X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักราชันใต้อาณัติ

ทดลองอ่าน ราชันใต้อาณัติ บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 17

บทที่ 2

ข้ออ้างที่จะจากไปของฉินโยวโยวนั้นมีอยู่แล้ว…นางต้องการไปเมืองปาไซ่เพื่อพบกับสัตว์วิเศษของนาง ไม่สะดวกจะอยู่รบกวนอีก หากมีวาสนาพวกเราค่อยพบกันใหม่!

แน่นอนว่ายังไม่ลืมเรื่องที่ต้องขอคลังอาวุธของตนเองกลับมาด้วย

ส่วนบุญคุณช่วยชีวิตที่ติดค้างเหยียนตี้และพวกของนอกกายเหล่านี้ก็ติดเอาไว้ก่อนแล้วกัน ผู้มีพระคุณดูมีเงินมากมาย น่าจะไม่มาคิดเล็กคิดน้อยในเรื่องพวกนี้กับนาง หากคิดเล็กคิดน้อยจริงๆ ก็ให้เลือกของสักชิ้นสองชิ้นจากในบรรดาของเล็กของน้อยเหล่านั้นของนางมาเป็นของขวัญขอบคุณก็มากเหลือเฟือแล้ว

อาวุธลับที่ ‘มือเทพเนรมิต’ ทำไม่ว่าชิ้นใดก็ล้วนเรียกราคาได้สูงลิบลิ่ว

ฉินโยวโยวดีดลูกคิดรางแก้วดังก๊อกแก๊ก เดินตามสองสาวใช้ไปพบเหยียนตี้อย่างให้ความร่วมมือผิดปกติ

เหยียนตี้กำลังเตรียมกินอาหารเช้าอยู่ในโถงรับแขก เหลียงลิ่งก็ยืนอยู่ข้างกายเขา บนโต๊ะมีอาหารเช้าประณีตบรรจงต่างชนิดต่างรูปแบบวางอยู่อย่างน้อยยี่สิบกว่าจาน ขณะที่ฉินโยวโยวเข้าประตูมาก็ได้ยินชายวัยกลางคนในชุดพ่อบ้านคนหนึ่งพูดกับเหยียนตี้ด้วยสีหน้าละอายใจพอดี “บ่าวไร้ความสามารถ ด้วยความฉุกละหุกจึงเตรียมมาได้เพียงเท่านี้”

นี่มันมากเกินไปแล้วต่างหาก! เขาคนเดียวกินมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ ฉินโยวโยวรู้สึกว่าพ่อบ้านผู้นี้กำลังขอความดีความชอบในอีกรูปแบบหนึ่ง

ในที่สุดวันนี้นางก็หาเป้าหมายพบได้อย่างแม่นยำเป็นครั้งแรก ต้องขอบคุณที่เหล่าบุรุษไม่กี่คนในห้องโถงนี้มีจุดเด่นที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

สายตาเหยียนตี้เลื่อนมาตกบนตัวฉินโยวโยว ในดวงตามีบางอย่างวาบผ่าน คล้ายว่าค่อนข้างพอใจในการแต่งกายหรูหราเต็มยศของนาง เขาพยักหน้ากล่าวเรียก “มานั่งลงกินอาหารสิ”

ปัจจุบันนี้ความนึกคิดของผู้คนโดยมากล้วนเปิดกว้าง ไม่ได้เหมือนราชวงศ์ก่อนที่เอาแต่พูดเรื่องชายหญิงมีความแตกต่าง ห้ามข้องแวะใกล้ชิดกันอะไรพวกนั้น แต่ฉินโยวโยวก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองคุ้นเคยกับเหยียนตี้จนถึงขั้นร่วมโต๊ะกินอาหาร หรือดื่มสุราสังสรรค์กันได้

นางอยากปฏิเสธอย่างมีศักดิ์ศรียิ่งนัก แต่กระเพาะกลับไม่ให้ความร่วมมือเสียเลย นับตั้งแต่อาหารยามบ่ายของเมื่อวานที่นางกินก่อนลงจากเรือจนถึงบัดนี้ก็มีเพียงของว่างไม่กี่ชิ้นที่เหยียนตี้ทิ้งไว้ให้นางได้ฝืนยัดลงไปตอนที่ฟื้นมากลางดึกของเมื่อคืน เวลานี้นางหิวจนตาลายไปหมดแล้ว

อาจารย์สั่งสอนนางมาตั้งแต่เล็กว่าเรื่องหิวเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด เรื่องอื่นล้วนค่อยว่ากันทีหลังได้ ดังนั้นเมื่อมีของโอชะเต็มโต๊ะมาล่อใจ ฉินโยวโยวลังเลแค่ชั่วประเดี๋ยวหนึ่งก็นั่งลงอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย

กินไม่คุย นอนไม่พูด ใบหน้าไร้อารมณ์ของเหยียนตี้ทำให้คนกดดันอย่างมากจริงๆ ฉินโยวโยวตัดสินใจจะไม่เสี่ยงเปิดประเด็นที่อาจทำให้เขาไม่พอใจขึ้นบนโต๊ะอาหาร นางกินอาหารเช้าไปอย่างสุดจะน่ารักว่าง่ายภายใต้การปรนนิบัติของสาวใช้โดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ

ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดนางถึงได้รู้สึกว่าถ้าตนเองเอ่ยเรื่องจะจากไปออกมาแล้วจะทำให้เหยียนตี้ไม่พอใจนั้น…ฉินโยวโยวไม่ทันได้ตระหนักถึงปัญหานี้โดยสิ้นเชิง มันมาจากสัญชาตญาณอันแปลกพิสดารอย่างหนึ่งเท่านั้น

เหยียนตี้มองดูฉินโยวโยวที่อยู่เบื้องหน้าเคี้ยวคำเล็กแล้วค่อยๆ กลืนเหมือนลูกแมวอย่างเงียบๆ ในใจออกจะเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง

สำหรับสตรีที่สามารถคลุกคลีกับโจรภูเขาโจรท้องถิ่นได้นางหนึ่งกลับรู้กิริยามารยาทดีจนน่าอัศจรรย์ใจ แม้จะไม่ถึงขั้นวางตัวสูงส่งอย่างพวกเชื้อพระวงศ์ แต่การแต่งกายรวมกับรูปโฉมและการได้รับการอบรมสั่งสอนมาในระดับนี้ เทียบกับบุตรสาวตระกูลขุนนางใหญ่แล้วก็หาได้ด้อยกว่าไม่

ทว่าคิดดูอีกทีเขาก็หายข้องใจ สาวน้อยนางนี้เป็นไปได้มากที่จะเป็นผู้สืบทอดของ ‘คนผู้นั้น’ ศิษย์เอกของผู้วิเศษผู้ตัดขาดจากทางโลกจะหยาบช้าไร้มารยาทได้อย่างไร

เช่นนี้ก็ดี หลังกลับถึงเมืองจื่อเยี่ย ไม่ต้องใช้เวลานานนักก็สามารถสอนกฎเกณฑ์มารยาทให้นางได้แล้ว

ถ้าฉินโยวโยวรู้ว่าในใจเหยียนตี้เคยนึกดูถูกนางถึงเพียงนี้ เกรงว่าคงได้มีล้มโต๊ะด่าคนเสียตรงนี้กระมัง

ฉินโยวโยวรู้สึกได้ว่าเหยียนตี้กำลังพินิจพิเคราะห์นางอยู่ เพียงแต่นางนึกด้วยความหลงตนเองว่าเป็นเพราะนางมีรูปโฉมที่งดงามเกินไป ไม่เพียงไม่ถือสาแล้ว นางยังค่อนข้างกระหยิ่มยิ้มย่องเสียด้วยซ้ำ

กินอาหารเช้าเสร็จ ฉินโยวโยวก็อาศัยจังหวะที่เหยียนตี้หลับตาลิ้มรสชาเอ่ยปากขึ้นว่า “ตั้งแต่วันนั้น ข้าก็ได้ผู้มีพระคุณช่วยเหลือเป็นอันมาก ไม่กี่วันนี้ยิ่งได้ท่านปกป้องคุ้มครอง นับเป็นการเพิ่มความยุ่งยากให้กับท่านอย่างมาก บัดนี้ข้าไม่เป็นอะไรมากแล้ว จึงตั้งใจจะออกเดินทางไปเมืองปาไซ่เพื่อตามหาสัตว์วิเศษทั้งสองของข้ากลับมาในวันนี้ ไม่ขอรบกวนต่อแล้ว”

เหยียนตี้ลืมตาขึ้นมามองนาง “เจ้าคิดจะไปแล้ว?”

น้ำเสียงเขาราบเรียบ บนใบหน้าปราศจากความรู้สึก ฉินโยวโยวรู้สึกร้อนตัวขึ้นมาภายใต้สายตาจับจ้องของเขา ทั้งที่เป็นคำถามธรรมดาประโยคเดียว แต่ก็ทำให้นางฟังแววค่อนขอดออกได้หลายส่วน คล้ายว่าความคิดความอ่านเล็กๆ ของนางถูกเขามองออกจนทะลุปรุโปร่ง

ต้องหลอนไปเองแน่ๆ จะต้องเป็นข้าคิดมากไปแน่ๆ!

ฉินโยวโยวพยักหน้า ท่องบทที่ตนเองเตรียมมาอย่างดีต่อ “ใช่แล้ว บุญคุณช่วยชีวิตของผู้มีพระคุณ ข้าจะจดจำใส่ใจ อนาคตหากมีโอกาสจะต้องตอบแทนอย่างดีแน่นอน”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่ฝืนใจรั้งไว้” เหยียนตี้ตอบรับได้ตรงไปตรงมายิ่งยวด เขาหันหน้าไปกล่าวกับเหลียงลิ่ง “ไปหยิบของที่นางนำติดตัวมาก่อนหน้านี้เถอะ”

ราบรื่นกว่าที่คาดคิดไว้เสียอีก!

ฉินโยวโยวดีใจเป็นล้นพ้น นางอดจะแอบเยาะหยันตนเองในใจไม่ได้ ข้าคิดมากเกินไปจริงๆ คนเขาไม่ได้คิดจะทำให้ข้าลำบากใจโดยสิ้นเชิง…ล้วนเป็นข้าเอาใจแคบๆ ไปประเมินคนอื่นเขา ระแวงจนกลัวไปเอง

เหลียงลิ่งหยิบห่อผ้าห่อหนึ่งมาในเวลาไม่นาน ด้านในนอกจากเสื้อผ้าที่ฉินโยวโยวใส่มาก่อนหน้านี้แล้วก็ยังมีอาวุธลับรวมถึงของจิปาถะอย่างหน้ากากและเงินทองทั้งหมดที่นางพกติดตัวอยู่ด้วย ไม่หายไปแม้แต่ชิ้นเดียว

ความคุยด้วยง่ายของเหยียนตี้ทำให้ฉินโยวโยวเกิดความรู้สึกผิดขึ้นหลายส่วน

นางลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะหยิบกล่องขนาดพกพาซึ่งทำจากเหล็กกล้าอันหนึ่งมายื่นไปตรงหน้าเหยียนตี้แล้วเอ่ยว่า “เจ้านี่คือของป้องกันตัวชิ้นน้อยที่อาจารย์มอบให้ข้า ชื่อว่า ‘กล่องพกจิ๋ว’ ด้านในสามารถใส่เข็มเหล็กกล้าได้ร้อยแปดเล่ม ขอเพียงดันตรงนี้เล็กน้อยก็จะมีเข็มพุ่งออกมาสามสิบหกเล่ม ภายในระยะหนึ่งจั้งสามารถแทงทะลุปราณคุ้มกายของยอดยุทธ์ขั้นเจ็ดได้ สามารถยิงได้ทั้งหมดสามครั้ง ขอเพียงใช้เข็มเล่มนี้เป็นแบบก็ให้ช่างธรรมดาทำเข็มเหล็กกล้าที่เหมาะสมออกมาได้แล้ว เอาเข็มแช่พวกยาสลบไว้ก็จะยิ่งได้ผลดีกว่าเดิม”

ฉินโยวโยวพูดพลางสาธิตให้ดูวิธีเปิดกล่องพกจิ๋วบรรจุเข็มเหล็กกล้าและวิธีขยับกลไกเพื่อยิง กล่องพกจิ๋วอันน้อยนี้มีขนาดเพียงเท่าฝ่ามือทารก บนผิวหน้ามีลวดลายงดงามหรูหราซับซ้อน ด้านหลังมีตะขอเกี่ยว ยามกลัดไว้บนสายรัดเอวก็ดูเหมือนเครื่องประดับงามแปลกตาชิ้นหนึ่ง ไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึงว่ามันจะเป็นอาวุธลับน่ากลัวที่สามารถเอาชีวิตคนได้ในพริบตา

ฉินโยวโยวสาธิตการใช้งานเสร็จก็เงยหน้าขึ้นกล่าวกับเหยียนตี้ “ผู้มีพระคุณมีตบะไม่ธรรมดา คิดว่าคงไม่ต้องใช้ของเล่นเล็กๆ พรรค์นี้หรอก ทว่านี่เป็นน้ำใจของข้า ขอท่านโปรดอย่าได้รังเกียจ”

กล่องพกจิ๋วนี้อันที่จริงฉินโยวโยวเป็นคนทำขึ้นเอง หากกล่าวถึงราคาแล้ว ทองหมื่นแผ่นก็ใช่จะแลกมาได้ ทว่านางไม่กล้าโอ้อวดตนเอง จึงได้แต่อ้างไปว่าได้มาจากอาจารย์ เหยียนตี้รับของขวัญชิ้นนี้ไว้ นางก็นับว่าได้ตอบแทนน้ำใจแล้ว

เหยียนตี้พยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรมากความอีก เพียงสั่งให้เหลียงลิ่งไปส่งฉินโยวโยวออกประตูไป

เหลียงลิ่งพาฉินโยวโยวมาส่งถึงหน้าประตูคฤหาสน์ เขาถอนหายใจก่อนประสานมือคำนับนาง แล้วหันหลังเดินกลับไปโถงรับแขกเพื่อรายงานภารกิจ

ภายในโถงรับแขก เหยียนตี้กำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่าง เขาจับกล่องพกจิ๋วที่ฉินโยวโยวให้มาด้วยท่าทางใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

เหลียงลิ่งก้าวมารายงาน “แม่นางฉินจากไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม” เหยียนตี้มองเหลียงลิ่งปราดหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “เจ้าอยากถามใช่หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงยอมให้นางจากไป”

เหลียงลิ่งพยักหน้าตอบว่าใช่ เขารู้สึกแปลกใจจริงๆ

“หากไม่ให้นางหนีสักสองสามครั้ง นางจะยอมจำนนต่อชะตากรรมที่ตนเองไม่มีทางหนีพ้นได้อย่างไร” เหยียนตี้เก็บกล่องพกจิ๋วเข้าอกเสื้อ

แค่กล่องพกจิ๋วอันน้อยอันเดียวก็คิดจะสลัดเขาทิ้งแล้วหรือ สาวน้อยนางนี้ช่างไร้เดียงสาเกินไปหน่อยแล้ว

สวรรค์ส่งนางมาถึงมือเขาเช่นนี้ เขาจะยังคลายมือปล่อยให้นางหนีจากไปจริงๆ ได้อย่างไร อีกไม่นานนางจะได้รู้ว่าสถานที่เดียวที่นางควรไปก็คือข้างกายของเขา!

เหลียงลิ่งฟังคำของเหยียนตี้แล้วก็อดจะเห็นใจฉินโยวโยวขึ้นมาไม่ได้ หวังว่านางจะเข้าใจความเป็นจริงได้โดยเร็ว มิเช่นนั้นฝีมือของนายท่านจะต้องทำให้นางลืมไม่ลงไปชั่วชีวิตแน่นอน

 

ก่อนฉินโยวโยวจากมา นางได้สอบถามเหลียงลิ่งแล้วว่าเมืองปากุยที่อยู่ในตอนนี้ห่างจากเมืองปาไซ่ไปเพียงยี่สิบหลี่ จากเมืองนี้ขอให้ตรงไปทางตะวันตกเรื่อยๆ ก็เป็นอันใช้ได้

นางออกมาจากคฤหาสน์ของเหยียนตี้แล้วก็เลี้ยวเข้าตรอกเล็กตรอกหนึ่ง จัดการปลอมตัวใหม่ทันที ปรากฏตัวออกมาอีกครั้งก็เปลี่ยนเป็นเด็กชายร่างผอมอ่อนแอตัวดำในเสื้อตัวสั้นแล้ว

นางแบกห่อผ้าเดินไปยังร้านเครื่องมือเย็บปักที่อยู่ในเมืองก่อน หลังกว้านซื้อเข็มเย็บผ้าที่หามาได้จนหมดแล้วก็เดินวนดูร้านตีเหล็กรอบหนึ่ง ซื้อคีมและตะไบเหล็กที่ดีที่สุดมา จากนั้นก็กลับไปหาโรงเตี๊ยมที่อยู่ใกล้กับคฤหาสน์ผู้มีพระคุณปีศาจเข้าพัก ปิดประตูลงมือทำบางอย่างเป็นครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็ตัดและฝนเข็มเย็บผ้าจนมีความหนาที่เหมาะสมและมีความยาวได้ที่ ใส่เข้าไปในกล่องกลไกบนตัวทีละเล่ม

อาวุธลับในตัวยามนี้กลับมีเพียงสองสามชิ้นที่ยังพอใช้ได้ อีกทั้งเมืองปากุยนี้ก็เล็กเกินไป เข็มเย็บผ้าที่หาซื้อได้จึงมีปริมาณจำกัด ยิ่งไม่มีวิธีปรุงยาที่เหมาะสมมาแช่เข็ม ยามเจอศัตรูจะใช้การได้มากน้อยเพียงไร ฉินโยวโยวเองก็ไม่แน่ใจ

ทว่ายามนี้นางก็ทำได้เพียงเท่านี้แล้ว หากมิใช่ ‘ผู้มีพระคุณ’ ท่านนั้นมีท่าทางประหลาด ไอสังหารรุนแรง นางก็ไม่อยากเสี่ยงจากมาจริงๆ หวังเพียงว่าพวกลูกน้องของเฟิงกุยอวิ๋นจะขี้ขลาดสักหน่อย อย่าเป็นพวกไม่ยอมถอดใจ พุ่งมาตามรังควานนางต่อถึงแคว้นเซียงเยวี่ยเลย

ฉินโยวโยวเตรียมพร้อมเสร็จสรรพก็พักค้างแรมในโรงเตี๊ยมหนึ่งคืน เช้ารุ่งขึ้นถึงค่อยไปทางเข้าออกเมืองด้านตะวันตก นางโบกเกวียนเทียมวัวที่ผ่านทาง จ่ายเหรียญสำริดไม่กี่เหรียญถือเป็นค่าเดินทางติดไปเมืองปาไซ่

เกวียนเทียมวัวแล่นโคลงเคลงออกจากเมืองปากุยมาได้ไม่นานเท่าไร ฉินโยวโยวก็รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาระลอกหนึ่ง

“สมควรตาย! คงไม่โชคร้ายถึงเพียงนั้นกระมัง” ฉินโยวโยวแตะหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ รู้ว่าอาจจะเผชิญกับความยุ่งยากแล้ว

นางแยกแยะคนไม่ได้มาแต่กำเนิด อีกทั้งยังดูไม่เอาไหนกับเรื่องราวส่วนใหญ่ ทว่าแต่ไรมาสังหรณ์ต่ออันตรายของนางนั้นแม่นยำว่องไวจนน่าตกใจ นางแทบจะแน่ใจแล้วว่าตนเองถูกคนจับจ้องอยู่

“ท่านลุง หยุดเกวียน! ข้านึกขึ้นได้ว่าลืมของบางอย่างไว้ที่เมืองปากุย ข้าจะกลับไปเอา ท่านเดินทางต่อไปเถอะ” ฉินโยวโยวไม่อยากทำให้คนบริสุทธิ์ต้องมาพลอยเดือดร้อนด้วย ยามเฟิงกุยอวิ๋นลงมือไม่เคยไว้ชีวิตใครอยู่แล้ว

“ข้าไม่รีบ ที่นี่ห่างจากเมืองปากุยไม่ไกลนัก เจ้านั่งเกวียนข้ากลับไปแล้วกัน” ชาวนาสูงวัยผู้บังคับเกวียนมีจิตใจเอื้อเฟื้อยิ่งยวด เขาหัวเราะร่วนพลางทำท่าจะบังคับวัวแก่ลากเกวียนให้หันหัวเลี้ยวกลับ

ฉินโยวโยวโบกมือส่ายหน้าห้ามเอาไว้ “ไม่ต้องแล้ว ไม่ต้องจริงๆ! ข้ากลับไปหยิบของแล้วต้องฟังเจ้านายบ่นอีก ไม่รู้ว่าจะออกเดินทางก่อนฟ้ามืดได้หรือไม่ ไหนเลยจะไม่ทำให้ท่านลุงเสียเวลา”

“เจ้าหนู ไม่ต้องเกรงใจ ข้าออกเดินทางวันพรุ่งนี้ก็ไม่เป็นไร” ชาวนาดึงดันทำตามใจตนเอง

ฉินโยวโยวอึ้งตะลึงไปแล้ว ขณะที่คนทั้งสองกำลังไม่ยอมถอยให้กันก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากป่าข้างทาง “โยวโยว เจ้ายังคงจิตใจดีเหมือนเดิม กลัวทำคนอื่นต้องเดือดร้อนไปด้วย”

พร้อมกับเสียงพูด คุณชายหน้าหยกในชุดสีขาวคนหนึ่งก็โบกพัดเดินทอดน่องออกมาจากเงาต้นไม้ คนชุดดำแปดคนล้อมเกวียนเทียมวัวของชาวนาไว้อย่างไร้สุ้มเสียง เยี่ยหรูเหนียนบุรุษหน้าแผลเป็นเองก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย

คุณชายผู้สุภาพหล่อเหลาที่ปรากฏตัวกะทันหันนี้ก็คือเฟิงกุยอวิ๋นที่ฉินโยวโยวหลบเลี่ยงยังแทบไม่ทัน

เหตุผลที่ฉินโยวโยวสามารถจำเขาได้ในแวบเดียวนั้นคงต้องยกความดีความชอบให้กับชุดที่ขาวจนแสบตาของเขา…เฟิงกุยอวิ๋นมีความยึดมั่นอันอธิบายสาเหตุไม่ได้ต่อชุดสีขาว ทุกครั้งที่ปรากฏตัวจึงล้วนเป็นสีขาวไปทั้งตัว

เหมือนจะไปงานศพอย่างไรอย่างนั้น ในใจฉินโยวโยวไม่เห็นดีเห็นงามอย่างยิ่ง

ฉินโยวโยวมองไปรอบๆ หนหนึ่ง ก่อนจะกระโดดลงจากเกวียนโดยไม่กล้าชักช้า ก่อนชี้ชาวนาพลางเอ่ยว่า “ข้าจะไปกับท่าน แต่ท่านต้องปล่อยเขาไป เขาไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”

เสียงของฉินโยวโยวพลันกลับมาใสกังวาน ฟังดูอ่อนหวานเฉกเช่นสาวน้อย ชาวนาที่ถูกคนชุดดำท่าทางเหมือนปีศาจร้ายเหล่านั้นทำเอาตกใจจนอึ้งงันไปหันมามองนางอย่างเหม่อลอย ลืมจะตอบสนองไปโดยสิ้นเชิง

“ตรงดี! ดื่มยาในขวดเสีย แล้วข้าจะปล่อยเขาไป” เฟิงกุยอวิ๋นหยิบขวดเล็กขวดหนึ่งจากในแขนเสื้อออกมาก่อนจะโยนมาบนเกวียน

ฉินโยวโยวขมวดคิ้วกล่าวว่า “ข้ากินลูกกลอนสลายพลังของท่านแล้ว ท่านยังมีอะไรต้องกังวลอีก” พูดพลางเป็นฝ่ายเดินไปหาเฟิงกุยอวิ๋นเอง

เฟิงกุยอวิ๋นใบหน้าเปลี่ยนสี เยี่ยหรูเหนียนที่อยู่ด้านข้างตวาดขึ้นว่า “หยุดเท้า! มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าตาแก่นี่ประเดี๋ยวนี้เลย!” เขาพูดพลางสะบัดมือหวดแส้ยาวออกไปม้วนตัวชาวนาไว้ แล้วลากอีกฝ่ายมาถึงข้างกาย

ฉินโยวโยวแอบนึกแค้นในใจ เฟิงกุยอวิ๋นผู้นี้ระวังตัวกับนางมากอย่างที่คิดจริงๆ อยากลอบจู่โจมเขามิใช่เรื่องง่ายเลย

เฟิงกุยอวิ๋นจ้องฉินโยวโยวพลางพูดยิ้มๆ “โยวโยว เมื่อวานเจ้าซื้อเข็มเย็บผ้าในเมืองไปตั้งมากถึงเพียงนั้น ข้าไม่อยากลิ้มรสชาติของการถูกเข็มแทงทะลุร่างหรอกนะ ดื่มยาในขวดเสียดีๆ จากนั้นพวกเราค่อยมาคุยกันก็ยังไม่สาย”

พวกเขาจับตามองนางตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่กลับรอจนนางออกจากเมืองค่อยลงมือ

ฉินโยวโยวกลอกลูกตาเล็กน้อย จู่ๆ นางก็กระทืบเท้าแล้วพูดอย่างใช้อารมณ์ “ข้าไม่ดื่ม! ใครจะไปรู้ว่านั่นเป็นของเลวร้ายอะไร ลูกกลอนสลายพลังของท่านทำเอาข้าเสียตบะไปหมด หากดื่มยาขวดนี้ลงไป ข้ากลายเป็นใบ้หูหนวกตาบอดขึ้นมาจะทำเช่นไร!”

บัดนี้นางแปลงโฉมแล้ว ภายนอกมีผิวดำ หน้าตาธรรมดาสามัญ หากแต่เสียงที่หวานใสรวมเข้ากับประกายที่ไหลเวียนในดวงตารูปเมล็ดซิ่ง* อันงดงามคู่นั้นแล้วก็ยังทำให้เฟิงกุยอวิ๋นที่เคยบังเอิญได้เห็นรูปโฉมจริงของนางจิตใจสั่นไหวไปชั่วขณะ

ในสมองเฟิงกุยอวิ๋นมีความคิดหนึ่งวาบผ่าน หากนางกลับคืนรูปโฉมเดิมแล้วทำตะบึงตะบอนใส่ข้าเช่นนี้ นั่นจะน่าหลงใหลสักเพียงใด!

ทว่าเฟิงกุยอวิ๋นเป็นคนใจเย็นมาแต่ไหนแต่ไร เพียงไม่นานความคิดเหลวไหลพวกนี้ก็ถูกกดลงไป เขากล่าวยิ้มๆ “ข้าจะหักใจทำร้ายเจ้าจนพิการได้อย่างไร อย่าได้ถ่วงเวลาอีกเลย”

เห็นนางลังเลไม่ขยับเสียที เยี่ยหรูเหนียนจึงใช้มีดสั้นกรีดไปบนแขนของชาวนา เลือดสดๆ พุ่งทะลัก ชาวนาที่ทั้งกลัวทั้งเจ็บพลันร้องโหยหวนออกมา

ฉินโยวโยวไม่มีทางเลือก อยู่ในสภาพเช่นตอนนี้ ต่อให้นางใช้แผนสาวงามก็ดูไม่ค่อยเข้าที

นางใช้มือหนึ่งเก็บขวดยาบนเกวียนขึ้นมาก่อนหันหน้าไปพูดกับเฟิงกุยอวิ๋นอย่างเคียดแค้น “ข้าดื่มยาแล้ว ท่านก็ต้องปล่อยท่านลุงท่านนี้ไปอย่างปลอดภัย หากกลับคำก็อย่าหวังว่าข้าจะทำอะไรให้ท่านเลย!”

เฟิงกุยอวิ๋นเหลือบมองชาวนาที่ร้องโหยหวนผู้นั้นปราดหนึ่ง ก่อนโบกพัดในมือพลางเอ่ยว่า “วางใจได้ ก็แค่คนบ้านนอกที่ไร้ความสลักสำคัญคนหนึ่ง ถ้าเจ้าเชื่อฟัง ข้าย่อมจะปล่อยคนไป”

ฉินโยวโยวดึงจุกขวดออก นางเงยหน้าแล้วดื่มยาในขวดรวดเดียวจนหมดต่อหน้าเฟิงกุยอวิ๋น จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งโยนขวดคืนกลับไป

จวบจนบัดนี้เฟิงกุยอวิ๋นยังคงรักษาระยะห่างกับฉินโยวโยวอย่างระมัดระวัง สองตาไม่ปล่อยให้ท่าทางหรือการเคลื่อนไหวใดๆ ของนางหลุดลอดไปแม้แต่นิดเดียว

ฉินโยวโยวร่างกายโงนเงน พลันกุมหน้าท้องแล้วทรุดลงกับพื้น “ท่าน…ท่านให้ข้าดื่มอะไร! ปวดยิ่งนัก…” สีหน้านางแทบจะซีดเผือดลงในชั่วพริบตา เลือดสดไหลจากมุมปาก

เฟิงกุยอวิ๋นใบหน้าเปลี่ยนสีในฉับพลัน แต่ไม่นานก็ยิ้มเย็นขึ้นมาอีก “โยวโยว เจ้าคิดจะหลอกข้าใช่หรือไม่ ที่ข้าให้เจ้าดื่มเป็นแค่ยาสลบเท่านั้น เจ้าหลอกข้าไม่ได้หรอก”

ฉินโยวโยวไม่ได้ตอบคำ ทั้งร่างนางสั่นไม่หยุด รูจมูก รูหูค่อยๆ มีเลือดไหลออกมา สีเลือดดูดำคล้ำผิดปกติ ชัดเจนว่าถูกพิษร้ายแรงเข้าแล้ว!

พรูด! ละอองเลือดพ่นออกจากปากฉินโยวโยว แล้วนางก็หงายหลังล้มลงกับพื้นทันที

เฟิงกุยอวิ๋นยิ้มไม่ออกในที่สุด อาการเลือดไหลออกเจ็ดทวารเช่นนี้ไม่มีทางเสแสร้งได้เป็นอันขาด ฉินโยวโยวมีความหมายต่อเขาอย่างมาก หากนางตายไปเช่นนี้…เขาไม่ลังเลอีก พุ่งตัวมาถึงข้างกายฉินโยวโยวก่อนอุ้มนางขึ้น ยื่นมือไปจับชีพจรตรงคอนาง

ชีพจรนางเต้นอ่อนและสับสนอย่างยิ่ง นางถูกพิษร้ายแรงจริงๆ!

ไฉนจึงเป็นเช่นนี้! ของที่เขาให้นางดื่มคือ ‘ผงเมามาย’ ที่เป็นแค่ยาสลบแท้ๆ หรือว่าก่อนหน้านี้นางจะกินยาอะไรที่มีฤทธิ์ขัดกับผงเมามายลงไป หรือจะเป็นยอดฝีมือแคว้นเซียงเยวี่ยผู้ลึกลับที่ช่วยนางไว้คนนั้นเล่นลูกไม้อะไรกับตัวนาง

ความคิดนับร้อยนับพันโฉบผ่านในใจเฟิงกุยอวิ๋น เขาพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้…

แม้คนที่ช่วยฉินโยวโยวไว้จะรู้ถึงค่าตัวที่แท้จริงของนาง แต่ต้องเคยเห็นรูปโฉมจริงของนางแล้วแน่นอน วันก่อนที่ท่าเรือถึงได้ลงมือสังหารทูตพิเศษขุนนางแคว้นตัวลี่อย่างโจ่งแจ้งเลือดเย็นเพื่อนางเช่นนั้น เห็นได้ว่าอีกฝ่ายให้ความสำคัญต่อนางอย่างยิ่งยวด แล้วจะตัดใจปล่อยนางจากมาตามลำพังในเช้าเมื่อวานได้อย่างไร

ระหว่างที่เขาตกใจระคนสงสัยอยู่นั้น ตรงหน้าก็มีแสงสีเงินวาบขึ้น เขาเพียงโบกพัดบังช่วงคอไว้ได้ทันอย่างฉิวเฉียด ก่อนรีบถอยกรูดไปเกือบจั้ง แต่น่าเสียดายที่ยังไม่อาจหลบพ้นได้ทั้งหมด บนตัวเจ็บปวดรวดร้าวเป็นระลอก ไม่รู้มีเข็มเงินแทงเข้ามาในตัวกี่เล่มกัน

หากเขามิได้มีตบะของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกที่มีการตอบสนองรวดเร็วกว่าคนธรรมดาเป็นร้อยเท่า การโจมตีในระยะใกล้เพียงนี้ก็คงทำให้ทั้งร่างเขาพรุนเป็นตะแกรงได้เลย จุดสำคัญของร่างกายเขาล้วนมีเกราะคุ้มกายป้องกันไว้ ทว่าฝ่ามือและแขนกลับมิอาจหลบเลี่ยงได้

หลังฉินโยวโยวที่เดิมทีแกล้งสลบอยู่ในอ้อมแขนเฟิงกุยอวิ๋นโจมตีสำเร็จ นางก็ลืมตาพลิกตัวกลิ้งหนีอย่างรวดเร็วราวกับบิน

แม้เฟิงกุยอวิ๋นจะโกรธอย่างที่สุด แต่เขายังคงอดกลั้นไม่ลงมือโจมตีนาง

เยี่ยหรูเหนียนเห็นเช่นนี้ก็โกรธเกรี้ยวเหลือประมาณ อยากจะบิดคอชาวนาให้หัก คนอื่นๆ เองก็อยากกรูกันเข้ามาด้วยเช่นกัน

แต่กลับได้ยินฉินโยวโยวตวาดลั่น “อย่าขยับ! ถ้าเขาตาย เจ้านายพวกเจ้าก็ต้องลงหลุมไปด้วย!”

คนชุดดำอย่างพวกเยี่ยหรูเหนียนเคยเข้าร่วมการตามจับฉินโยวโยวมาก่อน ล้วนจดจำกลอุบายประหลาดที่มีไม่หมดไม่สิ้นของนางได้ดี ครั้นถูกนางตวาดก็ถึงกับหยุดมือจริงๆ

ฉินโยวโยวจับเกวียนประคองตัวขึ้นมานั่งตัวตรง มองเฟิงกุยอวิ๋นพลางพูดอย่างเย็นเยียบ “ท่านคงไม่ได้คิดว่าที่ข้ากินพิษล่อท่านมาก็เพื่อจะลองใช้เข็มเย็บผ้าพื้นบ้านของเมืองปากุยกับตัวท่านหรอกนะ”

เฟิงกุยอวิ๋นขับลมปราณก่อนจะสะบัดแขน เข็มเย็บผ้าทุกเล่มที่แทงเข้าไปในร่างเขาก็ลอยกลับออกไปปักลงในกรวดหินดินทรายบนพื้น

เขามองเข็มเงินที่ดูไม่มีสิ่งใดผิดปกติปราดหนึ่ง ก่อนพูดเสียงเข้ม “บนเข็มของเจ้าคงไม่ใช่ยังมีพิษอีกหรอกนะ”

“หากไม่มี ข้าจะยอมสิ้นเปลืองแรงครั้งใหญ่ด้วยการแทงท่านหลายเข็มไปไย อีกประเดี๋ยวก็ต้องถูกท่านจับตัวไปอีกอยู่ดี ไยข้าต้องเปลืองแรงเช่นนั้น” ฉินโยวโยวแย้มยิ้มงามหยาดเยิ้ม ยกมือโยนยาลูกกลอนเม็ดเล็กเม็ดหนึ่งเข้าปาก จากนั้นก็เช็ดเลือดดำที่ออกจากปาก หู และจมูก

เมื่อครู่ฉินโยวโยวถูกพิษจริงๆ เพียงแต่นั่นเป็นพิษที่นางเตรียมมาเอง นางเห็นแล้วว่าเฟิงกุยอวิ๋นไม่มีทางตกหลุมพรางง่ายๆ แต่ก็ไม่มีทางตัดใจปล่อยให้นางตายไปเช่นกัน ดังนั้นถึงได้กล้าทำเช่นนี้

เวลาที่พิษนี้กำเริบจะน่ากลัวยิ่ง ทว่านับตั้งแต่พิษกำเริบจนถึงตายอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งก้านธูปเพียงพอให้นางลอบทำร้ายเฟิงกุยอวิ๋นจนเสร็จแล้วค่อยกินยาแก้เม็ดเมื่อครู่นี้ลงไป

ส่วนยาที่เฟิงกุยอวิ๋นบังคับให้นางดื่มนั้นฉินโยวโยวถือโอกาสตอนที่นางกระอักเลือดพ่นออกมาปนกับเลือดไปแล้ว ไม่มีทางไหลลงกระเพาะแม้แต่หยดเดียว

เฟิงกุยอวิ๋นไม่รู้สึกแม้แต่น้อยว่าร่างกายตนเองมีอาการถูกพิษ แต่ที่ฉินโยวโยวพูดมาก็ไม่ได้ไร้เหตุผลเสียทีเดียว เขาแค่นเสียงเย็นก่อนเอ่ยว่า “ถูกพิษก็ช่าง ขอเพียงเจ้าอยู่ในมือข้าก็ไม่ต้องห่วงว่าจะหายาแก้ไม่ได้”

“ในตัวข้าไม่มียาแก้ ตำรับยาแก้อยู่ในสมองข้า วันนี้ท่านไม่ปล่อยข้ากับท่านลุงท่านนั้นจากไปอย่างปลอดภัย ข้าก็ได้แต่ตายตกไปพร้อมกับท่านแล้ว แต่ข้าสามารถทำให้ท่านตายอย่างไร้ข้อข้องใจได้ พิษที่ท่านได้รับชื่อว่า ‘เที่ยงทะลุลำไส้’ เป็นพิษของยอดยุทธ์หมื่นพิษ ซึ่งอาจารย์ใช้ ‘ผีเสื้อมารฟ้า’ ไปแลกมา ไม่รู้ว่าท่านจะมีปัญญาไปขอยาแก้จากยอดยุทธ์หมื่นพิษหรือไม่”

ฉินโยวโยวยิ้มกว้างพลางกล่าวต่อ แม้สภาพร่างกายของนางจะอ่อนแอไร้ใดเทียม แต่กลับปิดแววสาแก่ใจในดวงตาไว้ไม่มิด “พิษชนิดนี้จะซ่อนอยู่ในร่างกายครึ่งเดือนถึงค่อยเริ่มกำเริบ ยามปกติจะดูเหมือนไม่มีอาการใดๆ แต่ครั้นถึงเที่ยงวันและเที่ยงคืน ความเจ็บปวดก็จะมารวมตัวกันที่จุดตันเถียนในฉับพลัน ทำให้คนปวดท้องดั่งถูกบิดลำไส้ แต่ละครั้งจะเป็นหนักขึ้นเรื่อยๆ จนแทบอยากควักลำไส้ออกมาให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าผู้ที่ถูกพิษชนิดนี้จะมิได้ตายเพราะพิษ แต่ล้วนเจ็บปวดจนตาย มีบ้างเหมือนกันที่แหวกหน้าท้องตนเองแล้วดึงลำไส้และอวัยวะภายในอื่นๆ ออกมาจนตาย”

วาจานั้นกล่าวออกมาได้น่าสะพรึงกลัวยิ่ง ต่อให้เป็นคนใจเย็นอย่างเฟิงกุยอวิ๋นก็ยังอดมีสีหน้าเขียวคล้ำไม่ได้

พวกเยี่ยหรูเหนียนร้อนรนกังวลใจตั้งแต่ได้ยินฉายายอดยุทธ์หมื่นพิษแล้ว ครั้นได้ยินฉินโยวโยวบรรยายเป็นฉากๆ อย่างน่าสยดสยองไร้ใดเทียมอีก พวกเขาก็ยิ่งมองหน้ากันเลิ่กลั่กไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่าม

เฟิงกุยอวิ๋นสองจิตสองใจ อาจารย์ของฉินโยวโยวมีสายสัมพันธ์อันดีกับยอดยุทธ์หมื่นพิษอยู่บ้างจริงๆ ยอดยุทธ์หมื่นพิษเองก็เคยสนใจอาวุธลับร้ายกาจอย่างผีเสื้อมารฟ้ามาก เขาไม่แน่ใจว่าฉินโยวโยวเพียงแค่ปั้นเรื่องขู่หรือเป็นเรื่องจริงกันแน่

บัดนี้สตรีตัวน้อยได้ถูกทำลายตบะไปหมดสิ้นแล้ว วันหน้ายังมีโอกาสให้จับนางอีกมาก ไม่คุ้มที่จะเอาชีวิตของตนเองมาเสี่ยง แต่ถ้าจะปล่อยนางจากไปทั้งอย่างนี้ เขาก็ไม่เต็มใจอย่างที่สุด

สองฝ่ายยังคงคุมเชิงกัน ตกอยู่ในสภาพไม่มีใครยอมถอยอีกครั้ง…

ฉินโยวโยวมีสีหน้าสงบเยือกเย็นมั่นใจในตนเองก็จริง ทว่าภายในใจนางนั้นร้อนรนจนแทบจะกระอักเลือดออกมาอีกครั้งแล้ว แม้นางจะกินยาแก้ได้ทันเวลา แต่พิษที่กินลงไปก่อนหน้านี้ยังคงสร้างความเสียหายให้แก่ร่างกายนางไม่น้อย หากยังมีตบะเหมือนเมื่อก่อน ย่อมไม่มีอะไรให้ต้องกลัว ทว่าบัดนี้นางสู้ไม่ได้แม้แต่สตรีอ่อนแอธรรมดาทั่วไป ขืนยังยื้อกันต่อไปเช่นนี้ ฝ่ายที่ทนไม่ไหวย่อมจะเป็นนางเอง

หากเฟิงกุยอวิ๋นคิดใคร่ครวญแล้วพบช่องโหว่อะไรขึ้นมา ไม่ยอมตกหลุมพรางของนาง เช่นนั้นก็ยิ่งแย่กว่าเดิม!

โชคดีที่เฟิงกุยอวิ๋นมิใช่พวกตัดสินใจชักช้า “ข้าปล่อยพวกเจ้าไปก็ได้ แต่ตำรับยาแก้เล่า”

ฉินโยวโยวลอบโล่งอก เบื้องหน้ายังคงกล่าวด้วยรอยยิ้มไม่เปลี่ยน “หลังข้าปลอดภัยแล้วย่อมจะให้คนส่งไปให้ท่านเอง ท่านก็แค่อยากจับตัวข้าเท่านั้นมิใช่หรือ ถ้าข้าฆ่าท่านตาย มีหรือสำนักเฟิ่งเสินจะไม่ตามล่าข้าอย่างไม่ตายไม่ยอมเลิกรา ข้าไม่โง่จนรนหาที่ตายให้ตนเองหรอก”

เฟิงกุยอวิ๋นมองฉินโยวโยวนิ่งอยู่ชั่วอึดใจหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ดี! ตกลงตามนี้ โยวโยว รักษาตัวให้ดี ไม่นานพวกเราจะได้พบกันอีกแน่”

ฉินโยวโยวถูกเฟิงกุยอวิ๋นมองจนหนังศีรษะชาหนึบ นางแอบแค่นเสียงในใจ คงต้องรอให้มีเคราะห์หนักสักแปดชาติถึงจะพบท่านอีกครั้ง!

เฟิงกุยอวิ๋นโบกมือ ก่อนนำคนชุดดำทั้งแปดคนหายลับไปกลางป่าข้างทางอย่างรวดเร็วราวกับบินเฉกเช่นยามมา

คนชุดดำหนึ่งในนั้นพูดขึ้นอย่างอดไม่ไหว “นายท่าน พวกเราจะปล่อยนางเด็กนั่นไปเช่นนี้จริงๆ หรือขอรับ!”

เฟิงกุยอวิ๋นเม้มปากไม่ตอบ

“เมื่อครู่มีคนอยู่บริเวณใกล้ๆ! เป็นยอดฝีมือที่เจอที่ท่าเรือเมื่อสองวันก่อน!” เยี่ยหรูเหนียนพูดเสียงเข้ม ยามเอ่ยถึงเหยียนตี้ เสียงเขาก็แหบแห้งขึ้นมาอย่างยากระงับ

เฟิงกุยอวิ๋นเองก็รู้สึกได้เช่นกันว่ามียอดฝีมือร้ายกาจลอบสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกล ถึงจำต้องปล่อยตัวคนไปโดยไม่ลังเล

ที่นี่อยู่ในอาณาเขตแคว้นเซียงเยวี่ย พวกเขาย่อมกระทำการได้ไม่สะดวกเท่ายามอยู่ที่แคว้นตัวลี่ อีกอย่างด้วยกำลังความสามารถของพวกเขาเก้าคนย่อมไม่มีปัญญาไปสู้ซึ่งหน้ากับยอดฝีมือลึกลับรวมถึงบรรดาลูกน้องของคนผู้นั้นที่เยี่ยหรูเหนียนพูดถึง

ถ้ามิใช่เพราะเหตุนี้ พวกเขาก็คงไม่อดทนรอให้ฉินโยวโยวไปจากเมืองปากุยแล้วค่อยลงมือหรอก

ฉินโยวโยวรู้สึกว่าตนเองปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงไปทั้งร่าง นางวิงเวียนศีรษะ แม้แต่แรงจะยืนขึ้นมาก็ยังไม่มี ชาวนาที่รอดตายมาได้ผู้นั้นยิ่งตกใจหนัก ได้แต่กุมแผลบนแขนนั่งตัวสั่นอยู่กับพื้น

นางนวดขมับ หยิบทองสองสามแผ่นจากในกระเป๋าเงินมาโยนไปตรงหน้าชาวนาก่อนเอ่ยว่า “ท่านลุง ทำให้ท่านตกใจซ้ำยังได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ท่านรับทองไว้แล้วรีบจากไปเถอะ”

ชาวนาเก็บทองขึ้นมาอย่างเซ่อซ่า มองฉินโยวโยวที่สภาพดูย่ำแย่อย่างที่สุดเล็กน้อย พอนึกถึงการคุ้มครองที่เมื่อครู่นี้นางมีต่อเขาก็แข็งใจจากไปทั้งอย่างนี้ไม่ลงอยู่บ้าง แต่ครั้นนึกถึงความโหดเหี้ยมของคนร้ายเหล่านั้นก็ให้หวาดกลัวเหลือประมาณ สุดท้ายก็ตะกายขึ้นเกวียนหนีไปอย่างรวดเร็วโดยไม่พูดอะไรสักคำ

เกวียนเทียมวัวยังจากไปได้ไม่ไกล ทางด้านหลังก็มีเสียงล้อรถและฝีเท้าม้าดังมาจากทิศทางของเมืองปากุย คนขี่ม้าสิบกว่าคนห้อมล้อมรถม้างามโอ่อ่าคันหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่หัวมุมถนนหลวง พริบตาเดียวก็มาหยุดลงเบื้องหน้าฉินโยวโยว

บุรุษชุดสีเขียวครามผู้หนึ่งเดินลงมาจากรถ ขมวดคิ้วมองฉินโยวโยวที่นั่งอยู่บนพื้นก่อนเอ่ยว่า “นี่มันเรื่องอะไร”

ฉินโยวโยวไม่หือไม่อือ นางเงยหน้ามองเขาเป็นครู่ใหญ่ จวบจนมองเห็นเหลียงลิ่งผู้มีผมขาวทั้งศีรษะเดินตามมาด้านหลังถึงได้แน่ใจในฐานะของเขาในที่สุด

โชคร้ายจริงๆ! นางเพิ่งบอกลาคนเขาเมื่อวันก่อน เพิ่งข้ามวันได้พบกันอีกนั้นก็ช่างเถอะ แต่เหตุใดต้องเป็นตอนที่นางอยู่ในสภาพตกยากดูทุลักทุเลเพียงนี้ด้วย

ยังดีที่ตอนนี้นางแปลงโฉมแล้ว เขาน่าจะจำนางไม่ได้

ฉินโยวโยวลอบนึกดีใจ แต่คิดดูอีกทีก็ท้อใจขึ้นมาอีก มิน่าเฟิงกุยอวิ๋นถึงได้จากไปอย่างไม่ลังเลเช่นนั้น คงเป็นเพราะรู้สึกได้ว่ามีบุรุษผู้นี้อยู่ด้านหลัง ตอนนี้นางมีสภาพเช่นนี้แล้ว หากเฟิงกุยอวิ๋นย้อนกลับมาเล่นงานอีกนางคงได้ตายอนาถแน่ ดูท่าการอาศัยพึ่งพิงผู้มีพระคุณท่านนี้น่าจะปลอดภัยกว่า

ไม่ว่าเขาเป็นปีศาจร้ายอะไรก็ไม่มีเวลาให้สนใจแล้ว ดีชั่วอย่างไรเขาก็ไม่มีเจตนาร้ายต่อนาง ความจริงได้เป็นเครื่องพิสูจน์แล้ว อย่างน้อยอยู่ข้างกายเขาชั่วคราวย่อมจะปลอดภัยกว่านางอยู่คนเดียว

อาจารย์เคยบอกว่า ‘อยู่ต่อหน้าเรื่องใหญ่อย่างความเป็นความตาย ศักดิ์ศรีหน้าตาอะไรล้วนแต่เป็นเรื่องเลื่อนลอยทั้งสิ้น’

“ผู้มีพระคุณ ข้าคือฉินโยวโยว รบกวนท่านช่วยข้าอีกสักครั้งได้หรือไม่” ฉินโยวโยวถามอย่างน่าสงสารเป็นหนักหนา

สาวน้อยนางนี้ช่างรู้การควรมิควรยิ่งนัก! ในใจเหยียนตี้มีความขบขันผุดขึ้นมา แต่ครั้นคิดถึงว่าเมื่อครู่ฉินโยวโยวจำเขาไม่ได้เป็นครู่ใหญ่ก็รู้สึกไม่ชอบใจอยู่บ้าง จึงจ้องนางเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร

ฉินโยวโยวถูกเขามองจนแทบจะเสแสร้งต่อไปไม่ได้แล้ว อาการตกค้างจากพิษก็ตีขึ้นมาระลอกแล้วระลอกเล่าจนนางทนต่อไปไม่ไหวกระอักเลือดสดๆ ออกมา บุรุษตรงหน้าตลอดจนทิวทัศน์รอบๆ เริ่มพร่าเลือนหมุนคว้าง

แขนอันอบอุ่นคู่หนึ่งพลันโอบรอบร่างของนางไว้ นางถูกอุ้มขึ้นตัวลอย เสียงอันราบเรียบเป็นทำนองเดียวของเหยียนตี้ดังขึ้นเหนือศีรษะ “เจ้ามีสภาพเช่นนี้จะให้คนจำได้อย่างไร”

นี่กำลังเหยียดหยันในคราวเคราะห์จนมีสภาพตกอับของนางหรือกำลังชมว่าวิชาแปลงโฉมของนางร้ายกาจกันแน่ ฉินโยวโยวสติพร่าเลือน นางรู้สึกเพียงว่าอ้อมอกที่ตนแอบอิงอยู่นั้นอบอุ่นและสบายอย่างยิ่ง ถึงกับลืมไปชั่วขณะว่าตนเองถูกบุรุษอุ้มต่อหน้าธารกำนัล

เพียงไม่นานฉินโยวโยวก็ถูกอุ้มขึ้นรถม้า ภายในรถรองด้วยฟูกหนา ยังมีหมอนอิงอ่อนนุ่มอวบอ้วนอีกจำนวนมาก พอร่างฉินโยวโยวจมอยู่ท่ามกลางพวกมันแล้วก็เหมือนได้พ้นนรกขึ้นสวรรค์ในเวลาเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว ทำให้นางไม่อยากขยับเขยื้อนโดยสิ้นเชิง

ความรู้สึกอบอุ่นแผ่มาจากหน้าอก ฉินโยวโยวหรี่ตาด้วยความสบายจนแทบอยากระบายลมหายใจออกมา

ทว่า…หน้าอก?!

นางลืมตาขึ้นทันที มองเห็นฝ่ามือข้างหนึ่งของเหยียนตี้กำลังทาบที่หน้าอกของนางอยู่จริงๆ! มืออีกข้างก็ ‘บังเอิญ’ โอบนางไว้ในอ้อมแขนพอดิบพอดี

นะ…นะ…นี่มันอะไรกัน! ฉินโยวโยวอ้าปากพะงาบอยากจะปัดกรงเล็บหมาป่าข้างนั้นของเขาที่เอาเปรียบนางอย่างโจ่งแจ้งให้พ้นตัว รวมถึงประณามท่าทางลามกของเขาอย่างจริงจัง

แต่ครั้นสายตามองเห็นใบหน้าปราศจากอารมณ์ของเหยียนตี้ นางก็หยุดความคิดนั้นทันที คนเขากำลังรักษาอาการบาดเจ็บให้นางอย่างซื่อตรง ไม่ได้มีความคิดจะลวนลามนางเลยสักนิดกระมัง มีคำกล่าวว่าผู้เป็นหมอมีใจดั่งบุพการี สำหรับปัญหาสำคัญถึงชีวิตอย่างการรักษาอาการบาดเจ็บนี้ไม่สมควรห่วงเรื่องชายหญิงมีความแตกต่าง

ใช่นางคิดมากไปอีกแล้วหรือไม่ ผู้อื่นช่วยนางด้วยความหวังดี แต่นางกลับกล่าวหาว่าคนเขาเป็นหมาป่าราคะ นี่จะไม่รู้ดีรู้ชั่วเกินไปแล้ว!

“รู้สึกอย่างไรบ้าง” เหยียนตี้ทำเป็นถามอย่างห่วงใย

“หา? อ้อ…ดีขึ้นมากแล้ว” ถ้าท่านเลื่อนมือของท่านไปรักษาตรงตำแหน่งอื่น ข้าจะยิ่งดีกว่านี้อีก! ในใจฉินโยวโยวทั้งเจ็บใจทั้งจนใจ

เหยียนตี้มองดูดวงตาที่มีประกายระยิบระยับคู่นั้นของฉินโยวโยว รู้แก่ใจดีว่านางทั้งขุ่นเคืองทั้งเขินอายและกระอักกระอ่วน แต่เขากลับทำเป็นมองไม่เห็น ผ่านไปครู่ใหญ่ หลังดื่มด่ำกับสัมผัสอ่อนนุ่มน่าหลงใหลใต้ฝ่ามือพอแล้ว เขาถึงได้เก็บฝ่ามือกลับมาอย่างอาลัยอาวรณ์ ทว่ากลับมิได้คลายมืออีกข้างที่กอดคนงามเอาไว้

จู่ๆ เขาก็อยากเห็นรูปโฉมน่าพึงใจของนางหลังลบเครื่องแปลงโฉมออกยิ่งนัก

“เหลียงลิ่ง” เหยียนตี้พลันเอ่ยปากเรียก

ประตูรถม้าถูกดึงเปิดรับเสียงเรียก เหลียงลิ่งประคองอ่างทองแดงที่บรรจุน้ำสะอาดไว้จนเต็มมาส่งให้ถึงในรถด้วยตนเอง เหยียนตี้หยิบผ้าสะอาดชุบน้ำจะเช็ดเครื่องแปลงโฉมบนใบหน้าฉินโยวโยวออกให้ด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติยิ่งยวด

นายท่านปรนนิบัติสตรีล้างหน้าด้วยตนเอง?!

ลูกตาเหลียงลิ่งแทบจะถลนออกมา เขาถดตัวกลับไปด้วยความว่องไวพร้อมกับปิดประตูรถม้าอย่างไร้สุ้มเสียง

คราวนี้ฉินโยวโยวทนไม่ไหวในที่สุด นางยื่นมือไปห้ามเหยียนตี้พลางเอ่ยว่า “ข้าทำเองได้!”

“เจ้ามีแรง?” เหยียนตี้ขมวดคิ้ว

“มี!” ฉินโยวโยวไม่พูดพร่ำทำเพลง แย่งผ้าในมือเขามาเช็ดใบหน้าตนเองจนสะอาดเกลี้ยงเกลาอย่างรวดเร็ว

ครั้นก้มหน้ามอง ไม่เพียงผ้าผืนนั้นจะสกปรกจนมองไม่เห็นสีเดิม กระทั่งน้ำในอ่างทองแดงยังกลายเป็นสีเหมือนดินโคลนไปแล้ว

พอได้เช็ดหน้าแล้วก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นเล็กน้อย ทีนี้ฉินโยวโยวถึงได้มองเห็นชัดว่าของที่รองอยู่ใต้ร่างมิใช่ฟูกธรรมดา แต่เป็นหนังสัตว์สีขาวสะอาดผืนหนึ่ง น่าเสียดายที่ตอนนี้ได้ถูกขี้ฝุ่นขี้ดินบนร่างนางทำเปรอะเปื้อนเป็นดวงใหญ่หลายดวงแล้ว

“โชคดีที่วันนี้ผู้มีพระคุณผ่านทางมา ถึงทำให้โจรตกใจหนีไป มิเช่นนั้นข้าต้องประสบเหตุร้ายแน่แล้ว” ฉินโยวโยวรวบรวมสมาธิ พยายามประจบเอาใจเขาคลายความกระอักกระอ่วนทันที ทางหนึ่งก็แสร้งบิดตัวคล้ายไม่ตั้งใจ บอกเป็นนัยให้เหยียนตี้เก็บมือที่โอบนางอยู่กลับไปได้แล้ว

“อืม” เหยียนตี้ยังคงสีหน้าไร้อารมณ์ กระนั้นก็เมตตาด้วยการเก็บมือพลางขยับถอยหลังเล็กน้อย เว้นระยะห่างกับฉินโยวโยวในที่สุด

“ผู้มีพระคุณตั้งใจจะไปที่ใดหรือ” ฉินโยวโยวเอ่ยปากถามด้วยความโล่งอก

“เมือง…ปา…ไซ่” เหยียนตี้เปล่งคำทั้งสามพยางค์ออกมาอย่างเชื่องช้า

ฉินโยวโยวอึ้งไป นางแทบกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง สงสัยอย่างมากว่าเจ้าคนผู้นี้ใช้กำลังจงใจยั่วโมโหนางเพื่อแก้เผ็ดที่ก่อนหน้านี้นางยืนกรานขอตัวจากมาหรือไม่

นับว่านางตรากตรำทำให้ตนเองบาดเจ็บโดยเสียเปล่า ทั้งแปลงโฉมทั้งกินยาพิษ ซ้ำยังหวิดจะตกอยู่ในเงื้อมมือเฟิงกุยอวิ๋น ผลคือคนเขาจะไปที่เดียวกับนางอยู่แล้ว ขอแค่นางติดตามไปด้วยอย่างว่าง่ายก็จะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น…

ฉินโยวโยวมีความขุ่นเคืองอัดแน่นเต็มท้อง แต่กลับพูดอะไรไม่ออก ในใจนางทั้งโมโหทั้งแค้นใจ สะบัดหน้าหนีไปนั่งกอดเข่าเป็นก้อนกลมโดยไม่พูดอะไรอีก ถึงอย่างไรสภาพเคราะห์ร้ายทุลักทุเลของนางก็ถูกผู้มีพระคุณท่านนี้เห็นจนหมดแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องใส่ใจหน้าตาของตนเองอีก

อารมณ์ร้ายไม่เบานี่ เหยียนตี้มองดูฉินโยวโยวที่ทำท่าทางเหมือนสัตว์บาดเจ็บหลบซ่อนตัวไม่สนใจคน เขาทั้งขบขันทั้งใจอ่อนอยู่บ้าง มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าเขาขีดเส้นให้ความใจอ่อนเป็นอารมณ์ของอิสตรี เขาไม่ได้รู้สึกใจอ่อนมากี่ปีแล้วก็ไม่รู้

“ข้าจะไปเมืองปาไซ่ เจ้าไม่พอใจ?” เหยียนตี้ถามอย่างไม่รีบไม่ร้อน

“พอใจสิ พอใจจะแย่แล้ว” ฉินโยวโยวตอบงึมงำ

“เดิมทีคิดว่าไปทางเดียวกับเจ้าพอดี คิดไม่ถึงว่าเจ้ากลับรีบร้อนจากไป”

ก็ได้ ล้วนเป็นความผิดของข้าเอง! ฉินโยวโยวอึดอัดคับข้องใจถึงที่สุด แม้แต่จะแค่นเสียงยังไม่อยากทำ

“คนที่ต้องการเล่นงานเจ้าเป็นผู้ใด” เหยียนตี้ถามต่อ

น้ำเสียงเขาเคร่งเครียดเหลือเกิน ฉินโยวโยวตระหนักขึ้นได้ว่าตอนนี้ตนเองต้องขอให้ผู้อื่นคุ้มครอง ไม่มีสิทธิ์จะใช้อารมณ์เยี่ยงคุณหนู อีกทั้งหากว่ากันตามจริง เหยียนตี้ได้ช่วยนางมาสองครั้งแล้ว ย่อมมีสิทธิ์จะรู้ว่าคนที่กัดนางไม่ปล่อยเป็นผู้ใด

“สำนักเฟิ่งเสินแห่งแคว้นตัวลี่ ท่านคงเคยได้ยินชื่อกระมัง ผู้ที่ต้องการเล่นงานข้าคือเมธาจารย์ซวี่กวงแห่งสำนักเฟิ่งเสิน เมื่อก่อนอาจารย์ข้าเคยล่วงเกินคนของสำนักนั้น บัดนี้เขาหายตัวไป คนของสำนักเฟิ่งเสินจึงคิดจะจับตัวข้ากลับไปเพื่อบีบให้อาจารย์ข้าปรากฏตัว” ฉินโยวโยวเลือกพูดความจริงแค่บางส่วน

“อาจารย์เจ้าคือผู้ใด” เหยียนตี้ยังซักไม่เลิก คำถามมุ่งตรงประเด็นสำคัญ

สำนักเฟิ่งเสินเป็นสำนักประจำแคว้นตัวลี่ ในสำนักมียอดฝีมืออยู่มากมาย เจียงหรูเลี่ยนผู้เป็นเจ้าสำนักมีศิษย์เอกอยู่สามคน ล้วนได้รับการยกย่องเป็น ‘เมธาจารย์’ เมธาจารย์ซวี่กวงก็คือศิษย์คนเล็กสุดของเจียงหรูเลี่ยน ขณะเดียวกันก็เป็นองค์ชายเจ็ดของผู้ครองแคว้นตัวลี่ด้วย

หากมิได้มีฐานะเช่นนี้ เฟิงกุยอวิ๋นลูกสมุนเขาก็ไม่มีทางสั่งกองทหารแคว้นตัวลี่ให้ไล่ต้อนดักทางฉินโยวโยวได้อย่างง่ายดาย

ผู้ที่สามารถทำให้เมธาจารย์ซวี่กวงเปลืองสมองจดจำด้วยตนเองได้จะต้องไม่ใช่บุคคลธรรมดาอย่างแน่นอน

ฉินโยวโยวหลีกเลี่ยงต่อไม่ได้แล้วจึงได้แต่แสร้งทำท่าทางโง่งมน่าสงสาร “ไม่บอกได้หรือไม่ อาจารย์ไม่อนุญาตให้ข้าบอกผู้อื่น”

“ได้ แต่เจ้าคิดว่าไม่บอกแล้ว ผู้อื่นก็จะไม่รู้อย่างนั้นหรือ” เหยียนตี้มีหรือจะยอมถูกบอกปัดได้ง่ายๆ เขายื่นมือมาลูบศีรษะฉินโยวโยวประหนึ่งหยอกเย้าลูกแมวลูกสุนัข ก่อนเอ่ยว่า “ไฉนศิษย์ของมือเทพเนรมิตฉีเทียนเล่อจึงไม่ได้เรื่องเพียงนี้”

กิริยาท่าทางเหยียนตี้ราบรื่นเป็นธรรมชาติเกินไป ฉินโยวโยวถูกคนเอาเปรียบเช่นนี้ ยามที่คิดจะทักท้วงก็ได้ยินเขาเปิดโปงฐานะของนางออกมาเสียก่อน ทำนางตกใจเบิกตากว้าง ย้อนถามอย่างระแวดระวัง “มือเทพเนรมิตอะไรกัน”

“เจ้าทึ่มถึงเพียงนี้ อาจารย์เจ้าจะวางใจให้เจ้าออกมาข้างนอกได้อย่างไรกัน” ขณะที่พูดเหยียนตี้ยังคงใบหน้าไร้ความรู้สึกเช่นเดิม แต่ดูแล้วกลับเคร่งขรึมจริงจังเป็นพิเศษ เป็นความเคร่งขรึมจริงจังที่เพียงพอจะทำให้ฉินโยวโยวโมโหตายได้

“ท่านสิทึ่ม!” ถ้อยคำที่ไม่ผ่านสมองพลันหลุดออกจากปากฉินโยวโยวด้วยความโมโห ด่าจบแล้วถึงได้พบว่าตนเองพูดอะไรโง่เขลาอีกแล้ว…นางต้องการจะเอาใจปีศาจร้ายตนนี้แท้ๆ ไฉนเพียงแค่ถูกคนเขายั่วยุขู่ขวัญมาเล็กน้อยนางก็ขาดสติในการควบคุมตนเอง ถึงขั้นพูดจาไม่ยั้งคิดออกมาแล้ว

“ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดเรื่องอะไร” ฉินโยวโยวตัดสินใจว่าต่อจากนี้ไม่ว่าเหยียนตี้พูดอะไรนางก็จะเงียบเอาไว้ให้ได้ นางอยากร้องขอลงรถแล้วเดินไปเองอย่างมีศักดิ์ศรียิ่งนัก ทว่าร่างกายกลับไม่ให้ความร่วมมือ

ที่นี่อยู่ห่างจากเมืองปาไซ่ไปอีกอย่างน้อยสิบหลี่ ด้วยสภาพในตอนนี้ของนางยังไม่รู้เลยว่าแค่สองหลี่จะทนเดินไหวหรือไม่ ซ้ำนี่ยังอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าเฟิงกุยอวิ๋นต้องไม่วกกลับมาหาเรื่องนางด้วย

สาวน้อยนางนี้ถูกอาจารย์นางตามใจจนเสียนิสัยแล้ว เหยียนตี้ลอบส่ายหน้า ฉลาดนั้นก็ฉลาดอยู่ แต่ด้วยอายุที่ยังน้อย ทำให้มีประสบการณ์ไม่มากพอ ยังควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้

“ไม่มีใครบอกเจ้าหรือว่าพวกอาวุธลับในตัวเจ้ามีค่ามากเพียงไร ต่อให้เป็นเชื้อพระวงศ์พ่อค้าใหญ่ก็ไม่มีทางพกครั้งละหลายสิบชิ้นเที่ยวเดินไปทั่ว” เหยียนตี้ยกนิ้วหนึ่งชี้ปลายจมูกฉินโยวโยวก่อนพูดต่อ “ยิ่งไม่มีทางหยิบออกมาให้คนอื่นส่งเดช”

ข้ามิใช่เจตนาดีอยากตอบแทนบุญคุณช่วยชีวิตของท่านหรือไร ฉินโยวโยวแอบเถียงในใจ ทว่ายังคงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

เหยียนตี้เองก็ไม่ใส่ใจต่ออาการตอบสนองของฉินโยวโยว “ผู้ที่ได้รับอาวุธลับที่มาจากฝีมือมือเทพเนรมิตคงไม่มีใครไม่ทะนุถนอมให้ความสำคัญปานสมบัติสุดล้ำค่าแน่ เกรงว่าต้องไปหาช่างฝีมือที่ดีที่สุดมาทำอาวุธลับอย่างเช่นเข็มบินที่เข้ากันอย่างบรรจงตั้งใจ กลัวว่าจะใช้ไม่ระวังจนทำชิ้นส่วนกลไกเสียหาย ไม่มีทางซื้อเข็มเย็บผ้าพื้นบ้านในเมืองเล็กๆ แถบชายแดนมาบรรจุเข้าไปข้างในอย่างส่งเดชเป็นอันขาด”

เข็มเย็บผ้าพื้นบ้าน? ไฉนคำพูดนี้จึงฟังดูคุ้นหูอยู่บ้าง

ฉินโยวโยวทนไม่ไหวในที่สุด “เมื่อครู่ตอนที่เฟิงกุยอวิ๋นเล่นงานข้า ท่านแอบดูอยู่ข้างๆ โดยตลอด?” นางโมโหแล้วจริงๆ ยามที่ตัวสารเลวนี่มองเห็นนางเคราะห์ร้ายคงรู้สึกสาแก่ใจมากกระมัง

เหยียนตี้พยักหน้า ไม่มีสีหน้าท่าทางละอายใจหรือเคอะเขินแม้แต่กระผีกเดียว

เขามองเห็นฉินโยวโยวถูกพิษกับตาตนเอง จิตใจเขาถึงกับหลุดการควบคุมไปชั่วขณะ ถึงได้ทำให้เฟิงกุยอวิ๋นรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา

“บอกว่าเจ้าทึ่ม ที่จริงเจ้าก็ยังไม่ทึ่มจนถึงที่สุดนี่ ว่าแต่…เฟิงกุยอวิ๋นถูกพิษจริงๆ?”

ฉินโยวโยวสูดหายใจเข้าลึกหลายรอบกว่าจะฝืนสะกดกลั้นเพลิงโทสะได้ ตอนนี้ยังมิใช่เวลามาโกรธกับตัวสารเลวนี่ ต้องอดทน!

“เปล่า ข้าแค่ขู่เขา” ฉินโยวโยวตอบเสียงอู้อี้

“ข้าก็คิดเช่นนั้น หากเจ้ามีพิษเที่ยงทะลุลำไส้อะไรนั่นจริงๆ ยามนี้จะต้องอยากใช้กับข้าแน่นอน” เหยียนตี้เปลี่ยนมานั่งพิงผนังรถด้วยท่าทางสบายๆ

“ผู้มีพระคุณกล่าวหนักเกินไปแล้ว ข้าจะทำเรื่องเนรคุณพรรค์นั้นได้อย่างไร” สีหน้าท่าทางฉินโยวโยวดูจริงใจทั้งยังบริสุทธิ์ไร้ความคิดชั่วร้าย แต่ในใจกลับนึกด้วยความเข่นเขี้ยว ท่านช่างรู้ตัวดีเสียจริง!

“อาจารย์เจ้ามี ‘ผีเสื้อมารฟ้า’ ทั้งยังมีสายสัมพันธ์อันดีกับยอดยุทธ์หมื่นพิษ หากมิใช่มือเทพเนรมิตแล้วจะเป็นผู้ใด” คำพูดของเหยียนตี้ลอยมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

ฉินโยวโยวปิดปากสนิท ไม่พูดอะไรอีก

ดูเหมือนนางจะทึ่มอยู่บ้างจริงๆ…ไม่ถูกสิ! เป็นศัตรูที่แข็งแกร่งเกินไป เจ้าเล่ห์เกินไปต่างหาก

“กินยาลูกกลอนเม็ดนี้เสีย มันดีต่ออาการบาดเจ็บจากพิษของเจ้า” เหยียนตี้ล้วงขวดเล็กขวดหนึ่งจากในอกเสื้อออกมายื่นไปตรงหน้าฉินโยวโยว

จะให้นางกินยาอีกแล้ว?! ยามนี้ฉินโยวโยวกำลังสงสัยในเจตนาที่เหยียนตี้ช่วยนางไว้อย่างมาก ไหนเลยจะยอมกินยาลูกกลอนที่เขาให้ส่งเดช นางออกแรงกระเถิบตัวหนีไปไกลกว่าเดิม ก่อนพูดด้วยรอยยิ้มแห้งๆ “ผู้มีพระคุณช่วยข้าไว้ก็เป็นบุญคุณอันใหญ่หลวงแล้ว จะให้ท่านต้องสิ้นเปลืองโอสถวิเศษอีกได้อย่างไร”

เหยียนตี้มองฉินโยวโยวนิ่งในชั่วอึดใจหนึ่ง นางรู้ดีว่าคำพูดตนเองโน้มน้าวเขาไม่ได้ ยามตกอยู่ภายใต้สายตาอันรู้แจ้งของเขานางก็งุ่นง่านร้อนตัวขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ จึงก้มหน้าแสร้งตายเสียเลย

มือที่จับขวดยาของเหยียนตี้ค่อยๆ เก็บกลับไป ขณะที่ฉินโยวโยวคิดว่าตนบิดพลิ้วสำเร็จ จู่ๆ คางของนางก็ถูกฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งเชยขึ้น ด้วยความตกใจปากนางจึงอ้าน้อยๆ ยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งก็ลอยเข้ามาในปาก ชนเข้ากับลำคอนางอย่างแม่นยำ

ฉินโยวโยวกลืนน้ำลายโดยไม่ตั้งใจ ยาเม็ดนั้นก็ถูกกลืนลงท้องไปพร้อมกับน้ำลายด้วย

“ท่าน!…ท่าน!…ท่าน!” ฉินโยวโยวทั้งตกใจทั้งโมโห มือหนึ่งชี้เหยียนตี้ คิดจะด่าคน

เหยียนตี้กุมนิ้วนางไว้พลางพูดเสียงเย็นเยียบ “ต่อต้านไปก็ไม่มีความหมาย หากข้าต้องการทำร้ายเจ้าจริง ไม่เห็นต้องเปลืองโอสถวิเศษเลย”

เขาพูดได้มีเหตุผลยิ่ง ตอนนี้ฉินโยวโยวก็อยู่ในกำมือเขาแล้ว เขาจะฆ่าเมื่อไรก็ย่อมได้ ไม่จำเป็นต้องหลอกให้นางกินยาให้ยุ่งยาก

ฉินโยวโยวอับอายจนกลายเป็นความโกรธ นางออกแรงเก็บมือตนเองกลับมา ก่อนไปนั่งขดตัวโมโหไม่ยอมพูดอะไรอยู่ตรงมุมรถม้า

ยาลูกกลอนเม็ดนั้นเป็นโอสถวิเศษที่มีฤทธิ์รักษาอาการบาดเจ็บจากพิษจริงๆ ความรู้สึกวิงเวียนตาลายอ่อนแรงปวกเปียกของฉินโยวโยวค่อยๆ คลายลง โทสะในใจนางก็คลายลงบ้างแล้วเช่นกัน

ตัวสารเลวนี่น่าจะอยากรักษาอาการบาดเจ็บให้นางจริงๆ แม้ว่าท่าทีของเขาจะชวนให้คนหมั่นไส้ยิ่งก็ตาม…ยิ่งเวลาผ่านไปหนังตาก็ดูเหมือนจะยิ่งหนัก ฉินโยวโยวสะบัดศีรษะ ในที่สุดนางก็ต้านทานความง่วงที่ถาโถมมาไม่ไหว ค่อยๆ ล้มลงบนฟูกหนา หลับอุตุไป

เหยียนตี้ปัดลูกผมข้างกรอบหน้านางออกเบาๆ ก่อนยื่นนิ้วเคาะผนังรถ สั่งเหลียงลิ่งที่ด้านนอกเสียงเย็น “ช้าหน่อย”

รอนางหลับจนเต็มตื่นแล้ว พิษในร่างกายก็น่าจะถูกขจัดออกไปสิ้น

“พ่ะย่ะค่ะ!” เหลียงลิ่งขานรับ เพียงไม่นานรถม้าก็แล่นช้าลง ทั้งยังเลือกวิ่งไปบนทางที่ค่อนข้างเรียบเพื่อลดแรงกระเทือน

ฉินโยวโยวนอนหลับสนิทยิ่ง ตื่นมาอีกทีท้องฟ้านอกหน้าต่างก็กลายเป็นสีแดง บ่งบอกว่าเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ร่างกายนางเบาสบายขึ้นมาก นอกจากท้องหิวอยู่บ้างแล้วก็ไม่รู้สึกไม่สบายตรงที่ใดอีก

ห้องที่นางนอนคราวนี้ยังคงหรูหราโอ่อ่าเช่นเดิม สาวใช้สองคนที่เฝ้าอยู่นอกประตูเมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวข้างในก็รีบเข้ามาปรนนิบัติ ทั้งส่งเสื้อผ้าและเตรียมน้ำร้อนให้ฉินโยวโยวอาบ นอบน้อมเอาใจใส่อย่างที่สุด ทว่าปากยังปิดสนิทมิต่างจากเปลือกหอยกาบ ถามไปสิบก็ไม่รู้เสียเก้า

ฉินโยวโยวเห็นเหยียนตี้คาดเดาฐานะของนางได้แล้วก็ยิ่งแน่ใจว่าเขามีเจตนาบางอย่างต่อนาง นางจึงสำราญกับการรับรองของเขาอย่างสบายอกสบายใจ

คราวนี้เหยียนตี้ไม่ได้ให้ฉินโยวโยวไปกินอาหารเย็นเป็นเพื่อนเขาอีก เพียงแค่สั่งให้คนส่งอาหารมาถึงห้องนาง เหลียงลิ่งเห็นไม่มีงานอะไรแล้วจึงมาด้วยตนเอง

บางเรื่องนายท่านคงไม่มีทางพูด แต่เขากลับรู้สึกว่ามีความจำเป็นที่ต้องบอกให้ฉินโยวโยวทราบอย่างมาก

ฉินโยวโยวเห็นว่ามีคนมาส่งอาหารให้ก็แอบโล่งใจ ยามนี้นางกลัวการเผชิญหน้ากับเหยียนตี้อยู่บ้าง ก่อนหน้านี้ก็กลัวเขาอยู่เล็กน้อยเช่นกัน ทว่าที่มากกว่านั้นคือนางรู้สึกว่าท่าทางและใบหน้าเรียบตึงอันไร้อารมณ์ของเขาช่างขู่ขวัญคนยิ่ง อันที่จริงหากชินแล้วก็คงไม่มีอะไร

ตอนนี้แม้จะเริ่มชินแล้วแต่ก็ยังสงสัยว่าเขามีเจตนามิดีมิร้ายอันใด ไม่รู้ว่าต่อไปจะจัดการกับนางเช่นไรกันแน่ เรื่องนี้เกี่ยวข้องถึงความปลอดภัยของนางอย่างแท้จริงแล้ว

เหลียงลิ่งสั่งให้สาวใช้วางอาหารบนโต๊ะ ก่อนหันหน้ามากล่าวกับฉินโยวโยวอย่างอ่อนโยน “ตอนนี้ร่างกายแม่นางฉินดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง”

เป็นครั้งแรกที่เหลียงลิ่งกล่าววาจาต่อหน้าฉินโยวโยวจนครบประโยค นางเองก็เคยติดตามอาจารย์ไปมาหาสู่กับคนในวังหลวง พอได้ยินเสียงอีกฝ่ายก็ตระหนักได้ว่าชายชราผมขาวไร้หนวดเคราผู้นี้ที่แท้ก็เป็นขันที!

ทว่านางตะลึงไปเพียงชั่วครู่ก็กลับมาเป็นปกติ “ดีขึ้นมากแล้ว ต้องขอบคุณยาจากเจ้านายของท่านด้วย”

มีขันทีรับใช้อยู่ข้างกายเช่นนี้ มีความเป็นไปได้เกินเก้าส่วนที่ผู้มีพระคุณจะเป็นเชื้อพระวงศ์ ฉินโยวโยวอดจะกลุ้มใจไม่ได้ นางมีดวงขัดกับเชื้อพระวงศ์ในใต้หล้าใช่หรือไม่ เพิ่งจะมีเรื่องกับคนผู้นั้นของแคว้นตัวลี่ไป หันกลับมาก็เจอคนผู้นี้จากแคว้นเซียงเยวี่ยอีก

เหลียงลิ่งมองเห็นท่าทีของนางอยู่ในสายตา ในใจแอบเกิดความรู้สึกดีๆ ขึ้นหลายส่วน ต่อให้เขามีอำนาจมาก หรือมีตำแหน่งเป็นที่เคารพบูชาเพียงไรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงเรื่องที่ร่างกายเขาไม่สมประกอบไปได้ แม้เขาจะอายุปูนนี้แล้ว แต่ก็ยังยากจะมองเมินต่อท่าทีแปลกๆ ของผู้อื่นได้ตลอดมา

การที่ฉินโยวโยวคาดเดาฐานะของเขาได้แล้ว แต่ยังมีท่าทีเหมือนเห็นเขาเป็นคนธรรมดาอยู่ ทำให้เขารู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง

สายตาของนายท่านไม่เลวเลยจริงๆ!

“อันที่จริงนายท่านของข้าสามารถออกเดินทางมาเมืองปาไซ่แห่งนี้ได้ตั้งแต่เมื่อวานซืน เพียงแต่คิดถึงเรื่องที่แม่นางไม่อยากขี่ม้า จึงได้สั่งให้คนไปนำรถม้ามาจากบริเวณใกล้ๆ โดยเฉพาะ ทำให้ล่าช้าจนถึงวันนี้ค่อยออกเดินทาง โชคดีที่ยังตามมาทัน” เหลียงลิ่งพูดด้วยรอยยิ้มตาหยี

“ลำบากเขาต้องเปลืองสมองแล้ว” ฉินโยวโยวยิ้มได้อ่อนหวานเกรงใจ ในใจกลับไม่เห็นเป็นเช่นนั้น วางแผนไม่ให้ข้าจากไปตั้งแต่แรกแล้วจริงๆ ด้วย นี่นับเป็นการให้สิทธิ์พิเศษแก่เชลย?

“สัตว์วิเศษทั้งสองตัวของแม่นางมีลักษณะเด่นใดบ้าง แล้วมีชื่อว่าอะไร” เหลียงลิ่งเอ่ยถาม

ฉินโยวโยวใจหายวาบ แย่แล้ว! หากเจ้าคนเลวจับพวกมันมาข่มขู่ข้า ข้าจะทำเช่นไรเล่า!

นางไม่ตอบคำถามของเหลียงลิ่ง แต่ย้อนถามว่า “ไม่ทราบว่าพวกท่านคิดจะหยุดพักที่เมืองปาไซ่กี่วัน หากทำให้พวกท่านต้องเสียเวลาเพราะข้า เช่นนั้นก็ออกจะไม่ดีนัก”

เหลียงลิ่งคล้ายไม่รับรู้ถึงการหลบเลี่ยงของนาง เขายิ้มได้กระตือรือร้นอย่างยิ่ง “ไม่เป็นไรเลย นายท่านของข้ามีเวลามากนัก เรื่องของแม่นางเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในยามนี้”

นี่หมายความว่าอย่างไร ฉินโยวโยวฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ กำลังพิจารณาว่าควรเอ่ยถามถึงฐานะของเหยียนตี้ให้รู้ชัดดีหรือไม่ ข้ารับใช้ชายผู้หนึ่งที่ด้านนอกก็มาแจ้งว่านายท่านมีงานจะสั่ง เรียกตัวเหลียงลิ่งไป

เพราะฉินโยวโยวเป็นห่วงความปลอดภัยของสัตว์วิเศษทั้งสอง นางจึงไม่รู้สึกอยากอาหารดีๆ ที่มีอยู่เต็มโต๊ะนัก แค่เติมท้องให้อิ่มเพียงลวกๆ

แสงจันทร์นอกหน้าต่างงามกระจ่าง ฉินโยวโยวเปิดประตูเดินออกมากลางสวนดอกไม้ที่ด้านนอก สายลมยามเย็นพัดพากลิ่นหอมเย็นของต้นไม้ใบหญ้ามาเป็นระลอก บริเวณรอบๆ เงียบจนเหลือเพียงเสียงแมลงดังระงม ครั้นหลับตาลงก็รู้สึกคล้ายว่าได้กลับไปอยู่ที่เขาเสี่ยวชงซึ่งเป็นที่เร้นกายของนางกับอาจารย์

เวลานั้นไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนมีอาจารย์เป็นผู้จัดการ ทุกวันนางทำแค่เรื่องที่นางชอบเป็นอันใช้ได้ คนในหมู่บ้านเล็กริมเขาเองก็ดีต่อนางยิ่ง ไม่มีใครคิดวางอุบายทำร้ายนางเลย

ชีวิตที่เมื่อก่อนรู้สึกว่าราบเรียบราวกับผิวน้ำ มาบัดนี้สูญเสียไปแล้วถึงได้รู้ว่ามีค่าควรแก่การหวงแหนมากเพียงใด ทว่าอาจารย์หายตัวไปแล้ว อาจจะเป็นตามที่เขาบอกไว้ในบันทึก ในที่สุดเขาก็กลับบ้านเกิดอันไกลโพ้นของตนเอง…จะไม่ปรากฏตัวออกมาอีกตลอดกาล

ฉินโยวโยวเศร้าใจ นางเหม่อมองดวงจันทร์บนฟ้าอย่างใจลอย

ฝ่ามืออุ่นร้อนข้างหนึ่งลูบผ่านแก้มนางเบาๆ เสียงของเหยียนตี้ดังขึ้นริมโสต “ไฉนจึงทำท่าเหมือนอยากร้องไห้”

ฉินโยวโยวจิตใจล่องลอย นางไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่าตอนนี้ตนเองมีสภาพเช่นไร ถึงขนาดว่าแม้แต่เหยียนตี้เดินมาถึงตรงหน้าแล้วก็ยังไม่รู้สึกตัว

“โยวโยว เรื่องที่เจ้าไม่อยากทำ ข้าจะไม่บังคับเจ้า” เหยียนตี้พูดเสียงขรึม แทบจะโพล่งออกมาจากปากโดยไม่ผ่านการไตร่ตรอง

ยามมองเห็นฉินโยวโยวยืนด้วยสีหน้าเหงาหงอยอย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพังภายใต้แสงจันทร์ เขาพลันรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง อยากจะลบสีหน้าเศร้าสร้อยของนางออกไปให้หมด อยากเห็นนางกลับมามีท่าทางที่ดูน่าสนใจเหมือนตอนก่อนหน้า ทั้งๆ ที่ดูเจ้าเล่ห์ใช้อารมณ์ แต่กลับแสร้งทำตัวน่ารักว่าง่ายอ่อนแอปวกเปียก

“จริงๆ นะ?” ฉินโยวโยวพลันนึกขึ้นได้ว่านี่ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่เขาเรียกชื่อนาง เมื่อก่อนก็เคยมีคนจำนวนมากเรียกนางเช่นนี้ รวมถึงอาจารย์ของนาง ชาวหมู่บ้านที่ริมเขาเสี่ยวชงเหล่านั้น และแม้แต่เฟิงกุยอวิ๋นศัตรูของนางด้วย

แต่กลับไม่เคยมีสักคนเดียวที่เวลาเรียกชื่อนี้แล้วจะทำให้นางรู้สึก…พิเศษเพียงนี้ สองพยางค์เรียบๆ ง่ายๆ คล้ายว่ากลายเป็นคาถาที่ดังสะท้อนอยู่ในใจนาง ทำให้นางใจเต้นเร็วขึ้นหลายจังหวะประหนึ่งถูกชักจูงอย่างห้ามตนเองไม่ได้

“จริงๆ” เหยียนตี้ยืนยัน เดิมทีคำสัญญานี้ค่อนข้างวู่วามเกินไปสักหน่อย ในอนาคตมันจะเพิ่มความยุ่งยากอย่างมากให้กับเรื่องที่เขาต้องการทำ ทว่าเขาก็ไม่อยากทำให้ฉินโยวโยวต้องผิดหวังในเวลานี้

โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นดวงตาใสกระจ่างแวววาวที่มองมายังเขา ภายในดวงตาของฉินโยวโยวมีเงาร่างเขาสะท้อนอยู่เต็ม เขายิ่งรู้สึกว่าต่อให้คำสัญญานี้จะยุ่งยากเพียงใดแต่ก็คุ้มค่ายิ่งนัก

แสงจันทร์คล้ายได้ร่ายอาคมสะกดอันคลุมเครือใส่คนทั้งสอง ทว่าน่าเสียดายที่จู่ๆ ก็มีเสียงแค่นจมูกเยียบเย็นด้วยความดูแคลนดังทะลุขึ้นมา ทำลายช่วงเวลาดีงามนี้แตกเป็นเสี่ยง

“นางหญิงไม่ได้ความ!”

“เอ๊ะ?” ฉินโยวโยวมองไปทางต้นเสียงแล้วก็ต้องตกใจถอยหลังไปสองก้าวทันที

นางไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน…กลัวก็แต่ม้า!

เจ้าของเสียงคือม้าตัวหนึ่ง ม้าแดงสูงใหญ่บึกบึนเสียจนชวนให้คนหนังศีรษะชา! ขนบนตัวม้ามิใช่สีแดงอมน้ำตาลอย่างที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่เป็นสีแดงเพลิงจริงๆ ถึงจะอยู่ใต้แสงจันทร์ก็ยังไม่ซีดลงแม้แต่น้อยนิด

สีขนเช่นนี้พบเห็นได้ยากเหลือเกิน ยากจนฉินโยวโยวจดจำได้ในแวบเดียว ม้าที่ก่อนหน้านี้เหยียนตี้ดึงดันลากนางขึ้นขี่ก็คือเจ้าม้าแดงที่น่ากลัวตัวนี้

สีหน้าท่าทางของม้าแดงตัวใหญ่ดูมีชีวิตชีวาอย่างที่สุด มันกำลังปรายตามองฉินโยวโยวด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม เห็นได้ชัดว่าถ้อยคำเมื่อครู่เป็นคำวิจารณ์ถึงตัวนาง

ฉินโยวโยวทนไม่ไหว นางถอยหลังไปอีกหลายก้าว จนกระทั่งรู้สึกว่าอยู่ในระยะค่อนข้างปลอดภัยแล้วถึงค่อยเอ่ยสวนกลับไป “เจ้าสิไม่ได้ความ นอกจากคอยถูกคนลากไปไหนมาไหนแล้ว เจ้ายังทำอะไรเป็นอีกบ้าง”

“หญิงหน้าเหม็น ข้าจะกัดเจ้าให้ตาย!” ม้าแดงตัวใหญ่โมโหแล้ว รูจมูกพ่นไอหมอกสีแดงออกมาไม่หยุด ดูเหมือนเป็นเปลวไฟหลายลูก มันสะบัดหัวไปมาก่อนยื่นมาทางฉินโยวโยว

ฉินโยวโยวร้องออกมาด้วยความตกใจ นางหลบไปอยู่ด้านหลังเหยียนตี้ด้วยอาการตอบสนองอันรวดเร็ว

เหยียนตี้ยื่นมือไปลูบตบคอม้าสองที ก่อนเอ่ยว่า “จู้อวิ๋นเฟย เจ้าคิดเล็กคิดน้อยอะไรกับสตรีเล่า เจ้าไปพักก่อนเถอะ วันพรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปวิ่งที่ใกล้ๆ นี้ให้จุใจ”

“ฮึ!” ม้าที่ชื่อ ‘จู้อวิ๋นเฟย’ ตัวนั้นพ่นเสียงออกจมูกสองที ก่อนสะบัดหน้าเดินจากไปอย่างเชื่อฟังด้วยสีหน้าไม่ชอบใจ

“มันคือสัตว์วิเศษของท่าน?” ฉินโยวโยวถาม กระทั่งม้าหน้าเหม็นตัวหนึ่งยังกล้ามาชักสีหน้าใส่นาง เจ้านายของมันจะต้องไม่ใช่คนดีแน่นอน!

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 17

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: