บทที่ 1
โชคดีที่นางไม่ได้ขยันฝึกตนมากนัก มิเช่นนั้นคงได้เสียหายหนักจริงๆ แล้ว!
ฉินโยวโยวพยายามคิดในแง่ดี ก่อนจะฝืนแรงเปิดหน้ากากบนหน้าออกแล้วกระอักเลือดออกมาคำใหญ่
ร่างกายฉินโยวโยวคล้ายถูกคว้านภายในจนว่างเปล่าในเวลาเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว ทรมานจนนางอยากจะล้มตัวลงนอนตรงนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด จะถูกจับก็ดี ถูกฆ่าก็ช่าง อย่างไรก็ดีกว่าดิ้นรนหนีตายด้วยสภาพรากเลือดเช่นยามนี้
แต่ครั้นคิดถึงผลที่ตามมาหลังถูกบรรดาคนด้านหลังไล่ตามทัน…ฉินโยวโยวก็กัดฟันแน่นวิ่งไปข้างหน้าต่อท่ามกลางสายลมภูเขาพัดคำราม
ไม่รู้ว่าตัวเลวทรามตัวใดคิดค้นลูกกลอนที่โหดเหี้ยมอย่าง ‘ลูกกลอนสลายพลัง’ ออกมา น่าสงสารนางยิ่งนัก อุตส่าห์ลำบากลำบนฝึกยุทธ์มาเป็นสิบปี กลับต้องมาสูญสิ้นพลังทั้งหมดไปในครั้งเดียวเช่นนี้ ขอสาปแช่งเจ้าตัวเลวทรามนั่นให้แต่งเมียไม่ได้ไปสิบชาติ!
ฉินโยวโยวอาศัยความคิดฟุ้งซ่านมาเบนความสนใจจากความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเพราะอาการบาดเจ็บบนร่างกาย นางฝืนเดินกะโผลกกะเผลกมุ่งไปข้างหน้าตามทางบนภูเขา
ด้านหน้ามีเสียงน้ำดังซู่ซ่า ขณะเดียวกันเสียงตะโกนจากกลุ่มคนที่ไล่ตามอยู่ด้านหลังก็ใกล้เข้ามาทุกที!
แปลกแล้ว! ไฉนเสียงน้ำจากลำธารจึงได้ดังเพียงนี้! สติของฉินโยวโยวพร่าเลือนอยู่บ้าง เนื่องจากนางวิ่งวุ่นไปมา ฤทธิ์ของยาลูกกลอนสลายพลังจึงได้โคจรไปทั่วร่างนางแล้ว ความรู้สึกอ่อนแรงค่อยๆ ปกคลุมนางทีละน้อย
“โยวโยว หยุดหนีเสียที ด้านหน้าไม่มีทางแล้ว ตามข้ากลับไปเถอะ” เสียงบุรุษที่คุ้นเคยดังมา…เป็นเฟิงกุยอวิ๋น
ข้าตามเขากลับไปก็ได้จบเห่แน่นอน! ไม่หนีก็โง่สิ! ฉินโยวโยวกลอกตา ในใจไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
ทว่าชั่วครู่ถัดมาฉินโยวโยวก็นึกเสียใจแล้ว…เท้าที่ก้าวออกไปเหยียบพบแค่เพียงอากาศ ตัวนางหลุดจากการควบคุม ร่วงตกลงไปยังด้านล่าง
ด้านหน้าถึงกับเป็นหน้าผา!
เฟิงกุยอวิ๋นที่สมควรตายผู้นั้นแค่ประโยคเดียวยังพูดให้มันดีๆ ไม่ได้ หากเขาบอกมาตรงๆ ว่าด้านหน้าเป็นหน้าผา นางก็ไม่มีทางเร่งความเร็วพุ่งตัวมาแน่นอน นางจะตายอย่างไม่เป็นธรรมเกินไปแล้ว!
แต่เหมือนว่าคนที่ตกหน้าผาโดยปกติแล้วจะไม่ตายกัน ซ้ำยังจะมีโชคหล่นใส่เสียด้วยซ้ำ หากไม่ได้ของจำพวกสมบัติโบราณ ก็จะได้สุดยอดตำราลับแห่งยุคมา…ฉินโยวโยวที่ร่างอยู่กลางอากาศประคองสติเอาไว้ไม่อยู่ นางสลบไปแล้ว ทว่าก่อนจะหมดสติ สิ่งที่วาบผ่านสมองทั้งหมดล้วนแต่เป็นนิทานเรื่องเล่าก่อนนอนที่อาจารย์เล่าให้นางฟัง
“โยวโยว!” เสียงร้อนรนตกใจระคนเดือดดาลของเฟิงกุยอวิ๋นดังมาจากบนหน้าผาและถูกลมภูเขาพัดจนขาดหายไป
ท่ามกลางแสงไฟวูบไหว รูปโฉมหล่อเหลาอ่อนโยนของเฟิงกุยอวิ๋นดูดุร้ายและตื่นตระหนก เขาได้ยินเพียงเสียงน้ำดังซู่ซ่า ไหนเลยจะยังมีเงาร่างของฉินโยวโยวอยู่อีก
เฟิงกุยอวิ๋นกำหมัดแน่น เล็บแทงเข้าฝ่ามือแล้วก็ยังไม่รู้ตัว เขาหันหลังขวับไปตะคอกสั่งบรรดาคนชุดดำที่มาด้วยกัน “ลงไปหา ต่อให้ต้องสูบแม่น้ำสายนั้นจนแห้งก็ต้องหาคนกลับมาให้ข้า! เป็นต้องเห็นคน…” พูดถึงตรงนี้สองตาเขาก็แดงเรื่อ สะกดกลั้นไม่พูดคำว่า ‘ตายต้องเห็นศพ’ ออกมา
ฉินโยวโยวจะตายไม่ได้! ไม่ว่าด้วยเหตุผลส่วนรวมหรือส่วนตัว เขาล้วนต้องหาตัวนางกลับไปให้ได้
ต้องโทษที่เขาใจร้อนบีบคั้นคนมากเกินไป หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ วันนี้เขาคงยอมปล่อยนางไปชั่วคราว…
ในฐานะที่เป็น ‘นางเอก’ ของเรื่องนี้ ฉินโยวโยวย่อมไม่ตาย แต่ก็มิได้พบเจอเรื่องเหนือความคาดหมายเหมือนกับในนิทานไม่น่าเชื่อถือเหล่านั้นที่อาจารย์เล่ามา นางเพียงแต่ถูกคนช้อนตัวขึ้นจากน้ำ และนำมาวางไว้บนไม้กระดานท้ายเรือ
“ด้านนอกเกิดอะไรขึ้น” บุรุษชุดสีเขียวครามผู้หนึ่งที่อยู่ภายในห้องบนเรือเลื่อนสายตาจากจดหมายในมือ มองไปยังบ่าวชราผมขาวไร้หนวดในชุดพ่อบ้านที่เฝ้าอยู่ข้างประตู
หากกล่าวถึงรูปโฉม บุรุษชุดสีเขียวครามผู้นี้ก็นับว่าโดดเด่นอย่างที่สุด ทว่าน่าเสียดายที่ใบหน้าไม่มีรอยยิ้มแม้แต่น้อย ท่าทีที่ดูน่ายำเกรงโดยธรรมชาติเมื่อรวมกับรอยพับจางๆ ไม่กี่รอยที่หว่างคิ้วก็ยิ่งเพิ่มความเคร่งครัดเย็นชาให้กับตัวเขาที่เดิมทีก็ค่อนข้างขึงขังอยู่แล้วเป็นเท่าตัว ทำให้คนเกิดความครั่นคร้ามหวั่นเกรงขึ้นในใจอย่างห้ามตนเองไม่ได้ มิต้องพูดถึงความน่าใกล้ชิดหรือชวนให้ชมชอบเลย กระทั่งให้มองนานขึ้นอีกสักอึดใจยังรู้สึกว่าเป็นการบังอาจล่วงเกิน ยามเขามองมาแค่ปราดเดียวก็ยิ่งรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัวทั้งใจ
รูปโฉมต่อให้งามเพียงไร แต่เมื่อไปอยู่บนหน้าของพญายมแล้วก็ไม่มีใครชื่นชมได้ลง!
เขาแซ่เหยียนนามตี้ เป็นพญายมในความคิดของผู้คนจำนวนมาก!
บ่าวชราค้อมตัวตอบเสียงเบา “คนเรือพบเห็นคนจมอยู่ในแม่น้ำ จึงช่วยขึ้นมาวางไว้ท้ายเรือพ่ะย่ะค่ะ” ขอเพียงได้ยินเสียงของบ่าวชราผู้นี้ คนทั้งหมดก็รู้ถึงอาชีพที่เขาทำได้…ขันที
ผู้ที่มีขันทีอยู่ข้างกายย่อมมิใช่คนธรรมดา เหยียนตี้เป็นน้องชายร่วมอุทรของผู้ครองแคว้นเซียงเยวี่ย ขันทีชรานามว่าเหลียงลิ่งเคยกำกับดูแลสายลับทั้งหมดที่อยู่ใต้อาณัติราชวงศ์ แม้บัดนี้จะถอนตัวออกมาเป็นพ่อบ้านใหญ่ของจวนเหยียนตี้แล้ว แต่เขาก็ยังคงเป็นบุคคลทรงอำนาจชั้นหนึ่งในเมืองหลวงแคว้นเซียงเยวี่ย
ครั้งนี้พวกเขาสองนายบ่าวลักลอบเข้าแคว้นตัวลี่เป็นการลับ ข้างกายพาองครักษ์คนสนิทมาเพียงสิบสองคนเท่านั้น ย่อมจะระแวดระวังต่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันและคนแปลกหน้าที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวในบริเวณใกล้เคียงเป็นพิเศษ
เหลียงลิ่งกำลังคิดจะเอ่ยปากขออนุญาตไปจัดการกับ ‘เหตุไม่คาดฝัน’ นี้ เหยียนตี้กลับโยนจดหมายในมือเข้ากระถางไฟและลุกขึ้นเดินออกไปนอกห้องแล้ว
จดหมายฉบับนี้สายลับใต้บังคับบัญชาเพิ่งส่งมาอย่างเร่งด่วน ในจดหมายเป็นข่าวที่ทำให้เหยียนตี้ผิดหวัง คนที่เขาต้องการหาตัวเพิ่งมีร่องรอยปรากฏ แต่จู่ๆ เบาะแสก็มาขาดหายไปอีกครั้ง เหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้มิใช่เพิ่งเกิดเป็นครั้งแรก จนเขาเองยังนึกสงสัยว่าสวรรค์ใช่จงใจเป็นศัตรูกับเขาหรือไม่
เจ้าคนสมควรตายนั่นก็หลบซ่อนเก่งเหลือเกิน! ลื่นไหลยิ่งกว่าปลาหนีชิวเสียอีก!
เหลียงลิ่งมองออกว่าเหยียนตี้อารมณ์ไม่ดีจึงไม่กล้าพูดมาก เพียงเดินตามเขาไปท้ายเรืออย่างเงียบๆ
ฉินโยวโยวกำลังคว่ำหน้านอนพาดอยู่บนขาคนเรือหญิง นางกระอักน้ำที่ปนทรายและเลือดคำสุดท้ายออกมา สติของนางเลอะเลือน เรือนผมยาวเปียกชุ่มสยายยุ่ง สภาพอเนจอนาถเหลือแสน
เหยียนตี้เดินมาหยุดข้างกายฉินโยวโยว อาศัยแสงตะเกียงอ่อนๆ วับแวมก็มองเห็นสีแดงสดวงเล็กๆ ปรากฏระหว่างเส้นผมหลังคอนางได้พอดี…เป็นเขา?!
เหยียนตี้พลันก้มตัวยื่นมือไปปัดเรือนผมเปียกที่กีดขวางสายตาออก เผยให้เห็นลำคอบอบบางขาวสะอาดบริเวณหลังคอมีปานสีแดงสดรูปร่างคล้ายใบเฟิงขนาดใหญ่กว่าหัวแม่มือเล็กน้อยปรากฏให้เห็นในสายตา
การมาถึงกะทันหันของเหยียนตี้ทำให้คนเรือหญิงที่กำลังช่วยเหลือฉินโยวโยวสะดุ้งตกใจ คิดจะลุกขึ้นทำความเคารพอย่างลุกลี้ลุกลน ก็ทำให้ฉินโยวโยวที่ฟุบอยู่บนตักนางหวิดจะกลิ้งตกลงจากไม้กระดานเรือ โชคดีที่เหยียนตี้มือไวตาไวรวบตัวคนไว้ได้ทัน
“ระวัง!” เหลียงลิ่งคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เหยียนตี้จะพุ่งไปกอดสตรีแปลกหน้าเช่นนี้ ถ้าเกิดนั่นเป็นมือลอบสังหารปลอมตัวมาจะทำเช่นไร!
เหยียนตี้ไม่สนใจพวกเขาสองคน เขาเพียงยกฝ่ามือทาบไปบนหน้าอกฉินโยวโยว
ฉินโยวโยวรู้สึกว่าไออุ่นกลุ่มหนึ่งเริ่มแผ่จากหน้าอกลามไปทั่วทั้งร่างกาย นางค่อยๆ ฟื้นคืนสติ แต่ลืมตาขึ้นมามองเหยียนตี้ที่อยู่ใกล้แค่คืบด้วยความงุนงงได้เพียงแวบหนึ่ง ศีรษะนางก็เอียงพับสลบไปอีกครั้ง
เหลียงลิ่งคอยจับสังเกตอย่างละเอียดอยู่ด้านข้างครู่หนึ่ง ครั้นพบว่าฉินโยวโยวไม่มีความสามารถพอจะจู่โจมได้จริงๆ จึงค่อยวางใจลง สั่งให้คนเรือหญิงเตรียมน้ำร้อนและน้ำขิงมา
มีฐานะเป็นถึงคนสนิทของเหยียนตี้ แค่เสี้ยวเวลาที่มองเห็นปานบนคอฉินโยวโยว เหลียงลิ่งก็รู้แล้วว่าเหตุใดนายท่านของตนถึงมีท่าทางผิดปกติเช่นนี้…สตรีที่ถูกคนเรือช่วยขึ้นมาด้วยความหวังดีนางนี้เป็นไปได้มากว่าจะเป็นคนที่นายท่านเที่ยวตามหาทั่วทุกสารทิศมาตลอดหนึ่งปีนี้!
เพียงแต่…ไฉนจึงเป็นหญิงสาวไปเสียเล่า
ภายในห้องบนเรือ เหยียนตี้แน่ใจแล้วว่าฉินโยวโยวยังไม่มีอันตรายถึงชีวิตจึงได้สั่งให้คนเรือหญิงเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง แล้วจัดการนำตัวนางไปไว้บนเตียงเขาอย่างระมัดระวัง
องครักษ์ก้าวมารายงานในห้อง “สองฝั่งแม่น้ำพบเห็นคนชุดดำท่าทางน่าสงสัยกลุ่มใหญ่กำลังค้นหาตามริมแม่น้ำ ส่วนข้างหน้าสิบหลี่ มีทหารแคว้นตัวลี่เริ่มปิดแม่น้ำสกัดกั้นเรือที่สัญจรไปมาพ่ะย่ะค่ะ”
เหยียนตี้เลิกคิ้ว พวกคนไล่ตามมาเร็วเสียจริง!
แคว้นตัวลี่กับแคว้นเซียงเยวี่ยไม่ลงรอยมาแต่ไหนแต่ไร หากพบว่าคนสำคัญของเชื้อพระวงศ์แคว้นเซียงเยวี่ยอยู่ที่นี่ จะเกิดอะไรขึ้นก็ยากจะคาดเดา
สถานการณ์คับขัน เหยียนตี้กลับไม่มีท่าทีตระหนกหรือตกประหม่าเลยสักกระผีก เขาโบกมือเป็นคำสั่งให้เหลียงลิ่งออกไปจัดการเรื่องนี้แทนเขาด้วยอำนาจเต็มที่อย่างอารมณ์ดียิ่ง
เพียงประเดี๋ยวเดียวคนทั้งหมดก็ถอยออกไปนอกห้อง ท่ามกลางแสงตะเกียงวูบไหว ภายในห้องก็เหลือเพียงความเงียบสงบนุ่มนวล
ปลายนิ้วเหยียนตี้ค่อยๆ ลูบไปบนปานรูปใบเฟิงสีแดงสดที่หลังคอฉินโยวโยว เมื่อพิจารณาจากบรรดาสิ่งของประหลาดรวมถึงหน้ากากหลากหลายรูปแบบที่คนเรือหญิงปลดออกมาจากบนตัวนางก็เพียงพอจะทำให้เขาแน่ใจในฐานะของนางได้แล้ว
เดินจนรองเท้าเหล็กพังยังหาไม่เจอ บทจะมาง่ายดายไม่เปลืองแรง…
“เป็นสวรรค์ส่งเจ้ามาถึงมือข้า” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างทอดถอนใจ
ฉินโยวโยวที่ยังสลบไสลรู้สึกขนลุกที่หลังคอ นางตัวสั่นวูบหนึ่งแล้วหันศีรษะมาอย่างห้ามตนเองไม่ได้ ดวงหน้าซีดขาวแต่ยังคงงดงามจนชวนตะลึงเผยโฉมภายใต้แสงตะเกียง ดูเปราะบางอ่อนละมุน คล้ายเพียงสัมผัสก็อาจแตกสลาย ช่างชวนให้คนนึกรักใคร่เอ็นดูปานกล้วยไม้แรกผลิ
รอยยิ้มบางๆ ค่อยๆ จุดขึ้นในดวงตาของเหยียนตี้ก่อนแผ่ขยายทีละนิดมาถึงริมฝีปาก ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก เพียงแค่มีรอยยิ้มก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นมีเสน่ห์เหลือร้ายไร้ใดเทียม
“เป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่ชวนให้ข้าคาดไม่ถึงโดยแท้”
มือที่อ้อยอิ่งอยู่บนคอฉินโยวโยวยังมิได้ผละจากไป กลับเปลี่ยนมาลากไล้แก้มเนียนนุ่มของนางเบาๆ รอยยิ้มของเหยียนตี้ยิ่งแย้มกว้างพึงพอใจกว่าเดิม และก็ยิ่ง…น่าสยดสยองกว่าเดิม
ฉินโยวโยวไม่อาจมองเห็นรอยยิ้มอันหาได้ยากยิ่งนี้ของเหยียนตี้ ทว่าดูจากคำบรรยายความคิดที่นางจะมีต่อเหยียนตี้ในวันหน้าก็จินตนาการได้ไม่ยากว่ายามเหยียนตี้ยิ้มนั้นน่าเขย่าขวัญมากเพียงไร…ยามเขาไม่ยิ้มสามารถขู่ให้เด็กร้องไห้ได้ ยามเขายิ้ม…กระทั่งผู้ใหญ่ยังต้องตกใจจนร้องไห้!
ฉินโยวโยวฟื้นขึ้นมาก็เป็นอีกสามวันให้หลังแล้ว นางไม่ได้ลืมตาขึ้นในทันที ด้วยตัวนางยังต้องระมัดระวังอย่างมาก
ความว่างโหวงไร้พลังอย่างเห็นได้ชัดภายในกายทำให้ฉินโยวโยวอึดอัดคับข้องใจจนแทบอยากเปล่งเสียงร้องไห้โฮออกมา แม้นางมิได้หมั่นเพียรนัก แต่ก็ลำบากลำบนฝึกตนมาถึงสิบปีเต็ม ลูกกลอนสลายพลังที่สมควรตายเพียงเม็ดเดียวนั่นถึงกับสลายความทุ่มเทตลอดสิบปีของนางให้กลายเป็นอากาศไปแล้ว หากรู้ก่อน นางคงไม่ฝึกตนอะไรนี่หรอก มิสู้เอาเวลาไปมุ่งศึกษาวิชากลไกที่ตนชอบเสียยังดีกว่า
น่าเสียดายที่ต่อให้ฉินโยวโยวจะห่อเหี่ยวเศร้าใจเพียงไร ทุกอย่างก็ได้กลายเป็นเรื่องจริงแล้ว สิ่งที่ตอนนี้นางควรพิจารณายิ่งกว่าคือสถานการณ์ในยามนี้และเรื่องที่ว่าหลังจากนี้นางจะหลบเลี่ยงการตามจับของเฟิงกุยอวิ๋นอย่างไร
ฉินโยวโยวเศร้าซึมได้เพียงครู่เดียวก็จำต้องกระตุ้นจิตใจให้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง
นางน่าจะถูกคนช่วยไว้แล้ว รู้สึกเหมือนว่าอยู่บนเรือ นางจำได้ว่าคล้ายมองเห็นบุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่งระหว่างที่สติพร่าเลือน ทว่าตอนนี้นางก็จำไม่ได้แล้วว่าอีกฝ่ายมีหน้าตาท่าทางเช่นไร
หากเฟิงกุยอวิ๋นจับนางได้จะต้องไม่เลือกเดินทางบนทางน้ำแน่นอน นางไม่รู้ว่าตนเองสลบไปนานเพียงไร แต่คาดว่าคงไม่ใช่แค่ครู่สั้นๆ แน่ คนที่ช่วยสามารถพานางหลบพ้นการสืบหาของเฟิงกุยอวิ๋นได้โดยปลอดภัยจะต้องมีเส้นสายและลู่ทางอย่างแน่นอน
บัดนี้นางสู้ไม่ได้แม้แต่สตรีธรรมดาคนหนึ่ง หากอยากจะหนีพ้นอันตรายได้โดยปลอดภัย หนทางที่ดีที่สุดก็คงไม่พ้นเกาะติดข้างกายผู้มีพระคุณช่วยชีวิต รอออกห่างจากสถานที่เสี่ยงไปไกลและสภาพร่างกายนางดีขึ้นบ้างแล้วก็ค่อยมาวางแผนอีกที
ฉินโยวโยวคิดหาคำอธิบายถึงฐานะที่มาของตนเองอยู่เงียบๆ ในใจ พร้อมกับเตรียมอารมณ์สำหรับแสดงเป็นสาวน้อยปวกเปียกหลอกให้คนเห็นใจไปด้วย
อาจารย์เคยบอกว่าบุรุษน้อยคนนักที่จะไม่เจ้าชู้และไม่ชอบเป็นวีรบุรุษ วีรบุรุษช่วยสาวงามอะไรนั่น พวกเขาชอบที่สุดแล้ว!
“ในเมื่อฟื้นแล้วก็ลืมตามาคุยกัน” เสียงบุรุษพลันดังขึ้นข้างเตียง ฉินโยวโยวหายใจสะดุด นางทำตนเองสำลักจนไอโขลกไม่หยุด
ฉินโยวโยวเพิ่งฟื้นได้ไม่นาน เหยียนตี้ก็สังเกตเห็นแล้ว สาวน้อยนางนี้ฟื้นแล้วกลับจงใจแกล้งสลบ ไม่รู้ว่าในใจกำลังคิดวางแผนอะไรอยู่
เหยียนตี้เห็นนางไอติดกันจนหมดเรี่ยวแรงก็นึกสงสารอยู่บ้าง เขาจึงอุ้มนางขึ้นมาพิงในอ้อมแขนตนเอง ลูบหลังช่วยให้นางหายใจไม่ติดขัด ทั้งยังป้อนชาร้อนในมือให้นางดื่มอีกสองอึก
เหลียงลิ่งที่ด้านข้างมองเห็นภาพฉากนี้ก็ตกใจจนลูกตาแทบหลุดออกมา หลายปีมานี้เขาไม่เคยเห็นนายท่านของตนอ่อนโยนเอาใจใส่ผู้อื่นถึงเพียงนี้มาก่อนเลย! ยังดีที่เขาผ่านอะไรมาโชกโชน สีหน้าผิดปกติจึงปรากฏเพียงวูบเดียวก็กลับมาเป็นปกติในทันที
ฉินโยวโยวค่อยยังชั่วแล้วจึงได้ค้นพบว่าตนเองถึงกับถูกบุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่งกอดอยู่ในอ้อมแขน…ข้าถูกล่วงเกินแล้ว?!
ฉินโยวโยวยันตัวขึ้นก่อนจะถอยห่างด้วยอาการโซเซ พลางช้อนตาถลึงใส่เหยียนตี้ เดิมคิดจะต่อว่าการกระทำรุ่มร่ามของอีกฝ่ายแรงๆ ผลคือพอจ้องไปกลับถูกท่าทางอันน่าครั่นคร้ามของอีกฝ่ายปรามเอาไว้ จู่ๆ นางก็เกิดอาการหวาดระแวงขึ้นมา
ภาพจำแรกที่บุรุษเบื้องหน้ามอบให้แก่ฉินโยวโยวคือความเคร่งขรึม…เคร่งขรึมมาก…เคร่งขรึมเป็นที่สุด! คล้ายว่าเขายิ้มไม่เป็นมาแต่กำเนิด ทั้งใบหน้าแข็งตึงประหนึ่งแผ่นเหล็ก เครื่องหน้าลึกล้ำ โครงหน้าชัดเจน ท่าทางดุจดังยอดเขาสูงตระหง่าน ไม่เพียงดูแข็งกร้าวเย่อหยิ่ง ยังดูเย็นชามากด้วย
โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นยิ่งดูน่ากลัวเป็นพิเศษ แววตาที่มองคนของเขาประหนึ่งสามารถมองทะลุการเสแสร้งทั้งหมดเข้าไปถึงใจคนได้
อารมณ์บนใบหน้าเขา ‘เคร่งขรึมน่ายำเกรง’ เกินไป ไม่มีท่าทางเจ้าชู้เหลาะแหละเหมือนกับพวกบ้าตัณหาสักกระผีก แววตาที่จ้องมองฉินโยวโยวประดุจเป็นผู้พิพากษากำลังประเมินมองผู้ต้องหาอย่างไรอย่างนั้น
ฉินโยวโยวนึกสงสัยตนเองขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ บุรุษที่เหมือนก้อนหินผู้นี้น่าจะไม่ได้ล่วงเกินนางหรอกกระมัง ต้องเป็นนางคิดมากจนเข้าใจผู้อื่นผิดไปเองแน่นอน
คนทั้งสองจ้องกันเขม็งได้ชั่วครู่ ต่อให้ฉินโยวโยวจะใจกล้าหน้าหนามาแต่ไหนแต่ไรก็ยังทนไม่ไหวอยู่บ้าง พร้อมกันนั้นก็นึกถึงแผนการของตนเองขึ้นมาได้…นางต้องแสร้งอ่อนแอเพื่อให้ได้รับความเห็นใจแล้วขอความคุ้มครอง
“เอ่อ ปะ…เป็นท่านช่วยข้าเอาไว้หรือ ที่นี่คือที่ใดกัน” ฉินโยวโยวเก็บสายตากลับคืนมาทันที นางก้มหน้ากอดผ้านวมที่คลุมอยู่ตรงหน้าอกไว้พลางเอ่ยถามอย่างขลาดๆ
เสียงที่ไร้เรี่ยวแรงบวกกับท่าทางปวกเปียกน่าสงสารนี้ของนาง…คะแนนเต็ม!
เหยียนตี้จ้องกลางกระหม่อมของนาง ก่อนกล่าวถามทีละคำ “เจ้าจำข้าไม่ได้?”
ฉินโยวโยวนิ่งงันไป ข้าควรจะจำเขาได้หรือ…
นางช้อนตาขึ้นเหลือบมองเหยียนตี้แวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว ไม่มีความทรงจำสักนิด! เมื่อก่อนนางกับเขาเคยพบกันหรือ
ถึงเคยพบคนผู้นี้มาก่อน เขาก็ไม่ควรจะจำนางได้สิ ปกติหากนางไม่แปลงโฉมก็มักจะใส่หน้ากากเอาไว้ตลอด มีเพียงไม่กี่คนที่เคยเห็นรูปโฉมที่แท้จริงของนาง
หรือว่าบุรุษผู้นี้มีชื่อเสียงโด่งดัง ทุกคนควรจะจดจำเขาได้?
แม้ฉินโยวโยวจะมิได้ตอบคำ แต่สีหน้างุนงงก็ได้ให้คำตอบแก่เหยียนตี้แล้ว
ในใจเหยียนตี้พลันเกิดโทสะขึ้นมาทันควัน
หนึ่งปีแล้ว หนึ่งปีเต็มๆ ที่เขาแทบจะใช้กำลังทั้งหมดในการสืบเสาะหาสตรีตัวน้อยตรงหน้านี้ แต่นางถึงกับจำเขาไม่ได้สักนิด!
นางกล้าละเลยเขาเช่นนี้ได้อย่างไร!
หรือว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นการแสดงของนาง คิดว่าทำเช่นนี้ก็จะปัดเรื่องที่นางทำเมื่อหนึ่งปีก่อนไปพ้นตัวได้?!
รอยพับที่หว่างคิ้วเหยียนตี้กดลึกขึ้นอีกหลายส่วนโดยไม่รู้ตัว ยามที่อยู่ภายใต้สายตาเขาเช่นนี้ จู่ๆ ฉินโยวโยวก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาอย่างอธิบายสาเหตุไม่ได้ ทว่านางจำเขาไม่ได้จริงๆ นี่!
ความสามารถในการจดจำคนของนางย่ำแย่มาแต่ไหนแต่ไร หากบนตัวอีกฝ่ายไม่มีความเด่นชัดอะไร โดยทั่วไปนางล้วนจำไม่ได้ หมู่บ้านเล็กๆ ที่ใกล้กับสถานที่เร้นกายของนางกับอาจารย์ในสมัยก่อนก็มีคนอยู่เพียงร้อยกว่าคน ที่นางจดจำได้แม่นยำมีไม่ถึงครึ่งเสียด้วยซ้ำ ทั้งคนเหล่านั้นยังเป็นคนที่นางสัมผัสคลุกคลีด้วยเป็นประจำ
ถ้าเป็นผู้ที่เคยมีพบปะกันโดยบังเอิญ ขอแค่นางหันหลังกลับก็ลืมคนออกจากสมองไปจนสิ้นแล้ว
อาจารย์บอกว่านางเป็นพวกไม่คิดอะไรมากซ้ำยังแยกแยะคนไม่ได้โดยกำเนิด ฉินโยวโยวจึงทำได้เพียงปลอบใจตนเอง สมองนางมีไว้ใช้จดจำสิ่งที่มีค่ามากกว่านี้ จะจำพวกคนผ่านมาแล้วผ่านไปเหล่านั้นไปไย
นางไม่ทันตระหนักเลยสักนิดว่า ‘ข้อบกพร่องเล็กๆ’ นี้ของนางจะนำพาความยุ่งยากใหญ่หลวงเพียงไรมาให้นางบ้าง…
“มิทราบว่าผู้มีพระคุณมีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร” ฉินโยวโยวเอ่ยถามด้วยท่าทางน่าสงสาร แสดงท่าทางสำนึกผิดจากใจจริงออกมา
ก่อนหน้านี้ข้าจำท่านที่เลื่องชื่อลือนามไม่ได้ก็ถือเป็นความผิดของข้า ตอนนี้ข้ารู้ผิดแล้วแก้ไขในทันที นายท่านสมควรจะพอใจแล้วกระมัง
เหยียนตี้มองนางอย่างเย็นเยียบ ก่อนกล่าวโดยข้ามคำถามของนางไป “เจ้ากินลูกกลอนสลายพลังเข้าไป? ศัตรูของเจ้าเป็นใครกัน ต่อไปคิดจะทำอย่างไร”
น้ำเสียงเหมือนสอบสวนนักโทษโดยแท้!
อันที่จริงฉินโยวโยวก็ไม่ได้สนใจฐานะหรือชื่อแซ่ของผู้มีพระคุณจริงๆ หรอก ในเมื่อเขาไม่อยากบอกก็ปล่อยให้เขาทำตัวลึกลับต่อไปได้ ถึงอย่างไรนางก็ไม่คิดจะตั้งป้ายบูชาให้เขาอยู่แล้ว
นางซาบซึ้งในบุญคุณที่อีกฝ่ายช่วยชีวิตไว้ มีโอกาสก็อยากจะตอบแทน แต่ถ้าอีกฝ่ายรู้สึกว่าไม่เป็นไร นางก็ไม่ยืนกรานเกินไปนัก
บุรุษตรงหน้านี้สามารถมองออกว่านางถูกลูกกลอนสลายพลังทำลายตบะไป เก้าในสิบส่วนจะต้องมีตบะไม่อ่อนด้อย เมื่ออยู่ตรงหน้าเขา นางจำต้องระมัดระวังวาจาสักหน่อย มิเช่นนั้นหากคุยโวจนความแตกขึ้นมาจะมิใช่เรื่องสนุก
“ผู้มีพระคุณสายตาดีนัก นี่เป็นเรื่องของสำนักข้า ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้าไว้ เดิมทีข้าก็ไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนอยู่แล้ว ยังจะไร้ความเกรงใจเพิ่มเรื่องยุ่งยากให้ผู้มีพระคุณอีกได้อย่างไร ส่วนเรื่องที่ว่าคิดจะทำเช่นไรต่อไปนั้น…”
ฉินโยวโยวแสดงบทโศกได้ถึงบทบาท ความจริงไม่ต้องแสดงนางก็โชคร้ายและน่าสงสารอย่างมากจริงๆ
หากกล่าวถึงศัตรูของนางก็มิแคล้วต้องเอ่ยถึงสาเหตุที่นางถูกวางยาและตามจับตัว นางไม่อาจมั่นใจว่าผู้มีพระคุณท่านนี้จะไว้ใจได้หรือไม่ ย่อมจะไม่อยากเผยเรื่องของตนเองออกไป
กลวิธีถอยเพื่อรุกนี้ก็ต้องดูท่าทีของเหยียนตี้ด้วย ไม่ว่าบุรุษคนใดเห็นสาวงามตกทุกข์ได้ยากแล้วยังคิดเผื่อตนเองเช่นนี้ จะต้องตบอกแสดงตนว่าเป็นวีรบุรุษช่วยจัดการภาระแทนสาวงามแน่นอน ต่อให้ไม่คุยโวรับปากเกินตัวก็ต้องเป็นฝ่ายเสนอความช่วยเหลือบ้าง
ทว่าเหยียนตี้กลับมีสีหน้าไร้อารมณ์ เอาแต่จ้องนางเขม็งโดยไม่พูดอะไรสักคำ
มองเข้าไป! ไม่เคยเห็นสาวงามหรือไร!
ฉินโยวโยวขุ่นเคืองใจ คิดจะหลอกล่อผู้อื่น ผลคือผู้อื่นกลับไม่ติดกับเสียอย่างนั้น นางจึงได้แต่ถอนหายใจก่อนเอ่ยว่า “รอหาสัตว์วิเศษทั้งสองตัวของข้ากลับมาได้แล้วก็จะหาที่เร้นกายหลบภัย”
“สัตว์วิเศษสองตัว?” เหยียนตี้เลิกคิ้ว ผู้ฝึกตนโดยทั่วไปล้วนจับคู่กับสัตว์วิเศษเพื่อฝึกตน ทว่าชั่วชีวิตอย่างมากก็จับคู่ทำพันธสัญญากับสัตว์วิเศษได้เพียงตัวเดียว
“อืม หนึ่งในนั้นเป็นสัตว์วิเศษที่อาจารย์ทิ้งไว้ให้ข้า หาได้มีพันธสัญญากับข้าไม่” ฉินโยวโยวอธิบาย
“เจ้าตกทุกข์ได้ยาก พวกมันกลับล้วนไม่อยู่ข้างกายเจ้า?” ในน้ำเสียงของเหยียนตี้มีแววกังขาดูแคลนรางๆ
แม้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ฝึกยุทธ์กับสัตว์วิเศษคู่กายจะยังไม่ถึงระดับร่วมเป็นร่วมตาย แต่ก็มิได้ต่างกับญาติร่วมสายเลือดเท่าไรนัก ฉินโยวโยวถูกทำให้มีสภาพเช่นตอนนี้ สัตว์วิเศษสองตัวนั้นถึงกับหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย นี่นับเป็นสัตว์วิเศษอะไรกัน!
“พวกมันช่วยอะไรไม่ได้หรอก หากต้องมาเคราะห์ร้ายเป็นเพื่อนข้า มิสู้แยกย้ายหนีเอาชีวิตรอดยังจะดีกว่า” ตัวของฉินโยวโยวกลับไม่รู้สึกอะไร
เรื่องแรกที่นางทำหลังพบว่าในอาหารถูกคนวางยาลูกกลอนสลายพลังไว้ก็คือปล่อยให้สัตว์วิเศษทั้งสองตัวหนีไปโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เป้าหมายหลักของเฟิงกุยอวิ๋นคือนาง เจ้าสองตัวนั้นเก่งเรื่องเล่นลิ้นหนีตายอยู่แล้ว แต่พอถึงเรื่องต่อสู้ที่ถึงขั้นเป็นตายกลับไม่ถนัดแม้แต่น้อย
“เจ้าคิดจะตามหาอย่างไร พวกมันมีลักษณะเด่นอะไรบ้าง” เหยียนตี้ซักถามต่อ
นี่คือตั้งใจจะช่วยข้าหรือ ไม่เลวๆ คนหน้าตาดีใครเห็นใครก็รักอย่างที่คิดจริงๆ ฉินโยวโยวลอบกระหยิ่มในใจ บนใบหน้ากลับแสดงความลังเลอยู่ชั่วครู่ถึงค่อยเอ่ยว่า “ข้านัดแนะพวกมันให้ไปพบกันที่เมืองปาไซ่ที่อยู่ตรงชายแดนแคว้นเซียงเยวี่ย พวกมันตัวหนึ่งเป็นกระต่ายหิมะหลงทาง อีกตัวเป็นนกเอี้ยงเสียงศักดิ์สิทธิ์ ลักษณะเด่น…กินเก่ง พูดมาก หนีไว พวกนี้นับหรือไม่”
“…” เหยียนตี้กับเหลียงลิ่งหมดคำพูด นี่เป็นสัตว์วิเศษที่ใช้การได้ที่ไหนกัน!
ชื่อเสียงของกระต่ายหิมะหลงทางพวกเขาเคยได้ยิน นอกจากวิ่งเร็วแล้วก็ไม่มีความสันทัดใดๆ อีก ทว่าบรรพบุรุษของนกเอี้ยงเสียงศักดิ์สิทธิ์กลับมีชื่อเสียงโด่งดัง พลังต่อสู้ของพวกมันสามารถมองข้ามไปได้เลย หากแต่พวกมันล้วนมีสมองที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง มีความสามารถเห็นผ่านตาจำไม่ลืม อีกทั้งหากเป็นนกเอี้ยงเสียงศักดิ์สิทธิ์ระดับขั้นสูงจะยิ่งสามารถทำนายอนาคตได้ จึงเคยเป็นนกวิเศษล้ำค่าที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละแคว้นเลี้ยงดูบูชา
เพียงแต่เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นตำนานอันทรงเกียรติของบรรพบุรุษนกเอี้ยงเสียงศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ปัจจุบันนกเอี้ยงเสียงศักดิ์สิทธิ์บนแผ่นดินได้สูญเสียพลังเทพของบรรพบุรุษไปแล้ว นอกจากฝีปากคมคายกว่านกเอี้ยงธรรมดาก็ไม่มีประโยชน์อื่นใดอีก
ข้างกายสาวน้อยนี่กลับมีสัตว์วิเศษที่อ่อนแอถึงเพียงนี้อยู่ด้วยสองตัว ไม่น่าแปลกที่นางจะถูกคนทำร้ายจนเป็นเช่นนี้ เกณฑ์การรับสัตว์วิเศษของสองศิษย์อาจารย์คู่นี้ออกจะประหลาดเกินไปแล้ว สัตว์วิเศษเช่นนี้มีก็แทบไม่ต่างจากไม่มี
ฉินโยวโยวแอบแลบลิ้น นางไม่ได้โกหก เพียงแต่อธิบายค่อนข้าง ‘รวบรัด’ และ ‘ธรรมดา’ ไปสักหน่อยก็เท่านั้น
ในห้องตกอยู่ในความเงียบอันน่ากระอักกระอ่วน ฉินโยวโยวลอบพินิจมองสีหน้าท่าทางของเหยียนตี้ก่อนเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “พวกของที่ข้าพกติดตัวมาอยู่ที่ใดกัน”
ตอนที่นางตกน้ำในตัวก็มี ‘คลังอาวุธ’ อยู่ไม่น้อย ยิ่งตอนนี้นางเคลื่อนลมปราณในตัวไม่ได้ก็ยิ่งต้องการของเหล่านั้นมาป้องกันตัว
เหยียนตี้มุ่นหัวคิ้วพลางกล่าวเสียงเข้ม “ในตัวสตรีนางหนึ่งกลับพกแต่ของพวกนั้น ดูอย่างไรก็ไม่เข้าท่า เจ้าอยู่ข้างกายข้า ข้าย่อมจะคุ้มครองเจ้าให้ปลอดภัย” พูดจบก็ไม่รอให้ฉินโยวโยวมีการตอบสนอง เขาลุกขึ้นและพาเหลียงลิ่งผลักประตูเดินจากไปทันที
ฉินโยวโยวถูกท่าทางขึงขังน่าเกรงขามยามเอ่ยวาจาของเขาทำให้หวาดกลัว ไม่ทันได้คิดถึงเรื่องโต้แย้ง รอนางนึกขึ้นได้ว่าต้องหาเหตุผลมาค้าน อีกฝ่ายก็หายตัวไปแล้ว ทำเอานางอึดอัดคับข้องใจขึ้นมาทันที
สตรีอ่อนแอเช่นข้าตกทุกข์ได้ยากอยู่ที่นี่ ในตัวพกของป้องกันตัวเอาไว้บ้างมีตรงที่ใดไม่เข้าท่าเล่า?!
อีกอย่างต่อให้เจ้าคนผู้นี้จะเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้า แต่ก็ไม่มีสิทธิ์มาริบทรัพย์สินส่วนตัวของข้าไปตามใจชอบกระมัง ไร้เหตุผลสิ้นดี!
ทว่าตอนนี้กระทั่งฉินโยวโยวจะลุกขึ้นนั่งยังสิ้นเปลืองเรี่ยวแรง ต่อให้นางไม่พอใจเพียงใดก็ไม่มีปัญญาตามออกไปขอเหตุผล ทำได้เพียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันก่นด่าสาปแช่งเขาอยู่ในใจ
บนเรือนอกจากฉินโยวโยวแล้วก็มีคนเรือหญิงที่เป็นสตรีอยู่เพียงนางเดียว หลายวันมานี้ล้วนได้คนเรือหญิงดูแลการกินการอยู่ของนาง ฉินโยวโยวได้ความจากปากอีกฝ่ายว่าบุรุษที่ช่วยตนไว้ผู้นั้นน่าจะมีเงินยิ่ง ความเป็นมาของเขาลึกลับ ถึงขนาดว่าแม้แต่แซ่อะไรคนเรือสองสามีภรรยาก็ยังไม่รู้ ข้างกายเขายังมีผู้ติดตามที่แค่เห็นก็รู้ว่าร้ายกาจอีกสิบกว่าคน เขาจ่ายทองหลายสิบแผ่นเป็นค่าจ้างเรือใหญ่ลำนี้ของพวกเขาสามีภรรยารวมถึงฝีพายอีกจำนวนหนึ่งจากท่าเรือแห่งหนึ่งที่อยู่ตรงชายแดนแคว้นตัวลี่ สั่งให้พวกเขาล่องเรือไปตามกระแสน้ำในแม่น้ำ ไม่ได้บอกชัดว่าต้องการไปที่ใด
ทว่าหลังจากช่วยฉินโยวโยวในวันนั้น จู่ๆ ก็สั่งให้เรือใหญ่หันหัวกลับเปลี่ยนทิศทาง ระหว่างทางแม้เจอทหารแคว้นตัวลี่เรียกตรวจอยู่หลายด่าน แต่กลับปล่อยพวกเขาผ่านด่านไปได้อย่างง่ายๆ
คนเรือหญิงรู้สึกเป็นกังวลยิ่งยวดที่จู่ๆ บนแม่น้ำมีทหารกลุ่มใหญ่ปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน ด้วยกลัวว่าจะมีโจรสลัดก่อคดีอยู่ในบริเวณใกล้ๆ ยิ่งกลัวว่าทหารเหล่านั้นจะฉวยโอกาสนี้รีดไถกลั่นแกล้งพวกตน โชคดีที่ตลอดทางแม้ตกใจแต่ไร้อันตราย
ฉินโยวโยวรู้ว่าสถานการณ์ในยามนี้เป็นไปได้มากว่าจะเกี่ยวข้องกับตนเอง เห็นทีบุรุษผู้เคร่งขรึมที่ทั้งวันดูไร้อารมณ์ความรู้สึกผู้นั้นจะเก่งมากจริงๆ โชคดีที่นางได้เขาช่วยเหลือเอาไว้ มิเช่นนั้นเวลานี้นางคงได้ตกอยู่ในเงื้อมมือเฟิงกุยอวิ๋นไปแล้ว คิดได้เช่นนี้ความซาบซึ้งใจที่มีต่อเหยียนตี้ก็เพิ่มมากขึ้นหลายส่วน พอจะข่มความขุ่นเคืองต่อเรื่องที่เขาริบทรัพย์สินส่วนตัวของนางตามอำเภอใจลงได้
นับตั้งแต่วันที่ ‘แยกกันโดยไม่ดี’ วันนั้น นางก็ไม่ได้เห็นเหยียนตี้อีกหลายวัน จึงได้แต่พักฟื้นอย่างสงบใจ ถึงอย่างไรสภาพนางในตอนนี้นอกจากกินยาและนอนหลับอย่างว่าง่ายแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น
ครั้นฉินโยวโยวลงจากเตียงมาเดินเหินได้ เรือก็ใกล้มาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว…ท่าเรือซานไถที่ตั้งอยู่ระหว่างพรมแดนแคว้นตัวลี่และแคว้นเซียงเยวี่ย เปลี่ยนมาเดินทางทางบกผ่านเข้าสู่อาณาเขตของแคว้นเซียงเยวี่ยจากที่นี่ไม่ถึงร้อยหลี่ ก็จะเป็นเมืองปาไซ่สถานที่นัดพบของนางกับสัตว์วิเศษทั้งสองตัว
พอคิดว่ากำลังจะหนีพ้นจากสถานที่เสี่ยงอันตรายอยู่ประเดี๋ยวนี้แล้ว และบางทีอีกไม่นานน่าจะได้พบกับสัตว์วิเศษทั้งสอง ฉินโยวโยวก็อารมณ์ดียิ่งนัก นางคิดหาโอกาสอันเหมาะสมเพื่อเอ่ยปากขอสิ่งของของตนคืนจากเหยียนตี้อีกครั้ง จากนั้นก็ไปหาสหายเก่าของอาจารย์ ตาเฒ่าที่ได้ฉายาว่า ‘จอมแพทย์’ ผู้นั้น ดูว่าเขาจะคลายฤทธิ์ยาลูกกลอนสลายพลังให้นางได้หรือไม่
พลังปราณในกายนางยังคงอยู่ เพียงแต่กระจัดกระจายไปตามกระดูกตามชีพจร ไม่อาจดึงมารวมกันให้เรียกใช้ได้ สภาพเช่นนี้นับว่าเป็นโชคดีในโชคร้าย ทว่ายาแก้พิษจำต้องหาให้ได้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ มิเช่นนั้นหากพลังปราณที่กระจัดกระจายมิอาจกลับไปรวมที่จุดตันเถียน ได้อีกครั้ง ภายในหนึ่งปีก็จะค่อยๆ สลายไป ถึงเวลานั้นก็หมดทางช่วยแล้วจริงๆ
“นายท่านผู้นั้นให้ข้ามาเชิญแม่นางไปบนดาดฟ้าเรือ อีกไม่นานเรือก็จะเทียบท่าแล้ว” คนเรือหญิงยิ้มตาหยีพลางกล่าว พอพวกเหยียนตี้ทั้งคณะลงจากเรือไป การเดินทางครั้งนี้ก็นับว่าสิ้นสุด ทองหลายสิบแผ่นนั้นก็จะนอนนิ่งอยู่ในกระเป๋าพวกตนแล้ว จำนวนนั้นเท่ากับรายได้ของพวกตนถึงสองเดือนเลย
มิหนำซ้ำในใจคนเรือสองสามีภรรยาตลอดจนเหล่าฝีพายที่เป็นคนงานล้วนหวาดกลัวพวกเหยียนตี้อยู่บ้าง ทุกครั้งที่เห็นเขาก็จะรู้สึกสองขาอ่อนยวบ ไม่กล้าหายใจแรง หลายวันมานี้ทำให้พวกเขาทรมานมากพอแล้ว
“ดีเลย!” ฉินโยวโยวยิ้มพลางตอบรับ นางกำลังคิดจะหาโอกาสไปขอ ‘คลังอาวุธ’ ของตนคืนจากเหยียนตี้อยู่พอดี
ฉินโยวโยวเดินอาดๆ ไปถึงดาดฟ้าเรือ นางมองเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่ไม่กี่คนกำลังสนทนากันได้จากที่ไกลๆ จากนั้นนางก็นึกถึงปัญหาใหญ่ข้อหนึ่ง…นางจำไม่ได้แล้วว่าคนใดคือ ‘ผู้มีพระคุณ’ ของนาง
นางจำได้เพียงว่าคนผู้นั้นดูจะเป็นชายหนุ่มร่างสูงกำยำและมีท่าทางเคร่งขรึม ทว่าไม่กี่คนตรงหน้านี้ล้วนดูเหมือนกันไปหมดในสายตานาง…
ฉินโยวโยวลังเลในใจ ฝีเท้าก็ผ่อนช้าลง หากเกิดทักผิดคนขึ้นมา เช่นนั้นก็เสียมารยาทเกินไปแล้ว
เหยียนตี้มองดูฉินโยวโยวเดินมาใกล้ แม้เรือนร่างอรชรบอบบางของนางจะอยู่ในชุดหยาบตัวโคร่งซึ่งทำขึ้นอย่างง่ายๆ ของคนเรือหญิง ทว่านางกลับมิได้ดูซูบซีดมอซอ แต่กลายเป็นว่าเสื้อผ้าซอมซ่อตัวนั้นยิ่งขับเน้นจนนางดูสะดุดตายิ่งกว่าเดิม ประหนึ่งเป็นไข่มุกบนกองกรวด ชวนให้พินิจพิสมัยเป็นพิเศษ
คนงามหยาดเยิ้มเช่นนี้ ใครเห็นก็ล้วนจะรู้สึกว่านางสมควรสวมใส่แพรพรรณชั้นดี กินดีอยู่ดีในเรือนอันอบอุ่นมั่งคั่ง หาใช่มาระเหเร่ร่อนตรากตรำกรำแดดอยู่กลางทุ่งนาป่าเขา
เหยียนตี้พลันนึกเสียใจอยู่บ้าง เขาไม่ควรเรียกนางออกมาเลย ต่อให้ออกมาแล้วก็ต้องบังนางไว้ให้มิดชิดจึงจะใช้ได้…องครักษ์ไม่กี่คนนี้ที่ข้างเขาถึงกับกำลังแอบมองนาง
ทว่าแววตาที่นางมองเขานี่มันอะไรกัน!
ฉินโยวโยวหารู้ไม่ว่าเหยียนตี้กำลังให้ความสนใจกับนางอยู่ นางกำลังง่วนอยู่กับการสังเกตเสื้อผ้าอาภรณ์และกิริยาท่าทางของคนทั้งหลายเพื่อให้แยกแยะ ‘ผู้มีพระคุณ’ ของตนออกมาได้
ประจวบเหมาะที่เวลานี้เหลียงลิ่งเองก็ขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือพอดี เขาเดินไปหยุดที่ข้างกายเหยียนตี้ก่อนค้อมตัวน้อยๆ กระซิบบอกกล่าวอะไรบางอย่าง
เป็นเขา!
คนผู้นี้เป็นคนที่เย่อหยิ่งวางโตที่สุดในคนทั้งกลุ่ม แม้ว่าแต่ละคนจะหน้าไร้ความรู้สึกเหมือนกัน แต่ท่าทางกลับสู้เขาไม่ได้ อีกทั้งผมขาวโพลนทั้งศีรษะของเหลียงลิ่งก็มีเอกลักษณ์ชัดเจนยิ่ง ฉินโยวโยวเห็นแวบเดียวก็จำได้ว่าเขาคือผู้ติดตามข้างกายผู้มีพระคุณ นางรู้จากปากของคนเรือหญิงว่าบนเรือมีคนผมขาวอยู่แค่คนเดียว
ฉินโยวโยวมั่นใจในเป้าหมายแล้วก็วางใจก้าวเดินไปหา
“เจ้าจำข้าไม่ได้?” เหยียนตี้นึกถึงแววตาเหมือนไม่รู้จักกันเมื่อครู่นี้ของนางแล้วก็ให้รู้สึกไม่ชอบใจ
ถ้อยคำทักทายเอาใจที่ฉินโยวโยวเตรียมมาเป็นกระบวนใหญ่ถูกคำถามอันไร้ที่มานี้ทำเอาตกใจจนหดกลับมา หลังนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ในใจก็อดจะค่อนแคะไม่ได้ ท่านเป็นใครกัน! ทุกคนจำเป็นต้องรู้จักท่าน?! อยากมีชื่อเสียงจนเสียสติไปแล้วกระมัง!
ทว่าภายนอกฉินโยวโยวกลับทำท่าทางเหมือนกระต่ายขาวตัวน้อยที่เหนียมอายรู้สึกผิด นางก้มหน้างุดไม่ตอบคำ มั่นใจว่าบุรุษอย่างเหยียนตี้คงไม่สะดวกใจจะถือสาหาความในเรื่องเล็กๆ พรรค์นี้กับนางต่อหน้าคนทั้งหลาย
เหยียนตี้โบกมือสั่งเหลียงลิ่ง “ไปหยิบหมวกคลุมมา”
เหลียงลิ่งไปจัดการตามคำสั่งทันที เพียงประเดี๋ยวเดียวก็หาหมวกคลุมผ้าดำมาได้ อันที่จริงมันคืองอบที่คนเรือหญิงใช้ประจำแต่เอามาคลุมขอบด้วยผ้าสีนิลผืนบาง ดูเข้ากับการแต่งกายในยามนี้ของฉินโยวโยวอย่างยิ่ง
“สวมเสีย” เหยียนตี้แสดงท่าทีบอกให้เหลียงลิ่งส่งหมวกคลุมไปไว้ในมือฉินโยวโยว น้ำเสียงออกคำสั่ง ไม่มีที่เหลือให้สงสัยต่อรองแม้แต่เศษเสี้ยว
ฉินโยวโยวเข้าใจดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้ตนเองต้องพยายามไม่ทำตัวให้โดดเด่นเท่าที่จะทำได้ ต่อให้เหยียนตี้ไม่บอก นางก็จะเป็นฝ่ายขอให้พวกเขาช่วยหาพวกเสื้อคลุมไม่ก็ผ้าคลุมหน้าที่สามารถอำพรางใบหน้ามาให้อยู่แล้ว หากแต่ท่าทีออกคำสั่งอย่างยโสเช่นนี้ของเหยียนตี้ทำให้นางไม่ชอบใจเอาเสียเลย
ทว่าตอนนี้ยังต้องอาศัยคนเขาอยู่ นางต้องอดทน
ฉินโยวโยวรับหมวกคลุมมาอย่างว่าง่าย โดยไม่ลืมกล่าวขอบคุณเสียงเบา “ผู้มีพระคุณสิ้นเปลืองความคิดแล้ว”
เสแสร้งได้แนบเนียนนัก! ไม่รู้ว่านางคิดจะเสแสร้งไปถึงเมื่อไร เหยียนตี้กวาดตามองนางปราดหนึ่ง ก่อนสั่งคนเรือให้นำเรือเทียบท่า
จากจุดที่ฉินโยวโยวตกแม่น้ำมาถึงท่าเรือซานไถ เดิมทีเดินทางทางน้ำราวห้าหกวันก็มาถึงแล้ว ไม่รู้เหยียนตี้นึกอะไรถึงดึงดันให้หยุดเรืออยู่กลางแม่น้ำเสียหลายวัน วันนี้ก็ผ่านมาจากวันที่นางเกิดเรื่องถึงสิบวันเต็มแล้ว
บริเวณท่าเรือยังคงมีทหารแคว้นตัวลี่เรียกตรวจพ่อค้าสัญจรอยู่เช่นเดิม แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เคร่งเครียดอะไรนักแล้ว ล้วนแต่ง่วนอยู่กับการฉวยโอกาสกรรโชกทรัพย์เรือสินค้าที่ผ่านทาง
ฉินโยวโยวสวมหมวกคลุมเดินตามเหยียนตี้และเหลียงลิ่งลงจากเรือไปอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ดูไปแล้วก็เหมือนเป็นคุณชายสูงศักดิ์ที่มาพร้อมบ่าวชรา โดยให้คนเรือหญิงตัวผอมลีบนำทางเดินสูดอากาศบนท่าเรือ
ความรู้สึกที่เท้าได้เหยียบพื้นดินอีกครั้งช่างดีโดยแท้! ฉินโยวโยวยังไม่ทันได้คลายความอุดอู้ก็พลันได้ยินเสียงฆ้องดังรัวมาจากลานว่างด้านหน้าท่าน้ำ จากนั้นกลุ่มคนทางนั้นก็โกลาหลขึ้นมาทันที ม้าพันธุ์ดีสีดำสนิทห้าตัวพุ่งตรงออกจากกลางฝูงชน วิ่งมาถึงริมท่าเรือถึงค่อยหยุดฝีเท้า
คนทั้งห้าที่นั่งอยู่บนหลังม้าล้วนสวมเสื้อดำกางเกงดำ บนใบหน้าของผู้เป็นหัวหน้ามีรอยกรีดพาดจากหางตาซ้ายไปถึงกกหูด้านขวา สันจมูกยุบ หน้าตาดูดุร้ายชวนขนพองสยองเกล้ายิ่ง ฉินโยวโยวพอเห็นคนผู้นี้ก็ต้องแอบร้องโอดครวญในใจ
เยี่ยหรูเหนียนลูกน้องผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของเฟิงกุยอวิ๋น! รอยแผลเป็นบนใบหน้าเขานั้นสะดุดตาเกินไป จึงเป็นหนึ่งในคนเพียงไม่กี่คนที่ฉินโยวโยวเห็นเพียงแวบเดียวก็จดจำได้
กำลังความสามารถของเยี่ยหรูเหนียนเข้าใกล้ยอดยุทธ์ขั้นเจ็ดเต็มที หากฉินโยวโยวมีคลังอาวุธครบครันอีกทั้งไม่ได้รับบาดเจ็บนางก็คงไม่กลัวเขา ทว่านางในยามนี้เป็นเพียงสตรีอ่อนแอที่มือไร้ซึ่งเรี่ยวแรงแม้แต่จะมัดไก่ อีกฝ่ายใช้แค่นิ้วเดียวก็บี้นางตายได้แปดรอบสิบรอบแล้ว
เจ้าสารเลวเฟิงกุยอวิ๋นจะตามติดนางอย่างไม่ยอมไปผุดไปเกิดถึงเมื่อไร เยี่ยหรูเหนียนจะมาเร็วหรือช้ากว่านี้สักหน่อยก็ไม่ได้ ดันต้องมาถึงพอดีกับเวลาที่นางขึ้นฝั่ง ไฉนนางถึงโชคร้ายเพียงนี้!
ท่าเรือทางนั้นถูกพวกเยี่ยหรูเหนียนปิดไว้แล้ว หากนางจะหนีก็ทำได้แค่กระโดดแม่น้ำไปอีกครั้ง มิหนำซ้ำอาศัยพละกำลังของตนในตอนนี้ก็ไม่แน่ว่ากระโดดแม่น้ำแล้วจะหนีพ้นได้
ยิ่งกว่านั้นข้างกายนางยังมีผู้มีพระคุณสองนายบ่าวอยู่ด้วย คนเขาใจดีช่วยนางไว้ อย่างไรก็คงไม่อาจทำให้ทั้งคู่พลอยเดือดร้อนไปด้วยได้
ฉินโยวโยวหันหน้าไปพูดกับเหยียนตี้อย่างจนใจ “อีกประเดี๋ยวท่านอย่าลืมทำเป็นไม่รู้จักข้า…” พูดพลางคิดจะก้าวออกห่างจากพวกเขา
ทว่านางยังไม่ทันก้าวสักก้าวก็ถูกเหยียนตี้โอบไหล่รั้งตัวกลับมา ทั้งใบหน้ายังกระแทกเข้ากับอ้อมอกเขาแล้ว
“โอ๊ย!” ฉินโยวโยวร้องออกมาเบาๆ น้ำตาไหลนองหน้า มิใช่เพราะซึ้งใจ แต่เป็นเพราะจมูกนางกระแทกจนหวิดจะเบี้ยว
ที่เยี่ยหรูเหนียนมาถึงกะทันหันเดิมทีก็เพียงแค่มาตระเวนดูตามปกติ เวลาผ่านมาสิบวันเต็มแล้ว หากสตรีที่นายท่านต้องการหาตัวยังไม่ตายก็น่าจะหนีหายไปไร้ร่องรอยนานแล้ว ทว่าเพิ่งจะเหยียบท่าเรือ เขาก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
สายตาเขามองทะลุฝูงชนมาตกลงบนร่างของเหยียนตี้อย่างแม่นยำไม่ผิดพลาด พร้อมกันนั้นย่อมจะมองเห็นฉินโยวโยวที่ถูกเขาโอบอยู่ในอ้อมแขนด้วย
ฉินโยวโยวสวมหมวกคลุมทั้งยังหันหน้าหาเหยียนตี้ เยี่ยหรูเหนียนย่อมมองไม่เห็นหน้าตาของนาง ทว่าต่อให้มองเห็นจริงก็จำไม่ได้ เพราะฉินโยวโยวยามพบผู้อื่นหากไม่แปลงโฉมก็ใส่หน้ากากมาแต่ไหนแต่ไร ทว่ารูปร่างนางนั้นเยี่ยหรูเหนียนคุ้นเคยเหลือเกินแล้ว เขาเคยเห็นจากที่ลับนับครั้งไม่ถ้วน และยิ่งติดตามเฟิงกุยอวิ๋นสะกดรอยนางทั้งคืนเต็มๆ แค่เห็นแวบเดียวก็แน่ใจได้ว่านางต้องเป็นคนที่นายท่านต้องการหาตัวอย่างเร่งด่วนแน่นอน
ฉินโยวโยวเองก็รู้สึกได้ถึงสายตาของเยี่ยหรูเหนียน นางพลันตัวแข็งทื่อ ในใจเย็นเฉียบขึ้นมาทันที ลืมความเจ็บปวดที่ส่งมาจากปลายจมูกไปชั่วขณะ ยิ่งลืมไปด้วยว่าเหยียนตี้กับตนเองอยู่ในท่าทางที่สนิทสนมเกินไป
“ไม่ต้องกลัว” ลมหายใจของเหยียนตี้ระผ่านริมหูฉินโยวโยวแผ่วเบา แขนอันอุ่นร้อนโอบไหล่นางไว้ เขาเงยหน้ามองไปยังเยี่ยหรูเหนียนอย่างเฉยชา
เยี่ยหรูเหนียนยกแส้ม้าชี้ฉินโยวโยวพลางพูดเสียงเย็นด้วยสีหน้าอึมครึม “นางคือนักโทษฉกรรจ์ที่ฮ่องเต้แคว้นตัวลี่มีพระราชโองการให้จับกุม ขอท่านมอบตัวนางให้พวกเราด้วย ข้าจะตอบแทนน้ำใจอย่างหนักแน่นอน”
แม้เยี่ยหรูเหนียนจะห้าวหาญเกินใคร แต่ก็ไม่อยากเป็นปรปักษ์กับบุรุษตรงหน้าผู้นี้ที่มองตื้นลึกหนาบางไม่ได้ง่ายๆ ดังนั้นในวาจาจึงยังเหลือทางเลือกให้แก่เขา หวังว่าอีกฝ่ายจะยอมทำตามโดยดี เพื่อไม่ให้เกิดการปะทะกันรุนแรง
ฝ่ามือเหยียนตี้ลูบไล้ไหล่ของฉินโยวโยวอย่างช้าๆ โดยไม่รู้ตัว น้ำเสียงราบเรียบจนฟังอารมณ์ใดๆ ไม่ออก “ตอนนี้นางอยู่ในมือข้าก็ถือว่าเป็นคนของแคว้นเซียงเยวี่ย”
ฉินโยวโยวไม่รู้ว่าควรโล่งใจหรือควรใจหายดี ตั้งแต่เมื่อครู่ที่เหยียนตี้ดึงตัวนางเข้าอ้อมแขนกะทันหัน นางก็รู้สึกได้ว่าบุรุษผู้นี้ต้องการคุ้มครองนางจริงๆ ไม่ว่าผู้ที่มาเป็นใครเขาก็ไม่มีทางมอบตัวนางออกไปแน่
ทว่าปัญหาคือเขามีกำลังและความสามารถนั้นหรือไม่
ทางด้านเยี่ยหรูเหนียนนอกจากตัวเขาเองแล้ว คนชุดดำสี่คนที่เหลือล้วนดูท่าทางไม่อ่อนด้อย เป็นไปได้มากว่าล้วนแต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามขึ้นไป
ผู้ฝึกตนโดยทั่วไปแบ่งเป็นเก้าขั้น ขั้นหนึ่งถึงหกเรียกว่าผู้ฝึกยุทธ์ เมื่อทะลวงขึ้นขั้นเจ็ดได้จะได้รับการยกย่องเป็นยอดยุทธ์ ลือกันว่านอกจากขั้นเก้าแล้วก็ยังมีลำดับขั้นที่สูงยิ่งกว่า ทว่าคนระดับนั้นหาได้ยากยิ่งกว่าหนวดเต่าเขากระต่าย แทบจะมีอยู่เพียงในตำนานเท่านั้น
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามขึ้นไปก็ไม่อ่อนด้อยแล้ว สามารถเรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือ คนในขั้นนี้ถูกขนานนามว่า ‘ผู้ต้านร้อย’ ในหมู่มวลชน ความหมายตรงตัวคือมีความสามารถในการสู้คนเป็นร้อยได้โดยไม่ตกเป็นรอง ส่วนบุคคลที่เข้าใกล้ยอดยุทธ์ขั้นเจ็ดเต็มทีอย่างเยี่ยหรูเหนียนนั้น รับมือคนหลายร้อยพร้อมๆ กันก็มิใช่ปัญหา
บุรุษตรงหน้าผู้นี้อายุเพียงยี่สิบห้ายี่สิบหกปี ใช้หนึ่งต้านห้าทั้งต้องกระเตงตัวภาระอย่างนางไว้ด้วย คิดจะเอาตัวรอดโดยปลอดภัยจะเป็นไปได้หรือ ฉินโยวโยวนึกสงสัยอย่างหนัก
เยี่ยหรูเหนียนทำสีหน้าเข้มแล้วเอ่ยว่า “ท่านเป็นชาวแคว้นเซียงเยวี่ย? มิทราบมีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร” พูดพลางโบกมือให้คนชุดดำทั้งสี่ที่ด้านหลัง สี่คนนั้นก็กระตุ้นม้าไปปิดทางเข้าออกของท่าเรือไว้ หนึ่งในนั้นยังจุดพลุสัญญาณขึ้นฟ้าด้วย
มือที่พาดไหล่ฉินโยวโยวของเหยียนตี้ชะงักไปเล็กน้อย ฉินโยวโยวสังเกตเห็นได้ในทันทีว่าเขาคล้ายกำลังประเมินนาง ในใจให้นึกประหลาดใจอย่างยิ่ง ผู้อื่นถามชื่อท่าน แล้วไยท่านถึงมองข้า คนเขาเรียกพรรคพวกมาเสริมแล้ว ไฉนท่านจึงไม่มีอาการอะไรสักนิด!
นางจำข้าไม่ได้จริงๆ…ในใจเหยียนตี้บอกไม่ถูกว่าเป็นความผิดหวังหรือความโกรธเคืองกันแน่
“เจ็บ…” ฉินโยวโยวพลันรู้สึกว่าฝ่ามือใหญ่อันอบอุ่นบนหัวไหล่กลายเป็นคีมเหล็กใหญ่ บีบจนกระดูกนางแทบแหลกแล้ว นางทนไม่ไหวหลุดส่งเสียงร้องเบาๆ ออกมา
เหยียนตี้อึ้งไปเล็กน้อยก่อนเก็บมือกลับมาจัดหมวกคลุมของฉินโยวโยวที่ถูกกระแทกเปิดขึ้นไปครึ่งหนึ่งให้เข้าที่ จากนั้นก็ดึงแขนนางเดินอาดๆ ไปข้างหน้า คล้ายมองไม่เห็นการมีอยู่ของเยี่ยหรูเหนียนโดยสิ้นเชิง
ฉินโยวโยวถูกเขาลากเดินไปข้างหน้าอย่างอกสั่นขวัญแขวน เพียงประเดี๋ยวเดียวก็อยู่ห่างจากเยี่ยหรูเหนียนไม่ถึงหนึ่งจั้ง
“ใครขวางข้า…ฆ่าให้หมด!” น้ำเสียงของเหยียนตี้ยังคงราบเรียบเหมือนเก่า คล้ายว่ากำลังพูดเรื่องไม่สลักสำคัญอันใด กระทั่งฝีเท้าก็มิได้หยุดชะงักเลยสักนิด
โครม! เสียงของหนักตกลงพื้นดังมาจากที่ไม่ไกล ฟังดูดีๆ คล้ายว่ามีของหนักสี่ห้าชิ้นตกพื้นโดยพร้อมเพรียงกัน แต่เพราะเกิดขึ้นพร้อมกันจึงทำให้ฟังคล้ายเป็นเสียงเดียวแต่หนักหน่วงทอดยาว
บนท่าเรือพลันเงียบสงัดจนน่าอัศจรรย์ ฉินโยวโยวอดไม่ไหวต้องเลิกผ้าดำมุมหนึ่งของหมวกคลุมขึ้นน้อยๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอมองเห็นฉากเหตุการณ์สุดแสนนองเลือด…คนชุดดำสองคนทางซ้ายมือเยี่ยหรูเหนียนถูกดาบฟันขาดกลางลำตัว ร่างท่อนบนกลิ้งตกจากหลังม้า ร่างท่อนล่างยังคงนั่งนิ่งอยู่บนอาน เลือดสดๆ พุ่งทะลัก เศษเนื้อและอวัยวะภายในสาดกระจาย ด้านข้างม้าไม่รู้มีบุรุษชุดสีเขียวครามท่าทางเหมือนวิญญาณผู้หนึ่งโผล่มาตั้งแต่เมื่อไร ในมือกุมดาบยาว ประกายดาบดุจหิมะ บนคมดาบมีรอยเลือดเปรอะเป็นดวง
ไม่ต้องหันหน้าไปฉินโยวโยวก็รู้ว่าคนชุดดำอีกสองคนก็ประสบชะตากรรมเดียวกันแล้ว
ใบหน้าดุร้ายของเยี่ยหรูเหนียนซีดขาวบิดเบี้ยว เขาถลึงตาจ้องบุรุษที่กำลังลากฉินโยวโยวเดินไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างไม่ละสายตา คล้ายว่าแม้แต่ความกล้าจะลงมือโจมตีก็หายไปเกลี้ยงแล้ว
ฉินโยวโยวเข้าใจความรู้สึกของเยี่ยหรูเหนียนอย่างยิ่ง หากเปลี่ยนนางไปแทนที่เขา เกรงว่าจะยิ่งกลัวกว่าเขาไม่ใช่แค่สิบเท่า
สี่คนนั้นไม่ใช่คนธรรมดา ล้วนแต่เป็นผู้แข็งแกร่งที่ฝึกตนมาหลายปี ถึงกับถูกฟันขาดกลางอย่างง่ายดายประหนึ่งหั่นผักโดยที่ยังมองเห็นคู่ต่อสู้ไม่ชัดเสียด้วยซ้ำ ผู้ที่ลงมือจัดการพวกเขาต้องมีระดับขั้นสูงกว่าพวกเขาอย่างน้อยๆ ก็สามขั้น!
ดูจากเสื้อผ้า ฉินโยวโยวก็จำได้ว่ายอดฝีมือที่ลงมือสังหารคนกลางวันแสกๆ เหล่านี้ก็คือคนที่ยืนอยู่ข้างผู้มีพระคุณของนางขณะอยู่บนเรือเมื่อครู่นี้
นางพลันรู้สึกว่าฝ่ามือที่จับแขนตนอยู่ข้างนั้นน่ากลัวประหนึ่งสัตว์มีพิษ ผู้มีพระคุณของนางแข็งแกร่งยิ่ง อีกทั้งต้องมีความเป็นมาใหญ่โตแน่นอน แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่คนดีอะไร…
ไม่รู้ว่าใครร้องอุทานนำขึ้นมาก่อน ผู้คนจึงได้สติกลับมาจากคดีสยองขวัญตรงหน้า พากันกรีดร้องและวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง ท่าเรือดูสับสนอลหม่านขึ้นมาทันที
ทหารแคว้นตัวลี่ที่ลาดตระเวนอยู่บนแม่น้ำเองก็มีการตอบสนองแล้วเช่นกัน พากันร้องตะโกนลั่น แต่กลับไม่มีสักคนที่กล้าแล่นเรือกลับท่ามาช่วยจับคนร้าย
“กลับไปบอกนายเจ้าว่านางเป็นคนของแคว้นเซียงเยวี่ยของข้า หากไม่พอใจก็ไปที่เมืองจื่อเยี่ยได้เลย” ว่าแล้วเหยียนตี้ก็ลากฉินโยวโยวเดินลอยชายจากไปด้วยท่าทางวางโต กระทั่งพวกเขาเดินไปไกลแล้วเยี่ยหรูเหนียนถึงได้ยกมือปาดเหงื่อด้วยอาการสั่นเทา
ทหารที่ประจำการอยู่บริเวณใกล้ๆ เห็น ‘ดาวพิฆาต’ จากไปแล้วก็รีบวิ่งมาต้อนรับแสดงความภักดี หนึ่งในนั้นเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านเยี่ย พวกเราต้องส่งคนตามไปหรือไม่ขอรับ”
เยี่ยหรูเหนียนรอดตายมาได้แล้ว เมื่อเห็นหน้าพวกเขาก็ยิ่งหงุดหงิด ได้แต่ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ต้อง ตามไปก็รนหาที่ตาย เว้นแต่ว่าพวกเราจะมียอดฝีมือระดับยอดยุทธ์ขั้นเจ็ดขึ้นไปอยู่ด้วย…”
“ยอดยุทธ์?!” เสียงสูดหายใจดังขึ้นเป็นระลอก สำหรับพวกเขาที่เป็นคนธรรมดา ยอดยุทธ์แทบจะเป็นความหมายเดียวกับเทพเซียน หากกล่าวว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามขึ้นไปคือผู้ต้านร้อย เช่นนั้นยอดยุทธ์ที่แท้จริงก็คือผู้ต้านพัน ว่ากันว่าผู้ที่มีอายุขัยยืนยาวที่สุดสามารถอยู่ได้ถึงสองสามร้อยปี คนเช่นนี้ชั่วชีวิตของพวกเขาใช่ว่าจะมีโอกาสได้สัมผัส
ทหารหนึ่งในนั้นพูดขึ้นตะกุกตะกัก “ท่านเยี่ยท่าน…ท่านหมายความว่าคนหนุ่มเมื่อครู่นี้เป็น…เป็นยอดยุทธ์?!” คนหนุ่มผู้นั้นท่าทางน่ากลัวยิ่ง ทว่าดูไปแล้วอย่างมากก็อายุไม่ถึงสามสิบ อายุเท่านี้ก็เป็นยอดยุทธ์แล้ว? คงไม่ใช่ว่าเยี่ยหรูเหนียนไม่กล้าสู้เลยจงใจพูดถึงความสามารถของคู่ต่อสู้ให้ดูสูงเกินจริงกระมัง
ไม่ใช่แค่เขาที่คิดเช่นนี้ ทหารที่อยู่ด้านข้างไม่น้อยก็มีความคิดในทำนองเดียวกัน
เยี่ยหรูเหนียนมีหรือจะไม่รู้ความคิดของพวกเขา จึงพูดด้วยความเจ็บใจ “หากเขาไม่ใช่ยอดยุทธ์ บิดามีหรือจะทำตัวขี้ขลาดมองเห็นพี่น้องของตนเองถูกฆ่าแล้วยังไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไร!”
อีกด้านหนึ่ง ผู้ที่กำลังคาดเดาถึงความสามารถของเหยียนตี้ดุจเดียวกันก็ยังมีฉินโยวโยวอีกคน
เมื่อครู่เหยียนตี้มิได้ลงมือเอง แต่พลังที่แผ่ออกมาในชั่วพริบตาที่เดินผ่านเยี่ยหรูเหนียนนั้นน่ากลัวยิ่งยวด พิจารณาจากความรู้ที่ฉินโยวโยวมี อย่างน้อยคนผู้นี้ก็เป็นระดับยอดยุทธ์!
ทว่ายอดยุทธ์ที่อายุน้อยถึงเพียงนี้…จิตใจฉินโยวโยวเสียสมดุลขึ้นมาอย่างร้ายแรง ต่อให้เขาเริ่มฝึกตนทันทีที่ออกมาจากครรภ์มารดาก็ไม่มีทางเป็นยอดยุทธ์ได้ตั้งแต่อายุยี่สิบปีกระมัง จะต้องเป็นตนเองคิดมากเกินไปแน่นอน
ยังไม่ขอกล่าวถึงความสามารถของตัวเขา ดูแค่บรรดาลูกน้องที่เขาสั่งให้ลงมือในวันนี้แล้วก็น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์อย่างน้อยขั้นห้าขั้นหกทั้งสิ้น สามารถทำให้คนระดับนี้ยินยอมพร้อมใจฟังคำสั่งของเขาได้ หากไม่ใช่เพราะเขามีฐานะสูงจนน่าตกใจก็ต้องเป็นเพราะความสามารถของเขาแข็งแกร่งเกรียงไกรถึงขีดสุด
ฟังจากสำเนียงเขาเป็นชาวเซียงเยวี่ย อีกทั้งในคำพูดคำจาก็คล้ายว่าแคว้นเซียงเยวี่ยคือบ้านของเขา เช่นนั้นก็เป็นไปได้มากว่าจะเป็นหนึ่งในเชื้อพระวงศ์แคว้นเซียงเยวี่ย มิน่าถึงได้เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา บอกจะฆ่าก็ฆ่า
ฉินโยวโยวไม่มีทางเห็นใจคนที่ตามจับและทำร้ายนาง กระนั้นก็ยังเกิดใจหวาดกลัวระแวงระวังห่างเหินต่อเหยียนตี้ที่ลงมือโหดเหี้ยมแปดเปื้อนคาวเลือดเช่นเดียวกัน
ตนเองเพิ่งจะได้รับความเสียหายหนักที่แคว้นตัวลี่มา ขอให้ไปแคว้นเซียงเยวี่ยแล้วอย่าได้โชคร้ายซ้ำอีก คิดถึงตรงนี้ฉินโยวโยวก็ยิ่งนึกดีใจที่ก่อนหน้านี้ตนเองไม่ได้เปิดเผยฐานะให้เหยียนตี้รู้
เห็นชัดว่าคนผู้นี้เป็นเจ้าแห่งการฆ่าคน นางต้องตามหาสัตว์วิเศษทั้งสองของตนกลับมาให้ได้เร็วที่สุด หลังจากนั้นหลบหายไปไกลได้เท่าไรก็ยิ่งดี
ฉินโยวโยวคิดคำนวณกับตนเองมาตลอดทาง จวบจนเหยียนตี้ที่เบื้องหน้าหยุดฝีเท้าลง
“เจ้าขี่ม้าเป็นหรือไม่” เหยียนตี้พลันหันมาถาม
“หา? มะ…ม้า?!” ใจฉินโยวโยวที่ลอยไปไกลกลับเข้าที่ นางได้ยินคำถามของเหยียนตี้ชัด และก็มองเห็นชัดเช่นกันว่าเบื้องหน้ามีม้าแดงตัวสูงใหญ่บึกบึนเพิ่มมาตัวหนึ่ง เสียงจึงสูงขึ้นอีกแปดระดับทันที
ตอนยังเล็กนางเคยห่วงเล่น ไปขี่ลูกม้าตัวหนึ่งที่มีคนมอบให้อาจารย์ ผลคือนางถูกสะบัดตกจากหลังม้า หวิดจะคอหัก นอนอยู่บนเตียงหนึ่งเดือนเต็มๆ ถึงจะหายดี นับแต่นั้นมาก็ไม่ยอมเข้าใกล้สัตว์น่าสยดสยองอย่างม้าอีกเลย
เหยียนตี้ไม่เข้าใจว่านางกำลังกลัวอะไร แต่ก็คร้านจะถามความเห็นนางอีก จึงพลิกตัวขึ้นม้าแล้วใช้มือหนึ่งยกตัวนางขึ้นมาวางบนตักตนเองทันที
ฉินโยวโยวถูกทำให้ตกใจจนแทบเปล่งเสียงกรีดร้องออกมา นางเกลียดม้า และยิ่งกลัวความรู้สึกน่ากลัวยามนั่งอยู่บนหลังม้าที่สูงห่างจากพื้นหลายฉื่อ* อยู่ในสถานการณ์ที่สามารถตกลงไปได้ทุกเวลาเช่นนี้
“ข้า…ข้า…ข้าไม่อยากขี่ม้า!” ฉินโยวโยวออกแรงดิ้นหมายจะกลับลงพื้น
เหยียนตี้ทำหน้าเข้มพลางตวาดเสียงเย็น “หุบปาก! ห้ามขยับ!” สตรีนางนี้ไม่เข้าใจสักนิดว่านางกำลังนั่งแนบชิดกับบุรุษ การขยับตัววุ่นวายนับเป็นการท้าทายครั้งใหญ่เพียงไรต่อความสามารถในการควบคุมตนเองของบุรุษ
ความน่าเกรงขามที่เหยียนตี้แผ่ออกมาโดยไม่รู้ตัวทำให้คนหวาดกลัวจากใจ ฉินโยวโยวถูกจับร่างให้อยู่กับที่ สตินางเริ่มกลับมาเล็กน้อย ก่อนจะบีบน้ำตาร้องไห้ฮือๆ พลางเอ่ยว่า “ข้ากลัว ข้าไม่อยากขี่ม้า…”
เหยียนตี้ขมวดคิ้วไม่สนใจนาง มือหนึ่งโอบเอวนางไว้ อีกมือก็จับบังเหียน ม้าแดงห้อตะบึงออกไปดั่งลูกศรออกจากสาย
ฉินโยวโยวตกใจจนใบหน้าถอดสี นางไม่มีเวลาให้มัวมาแกล้งร้องไห้อีก ยามนี้แทบจะใช้ทั้งแขนทั้งขาจับเหยียนตี้เอาไว้แน่น กลัวแต่ว่าเสี้ยวเวลาถัดไปจะถูกโยนลงจากหลังม้า
คนตรงหน้าคือผู้มีพระคุณเสียที่ไหน เป็นอันธพาลชัดๆ!
ฉินโยวโยวไม่รู้ว่าตนเองลงมาจากม้าได้อย่างไร หลังนางได้รับบาดเจ็บร่างกายก็อ่อนแอมากอยู่แล้ว ด้วยอารามตื่นตกใจจึงเกร็งขมึงไปทั้งร่าง ตัวสั่นตัวคลอนอยู่บนม้าได้ครู่เดียวในที่สุดก็ทนไม่ไหวหมดสติไป
ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็นอนอยู่บนเตียงแล้ว กระดูกในร่างคล้ายกับเคลื่อนหลุดออกจากที่ไปแล้ว เป็นครึ่งค่อนวันกว่านางจะผลักผ้าห่มลุกขึ้นนั่งได้อย่างเปลืองแรง
คลับคล้ายมีเสียงสุนัขเห่าและเสียงคนบอกเวลาเคาะเกราะไม้ไผ่ดังแว่วมาจากที่ไกลๆ น่าจะเป็นยามจื่อ แล้ว ฉินโยวโยวจับหัวเตียงพยุงตัว คิดจะลงจากเตียงไปจุดตะเกียงหาน้ำดื่ม จู่ๆ ตรงหน้าก็มีแสงไฟวาบขึ้นมาทันที
เงาร่างของเหยียนตี้ปรากฏอยู่ท่ามกลางแสงสลัวจากตะเกียง ฉินโยวโยวลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนเปิดปากหยั่งเชิง “ผู้มีพระคุณ ดึกถึงเพียงนี้แล้ว ท่าน…” เหยียนตี้ยังอยู่ในชุดเมื่อตอนกลางวัน ฉินโยวโยวแน่ใจในฐานะของเขาด้วยอาศัยจุดนี้
ดึกดื่นเที่ยงคืนแอบเข้าห้องหญิงสาว เขาคิดจะทำอะไร!
เหยียนตี้รินชายื่นส่งให้ถึงมือนางอย่างเงียบเชียบ ก่อนเอ่ยว่า “เจ้ากลัวการขี่ม้าถึงเพียงนี้เชียว?”
เดิมทีเหยียนตี้ยังนึกว่านางเสแสร้ง จนกระทั่งนางสลบอยู่ในอ้อมแขนเขาถึงได้พบว่านางกลัวจริงๆ ยามที่มองเห็นใบหน้าซีดขาวของนาง เขาถึงกับเกิดอารมณ์ที่คล้ายกับรู้สึกผิดละอายใจขึ้นมา
โชคดีที่นางเพียงแต่ตระหนกจนตกประหม่าเกินไป อาการบาดเจ็บมิได้รับผลกระทบเท่าไรนัก
“ข้าเคยตกม้าตอนยังเล็ก ข้าจึงกลัวการขี่ม้ามาก” ฉินโยวโยวบอกไปตามจริง หวังว่าผู้มีพระคุณจะให้ทางรอดแก่นาง อย่าได้บังคับให้นางขี่ม้าอะไรอีก
“ดื่มชาหมดแล้วก็กินของว่างเสียหน่อยเถอะแล้วค่อยนอนต่อ ยามนี้เจ้าอ่อนแอเกินไปแล้ว”
น้ำเสียงเป็นการเป็นงานถึงขนาดว่าเจือแววเดียดฉันท์ของเขาทำเอาฉินโยวโยวปัดความสงสัยต่อเรื่องที่เขาแอบเข้าห้องหญิงสาวยามดึกจนแตกเป็นเสี่ยงๆ
เจ้าคนที่สำรวมกิริยาถึงเพียงนี้ เจ้าว่าเขาเข้าห้องนอนสตรีกลางดึกเพราะคิดจะทำมิดีมิร้ายหรือ!…ฉินโยวโยวรู้สึกว่าตนเองคิดมากเกินไปแล้ว บอกว่าเขาไปฆ่าคนกลางดึกยังจะเข้าท่ากว่า
ได้ดื่มชาอุ่นๆ ลงไปอึกหนึ่งก็รู้สึกดีขึ้นมาก ฉินโยวโยวช้อนตาขึ้นมอง พบว่าภายใต้แสงตะเกียงไม่มีคนอยู่ ไม่รู้เหยียนตี้ไปที่ใดแล้ว
นางยังอยากจะถามเขาอยู่เลยว่าที่นี่คือที่ใด อยู่ไกลจากเมืองปาไซ่เท่าไร รวมถึงการเดินทางต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร
พิลึกคนเสียจริง! คงมิใช่เจาะจงมาดูว่าข้าเตะผ้าห่มหรือไม่ตอนกลางดึกหรอกนะ?
เหลียงลิ่งปรนนิบัติเหยียนตี้ล้างหน้าบ้วนปากเสร็จก็ออกมาจากห้อง ขณะที่ผ่านหน้าประตูห้องฉินโยวโยวเขาก็หยุดฝีเท้าและมองดูอย่างลึกซึ้งปราดหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
นายท่านถึงกับต้องได้เห็นสตรีนางนี้ฟื้นกับตาตนเอง มั่นใจว่านางไม่เป็นอะไรแน่แล้วถึงได้ยอมกลับห้องไปพักผ่อน ‘เกียรติ’ ระดับนี้ไม่เคยมีใครได้รับมาก่อน นายท่านคิดอย่างไรกับสตรีนางนี้ นับว่าเห็นกันชัดเจนยิ่งแล้ว
เช้าตรู่วันต่อมา ฉินโยวโยวลืมตาขึ้นมองห้องที่ตนเองอยู่ชัดเจนแล้วก็อดจะแอบแลบลิ้นไม่ได้ ห้องที่หรูหราโอ่อ่าเช่นนี้อย่าว่าแต่โรงเตี๊ยมไม่มีทางมีเลย ต่อให้เป็นบ้านคหบดีทั่วไปก็ยังยากจะได้พบเห็น
ตั้งแต่เตียงไม้กฤษณาสลักลายที่นางนอนเมื่อคืนไปจนถึงถาดรองกระเบื้องเคลือบใต้กระถางดอกไม้ข้างหน้าต่าง ล้วนแต่มีความเป็นมาไม่ธรรมดาทั้งสิ้น
เกรงว่าผู้มีพระคุณท่านนั้นคงเป็นคนในราชวงศ์แคว้นเซียงเยวี่ยจริงๆ นางได้คนเช่นนี้ช่วยเหลือไว้ ไม่รู้ว่าเป็นเคราะห์ร้ายหรือเคราะห์ดีกันแน่
เสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก หลังไต่ถามบอกกล่าวอย่างเคารพนบนอบแล้วก็มีสาวใช้เดินเข้ามาสองนาง
“นายท่านสั่งให้บ่าวมาปรนนิบัติแม่นางแต่งตัวเจ้าค่ะ” บนตัวสาวใช้ทั้งสองเองก็สวมใส่แพรพรรณงดงาม ดูเข้าท่ากว่าแขกในชุดผ้าหยาบอย่างฉินโยวโยวมากนัก
พวกนางนำเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เข้าชุดกันตั้งแต่ชั้นในถึงชั้นนอกรวมถึงบรรดาเครื่องประดับเครื่องประทินโฉมมาด้วย ดูแล้วเรียบง่ายแต่กลับไม่มีชิ้นใดที่ธรรมดาสามัญ ฉินโยวโยวมีความรู้ทางด้านนี้ไม่มาก แต่ก็มองออกว่าบรรดาของเหล่านี้ต้องไม่ใช่ของราคาถูกแน่นอน
ฉินโยวโยวพิจารณากับตนเองแล้วก็เห็นว่าตนเป็นเพียงคนเคราะห์ร้ายที่เหยียนตี้ช่วยขึ้นมาจากแม่น้ำ เขามีเงินมากเกินไปจึงไม่สนใจ หรือว่ามีแผนจะทำอะไรกับนางกันแน่ นางรีบปลีกตัวไปโดยเร็วดีกว่า
“ที่นี่คือที่ใด ไกลจากเมืองปาไซ่หรือไม่ เมื่อวานข้ามาถึงเวลาใด” ฉินโยวโยวถาม
“ที่นี่เรียกว่าเมืองปากุย พวกบ่าวเพิ่งถูกส่งตัวมาที่นี่เมื่อเช้านี้ เรื่องอื่นล้วนมิทราบแน่ชัด อีกประเดี๋ยวแม่นางพบนายท่านแล้วก็จะได้ทราบเองเจ้าค่ะ” สาวใช้ทั้งสองยิ้มตาหยี ถามมาก็ตอบไป ทว่ามีแต่น้ำเป็นหลัก
ฉินโยวโยวถามต่อไม่กี่คำก็คร้านจะถามอีก ปิดปากเงียบแล้วปล่อยให้พวกนางจับแต่งตัว พวกนางมิใช่ไม่รู้เรื่องจริงๆ เสียหน่อย เพียงแต่ได้รับคำสั่งว่าห้ามพูดมากเท่านั้น
ช่างเถอะ พวกเขาชอบทำตัวลึกลับก็ปล่อยพวกเขาไปแล้วกัน! อีกประเดี๋ยวนางได้พบเหยียนตี้ก็จะเอ่ยเรื่องแยกจากเขาแล้ว
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.