุรุษน่าโมโหคนนี้เสแสร้งแกล้งเล่นละครตบตาหลอกนางจนหัวหมุนมาตั้งแต่แรก จนนางคิดไปว่าเขาเป็นคนปัญญาอ่อนเซ่อซ่าไม่ทันโลก แล้วเกิดความสงสารเห็นใจยื่นมือเข้าช่วยเหลือ สุดท้ายกลายเป็นว่านางบ้าบอไปเองอยู่ฝ่ายเดียว…
เพราะที่แท้แล้วเขาเป็นถึงผู้บัญชาการสูงสุดแห่งชายแดนตะวันตก เป็นแม่ทัพใหญ่จากสกุลหร่วน ซ้ำฝีมือยังเลิศล้ำไร้เทียมทาน!
นางกัดฟันแน่นจนฟันแทบแหลก ใบหน้าเรียวเล็กดำคล้ำเป็นก้นหม้อ ขณะเพิ่มน้ำหนักมือมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ได้ ถึงเขาจะเป็นพวกเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกช่างวางแผน นางก็จะปล่อยให้ ‘สามสิบหกกระบวนท่าดาบเบิกภูผา’ ของสกุลซูต้องมาเสียชื่อเพราะตนเองไม่ได้!
ซูเสี่ยวเตาทะยานเข้าใส่ดุจพายุอันเกรี้ยวกราดที่ทำให้คนแทบหายใจไม่ออก สีหน้าของหร่วนชิงเฟิงเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย ขณะนึกเอ่ยชมอยู่ในใจ สมแล้วที่เป็นลูกสาวที่ซูเถี่ยโถวเลี้ยงดูมากับมือ ฝีมือดาบเยี่ยมยุทธ์เช่นนี้สูสีกับทหารระดับนายกองร้อยเลยด้วยซ้ำ
หร่วนชิงเฟิงเพิ่มความจริงจังในการต่อสู้ขึ้นสามส่วนทันที นอกจากนั้นยังหุบยิ้มเพื่อจะได้ไม่ยั่วโมโหนางไปมากกว่าเดิม…ด้วยสัมผัสได้เลาๆ ว่านางไม่สบอารมณ์ที่ได้เห็นรอยยิ้มของตนในเวลานี้
ดาบใหญ่ในมือเล็กมาถึงท่า ‘แปดดาบเบิกภูผา’ อันว่องไวดุจดาวตก โดยพุ่งเป้าไปที่หน้าเขา หากเขาไม่อยากถูกฟันเข้าจังๆ ก็ต้องถอยหลบไปข้างหลัง ทว่าด้วยกลยุทธ์ที่ซูเสี่ยวเตาจงใจวางไว้…และเขาแสร้งทำเป็นไม่รู้ เขาถูกต้อนให้เข้ามาจนมุมตรงผนังถ้ำ ไม่มีที่ให้ถอยหนีได้อีก
นางลิงโลดอยู่ในใจเมื่อเห็นดังนั้น ภายใต้คมดาบอันกร้าวแกร่งก็ยังไม่ลืมจะเว้นระยะห่างไว้สองส่วน จะได้ไม่ฟันถูกใบหน้าคมคายไร้ที่ติของเขาเข้าจริงๆ แล้วทำให้ตนเองกับท่านพ่อเดือดร้อนครั้งใหญ่
ชั่วเส้นยาแดงผ่าแปด อยู่ๆ ร่างสูงใหญ่ของหร่วนชิงเฟิงก็อันตรธานไปจากตรงหน้านางอย่างฉิวเฉียด เด็กสาวรู้สึกตาพร่าจากนั้นเพียงวูบเดียวก็สัมผัสได้ถึงวัตถุแข็งๆ ที่ประชิดแผ่นหลัง
“เจ้าแพ้แล้ว” แผ่นอกบึกบึนกำยำแนบติดกับหลังเล็กบาง เขาก้มหน้าลงหัวเราะเบาๆ ตรงริมหูนาง
กกหูเล็กเสียววาบขึ้นมาอย่างไม่เอาไหน หัวเข่าก็อ่อนยวบอย่างไร้สาเหตุ ใบหน้าเนียนร้อนฉ่า สติกระเจิงอยู่นาน
การหยอกเย้าอันน่าโมโห…เป็นการหยอกเย้าอันน่าโมโหอีกแล้ว…
“ฝะ…ฝันไปเถอะ!” ในที่สุดซูเสี่ยวเตาก็หาเสียงตนเองเจอ ทว่ากลับสั่นเสียไม่มีดี
“อาวุธของข้าจ่อเจ้าอยู่ ยังไม่ยอมแพ้แต่โดยดีอีกหรือ” เขายิ้มอย่างสบายอารมณ์
เฮ้อ…หร่วนชิงเฟิงอยู่มายี่สิบสามปี เพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าตนก็มีสัญชาตญาณกักขฬะชอบ ‘หยอกเย้าแทะโลมสตรี’ เป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่เมื่อก่อนไม่เคยปลุกสัญชาตญาณนี้ขึ้นมาเท่านั้นเอง
“ดาบของข้ายังอยู่ในมือข้า เช่นนี้ไม่นับ!” นางสะท้านเฮือก แต่สติที่กระเจิดกระเจิงกลับมาตื่นตัวอีกครั้ง ดาบเล่มใหญ่แทงย้อนไปข้างหลัง…
แล้วเหมือนแทงถูกอะไรบางอย่างในทันที!
“อื๊อ!” เสียงครางหนักๆ ดังขึ้น แรงกดดันที่แผ่นหลังสัมผัสได้หายวับ แต่ซูเสี่ยวเตายังไม่ทันได้ดีใจที่การจู่โจมของตนเองสำเร็จก็มีอันต้องใจเสียเพราะเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของเขาเสียก่อน
มะ…ไม่จริงน่า ข้าแทงถูกเขาจริงๆ อย่างนั้นหรือ!
นางพรั่นพรึงลนลานจนไม่มีอารมณ์จะสนใจอย่างอื่น นอกจากรีบโยนดาบทิ้งแล้วหันกลับไปรับร่างสูงใหญ่ที่เอนล้มลงมาปานขุนเขาถล่มของเขาเอาไว้
“นี่ มะ…แม่ทัพใหญ่ อย่าทำให้ข้าตกใจสิ!” ใบหน้าเรียวเล็กซีดเผือด ริมฝีปากสั่นระริกเอ่ยออกมาตะกุกตะกัก
เขาพยายามขืนตัวเล็กน้อยขณะทรุดลงกับพื้น ต่อให้นางแรงเยอะเพียงใดก็รับน้ำหนักบุรุษตัวใหญ่ๆ ทั้งคนไม่ไหว ประกอบกับนางกลัวว่าตนเองทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสแล้วจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ทั้งมือทั้งเท้าจึงอ่อนปวกเปียกด้วยอารามลนลาน จนร่างเล็กพลอยทรุดลงไปพร้อมเขาด้วย
ศีรษะของเขาหนุนตักนางอย่างอ่อนแรง ใบหน้าคมคายหันไปทางท้องน้อยแบนราบหอมกรุ่นนิ่งๆ ไม่ขยับ
“แม่ทัพใหญ่…ระ…หร่วนชิงเฟิง…เจ้าไหวหรือไม่ ข้าไปเรียกหมอทหารมาให้ดีหรือไม่” มือเล็กลูบสะเปะสะปะไปตามศีรษะและใบหน้าเขาเพื่อสำรวจอาการพลางเอ่ยถามเสียงสั่น
“หน้าอก…เจ็บ…” ชายหนุ่มหายใจรวยริน ขณะขยับหน้าเข้าไปใกล้ท้องน้อยนางอีกนิด จนแทบจะฝังซุกลงไปในกลิ่นหอมหวานของวัยดรุณี
“หน้าอก?” ราวกับคว้าจับทุ่นลอยที่ช่วยตนเองให้พ้นจากการจมน้ำได้ หัวใจนางสงบขึ้นเล็กน้อย มือเล็กลูบไปตามอกเสื้ออีกฝ่าย “ตรงไหน ตรงไหนกัน”
“ต่ำอีกนิด…ต่ำอีก…”
ต้องโทษมุกเรืองแสงสถานเดียว ที่แสงหรุบหรู่ไม่สว่างพอ เลยเป็นโอกาสให้ ‘คนใจคด’ แอบฉกฉวยโอกาสกับนางได้
“ตรงนี้หรือ” นางรีบเลื่อนมือจากอกครึ่งบนไปหาอกครึ่งล่าง
ร่างสูงใหญ่ที่นอนหนุนตักสะท้านเฮือกหนึ่งเหมือนเจ็บปวด ยังผลให้นางยิ่งลนลาน
“ต่ำลงไปอีก…” เสียงทุ้มพร่าของเขาเกือบจะมีความรู้สึกผิดแฝงอยู่
ทว่ามือเล็กทั้งนุ่มนวลทั้งอุ่นสบายอย่างยากจะบรรยาย จุดลูกไฟให้ลุกพึ่บขึ้นมาระหว่างลูบไล้จนเขาทั้งเคลิบเคลิ้ม มึนเมา วูบวาบ แล้วจะให้หยุดได้อย่างไรเล่า…
ตกต่ำเหลือเกิน หร่วนชิงเฟิง เจ้าตกต่ำเกินไปแล้วจริงๆ…
“ต่ำกว่านี้ก็ไม่ใช่หน้าอกแล้วนะ” ซูเสี่ยวเตาใช่จะหัวช้าจนเกินเยียวยา เมื่อลูบลงไปถึงท้องน้อยแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า นางก็ถามขึ้นด้วยความฉงน
เฮ้อ…จบกัน
หร่วนชิงเฟิงผงะ ก่อนจะแสร้งทำถอนหายใจอย่างอ่อนแรง “ช่างเถิด ข้า…เดี๋ยวข้าทำเองก็ได้ ถึงอย่างไรชายหญิงก็ไม่ควรใกล้ชิดกัน ข้า…แค่กๆ ข้าจะทำให้น้องหญิงมัวหมองได้อย่างไร…แค่กๆ…ได้อย่างไรกันเล่า”
“โธ่เอ๊ย ชาวยุทธ์เราไม่สนใจธรรมเนียมหยุมหยิมพวกนี้หรอก ลูบแค่ไม่กี่ทีจะเป็นไรกันเชียว” ได้ยินเขาพูดอย่างนี้ นางก็ยิ่งรู้สึกผิดจนแทบทนไม่ไหว น้ำเสียงจึงนุ่มนวลอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ขณะถามเบาๆ “แม่ทัพใหญ่ ไม่ต้องอายหรอกนะ ข้าจะอ่อนโยนให้มากๆ หากเจ็บก็ร้องออกมาล่ะ…”
ไม่ไหวแล้ว เขาไม่ไหวแล้วจริงๆ…
หร่วนชิงเฟิงสัมผัสได้ว่าอะไรอุ่นๆ กำลังฉีดพุ่งอยู่ในจมูกและทำท่าจะไหลทะลักออกมา เขารีบยกมือขึ้นปิดจมูกไว้พลางลุกพรวดขึ้นมาจากตักนาง ก่อนจะหันหลังให้ด้วยความร้อนตัว
“แม่ทัพใหญ่ เป็นอะไรหรือ” มือนางจับถูกอะไรบางอย่าง พอยกขึ้นมาดูก็ตกใจจนหน้าถอดสี “เลือด!?”
“ข้าไม่เป็นไร” เขายังคงหันหลังให้นาง ใบหน้าแดงก่ำ ขณะพูดเบาๆ อย่างกระอักกระอ่วน “แค่กๆ การประลองครั้งนี้เจ้าเป็นฝ่ายชนะ ข้าอนุญาตให้เจ้าเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่วันพรุ่งนี้ มาเป็นทหารในสังกัดแม่ทัพใหญ่โดยตรง”
“ตอนนี้ใช่เวลามาพูดว่าใครแพ้ใครชนะเสียที่ไหนกันเล่า เจ้าบาดเจ็บจนเลือดไหลแล้วนะ” อารามร้อนรนทำให้ลำคอนางตีบตันและเจ็บแน่นอย่างน่าประหลาด “รีบให้ข้าดูแผลเร็วเข้า!”
“ไม่ต้อง” เขาเพิ่งฉุกใจว่าตนเองมีการตอบสนองรวดเร็วและรุนแรงเกินไป จึงลดเสียงลงถอนหายใจ “ประลองยุทธ์ก็ต้องได้แผลบ้างอยู่แล้ว วางใจเถิด เดี๋ยวข้าจะไปใส่ยา เจ้ากลับไปก่อนไป”
“แต่ถ้าไม่ได้ดูด้วยตนเองข้าไม่วางใจ” นางกัดริมฝีปาก
“แค่กๆ หร่วนชี!” เขาส่งเสียงเรียก “พาแม่นางเสี่ยวเตาออกจากค่าย”
“ขอรับ!” เงาดำร่างหนึ่งโผล่ออกจากที่ใดไม่รู้มาตอบรับอย่างนอบน้อม ทำเอาเด็กสาวสะดุ้งเฮือก
“แม่ทัพใหญ่ ไม่ได้นะ ข้าเป็นคนทำร้ายเจ้า จะลอยชายจากไปโดยไม่รับผิดชอบได้อย่างไรกัน”
ถึงซูเสี่ยวเตาจะมีนิสัยใจร้อนหุนหัน แต่ก็เป็นคนมีเหตุผล ตนใช้ดาบแทงแม่ทัพใหญ่จนได้รับบาดเจ็บ เขาไม่ลงโทษหรือว่ากล่าวนางสักคำ เท่านี้ก็ใจดีมากแล้ว เป็นแม่ทัพต้องใจคอกว้างขวาง แต่หากนางสะบัดก้นจากไปจริงจะยังเรียกตนเองว่าคนได้อีกหรือ
เขาใช้แขนเสื้ออุดจมูกเพื่อห้ามเลือดกำเดา พลางบอกเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไร ข้าไม่โทษเจ้าหรอก”
แต่ยิ่งเขาอ่อนโยน ซูเสี่ยวเตาก็ยิ่งรู้สึกผิด ความละอายแก่ใจอันประมาณไม่ได้ถาโถมเข้ามาจู่โจมนางจากทุกทาง
“แม่ทัพใหญ่ ขออภัยด้วย เป็นเพราะความเอาแต่ใจของข้าแท้ๆ” นางกัดริมฝีปากแน่น มือเล็กบิดไปบิดมาด้วยความร้อนรน
ชายหนุ่มผงะ ด้วยจับน้ำเสียงหดหู่หม่นหมองและรู้สึกผิดของนางได้ หัวใจอ่อนยวบอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนจะเริ่มพิจารณาตนเองอย่างจริงจังชนิดที่ทำไม่บ่อยนัก
เฮ้อ…ไร้คุณธรรมอย่างยิ่ง หร่วนชิงเฟิง เจ้าทำให้เด็กสาวใสซื่อบริสุทธิ์คนหนึ่งตกใจลนลานหมดแล้ว
แต่ถ้าจะให้บอกความจริงไปตามตรง ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้เป็นเพราะเมื่อครู่ข้าเกิดอยากแกล้งนางขึ้นมา…
เฮ้อ…ทำไม่ได้
“หร่วนชี!” จะหันไปทางไหนก็ลำบากใจเหลือเกิน สุดท้ายเขาจึงเอ่ยเรียกคนสนิทเบาๆ
หร่วนชีดีดนิ้วอย่างแนบเนียน ลมลูกหนึ่งแหวกอากาศพุ่งเข้าใส่จุดสลบของซูเสี่ยวเตา หร่วนชิงเฟิงรีบหมุนตัวมารับร่างนางไว้แล้วถอนหายใจเบาๆ
“หร่วนชี” ท่อนแขนแข็งแรงโอบกอดร่างละมุนไว้อย่างมั่นคงและอบอุ่น ความรู้สึกผิดฉายขึ้นบนใบหน้าเขา “ข้าร้ายกาจมากใช่หรือไม่”
“นายท่านถูกใจแม่นางคนนี้อย่างนั้นหรือขอรับ” หากตัดใบหน้าเฉยชาไร้อารมณ์ตามแบบองครักษ์ลับออกไป หร่วนชียามนี้ก็ตกใจเสียจนลูกตาแทบถลนออกจากเบ้าแล้ว
“ถูกใจหรือ…” หัวใจของหร่วนชิงเฟิงไหววาบ เขายกมือลูบคางโดยไม่รู้ตัว “ดูเหมือนจะยังไม่ถึงขั้นนั้น แค่รู้สึกว่าสนุก อย่างแกล้งอยากแหย่เล่น”
“…” หร่วนชีมองมาทางเขานิ่งๆ
“อะไรหรือ” เนตรหงส์จ้องมองคนสนิทพลางเอ่ยถาม
“ท่าน…ร้ายกาจจริงๆ” หร่วนชีพึมพำ
ใบหน้าคมคายแข็งค้าง หัวคิ้วกระตุกนิดๆ “ข้าไม่ได้ให้เจ้าตอบตามจริงเสียหน่อย”
“ผิดไปแล้วขอรับ”
“ช่างเถิดๆ พานางออกไปเสีย” เขาส่งร่างเล็กแบบบางไปให้หร่วนชีอย่างเบามือราวกับเป็นของล้ำค่าที่แสนเปราะบาง แต่พอองครักษ์ยื่นมือออกมารับจริง เขากลับลังเลเสียอย่างนั้น
“นายท่าน?”
เขาไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองเป็นอะไรไปแล้ว แต่พอเห็นมือใหญ่ ‘เปลือยเปล่า’ ของหร่วนชีแล้วมองเด็กสาวร่างเล็กในวงแขนก็ให้รู้สึกขัดใจขึ้นมานิดๆ สุดท้ายก็ขมวดคิ้วสั่งเสียงแข็ง “ฉีกชายเสื้อเจ้าออกมาพันมือซ้ายขวาให้แน่นหนา”
นับตั้งแต่เริ่มติดตามรับใช้ท่านแม่ทัพใหญ่ตอนอายุได้สิบสองปี หร่วนชีไม่เคยได้รับคำสั่งแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน ใบหน้าเฉยชาไร้อารมณ์ปรากฏความผงะอึ้งขึ้นมาแวบหนึ่งอย่างหาได้ยาก
“หา?”
“หาเหออะไรกันเล่า นี่คือคำสั่งทหาร” แววตาของหร่วนชิงเฟิงเข้มขึ้น
หร่วนชีสะดุ้ง ก่อนจะรีบฉีกชายเสื้อออกมา ใช้มือซ้ายพันมือขวา ใช้มือขวาพันมือซ้าย จนกลายเป็นถุงมือสีดำที่แสนแน่นหนาจนผิวเนื้อไม่โผล่ออกมาข้างนอกแม้แต่นิดเดียว
เห็นเช่นนั้นหร่วนชิงเฟิงค่อยรื่นหูรื่นตา แล้วส่งร่างเด็กสาวในอ้อมกอดไปให้อย่าง ‘ใจเด็ด’ โดยไม่ลืมข่มขู่ “แบกได้อย่างเดียว ห้ามกอด หากฝ่าฝืนกฎทหารมีโทษถึงตาย!”
หร่วนชีชักเข่าอ่อนนิดๆ ความกดดันนี้ช่าง…รุนแรงเหลือเกิน
สวรรค์ เหตุใดวันนี้ถึงต้องเป็นเวรข้าด้วยนะ
ถ้าไม่ใช่ศิษย์พี่หร่วนอี หร่วนเอ้อร์ หร่วนซาน หร่วนซื่อ หร่วนอู่ หร่วนลิ่วที่อยู่ก่อนหน้าเขา ให้เป็นศิษย์น้องหร่วนปา หร่วนจิ่ว หร่วนสือ หร่วนสืออี ที่อยู่ข้างหลังก็ยังดี!
องครักษ์ลับยอดฝีมือหร่วนชีผู้น่าสงสารเหงื่อแตกเต็มหลัง ทว่าก็ได้แต่ทำหน้านอบน้อมขณะร้องโหยหวนอยู่ในใจ ก่อนจะแบกแม่นางน้อยที่สลบไสลไม่ได้สติออกไปอย่างเกร็งเครียด
เหลือแต่เพียงแม่ทัพหร่วนบุตรชายท่านโหวผู้…ถ้าตัดเลือดกำเดาสองสายที่ทำลายความงามไปเสีย…ก็รูปงามสำรวยไร้เทียมทานกำลังใช้ความคิดเงียบๆ อยู่ที่เดิม
สักพักใหญ่ให้หลังเขาก็ตบมือฉาดเมื่อคิดอะไรได้แล้วหัวเราะเสียงดังก้อง
“ฮ่าๆ ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว!” เขายิ้มกระจ่างดุจฟ้าใส ทรงเสน่ห์น่ามองเหมือนบุปผาหอมละลานตา “เมื่อวานนางปฏิบัติต่อข้าด้วยความจริงใจ แล้ววันนี้ข้าจะไม่จริงใจกับนางตอบได้อย่างไรกันเล่า มิหนำซ้ำนางยังเป็นน้องหญิงน้อยๆ เนื้อตัวหอมกรุ่น จะให้บุรุษหยาบเถื่อนอย่างหร่วนชีมาทำให้ตัวเหม็นได้อย่างไร”
นี่ล่ะ พฤติกรรมผิดปกติต่างๆ นานาของเขาเมื่อครู่มีคำอธิบายสมเหตุสมผลแล้ว ถือว่าปิดคดีได้!
บทที่สี่
ตอนที่ซูเสี่ยวเตาฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าแก่ชราที่เต็มไปด้วยความกังวลสุดแสนของป้าอาฮวากำลังหันมาทางนั้นพอดี
“หา?”
นี่นางฝันไปหรือ นางฝันร้ายสินะ ไม่เช่นนั้นจะฝันเห็นคนปัญญาอ่อนที่มาหลอกให้นางเลี้ยงเกี๊ยวกลายเป็นแม่ทัพใหญ่ไปได้อย่างไร หลังจากนั้นนางยังได้เห็น ‘น้องชาย’ ของเขา ได้ประลองยุทธ์กับเขา อีกทั้งยังใช้ดาบแทงเขาอีก…
ซูเสี่ยวเตาลุกพรวดขึ้นมานั่งตัวตรงอย่างหวาดผวาพลางหอบหายใจอย่างรุนแรง มิน่าเล่าเมื่อครู่นี้นางถึงเข้าใจผิดไปว่าตนเองฝันร้าย ไม่ว่าใครลืมตามาเจอหน้าเหมือนผีระทมทุกข์ของป้าอาฮวาก็ต้องขวัญกระเจิงด้วยกันทั้งนั้นแหละ
“คุณหนู ช่วงปลายยามอู่* ไปที่ใดมาเจ้าคะ” หญิงสูงวัยมองนางอย่างขัดอกขัดใจ ทั้งอยากถอนหายใจ อยากส่ายหน้า อยากเช็ดน้ำตา “บ่าวก็แค่อยากสอนท่านทำงานฝีมือ เย็บถุงเงิน ท่านก็ถึงกับต้องหนีออกจากบ้านให้บ่าวดูเชียวหรือ”
“แม่นม ขออภัย ข้า…” นางเห็นดังนั้นก็ปวดแปลบในใจ อดจะรู้สึกผิดไม่ได้
“บ่าวรู้ว่าคุณหนูไม่ได้ตั้งใจ” สุดท้ายป้าอาฮวาก็ยังใจอ่อน เช็ดน้ำตาพลางพูดเข้าข้างนาง
“เอ่อ…เปล่าหรอก ความจริงแล้วข้าตั้งใจน่ะ” เด็กสาวลูบหัวเก้อๆ “แต่แม่นมก็รู้นี่นา ให้ข้ามานั่งทำงานฝีมือเอย เย็บถุงเงินเอย สู้ส่งดาบให้ข้าแล้วบอกให้ออกไปฟันคนดีกว่า เหตุใดถึงต้องทำให้ทั้งตนเองทั้งข้าลำบากด้วยเล่า”
นางรู้จักตนเองดีอย่างยิ่ง หากคนอย่างนางเย็บปักถักร้อยเป็น หมูตัวเมียก็คงปีนต้นไม้ได้นั่นล่ะ
“คุณหนู เหตุใดถึงต้องทำร้ายตนเองเช่นนี้ด้วยเจ้าคะ”
“แม่นม…อย่าร้องไห้สิ…”
“บ่าวผิดต่อนายท่านยิ่งนัก…”
ป้าอาฮวาปิดหน้าร้องไห้วิ่งออกไปอย่างทนไม่ไหว ซูเสี่ยวเตารีบสะบัดผ้าห่มลงจากเตียงเพื่อวิ่งตาม แต่เหลือบไปเห็นคราบแห้งกรังสีเข้มตรงชายแขนเสื้อเข้าเสียก่อน…
เลือด?!
ช้าก่อน…หมายความว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อกลางวันไม่ใช่ความฝันอย่างนั้นหรือ
นางกลืนน้ำลายลงคอ ใจเต้นตึ้กตั้กพลางนิ่วหน้าเคร่งเครียด ไม่รู้ว่าควรปรีดาหรือว่าควรกลัดกลุ้มดี
ปรีดาว่าในที่สุดนางก็สมปรารถนาที่ทำให้แม่ทัพใหญ่อนุญาตให้นางเข้าร่วมกองทัพได้อย่างราบรื่น โดยเป็นทหารในสังกัดเขาโดยตรง และกลัดกลุ้มที่พลั้งมือแทงผู้บังคับบัญชาของทั้งท่านพ่อและตนเอง อีกทั้งยังแทงจนได้เลือด ไม่ว่าคิดอย่างไรก็ไม่ใช่การเริ่มต้นที่ดีเลยสักนิด
แต่จะว่าไป…เหตุใดนางถึงได้รู้สึกเหมือนว่ามีรายละเอียดบางอย่างตกหล่นไปกันนะ
ซูเสี่ยวเตายืนเหม่อคิดอยู่นานสองนานก็ยังคิดไม่ออก จึงปล่อยไปแบบเลยตามเลยเหมือนปกติ
ปัญหาสำคัญที่ทำให้นางปวดเศียรเวียนเกล้าในตอนนี้คือควรจะปลอบประโลม ‘หัวใจผ่องแผ้วของแม่ผู้รักลูก’ ที่แสนเปราะบางของแม่นมอย่างไรดีต่างหาก!
คำว่า ‘วุ่น’ คำเดียวไม่เพียงพอแน่ๆ…
สุดท้ายแล้วซูเสี่ยวเตาก็ต้องใช้เวลาตลอดช่วงเย็นเดินวนเวียนรอบร่างของป้าอาฮวาที่เคลื่อนไหวไปมาในครัวอยู่หลายรอบ พร้อมพยายามยิ้มแย้มแจ่มใสและใจเย็นให้ถึงที่สุด จวบจนนางใกล้จะทนไม่ไหวและเสียสติอยู่รอมร่อ ป้าอาฮวาก็ยอมหันกลับมามองนางด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“คุณหนูเกลียดงานฝีมือจริงหรือ”
“อืม เกลียดมาก” นางตอบขึงขังพลางพยักหน้าหนักๆ
“ก็ได้” ป้าอาฮวาถอนหายใจยาวเหยียดเหมือนได้ระบายสิ่งที่เก็บไว้นานออกมาในที่สุด จากนั้นก็โบกมืออย่างอ่อนแรง “เมื่อก่อนแม้ฮูหยินจะมีฝีมือด้านโคลงกลอนไม่เป็นสองรองใคร ซ้ำยังอ่อนหวานเรียบร้อย แต่ก็ไม่ชอบทำงานฝีมือเช่นกัน บ่าวลองมาคิดๆ ดู คุณหนูได้ฮูหยินมาเยอะ ไม่แปลกที่จะไม่มีพรสวรรค์ด้านงานฝีมือเลย”
“ขอบคุณสวรรค์!” เด็กสาวดีใจจนแทบน้ำตาไหล “ขอบคุณท่านแม่!”
ท่านพ่อกล่าวได้ถูกต้อง ท่านแม่ผู้อ่อนหวานน่ารักมากพรสวรรค์คอยปกป้องคุ้มครองนางจากบนฟ้าจริงๆ ด้วย อมิตาภพุทธ ดีแล้วๆ…
ท่านแม่ ข้ารักท่าน!
ป้าอาฮวาเห็นคุณหนูทำท่าปลาบปลื้มยินดีจนแทบร้องไห้ก็ขัดใจจนอยากส่ายหน้า แต่สุดท้ายก็ยังใจอ่อนอยู่ดี “เอาเถิดๆ บ่าวเองก็ไม่มีสิทธิ์จะบังคับคุณหนู ทำเช่นนี้บ่าวละอายแก่ใจจริงๆ”
“ใช่ที่ไหนกันเล่า” ซูเสี่ยวเตากอดร่างเจ้าเนื้อของฝ่ายตรงข้ามไว้อย่างซุกซน “แม่นมเป็นคนดี เสี่ยวเตารักแม่นมที่สุดเลย”
“ดูพูดเข้า” ป้าอาฮวากลอกตาเคืองๆ ก่อนจะหัวเราะขันอย่างห้ามไม่อยู่ “เอาล่ะๆ เรื่องงานฝีมือบ่าวไม่คาดหวังจากคุณหนูแล้ว แต่อย่างน้อยคุณหนูก็ต้องฝึกปรุงอาหารให้เก่ง ในอดีตฮูหยินก็ได้รสมืออันเป็นเลิศนี่แหละควบคุมกระเพาะเหล็กของนายท่านเสียอยู่หมัด คุณหนู ต่อไปท่านก็จะต้องออกเรือน กุมกระเพาะสามีไว้ก็เท่ากับกุมหัวใจของเขาได้ครึ่งดวง เรื่องนี้สำคัญนักหนาเข้าใจหรือไม่”
“เฮ้อ…เหตุใดต้องวุ่นวายถึงเพียงนั้นด้วยเล่า จะกินอะไรก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ อีกอย่างท่านพ่อเล่าให้ข้าฟังว่าตอนนั้นท่านแม่แค่ยืนเฉยๆ ใต้ต้นเหมยขาวอย่างอ่อนหวานนุ่มนวลก็ทำให้หัวใจท่านพ่อล่องลอยได้แล้ว จากนั้นก็เฝ้าคอยตามตื๊อจนกว่านางจะยอมแต่งงานกับตนเอง จุ๊ๆ ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าท่านพ่อจะเคยทำเรื่องน่าอายเช่นนั้นด้วย”
ป้าอาฮวาสำลัก จริงหรือ เหตุใดไม่เหมือนกับที่นายท่านเล่าให้ตนฟังเลย
แม่นมสูงวัยในตอนนี้ยังไม่รู้ว่าบุรุษดิบๆ ทื่อๆ อย่างซูเถี่ยโถวนั้นเก็บเรื่องราวที่เคยตามติดพันภรรยาในอดีตไว้เป็นความลับ แม้ว่าต่อมาจะกลายเป็นทาสภรรยาขั้นสุด เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็ยังจงใจปิดบังความจริงบางส่วนไว้ เพราะกลัวจะเสียหน้าตามประสาบุรุษ
“จะว่าไป ข้าคิดว่าตัวข้าเองก็คงเป็นแบบท่านพ่อ” เด็กสาวทำหน้าคาดหวัง “หากมีคนงามหยาดฟ้ามาดินยืนอยู่ใต้ต้นเหมยขาวด้วยท่าทางอ่อนหวานนุ่มนวลแล้วส่งยิ้มสะกดสายตามาให้…ข้าเองก็จะคอยตามเกี้ยวพาจนกว่าเขาจะยอมแต่งงานกับข้าเหมือนกัน”
“คุณหนูพูดสลับกันแล้วหรือไม่” ป้าอาฮวารู้สึกปวดกระเพาะขึ้นมานิดๆ
ต้องโทษนายท่านคนเดียวนั่นแหละ ชอบกรอกความคิดพิสดารๆ ใส่หัวคุณหนู จนเด็กสาวดีๆ เสียคนไปถึงเพียงนี้ได้
ซูเสี่ยวเตาคิดอย่างใจลอยจนไม่ได้ยินคำพูดของแม่นม แต่เจ้าของร่างสูงสง่าที่งดงามไร้ที่ติกลับปรากฏขึ้นในใจโดยไม่รู้ตัว
ท่าทางผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ ใบหน้ารื่นรมย์ ดวงตาแพรวพราวด้วยรอยยิ้ม…
“หา?” เพิ่งจะยิ้มอย่างเคลิบเคลิ้ม นางก็สะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจในภาพนึกคิดของตนเองเสียก่อน
นี่มันอะไรกัน! อยู่ดีๆ เหตุใดจึงนึกถึงแม่ทัพใหญ่หร่วนเจ้าสำอางนั่นขึ้นมาได้นะ
ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเป็นคนรับมือยากหรอก ต่อให้เป็นคนหัวอ่อนพูดง่าย แค่ฐานะผู้สืบทอดจวนหร่วนโหวกับแม่ทัพสงบประจิมของเขาก็ใหญ่พอจะทับคนตายได้แล้ว ถึงนางจะน้ำลายหกเพราะคิดถึง ‘รูปโฉม’ ของเขาก็หยอกเย้าเชยชมเขาเล่นไม่ได้อยู่ดี
อีกอย่างชนเผ่าอี๋ตะวันตกยังไม่ถูกปราบให้สิ้นซาก จะคิดเรื่องมีครอบครัวได้อย่างไรกันเล่า…ความรักแผ่นดินรักคนร่วมชาติของนางอยู่เหนือกว่าความฝักใฝ่ในเรื่องชู้สาวเป็นพันเป็นหมื่นเท่า!
“แม่นมวางใจเถิด ตอนนี้ถึงคราวที่ข้าจะได้สร้างความดีความชอบเป็นเกียรติยศแก่บรรพบุรุษสกุลซูแล้ว เรื่องไร้สาระอย่างความรักระหว่างชายหญิงน่ะ ข้าไม่สนใจหรอก” นางโบกมืออย่างองอาจ
“คุณหนูมีปณิธานแรงกล้า บ่าวฟังแล้วควรยินดีมากถึงจะถูก แต่เหตุใดตอนนี้บ่าวถึงยินดีไม่ออกแม้แต่นิดเดียวกันนะ” ป้าอาฮวายิ้มขื่น
“แม่นมดีใจแทนข้าจนอึ้งไปเลยกระมัง” ซูเสี่ยวเตาหัวเราะหึๆ
“แต่บ่าวรู้สึกเหมือนมีของเหลวคาวๆ กระอักขึ้นมาในลำคอ” ฝ่ายตรงข้ามพยายามสื่อเป็นนัย
“นั่นคืออาการเลือดลมฉีดพล่านอย่างไรเล่า ข้าเคยเป็น ข้าเข้าใจๆ” นางตบไหล่แม่นมเบาๆ อย่างอารมณ์ดี “อันที่จริงตอนแม่ทัพใหญ่ตกปากอนุญาต ข้าก็รู้สึกตีบตันในลำคอ ร้อนผ่าวในอก ทั้งตื่นเต้นทั้งประหม่าอย่างบอกไม่ถูก ข้าถึงกับมือสั่นเชียวล่ะ”
“น่ากลัวว่า…ของบ่าวจะเป็นคนละอาการกัน” ป้าอาฮวาอยากร้องไห้ออกมาจากใจจริง
คุณหนูเจ้าขา ต้องให้อธิบายให้ท่านฟังชัดๆ ทีละคำ ท่านถึงจะเข้าใจหรือไรกันนะ
“ท่านพ่อใกล้กลับมาแล้วกระมัง เดี๋ยวข้าจะบอกข่าวดีให้ฟังด้วยตนเองเลย อ๊ะ ไม่รู้ว่าเปิดห้องบูชาป้ายวิญญาณตอนกลางคืนจะเป็นการรบกวนบรรพชนหรือไม่ แต่ข้ารอจนถึงปีใหม่หรือวันชิงหมิง* ไม่ไหวหรอก ข้าอยากให้บรรพชนสกุลซูกับท่านแม่รู้ว่าข้าสร้างความภาคภูมิใจให้วงศ์ตระกูลเดี๋ยวนี้เลย หึๆ”
เด็กสาวเอาแต่วางแผนอย่างตื่นเต้นว่าจะบอกบรรพชนอย่างไรดี ไม่ได้ล่วงรู้ถึงความทุกข์ระทมขมขื่นใจของแม่นมแม้แต่นิดเดียว
ป้าอาฮวาเห็นว่าอาศัย ‘วรยุทธ์’ ของตนเองในตอนนี้คงห้ามคุณหนูที่กำลังเลือดร้อนไม่ได้แน่ โชคดีว่าหลังจากที่กับข้าวจานผักสองอย่าง จานเนื้อสองอย่าง พร้อมด้วยน้ำแกงไก่ขึ้นโต๊ะเรียบร้อยแล้ว นายท่านก็กลับมาพอดี
“สวรรค์มีตา…” พอเห็นร่างสูงใหญ่กำยำของซูเถี่ยโถวเดินฝ่าความมืดมาแต่ไกล หญิงสูงวัยก็อยากจะร่ำไห้ออกมาดังๆ
นายท่านในตอนนี้เป็นเหมือนผู้กล้าไร้เทียมทานทีขี่เมฆเจ็ดสีในตำนานไม่มีผิด ฮือๆ
“อาฮวา เป็นอะไรไปหรือ” ซูเถี่ยโถวเพิ่งจะก้าวเข้าบ้านก็ตกใจจนสะดุ้งเมื่อป้าอาฮวาถลาเข้ามาหา “จะ…เจ้าผีเข้าหรือไร”
“นายท่าน รีบห้ามคุณหนูเถิดเจ้าค่ะ คุณหนูบอกว่าพรุ่งนี้จะไปเป็นทหารคนสนิทของแม่ทัพใหญ่ในค่าย” ระหว่างร้องห่มร้องไห้ แม่นมก็ไม่ลืมที่จะเน้นเสียงคำว่า ‘ทหารคนสนิท’ เป็นพิเศษ
คุณหนูของนาง คุณหนูที่นางเฝ้าทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงอย่างระมัดระวังมาจนเติบใหญ่จะไปเป็นทหาร ซ้ำยังเป็นทหารคนสนิทที่ต้องคอยรับใช้แม่ทัพใหญ่อยู่ในค่าย ป้าอาฮวารู้สึกราวกับหัวใจจะแตกสลายเสียให้ได้
“อะไรนะ!” ซูเถี่ยโถวเหมือนโดนฟ้าผ่าเมื่อได้ยิน หัวสมองว่างเปล่า หน้ามืดตาพร่า
ลูกสาวของเขา ลูกสาวที่เขาเฝ้าทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงอย่างระมัดระวังมาจนเติบใหญ่จะไปเป็นทหารคนสะ…เสียงบึ้มดังขึ้น ความเป็นเหตุเป็นผลในสมองซูเถี่ยโถวระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ทันที!
“ท่านพ่อ!” ซูเสี่ยวเตาที่ชะโงกหน้าอยู่ตรงประตูส่งยิ้มประจบเอาใจมาให้ “หิวแล้วใช่หรือไม่ ถ้าเช่นนั้นก็กินให้อิ่มก่อน จากนั้นค่อยนั่งคุยกัน”
“ลูกสาวสุดที่รักที่แสนน่าสงสารของพ่อ พ่อรู้อยู่แล้วเชียวว่าพวกคุณชายจากเมืองหลวงไม่มีดีเลยสักคน มีแต่พวกหัวขโมยใจคดไร้ความเป็นคนทั้งนั้น! ถึงกับกล้าหมายตาความงามของลูกสาวสุดที่รักของพ่อแล้วเอื้อมเงื้อมมือมารของมันมาหา!” ใบหน้าหยาบกร้านที่ตากแดดจนดำคล้ำของซูเถี่ยโถวถมึงทึงน่ากลัว ขณะแผดเสียงลั่นราวกับฟ้าผ่า “ต่อให้มันเป็นแม่ทัพใหญ่ เป็นซื่อจื่อ* มีคุณงามความดีอย่างไม่มีใครเทียบได้ก็ช่าง หากแตะต้องลูกสาวข้าแม้เพียงปลายผม มันก็เท่ากับเป็นศัตรูคู่แค้นที่ฆ่าพ่อ! ข้าจะสับมันให้เละ จากนั้นค่อยปาดคอตนเองไถ่โทษ!”
“ท่านพ่อ ท่านสงบสติอารมณ์ก่อนนะ” ซูเสี่ยวเตาเข้ามากอดแขนบิดาไว้แล้วพยายามดึงให้ได้สติ โมโหก็โมโห ขันก็ขัน “ใครบอกท่านว่าแม่ทัพใหญ่หมายตาความงามของข้ากัน ตัวเขาเองหน้าตาเช่นนั้น ยังมีสตรีคนใดงดงามสู้ได้ด้วยหรือ ยิ่งเป็นข้ายิ่งแล้วใหญ่”
นางพูดตามจริง หากแม่ทัพหร่วนผู้งดงามจนเหมือนไม่ใช่มนุษย์ทาแป้งนิดแต้มชาดหน่อย แล้วแต่งกายสวยสดมายืนอยู่ข้างนาง รับรองว่าไม่มีใครชายตามองนางหรอก
ประโยคนั้นช่วยดึงคนที่กำลังขาดสติกลับมาและดับเพลิงโทสะเร่าร้อนลงทันที ซูเถี่ยโถวชะงักไปเป็นอันดับแรกก่อนจะอึ้งอยู่สักพัก ความเดือดดาลที่อัดแน่นอยู่ในหัวค่อยๆ มลายหาย กลับมามีสติอีกครั้ง
จริงด้วย!
“แล้วเรื่องมันเป็นอย่างไรกัน” เขายิ้มเก้อๆ แต่ก็รู้จักคิดแล้วว่าควรถามต้นสายปลายเหตุให้ชัดเจนก่อนค่อยอาละวาด
“นายท่าน เรื่องนี้…”
“แม่นม ขอข้าพูดกับท่านพ่อเอง” ซูเสี่ยวเตานวดหัวคิ้ว อยู่ๆ ก็รู้สึกขึ้นมาว่าตนเองเป็นคนคิดอ่านสุขุมทำตัวเป็นผู้ใหญ่ที่สุดในบ้านแล้ว ลำบากเหลือเกินจริงๆ เฮ้อ…
ป้าอาฮวาทำได้แค่กลั้นน้ำตาพลางจ้องนายท่านเขม็ง ภาวนาขออย่าให้อีกฝ่ายใจอ่อนจนปล่อยให้คุณหนูพลาดพลั้งแล้วต้องเสียใจไปชั่วชีวิต
“กินข้าวกันก่อนดีหรือไม่” ผู้ใหญ่สองคนไม่หิว แต่นางหิวจะแย่แล้ว
“ได้ๆ ในเมื่อลูกสาวสุดที่รักของพ่อหิวแล้ว พวกเราก็ไปกินข้าวกันก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน” ซูเถี่ยโถวฟังลูกสาวถามก็สงสาร ไม่สนใจจะมาซักไซ้อีกแล้วว่าใครเป็นคนฆ่า…แค่กๆ…เอาเป็นว่าเขารีบจูงมือลูกสาวสุดที่รักเข้าไปนั่งกินข้าวข้างในโดยไม่รอช้า
จวบจนซูเสี่ยวเตาซัดข้าวสวยไปสองชามโต กับข้าวจานเนื้อกับจานผักอย่างละจาน รวมทั้งน้ำแกงไก่อีกครึ่งโถ แล้วพ่นลมหายใจออกมาอย่างอิ่มเอมพลางลูบท้องที่นูนขึ้นนิดๆ ของตนเอง นางก็หันไปเล่า ‘วีรกรรมสำคัญ’ เมื่อตอนกลางวันวันนี้ให้ผู้เป็นพ่อฟังด้วยสีหน้ายิ้มระรื่น
“…จากนั้นก็เป็นเช่นนี้ล่ะ ข้าเอาชนะแม่ทัพใหญ่ได้ แม่ทัพใหญ่เลยอนุญาตให้ข้าเข้าร่วมกองทัพ” สองตากลมโตเป็นประกาย สีหน้าตื่นเต้นเหมือนกำลังบอกว่า ‘ท่านพ่อ ข้าเก่งใช่หรือไม่ ท่านพ่อรีบชมข้าเร็วสิ’
ซูเถี่ยโถวรู้สึกสับสนอยู่ในใจ ทั้งภาคภูมิใจอยู่ลึกๆ และเป็นกังวลไปพร้อมกัน แม้อยากเอ่ยชมนางให้เลิศลอย แต่หัวใจนั้นร่ำร่ำอยากพาลูกสาวสุดที่รักไปขังไว้ในห้องจวบจนถึงวันที่นางแต่งงานค่อยปล่อยตัวออกมา
เฮ้อ…เขาคิดผิดหรือไม่นะที่สอนวรยุทธ์นางตั้งแต่แรก
“ท่านพ่อ?” ขนาดคนโผงผางอย่างซูเสี่ยวเตายังสัมผัสได้เลาๆ ว่าบิดาตนอารมณ์ไม่แจ่มใสนัก “ท่าน…ไม่ดีใจหรือ”
“แค่กๆ” ซูเถี่ยโถวยกมือใหญ่หนาขึ้นลูบหน้า แล้วเอ่ยอย่างหนักใจ “ลูกพ่อ ถ้าพ่อ…บอกเจ้าว่าพรุ่งนี้อย่าไปที่ค่าย เจ้าจะโกรธพ่อหรือไม่”
เด็กสาวลนลานขึ้นมาทันทีพร้อมทำท่าจะแย้ง แต่พอเห็นหยาดน้ำรื้นอยู่ในดวงตาพยัคฆ์ของผู้เป็นพ่อ ความรู้สึกผิดก็ทะลักขึ้นในใจ
“ท่านพ่อ ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงข้า ไม่อยากให้ข้าออกรบ กลัวข้าจะได้รับบาดเจ็บ กลัวข้าจะมีอันเป็นไป…” นางกล่าวด้วยเสียงหวานนุ่มนวลอ่อนโยนพลางเข้าไปสวมกอดบิดาเอาไว้ ดวงหน้าเต็มไปด้วยความเคารพรักที่บุตรสาวมีต่อบุพการี
“ก็ใช่น่ะสิ…” แค่พูดก็ปวดใจ น้ำตาลูกผู้ชายแทบไหลออกมาอยู่รอมร่อ
“ท่านพ่ออย่าร้องไห้นะ” เด็กสาวรีบปลอบ “ข้าคิดมาแล้ว ตอนนี้แผ่นดินสุขสงบไร้ความวุ่นวาย ข้าก็แค่เป็นทหารรับการฝึกฝนเพื่อพัฒนาตนเองและสร้างผลงาน หากวันใดสงครามอุบัติขึ้นมา ข้าเองก็กลัวว่าท่านพ่อจะบาดเจ็บหรือมีอันเป็นไปในสนามรบเช่นกัน ดังนั้นการที่กองทัพสกุลหร่วนมีทหารเพิ่มขึ้นหนึ่งคนก็เท่ากับมีกำลังเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วน วันข้างหน้าเมื่อพวกชนเผ่าอี๋ตะวันตกบุกเข้าโจมตี พวกเรามีกองทัพขนาดใหญ่รักษาดินแดน แค่ฉี่กันคนละทีก็ทำให้พวกมันจมน้ำตายได้แล้ว เช่นนี้เรียกว่าเอาจำนวนเข้าข่ม ใช่หรือไม่ๆ”
ตอนแรกบรรยากาศกำลังซึ้งปนเศร้าอยู่เลยแท้ๆ แต่กลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเพราะคำพูดปลุกใจของซูเสี่ยวเตา ทำเอาซูเถี่ยโถวปรับอารมณ์แทบไม่ทัน จากที่สะอื้นก็กลายเป็นสำลักด้วยความขบขัน
“แค่กๆ เป็นสาวเป็นนางพูดจาไม่รู้จักระวังบ้าง ฉี่เฉ่ออะไรกันเล่า” ซูเถี่ยโถวหน้าแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเพราะสำลักหรือเพราะอายกันแน่
“เห็นว่าชาวเผ่าอี๋ตะวันตกเป็นพวกป่าเถื่อนไร้อารยธรรม ยังกินเนื้อสดๆ แบบไม่ถลกหนังอยู่เลยไม่ใช่หรือ” นางไม่สะทกสะท้าน ซ้ำยังขยิบตาพูดต่อไปว่า “ให้พวกมันจมฉี่ตายก็ถือว่า…อืม…เหมาะกันดีแล้วนี่นา”
ผู้เป็นพ่อถึงกับปากอ้าตาค้าง “ลูกพ่อ คำพูดของเจ้าช่าง…”
“สวรรค์ ในที่สุดก็มีคนตาสว่างเสียที” ป้าอาฮวาที่ยืนมองอยู่อีกทางทนต่อไปไม่ไหวแล้ว อุตส่าห์ได้เห็นนายท่านตกใจจนหน้าถอดสีบ้างเสียทีเช่นนี้ นางจึงก้าวพรวดออกมา “นายท่าน ดูเอาเถิด คุณหนูผู้อ่อนหวานบอบบางน่าทะนุถนอมของข้ากลายเป็นคนที่พูดจาหยาบคายได้ถึงเพียงนี้แล้ว…”
“…ลูกพ่อ คำพูดของเจ้ายอดเยี่ยมเหลือเกิน ตรงเผงและสาแก่ใจดีมาก” ซูเถี่ยโถวหัวเราะลั่นพลางตบเข่าฉาดอย่างถูกใจ “สมแล้วที่เป็นลูกสาวสกุลซูเรา องอาจผ่าเผยยิ่งนัก ฮ่าๆ”
ถ้อยคำที่ได้ยินสะเทือนใจเกินรับได้ ป้าอาฮวาฟังยังไม่ทันจบก็เอามือปิดหูวิ่งร้องไห้ออกไปอย่างเจ็บช้ำ…
นี่ไม่ใช่ความจริง นี่ไม่ใช่ความจริง นี่ไม่ใช่ความจริง…
ท่าทางตอบสนองที่รุนแรงของแม่นมทำให้ซูเสี่ยวเตาสะดุ้งเฮือก ดวงตามองตามร่างที่โซเซหายลับเข้าไปในความมืดพลางพึมพำ “แม่นม…ไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
ดูเหมือนครั้งนี้จะได้รับความกระทบกระเทือนใจอย่างร้ายแรงจริงๆ
“ไม่เป็นไรหรอก พวกสตรีก็เช่นนี้แหละ” ซูเถี่ยโถวตบบ่าลูกสาวอย่างฮึกเหิมพร้อมยิ้มกว้าง “นางไม่เข้าใจเรื่องรบทับจับศึกหรอก พวกเรามาคุยกันต่อเถิดนะ มาคุยกันต่อ เท่าที่เจ้าพูดมามีเหตุผลอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรเจ้าไปอยู่กับท่านแม่ทัพใหญ่ก็จะได้เรียนรู้สิ่งดีๆ มากมาย อีกอย่างกลิ่นตัวเหม็นๆ ของเจ้าหนุ่มพวกนั้นก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้อยู่แล้ว อืมๆ ได้! พ่อคิดว่าเรื่องนี้ไม่มีปัญหา!”
“แน่นอน ข้าเป็นลูกสาวท่านพ่อนี่นา ความคิดของข้าจะมีปัญหาได้อย่างไรกันเล่า” นางหัวเราะหึๆ ดวงตาสุกใสฉายแววเหี้ยมเกรียมแวบหนึ่งแบบที่เห็นแล้วศัตรูต้องสะท้าน
จะมีปัญหาได้หรือ ต่อให้มีปัญหาจริงนางก็จะรั้นให้สำเร็จ ไม่มีปัญหาใดที่ใช้กำลังแก้ไม่ได้หรอก!
ในเวลาเดียวกันนั้น ณ กระโจมแม่ทัพในค่ายทหาร หร่วนชิงเฟิงขนสันหลังลุกเกรียว แล้วจามพรืดใหญ่อย่างไร้สาเหตุ
“ฮัดชิ่ว!”
เขาลูบสันจมูก พลางพึมพำกับตนเองยิ้มๆ “สตรีคนใดคิดถึงข้าอีกล่ะ เฮ้อ…ข้าก็กลับตัวกลับใจเลิกเสเพลแล้วไม่ใช่หรือ”
หร่วนชีที่เร้นกายอยู่ในเงามืดกลอกตา พูดอะไรไม่ออก
ซูเสี่ยวเตาตื่นเต้นจัด เอาแต่ลับดาบทั้งคืนไม่ยอมหลับยอมนอน เช้ามาแม้ดวงตาจะแดงก่ำไปด้วยเส้นเลือด แต่นางก็ยังสดชื่นกระปรี้กระเปร่า รีบวิ่งโร่ไปที่ค่ายโดยไม่ยอมเสียเวลากินข้าวเช้า ทำเอาทหารที่เฝ้าประตูตกใจจนแทบชักดาบออกมาทักทาย
“แม่ทัพใหญ่ให้ข้ามารายงานตัวตอนเช้า!” นางแย้มยิ้มกล่าว
“น้องสาวมาเช้าไปหน่อยหรือไม่” ทหารร่างสูงใหญ่มองท้องฟ้าด้านตะวันออกที่เพิ่งมีแสงรำไรด้วยสีหน้าทะแม่งๆ พระอาทิตย์เพิ่งโผล่หน้าออกมานิดเดียวเท่านั้น
“นี่ไม่เช้าแล้วล่ะ” นางยิ้มกว้าง “ข้าคำนวณไว้แล้ว มายามนี้กำลังดี จะได้เข้าไปช่วยขัดทวนในกระโจมให้แม่ทัพใหญ่ได้ทันเวลา”
“ขัด…แค่กๆ” พลทหารที่ห่างเหินเรื่องสตรีมานานคิดลึกไปถึงไหนต่อไหนจนสำลักน้ำลาย
“แหงนมองภูผาสูง จันทร์อร่ามหอประจิม ข้าเทียบรหัสวันนี้มาแล้ว ทีนี้ก็เข้าไปในค่ายได้แล้วนะ” ซูเสี่ยวเตาโบกมือ แบกดาบเล่มใหญ่เดินอาดๆ เข้าไปข้างในพร้อมครวญเพลงในคออย่างอารมณ์ดี
เด็กสาวร่างเล็กบางสะพายห่อสัมภาระแบกดาบสันหนาหนักอึ้งเดินไกลออกไปทุกที ไม่ว่ามองเมื่อไรก็รู้สึกว่าด้านหลังของนางดูสูงตระหง่านเหลือเกิน
พลทหารสะท้านในใจแล้วพึมพำกับตนเอง “หวังว่าข้างนอกจะยังพอมีสตรีปกติบ้างนะ ข้ายังไม่ได้แต่งเมียเลย!”
ด้านนอกกระโจมแม่ทัพ องครักษ์ร่างสูงใหญ่น่าเกรงขามสองคนหรี่ตาลงเมื่อเห็นนาง แต่พอคิดถึงคำสั่งเมื่อคืนของเจ้านายก็ทำได้แค่แหวกม่านหน้ากระโจมให้นางอย่างจำใจ
“ท่านแม่ทัพใหญ่เพิ่งตื่นเมื่อครู่”
“ขอบคุณพี่ปาจื่อ พี่จิ่วจื่อ” หลังทักทายทั้งสองอย่างร่าเริง เด็กสาวก็ทำท่าจะก้าวเข้าไปในกระโจม
“ช้าก่อน!” ปาจั้นกับเหมิงจิ่วขวางนางไว้อย่างพร้อมเพรียง
“มีอะไรหรือ” นางผงะไปเล็กน้อย
“หากไม่ได้รับคำสั่งจะพกอาวุธเข้าไปในกระโจมแม่ทัพใหญ่ไม่ได้” ปาจั้นยื่นมือใหญ่ออกไปหานาง “ดาบ!”
“แต่แม่ทัพใหญ่บอกว่าข้ารับตำแหน่งขุนนางบู๊ขั้นหกเป็นต้นไปนะ ขุนนางบู๊จะพกดาบติดตัวก็ถูกต้องแล้วนี่” นางไม่เข้าใจเอาเสียเลย “อีกทั้งข้ายังเป็นทหารที่ต้องคอยอารักขาความปลอดภัยให้เขา จะไม่พกอาวุธได้อย่างไรกัน”
“นี่เป็นกฎทหาร”
“ข้าก็กำลังพูดเรื่องกฎทหารกับพวกเจ้าอยู่นี่แหละ” นางกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะทำท่าเข้าอกเข้าใจ “ช้าก่อน นี่พวกเจ้าระแวงข้า? คิดว่าข้าจะเอาดาบไปฟันเขาหรือไรกัน มันจะหยามกันมากเกินไปแล้วนะ ซูเสี่ยวเตาคนนี้จะไร้หัวคิดถึงขั้นกล้าบ้าบิ่นใช้ดาบฟันผู้บังคับบัญชาของตนเองเลยหรือ”
หลังจากที่พูดออกมาอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง ปาจั้นกับเหมิงจิ่วยังไม่ทันได้มีท่าทางตอบสนอง ตัวเด็กสาวเองกลับหน้าแดงก่ำ นิ่งเงียบไปอย่างร้อนตัว
เอ่อ…ไม่ฟันอะไรกันเล่า แล้วเมื่อวานเขาถูกฟันจน ‘เลือดออก’ ได้อย่างไร
ระหว่างกำลังกระอักกระอ่วน เสียงทุ้มพร่าก็ดังเนือยๆ ออกมาจากข้างใน “เสี่ยวเตาเข้ามาได้”
“รับทราบ” ซูเสี่ยวเตาลิงโลด แล้วหันไปกระหยิ่มยิ้มย่องแบบผู้ชนะให้ปาจั้นกับเหมิงจิ่วเป็นเชิงว่า ‘เห็นหรือไม่’ ก่อนจะแบกดาบเดินเข้าไปอย่างอารมณ์ดี
“ดาบมันหนัก ฝากไว้ที่ปาจั้นก็แล้วกัน” น้ำเสียงเนือยๆ ดังออกมาอีกครา
“ขอรับ!” คราวนี้ปาจั้นกับเหมิงจิ่วเป็นฝ่ายฉีกยิ้มเห็นฟันขาววับพร้อมทำหน้าเหนือกว่าเป็นเชิงถามว่า ‘เห็นหรือไม่’ จากนั้นก็ริบดาบนางโดยไม่พูดอะไรอีก
“…” ใบหน้าเนียนของซูเสี่ยวเตาดำคล้ำลงทันควัน
บุรุษชอบช่วยบุรุษด้วยกันจริงๆ ด้วย มีแต่คนน่าโมโห หึ!
เพราะอารมณ์ไม่ดีเป็นเหตุ แม้จะเดินผ่านประตูกระโจมใหญ่เข้ามาได้อย่างสง่าผ่าเผย แต่พอเห็น ‘ห้องโถงกระโจมแม่ทัพใหญ่’ อันแสนยิ่งใหญ่ในตำนาน ความตื่นเต้นที่ทำให้เลือดสูบฉีดแรงก็ลดลงไปแล้วเจ็ดส่วน
บนโต๊ะไม้ดำตัวใหญ่มีตำราพิชัยสงครามจำนวนหนึ่ง กระบะทรายสำหรับวางกลยุทธ์ ทวนพู่แดง ชุดเกราะสีเงินเป็นประกายขาวจ้า ‘เครื่องใช้ในการศึกอันเข้มขลัง’ ที่นางวาดฝันว่าจะได้เห็นแต่ไม่เคยเห็นเสียทีล้วนอยู่ที่นี่หมด
“เฮ้อ…” นางมองสิ่งของเหล่านั้นด้วยความรู้สึกซับซ้อนพลางพึมพำกับตนเอง “หากวันใดข้าได้เป็นแม่ทัพใหญ่บ้างแล้วมีเครื่องมือเสริมบารมีเช่นนี้ก็ดีสิ”
แต่แม้จะขัดอกขัดใจอย่างไร เด็กสาวก็ยังไม่ลืมว่าวันนี้ตนเองเข้าร่วมกองทัพอย่างเป็นทางการแล้ว นางหยุดยืนหน้าม่านที่กั้นกระโจมชั้นนอกกับกระโจมชั้นในออกจากกัน ปรับท่ายืนให้ขึงขัง แล้วเอ่ยเสียงดังอย่างห้าวหาญ “ข้าน้อยซูเสี่ยวเตามารายงานตัว!”
“อืม ไปเอาน้ำมาให้ข้าล้างหน้าสักอ่างซิ” เสียงกลั้วหัวเราะทุ้มพร่าที่ดังออกมาจากหลังม่านทรงเสน่ห์เย้ายวนเป็นที่สุด
“หา?” นางอึ้งไป
“การปรนนิบัติผู้บังคับบัญชาล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า กินข้าวก็เป็นหน้าที่ขั้นพื้นฐานของ ‘ทหารคนสนิท’ เช่นกัน”
นี่มันอะไรกันๆ เอาแต่อยู่หลังม่านออกคำสั่งใช้งานคนอื่นเช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ เขาคง ‘ว่าราชการหลังม่าน’ จนติดแล้วกระมัง
นางบ่นในใจอยู่สองสามประโยคก่อนจะรับคำสั่งแต่โดยดี “รับทราบ” จากนั้นก็เดินออกไปตักน้ำข้างนอกทันที
แม้ซูเสี่ยวเตาจะเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของสกุลซู แต่นางก็ใช่ว่าจะบอบบางไม่โดนแดดโดนลมไม่ทำงานบ้านแบบคุณหนูทั้งหลาย ดังนั้นพอเดินออกจากกระโจมก็ตรงไปที่บ่อน้ำอย่างคุ้นเคย แล้วตักน้ำเย็นอ่างหนึ่ง ยกกลับเข้ามาในกระโจมอย่างคล่องแคล่ว
“แม่ทัพใหญ่ น้ำมาแล้ว” นางวางอ่างน้ำลงบนชั้นไม้แดง พอเห็นเกลือเม็ดกับผ้าสะอาดที่วางข้างๆ ก็ลังเลเล็กน้อย
เฮ้อ…นี่ข้าต้อง ‘ปรนนิบัติ’ เขาเรื่องหยุมหยิมเยี่ยงสาวใช้ประจำตัวจริงหรือ
หร่วนชิงเฟิงนั่งอยู่บนเตียงนอนหลังใหญ่ เรือนผมยาวสีดำปล่อยสยายปรกบ่า ใบหน้างามคมคายฉายแววเกียจคร้านที่แสนเย้ายวนใจ ร่างสูงใหญ่สวมเสื้อคลุมสีขาวไว้หลวมๆ สาบเสื้อประกบกันหมิ่นๆ เผยให้เห็นลำคอเพรียวงามแบบบุรุษ กระดูกไหปลาร้า และแผงอกกำยำแข็งแรง
ภาพยั่วยวนสายตาอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ ‘ลาโง่’ กลับเอาแต่พินิจพิเคราะห์ของไร้ชีวิตอย่างเกลือเม็ดกับผ้าเช็ดหน้าอยู่ได้ ช่างน่าโมโหจริงๆ
รอยยิ้มเนือยๆ แข็งค้างอยู่บนใบหน้าคมคาย ก่อนที่ชายหนุ่มจะลุกขึ้นมาหยิบเสื้อคลุมแพรลายริ้วเมฆบนราวแขวนมาสวมอย่างยอมรับสภาพ และเพื่อเป็นการประท้วงความตาไร้แววของอีกฝ่าย เขาจงใจกระชับสาบเสื้อให้มิดชิด ผูกผ้าคาดเอวให้แน่นหนา ชนิดไม่ให้ผิวใต้ร่มผ้าโผล่ออกมาได้แม้แต่นิดเดียว
หึ หร่วนชิงเฟิงคนนี้ก็เป็นสุภาพบุรุษที่เห็นคุณค่าตนเองเหมือนกัน!
“แม่ทัพใหญ่ แผลเมื่อวานไม่เป็นไรมากใช่หรือไม่” ซูเสี่ยวเตาขัดแย้งกับตนเองในใจจนเสร็จ แล้วตัดสินใจประจบผู้บังคับบัญชาด้วยการหยิบเกลือเม็ดส่งไปให้เขาพลางกล่าว “ให้ข้าช่วยดีหรือไม่”
“ช่วยเอาเกลือมาทาแผลข้าหรือ” เขามองเกลือในมือเล็กตาขุ่น แล้วถามประชดเป็นเด็กๆ
นางกลับนึกว่าเขาพูดจริงจึงสูดหายใจเฮือกแล้วถามอย่างไม่แน่ใจ “แม่ทัพใหญ่รสนิยมรุนแรงเหลือเกิน…แต่จะดีหรือ”
ตอนแรกหร่วนชิงเฟิงยังโกรธจัด พอได้ยินอย่างนี้กลับขันนาง ความฮึดฮัดขัดใจเมื่อครู่มลายหายไปทันทีจนไม่เหลือแม้แต่เงา รอยยิ้มละมุนตากลับมาสู่ใบหน้าคมคายอีกครั้ง
“น้องหญิงไม่ต้องห่วง แผลเมื่อคืนไม่อยู่ในจุดสำคัญ ไม่เป็นไรหรอก” เขากล่าวยิ้มๆ
หัวใจของซูเสี่ยวเตาไหวสะท้านเฮือกหนึ่งอย่างไร้สาเหตุ นางลูบขนแขนที่ลุกเกรียวเป็นหนังไก่ของตนเองแล้วยิ้มแห้งๆ “แม่ทัพใหญ่ อย่าคอยแต่เรียกข้าว่าน้องหญิงเลย ตอนนี้ข้าเข้าร่วมกองทัพ เป็นขุนนางขั้นหก ซ้ำยังเป็นทหารในสังกัด หากใครได้ยินจะเข้าใจผิดเอาได้”
เขายิ้มโดยไม่เห็นฟันก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่องพูด “เจ้ารู้ใช่หรือไม่ ว่านอกจากแม่ทัพสงบประจิมแล้ว ข้ายังเป็นซื่อจื่อผู้สืบทอดจวนหร่วนโหวอีกด้วย”
“เอ่อ…ก็พอรู้อยู่บ้าง” นางตอบอย่างงงงวย “แต่มันเกี่ยวกับที่เรียกข้าว่าน้องหญิงตรงไหน…”
“คนเราทุกคนไม่ได้มีแค่สถานะเดียวหรอกนะ อย่างข้านี่เป็นทั้งแม่ทัพสงบประจิม แม่ทัพแห่งชายแดนตะวันตก แล้วยังเป็นซื่อจื่อจวนหร่วนโหว เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวของท่านพ่อ” เขาก้มหน้ามองเด็กสาว รอยยิ้มในเนตรหงส์ยิ่งลึกล้ำขึ้น “ส่วนน้องหญิงเป็นขุนนางขั้นหก เป็นทหารคนสนิทของแม่ทัพ เป็นลูกสาวสุดที่รักของพ่อเจ้า แล้วจะไม่เป็นน้องหญิงอย่างที่ข้าเรียกได้อย่างไร”
นางฟังคำพูดวกวนของเขาจนมึนไปหมด แม้จะรู้ว่ามีบางอย่างที่ไม่ใช่ แต่พอทบทวนตามคำพูดของเขาอย่างจริงจังก็ไม่รู้จะแย้งตรงไหนดี พอถูกถามอย่างนั้นเลยอึ้งไป ได้แต่ยืนงงอยู่กับที่ พูดอะไรไม่ออก
“เอ่อ…ดูเหมือนจะใช่…”
หร่วนชิงเฟิงล้างหน้าบ้วนปากอย่างเนิบนาบจนเสร็จก็แขวนผ้าเช็ดหน้าที่บิดจนหมาดแล้วไว้บนราว ก่อนจะหยิบมีดสั้นส่องประกายสีเงินวาววับเล่มหนึ่งออกจากกล่องหุ้มแพรใบเล็กตรงหน้า แล้วเริ่มโกนไรหนวดขึ้นใหม่ออกไปอย่างไม่เร่งร้อน
“ไม่สิๆ ข้ามาเป็นทหารประจำตัวแม่ทัพใหญ่นี่นา ในเมื่อเข้ามาเป็นทหารในกองทัพก็ควรปฏิบัติต่อกันอย่างเป็นงานเป็นการ ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ แม่ทัพใหญ่จะต้องเรียกชื่อข้าได้อย่างเดียวเท่านั้น ห้ามเรียกว่าน้องหญิงเป็นอันขาด!” สมองตรงๆ ทื่อๆ อุตส่าห์คิดจนเข้าใจแจ่มแจ้งทั้งที นางทำตาเป็นประกาย แล้วรีบแจกแจงให้เขาฟัง
“น้องหญิงฉลาดเฉลียวยิ่งนัก” หลังโกนหนวดเสร็จ หร่วนชิงเฟิงก็ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดอีกหนึ่งรอบก่อนจะหันมายิ้มให้นาง “พอเจ้าพูดเช่นนี้ข้าก็เข้าใจ เท่ากับว่านับจากนี้ไป เวลาปฏิบัติหน้าที่ข้าจะต้องเรียกชื่อเจ้าเท่านั้น เมื่ออยู่นอกเหนือเวลางานถึงจะเรียกเจ้าว่าน้องหญิงได้ ใช่หรือไม่”
“ใช่” เห็นเขาคล้อยตามคำพูดของตนเอง นางก็พยักหน้าหนักๆ อย่างปลาบปลื้ม
“ดี ตกลงตามนี้” รอยยิ้มของเขาแจ่มใสขึ้นทุกที
“ตกลงตามนี้” ซูเสี่ยวเตาไม่ได้ล่วงรู้เลยสักนิดว่าตกหลุมพรางเข้าให้แล้ว ซ้ำยังเผลอเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดขุดหลุมพรางดักตนเองอีกด้วย นางฉีกยิ้มกว้างอย่างภูมิอกภูมิใจ
เห็นหรือไม่ นางฉลาดไหวพริบดีถึงเพียงนี้ ขนาดแม่ทัพใหญ่ยังต้องยอมสยบให้เลย
หร่วนชิงเฟิงยิ่งมองนางยิ่งอารมณ์ดี อยากขยี้หัวนาง ดึงแก้มเนียนๆ เล่นจนแทบอดใจไม่อยู่ ยังดีที่ได้เสียงเป่าเขาวัวอันเป็นสัญญาณทางการทหารข้างนอกเรียกสติ หยุดความคิดฟุ้งซ่านนั้นไว้ได้อย่างทันท่วงที
“ข้าต้องไปแล้ว เจ้าคอยอยู่ในนี้ล่ะ” สุดท้ายเขาก็ใช้นิ้วดีดสันจมูกเรียวเล็กของนางเบาๆ ทีหนึ่ง แล้วสั่งยิ้มๆ “อย่าดื้อ”
“ช้าก่อน ข้าเป็นทหารคนสนิทของแม่ทัพใหญ่ ควรต้องไปขานชื่อ…”
เขาหันมามองนางพลางคลี่ยิ้มระยิบระยับบาดตา “เมื่อครู่แม่ทัพใหญ่ก็ ‘ขานชื่อ’ เจ้าด้วยตนเองแล้วไม่ใช่หรือ หือ?”
รอยยิ้มสะกดตาสะกดใจของเขาทำให้ซูเสี่ยวเตาตาพร่า หน้าแดง ใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ เคลิบเคลิ้มเสียจนลืมว่าควรโต้ตอบกลับไปอย่างไร พอได้สติกลับมาอีกที คนตรงหน้าก็หายไปเรียบร้อยแล้ว
“เจ้าเล่ห์! ต่ำช้า! ใช้กลยุทธ์ชายงามแต่เช้าได้อย่างไรกันนะ” นางกระทืบเท้าเร่าๆ อย่างทนไม่ไหว พลางพูดหัวฟัดหัวเหวี่ยง “คนเขายังไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจด้วยซ้ำ…ไร้มโนธรรม! ผิดกฎ!”
ว่าไปแล้ว เขาไม่ให้ไป คิดหรือว่านางจะโง่ไม่ไปจริงๆ ค่ายทหารสกุลหร่วนเป็นของสกุลเขาคนเดียวหรือไร…แต่…ก็เป็นของเขาจริงๆ นั่นแหละ
“เมื่อครู่เขาแค่บอกว่า ‘เจ้าคอยอยู่ในนี้ล่ะ’ ไม่ได้บอกว่า ‘ซูเสี่ยวเตา เจ้าคอยอยู่ในนี้ให้ดีล่ะ นี่เป็นคำสั่งทหาร’ ดังนั้นข้าตามไปด้วยก็ไม่ถือว่าผิดกฎ ไม่ถือว่าขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาสินะ” เด็กสาวลูบคางพลางหัวเราะกระหยิ่มใจอย่างร้ายกาจ “หึๆ”
บทที่ห้า
กองทัพสกุลหร่วนมีกำลังพลสามแสนนาย ชุดเกราะขาวสะท้อนแสงจ้า ดาบตั้งตรงเป็นทิวแถวราวกับต้นไม้ในป่า แต่ละนายล้วนเป็นชายฉกรรจ์ห้าวหาญที่ออกรบเข่นฆ่าศัตรูเมื่ออยู่บนหลังม้า ล่าเสือจับสิงห์ได้เมื่ออยู่บนพื้นดิน ท่ามกลางแสงเจิดจ้าของแดดยามเช้า ทั้งกองทัพดูราวกับทหารสวรรค์ไม่มีผิด
และสายตาเลื่อมใสชื่นชมของทุกคนพุ่งตรงไปยังชายหนุ่มผู้สูงใหญ่งามสง่าที่อยู่บนแท่นบัญชาการ…หร่วนชิงเฟิง แม่ทัพสงบประจิม ผู้ปกครองชายแดนตะวันตกที่สูงใหญ่ องอาจสง่างาม สมบูรณ์แบบไร้เทียมทาน
“เที่ยงวันนี้ให้เลือกกำลังพลออกมาแปดกองจากสิบแปดทัพย่อยเพื่อทำการซ้อมรบบนเขา” เขากวาดตามองใบหน้าสีน้ำตาลที่เต็มไปด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือเบื้องล่าง โดยเฉพาะนายกองแต่ละกองที่แบ่งสีธงอย่างชัดเจน แต่ละคนเริ่มม้วนแขนเสื้อทำตาเป็นประกาย หันไปแสยะปากยิ้มใส่กัน
หร่วนชิงเฟิงมองอย่างสนุกสนานพลางนึกชมอยู่ในใจ
สมแล้วที่เป็นทหารที่บิดาของข้าฝึกฝนมา มีแต่พวกหมาป่าดุร้ายที่แค่ได้กลิ่นคาวเลือดเป็นต้องส่งเสียงหอนด้วยความตื่นเต้นทั้งนั้น! เยี่ยมมาก เช่นนี้ข้าชอบ!
“อืม” เขานิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะยิ้มพลางประกาศเสียงก้อง “ให้พลแคว้นจ้าวคู่กับสายหมวกเกราะ ดาบคู่ใจคู่กับแสงหิมะ อานเงินคู่กับอาชาขาว โผนทะยานคู่กับดาวตก สิบก้าวคู่กับพันลี้”
เขาได้รับคำชมอย่างกว้างขวางว่าเป็น ‘แม่ทัพนักปราชญ์’ เลื่องชื่อของแผ่นดิน แม้อยู่ในวิถีบู๊ก็ไม่ลืมใส่ใจศิลปะ ตอนมาถึงค่ายใหญ่เมื่อวานก็ได้เปลี่ยนชื่อกองทัพจากสิงสาราสัตว์ทั้งหลายให้เป็นคำคู่ในบทกวีโบราณ ‘วิถีผู้กล้า’ แทน
“ขอรับ!”
ทัพพลแคว้นจ้าว ทัพสายหมวกเกราะ ทัพดาบคู่ใจ ทัพแสงหิมะ ทัพอานเงิน ทัพอาชาขาว ทัพโผนทะยาน ทัพดาวตก ทัพสิบก้าว และทัพพันลี้ที่ถูกขานชื่อต่างถูไม้ถูมืออย่างตื่นเต้น
เมื่อวานตอนได้รู้ว่าแม่ทัพใหญ่จะเปลี่ยนชื่อทัพย่อยของพวกตน ทุกคนยังนึกว่าจะเป็นชื่อดุดันน่าเกรงขาม ปรากฏว่าเป็นถ้อยคำเหยาะแหยะในบทกวีที่แสนนุ่มนิ่มราวกับสตรี เช่นนี้เท่ากับจงใจแกล้งกันชัดๆ
แต่เช้าวันนี้ลายมืออันหนักแน่นทรงพลังของท่านแม่ทัพใหญ่มาแขวนอยู่หน้าค่ายของทุกทัพ เขียน ‘วิถีผู้กล้า’ ของเทพกวีหลี่ไป๋ ทุกคนอ่านแล้วเลือดลมฉีดพล่าน อยากเป็นจอมยุทธ์ในบทกลอน แค่ตวัดดาบทีเดียวก็สังหารพวกชนเผ่าอี๋ตะวันตกถ่อยเถื่อนให้แดดิ้นไม่เหลือแม้แต่เสื้อเกราะ จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปอย่างสาแก่ใจ…ช่างห้าวหาญเหลือเกิน!
“โห ดียิ่งนัก” ซูเสี่ยวเตาที่แอบอยู่หลังแท่นบัญชาการทั้งทึ่งทั้งริษยาพลางบ่นพึมพำ “ข้าอยากไปบ้าง”
แต่นางเป็นทหารดีที่มีความรับผิดชอบ ไม่มีทางลืมหรอกว่าตนเองมีภารกิจอันยิ่งใหญ่ในการเป็นทหารประจำตัวแม่ทัพใหญ่ นั่นหมายความว่าแม่ทัพใหญ่ไปที่ใดนางก็ตามไปอารักขาที่นั่น…ว่าไปแล้ว เขาจะไปดูการซ้อมรบด้วยหรือไม่นะ
หร่วนชิงเฟิงกำลังคิดกับตนเองอย่างตื่นเต้น ปกติเวลามีเรื่องสนุกระดับนี้…แค่กๆ…มีการซ้อมรบสำคัญ เขาจะต้องไปดูที่สนามซ้อมรบด้วยตนเองทุกครั้ง แต่ตอนนี้มีสาวน้อยแซ่ซูรอให้เขากลับไปดูแลอยู่ในกระโจม เขาจะทิ้งนางไปเล่นสนุกคนเดียวได้อย่างไรกันเล่า
“ตอนนี้แยกย้ายกันไปเตรียมตัวได้แล้ว” เขาหันไปยิ้มสดใสให้รองแม่ทัพ “ท่านอาซื่อ การซ้อมรบเที่ยงวันนี้คงต้องรบกวนให้ท่านช่วยดูหน่อยนะ”
“นี่เป็นหน้าที่ตามตำแหน่งของข้าน้อย มิกล้าให้ท่านซื่อจื่อบอกว่ารบกวนหรอกขอรับ” รองแม่ทัพสูงวัยประสานมือตอบ “ท่านซื่อจื่อเกรงใจกันไปแล้ว”
หร่วนชิงเฟิงเรียกอีกฝ่ายว่า ‘อาซื่อ’ ตามธรรมเนียมบ้านไม่ใช่ธรรมเนียมกองทัพ ฝ่ายรองแม่ทัพเองก็ตอบในฐานะทหารองครักษ์เก่าแก่ที่เกิดในบ้านสกุลหร่วน
แม่ทัพหนุ่มทำท่าจะพูดอะไรต่อ แต่เห็นได้จากทางหางตาเสียก่อนว่าเจ้าของร่างเล็กบางอ้อนแอ้นสวมชุดออกรบถือดาบเล่มใหญ่ยืนจังก้าอยู่หลังแท่นบัญชาการอย่างไม่สะทกสะท้าน สองตาเหลือบมองไปทางนั้นทีทางนี้ที
เหตุใดนางถึงไม่ยอมอยู่ในกระโจมแต่โดยดี แล้วใครเป็นคนเอาชุดออกรบแสนทุเรศทุรังนั่นให้นางใส่ ดูแล้วขนาดพอดีตัวเปี๊ยบ คนไม่กลัวตายหน้าไหนกล้าตัดสินใจตัดชุดให้นางเอาเองกัน
ใครกัน ใครมันทำให้คนตัวเล็กที่เหมือนก้อนแป้งข้าวเหนียวนุ่มนิ่มหอมกรุ่นของเขากลายสภาพเป็นลูกเต่าที่ดูราวกับก้อนราขนยาวก็ไม่ปาน
ความรู้สึกของเขาถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง จิตสังหารแผ่ซ่านอยู่รอบตัว ใบหน้าคมคายที่เคยยิ้มละไมก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบดุจน้ำค้างแข็ง จนแม่ทัพนายกองที่อยู่บนแท่นบัญชาการพากันสะท้านไปตามๆ กัน ขนาดจะหายใจดังยังไม่กล้า
หร่วนชิงเฟิงเดินหน้าง้ำลงจากแท่นช้าๆ เดินผ่านไปตรงไหนคนอื่นก็สะดุ้งเฮือกตรงนั้น มีแต่ ‘ทหารสวรรค์เซ่อซ่า’ ที่ไม่รู้จักที่ตายเท่านั้นถึงยังเชิดหน้ายืดอกยืนอย่างมั่นคง มิหนำซ้ำยังเอ่ยทักเขาเสียงดังฟังชัด “คารวะท่านแม่ทัพ!”
คารวะกับผีน่ะสิ! เขาอยากสบถออกมานัก แต่นางทำหน้าจริงจังขึงขัง หมวกเหล็กทหารประดับพู่แดงที่ขนาดดูไม่พอดีนักคอยแต่จะเลื่อนลงมาอยู่เรื่อย นางเลยต้องใช้มือดันขึ้นไปเป็นระยะ เห็นอย่างนั้นโทสะที่พลุ่งพล่านอยู่ในหัวก็กลายเป็นความขบขันแบบกลั้นไม่อยู่ทันที…พรูด!
ช่างเถิดๆ…
“ข้าบอกให้เจ้ารออยู่ในกระโจมให้ดีๆ ไม่ใช่หรือ” เนตรหงส์อบอุ่น น้ำเสียงก็อ่อนลงด้วย
“เรียนท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยเป็นทหารคนสนิทของท่าน มีหน้าที่ต้องอารักขาท่านอย่างใกล้ชิด” ท่ามกลางสายตาตกตะลึงจังงังของแม่ทัพนายกองทุกนาย ซูเสี่ยวเตาเชิดคางสูงขึ้นพลางตอบกลับไปเสียงดังอย่างมีความสุข
ลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ* เป็นเช่นนี้เอง แม่หนูสกุลซูถอดแบบพ่อออกมาเปี๊ยบ นั่นคือสมองทื่อๆ ห่ามๆ ชอบพุ่งเข้าชนด้วยกันทั้งคู่
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนแปลกใจยิ่งกว่านั้นคือท่านแม่ทัพใหญ่อนุญาตให้แม่หนูสกุลซูเข้าร่วมกองทัพ อีกทั้งยังเข้ามารับหน้าที่ในกระโจมแม่ทัพใหญ่…แค่กๆ…มารับหน้าที่สำคัญอย่างทหารคนสนิทแม่ทัพใหญ่ทันทีอีกด้วย
หรือว่าท่านแม่ทัพใหญ่จะคิดอะไรกับนาง…แต่ด้วยความงามอันเลิศล้ำของตัวท่านแม่ทัพใหญ่เอง…
ไม่ๆๆ ทุกคนคิดมากไปแล้ว คิดมากไปแล้ว…
หร่วนชิงเฟิงมีหรือจะไม่รู้ว่านายกองที่ภายนอกดูขึงขังนั้นในใจคาดเดาและอยากรู้อยากเห็นเรื่องส่วนตัวของเขาอย่างไรบ้าง แต่คุณสมบัติอย่างหนึ่งของคนเป็นผู้นำคือการทำตัวลึกลับ ไม่ให้ลูกน้องเดาได้ว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่
ยามนี้การเป็นแม่ทัพก็ต้องอาศัยชั้นเชิงเช่นกัน จะทำอะไรก็ยากไปหมด เฮ้อ…
เขารันทดใจอยู่เงียบๆ แต่รอยยิ้มตรงมุมปากรื่นรมย์ยิ่งกว่าเดิม “ไป ตามข้าไปขี่ม้ายิงธนู”
“รับทราบ!” ซูเสี่ยวเตาดีใจจนหน้าบานขณะรับคำเสียงดังลั่น
วิเศษๆ ในที่สุดนางก็จะได้เห็นการซ้อมรบในป่าที่แสนอันตรายน่าตื่นเต้นอย่างที่ท่านพ่อเคยเล่าให้ฟัง อาวุธจะปะทะกันอย่างดุเดือด เหงื่อกับเลือดจะสาดกระเซ็นไปทุกทิศ ถ้าจะให้นางตายตอนนี้นางก็ยอม!
ในอกร้อนผ่าวและตื่นเต้นจนบรรยายด้วยคำพูดไม่ได้ นางถือดาบพลางประคองหมวกเหล็กทหารห้อยพู่แดง สวมชุดออกรบที่เมื่อคืนขอให้แม่นมช่วยแก้ให้เล็กลง เดินตามหร่วนชิงเฟิงที่นำหน้าต้อยๆ ราวกับกลัวว่าหากช้าแม้แต่ก้าวเดียว เขาจะไม่ยอมให้นางไปด้วย
หนึ่งก้านธูป* ให้หลัง
ซูเสี่ยวเตานัยน์ตาว่างเปล่าหน้าตาเฉยชามองหร่วนชิงเฟิงที่ยิงธนูล่าสัตว์อย่างสนุกสนานอยู่ด้านหน้า ทั้งกวางเอย ชะมดเอย กระต่ายเอย…
แม่ทัพใหญ่ แล้วไหน ‘ขี่ม้ายิงธนู’ ที่บอกไว้เล่า…
“ข้าบอกว่าขี่ม้ายิงธนู แล้วนี่ไม่ใช่ขี่ม้ายิงธนูหรือไร น้องหญิง?”
หร่วนชิงเฟิงหันมาโดยบังเอิญ แล้วเหมือนจะมองความอัดอั้นคับแค้นของนางออก จึงฉีกยิ้มสดใส นางเห็นแล้วอยากจะใช้ดาบเล่มใหญ่ในมือฟาดหน้าเขาสักที!
ทน ข้าต้องทน…ทหารทำร้ายผู้บังคับบัญชาตั้งแต่เริ่มทำงานวันแรกไม่ใช่พฤติการกระทำที่ดี ถึงอย่างไรก็ต้องทนให้ได้
“ท่านแม่ทัพใหญ่ ท่านควรไปดูการซ้อมรบในป่าไม่ใช่หรือ” นางแสดงข้อสงสัยออกไปอย่างพยายามใจเย็นที่สุด
“การซ้อมรบในป่าเริ่มยามอู่ อีกอย่างข้าก็มอบหมายให้รองแม่ทัพไปจัดการแทนแล้ว” เขาตอบยิ้มๆ “จะเป็นผู้นำที่ดีก็ต้องรู้จักเคล็ดลับในการใช้คนให้ถูกงาน ไม่เช่นนั้นหากแม่ทัพใหญ่อย่างข้าต้องทำเองหมดทุกอย่างก็เท่ากับไร้ความสามารถน่ะสิ”
กลัวตนเองจะเหนื่อย จะสกปรก จะเบื่อมากกว่ากระมัง
เด็กสาวแอบกัดฟันเงียบๆ เสียดายที่ทำอะไรเขาไม่ได้ ชั่วดีอย่างไรนางก็รู้อยู่หรอกว่าประโยค ‘ในกองทัพบนล่างผู้ใหญ่ผู้น้อย’ เขียนอย่างไร…เมื่อคืนท่านพ่อให้นางเขียนตัวโตๆ ตั้งสิบแผ่นเต็ม
“แล้วตอนนี้เล่า” นางก้มหน้ามองสัตว์ป่าอันอุดมสมบูรณ์ที่ห้อยอยู่ข้างตัวม้าทั้งสองข้าง “ม้าข้าเต็มแล้วนะ บรรทุกมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ยังคิดจะล่าอีกหรือ”
“ในเมื่อน้องหญิงพูดเช่นนี้ก็ไม่ล่าต่อแล้ว” เขาคลี่ยิ้มสะกดใจ เก็บคันธนูสีดำกับลูกธนูสีเงินอย่างคล่องแคล่วแล้วให้ม้าเดินเข้ามาใกล้นาง “พวกเราไปหาที่ดีๆ ย่างกวางกินกันสักสองตัวเอาหรือไม่”
“แม่ทัพใหญ่ เช่นนี้จะดีหรือ” คิ้วโก่งสวยขมวดแน่น “พวกเรายังอยู่ในค่าย อีกทั้งตอนนี้ยังเป็นเวลาปฏิบัติหน้าที่ของข้าน้อย ท่านพ่อของข้าเคยบอกว่าเวลางานจะแอบอู้ไปกินดื่มไม่ได้ หาไม่จะถูกโบยแปดสิบไม้”
“นายทัพแนวหน้าปีกขวาซูอบรมสั่งสอนได้ถูกต้องยิ่งนัก” หร่วนชิงเฟิงฟังแล้วอดเลื่อมใสไม่ได้ ขณะพยักหน้าหงึกๆ อย่างเคร่งขรึม “ถ้าเช่นนั้นเรากินดื่มแบบเบาๆ แล้วกัน เปลี่ยนมาย่างกระต่ายป่าสองตัวแทนก็ได้”
ซูเสี่ยวเตาไม่ยอมตอบ รอบตัวเงียบสงัดราวกับสุสาน
เขายังไม่เคยเห็นนางไม่พูดไม่จาท่าทางเคร่งเครียดเช่นนี้มาก่อน จึงหุบยิ้มแล้วมองนางอย่างใจคอไม่ดี
“เอ่อ…ความจริงเมื่อครู่ข้าแค่…”
“สามตัว”
“เอ๋?” เขาเงยหน้าพรวด ดวงตาเป็นประกายอย่างประหลาดใจแกมยินดีและงุนงงไปพร้อมกัน “เจ้าว่าอะไรนะ”
“กระเพาะข้า…ไม่เล็กนัก” ใบหน้าเนียนปรากฏความเขินอายอย่างหาได้ยาก พลางพึมพำว่า “หากย่างแค่สองตัว เท่ากับท่านกับข้าแบ่งกันคนละตัว เท่านี้ยังไม่พอแหย่ขี้ฟันเลย ถ้าหากคนละตัวครึ่งค่อยพอถูไถกินแทนของว่างได้”
สวรรค์ เหตุใดถึงได้มีคนตัวน้อยที่น่ารักน่าสนใจได้ถึงเพียงนี้นะ
หร่วนชิงเฟิงผู้นี้ดวงดีเหลือเกินที่เจอเข้าหนึ่งคนทันที่ก้าวเท้าเข้ามาในชายแดนตะวันตก
รอยยิ้มของเขาทำเอานางขนลุก นางรีบพรวดพราดดึงกระต่ายป่าสามตัว จากนั้นก็กระโดดลงจากหลังม้า “ข้าจะไปหาน้ำ จะได้ถลกหนังแล้วล้างกระต่าย”
“น้องหญิงหลักแหลมยิ่งนัก” เขาชื่นชมยิ้มๆ “ทำศึกได้ ต่อยตีกับอันธพาลได้ ฆ่ากระต่ายได้ แล้วยังทำอาหารได้อีก ไม่เลวๆ”
เทียบกับคุณหนูลูกหลานผู้ดีในเมืองหลวงที่ดีดพิณ เดินหมาก วาดภาพ เขียนอักษรเป็นเรื่องหลัก แก่งแย่งชิงดีกันในคฤหาสน์เป็นเรื่องรองแล้ว ซูเสี่ยวเตาโดดเด่นมีเอกลักษณ์กว่ากันมากจริงๆ
บรรดาหญิงสาวที่บิดาเพียรหามาให้เขาเลือกเป็นภรรยานั้น แต่ละคนหน้าตารางเลือนเหมือนๆ กันหมด คนที่รู้ว่าพวกนางเป็นใครมาจากไหนจะบอกว่าธิดาสกุลใหญ่ก็เช่นนี้ ส่วนคนไม่รู้คงนึกว่าเป็นสินค้ายกชุดขายส่งจากร้านเดียวกัน!
หร่วนชิงเฟิงลงจากม้าอย่างไม่เร่งร้อน แล้วลูบขนแผงคอสีขาวพิสุทธิ์ของอาชาตัวโปรดยิ้มๆ “อาเสียน เจ้าชอบนายหญิงแบบใด แบบเมื่อครู่ดีหรือไม่”
ยอดอาชาเหงื่อโลหิตรูปร่างกำยำสง่างามปรายตามองเจ้านายเป็นเชิงตัดพ้อแล้วพ่นลมหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ เห็นชัดว่าแม้แต่ม้ายังคร้านจะสนใจประเด็นคำถามไร้สาระที่แสนน่าเบื่อนี้ของเจ้านาย
“ไม่เอาอ่าว” เขาตบหัวอันโอฬารของม้าเบาๆ พลางอมยิ้มเอ็ด “เหตุใดพอข้าจะจริงจังขึ้นมากลับไม่มีใครเชื่อกันนะ”
หร่วนชีที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับกลอกตา… นายท่าน ท่านแน่ใจหรือว่าเมื่อครู่ตนเองจริงจังแล้ว
ซูเสี่ยวเตาในตอนนั้นไม่รู้เลยสักนิดว่าแม่ทัพหนุ่มผู้งามสง่ากำลังทำสิ่งที่น่าเบื่อยิ่งกว่าล่าสัตว์ นางหิ้วกระต่ายสามตัวเดินไปเดินมาเพื่อหาแหล่งน้ำ สลับกับหันไปมองเป็นพักๆ ว่าบุคคลที่ตนต้องอารักขาอย่างใกล้ชิดยังอยู่ในระยะสายตา
พอเห็นว่าแม่ทัพหนุ่มผูกม้าไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่แล้วเดินตามมา นางก็เดินหาแหล่งน้ำต่ออย่างสบายใจ
เนื่องจากเติบโตมาในชายแดนตะวันตกตั้งแต่เด็ก ซูเสี่ยวเตาจึงได้ยินเสียงน้ำไหลที่ด้านหน้าอย่างรวดเร็ว นางยินดีอยู่ในใจ ขณะสาวเท้าให้ยาวขึ้น
ในตอนนั้นเองกลิ่นสาบสางแปลกประหลาดก็ลอยเข้ามากระทบจมูก เด็กสาวขมวดคิ้ว ตอนแรกนึกว่ากลิ่นลอยมาจากกระต่ายป่าที่ถูกยิง แต่พอลองยกขึ้นมาดมก็พบว่าไม่ใช่ กลิ่นสาบนั้นมาจากด้านหลัง ไม่ใช่ด้านหน้า…ด้านหลัง?!
ซูเสี่ยวเตาหันขวับกลับไป เห็นหร่วนชิงเฟิงกำลังอมยิ้มเดิน ‘มือเปล่าไร้อาวุธ’ ตามมาด้วยฝีเท้าสบายๆ ทันใดนั้นเสือตัวเขื่องดวงตาสีทองท่าทางดุร้ายตัวหนึ่งก็กระโจนออกมาจากพุ่มไม้ด้านหลัง นางใจหายวาบ แล้วร้องคำรามพลางโยนกระต่ายทิ้งวิ่งเข้าไปโดยไม่ต้องคิด
“แม่ทัพใหญ่หลบเร็ว!”
หร่วนชิงเฟิงเห็นนางหน้าซีดพร้อมกับที่สัมผัสได้ถึงจิตสังหารและกลิ่นสาบที่แผ่เข้ามาจากข้างหลัง เขาใจเต้นแรง จากนั้นร่างสูงใหญ่ก็หลบการจู่โจมของเสือหิวโซได้อย่างรวดเร็วและหวุดหวิด!
จุ๊ๆ ที่แท้ก็เสือนี่เอง…เดิมวันนี้เขาวางแผนไว้ว่าจะล่าสัตว์เล็กๆ มาเอาใจน้องหญิง นึกไม่ถึงว่าจะได้ขึ้นเขาล่าเสือเข้าจริงๆ!
ที่เหนือความคาดหมายยิ่งกว่านั้นก็คือเขายังไม่ทันได้ขยับ ร่างอ้อนแอ้นร่างหนึ่งก็กระโจนขึ้นไปหาพยัคฆ์ร้าย ทำเอาเขาใจเต้นแรง หน้าถอดสีด้วยความตระหนก…
“เสี่ยวเตา อย่า!”
ทว่าซูเสี่ยวเตาทะยานขึ้นไปหาเสือตัวเขื่องเรียบร้อยแล้ว ร่างเล็กบางเกาะอยู่บนหลังของมันแล้วกลิ้งไปบนพื้นพร้อมกันตลบหนึ่งอย่างน่าเสียวไส้ หากแต่มือน้อยยังเกาะอย่างแน่นหนา
เสือร้ายคำรามดังลั่นด้วยความโมโหจนภูเขาสะเทือน
“อ๊าก…” ซูเสี่ยวเตาเองก็เดือดดาลเช่นกัน ใบหน้าเรียวเล็กแดงก่ำขณะระเบิดเสียงคำรามออกมา แขนบางๆ ทั้งสองข้างที่กอดหัวเสือเอาไว้ทรงพลังขึ้นมาอย่างน่าทึ่ง แค่บิดทีเดียว ลำคอของพยัคฆ์นัยน์ตาทองก็หักคาที่!
หร่วนชิงเฟิงอึ้งไปสนิทใจ แทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง
พยัคฆ์ล้มตึงลงกับพื้น น่ากลัวว่าแม้ถึงตอนที่ขาดใจตายก็ยังไม่เข้าใจว่า ‘สิ่งเล็กๆ’ เบาหวิวที่อยู่บนหลังเอาเรี่ยวแรงจากไหนมาหักคอตนได้!
ซูเสี่ยวเตายังคงกอดรัดคอเสือสิ้นลมตัวนั้นแน่น ออกแรงจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัวราวกับกลัวว่ามันจะไม่ตายสนิท และอาจกระโจนขึ้นมากัดหัวนางขาดได้ทุกเมื่อ ทว่าหัวใจหวาดกลัวอย่างประหลาด นางเป็นทหารประจำตัวแม่ทัพใหญ่ มีหน้าที่คอยรับมือกับนักฆ่าและศัตรู แล้วเจ้าเสือบ้าตัวนี้โผล่มาเสนอหน้าด้วยเหตุใดกัน หากประมาทจนเผลอปล่อยให้แม่ทัพใหญ่ถูกเสือกิน ซูเสี่ยวเตาคนนี้จะยังเงยหน้าขึ้นในเมืองชายแดนตะวันตกได้อีกหรือไร
บัดซบจริงๆ
“เสี่ยวเตา” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นข้างหู แฝงไว้ซึ่งอาการสั่นสะท้านและความทะนุถนอมอยู่ลึกๆ “คนดี ปล่อยมือเถิด ให้ข้าดูซิว่าเจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”
เสียงนั้นอ่อนโยนและคุ้นหูเหลือเกิน
“มะ…แม่ทัพใหญ่ ท่านไม่เป็นไรนะ” โทสะกลบทับความหวาดกลัวไว้ทันที สมองกลับมากระจ่างชัดอีกครั้ง นางเงยหน้าที่มอมแมมไปด้วยฝุ่นขึ้นมองเขาอย่างร้อนใจ
หัวใจของชายหนุ่มเหมือนถูกกระแทกโครมใหญ่ เขายืนอึ้งมองใบหน้าสกปรกมอมแมมของคนตัวเล็กอย่างเหม่อลอย
“แย่ล่ะ อย่าบอกนะว่าตกใจจนสมองมีปัญหาไปเสียแล้ว” ซูเสี่ยวเตาสะดุ้ง รีบลุกขึ้นมานั่งแล้วดึงเขาเข้ามาสำรวจ “แม่ทัพใหญ่? แม่ทัพใหญ่มองข้าสิ นี่กี่นิ้ว สามนิ้ว? ห้านิ้ว? ตายแล้ว ไม่ได้การๆ ดูท่าจะต้องพากลับเข้าเมืองไปให้แม่หมอหม่าเรียกขวัญให้เสียแล้ว…”
ดวงตาคมของหร่วนชิงเฟิงฉายแววอ่อนโยน ขณะที่มุมปากอมยิ้มนิดๆ “เจ้าเด็กโง่”
“นี่ เมื่อครู่ข้าเพิ่งช่วยท่านจากเสือร้ายนะ!” นางทำหน้าง้ำอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อได้ยินเขาเรียกตน
เขาขันกิริยาของนาง สติที่เมื่อครู่เตลิดเปิดเปิงไปตอนเห็นนางกระโจนเข้าใส่เสือร้ายกลับคืนสู่ตัวอีกครั้ง “คราวหน้าห้ามทำเรื่องอันตรายเช่นนี้อีก” เขาทำหน้าเครียดสั่งสอน ในใจยังหวาดหวั่นไม่หาย “จากนี้ไปเห็นเสือต้องรีบหนีขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่บุรุษแต่โดยดี ได้ยินหรือไม่”
“แต่ข้าเป็นทหารประจำตัวท่าน เกิดอันตรายขึ้นมาจะหนีเอาตัวรอดขึ้นไปบนต้นไม้ได้อย่างไรเล่า” นางเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้
“ยังจะเถียงอีก” ใบหน้าคมคายบึ้งตึง “นี่เป็นคำสั่งทหาร!”
“มีเช่นนี้ด้วยหรือ” นางทั้งโมโหทั้งร้อนรนจนแทบร้องไห้ออกมา “ไม่ว่าเรื่องอะไรท่านก็จะทำหมด จงใจแกล้งข้าเล่นใช่หรือไม่”
“ไม่ได้แกล้งๆ” พอเห็นดวงตากลมโตมีน้ำตาเอ่อคลอ ใจเขาก็เจ็บปวดจนแทบละลาย พลางรีบเอ่ยปลอบ “เอาล่ะๆ ไม่ต้องปีนขึ้นไปแอบบนต้นไม้ ทีนี้ไม่ต้องปีนขึ้นไปแอบบนต้นไม้แล้วนะ”
“กำลังกล่อมเด็กสามขวบอยู่หรือไร” นางจ้องมองเขาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ
เอ่อ…ระดับสติปัญญานางสูงกว่าเด็กสามขวบอยู่บ้างจริงๆ ถ้าเช่นนั้นเปลี่ยนวิธีอื่นแล้วกัน
“ข้าหิวแล้ว” หร่วนชิงเฟิงยกมือลูบท้องพร้อมทำตาละห้อยมองอีกฝ่าย
เด็กสาวถูกมองจนขนลุกเกรียวแล้วถอยหนีไปข้างหลังก้าวหนึ่งตามสัญชาตญาณ จากนั้นก็พูดตะกุกตะกัก “นี่ มะ…ไม่ต้องมาใช้หน้าตาล่อลวงกันเลยนะ ทำเช่นนี้ขี้โกงนี่!”
“น้องหญิงเองก็คิดเหมือนกันหรือว่าพี่ชายหน้าตาดี” ความปรีดาวาบขึ้นในเนตรหงส์ เขาคลี่ยิ้มสว่างไสว “ใช่หรือไม่”
“ขะ…ข้าจะไปถลกหนังกระต่ายล่ะ” นางคว้ากระต่ายวิ่งหน้าแดงก่ำหนีไปอย่างขี้ขลาด
“เฮ้อ…” แม่ทัพหนุ่มลูบคางตนเอง รู้สึกยังไม่หายอยาก เพราะยังไม่ได้หยอกเย้าคนตัวเล็กจริงๆ จังๆ เลย “สมแล้วที่เป็นลูกสาวบ้านสกุลซู” เขาพึมพำ รอยยิ้มบนเรียวปากชัดเจนขึ้น “ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ…หร่วนชี”
“ขอรับ” หร่วนชีที่ซ่อนอยู่ในที่ลับแสดงตัว ดวงตาคมกริบมองเสือตัวเขื่องที่แน่นิ่งอยู่บนพื้นอย่างตระหนกแกมทึ่ง
“เมื่อครู่ดูสนุกหรือไม่” ผู้เป็นนายถามยิ้มๆ “ดูไว้นะ ทหารประจำตัวเขาเป็นกันเยี่ยงนี้ เจ้า…เอาแต่แอบอยู่ในที่ลับไม่กระอักกระอ่วนบ้างหรือไร”
“บ่าวสมควรตาย” มุมปากหร่วนชีกระตุกริกๆ เสือตัวหนึ่งเป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อยในสายตานายท่านเท่านั้น มีแต่ทหารหญิงเซ่อซ่าที่ตั้งใจจริงคนนั้นแหละถึงจะพุ่งเข้าไป ‘เอาชีวิตเข้าแลก’ เพื่อปกป้องนายท่าน
แต่ก็ถูกฝาถูกตัวกันจริงๆ สองคนนี้มายืนอยู่ด้วยกันแล้วดูเหี้ยมเกรียมยิ่งนัก
“สมควรตายไม่สมควรตายอะไรกันเล่า พูดเช่นนี้ทำร้ายจิตใจข้านะ” หร่วนชิงเฟิงใช้มือปัดฝุ่นบางๆ บนเสื้อแล้วยิ้ม “เอ้า ข้าจะให้โอกาสทำคุณไถ่โทษ เสือตัวนี้ข้ามอบให้เจ้าจัดการ จำไว้ว่าจะต้องถลกหนังที่สมบูรณ์เก็บไว้ แล้วก็หักกระดูกเสือไว้ให้รองแม่ทัพบำรุงร่างกาย ส่วนหู่เปียน* นี่…ข้าตกรางวัลให้เจ้า ปีหน้าอุ้มหลานชายตัวอ้วนๆ มาให้ข้าดูด้วยล่ะ”
หร่วนชีได้ยินเช่นนี้ก็หมดคำกล่าว…
หลังจากสั่งการเรียบร้อยแล้ว แม่ทัพใหญ่ผู้งามสง่าก็เดินทอดน่องเอื่อยๆ ตามทหารหญิงไป
ซูเสี่ยวเตาร้องออกมาด้วยความยินดีเมื่อเห็นธารน้ำตรงตีนเขา
น้ำ! อีกทั้งในน้ำยังมีปลาด้วย ไม่แน่ว่าเดี๋ยวพอถลกหนังและทำความสะอาดกระต่ายเสร็จแล้ว นางอาจจับปลาสักสามสี่ตัวเอาไว้กินเปลี่ยนรสชาติด้วยก็ได้!
ซูเสี่ยวเตาในเวลานี้ลืมเรื่อง ‘ข้อตกลง’ เรื่องการปรุงอาหารกลางป่าเมื่อครู่ไปหมดสิ้นแล้วว่าจะกินดื่มแบบเบาๆ อีกทั้งลืมด้วยว่าตนเองเพิ่งเอาชีวิตเข้าแลกกับเสือตัวใหญ่มาหมาดๆ คนที่ความคิดไม่ซับซ้อนก็ใช้ชีวิตสบายเยี่ยงนี้เอง…นางถอดเสื้อเกราะที่หนาหนักจนหายใจแทบไม่ได้ให้พ้นทาง เผยให้เห็นเสื้อชั้นกลางสีขาวและกางเกงผ้าฝ้ายทรงหลวมรัดข้อเท้าสีเขียว พอเนื้อตัวเบาสบายเหมือนเดิมก็กระโดดลงไปจับปลาในน้ำ
โห! น้ำเย็นสดชื่น ปลาชุกชุม สบายที่สุดเลย…
“ซูเสี่ยวเตา!” ตอนแรกหร่วนชิงเฟิงยังเดินอมยิ้มช้าๆ พลางคิดหาโอกาสปลอบโยนใจบางๆ ที่เสียขวัญของเด็กสาว แต่พอเห็นอย่างนั้นเข้าก็หน้าถอดสีใจเต้นแรงขึ้นมาทันที
เพิ่งจะรอดชีวิตจากปากเสือมาได้อย่างหวุดหวิด ตอนนี้ก็กระโจนลงไปในลำธารเสียแล้ว…บทบาทของนางจะเปลี่ยนไปมาเร็วเกินไปหน่อยหรือไม่
“หา?” ซูเสี่ยวเตาที่ยืนอยู่กลางน้ำใสหันมาทางเสียงเรียก มือเล็กจับปลาที่ดิ้นไปมาไม่หยุดไว้แน่น “เรียกข้าด้วยเหตุใดหรือ”
“นั่นเจ้าทำอะไรอยู่” ความเดือดดาลพลุ่งพล่านอยู่ในอก ใบหน้าคมคายแดงก่ำ เสียงทุ้มตะกุกตะกักอย่างหาได้ยาก
“ก็จับปลาอยู่น่ะสิ” เด็กสาวกะพริบตาปริบๆ ไม่รู้เลยสักนิดว่าร่างอ้อนแอ้นบอบบางในเสื้อสีขาวกับกางเกงผ้าเบาพลิ้วสีเขียวดูเย้ายวนเพียงไรในสายตาบุรุษ
“เจ้าแต่งตัวอะไรของเจ้า” ทั้งที่ปกติไม่สนใจธรรมเนียมหยุมหยิม แต่ตอนนี้หร่วนชิงเฟิงตกใจจนแทบสำลัก รู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างรุนแรง เหมือนว่าสมบัติของตนเองถูกคนอื่นแอบถ้ำมอง…ช้าก่อน ถ้ำมอง?
หร่วนชี!
“ออกไปเดี๋ยวนี้!” เนตรหงส์เป็นประกายวาววับ เขาตวาดเสียงเข้ม
หร่วนชีที่แบกเสือตัวใหญ่อยู่ในที่ลับเหงื่อตก พลางรีบหายตัวไปอย่างรวดเร็วจนไม่เหลือแม้แต่เงา!
เสียงตวาดของเขาทำให้ซูเสี่ยวเตาตกใจจนเสียหลักลื่นล้มลงไปในลำธารก้นจ้ำเบ้า เสื้อตัวกลางสีขาวเปียกชุ่มจนแนบลู่ไปกับเนินอกกะทัดรัด มองเห็นเอี๊ยมบังทรงสีแดงปักลายดอกไม้ที่อยู่ข้างในได้รางๆ
หร่วนชิงเฟิงหัวสมองว่างเปล่า หูอื้อ อะไรร้อนๆ ไหลออกมาจากรูจมูกอย่างรวดเร็ว…อึก!
ตอนแรกเด็กสาวกำลังงุนงงทำอะไรไม่ถูก ทว่าเห็นแม่ทัพใหญ่ผู้งามสง่าเลือดไหลออกจากจมูกแล้วรีบหมุนตัวหันหลังให้นางอย่างลนลานเช่นนี้นางก็ทำหน้างงงัน
“แปลกจริง เป็นถึงแม่ทัพใหญ่กลับทำลุกลี้ลุกลนไปได้ เป็นอะไรของเขานะ”
แต่พอก้มหน้าลงเท่านั้น ตัวนางเองก็ต้องตาค้าง แล้วรีบยกมือตะปบของสงวนที่โผล่ออกมาครึ่งหนึ่งเอาไว้ ทำหลังงอไหล่งุ้มหลบอยู่ใต้น้ำ โผล่มาแค่ใบหน้าตื่นตระหนกที่แดงก่ำราวกับผลผิงกั่ว* สุก
“หะ…ห้ามมองนะ!” นางตวาดแหว “ใครมองเป็นตากั้งยิง!”
“…เจ้าจะพูดว่าตากุ้งยิงสินะ?” ไหล่กว้างของคนที่หันหลังให้สั่นนิดๆ
“แม่ทัพใหญ่ นี่หัวเราะเยาะข้าอยู่หรือ” อาการไหล่กระเพื่อมนั่นดูน่าสงสัยเหลือเกิน
“ถูกน้องหญิงปรักปรำเสียแล้ว พี่ชายจะเป็นคนต่ำช้าที่เห็นโนมเนื้อก็ลืมคุณธรรมได้อย่างไรกันเล่า” น้ำเสียงเขาฟังดู ‘เดือดดาล’ อย่างมาก
…ถ้าจริงใจก็อย่ากลั้นหัวเราะไปพูดไปสิ!
ใบหน้าเรียวเล็กเป็นสีแดงกับดำสลับกัน น่ามองอย่างยิ่ง
“แค่กๆ” หร่วนชิงเฟิงกลายเป็นฝ่ายร้อนตัวเสียเอง เขาหุบยิ้ม ถอดเสื้อคลุมสีขาวพิสุทธิ์ราวกับหิมะบนร่างตนเองโยนไปข้างหลังอย่างแม่นยำ แล้วพูดเสียงอ่อนโยน “เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว น้ำเย็น น้องหญิงอย่าปล่อยให้ร่างกายหนาว สวมเสื้อเสียก่อนค่อยขึ้นมาเถิด”
นางเอื้อมมือไปรับเสื้อห่มคลุมร่างเปียกปอนของตนเองอย่างรวดเร็ว เสื้อตัวใหญ่ยังมีไออุ่นและกลิ่นจากร่างเขาตกค้างอยู่ ทำให้นางรู้สึกเหมือนถูกเขาสวมกอดไว้แนบอกแน่นๆ อย่างไรอย่างนั้น
หัวใจนางพลันเต้นแรงขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ อะไรบางอย่างเหมือนครูดกระเพาะเบาๆ ก่อนจะกลายเป็นความอบอุ่นที่ทำให้ทรวงอกร้อนผ่าวและมึนหัวนิดๆ
“ตายล่ะ” นางลูบแก้มที่ร้อนฉ่าของตนเองพลางพึมพำ “แย่ชะมัด คงเป็นไข้เสียแล้ว”
“เสร็จหรือยัง” ชายหนุ่มเช็ดเลือดกำเดาไม่เอาไหนออกไปเรียบร้อยก็กระแอมแล้วเอ่ยถามยิ้มๆ
“เสร็จแล้ว” ต่อให้หัวทื่อหัวช้าเพียงใด ถึงอย่างไรนางก็เป็นหญิง พอคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ก็อดจะประดักประเดิดและเขินอายไม่ได้ “เมื่อครู่แม่ทัพใหญ่ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นใช่หรือไม่”
หร่วนชิงเฟิงผงะไปเมื่อได้ยินดังนั้น ก่อนจะยกมือลูบคางพร้อมทำหน้าดื่มด่ำครุ่นคิด
“…บอกตามตรง ที่ควรได้เห็นดันไม่เห็น”
เฮ้อ…น่าเสียดายนัก เจ็บปวดเหลือเกิน
ซูเสี่ยวเตาถอนหายใจโล่งอกก่อนจะหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ข้าก็ว่าแล้วเชียว แม้บางครั้งแม่ทัพใหญ่จะทำตัวทึ่มๆ โง่ๆ อยู่บ้าง แต่ก็เป็นลูกผู้ชาย เป็นสุภาพบุรุษที่ควรเคารพยกย่อง ฮ่าๆ”
“เอาเสื้อคืนมาเลย” มุมปากของเขากระตุกริกๆ
“หา?”
เขายกมือใหญ่สวยเรียวได้รูปที่เห็นข้อกระดูกชัดขึ้นไปแตะขมับแล้วนวดแรงๆ
นางเดินขึ้นมาบนฝั่ง พอเหลือบไปเห็นกระต่ายป่าสามตัวที่ยังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อยก็อุทานด้วยความตกใจ
“ตายแล้ว ข้ายังไม่ได้ถลกหนังกระต่ายเลย!”
“ตอนนี้ยังมีแก่ใจมาห่วงกระต่ายอีกหรือ” แม้จะยังกรุ่นๆ อยู่ในใจ สุดท้ายหร่วนชิงเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปหานางแล้วผูกเชือกตรงคอเสื้อที่ผูกไว้เบี้ยวๆ ให้ใหม่
“ที่ล้มเมื่อครู่เจ็บหรือไม่”
“ไม่เป็นไร แค่ก้นไปครูดกับก้อนหินในลำธารเลยชานิดหน่อยเท่านั้น ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรหรอก” นางโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
มือใหญ่ชะงัก ใบหูแดงก่ำและร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อๆ ปลายนิ้วที่เมื่อครู่ยังเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วก็กลายเป็นเงอะงะงุ่มง่ามอย่างไร้สาเหตุ ทำอย่างไรก็ผูกเชือกไม่เสร็จเสียที อีกทั้งปลายนิ้วยังพันกับเชือกวุ่นไปหมด จนต้องรีบแกะออกแล้วพยายามผูกใหม่อีกครา
หร่วนชิงเฟิงโน้มตัวลงผูกเชือกคอเสื้อให้คนตัวเล็กที่สูงแค่อกตนเองอย่างตั้งอกตั้งใจ ขณะที่ซูเสี่ยวเตาพยายามแอ่นอกให้ความร่วมมือกับเขา บรรยากาศสุขสงบในเวลานี้ค่อยๆ แปลกขึ้นทุกที
ใบหน้าคมคายของเขาคลอเคลียอยู่ตรงคางและซอกคอนาง ไออุ่นและลมหายใจแบบบุรุษเพศเป่ากระทบผิวเบาๆ จนนางรู้สึกจั๊กจี้เป็นระลอกอย่างน่าประหลาด เด็กสาวกลั้นหายใจยืนตัวแข็ง ปรากฏว่าพอทำเช่นนั้นเนินอกกลมกลึงก็ยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว และสัมผัสถูกปลายนิ้วที่กำลังผูกปมเชือกให้เบาๆ
แม่ทัพหนุ่มรู้สึกเหมือนสายฟ้าแล่นผ่านร่าง เขาตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะหนึ่ง พอปรับลมหายใจได้ก็ผูกเชือกต่ออย่างมั่นคง ทว่ายิ่งผูกยิ่งยุ่ง ยิ่งยุ่งยิ่งนาน ยิ่งนานซูเสี่ยวเตาที่พยายามจะกลั้นหายใจยิ่งอึดอัด ยิ่งอึดอัดเนินอกก็ยิ่งยกสูงขึ้น
น่าโมโหนัก! ตอนสู้กับเสือตัวเขื่องนัยน์ตาทองเมื่อครู่ข้ายังไม่กระสับกระส่ายเท่านี้!
“แม่ทัพใหญ่…” เสียงเรียบทื่อดังขึ้นเบาๆ
“หืม?” เขากลั้นหายใจเพ่งสมาธิด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หยดเหงื่อเริ่มไหลลงมาตามขมับ
“ข้ายืนจนขาชาแล้วนะ ยังไม่เสร็จอีกหรือ” ไม่อย่างนั้นให้ข้าผูกใหม่เองดีหรือไม่
“แค่ก” เขาได้สติกลับมาทันที รู้สึกเหมือนฟ้าผ่ากระหม่อมแล้วถูกราดหัวด้วยน้ำนม ปลายนิ้วเรียวผูกเงื่อนตายอย่างคล่องแคล่วทรงพลัง จากนั้นก็รีบยืนตรงอย่างรวดเร็ว “เสร็จแล้ว”
ซูเสี่ยวเตาเองก็ไม่ได้ก้มหน้าไปสำรวจ แค่ถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง “ยังดีๆ ข้านึกว่าจะต้องยืนอย่างนี้ไปจนพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาเสียอีก”
หร่วนชิงเฟิงที่แสร้งไม่ได้ยินคำเหน็บแนมของคนตัวเล็กกระแอมในคอ ก่อนจะกลับไปคลี่ยิ้มเสเพลตามปกติอีกครั้ง “น้องหญิงสวมเสื้อคลุมตัวนี้แล้วน่ามองยิ่งนัก เสียแต่ยาวไปหน่อย”
“อืม ชายระพื้นเลย” นางก้มหน้าลงดึงชายเสื้อคลุมพลางบ่น “หากข้าสูงใหญ่บึกบึนเหมือนท่านพ่อก็ดีสิ จะต้ององอาจมากแน่”
“อย่าเป็นอันขาดเชียว” แค่เขานึกถึงภาพกล้ามปูดโปนเป็นมัดๆ ของซูเถี่ยโถว แม่ทัพหนุ่มก็ถึงกับต้องแอบสูดหายใจเฮือก “เช่นนั้นกอดไม่สบาย…”
“หา?” นางเหลือบมองเขางงงัน
“ข้าจะบอกว่า…เอ่อ…น้องหญิงเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว ดีมากเลย” ความเคอะเขินอันน่าประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าชายหนุ่ม ก่อนจะเสไปพูดเรื่องอื่นอย่างกระอักกระอ่วน “จริงสิ ต่อไปห้ามถอดเสื้อผ้าในที่โล่งกลางวันแสกๆ อีก วันนี้โชคดีที่ได้เจอสุภาพบุรุษอย่างข้า หากวันใดไปเจอคนใจคดเข้าจะทำอย่างไร”
“ข้าก็ไม่ได้ถอดจนเปลือยหมดเสียหน่อย ข้างในยังสวมเอี๊ยมบังทรงอยู่อีกตัว” นางกล่าวแย้ง
เอี๊ยมบังทรง…เจอเอี๊ยมบังทรงอีกแล้ว…
ไม่พูดยังดีกว่า เพราะพอริมฝีปากจิ้มลิ้มอิ่มชื้นเอ่ยคำว่า ‘เอี๊ยมบังทรง’ ออกมา สมองของหร่วนชิงเฟิงก็นึกถึงพื้นที่สีแดงสดที่ได้เห็นเมื่อครู่ รวมถึงความกลมกลึงที่อยู่ข้างใต้…
เขารีบดึงมือกลับมาเหมือนถูกของร้อน รีบยกแขนเสื้อขึ้นบังครึ่งใบหน้าเอาไว้ อีกทั้งเลือดกำเดาที่ไหลทะลักลงมาเป็นสาย
“แม่ทัพใหญ่ เหตุใดหน้าแดงถึงเพียงนี้ล่ะ อีกทั้ง…ยังมีแต่เหงื่อเต็มหน้าผาก ร้อนหรือ” ตัวต้นเหตุกลับทำหน้าฉงนสงสัยก้าวเข้ามาเพ่งพินิจเขาใกล้ๆ
คราวนี้แม่ทัพใหญ่รักษาท่าทางสุขุมไม่ไหวแล้ว รีบกระโดดขึ้นหลังม้าอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
“สายมากแล้ว กลับกันเถอะ”
“กลับ?” ซูเสี่ยวเตายืนอึ้ง ตะวันยังไม่ทันตรงหัว เหตุใดจะกลับเสียแล้วล่ะ
ไม่ย่างเนื้อ ไม่ล่าสัตว์แล้วหรือไร
สรุปว่าเช้าวันนั้นเต็มไปด้วยเหตุการณ์พลิกผัน ตั้งแต่ขี่ม้าล่าสัตว์ด้วยท่วงท่าสง่างาม เพียงพริบตาเดียวกลับกลายเป็นการต่อสู้กับพยัคฆ์ร้ายอันน่าอกสั่นขวัญผวา จากนั้นก็เปลี่ยนฉากเป็นภาพเย้ายวนกระตุ้นเลือดลมให้ฉีดพล่าน แล้วกลับตาลปัตรเป็นคนหนึ่งตกน้ำคนหนึ่งเลือดกำเดาออก ก่อนที่ทั้งคู่จะขี่ม้ากลับมาอย่างหมดสนุกในท้ายที่สุด
ปลายยามอู่ ซูเสี่ยวเตาที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยและกลับมาปฏิบัติหน้าที่ทหารประจำตัวอีกครั้งก็ได้รับคำสั่งพิลึกพิลั่นว่า ‘ท่านแม่ทัพใหญ่ชื่นชมว่าเจ้าปฏิบัติงานได้ยอดเยี่ยม จึงให้รางวัลด้วยการให้เลิกงานเร็วก่อนกำหนด’ จากนั้นก็ถูกไล่ออกจากค่ายอย่างงงๆ
ขนาดเข้านอนแล้ว เด็กสาวก็ยังกอดผ้าห่มมองเพดานห้องด้านบนอย่างเหม่อลอยอยู่นาน ทำอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดในวันแรกของการเป็นทหาร จุดจบของนางถึงเป็นการถูกสั่งให้เลิกงานเร็ว
ส่วนหร่วนชิงเฟิงที่อยู่บนเตียงหลังกว้างนั้นกำลังนอนตะแคงเอามือเท้าคาง เนตรหงส์งดงามสะกดใจกะพริบปริบๆ ทำอย่างไรก็ไม่เข้าใจ เห็นหญิงงามโผล่พ้นน้ำท่ามกลางธรรมชาติงดงามและบรรยากาศดีเยี่ยม เป็นบุรุษคนไหนก็ต้องฉวยโอกาสเอาเปรียบนางให้หนำใจทั้งนั้นไม่ใช่หรือ
แต่เลือดกำเดาที่ไม่เคยไหลมาชั่วนาตาปีของเขากลับมีอันต้องทะลักลงมาเพราะนางอยู่ร่ำไป แล้วทำให้หนุ่มเจ้าสำราญผู้คล่องแคล่ว ‘มัวหมอง’ กลายเป็นบุรุษซื่อบื้อเงอะงะคนหนึ่งไปเสียอย่างนั้น
“เฮ้อ…หรือจะเป็นเพราะไม่ได้ฝึกปรือมานานเต็มที ชั้นเชิงก็เลยฝืดลงอย่างนั้นหรือ” เรื่องนี้สร้างความหงุดหงิดให้หร่วนชิงเฟิงอย่างมาก
อาการของเขาเลวร้ายขึ้นในช่วงครึ่งหลังของคืน…
ในเวลาที่ผืนพิภพเงียบสงบ ระหว่างนอนอยู่บนเตียงหลังใหญ่ในค่ายทหารสกุลหร่วน แม่ทัพใหญ่ผู้งามสง่าหนุ่มแน่นกำยำก็ได้หวนกลับไปยังฉากลำธารกลางเขาเมื่อตอนกลางวันอีกครั้ง…
คนตัวเล็กที่เมื่อครู่ยังฆ่าเสือตายเพื่อเขาอย่างไม่หวั่นเกรง ตอนนี้กลับนั่งขลาดเขินอยู่ในน้ำพลางมองเขาซื่อๆ เขาเอื้อมท่อนแขนยาวของตนออกไปดึงนางเข้ามากอดแนบอกโดยแรง แล้วใช้เสื้อคลุมห่มร่างเปียกปอนที่กำลังสั่นสะท้านให้อย่างทะนุถนอม
นางหายใจเบาๆ พลางอิงอกเขา ทรวงอกกลมเล็กดุจกระต่ายน้อยที่เด่นนูนขึ้นมาเพราะเสื้อเปียกแนบลำตัวเบียดชิดแผงอกกว้าง จุดลูกไฟร้อนแรงขึ้นมาในท้องน้อยของเขา ความโอฬารตรงหว่างขาตอบสนองทันทีจนเขาเจ็บ
‘แม่ทัพใหญ่…’ ร่างเล็กเปียกปอนในอ้อมกอดสั่นระริก พลางส่งเสียงหวานครางเรียก
‘คนดี เรียกข้าว่าท่านพี่สิ’ เขาโอบเอวคอดกิ่วแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว สัตว์ร้ายตรงหว่างขาเบียดตรึงท้องน้อยเนียนละมุนของนางอย่างทรมาน กระตุกนิดๆ เหมือนมีความคิดเป็นของตนเองและพร้อมจะทะยานตัวเต็มที่
ซูเสี่ยวเตาทิ้งร่างอ่อนปวกเปียกราวกับสายน้ำฤดูใบไม้ผลิพิงซบอกเขาพลางครางเบาๆ ‘ทะ…ท่านพี่…ข้ากลัว…เจ็บ…’
นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นนางทำท่ารัญจวนเช่นนี้ ความยับยั้งชั่งใจของเขาขาดผึงทันที เขาก้มลงประกบจูบกลีบปากจิ้มลิ้มไว้อย่างควบคุมตนเองไม่อยู่ มือใหญ่ยกสะโพกเล็กกลมกลึงดึงเข้ามาหาแท่งเหล็กร้อนผ่าวที่แข็งคัดจนเจ็บของตน…
ความสุขสมที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนถาโถมเข้าใส่เขาราวกับเกลียวคลื่นอันบ้าคลั่ง ไม่นานนักทำนบก็แตกทลาย ความปรารถนาที่ร้อนผะผ่าวพลันพุ่งทะลักออกมา…พร้อมกับที่เขาสะดุ้งตื่นมาพบว่าตรงกลางผ้าห่มเปียกชื้นเป็นวง
สวรรค์ ไม่น่าเชื่อ!
ใบหน้างดงามของหร่วนชิงเฟิงเป็นสีแดง ขาว ดำสลับกัน ราวกับใครทำโถใส่ซีอิ๊วห้ารสคว่ำ
พฤติกรรมควบคุมตนเองไม่ได้อันแสนน่าอายเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาตั้งแต่อายุสิบห้า แล้วเหตุใดวันนี้ถึงได้…
“เฮ้อ…” เขายกมือกุมขมับ แค่นยิ้มอย่างยากลำบาก “หร่วนชิงเฟิงเอ๋ยหร่วนชิงเฟิง อย่าบอกนะว่าเจ้าถลำลึกแล้วจริงๆ”
(ติดตามต่อในเล่ม)
Comments
comments
No tags for this post.