หิมะเหมันต์ละลายหายไป วสันต์กลับมาเยือนผืนดินอีกครั้ง ทั้งที่เหยียนตี้มองดูสภาพพืชพรรณแตกหน่องอกงามเปี่ยมด้วยสัญญาณชีวิตทั่วทั้งสวน แต่เขากลับรู้สึกเหมือนตนเองกำลังตกลงไปในโพรงน้ำแข็ง หนาวเหน็บไปถึงกระดูก
ฉินโยวโยวถูกเขาบังคับให้ย้ายกลับไปอยู่กับเขาที่เรือนศิลา เหยียนตี้คิดว่าในเมื่อตอนนั้นยังค่อยๆ ตีปราการหัวใจของนางให้แตกได้ ตอนนี้ก็ต้องทำได้เช่นกัน หนึ่งเดือนไม่ได้ก็หนึ่งปี หนึ่งปียังไม่ได้ก็สิบปี เขามีความอดทนมากพอที่จะคว้าหัวใจภรรยาตัวน้อยกลับมา
คนทั้งสองอยู่ร่วมห้องกัน นอนร่วมเตียงเดียวกัน ฉินโยวโยวไม่ได้เปลืองแรงปฏิเสธการจัดการของเขา ถึงอย่างไรก็รู้ดีว่าไม่มีประโยชน์
เหยียนตี้กอดนางเข้านอนทุกคืน นางก็ไม่ได้ขัดขืน ยามเขาคิดจะขอร่วมอภิรมย์กับนาง นางก็เพียงเบิกตาโตมองเขาเงียบๆ
สุดท้ายเหยียนตี้ก็ไม่ได้ทำต่อ เพียงตระกองกอดนางไว้แน่นพลางกระซิบริมหู “โยวโยวเด็กดี หายโกรธได้หรือไม่”
เขาฝืนใจนางไม่ลง แม้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นภรรยาที่เขาสามารถทำตามความต้องการได้อย่างชอบธรรม แต่เขารู้ว่าหากเขาทำตามความปรารถนาของตนเอง จะยิ่งเป็นการผลักไสหัวใจนางให้ไกลออกไปกว่าเดิม
ฉินโยวโยวหลุบตาลงไม่พูดอะไร
หัวใจนางไม่ได้สงบเหมือนที่นางแสดงออก ยามเผชิญหน้ากับการกระทำอันอ่อนโยนดูแลเอาใจใส่ต่างๆ ของเหยียนตี้ ได้อิงแอบอยู่ในอ้อมกอดที่กว้างและอบอุ่นของเขา นางเองก็เคยหวั่นไหวมานับครั้งไม่ถ้วน เพียงแต่ทุกครั้งนางล้วนเตือนตนเองว่าหากใจอ่อน...ก้าวต่อไปจะเป็นหลุมลึกที่ไร้ก้น
หัวใจนางไม่ได้เข้มแข็งพอให้ทนรับการหลอกลวงและการหลอกใช้เหล่านั้นได้ ฉะนั้นก็เอาตามนี้แล้วกัน
นางรอคอยอย่างเรียบร้อยว่าง่าย เมื่อใดที่ต้าจุ่ยกับเสี่ยวฮุยเลื่อนขั้นสำเร็จ นางก็สามารถคิดหาหนทางหลุดพ้นจากการล่อลวงอันน่ากลัวนี้ได้แล้ว
เรื่องเปิดศึกกับแคว้นตัวลี่ได้ข้อสรุปส่วนใหญ่แล้ว เหยียนตี้จะรั้งอยู่ที่เมืองหลวง จัดการราชกิจแทนฮ่องเต้ ส่วนฮ่องเต้ก็กำหนดฤกษ์งามยามดีสำหรับนำทัพใหญ่ออกศึกแล้ว กองทัพจากที่ต่างๆ ก็พากันไปชุมนุมกันที่ชายแดนสองแคว้นเช่นกัน
เวลาเดียวกับที่ทัพใหญ่เคลื่อนพล เหยียนตี้ก็ได้รับข่าวว่าเจียงหรูเลี่ยนและเมธาจารย์ซวี่กวงศิษย์อาจารย์จำต้องออกจากแคว้นเซียงเยวี่ยกลับไปจัดการสถานการณ์ทางสำนักเฟิ่งเสินพอดี
ลดการระวังป้องกันลงได้แล้ว เหยียนตี้กลับไม่รู้สึกสบายใจ เนื่องด้วยเหตุผลในการรั้งตัวฉินโยวโยวได้น้อยลงไปอีกข้อแล้ว
ทว่าครั้งนี้เขามิได้ปิดบังข่าวนี้กับฉินโยวโยวอย่างรู้กาลเทศะยิ่ง ฉินโยวโยวฟังแล้วก็เผยรอยยิ้มผ่อนคลายออกมาอย่างหาได้ยาก ช่วงที่ผ่านมาเหยียนตี้แทบจะไม่ได้เห็นนางยิ้มเช่นนี้ อารมณ์จึงพลอยผ่อนคลายลงไม่น้อย
หากเห็นรอยยิ้มเช่นนี้ได้ทุกวัน สิ่งอื่นใดก็ไม่สำคัญแล้ว
เหอหม่านจื่อรั้งอยู่ในเมืองจื่อเยี่ย ตอนแรกเพื่อรักษาโรคเรื้อรังให้จงหย่งโหว ต่อมาก็เข้าวังรักษาอาการบาดเจ็บให้พี่น้องสกุลเหยียน รวมๆ ก็อยู่ที่นี่มาหลายเดือนแล้ว เขานึกเป็นห่วงอาจารย์ เมื่อเห็นทางฉินโยวโยวดูไม่เป็นอะไร จึงมาบอกลาแล้วออกเดินทางจากไปทันที
ฉินโยวโยวไม่อยากให้เหอหม่านจื่อเป็นห่วงตนเอง จึงพยายามอดทนไม่แพร่งพรายเรื่องของนางกับเหยียนตี้ออกไป ฝืนทำหน้าแย้มยิ้มส่งเขาจากไป
นี่เป็นข่าวดีข่าวใหญ่สำหรับเหยียนตี้ ไม่มีสหายวัยเด็กคอยออกแผนการให้นาง ความยากที่เขาจะคว้าหัวใจนางกลับมาก็น้อยลงไปมาก
เพียงแต่บัดนี้เขาจนปัญญากับฉินโยวโยวอยู่บ้าง คิดจะใช้ผลประโยชน์เข้าล่อก็ไม่มีเหยื่อล่อที่ดึงดูดนางได้ จะเอาตัวเข้ายั่วนางก็กัดฟันแน่นไม่ยอมงับเบ็ด จะใช้กำลังบังคับนางก็ทำไม่ลง ลักพาตัวนางไปที่อื่นเขาก็ไม่กล้า
บางครั้งคิดขึ้นมายังรู้สึกว่าตนเองช่างไร้ความสามารถ แต่ทุกครั้งที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตัดสินใจจะใช้ท่าทีเผด็จการกับนาง แต่พอเห็นใบหน้าน้อยๆ ที่เรียบเฉยเย็นชาของนางเข้า เขาก็เกิดใจอ่อนและรู้สึกจนใจขึ้นมาร่ำไป
ระหว่างที่ขบคิดว่าจะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับภรรยาตัวน้อยให้เร็วที่สุดได้อย่างไรนี้เอง ข่าวร้ายสองข่าวก็ส่งตามกันมา
ข่าวร้ายข่าวแรกคือต้าจุ่ยกับเสี่ยวฮุยมีทีท่าว่าจะตื่น สามารถเลื่อนขั้นสำเร็จได้ทุกเวลา ข่าวร้ายที่สองมาจากสายลับที่อยู่ในสำนักเฟิ่งเสินซึ่งพยายามอย่างสุดชีวิตที่จะส่งข่าวกลับมาโดยผ่านคนหลายทอด
สำนักเฟิ่งเสินหารือแผนการกับราชวงศ์แคว้นตัวลี่เรียบร้อยแล้ว คิดจะยกกองกำลังชั้นเลิศในสำนักมาร่วมศึก พร้อมทั้งยังออกประกาศเสนอรางวัลแก่ผู้ฝึกตนพเนจรจำนวนมาก โดยใช้ตำแหน่งขุนนาง เบี้ยหวัด ยาวิเศษ รวมถึงทรัพย์ฟ้าสมบัติดินอีกไม่น้อยเป็นค่าหัวตั้งแต่ของฮ่องเต้ลงมาถึงบรรดาทหารระดับสูงของแคว้นเซียงเยวี่ย
ส่วนเมธาจารย์ซวี่กวงกับเมธาจารย์เฮ่ากวงที่เป็นศิษย์อันน่าภาคภูมิของเจียงหรูเลี่ยนถึงกับลงนามหนังสือยืนยันในสำนักแล้วว่าผู้ใดเอาชีวิตเหยียนซู่ได้ ผู้นั้นจะได้เป็นเจ้าสำนักเฟิ่งเสินคนต่อไป
อุบายชั่วร้ายของเมธาจารย์ซวี่กวง เหยียนตี้เคยเห็นกับตาตนเองแล้ว แม้ตบะของเมธาจารย์เฮ่ากวงจะเหนือกว่าอีกฝ่าย แต่ถ้ากล่าวถึงความน่ากลัวนั้นมิอาจสู้อีกฝ่ายได้เลย
ถึงเหยียนซู่ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยในชีวิต แต่ถ้าได้รับบาดเจ็บหรือถึงขั้นพิกลพิการแผลติดเชื้อขึ้นมาก็ยุ่งยากอย่างยิ่ง มิหนำซ้ำจะกระทบกระเทือนต่อจิตใจทหารและราษฎรอย่างมากด้วย
เหยียนตี้หารือกับขุนนางคนสำคัญไม่กี่คนในราชสำนักเสร็จ ก็ขอให้ชินอ๋องที่สุขุมรอบคอบมากประสบการณ์ไม่กี่ท่านในตระกูลมาช่วยกันดูแลงานบ้านเมือง ส่วนเขาก็เตรียมรุดไปแนวหน้าเพื่อคุ้มครองฮ่องเต้
สมาชิกคนสำคัญของสกุลเหยียนล้วนรู้ว่าทางหมู่บ้านซือตี้ยังมีผู้อาวุโสอยู่อีกหลายคน ใครคิดจะฉวยโอกาสก่อกวนยามเมืองหลวงไม่มีคนรักษาการณ์อยู่ จุดจบล้วนไม่ดีแน่ ดังนั้นแม้การจากไปของเหยียนตี้จะสร้างความยุ่งยากต่อการจัดการงานในราชสำนักอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นสั่นคลอนรากฐานของบ้านเมือง
เทียบกันแล้วคนที่เหยียนตี้ห่วงมากกว่าคือฉินโยวโยว หากสัตว์วิเศษทั้งสองตัวของนางเลื่อนขั้นสำเร็จในช่วงที่เขาไม่อยู่ นางจะต้องพาพวกมันจากไปแน่นอน
สาวน้อยนางนี้หาตัวยากเพียงไร เมื่อหนึ่งปีกว่าก่อนหน้านี้เขาก็ได้ประจักษ์มาแล้ว หากมิใช่นางเดินมาหาด้วยตนเอง จวบจนบัดนี้เขาก็อาจจะยังหาตัวนางไม่พบ
“โยวโยว รับปากข้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่” เหยียนตี้ตัดสินใจว่าบอกกันตรงๆ ไปเลยดีกว่า ภรรยาตัวน้อยไม่ใช่เกลียดการหลอกลวงปิดบังที่สุดหรือไร คราวนี้เขาจริงใจเพียงนี้ สมควรจะมีรางวัลบ้างกระมัง!
“อะไรหรือ” ในดวงตาโตของฉินโยวโยวมีแววตื่นตัวระแวดระวังวาบผ่าน
“ข้าจะไปจากเมืองหลวงระยะหนึ่ง เจ้าก็รอข้ากลับมาอยู่ที่เมืองหลวง” เหยียนตี้เขยิบเข้าใกล้อย่างไม่กระโตกกระตากก่อนเป่าลมเบาๆ ใส่หูนาง ก่อนจะมองเห็นหูปานหยกขาวของนางมีสีเลือดฝาดน่าหลงใหลปรากฏขึ้นมาในที่สุด
ทว่าเสี้ยวเวลาถัดมาฉินโยวโยวกลับถอยกรูดหลบไปสามก้าว ใช้สายตาตักเตือนห้ามปรามการได้คืบจะเอาศอกของเขา
เหยียนตี้รู้ว่าตนเองทำได้เพียงเท่านี้แล้ว หากเขายังดึงดันทำต่ออีก หลังจากนี้ฉินโยวโยวจะทำหน้าบึ้งใส่เขาไปอย่างน้อยสองสามวัน ทั้งยังจะหลบเลี่ยงอยู่ห่างจากเขาด้วย
เขายังอยากเกลี้ยกล่อมให้นางรั้งอยู่ที่เมืองจื่อเยี่ยรอเขากลับมาอย่างว่าง่าย ไม่อาจยั่วโมโหนางได้ในเวลานี้
“ต่อให้ต้าจุ่ยกับเสี่ยวฮุยเลื่อนขั้นสำเร็จในช่วงเวลานี้ เจ้าก็ต้องรอข้ากลับมาแล้วบอกลาข้าด้วยตนเองก่อนถึงค่อยจากไป...” เหยียนตี้ลดข้อเรียกร้องลงมาจนน้อยที่สุด
ฉินโยวโยวลังเลชั่วครู่ ในที่สุดก็เอ่ยว่า “แล้วข้าจะได้อะไร”
เป็นเมื่อก่อนภรรยาตัวน้อยของเขาไม่มีทางคุยเงื่อนไขกับเขาอย่างเอาจริงเอาจังเพียงนี้แน่!
เหยียนตี้พูดด้วยความจนใจ “ต้าจุ่ยกับเสี่ยวฮุยเลื่อนขั้นจะมีความเคลื่อนไหวใหญ่โตนัก อีกทั้งคลังสมบัติใต้สวนก็มิใช่สถานที่ที่เหมาะสม ข้าจะจัดให้เจ้ากับพวกมันไปอยู่ที่พระราชนิเวศน์ใกล้หมู่บ้านซือตี้ ถ้ามีเรื่องอะไร เจ้าก็ใช้ฐานะพระชายาส่งสัญญาณเชิญผู้อาวุโสในตระกูลมาช่วยเหลือได้”
นี่เป็นเงื่อนไขที่ดึงดูดใจมากจริงๆ นางเองก็เคยเห็นต้าจุ่ยกับเสี่ยวฮุยเลื่อนขั้นมาแล้ว มีความเคลื่อนไหวใหญ่โตมากจริงๆ ทั้งยังจะชักนำเคราะห์สายฟ้ามาด้วย
แม้ว่าด้วยสายเลือดของพวกมันสองตัว เคราะห์สายฟ้าทั่วไปยากที่จะทำอันตรายถึงชีวิตพวกมันได้ แต่ถ้ามีใครฉวยโอกาสมาเก็บผลประโยชน์ในตอนนั้น นางคนเดียวดูแลสัตว์วิเศษสองตัวก็ออกจะมีปัญหาอยู่บ้าง
มีเฒ่าประหลาดที่เร้นกายอยู่ที่หมู่บ้านซือตี้ช่วยเหลือก็เป็นการดีที่สุดจริงๆ
“ก็ได้!” ฉินโยวโยวฝืนใจพยักหน้ารับปาก
ได้คำสัญญาจากนางแล้ว เหยียนตี้ก็สบายใจในที่สุด
เขาคุ้มกันฉินโยวโยวรวมถึงสัตว์วิเศษที่หลับเป็นตายทั้งสองตัวไปส่งถึงพระราชนิเวศน์ใกล้หมู่บ้านซือตี้ด้วยตนเองเรียบร้อย เขาก็ทิ้งเหลียงลิ่งและผู้แข็งแกร่งระดับราชันยุทธ์อีกสองคนไว้เป็นองครักษ์ ก่อนส่งสารไปยังที่เร้นกายของผู้อาวุโสทั้งหลายด้วยตนเอง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีอะไรตกหล่นอีกถึงได้ออกเดินทางจากไป
ฉินโยวโยวรู้ข่าวว่าเขาจะไปแล้วกลับแข็งใจไม่ไปส่ง คนที่ความคิดเรียบง่ายบางครั้งก็น่ากลัวยิ่ง พอได้กำหนดเป้าหมายแล้วก็มักทำอะไรดื้อดึงเด็ดเดี่ยวเกินกว่าปกติ
เหยียนตี้เหลียวกลับไปมองพระราชนิเวศน์ที่ค่อยๆ เล็กลง ในใจไม่รู้ว่าควรขุ่นเคืองหรือผิดหวังอ่อนใจดี ไฉนเขาจึงปล่อยวางจากแม่นางน้อยที่ดื้อรั้นเจ้าแง่แสนงอนถึงเพียงนี้ไม่ได้เสียที
เขารู้สึกมาตลอดว่าฉินโยวโยวเป็นของขวัญที่ดีงามที่สุดที่สวรรค์ประทานแก่เขา บัดนี้ดูไปแล้วน่าจะเป็นดาวมารที่สวรรค์ส่งมาทรมานเขามากกว่า!
ฉินโยวโยวนั่งอยู่ตามลำพังในห้องสมาธิ นางกอดเข่าขดตัวกลมมองต้าจุ่ยกับเสี่ยวฮุยที่ยังหลับลึกไม่ตื่นที่เบื้องหน้าแน่วนิ่ง จนกระทั่งภาพตรงหน้าพร่ามัว...
นางไม่ได้ความจริงๆ รู้ทั้งรู้ว่าเหยียนตี้มิใช่คนดี อยู่กับเขาก็ต้องถูกหลอกลวงทำร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า แต่นางกลับจนปัญญา ไม่อาจหยุดคิดถึงเขาได้เสียที
นางไม่รู้ว่าควรหวังให้ต้าจุ่ยกับเสี่ยวฮุยรีบเลื่อนขั้นให้สำเร็จก่อนเขากลับมาหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ตอนที่เหยียนตี้กลับมาก็จะไม่ได้เห็นนางอีกแล้ว
เพราะว่านางตัดสินใจแล้วว่าครั้งนี้จะถึงตานางหลอกเขาบ้าง...นางไม่คิดทำตามสัญญาที่ว่าจะรอเขากลับมาแล้ว
ไกลออกไปนับพันหลี่ ท่ามกลางหมู่เขาอันเป็นพรมแดนระหว่างแคว้นเซียงเยวี่ยกับแคว้นตัวลี่ เมธาจารย์ซวี่กวงกำลังนั่งอยู่บนศิลายักษ์ก้อนหนึ่งบนยอดเขา ทอดสายตามองดูค่ายทหารของแคว้นเซียงเยวี่ยที่อยู่ไกลๆ
สาวน้อยชุดสีขาวนางหนึ่งยื่นมือไปหยิบสารลับมาจากเท้าเหยี่ยวส่งสาร ดูขีดเครื่องหมายในสารอย่างละเอียด ก่อนเดินมาหยุดข้างกายเมธาจารย์ซวี่กวง ค้อมตัวกล่าวว่า “เมธาจารย์ สายสืบที่เมืองจื่อเยี่ยแจ้งข่าวลับมาว่าเหยียนตี้เตรียมตัวออกจากเมืองหลวงตั้งแต่ราวห้าวันก่อนแล้ว ยามนี้น่าจะอยู่ระหว่างทางเจ้าค่ะ”
เมธาจารย์ซวี่กวงพูดยิ้มๆ “เขายอมออกจากเมืองจื่อเยี่ยได้เสียที พระชายาที่งามหยาดเยิ้มผู้นั้นของเขาได้ร่วมทางมาด้วยหรือไม่”
“ไม่เจ้าค่ะ สายสืบบอกว่าเหยียนตี้ส่งคนไปจัดเตรียมพระราชนิเวศน์ใกล้หมู่บ้านซือตี้เป็นการลับ ดูเหมือนจะให้พระชายาของเขาไปพักอยู่ที่นั่นช่วงสั้นๆ”
เมธาจารย์ซวี่กวงได้ยินเช่นนี้ก็เลิกคิ้วขึ้น ไฉนนี่จึงฟังเหมือนเป็นหลุมพราง
สายสืบของเขาย่อมไม่อาจสืบข่าวที่ฉินโยวโยวกับเหยียนตี้ทะเลาะกันมาได้ คนทั้งสองยังเป็นคู่แต่งงานใหม่ที่ยังพักอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าใครก็รู้สึกว่าพวกเขาอยู่ในช่วงหวานชื่นทั้งนั้น
มิหนำซ้ำสัตว์วิเศษของฉินโยวโยวแต่ไหนแต่ไรมาก็เหมือนเป็นสัตว์เลี้ยงมากกว่า แม้แต่ในจวนเซิ่งผิงชินอ๋องเอง คนที่รู้ว่าสัตว์วิเศษทั้งสองตัวใกล้จะเลื่อนขั้นเต็มทีก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ที่เมธาจารย์ซวี่กวงจงใจปล่อยข่าวออกไปล่อให้เหยียนตี้ออกจากเมืองจื่อเยี่ย เดิมคิดว่าเขาน่าจะพาฉินโยวโยวมาด้วยกัน อย่างไรเสียเหล่ายอดฝีมือที่ส่งไปลอบสังหารที่วังในคืนวันปีใหม่ก็ยืนยันแล้วว่าฉินโยวโยวหาใช่สตรีธรรมดาที่ไร้ตบะไม่ กลับเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งเสียด้วยซ้ำ
คิดไม่ถึงว่าเหยียนตี้ไม่เพียงทิ้งภรรยาหมาดๆ เอาไว้อย่างผิดปกติ แต่ยังให้นางออกไปพักนอกเมืองตามลำพังด้วย เรื่องนี้ไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่สมเหตุสมผลยิ่ง
เรื่องราวผิดปกตินี้จะต้องมีอะไรเคลือบแฝง!
เมธาจารย์ซวี่กวงหลับตานิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ “ช่างเถอะ โอกาสอันดีที่จะได้มีความดีความชอบต่อหน้าอาจารย์นี้ยกให้ศิษย์พี่คนดีของข้าไปก่อนแล้วกัน”
เขารู้ว่าเมธาจารย์เฮ่ากวงผู้เป็นศิษย์พี่คอยจับตามองความเคลื่อนไหวทางเขามาโดยตลอด ด้วยกลัวว่าเขาจะสร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ต่อหน้าอาจารย์จนได้รับความชื่นชมเอ็นดูแล้วได้ตำแหน่งเจ้าสำนักน้อยไปครอง ในเมื่ออีกฝ่ายร้อนใจอยากทำผลงานโดยเร็ว เช่นนั้นก็ให้อีกฝ่ายไปลองลิ้มรสหลุมพรางนี้ก่อนแล้วกัน
ภายในพระราชนิเวศน์ใกล้หมู่บ้านซือตี้ ฉินโยวโยวเฝ้าอยู่ข้างกายสัตว์วิเศษทั้งสองอย่างเงียบๆ ทุกวัน นางคอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงของพวกมันอย่างระมัดระวัง กระทั่งวันที่เจ็ดหลังเหยียนตี้จากไป ขนบนตัวเสี่ยวฮุยก็เริ่มร่วงเป็นกระจุกใหญ่ ไม่ถึงวันตัวก็โล้นเลี่ยนเกลี้ยงเกลา ดูพิลึกเป็นอย่างมาก
ฉินโยวโยวเตรียมตัวอยู่ก่อนแล้ว นางจึงให้คนทั้งหมดหลบไปให้ไกลจากห้องสมาธิ ไม่ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นก็ห้ามเข้าใกล้ห้องสมาธิเกินสิบจั้ง ถึงขนาดว่าแม้แต่ต้าจุ่ยที่ดูจะยังไม่ถึงเวลาเลื่อนขั้น นางก็ยังย้ายตัวมันไปอยู่ในห้องสมาธิอีกห้องทางด้านหลังพระราชนิเวศน์ แล้วขอให้ราชันยุทธ์สองคนเฝ้าคุ้มครองมันแทน
“ท่านเองก็ไม่ต้องอยู่ ข้าไม่มีอันตรายเวลาเสี่ยวฮุยเลื่อนขั้นหรอก แต่คนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้มันอาจจะถูกลูกหลงได้” ฉินโยวโยวเจาะจงชี้แจงต่อเหลียงลิ่งที่ติดตามข้างกายนางไม่ยอมห่างแม้แต่ครึ่งก้าวโดยตลอด
เหลียงลิ่งลำบากใจยิ่ง “แต่ถ้าพระชายาทรงอยู่ที่นี่เพียงผู้เดียว เกิดมีใครแอบเข้ามาด้วยเจตนาไม่ดี...”
ฉินโยวโยวพูดด้วยสีหน้าพิกล “ท่านน่าจะรู้ว่าสายเลือดของเสี่ยวฮุยมีปัญหาอยู่บ้าง พวกท่านรั้งอยู่ที่นี่จะอันตรายยิ่ง”
เหลียงลิ่งถูกฉินโยวโยวสะกิดเตือนก็นึกไปถึงตำนานเกี่ยวกับอสูรร้ายบางตัว สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนไปสิ้น “พระชายาทรงหมายความว่า...เสี่ยวฮุยจะ...”
ฉินโยวโยวพยักหน้าตอบว่า “ใช่แล้ว ข้ากับมันมีพันธะยอมรับเจ้านายอยู่ ไม่ว่าอย่างไรมันก็ไม่มีทางทำร้ายข้า แต่คนอื่นก็พูดยากแล้ว”
เหลียงลิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วจึงพยักหน้า ก่อนไปจัดการให้คนทั้งหมดถอยออกไปอารักขาอยู่วงนอก
หลังฉินโยวโยวแน่ใจว่าจัดหาที่อยู่ให้ต้าจุ่ยเรียบร้อยก็รั้งอยู่ข้างกายเสี่ยวฮุย คุ้มกันมันเพียงลำพัง
ม่านราตรีคล้อยลงมา กระดูกบนตัวเสี่ยวฮุยก็เริ่มบิดเปลี่ยนรูปไปทีละนิด ผิวหนังค่อยๆ แห้งเหี่ยวและมีสีคล้ำลง จากนั้นก็ปริแตกด้วยแรงจากการเปลี่ยนรูปของกระดูก
เลือดสดๆ ซึมเป็นสายออกมาจากร่างกายเล็กๆ ของเสี่ยวฮุยที่ได้เปลี่ยนรูปร่างไปแล้ว ย้อมฐานแท่นหยกใต้ร่างมันจนเป็นสีแดงฉาน
ฉินโยวโยวปวดใจจนอยากให้ตนเองผ่านด่านนี้แทนมันใจแทบขาด แต่นางก็รู้ว่านี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในขั้นตอนการเลื่อนขั้น นางทำได้แค่มองดูอยู่เฉยๆ
ระหว่างที่นางกำลังสงสัยว่าเสี่ยวฮุยจะเลือดออกมากไปจนเป็นอันตรายหรือไม่นี้เอง เสียงฟ้าร้องครืนครั่นก็ดังมาแว่วๆ จากที่ไกลๆ ฉินโยวโยวย้อนนึกถึงสิ่งที่เกิดยามเสี่ยวฮุยเลื่อนขั้นเมื่อครั้งก่อนแล้วก็โล่งใจทันที
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นก็แสดงว่าเคราะห์สายฟ้ากำลังจะมาถึง นั่นก็หมายความว่าการเลื่อนขั้นของเสี่ยวฮุยใกล้สำเร็จแล้ว
อย่างที่คาดไว้ เลือดที่ออกจากร่างกายของเสี่ยวฮุยค่อยๆ หยุดไหล กระดูกก็เริ่มกลับคืนสภาพเดิม ภายใต้ผิวหนังเหี่ยวแห้งปริแตกก็มีผิวหนังใหม่เกิดขึ้นมาซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จากนั้นบนผิวหนังก็มีขนปุยอ่อนนุ่มสีขาวและเทางอกขึ้นปนกันอีกครั้ง
เสียงฟ้าร้องตรงขอบฟ้ายิ่งดังขึ้นทุกครั้ง แสงสายฟ้าแลบแปลบปลาบ ชั่วขณะหนึ่งบริเวณห้องสมาธิพลันสว่างจ้าราวกับกลางวัน เสี้ยวเวลาถัดมาก็กลายเป็นมืดมิดลงไปอีก อานุภาพของฟ้าดินไร้สิ่งใดเทียบเทียม แม้แต่ฉินโยวโยวที่มีตบะระดับยอดยุทธ์ขั้นเจ็ดในร่างก็ยังรู้สึกจิตใจไม่สงบขึ้นมา
นางรู้สึกอยู่ตลอดว่าคืนนี้จะมีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้น แต่หากให้คนอื่นมาอยู่ในนี้เป็นเพื่อนนาง คนผู้นั้นจะต้องเสี่ยงอันตรายอย่างมากแน่
เจียงหรูเลี่ยนกลับไปแคว้นตัวลี่แล้ว บริเวณพระราชนิเวศน์มีองครักษ์เฝ้าอยู่นับไม่ถ้วน และยิ่งมีผู้แข็งแกร่งระดับราชันยุทธ์นั่งบัญชาการอยู่ถึงสามคน ซ้ำที่นี่ก็อยู่ใกล้หมู่บ้านซือตี้ ตามหลักแล้วไม่น่าจะมีใครบุกเข้ามาก่อกวนได้ง่ายๆ...
ฉินโยวโยวทางหนึ่งปลอบใจตนเอง อีกทางก็ภาวนาด้วยความกระวนกระวายให้เสี่ยวฮุยเลื่อนขั้นสำเร็จโดยเร็ว
เปรี้ยง!
แสงสายฟ้าสีขาวหิมะสายหนึ่งผ่ากรีดขอบฟ้า ติดตามมาด้วยเสียงดังสนั่นเสียงหนึ่ง เม็ดฝนขนาดเท่าถั่วเหลืองตกลงมาจากฟ้า ทั้งฟ้าดินพร่ามัวไปด้วยละอองน้ำในทันใด
ฉินโยวโยวคล้ายมองเห็นบางอย่างพุ่งผ่านนอกหน้าต่างไปในเสี้ยวเวลาที่แสงสายฟ้าสว่างวาบขึ้นมา
“ใคร! ผู้ใดกัน!” นางเงยหน้าตะโกนถาม
แทบจะเวลาเดียวกัน เสียงอาวุธปะทะกันและเสียงตะโกนโหวกเหวกก็ดังมาจากที่ไกลๆ มีศัตรูมาโจมตีจริงๆ!
ประตูใหญ่ห้องสมาธิถูกคนผลักเปิดออก คุณชายชุดดำผู้หนึ่งเดินเข้ามาอย่างไร้สุ้มเสียง บรรยากาศภายในห้องสมาธิคล้ายเปลี่ยนเป็นน่ากลัวขึ้นมาทันทีที่เขาปรากฏตัว
คุณชายชุดดำผู้นี้มีรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมคาย มีกลิ่นอายดุดัน ชุดตัวยาวไม่มีน้ำฝนแม้แต่นิดเดียว สะอาดสะอ้านเรียบร้อยจนเหมือนเพิ่งเปลี่ยนชุดตัวใหม่เตรียมออกจากบ้าน มิใช่ตากฝนมาเยือนตอนดึกดื่นเที่ยงคืน
ราชันยุทธ์ขั้นสิบสี่! ฉินโยวโยวตกใจอย่างมาก
มิน่า ราชันยุทธ์สามคนอย่างพวกเหลียงลิ่งที่ด้านนอกถึงไม่รู้สึกตัวว่าเขาแอบเข้ามา ตบะของคนผู้นี้สูงกว่าพวกเขาเป็นช่วงใหญ่!
“ข้าก็นึกว่าเป็นสัตว์อสูรร้ายกาจเลื่อนขั้นเสียอีก ไฉนถึงได้มีความเคลื่อนไหวใหญ่โตเพียงนี้...” คุณชายชุดดำมองเสี่ยวฮุยที่เป็น ‘กระต่ายป่า’ ตัวอ้วนบนแท่นหยก ก่อนทำสีหน้าฉงนสงสัยไม่เข้าใจออกมาเล็กน้อย
ทว่าความข้องใจนี้เพียงไม่นานก็ถูกโยนทิ้งไว้เบื้องหลัง คุณชายชุดดำยื่นมือขวาออกมาหมายคว้าตัวฉินโยวโยว แต่ยื่นมาได้ครึ่งทางก็ต้องร้อง “เอ๊ะ!” ออกมา ก่อนที่ร่างเขาจะถอยห่างไปสามฉื่อในทันใด
ใต้เท้าคุณชายชุดดำประหนึ่งมีล้อติดอยู่ ทั้งที่ฉินโยวโยวไม่เห็นเขาขยับเท้าสักนิด แต่อีกฝ่ายกลับหลบกลุ่มเข็มบินอันไร้สุ้มเสียงไร้ร่องรอยที่นางปล่อยออกมาได้อย่างง่ายดาย ร่างกายเขาเคลื่อนไหวรวดเร็วประดุจภูตผี แปลกประหลาดยิ่งนัก
ฉินโยวโยวที่โจมตีพลาดเป้าไปยังคงสงบยิ่ง ไม่ได้มีท่าทางตระหนกตกใจทำอะไรไม่ถูกแม้แต่น้อย ถึงขั้นว่ายังมีความกล้าขู่เตือนฝ่ายตรงข้าม “ถ้าข้าเป็นเจ้า จะหันหลังกลับแล้วเผ่นหนีเอาชีวิตรอดเสียเดี๋ยวนี้”
คุณชายชุดดำยิ้มเย็นพลางเอ่ยว่า “ทำเป็นขู่ตบตากระมัง!” ก่อนยกฝ่ามือโจมตีมายังฉินโยวโยวอีกครั้งอย่างไม่ไว้ไมตรี
คนผู้นี้ก็คือเมธาจารย์เฮ่ากวงศิษย์พี่ของเมธาจารย์ซวี่กวง
เขาไม่ได้ชอบศึกษาวิชามารแปลกประหลาดนอกรีตเหมือนอย่างศิษย์น้อง เขามุ่งศึกษาแต่วรยุทธ์ ทั้งยังเข้าสำนักเร็วกว่าเมธาจารย์ซวี่กวง ตบะจึงสูงกว่าฝ่ายหลังอยู่ช่วงใหญ่
เมธาจารย์เฮ่ากวงมั่นใจในความสามารถของวรยุทธ์ตนเองยิ่ง เรียกได้ว่าฝีมือสูงส่ง คนยิ่งใจกล้า เขาไม่แยแสคำเตือนของฉินโยวโยวโดยสิ้นเชิง
ก่อนเขามาได้ตรวจดูร่องรอยความเคลื่อนไหวของยอดฝีมือราชันยุทธ์จำนวนมากของแคว้นเซียงเยวี่ยจนแน่ใจแล้ว และยิ่งสืบดูสถานการณ์ทั้งภายในภายนอกพระราชนิเวศน์แห่งนี้มาอย่างชัดแจ้ง ต่อให้พวกตาแก่ที่หมู่บ้านซือตี้ได้ยินข่าวแล้วรีบรุดมา เขาก็สามารถล่าถอยไปได้ครบสามสิบสองอย่างไม่ยากอะไร
อีกทั้งจวบจนบัดนี้ จิตของเขาก็สัมผัสได้ว่าบริเวณสิบจั้งรอบห้องสมาธินี้มีเพียงเขากับฉินโยวโยวสองคน รวมถึงเจ้าสิ่งที่เรียกว่าสัตว์วิเศษซึ่งมีกลิ่นอายสับสนบนแท่นหยกอีกตัวหนึ่ง เห็นได้ชัดว่ามันกำลังเลื่อนขั้น
ครั้นคิดถึงอานุภาพสายฟ้าที่น่าหวั่นเกรงทางด้านนอก คุณชายชุดดำก็ใจหายวาบ สามารถชักนำเคราะห์สายฟ้าระดับนี้มาได้ ไม่ควรเป็นสัตว์วิเศษที่อ่อนแอเช่นนี้ กระต่ายตัวนี้ไม่ว่าดูจากมุมใดอย่างมากก็ไม่เกินขั้นเจ็ด
แม้ว่าสัตว์วิเศษประเภทกระต่ายที่มีตบะขั้นเจ็ดจะพบได้น้อยยิ่ง แต่จากสภาพร่างกายเช่นนี้จะมีพลังโจมตีได้สักเท่าไรเชียว
หรือว่าในพระราชนิเวศน์นี้ยังมีสัตว์วิเศษที่ร้ายกาจยิ่งกว่าแอบอยู่อีก และมันก็กำลังเลื่อนขั้นเช่นเดียวกัน? หากเป็นม้ากิเลนโลหิตชาดตัวนั้นของเหยียนตี้...รอมันเลื่อนขั้นสำเร็จแล้วจะต้องเป็นศัตรูตัวฉกาจอย่างแน่นอน!
เหยียนตี้ร้ายกาจมากเพียงไรกันแน่ เมธาจารย์เฮ่ากวงไม่มั่นใจแม้แต่น้อย ทว่าดูจากการที่เจียงหรูเลี่ยนผู้เป็นอาจารย์คร้ามเกรงเหยียนตี้ยิ่งยวดนั้น ความสามารถของอีกฝ่ายจะต้องเหนือกว่าตนแน่นอน
สัตว์วิเศษคู่กายราชันยุทธ์ขั้นสูงเช่นนี้จึงจะเหมาะสมกับเคราะห์สายฟ้าน่ากลัวประหนึ่งจะทำลายล้างฟ้าดินที่ด้านนอกจริงๆ
ความคิดมากมายลอยผ่านในสมองเมธาจารย์เฮ่ากวง ก่อนเขาจะตัดสินใจรีบสู้รีบจบทันที
เป้าหมายของเขาคือฉินโยวโยว ทว่ายามที่เห็นเหยื่อถอยไปถึงมุมห้องสมาธิแล้ว ความรู้สึกอันตรายอย่างที่สุดชนิดหนึ่งก็พลันจู่โจมมาจากทางด้านหลังเขา
เมื่อตบะของผู้ฝึกตนบรรลุถึงระดับราชันยุทธ์ สัมผัสรับรู้ต่ออันตรายก็จะเฉียบไวถึงขีดสุด เมธาจารย์เฮ่ากวงรีบพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างเต็มกำลังโดยแทบไม่มีลังเล เขาโคจรลมปราณทั่วกาย ยอมปะทะกับการโจมตีอันรุนแรงจากอาวุธลับที่ฉินโยวโยวปล่อยออกมา
การพุ่งตัวเต็มกำลังนี้ของเมธาจารย์เฮ่ากวงได้กระแทกผนังห้องสมาธิจนแตกร้าว ยามร่างเฉียดผ่านฉินโยวโยว เขาก็ถือโอกาสยื่นมือไปที่คอของนาง
วิชาปราณคุ้มกายชนิดนี้ของเขาเป็นไม้ตายรักษาชีวิต มีชื่อว่า ‘กายวัชระศักดิ์สิทธิ์’ แม้คงสภาพไว้ได้เพียงสามอึดใจ แต่ก็พอให้ฝืนสกัดการโจมตีจากราชันยุทธ์ขั้นสิบแปดได้
ต่อให้อาวุธลับของฉินโยวโยวร้ายกาจเพียงใดก็ไม่ถึงระดับราชันยุทธ์ขั้นสิบแปด จึงถูกพลังมหาศาลหยุดไว้แล้วกระเด็นกลับไปจั้งกว่าทันที
เวลาเดียวกับที่เขากระโจนเข้าหาฉินโยวโยว สายฟ้าน่าสะพรึงสายหนึ่งก็ผ่าลงมาจากฟ้า เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น ห้องสมาธิทั้งห้องถูกถล่มจนกลายเป็นซากปรักหักพัง
ฟ้าดินเหลือเพียงแสงสีขาวสว่างจ้าในชั่วพริบตา
เมธาจารย์เฮ่ากวงโจมตีสำเร็จก็รัวนิ้วสกัดจุดชีพจรฉินโยวโยว ทำให้นางไม่อาจขยับเขยื้อนได้ในทันที จากนั้นจึงหันหน้ากลับไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ห้องสมาธิที่ดูแข็งแรงมั่นคงก่อนหน้านี้ไม่เหลือสภาพเดิมให้เห็นแล้ว ฝุ่นควันฟุ้งตลบปะปนด้วยกลิ่นไหม้คละคลุ้งอบอวลไปทั่วทิศ
เป็นเคราะห์สายฟ้าที่กระต่ายตัวนั้นชักนำมา?!
ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับเมธาจารย์เฮ่ากวงก็ยังอดหนาวสั่นขึ้นมาไม่ได้ สายฟ้าเมื่อครู่นี้หากมิใช่เขารู้สึกตัวเร็วแล้วหลบได้ทัน หากถูกลูกหลงจากมันขึ้นมาก็ยากรับรองแล้วว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
การใช้ ‘กายวัชระศักดิ์สิทธิ์’ ต้องจ่ายค่าตอบแทนค่อนข้างมาก หากเพียงเพื่อรับมือกับฉินโยวโยวที่เป็นยอดยุทธ์ขั้นเจ็ด เขาคงไม่คิดเปลืองแรงใช้มันโดยสิ้นเชิง
ทว่าเป็นเช่นนี้ก็ไม่เลว คราวนี้ทั้งหลบพ้นเคราะห์ทั้งจับคนไว้ได้แล้ว เขาต้องรีบไปจากสถานที่น่ากลัวนี่โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้! มิเช่นนั้นหากมีสายฟ้าเช่นนี้ผ่าลงมาอีกหลายสาย ก็ไม่แน่ว่าเขาจะหลบเลี่ยงได้ทั้งหมด
เพียงไม่นานฝนห่าใหญ่ที่โปรยปรายทั่วฟ้าก็ทำให้ฝุ่นควันในห้องสมาธิกระจายหายไป เมธาจารย์เฮ่ากวงปรับลมหายใจเล็กน้อย เมื่อค่อยยังชั่วขึ้นแล้วก็ข่มความไม่สบายที่กายวัชระศักดิ์สิทธิ์นำมาให้ลงไป ก่อนจะใช้มือจับคอฉินโยวโยวยกตัวนางขึ้นมา คิดจะฝ่าวงล้อมออกไป
ท่ามกลางพายุฝนกระหน่ำพลันได้ยินเสียงพึมพำออดอ้อนออเซาะดังมาจากในซากปรักหักพังของห้องสมาธิ “โยวโยว ข้าหิว!”
เมธาจารย์เฮ่ากวงตกใจอย่างมาก ทว่าฉินโยวโยวที่ทั้งร่างแข็งทื่อและถูกเขาจับตัวไว้กลับดีใจเป็นที่สุด
ขอบคุณสวรรค์ เสี่ยวฮุยไม่เป็นอะไร! ทั้งยังตื่นขึ้นมาทันเวลาด้วย!
ท่ามกลางแสงสายฟ้าแลบแปลบปลาบ เมธาจารย์เฮ่ากวงเพ่งมองดูก็เห็นว่าบนแท่นหยกตรงกลางห้องสมาธิ มีกระต่ายสีขาวเทาตัวอ้วนตัวนั้นพลิกตัวหงายท้อง ขยับขาทั้งสี่สองสามทีโดยไม่รู้ตัว ปากร้องเรียกงึมงำขึ้นอีก “โยวโยว ข้าหิว!”
ถ้าเขาจำไม่ผิด สายฟ้าน่าสะพรึงที่ทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวนเมื่อครู่นี้ได้ผ่าลงตรงแท่นหยกกลางห้องสมาธิตรงๆ แท่นหยกสมบูรณ์ไร้ความเสียหายยังพออธิบายได้ว่าเป็นของวิเศษหายาก แต่กระต่ายตัวนี้มันเรื่องอะไรกัน!
เขายังไม่ทันได้สติ สายฟ้าสองสายก็ลงมาติดๆ กัน อานุภาพอันน่ากลัวนั้นประหนึ่งว่าสามารถผ่าแยกท้องฟ้ายามราตรีได้ เมธาจารย์เฮ่ากวงอยู่ห่างออกมาหลายจั้งก็ยังถูกพลังน่ากลัวขุมนั้นกระแทกจนต้องถอยหลังไปสองก้าว แทบจะยืนไม่อยู่
ทว่ากระต่ายอ้วนที่นอนหงายท้องและสมควรจะถูกฟ้าผ่าจนทั้งกระดูกและร่างกายแหลกเป็นผุยผงตัวนั้นกลับไม่เป็นอะไรสักนิด หลังสายฟ้าหายไปก็ยังคงนอนแผ่อยู่บนแท่นหยกด้วยสภาพสมบูรณ์ไร้ความเสียหายเช่นเดิม
ฟ้าแลบฟ้าร้องที่มีติดต่อกันไม่หยุดทำให้เสี่ยวฮุยสะดุ้งตื่น การเรียกโดยไร้เสียงจากเจ้านายและความปรารถนาอันรุนแรงที่อยากจะกลืนกินทุกสิ่งอย่างคอยวนเวียนไปมาในห้วงความคิด ในที่สุดมันก็ทนไม่ไหว ขยี้ตาพลางพลิกตัวคว่ำหน้าลง
พอมันลืมตาขึ้นก็ได้แสงสายฟ้าช่วยให้มองเห็นเมธาจารย์เฮ่ากวงใช้มือข้างหนึ่งจับคอเจ้านายของมันอยู่ และกำลังเบิกตามองมันด้วยสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด
มีคนชั่ว! อีกทั้งคนชั่วก็กำลังรังแกเจ้านายของข้า!
ความดุร้ายบ้าคลั่งที่ซ่อนอยู่ในตัวเสี่ยวฮุยพลันถูกทำให้ระเบิดออกมาในชั่วพริบตา ดวงตาโตสีดำสนิททั้งสองข้างพลันเปลี่ยนไปเหมือนกับเป็นหลุมดำที่มืดมิด มันแหงนหน้าขึ้นพลางอ้าปากกว้าง...
เสียงคำรามอันน่าสะพรึงจนไม่อาจบรรยายได้นั้นดังสะท้านฟ้าสะเทือนดิน กระทั่งกลบเสียงฟ้าร้องครั่นครื้นไปจนสิ้น ภูเขาผืนดินในระยะสิบหลี่รอบพระราชนิเวศน์กำลังโยกไหว
ผู้ที่มีตบะค่อนข้างอ่อนทั้งในและนอกพระราชนิเวศน์ถูกทำให้หมดสติไปทันที ยอดฝีมือของสำนักเฟิ่งเสินกับคนของแคว้นเซียงเยวี่ยที่เดิมทีกำลังประมือกันอยู่ก็พากันทนไม่ไหว หยุดต่อสู้แล้วปิดหูสกัดกั้นการโจมตีจากเสียงอันน่ากลัวนี้
เมธาจารย์เฮ่ากวงที่อยู่ใกล้เสี่ยวฮุยที่สุดย่อมจะเคราะห์ร้ายที่สุด ถึงกับถูกเสียงคำรามนี้ทำให้กระอักเลือดในทันที
นี่มันสัตว์ประหลาดอะไร! เมธาจารย์เฮ่ากวงไม่กล้าลังเลอีก เขายกตัวฉินโยวโยวขึ้นแล้วหันร่างหนีไปทันที
เขาคิดทึกทักเองว่ามีฉินโยวโยวเป็นตัวประกันในมือเช่นนี้จะสามารถช่วยชีวิตเขาได้ กลับไม่รู้เลยว่าตนเองได้ทำเรื่องผิดพลาดถึงชีวิต
เสี่ยวฮุยตาบอดตอนกลางคืน ที่มองเขาเห็นได้ก็ด้วยอาศัยชั่วพริบตาที่ฟ้าแลบ หากเขาโยนฉินโยวโยวทิ้งแล้วเก็บงำกลิ่นอายหลบหนีไป ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายนี้ บางทีเสี่ยวฮุยอาจจะคลาดกับเขาไปแล้ว แต่เขากลับพาฉินโยวโยวติดตัวไปด้วย เสี่ยวฮุยอาศัยใจที่สื่อถึงเจ้านายได้ช่วย กระทั่งหลับตามันก็ยังรู้ว่าเขาอยู่ที่ใด
ท่ามกลางพายุฝนกระหน่ำและฟ้าร้องฟ้าแลบ มีคนไม่น้อยมองเห็นว่าทางห้องสมาธิพลันมีหัวสัตว์ประหลาดขนาดมหึมาสูงถึงสามสี่จั้งปรากฏขึ้น ซึ่งมองเห็นดวงตาเครื่องหน้าของมันได้ไม่ชัด เห็นเพียงแต่ปากขนาดใหญ่ยักษ์งับอย่างแรงลงตรงตำแหน่งหนึ่งที่ด้านล่าง
“อ๊าก!” เสียงกรีดร้องโหยหวนดูไม่เหมือนเป็นเสียงที่มนุษย์จะเปล่งออกมาได้เลย เพราะมันเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและหวาดผวายิ่ง ดังสะท้อนก้องอยู่ในพายุฝนฟ้าคะนอง
กร๊อบๆ เอื๊อก! หัวใหญ่ยักษ์นั้นทำท่าเคี้ยวก่อนกลืน จากนั้นก็ค่อยๆ สลายหายไปท่ามกลางม่านฝน...
สิ่งที่มันกินลงไปคืออะไร!
พอนึกเชื่อมโยงไปถึงเสียงกรีดร้องก่อนหน้านี้ คนทั้งหมดต่างอดจะเย็นเยือกไปทั้งร่างไม่ได้...สัตว์ประหลาดน่ากลัวที่ปรากฏตัวขึ้นในพระราชนิเวศน์กะทันหันตัวนี้กำลังกินคน คนเป็นๆ ผู้หนึ่ง!
แค่คำเดียว...คนทั้งคนก็จบสิ้นแล้ว
สองฝ่ายที่ต่อสู้พากันตัวสั่นงันงกขึ้นมา ก่อนจะถอยกรูดไปหลายก้าวอย่างห้ามตนเองไม่ได้
คนสำนักเฟิ่งเสินที่มาสร้างความวุ่นวายด้วยการโจมตีพระราชนิเวศน์เพื่อให้เมธาจารย์เฮ่ากวงจับคนข้างในได้โดยสะดวกนั้น แต่ละคนในยามนี้ล้วนแต่หวาดระแวง ในสมองมีความคิดหนึ่งวาบผ่าน
เมธาจารย์เฮ่ากวงที่อยู่ข้างใน...ยังอยู่ดีหรือไม่
เสียงกรีดร้องนั้นน่าจะไม่ได้มาจากเขากระมัง ราชันยุทธ์ขั้นสิบสี่ที่สง่าผ่าเผย สัตว์อสูรอะไรร้ายกาจจนถึงกับกินเขาได้ในคำเดียว นี่เป็นไปไม่ได้กระมัง
ตอนนี้จะสู้ต่อหรือถอยดี หัวหน้าไม่กี่คนที่นำทัพมาเกิดความลังเล
เหลียงลิ่งนึกถึงคำที่ฉินโยวโยวพูดก่อนหน้านี้ เขามั่นใจว่าบริเวณห้องสมาธิของพระราชนิเวศน์ไม่มีทางมีคนของพวกตนอยู่ เสียงกรีดร้องเมื่อครู่เป็นเสียงบุรุษ เช่นนั้นก็เป็นไปได้มากว่าจะมีศัตรูบุกเข้าไป จากนั้นก็...
ผู้ที่ฝ่าเข้าไปได้ภายใต้การเฝ้าพิทักษ์ของราชันยุทธ์สามคนไม่มีทางมีฝีมืออ่อนด้อย เป็นไปได้มากว่าตบะจะสูงกว่าพวกเขา เหลียงลิ่งคิดถึงตรงนี้ก็อดจะตัวสั่นเล็กน้อยไม่ได้
เหลียงลิ่งเคยนำของกินไปส่งให้เสี่ยวฮุย และก็เคยพูดคุยคลุกคลีกับมัน เสี่ยวฮุยมีภาพจำต่อเขาไม่เลว เรียกเขาว่า ‘ท่านปู่เหลียง’ โดยตลอด เขายังจำสภาพของเสี่ยวฮุยยามร้องไห้โฮเพราะถูกจู้อวิ๋นเฟยทำให้ตกใจได้อยู่เลย
กระต่ายที่เปราะบางขี้ขลาดเช่นนี้ กับสัตว์ประหลาดที่น่าสยดสยองเมื่อครู่...ยากเหลือเกินที่จะเอาพวกมันมาเชื่อมโยงกันได้
เวลานี้เป็นโอกาสดีที่จะโจมตีจิตใจศัตรูให้ล่าถอยได้พอดี!
เหลียงลิ่งกระตุ้นอารมณ์ให้ฮึกเหิมขึ้นก่อนตะโกนเสียงดัง “โจรที่แอบเข้าพระราชนิเวศน์ได้ถูกสัตว์เทพที่จวนอ๋องเลี้ยงไว้กินไปแล้ว ในเมื่อคนที่เหลือยังอยากมารนหาที่ตาย พี่น้องทุกท่านก็ไม่ต้องเกรงใจแล้ว!”
สัตว์เทพที่จวนอ๋องเลี้ยงไว้? นั่นมันอสูรร้ายตัวใหญ่ที่น่ากลัวชัดๆ!
ยอดฝีมือสำนักเฟิ่งเสินที่เดิมจิตใจว้าวุ่นอยู่แล้วยิ่งรู้สึกกระวนกระวายกว่าเดิม
เวลานี้ก็มีเสียงกู่ร้องดังเป็นระลอกมาจากที่ไกลๆ
ความเคลื่อนไหวทางนี้ใหญ่โตเกินไป ทำให้เหล่าผู้อาวุโสที่เร้นกายอยู่ในหมู่บ้านซือตี้รู้ตัวแล้ว กลิ่นอายแข็งแกร่งเกรียงไกรหลายสายพากันรีบรุดมาทางนี้
“ถอย!” ยอดฝีมือสำนักเฟิ่งเสินไม่กี่คนที่เป็นหัวหน้าตะโกนบอก ก่อนพาคนอื่นๆ แยกย้ายหนีไปอย่างรวดเร็ว
เหลียงลิ่งเพิ่งจะโล่งอกก็เห็นขันทีชราชุดสีเขียวผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นทางด้านหน้า ขันทีชรามิได้ถือร่ม แต่น้ำฝนที่ตกลงใกล้ตัวเขาราวชุ่นสองชุ่นกลับถูกดีดสะท้อนเบาๆ ทั้งร่างเขาสะอาดสะอ้าน เดินมาหยุดลงเบื้องหน้าเหลียงลิ่งด้วยท่าทางเหมือนเดินเล่นอยู่ในสวน
“เหล่าท่านผู้เฒ่าถามว่าทางนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เหลียงลิ่งจำได้ว่าคนผู้นี้คือหัวหน้าผู้ดูแลอู่ที่ปรนนิบัติรับใช้ผู้อาวุโสทั้งหลายอยู่ที่หมู่บ้านซือตี้ จึงคารวะก่อนตอบว่า “เป็นสัตว์วิเศษของพระชายาเซิ่งผิงชินอ๋องเลื่อนขั้นอยู่ข้างใน แล้วมีคนของสำนักเฟิ่งเสินมาก่อกวนพอดี ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วขอรับ”
“อ้อ? สัตว์วิเศษของพระชายาเป็นชนิดใดและตบะอยู่ขั้นใดเล่า” หัวหน้าผู้ดูแลอู่อดจะแปลกใจไม่ได้
ภาพหัวขนาดใหญ่ของสัตว์ประหลาดเมื่อครู่นี้หายไปเร็วเกินไป หัวหน้าผู้ดูแลอู่รวมถึงคนอื่นที่เร่งรุดมาจึงไม่ทันได้เห็น ทว่าพวกเขาที่อยู่ไกลถึงหมู่บ้านซือตี้ก็ยังได้ยินเสียงคำรามสะท้านฟ้าสะเทือนดินชัดเจน
ไม่เพียงแค่หัวหน้าผู้ดูแลอู่ เพราะแม้แต่เหล่าผู้อาวุโสสกุลเหยียนที่เร้นกายอยู่ก็ยังสงสัยใคร่รู้เต็มประดา
เป็นสัตว์วิเศษเช่นใดถึงสามารถชักนำเคราะห์สายฟ้าที่น่ากลัวเพียงนั้นมา และสามารถส่งเสียงร้องสะท้านสะเทือนเพียงนั้นออกมาได้
เหลียงลิ่งแทบอยากจะยกมือเกาศีรษะ ให้บอกพวกเขาว่านั่นเป็นเสียงร้องของกระต่ายตัวหนึ่งอย่างนั้นหรือ คาดว่าหัวหน้าผู้ดูแลอู่จะต้องคิดว่าเขาเสียสติเป็นแน่
หัวหน้าผู้ดูแลอู่เห็นเหลียงลิ่งทำท่าจะตอบแต่ไม่ตอบก็รู้สึกทนไม่ไหวอยู่บ้าง เขากล่าวว่า “บัดนี้ดูท่าน่าจะเลื่อนขั้นสำเร็จแล้ว ข้าเข้าไปดูหน่อยได้หรือไม่”
เสียงฟ้าร้องบนท้องฟ้ากับเม็ดฝนมีทีท่าลดลงเป็นสัญญาณว่าผ่านด่านเคราะห์สำเร็จแล้วจริงๆ ทว่าเหลียงลิ่งนึกถึงฉากเหตุการณ์น่าขนลุกก่อนหน้านี้ รวมถึงคำเตือนของฉินโยวโยวที่ว่าให้พวกเขาเข้าไปได้เมื่อฟ้าสางแล้ว ก็รีบห้ามหัวหน้าผู้ดูแลอู่เอาไว้
“ทางที่ดีอย่าเพิ่งเข้าไปตอนนี้จะดีกว่าขอรับ” เหลียงลิ่งกล่าว ก่อนจะลดเสียงลงกระซิบข้างหูหัวหน้าผู้ดูแลอู่ “ในตัวสัตว์วิเศษของพระชายามีสายเลือดเทาเที่ย* อยู่...”
ภายในพระราชนิเวศน์ บนร่างฉินโยวโยวมีทั้งโคลนทั้งน้ำ ล้มอยู่บนพื้นในสภาพทุลักทุเล เมธาจารย์เฮ่ากวงที่จับตัวนางไว้ก่อนหน้านี้ได้หายตัวไปแล้ว
สตินางแจ่มชัดยิ่ง แต่ชีพจรที่ถูกเมธาจารย์เฮ่ากวงใช้ลมปราณสกัดยังคงติดขัดอยู่ ขยับไม่ได้ก็ได้แต่นอนตากฝนอยู่บนพื้นเช่นนี้
เสี่ยวฮุยก็แช่อยู่ในแอ่งโคลนไม่ไกลจากนาง
มันไม่ได้เป็นอะไร เพียงแต่เพิ่งตื่นก็กินราชันยุทธ์ขั้นสิบสี่เข้าไปเลยจุกอยู่บ้าง ต้องพักสักครู่ถึงจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
ฉินโยวโยวนึกถึงฉากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ขึ้นมาก็ยังรู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่าง นางเคยเห็นเสี่ยวฮุยทนไม่ไหวกลืนกระบือตัวใหญ่เข้าไปทั้งตัวขณะเลื่อนขั้น ทำเอาอาจารย์กับต้าจุ่ยตกใจวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง ที่ตอนนั้นนางไม่ได้หนีก็เป็นเพราะต้องคอยขวางเสี่ยวฮุยไว้ไม่ให้มันเผลอทำร้ายคนอื่นเข้า
ต่อมาภายหลังฉินโยวโยวจึงค่อยค้นพบ ไม่ว่านางอยู่ในสภาพใด เสี่ยวฮุยล้วนไม่มีทางทำร้ายนาง ดังนั้นทุกครั้งนางจึงอยู่เป็นเพื่อนมันเวลาเลื่อนขั้นเสมอ
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นเสี่ยวฮุยกินคน...คนเป็นๆ!
แม้จะเป็นคนร้ายที่ต้องการเล่นงานนาง แต่นั่นก็เป็นคนเช่นกัน
นางคิดถึงจุดนี้ก็รู้สึกกลัวจนตัวสั่น
อันที่จริงนางมิได้เห็นเองกับตา เพราะนางไม่กล้ามองโดยสิ้นเชิง
ยามบนตัวเสี่ยวฮุยปรากฏเงาร่างเทาเที่ยที่น่าสยดสยองตัวนั้นออกมา นางก็ตกใจจนหลับตาปี๋แล้ว
ฉินโยวโยวรู้สึกได้ว่าปากใหญ่ของเงาร่างนั้นกลืนกินนางเข้าไปด้วยกันแล้ว ทว่านางเพียงรู้สึกเหมือนมีบางอย่างเฉียดผ่านตัวนางไป จากนั้นคนชุดดำที่ข้างกายก็หายไปจากการรับรู้ของนาง มือที่กำคอนางอยู่ข้างนั้นก็หายไปเช่นกัน
นางได้ยินเสียงกรีดร้องสิ้นหวังก่อนตายของคนชุดดำชัดเจน ทั้งได้ยินเสียงเสี่ยวฮุยเคี้ยวเขาก่อนจะกลืนลงไป ตอนนี้หวนนึกถึงขึ้นมาก็ยังรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งร่าง
ฉินโยวโยวพยายามบังคับตนเองไม่ให้คิดมาก ทะลวงชีพจรบนร่างที่ถูกสกัดอยู่ให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน
ทว่ากำลังความสามารถของราชันยุทธ์ขั้นสิบสี่มิใช่เล่นๆ เลย ฝนกำลังจะหยุด จันทร์กระจ่างกำลังจะโผล่พ้นหมู่เมฆอยู่รอมร่อ นางก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นแม้แต่น้อย...
รอให้ฟ้าสางพวกเหลียงลิ่งเข้ามาเห็นสภาพอันทุลักทุเลของข้ากับเสี่ยวฮุยคงได้ขายหน้าตายจริงๆ แล้ว!
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังใกล้เข้ามา...
รองเท้าบุรุษพลันปรากฏขึ้นตรงหน้านาง เป็นรองเท้าสีขาวปักลายเมฆงามดูสูงค่าด้วยดิ้นเงินดิ้นทองคู่หนึ่ง เหนือรองเท้าขึ้นไปเป็นปลายชุดแพรตัวยาวงดงามสดใสสีเขียวไม้ไผ่
ฉินโยวโยวจำได้ว่าในพระราชนิเวศน์ไม่มีบุรุษที่สามารถสวมอาภรณ์หรูหราราคาแพงเช่นนี้ได้
อาศัยแสงจันทร์กระจ่าง นางก็มองเห็นเจ้าของชุดแพรตัวยาวชัดเจน นั่นเป็นชายหนุ่มที่รูปโฉมน่ามองยิ่งยวด บนใบหน้ามีรอยยิ้มอบอุ่น ตลอดทั้งร่างคล้ายมีกลิ่นอายสดใสของฤดูใบไม้ผลิอบอวลอยู่
ทว่าฉินโยวโยวเห็นเขาแล้วกลับคล้ายตกลงไปในโพรงน้ำแข็ง
นางพลันนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา คนที่นางยังไม่เคยพบ ทว่ากลับกลัวแทบตาย
บุรุษผู้นั้นยิ้มพลางยกนิ้วทำท่าบอกให้เงียบ จากนั้นก็ก้มตัวลงแล้วอุ้มฉินโยวโยวขึ้นจากพื้น ก่อนยิ้มพลางกระซิบว่า “ทุลักทุเลถึงเพียงนี้กลับมิได้งามน้อยลงเลย พระชายาเป็นคนงามล่มบ้านล่มเมืองอย่างที่คิดไว้จริงๆ เหยียนตี้ทิ้งเจ้าให้เฝ้าห้องหอว่างเปล่าเพียงลำพังที่เมืองหลวงเช่นนี้ไม่ควรเลย”
แสงอรุณแรกฉายฉาน บนถนนหลวงนอกพระราชนิเวศน์มีเสียงฝีเท้าม้าถี่กระชั้นดังมา
เหลียงลิ่งกำลังเตรียมจะเข้าพระราชนิเวศน์ไปดูฉินโยวโยวกับเสี่ยวฮุย ครั้นได้ยินเสียงกีบเท้าก็รีบหันหน้ากลับไป มองเห็นเหยียนตี้ขี่ม้ามังกรนิลตัวหนึ่งมุ่งหน้ามาทางนี้ด้วยสภาพเนื้อตัวมีแต่คราบฝุ่น
ม้ามังกรนิลเป็นม้าศึกชั้นยอดที่เร็วที่สุดในกองทัพ ไม่ว่าตัวใดก็มีความเร็วและความสามารถเทียบเท่าสัตว์วิเศษขั้นสี่ แคว้นเซียงเยวี่ยเองก็มีเพียงยี่สิบตัว
ทางนี้เพิ่งได้ยินเสียงกีบเท้า ทางนั้นม้าก็ห้อมาถึงเบื้องหน้าคนทั้งหลายแล้ว
เหยียนตี้ไม่รอให้ม้ามังกรนิลหยุดฝีเท้า กระโดดลงจากหลังม้าแล้วก้าวมาถามเหลียงลิ่งทันที “พระชายาเล่า ไฉนพวกเจ้าถึงออกมาอยู่ข้างนอก”
เหลียงลิ่งไม่มีเวลาให้ห่วงทำความเคารพ รีบตอบว่า “เมื่อคืนสัตว์วิเศษของพระชายาเลื่อนขั้น มีรับสั่งห้ามพวกกระหม่อมเข้าข้างในพระราชนิเวศน์ก่อนฟ้าสางพ่ะย่ะค่ะ”
เหยียนตี้นึกถึงข่าวที่ได้ยินมาระหว่างทาง สังหรณ์ไม่ดีในใจก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
เขาพุ่งตัวตรงไปยังห้องสมาธิที่เสี่ยวฮุยกับต้าจุ่ยปิดด่านกักตัวอยู่โดยไม่พูดอะไร ที่นั่นถูกสายฟ้ารุนแรงทำลายจนกลายเป็นซากปรักหักพังแล้ว ไม่มีเงาของฉินโยวโยวอยู่ เห็นเพียงเสี่ยวฮุยนอนหลับไม่ได้สติอยู่ในแอ่งโคลนด้วยสภาพมอมแมมสกปรก
บนหินภูเขาจำลองก้อนหนึ่งที่ห่างจากมันไม่ไกลมีปิ่นหยกเขียววางทับบนกระดาษเขียนจดหมายสีเขียวอ่อนอยู่ มีอักษรตัวเล็กงดงามบรรจงเขียนไว้แถวหนึ่ง
‘เชิญคนงามไปเยือนบ้านสักหน่อย ท่านอ๋องมิต้องคิดถึง’
ลงท้ายชื่อว่า...เมธาจารย์ซวี่กวง! ส่วนปิ่นหยกเขียวอันนั้น เหลียงลิ่งเห็นปราดเดียวก็จำได้ว่าเป็นอันที่ปักอยู่บนผมของฉินโยวโยว
เหยียนตี้กำกระดาษแผ่นนั้นแน่น รู้สึกเพียงไอหนาวเหน็บแผ่ไปทั้งร่าง อักษรแต่ละตัวบนนั้นราวกับเป็นมีดแหลมที่เฉือนลงบนหัวใจของเขา
เหลียงลิ่งกับราชันยุทธ์อีกสองคนคิดไม่ถึงว่าภายใต้การคุ้มครองของพวกตนสามคน รวมกับมีสัตว์วิเศษที่ได้ข่าวว่าร้ายกาจยิ่งอย่างเสี่ยวฮุยอยู่ข้างๆ พระชายายังถึงกับถูกคนลักพาตัวไปอย่างไร้สุ้มเสียงเช่นนี้
คนทั้งสามก้มหน้ารับผิดพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย พวกเขาอาจจะไม่กระจ่างแจ้งถึงความสำคัญที่พระชายาเซิ่งผิงชินอ๋องมีต่อแคว้นเซียงเยวี่ยเท่าไรนัก แต่ความสำคัญที่นางมีต่อท่านอ๋อง ขอเพียงมีตาก็ล้วนมองออกได้ทั้งนั้น
“ตรวจสอบดูว่าเขาลอบเข้ามาอย่างไร แล้วพาคนจากไปได้อย่างไร!” เหยียนตี้พยายามสะกดกลั้นความหวั่นวิตกและเดือดดาลร้อนรนภายในใจเอาไว้ ยื่นกระดาษในมือให้เหลียงลิ่ง
ตอนนี้มิใช่เวลามาสืบสาวหาว่าใครต้องรับผิดชอบ หาตัวฉินโยวโยวกลับมาให้ได้ก่อนถึงจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด นางอยู่ในมือคนบ้าคลั่งอย่างเมธาจารย์ซวี่กวงนานขึ้นแม้เพียงชั่วครู่ ก็เป็นไปได้มากที่นางจะได้รับอันตรายที่น่ากลัวที่สุด
เขากลัวว่าฉินโยวโยวที่หาตัวกลับมาได้จะกลายเป็นหุ่นเชิดมีชีวิตที่สูญเสียจิตสำนึกของตนเองไป หรืออาจถึงขั้นกลายเป็นศพ
เมธาจารย์ซวี่กวงหาวิธีที่ดีที่สุดในการยั่วยุเขาเจอแล้วจริงๆ
โยวโยว เจ้าจะต้องปลอดภัย!
(ติดตามต่อได้ในฉบับรูปเล่ม)
Comments
comments
No tags for this post.