บทที่ 1 ตามหาศิษย์พี่ที่รักพบ
สายฝนโปรยปรายเพิ่งจะผ่านไปไม่นาน พื้นถนนยังคงชื้นแฉะ หลังจากฝนหยุดตกแล้วลมฤดูใบไม้ร่วงหนาวเย็นยังคงพัดอยู่ตลอดเวลา
เวลาสี่ทุ่มครึ่ง โม่เหยาขับรถกลับบ้าน ขณะขับผ่านสะพานขนาดใหญ่ก็เห็นสาวน้อยคนหนึ่งสวมใส่เสื้อผ้าแปลกประหลาดกำลังชะโงกศีรษะลงไปทางแม่น้ำที่ไหลผ่านใต้สะพาน
เนื่องจากถนนสายนี้ไม่ได้อยู่ใจกลางเมือง อีกทั้งยังเป็นเวลากลางคืน คนเดินถนนกับรถราจึงน้อยมาก การที่จู่ๆ ก็มีคนแต่งตัวและทำท่าอย่างกับมนุษย์ต่างดาวโผล่ออกมาช่างดึงดูดความสนใจมากจริงๆ
เด็กสาวที่ต้องสงสัยว่าจะกระโดดน้ำดูอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปด สวมชุดกระโปรงรัดเอวสีเขียวต้นหอมที่เปื้อนไปด้วยโคลนเข้าคู่กับกางเกงสีเดียวกัน สวมรองเท้าปักลายสีแดงพื้นขาว สะพายกระบี่ยาวเล่มหนึ่งไว้ที่หลัง ในมือหิ้วห่อผ้าสีน้ำเงิน บริเวณเอวยังห้อย ‘กระบอกน้ำ’ ทรงน้ำเต้าด้วย ผมดำที่ยาวประบ่าก็คล้ายกับถูกสุนัขขบแทะจนไม่สม่ำเสมอ มีเส้นผมหลายเส้นที่เลอะโคลนจนจับตัวกันเป็นก้อน
แม้เสื้อผ้าและเส้นผมของเด็กสาวจะดูสกปรกมอมแมม แต่ใบหน้ารูปไข่กลับอิ่มเอิบงดงาม คิ้วเรียวเชิดขึ้นเล็กน้อย ดวงตาทรงดอกท้อได้มาตรฐาน ขนตาทั้งยาวและงอน สันจมูกตั้งตรงสวย ปากรูปผลเชอรี่ ท่าทางตกใจนั้นทำให้ยิ่งน่าประทับใจ
แน่นอนว่าจากมุมของโม่เหยาทำให้มองไม่เห็นหน้าตรงของเด็กสาว แต่จากการกวาดตามองผ่านๆ ก็รู้สึกว่าท่าทางลับๆ ล่อๆ ของเธอคงเป็นเพราะดูละครทะลุมิติมากเกินไป แต่งกายก็เหมือนกับแม่นางในยุทธภพที่มาจากยุคโบราณ ในใจคิดว่าเธอคงเป็นหนุ่มสาวสมัยนี้ที่เสาะหาแฟชั่นที่เป็นเอกลักษณ์ แต่งตัวตามอำเภอใจ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้มีความรู้สึกดีๆ กับเด็กสาวเท่าไรนัก
เด็กสาวในชุดแปลกประหลาดนี้ก็คือเยี่ยจื่อชิว เวลานี้นางทั้งหิวและหวาดกลัว พอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสี่ชั่วยาม ก่อนตอนที่เพิ่งมาถึงสถานที่แห่งนี้ เยี่ยจื่อชิวก็เกิดความรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง
ตอนนั้นนางมายังสถานที่แปลกประหลาดนี้อย่างงุนงง จากนั้นก็กลิ้งเข้าไปในหลุมที่มีน้ำขังอยู่โดยไม่ทันระวังจนเลอะโคลนไปทั้งตัว ไม่ต้องพูดเลยว่ามีสภาพอเนจอนาถมากเพียงใด
พอปีนขึ้นมาได้ก็เห็นชายหนุ่มถักผมสีแดงเป็นเส้นใหญ่ๆ ทั่วศีรษะ ปากพ่นควันสีขาวก้าวเข้ามาหา ในมือเขาถือสิ่งของแปลกพิลึกที่เปล่งแสงได้ หัวเราะด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
‘คนสวย ทำไมมาอยู่ที่นี่คนเดียว หรือว่าหาทางกลับบ้านไม่เจอ กลับบ้านไปกับพี่เถอะ พี่ชายหิวจะตายอยู่แล้ว อยาก ‘กิน’ เธอเข้าไปแล้วล่ะ’
กินคนงั้นหรือ จู่ๆ เยี่ยจื่อชิวก็นึกถึงเรื่องที่อาจารย์เคยกล่าวไว้ตอนนางยังเยาว์วัย ปีศาจกินคนมีขนสีแดงเป็นส่วนมาก อีกทั้งปีศาจในคราบมนุษย์ที่ปากพ่น ‘ไอปีศาจ’ โดยพื้นฐานแล้วต่างเป็นปีศาจเฒ่าพันปี เมื่อคนตัวเล็กและอ่อนแอตกอยู่ในเงื้อมมือพวกมันจะแปรเปลี่ยนไปเป็นซากกระดูก!
พออีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ เยี่ยจื่อชิวก็รู้สึกขนลุกขนพองไปทั้งตัว ความหนาวเย็นพุ่งจากฝ่าเท้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มีชีวิตมาจนโตถึงเพียงนี้นางไม่เคยเห็นปีศาจขนแดงที่อาจารย์เคยกล่าวถึงว่ากินคนเพื่อมีชีวิตรอดมาก่อน ใครเลยจะคิดว่าวันนี้จะได้พบเข้าตนหนึ่งในสถานที่ที่มีปัญหา!
สมองของเยี่ยจื่อชิวแข็งทื่อไปแล้ว นางนิ่งอึ้งมองดูชายหนุ่มใบหน้าปูดโปนอัปลักษณ์พลางกล่าว ‘ปี…ปีศาจขนแดง…’ เสียงของนางไม่นับว่าดังทว่ากลับดึงดูดให้คนเดินถนนชำเลืองมองมาเมื่อได้ยิน
ชายหนุ่มเห็นอย่างนั้นก็อับอายจนพาลโมโห เขาหยุดอยู่ตรงหน้าเยี่ยจื่อชิว ดวงตาที่โตกว่าตาหนูไม่เท่าไรพลันผุดรังสีดุดัน เขาสูดบุหรี่เข้าลึกแล้วพ่นควันทั้งหมดลงบนใบหน้าของเยี่ยจื่อชิว ก่อนจะแยกเขี้ยวยิงฟันเผยให้เห็นฟันเหลืองพร้อมตะคอก
‘แกสิปีศาจขนแดง! เป็นปีศาจขนแดงกันทั้งบ้าน!’
ปีศาจตนนี้ดุร้ายนัก! เยี่ยจื่อชิวสำลัก ‘ไอปีศาจ’ ของอีกฝ่ายจนน้ำมูกน้ำตาไหล นางไออยู่นานก่อนจะสูดจมูกร้องขอความเมตตาไม่หยุด
‘ท่าน…ปี…ปีศาจโปรดไว้ชีวิต อย่าได้กินข้าเลย ข้าน้อยหนังหยาบเนื้อหนาทั้งร่างกายเจือด้วยกลิ่นเหม็น ไม่อร่อยยิ่งนัก กระทั่งหมาป่าในพงไพรต่างก็รังเกียจจนต้องเบือนจมูกหนีข้าไปกันทั้งนั้น!’
‘แกเป็นบ้าหรือไง เห็นตัวเองเป็นนักเล่านิทานรึ!’ ชายหนุ่มงุนงงกับพฤติกรรมไม่ปกติของเยี่ยจื่อชิว เขาปรายตามองเด็กสาวตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่งแล้วพูดอย่างดูถูกเหยียดหยาม ‘แกไปขุดเสื้อผ้าโทรมๆ แบบนี้มาจากที่ไหน เห็นตัวเองเป็นหัวผักกาดแดงหุ้มด้วยกระสอบหรือไง อีกเดี๋ยวฉันจะไป ‘กิน’ คน ไม่หาประสบการณ์กับคนบ้าอย่างแกหรอก!’
‘ใช่ๆๆ ข้าน้อยเป็นหัวผักกาดแดงหุ้มด้วยกระสอบ บ้าบอยิ่งนัก’ เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจจะกินตนแล้ว เยี่ยจื่อชิวก็ยินดีปรีดา ผงกศีรษะคล้อยตามไม่หยุดพลางคิดในใจว่าช่วงเวลาอันตรายเช่นนี้ถึงอย่างไรก็พูดจาโอนอ่อนผ่อนตามไว้สักหน่อยดีกว่า รักษาชีวิตเป็นเรื่องสำคัญ
แม้ ‘ปีศาจขนแดง’ ตนนั้นจะไม่ได้รังแกนาง แต่เรื่องนี้ก็ทิ้งเงามืดหยั่งลึกเอาไว้ให้เยี่ยจื่อชิวผู้ซึ่งมาถึงได้ไม่นาน
สี่ชั่วยามต่อมาเงามืดนี้ก็ไม่ได้เลือนหายไป เพราะนางสามารถพบปีศาจพ่นควันสีขาวได้ทั่วทุกแห่งหน ทว่าที่แตกต่างไปจากที่อาจารย์กล่าวไว้ก็คือคล้ายว่าที่นี่จะมี ‘ปีศาจขนดำ’ มากกว่า
‘อาจารย์ ที่นี่ช่างน่ากลัวเหลือเกิน เยี่ยจื่ออยากกลับบ้านเจ้าค่ะ’ เยี่ยจื่อชิวที่ได้สติกลับมาจากความทรงจำปาดเหงื่อบนศีรษะพลางพึมพำกับตนเอง มีประสบการณ์ครั้งหนึ่งแล้ว พอได้พบกับปีศาจอีกครั้งนางก็จะหลบลี้ไปให้ไกล ไม่กล้าแม้กระทั่งจะหายใจแรง
อีกทั้งยังเดินมานานมากแล้ว สีของท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ผู้คนบนถนนก็ลดน้อยลง กระทั่ง ‘กล่องเหล็ก’ ที่แล่นบนถนนด้านข้างด้วยความเร็วสูงซ้ำยังเปล่งเสียงร้องได้ก็น้อยลงไปมาก
ร่างกายที่เกร็งตึงของเยี่ยจื่อชิวค่อยๆ อ่อนยวบลง หากกล่าวให้ถูกต้องก็คือนางถูกความกระหาย ความหิว ความเหนื่อยล้า และความกลัวทรมานจนร่างกายจะทรุดโทรมแล้ว
‘ข้าอยากกินข้าว กินข้าวเยอะๆ ข้าวเยอะๆ เลย’ เยี่ยจื่อชิวนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวริมสะพาน นางแหงนมองดวงจันทร์บนฟ้าพลางน้ำลายไหล ดวงจันทร์กลมโตเหมือนไข่ตุ๋น เหมือนขนมเปี๊ยะก้อนใหญ่ เหมือนขนมไหว้พระจันทร์ เหมือน…
‘โครก’ ทุกครั้งที่นึกถึงอาหาร เยี่ยจื่อชิวจะกลืนน้ำลายที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยหนึ่งครั้ง ไม่รอให้กลืนน้ำลายครั้งที่สี่ ท้องก็ร้องเสียงดังกังวาน
กลางดึก ความสว่างของ ‘โคมไฟ’ ไม่กี่ดวงของที่นี่สามารถเทียบกับไข่มุกราตรีได้เลย เมื่อได้อยู่ในสถานที่ซึ่งมีแสงไฟมืดสลัวและมีผู้คนเดินกันบางตา เยี่ยจื่อชิวก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นมากโข
ตอนนี้เองจู่ๆ นางก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบหยิบเสื้อผ้าออกมาจากห่อผ้าแล้วเปลี่ยนชุดด้วยความรวดเร็ว เสื้อผ้าของนางล้วนแต่มีเนื้อผ้าธรรมดา รูปแบบเก่าล้าสมัย อาจารย์เคยกล่าวไว้ว่าเด็กสาวออกเดินทางเร่ร่อนตัวคนเดียวสวมใส่ผัดหน้าเรียบง่ายได้ก็ให้เรียบง่ายเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นด้วยใบหน้างดงามของนางจะก่อให้เกิดความยุ่งยากมากมาย
เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยเยี่ยจื่อชิวก็ค้นห่อผ้าจนทั่ว ค้นออกมาเจอเพียงเหรียญทองแดงสิบเหรียญ นางมองทรัพย์สินทั้งหมดที่มีในฝ่ามือด้วยความกลัดกลุ้ม ขมวดคิ้วสับสนอยู่นานสองนาน สุดท้ายก็กัดฟันคว้าห่อผ้าออกเดินทาง
ไม่มีอะไรตกถึงท้องเป็นเวลาเกือบสิบชั่วยามแล้ว ปีศาจหรือไม่ใช่ปีศาจอะไรกัน ต่อหน้าความหิวโหย ความหวาดกลัวจะนับเป็นสิ่งใด!
เดินไปได้หนึ่งเค่อ* กว่าเยี่ยจื่อชิวก็หยุดนิ่ง ก่อนมองดูผู้คนกำลังกินข้าวอยู่หลังหน้าต่างกระจกโปร่งใสด้วยดวงตาเปล่งประกาย
‘ที่นี่แล้วกัน’ เยี่ยจื่อชิวกำเหรียญทองแดงสิบเหรียญในมือแน่น เกิดความมั่นใจในฉับพลัน สาวเท้ายาวเข้าไปข้างในด้วยความกล้าหาญ
‘แมคโดนัลด์ยินดีต้อนรับค่ะ’ เมื่อเห็นลูกค้าเข้ามาในร้าน พนักงานก็กล่าวต้อนรับอย่างกระตือรือร้นทันที
เยี่ยจื่อชิวสวมใส่ชุดจอมยุทธ์หญิงแบบโบราณ เรียกสายตาที่มีทั้งความประหลาดใจและเย้ยหยันของผู้คนในทันทีที่นางเดินเข้ามา
ทั้งวันมานี้เยี่ยจื่อชิวคุ้นชินกับสีหน้าท่าทางแบบนี้แล้ว นางเลือกนั่งบริเวณที่ไม่มีคน กระแอมทำความสะอาดลำคอก่อนตะโกน
‘เสี่ยวเอ้อร์ เอาซาลาเปามาสองลูก แล้วก็เอานารีแดง สองตำลึง’
สิ้นคำกล่าว ร้านอาหารที่นับว่าค่อนข้างเงียบก็เงียบสงัดลงอีก ทุกคนต่างจดจ้องเยี่ยจื่อชิวราวกับมองคนโง่
ผ่านไปครู่หนึ่งไม่รู้ว่าใครอดกลั้นไม่ไหวหัวเราะเสียงอู้อี้ขึ้นมา จากนั้นก็มีเสียงลอบหัวเราะทยอยดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เยี่ยจื่อชิวไม่เข้าใจ ดวงตากลมโตมองไปมาอยู่หลายรอบ ในหัวเต็มไปด้วยคำถาม
คุณป้าที่กำลังทำความสะอาดเห็นเยี่ยจื่อชิวทำหน้าโง่งมจึงชี้ไปทางเคาน์เตอร์แล้วบอกว่า ‘ไปสั่งอาหารตรงนั้น’
‘สวัสดีค่ะ กรุณาสั่งอาหารตรงนี้นะคะ’ เนื่องจากใกล้จะห้าทุ่มแล้ว ในร้านจึงมีคนน้อย บริเวณที่สั่งอาหารมีพนักงานหญิงอยู่เพียงคนเดียว เวลานี้กำลังร้องทักเยี่ยจื่อชิวด้วยรอยยิ้ม
‘หา? อ๋อๆ’ คำถามภายในใจของเยี่ยจื่อชิวไม่ได้ลดน้อยลง นางลงจากเขาตามหาศิษย์พี่มานานถึงสามปีก็ไม่เคยพบร้านอาหารใดพิถีพิถันถึงเพียงนี้มาก่อน
พอเดินมาที่หน้าเคาน์เตอร์ เยี่ยจื่อชิวก็กล่าวคำเมื่อครู่ซ้ำอีกรอบ ‘เอาซาลาเปาสองลูกแล้วก็นารีแดงสองตำลึง’
รอยยิ้มหวานบนใบหน้าพนักงานแตกสลายในทันใด สายตาจดจ้องอยู่ที่เสื้อผ้าและกระบี่ยาวบนหลังของเยี่ยจื่อชิว สุดท้ายก็จดจ้องดวงตาของเด็กสาว
‘ขอโทษนะคะ พวกเราขายแค่พวกแฮมเบอร์เกอร์กับปีกไก่ ไม่ได้ขายของที่คุณสั่งค่ะ’
‘ไม่ขายงั้นหรือ’ ใบหน้างดงามของเยี่ยจื่อชิวง้ำงอ อาหารที่นางสั่งไปทั้งหมดน้อยมาก ซาลาเปาสองลูกยังไม่พอยัดใส่ร่องฟันด้วยซ้ำ นารีแดงสองตำลึงนางอยากเอามาใช้ปลอบขวัญ อาหารเหล่านี้ล้วนแต่เป็นของราคาถูกมาก ไม่เข้าใจเลยว่าร้านอาหารที่พิถีพิถันถึงเพียงนี้เหตุใดจึงไม่มีขาย
‘ใช่ค่ะ’
‘เช่นนั้นเงินสิบตำลึงซื้ออะไรกินได้’ จบคำกล่าว ท้องก็ส่งเสียงโครกๆ ดังลั่น เยี่ยจื่อชิวอยากหาที่มุดเข้าไปด้วยความอับอาย
‘สิบตำลึง?’ คราวนี้พนักงานหัวเราะไม่ออก เธอมองเยี่ยจื่อชิวอย่างจริงจัง ‘คุณมาที่นี่เพื่อก่อความวุ่นวายใช่ไหม!’
ฟังคำนี้จบในใจเยี่ยจื่อชิวพลันตื่นตระหนก เงยหน้าขึ้นทันใด นางกล่าวอย่างไม่เข้าใจว่า ‘แม่นางกล่าวสิ่งใด ข้าเดินเท้ามาทั้งวันยังไม่ได้กินอาหาร เวลานี้ท้องหิวจนเหลือทน จนใจที่ในมือมีเพียงเงินเท่านี้แล้ว’
เยี่ยจื่อชิวกล่าวด้วยสีหน้าเจ็บปวดพลางวางเหรียญทองแดงสิบเหรียญที่กำจนอุ่นลงบนเคาน์เตอร์เบาๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเคลื่อนย้ายสายตาไปจากพวกมันได้ คล้ายกับว่าเหรียญทองแดงเหล่านี้เป็นกระดูกและเนื้อของนางที่กำลังจะลาจากไป
พนักงานดวงตาวาววาบ หยิบเหรียญเหรียญหนึ่งขึ้นมาดูว่าเป็นของยุคสมัยไหน วางแผนว่าหากเหรียญทองแดงมีราคา เธอก็จะนำเงินสดมาแลกเปลี่ยน
รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของพนักงานเมื่อเห็นเหรียญทองแดง แต่หลังจากได้เห็นตัวอักษรบนเหรียญ ใบหน้าก็พลันดำคล้ำราวกับก้นหม้อ เธอหยิบเหรียญเก้าเหรียญที่เหลือขึ้นมาดูทีละเหรียญ ทุกครั้งที่ดูเหรียญหนึ่งสีหน้าก็ดำคล้ำขึ้นหนึ่งส่วน เธอปัดเหรียญทองแดงที่น่าโมโหทั้งหมดกลับไปตรงหน้าเยี่ยจื่อชิวอย่างโกรธเคือง จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร
‘เธอหมายความว่ายังไง’
เดิมทีคิดว่าสี่ด้านของเหรียญทองแดงจะสลักด้วยตัวหนังสือ ‘เหรียญกษาปณ์คังซี’ หรือ ‘เหรียญกษาปณ์เฉียนหลง’ อะไรพวกนั้น ใครจะคิดว่าเหรียญทองแดงนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างยิ่ง บนเหรียญสลักตัวอักษรแวววับสี่ตัวว่า ‘กิน ดื่ม เล่น สนุก’
‘ไอ้หยา’ เยี่ยจื่อชิวประคองเหรียญทองแดงด้วยความรักสุดหัวใจ นางเหลือบมองพนักงานอย่างไม่พอใจ ‘นี่เป็นถึงทรัพย์สินอย่างเดียวที่ข้ามี ปัดเสียหายไปเจ้าจะชดใช้งั้นหรือ!’
‘เสียหายไปจะเป็นอะไร เงินปลอมเสียหายไปฉันยังได้ทำประโยชน์ให้กับสังคม!’ พนักงานคร้านจะต่อล้อต่อเถียงแล้ว หันหน้าได้ก็ตะโกนเรียกเสียงสูง ‘ผู้จัดการคะ ตรงนี้มีพวกต้มตุ๋นค่ะ!’
‘เงินปลอมหรือ’ ใบหน้าเยี่ยจื่อชิวเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง นางจดจ้องพลางเอ่ยถาม ‘ข้าเยี่ยจื่อชิวไม่เคยใช้เงินปลอมมาก่อน! เจ้าว่านี่คือเงินปลอมงั้นหรือ มีหลักฐานหรือไม่ นำหลักฐานมาไม่ได้ก็คือเจ้าเจตนาใส่ความข้า จำต้องลากเจ้าไปพบทางการ ให้จวนว่าการตัดสินถูกผิด!’
คนที่กินอาหารในร้านแมคโดนัลด์เหลือไม่ถึงสิบคน รวมกับพนักงานที่ทำงานอยู่ก็ไม่เกินสิบห้าคน ตรงนี้เกิดความวุ่นวายขึ้น ทุกคนต่างก็หยุดมือที่กำลังกินอาหารแล้วมองมา ทุกครั้งที่เยี่ยจื่อชิวกล่าวประโยคที่ ‘ผิดปกติ’ ออกมา ในใจของคนไม่กี่คนเหล่านี้ก็หัวเราะเยาะขึ้นหนหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะเห็นอกเห็นใจพนักงานคนนั้น
‘มาแล้ว มีเรื่องอะไร’ ชายอายุประมาณสามสิบคนหนึ่งรีบเร่งเข้ามา
‘ผู้จัดการดูสิ คนคนนี้น่ะค่ะ’ พนักงานชี้มายังเยี่ยจื่อชิวเป็นการต่อว่า ‘แต่งตัวแบบนี้มาสั่งซาลาเปากับนารีแดงที่นี่ ทำทีเป็นว่ามาจากยุคโบราณ! เอาเหรียญทองแดงปลอมมาซื้อของ เห็นหนูเป็นคนโง่! ข่มขู่ว่าจะลากตัวหนูไปจวนว่าการ แน่ใจเหรอคะว่าตัวเองไม่ได้กำลังละเมออยู่น่ะ’
‘ตัวเองๆๆ ตีสนิทกับข้าให้น้อยๆ หน่อย!’ เยี่ยจื่อชิวเองก็เดือดดาลขึ้นมาเช่นกัน นางวางเหรียญทองแดงก่อนชี้พลางกล่าวว่า ‘เหรียญทองแดงในราชวงศ์ตี้ของข้าหน้าตาเป็นเช่นนี้ เจ้ามาจากที่ใดจึงกล่าวว่าเป็นของปลอม สตรีผู้นี้รังแกข้าที่มาเยือนเป็นครั้งแรกอีกทั้งยังไร้ญาติขาดมิตร กระต่ายเมื่อถึงตาจนยังรู้จักกัดคน บีบคั้นให้ข้าตรงเข้ากัดเจ้า!’
จะยุแหย่ใครก็ไม่อาจยุแหย่คนหิว โดยเฉพาะกับคนที่หิวจนอยากจะแทะเปลือกไม้ เวลานี้ความกล้าของคนก็พุ่งสูงเป็นร้อยเป็นพันเท่า หากบอกว่าเยี่ยจื่อชิวซึ่งเพิ่งจะมาถึงเมืองนี้เป็นคนไร้ความสามารถ ขี้ขลาดราวกับหนูแล้วล่ะก็ นางในเวลานี้ก็ยิ่งเป็นดังอันธพาลหญิงที่ฮึกเหิม
‘ราชวงศ์ตี้งั้นเหรอ ฮ่าๆๆๆ’ ผู้จัดการหัวเราะเสียงแห้ง มองดูเยี่ยจื่อชิวที่เดือดดาลอย่างหมดคำพูด ‘น้องสาวผู้มาจากราชวงศ์ตี้ เธอมาผิดที่แล้ว พวกเราที่นี่อยู่ในราชวงศ์เทียน ประตูอยู่ทางนั้น ไปดีล่ะ ไม่ไปส่งล่ะนะ’
น้ำเสียงเสียดสีของผู้จัดการหนักหน่วงเป็นอย่างยิ่ง ทว่าเยี่ยจื่อชิวไม่มีเวลาจะใส่ใจ เพราะความใส่ใจของนางถูกดึงดูดด้วยคำสองคำไปเสียแล้ว
‘ราชวงศ์เทียน?’ ความเดือดดาลเต็มหัวอกพลันถูกน้ำเย็นสาดจนมอดไปกว่าค่อนหนึ่ง แววตาเข้าใจค่อยๆ ปรากฏขึ้นในดวงตา สิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ทำให้นางเข้าใจอะไรขึ้นมาแล้ว
ปัจจุบันใต้หล้าแบ่งเป็นสองแคว้น…แคว้นเทียนกับแคว้นตี้ ได้ยินมานานแล้วว่าแคว้นเทียนเจริญรุ่งเรืองกว่าแคว้นตี้มากนัก วันนี้ได้มาเห็นก็สมคำเล่าลือจริงเสียด้วย ที่นี่เจริญรุ่งเรืองจนกระทั่งปีศาจขนสีต่างๆ ที่พ่นควันสีขาวออกจากปากยังเยอะเสียยิ่งกว่ากระต่าย
เยี่ยจื่อชิวกะพริบตา เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ ‘ที่นี่คือราชวงศ์เทียนจริงหรือ เจ้าไม่ได้โป้ปดข้านะ’
‘เธอเห็นทุกคนเป็นเหมือนกับเธอไปหมดหรือไง เอาเหรียญทองแดงปลอมมาหลอกกินหลอกดื่ม บนเหรียญทองแดงยังสลักว่า ‘กินดื่มเล่นสนุก’ อย่างนั้นสมอง ‘ฮ่องเต้’ ของเธอเลอะเลือนแล้วล่ะ!’ พนักงานกลอกตาใส่เยี่ยจื่อชิวอยู่หลายหน
‘สมองเลอะเลือน’ ได้ยินเข้าก็โยงไปถึงความหมายที่ว่าสมองพิการ สิ่งนี้นางเข้าใจ!
เมื่อโอรสสวรรค์ถูกดูแคลน เยี่ยจื่อชิวก็บันดาลโทสะ ชักกระบี่ยาวออกมาพร้อมตวาด ‘บังอาจ! ดูแคลนบรรพบุรุษราชวงศ์ตี้ ข้าจะตัดลิ้นเจ้าไปให้สุนัขกิน!’
‘แม่เจ้า!’ พนักงานหวีดร้องเสียงหลงพลางทรุดนั่งลงกับพื้น มือทั้งสองข้างกุมศีรษะเอาไว้ ใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ
ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดตื่นตกใจ ต่างวิ่งหนีกันราวกับผึ้งแตกรัง ภายในร้านเหลือเพียงพนักงานปฏิบัติงานที่อยากจะหนีก็หนีไปไม่ได้
‘อย่าคิดว่าเจ้าเป็นสตรีแล้วข้าจะไม่กล้าทำอะไรเจ้านะ! เหรียญทองแดงนี้ที่ราชวงศ์ตี้ของข้ามีใช้มานับหลายร้อยปี ไม่เคยมีปัญหามาก่อน คนหาเงินเพื่อเป้าหมายใด หากมิใช่เพื่อกินดื่มเล่นสนุกสี่คำนี้! อักษรทั้งสี่นี้ถูกกำหนดให้เป็นบรรพบุรุษแห่งการรู้แจ้ง! ราชวงศ์เทียนกับราชวงศ์ตี้เดิมก็มีการค้าขายไปมาหาสู่กัน คนของราชวงศ์เทียนที่เคยเห็นเหรียญทองแดงของราชวงศ์ตี้มีไม่น้อย ที่ไม่เคยเห็นนั่นเป็นเพราะเจ้ามีความรู้เท่าหางอึ่ง! อึกทึกครึกโครมถึงเพียงนี้เผยให้เห็นถึงความไม่รู้ของเจ้า ไม่อับอายหรืออย่างไร!’ ปลายกระบี่ของเยี่ยจื่อชิวชี้ไปทางพนักงานที่นั่งไม่กล้าปริปากอยู่กับพื้น
‘ผมขอโทษท่านจอมยุทธ์หญิงแทนเธอด้วย’ ความกล้าหาญของผู้จัดการเทียบกับคนอื่นแล้วสูงกว่าสักหน่อย หลังจากตกอกตกใจไม่นานก็ได้สติคืนมา ไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเหรียญทองแดงอีก เพียงอยากอัญเชิญพระใหญ่องค์นี้ไปให้ไวที่สุด เขาแสดงท่าทีเป็นมิตรเป็นอย่างมาก ‘จอมยุทธ์หญิงบอกว่าเหรียญทองแดงเป็นของจริง เช่นนั้นย่อมไม่ใช่ของปลอม เพียงแต่ว่าร้านเราไม่รับเงินประเภทนี้ ขออภัยด้วย ได้โปรดเห็นแก่ที่ดึกดื่นขนาดนี้พวกเรายังคงทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย ขอความเมตตาท่านปล่อยพวกเราไปเถอะ ผมจะให้เธอกล่าวขอโทษท่าน’
ได้รับสายตาที่ผู้จัดการส่งให้ พนักงานก็อดกลั้นความโกรธเคืองกล่าวขอโทษ ‘ขอโทษค่ะ ฉันประสบการณ์ยังน้อย จอมยุทธ์หญิงได้โปรดคลายความโกรธด้วย’
เยี่ยจื่อชิวเป็นคนชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม้แข็ง เห็นว่าอีกฝ่ายยอมแพ้ให้ก่อนเธอก็เก็บกระบี่ ฮึดฮัดเสียงหนึ่งแล้วกล่าวตักเตือน
‘ครั้งเดียวเท่านั้น อย่าให้มีคราวหน้าอีก!’
ไม่ได้กินอะไรซ้ำยังก่อความวุ่นวายเสียยกใหญ่ เยี่ยจื่อชิวสาวเท้าเร็วจากไปด้วยสีหน้าบูดบึ้ง เพิ่งจะออกจากประตูก็เผชิญหน้ากับสาวสวยผมสีทองตาสีฟ้าสูงเพรียวสองคนที่เดินเข้ามา ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอย่างคึกคัก เพราะว่าเยี่ยจื่อชิวฟังคำพูดของคนทั้งสองไม่รู้เรื่องสักประโยคจึงเผลอมองไปอีกหลายครั้งโดยไม่รู้ตัว
คงเป็นเพราะสายตาพิจารณาของเยี่ยจื่อชิว ‘ร้อนแรง’ เกินไป สาวผมทองหนึ่งในสองคนนั้นจึงย่นคิ้วได้รูปสวย ชำเลืองมองเยี่ยจื่อชิวแวบหนึ่ง เอ่ยปากก็เป็นภาษาปักกิ่งมาตรฐาน
‘มองอะไรน่ะ ไม่เคยเห็นคนต่างชาติหรือไง!’
เยี่ยจื่อชิวได้ฟังก็ตกตะลึง ไม่ได้กล่าวคำพูดใด เพียงเดินมุ่งตรงไปข้างหน้าพลางพูดพึมพำ ‘คนคอเบี้ยว…คนแคว้นเทียนความคิดอ่านแปลกประหลาดเสียจริง คนคอเบี้ยวเหตุใดจึงดูเหมือนคนปกติถึงเพียงนี้ ไม่อาจเข้าใจได้…ไม่อาจเข้าใจได้’
พอไม่ได้กินข้าว ท้องของเยี่ยจื่อชิวก็คล้ายว่าจะมีอาการหิวเกินขนาด นางไม่ได้ทุกข์ทรมานเท่ากับก่อนหน้านี้แล้ว ทว่าสภาพร่างกายได้รับผลกระทบอยู่บ้างจึงไม่สะดวกที่จะต่อสู้ เคราะห์ดีที่เมื่อครู่อีกฝ่ายก้มศีรษะลงก่อน ไม่อย่างนั้นเกิดต่อสู้กันขึ้นมา หนึ่งคนต้านทานคนหมู่มาก…แค่คิดก็รู้สึกกลัวแล้ว
เยี่ยจื่อชิวเดินตรงไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมายมาตลอดทาง มองดูสีของท้องฟ้า เวลานี้คิดว่าน่าจะยามจื่อสามเค่อ โดยประมาณ ระหว่างทางบางคราวก็มี ‘กล่องเหล็ก’ แล่นผ่านไปมา แทบจะไม่พบผู้คน เปลือกตาของเธอหนักอึ้งแทบลืมไม่ขึ้น อยากจะนอนเหลือเกิน ทว่าสถานที่พักผ่อนอย่างโรงเตี๊ยมที่เห็นได้ทุกหนแห่งในราชวงศ์ตี้ เมื่อมาถึงราชวงศ์เทียนกลับกลายเป็นสิ่งหายาก ไม่แน่ว่ากระทั่งไม่อาจเรียกขานว่าหายากได้ นางสงสัยว่าจะไม่มีเสียด้วยซ้ำ…
เดินทึ่มทื่อมาถึงถนนกว้างขวางสายหนึ่ง ด้านหนึ่งของถนนมีรั้วสูงเท่าครึ่งคน ด้านล่างเป็นแม่น้ำสายหนึ่ง
เยี่ยจื่อชิวมือกุมราวจับหยุดพัก พอเห็นแม่น้ำดวงตาก็พลันสว่างขึ้น มีแม่น้ำหมายความว่าอย่างไร ก็หมายความว่าในนั้นมีปลาน่ะสิ!
ครั้นคิดถึงรสชาติของปลาย่าง น้ำลายก็พลันเอ่อล้น เยี่ยจื่อชิวจิตใจหวั่นไหวลงมือทำในทันใด ผูกห่อผ้าที่ใส่เสื้อผ้ามาไม่กี่ชุดไว้กับตัวอย่างแนบแน่น สายตาจดจ้องไปที่ยังผิวแม่น้ำซึ่งอยู่ห่างจากถนนหนึ่งจั้งห้าฉื่อ เงาคลื่นซัดสาด ความง่วงงุนถูกความดีใจพัดพาจนหายวับไปทันใด
เยี่ยจื่อชิวเท้าเอวแหงนหน้าหัวเราะกับท้องฟ้า ขอบคุณสวรรค์ที่รักและเมตตานาง จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนราวจับอย่างสบายๆ กางแขนทั้งสองข้างหลับตาลง ส่งเสียงร้องพลางเอนตัวไปด้านหน้า
เยี่ยจื่อชิวซึ่งเข้ามายังโลกที่ไม่คุ้นเคยอย่างที่ไม่อาจเข้าใจได้กระโดดลงสู่แม่น้ำจับปลาเพียงเพื่อให้อิ่มท้อง ทว่าโม่เหยาซึ่งขับรถผ่านไปแล้วมองเห็นภาพเหตุการณ์นี้ผ่านกระจกมองหลังด้วยสายตาที่สื่อความหมายแตกต่างกันออกไป
หลังจากเสียงเบรกรถดังเสียดหู โม่เหยาก็ปลดเข็มขัดนิรภัยลงจากรถไปช่วยคน
เยี่ยจื่อชิวหาอยู่ในน้ำสักพักหนึ่ง พบว่าแม่น้ำลึกเท่ากับนางต่อตัวกันสามคนแต่ไม่เห็นปลาสักตัว นางสงสัยว่ามีคนกระโดดลงน้ำกลางดึกเหมือนอย่างนางเพื่อขโมยปลาไปกินทั้งหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นในแม่น้ำที่กว้างและลึกถึงเพียงนี้จะไม่มีปลาสักตัวได้อย่างไร
เยี่ยจื่อชิวว่ายน้ำเก่ง วรยุทธ์กลั้นลมหายใจก็ดีมากเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาสูดอากาศบ่อยๆ ในที่สุดนางก็จ้องมองปลาตัวใหญ่ที่สุดในจำนวนปลาไม่มากนั้น ไล่ตามหลังประชิดมัน จะจับได้หลายหนแต่ก็กลับทำให้มันหนีไปได้ เยี่ยจื่อชิวยิ่งล้มยิ่งกล้า นางยังคงตามจับปลาตัวนี้ ต่อให้ต้องไล่จับอยู่นานก็จะต้องคว้ามันมาใส่ท้องให้ได้
ตูม! เสียงของหนักหล่นลงในน้ำทำให้ปลาตื่นตระหนกสะบัดหางรุนแรงไม่กี่ทีก็หนีไปจากการลอบทำร้ายที่ตามประชิดหลังมา เยี่ยจื่อชิวไม่ท้อใจสักนิด ลอยตัวขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างรวดเร็วเพื่อสูดอากาศ จากนั้นก็ดำดิ่งลงไปในน้ำตามปลาไป เวลานี้ในสายตาของนางมีเพียง ‘อาหารรสเลิศ’ ที่หลีกหนีอยู่ไม่หยุดหย่อน กระทั่งมีคนว่ายน้ำเข้ามาหาด้วยความเร็วก็ไม่สังเกตเห็น เมื่อนางว่ายน้ำไปอย่างสุดแรงและกำลังจับหางปลาเอาไว้นั้น จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หนังศีรษะ มีคนใช้แรงดึงผมนางเอาไว้!
การเหนี่ยวรั้งนี้ทำให้ปลาว่ายหนีไปไกลอีกแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเยี่ยจื่อชิวเดือดดาลสักเพียงใด นางหันกลับไปอยากด่าทอแต่ลืมไปว่าตนเองอยู่ใต้น้ำ เพียงเปิดปากน้ำในแม่น้ำก็กรอกเข้าใส่ปากฉับพลัน สำลักจนกระทั่งเรี่ยวแรงจะสลัดให้หลุดก็ยังไม่มี
หากอ้างอิงถึงแต่ก่อน เยี่ยจื่อชิวไม่มีทางที่จะถูกคนดึงให้ว่ายขึ้นมาได้อย่างง่ายดายเป็นอันขาด แต่เวลานี้นางทั้งหิวและเหนื่อยล้า เมื่อครู่ก็เพิ่งจะสำลักน้ำไปหลายอึก เรี่ยวแรงซึ่งปกติมีสิบส่วนเวลานี้กระทั่งครึ่งหนึ่งก็ใช้ไม่ได้
เมื่อเป็นอย่างนี้เยี่ยจื่อชิวจึงไม่อาจสลัดให้หลุดจากชายที่คว้าผมนางเอาไว้ ไม่นานก็ถูกฉุดลากขึ้นมาบนฝั่ง
“แค่กๆ” เยี่ยจื่อชิวฟุบอยู่ข้างแม่น้ำกระแอมกระไออย่างที่แทบจะพ่นน้ำดีออกมา นึกถึง ‘เสบียงอาหาร’ ที่หนีไปแล้วก็เสียใจจนนวดคลึงหนังศีรษะที่ถูกคว้าจนเจ็บปวดพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น
“อายุแค่นี้มีอะไรให้คิดไม่ตกกัน ก่อนฆ่าตัวตายได้คิดถึงครอบครัวเธอบ้างรึเปล่า!” เสียงต่อว่าของชายหนุ่มดังขึ้นที่ข้างหู
“ปลา…” เพราะว่าคนผู้นี้ทำเรื่องจนปลาในมือหนีหายไป เยี่ยจื่อชิวรู้สึกฉุนเฉียว นางปาดน้ำตา จ้องมองด้วยดวงตาแดงก่ำ กระโดดขึ้นโผเข้าหาชายหนุ่มที่กำลังมองนางอย่างไม่สบอารมณ์
สำหรับชาวบ้านธรรมดาเรื่องกินใหญ่เท่าฟ้า ‘ฟ้า’ ของนางได้ตกใจหนีไปเพราะคนตรงหน้านี้ นางไม่ยอมอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกันกับศัตรู เยี่ยจื่อชิวอดไม่ได้ที่จะระบายความแค้น พอกระโจนเข้าใส่ก็ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
ชายหนุ่มที่ไม่ทันได้ระวังตัวก็ถูกกระโจนใส่ล้มลงกับพื้น คิดไม่ถึงว่าหลังการช่วยเหลือคนจะได้รับการตอบกลับที่รุนแรงถึงเพียงนี้ คิ้วสวยยับย่นด้วยความรวดเร็ว ตวาดใส่เด็กสาวที่กดร่างของเขาอย่างแน่นหนา
“เป็นบ้าอะไร ออกไป!”
“เจ้าทำให้ปลาของข้าหนีไป คืนปลามาให้ข้า! เอ๊ะ เจ้า…เจ้าคือ…” เยี่ยจื่อชิวมือหนึ่งคว้าปกเสื้อของชายหนุ่มเอาไว้ อีกมือหนึ่งกำหมัดเตรียมจะชกให้เจ็บปวดสักยก ทว่าหลังจากเห็นใบหน้าของชายหนุ่มก็พลันใจลอยราวกับถูกสายฟ้าฟาดก็ไม่ปาน
ข้างทางมีไฟข้างถนน มีเพียงแสงอ่อนรำไรส่องมายังริมแม่น้ำ ทว่าเยี่ยจื่อชิวที่มองเห็นในความมืดสามารถเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่ห่างออกไปเพียงหนึ่งกำหมัดได้อย่างชัดเจน นางยิ่งมองก็ยิ่งตื่นเต้น ชายหนุ่มชั่วร้ายในสายตาของนางเมื่อครู่ เวลานี้ได้เปลี่ยนแปลงไปในทันใดราวกับว่าร่างกายชุบด้วยแสงทองชั้นหนึ่ง
เยี่ยจื่อชิวคลายปกเสื้อของอีกฝ่าย มือทั้งสองสั่นเทาเนื่องจากความตื่นเต้น สิ่งใดเรียกว่า ‘ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย’ สิ่งใดเรียกว่า ‘ภูเขาหนาแน่นสายน้ำยอกย้อนดั่งไร้หนทาง ผ่านพ้นต้นหลิวพ้นไม้ดอกกลับพบหมู่บ้าน’ นางคิดว่าในเวลานี้ตนเองสามารถเข้าใจได้ดีเป็นที่สุด!
มือที่สั่นเทาด้วยความตื่นเต้นกำลังจะสัมผัสใบหน้าของอีกฝ่าย ทว่าจู่ๆ ก็ถูกปัดออกอย่างไร้เยื่อใย ทันใดนั้นรอยประทับสีแดงก็ปรากฏขึ้นในฉับพลันบนหลังมือขาวนวลของนาง
“ออกไป!” สายตาของชายหนุ่มฉายแววรังเกียจเดียดฉันท์ ออกแรงผลักคนที่ทับร่างเขาออกไป ก่อนจะลุกขึ้นยืนปัดเสื้อผ้าอย่างแรงคล้ายกับว่าบนตัวแปดเปื้อนด้วยพิษร้ายถึงแก่ชีวิตก็ไม่ปาน เขารู้สึกเสียใจในภายหลังที่ช่วยเหลือคนผู้นี้ที่เห็นหน้าเขาก็เปลี่ยนไปเป็นคน ‘บ้าผู้ชาย’!
เยี่ยจื่อชิวซึ่งถูกผลักออกไปอีกฝั่งหนึ่งราวกับเป็นขยะไม่ได้โกรธเคืองเลยสักนิด หัวเราะแหะๆ พลางนวดท้ายทอยที่เจ็บจากการถูกผลักจนล้ม จากนั้นก็กระโดดลุกขึ้นโผเข้าหาชายหนุ่มที่กำลังจากไปอย่างรวดเร็ว คราวนี้นางสำรวมเรี่ยวแรงไม่ได้ถลาเข้าใส่จนคนล้มลงกับพื้น ทว่าทั้งตัวคนคล้ายกับเนื้อหมูชิ้นหนึ่งที่แขวนอยู่บนแขนของเขา หัวเราะคล้ายกับคนโง่เง่าเต่าตุ่น
“ศิษย์พี่! ในที่สุดข้าก็หาท่านพบแล้ว!”
เยี่ยจื่อชิวกับ ‘ศิษย์พี่’ ที่นางตามหาด้วยความลำบากยากเข็ญฉุดกระชากกันไปตลอดทาง เธอผลักฉันดันไปตามถนนบนฝั่งที่เป็นเนินลาด
พวกเขาสองคนร่างกายเปียกโชก มิหนำซ้ำด้วยเพราะเคย ‘กลิ้ง’ อยู่ริมฝั่ง เสื้อผ้าจึงทั้งยับและสกปรก สภาพจนตรอกมากทีเดียว
คนที่ขับรถผ่านเห็นว่ามีคนกระโดดลงแม่น้ำก็ตื่นตกใจจนจะโทรแจ้งตำรวจในทันที ทว่าเนื่องจากมือถือแบตฯ หมดในเวลาสำคัญจึงแจ้งไม่สำเร็จ ขณะที่ร้อนใจอยู่นั้นก็เห็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งขึ้นฝั่งมาอย่างปลอดภัย ถึงได้วางใจแล้วจากไป
โม่เหยาถูกเหนี่ยวรั้งจนรำคาญ เขากล่าวอย่างอารมณ์เสีย “ดูละครทะลุมิติไร้ประโยชน์ให้มันน้อยๆ หน่อย เธอแต่งเนื้อแต่งตัวอย่างนี้ขี้เหร่จะแย่!”
ถูกคนในดวงใจเมินเฉย เยี่ยจื่อชิวเหมือนถูกโจมตีอย่างหนัก ก้มหน้ามองดูเสื้อผ้าของตนเองอย่างน้อยเนื้อต่ำใจพลางกล่าว
“ก็เสื้อผ้าเปียกแล้วน่ะสิ”
“ฉันไม่สน” โม่เหยาไม่อยากพัวพันกับเด็กสาวอีก เดินปรี่ไปยังรถคันโปรดด้วยความรวดเร็ว
ใกล้จะตีหนึ่งแล้ว บนถนนก็ยิ่งเงียบสงัด ถนนอันกว้างใหญ่หลงเหลือเพียงพวกเขาสองคน
โม่เหยารู้สึกว่าตนเองเป็นบ้าแล้วถึงได้เสี่ยงเป็นหวัดกระโดดลงแม่น้ำไปช่วยคนกลางดึก ผลลัพธ์กลับช่วยเหลือคนที่ยุ่งยากขึ้นมาเสียได้! เขานวดหว่างคิ้วที่คอยเต้นตุบๆ อยู่ตลอดเวลา สูดลมหายใจอยู่หลายเฮือก สงบความเดือดดาลที่พุ่งทะยาน ใช้น้ำเสียงของพี่ชายข้างบ้านที่แสนดีกล่าวกับอีกฝ่าย
“สาวน้อย ฟ้ามืดมากแล้วกลับบ้านเถอะ เดี๋ยวพ่อแม่จะเป็นห่วง อีกอย่างฉันแซ่โม่ชื่อเหยา ไม่ได้ชื่อ ‘ศิษย์พี่’ อย่าได้ตามฉันมาอีกเลยนะ” กล่าวจบก็ยืดตัวหยิบกระเป๋าเงินมาจากบนเบาะคนขับ หยิบแบงก์สีแดงสามใบออกมาแล้วยื่นให้พลางกล่าว “เงินพวกนี้เธอรับเอาไว้ รีบกลับไปซะเถอะ”
เยี่ยจื่อชิวได้ฟังก็ร้องไห้ในทันที เธอไม่ได้รับสิ่งที่เรียกว่าเงินจากโม่เหยา แต่กลับร้องไห้พร้อมทั้งกล่าวว่า “เยี่ยจื่อเดินทางไกลนับพันหลี่ เพื่อตามหาศิษย์พี่มาสามปี ไร้คุณงามความดีทั้งยังยากลำบาก เยี่ยจื่อไร้คนรู้จักไม่คุ้นเคยกับที่แห่งนี้ มีศิษย์พี่เป็นญาติมิตรเพียงคนเดียว เยี่ยจื่อทำได้เพียงติดตามศิษย์พี่ไป ไม่ห่างไกลไม่ทอดทิ้ง ข้าเกิดมาเป็นคนของศิษย์พี่ ตาย…ตายก็เป็นผีของศิษย์พี่ ฮือๆ…”
“พูดอีกครั้งนะ ฉันชื่อโม่เหยา ไม่ได้ชื่อ ‘ศิษย์พี่’!” โม่เหยารู้สึกคันยุบยิบที่หมัด อยากจะต่อยคนเสียเหลือเกิน
“ชื่อของศิษย์พี่ก็คือโม่เหยา เยี่ยจื่อศิษย์น้องของท่านก็เป็นคู่หมั้นของท่านด้วย เมื่อสิบแปดปีก่อนบิดามารดาของพวกเราหมั้นพวกเราไว้ตั้งแต่ยังเล็ก!” สีหน้าของเยี่ยจื่อชิวราวกับเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ถูกหนุ่มเจ้าสำราญทอดทิ้ง
โม่เหยาสีหน้าคร่ำเคร่ง ยัดเงินใส่ในมือของเด็กสาวลวกๆ พลางเม้มริมฝีปากเข้าไปนั่งในตัวรถ ปิดประตูรถเสียงดังปัง เยี่ยจื่อชิวยังไม่ทันได้โต้ตอบเขาก็ขับรถออกไปแล้ว
“ศิษย์พี่!” เยี่ยจื่อชิวเห็นอย่างนั้นก็ตื่นตระหนก ไม่มีเวลาให้คิดมาก ใช้วิชาตัวเบาพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าการหิวมาทั้งวันจะส่งผลกระทบต่อเรี่ยวแรงเป็นอย่างมาก ความเร็วไม่เท่าแต่ก่อน แต่พอรถวิ่งขึ้นมาก็ต้องมีขั้นตอนในการเพิ่มความเร็ว เขาจึงเสียเวลาไปเล็กน้อย และช่วงเวลานี้เองที่มอบโอกาสให้กับเยี่ยจื่อชิว เวลานี้นางเห็นโม่เหยาเป็นผู้ช่วยชีวิต ยากเย็นกว่าจะได้พบเจอ มีหรือจะปล่อยให้เขาจากไป!
เยี่ยจื่อชิวก้าวเท้าราวกับเหาะเหิน เป็นดั่งลูกธนูบินถลาเข้าหารถของโม่เหยา หากมีคนเห็นภาพเหตุการณ์นี้จะต้องคิดว่าตนเองยังหลับไม่ตื่น วิชาตัวเบาแบบนี้ถึงอย่างไรก็ปรากฏอยู่แค่ในละครหรือนิยายเท่านั้น
ขณะที่รถเพิ่งจะเข้าโค้ง เยี่ยจื่อชิวก็ตามมาทัน มือทั้งสองคว้าหลังคารถไว้อย่างรวดเร็ว เพียงเท้าเหยียบพื้น ทั้งตัวคนก็มุดเข้าไปในตัวรถอย่างฉับไวทางกระจกรถที่เปิดกว้างอยู่ ก่อนจะนั่งลงบนเบาะข้างคนขับ
เสียงรถเบรกบาดหูดังขึ้นด้วยความรวดเร็ว ทิ้งรอยเบรกยาวเหยียดไว้บนถนน
ตึง! เยี่ยจื่อชิวที่ไม่ทันได้นั่งให้มั่นคงศีรษะก็กระแทกกับกระจกหน้ารถอย่างรุนแรง
“โอ๊ย!” นางยกมือนวดหน้าผากตรงที่รู้สึกเจ็บ กล่าวต่อว่าออกมาจากใจ “เจ้ากล่องเหล็กนี่ช่างยอดเยี่ยมนัก ทำร้ายคนได้โดยไม่ทันตั้งตัว ยากที่จะป้องกันตัวได้จริงๆ จริงสิศิษย์พี่ ขอคำชี้แนะสักคำถาม ในเมื่อไม่มีม้าลากและไม่มีคนผลัก เหตุใดเจ้าสิ่งนี้จึงแล่นได้เล่า” เยี่ยจื่อชิวถามคำถามที่รู้สึกข้องใจมาตลอดทั้งวัน
โม่เหยาคล้ายกับไม่ได้ยิน เพียงมองหญิงสาวที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยความตื่นตระหนก
ใบหน้าหล่อเหลาครู่เดียวก็ซีดขาว ดวงตาดำสนิทฉายแววไม่อยากเชื่อ ใบหน้าที่มักจะทำให้ผู้หญิงเคลิบเคลิ้มหลงใหลตอนนี้ดูเซ่อซ่าไปเลย
ระหว่างความเงียบงัน หยาดเหงื่อเย็นก็ค่อยๆ ไหลรินจากจอนผม โม่เหยารู้สึกว่าหัวใจเต้นตึงตังไม่หยุด สายตาที่มองเยี่ยจื่อชิวคล้ายกับว่าเป็นผีสาวที่ปีนออกมาจากบ่อน้ำอย่างไรอย่างนั้น
หน้าผากเกลี้ยงเกลาของเยี่ยจื่อชิวถูกกระแทกจนนูนปูดแดงมีขนาดเท่ากำปั้น อย่างกับแมลงวันที่เกาะบนแป้งสีขาว ดูน่าขบขันเป็นพิเศษ
“อย่างไรวรยุทธ์ของศิษย์พี่ก็แข็งแกร่งกว่า เยี่ยจื่อชิวนับถือ นับถือ”
เยี่ยจื่อชิวลืมเรื่องที่ ‘ถูกทอดทิ้ง’ ก่อนหน้านี้ไปนานแล้ว นางยกมือประสานคารวะให้โม่เหยาที่ไม่ขยับเขยื้อน แววตาเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมเพราะในตอนที่นางพุ่งไปข้างหน้านั้น ร่างกายของศิษย์พี่ขยับเขยื้อนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นี่แหละคือความแข็งแกร่ง!
โม่เหยาค่อยๆ ได้สติกลับมาบ้างแล้วหลังจากเจอเหตุการณ์ที่น่าตกใจ เขารีบร้อนคว้าน้ำแร่ไปดื่มครึ่งขวด หลังจากดื่มน้ำไปแล้วเขาก็ไม่รู้สึกว่าคอแห้งอีก สติก็ผ่อนคลายลง
“เธอมาจากไหนกันแน่น่ะ ศิษย์หลวงจีนวัดเส้าหลิน? แม่ชีกวาดสำนักชี?” โม่เหยาพิจารณาเด็กสาวด้วยความสงสัย นึกถึงการกระทำน่าหวาดเสียวที่เธอเพิ่งจะ ‘เหาะเหิน’ ด้วยความเร็วมุดเข้ามาในรถ จิตใจก็สั่นไหวขึ้นมาอีก
ตอนที่กระโดดแม่น้ำลงไปช่วยเหลือคน เขาคิดว่าเธอเป็นคนเห็นแก่ตัวดูแคลนชีวิต ไม่สนความรู้สึกของคนในครอบครัว ทว่าหลังจากช่วยเหลือแล้วท่าทาง ‘กระตือรือร้นอย่างแรงกล้า’ อีกทั้งท่วงทีแบบนั้นก็ทำให้เขาคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงเสียสติไร้การศึกษา ตอนที่เธอเกาะแกะเขาไม่ยอมปล่อย เขาคิดเอาว่าตัวเองเจอกับพวกหลอกเอาเงิน คิดเพียงว่าจะใช้เงินไล่เธอไป แต่ในเวลานี้เขารู้สึกว่าที่คาดเดาไปก่อนหน้านี้ล้วนผิดไปหมด เธอมาจากดาวเสาร์แน่! คนบนโลกจะเพี้ยนขนาดนี้ได้อย่างไร
“ศิษย์พี่ ท่านจะลืมชาติกำเนิดไม่ได้! พวกเราล้วนเป็นคนราชวงศ์ตี้ อย่าได้บอกเยี่ยจื่อว่าท่านมาราชวงศ์เทียนไม่กี่ปีก็หลงลืมว่าผู้ใดเป็นบรรพบุรุษของตนเองไปแล้ว!” เวลานี้เยี่ยจื่อชิวใช้ดวงตาดอกท้อจดจ้องเขาอย่างไร้การคุกคาม ล้วนแต่เป็นการออดอ้อนกับคนรัก
“ฉันไม่รู้ว่าเธอพูดอะไรอยู่ ยิ่งพูดก็ยิ่งเลอะเทอะ” โม่เหยาไม่อยากพูดอีกแล้ว เขากล่าวคำพูดที่คืนนี้ไม่รู้ว่าพูดซ้ำไปกี่รอบแล้วอีกหนหนึ่ง “พูดเป็นครั้งสุดท้ายนะ ฉันไม่ใช่ศิษย์พี่ของเธอ! ขอล่ะ อย่าได้เกาะแกะฉันอีก มาจากที่ไหนก็กลับไปที่นั่นเถอะนะ”
เยี่ยจื่อชิวตาแดงก่ำ เบ้ปากไม่ได้กล่าวอะไร นางแกะห่อผ้าที่ผูกอยู่กับตัวออกแล้วหยิบสิ่งของที่ใช้ถุงพลาสติกสีดำห่อเอาไว้ออกมา
นางเปิดถุงพลาสติกด้วยความระมัดระวังแล้วนำภาพวาดออกมา ก่อนจะกล่าวเสียงค่อยว่า “ที่กันน้ำนี่เป็นของสำคัญที่ข้าจ่ายไปยี่สิบตำลึงเพื่อซื้อมาเชียวนะ มีมันก็ไม่ต้องกลัวน้ำแล้ว ภาพวาดของศิษย์พี่ข้านำติดตัวไว้ตลอดเวลา บางครั้งบางคราวก็เอาออกมาดูบ้าง ใบหน้าของศิษย์พี่ประทับอยู่ในหัวของข้าเป็นเวลานานแล้ว กลายเป็นเถ้าถ่านข้าก็จำได้”
รูปภาพนั้นวาดด้วยพู่กัน ไม่ได้ลงสี คนในภาพวาดเป็นชายหนุ่มหล่อเหลาในชุดคลุมยาวมือถือพัด แลดูอายุยี่สิบกว่าปี แย้มยิ้มอย่างสุภาพเรียบร้อยสง่างาม หน้าตาหล่อเหลาเป็นที่สุด
รูปภาพนี้ฝีมือวาดดียิ่งนัก ท่าทางของคนในภาพคล้ายกับของจริงมาก เพียงมองดูก็รู้ว่าเป็นผลงานของผู้มีฝีมือที่มีชื่อเสียง
โม่เหยามองดูรูปภาพก็นิ่งอึ้ง ผู้ชายในรูปหน้าตาเหมือนกับเขาไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่แต่งเนื้อแต่งตัวแตกต่างจากเขาโดยสิ้นเชิง
“ท่านดูสิ แม้ว่าเยี่ยจื่อจะไม่เคยพบตัวจริงของศิษย์พี่มาก่อน แต่ด้วยภาพวาดนี้เยี่ยจื่อจะจำคนผิดได้หรือ ดูสิ อาจารย์ตั้งใจเขียนชื่อรวมถึงดวงแปดอักษร ลงไปด้วย” เยี่ยจื่อชิวชี้ไปยังตัวอักษรสีดำสองบรรทัดที่มุมล่างของรูปภาพพลางมองโม่เหยาด้วยความอิ่มเอมใจ สีหน้าไม่ยินยอมให้แก้ตัว
โม่เหยาหัวเราะเยาะ “อาศัยรูปภาพอย่างเดียวก็ยืนยันว่าฉันเป็นศิษย์พี่ของเธองั้นเหรอ เป็นคู่หมั้น? เหลวไหลแท้ๆ! ลูกไม้ตกผู้ชายรวยตกยุคไปนานแล้ว น้องสาวพักซะเถอะนะ”
“ผู้ชายรวยคืออะไรข้าไม่สนใจหรอก ข้าตกแต่ปลา…แล้วก็ตกท่าน!” เยี่ยจื่อชิวเห็นว่าเป็นตายอย่างไรโม่เหยาก็ไม่ยอมรับตัวตนของเขา นางเก็บรูปภาพเอาไว้ในถุงพลาสติกแล้วปิดอย่างดีด้วยความโกรธเคือง ก่อนจะดึงเชือกสีแดงออกจากคอ ชี้ไปยังสิ่งที่แขวนอยู่บนเชือกสีแดงพลางกล่าวอย่างไม่พอใจ “นี่เป็นหลักฐานยืนยันที่ท่านทิ้งเอาไว้ในปีนั้น เดิมทีกำหนดว่ารอให้ข้าเข้าพิธีปักปิ่นแล้วพวกเราก็ไหว้ฟ้าดินแต่งงานกัน ผลลัพธ์คือข้าตามหาท่านนานสามปี พบเจอกับความยากลำบากบ่อยครั้งจนได้พบท่านแล้ว แต่ท่านกลับทรยศแล้งน้ำใจไม่ยอมรับ! ท่านบอกมาว่าท่านรังเกียจสตรีแก่หน้าเหลือง ไร้ค่าในบ้าน แล้วเลี้ยงนางจิ้งจอกน้อยไว้ข้างนอกอย่างที่ผู้คนเขาเล่าลือกันหรือไม่”
โม่เหยาได้ยินดังนั้นเส้นเลือดก็ผุดขึ้นบนหน้าผาก ยังไม่รอให้เขาพูดก็ตำหนิเขาเสียแล้ว แต่เมื่อเห็นสิ่งของที่เด็กสาวนำออกมาแล้วสีหน้าก็พลันเปลี่ยนแปลงไป พอคว้าเอามาได้ก็ส่องกับไฟรถสังเกตดูอย่างละเอียดด้วยความตั้งใจ
ของสิ่งนี้มีชื่อว่าลูกเต๋าหยกน้ำแข็ง เป็นลูกเต๋าซึ่งทำมาจากหยกชั้นยอดในน้ำแข็งลี้ลับพันปี เมื่อนำมาถือไว้ในมือจะอบอุ่น แต่ถ้ากำเอาไว้ยิ่งนานก็จะยิ่งเย็น หากกำไว้ในระหว่างฝึกวรยุทธ์ก็จะป้องกันอาการคลุ้มคลั่งได้ สีหยกราวกับน้ำที่มีชีวิต ยามต้องลมพัดมีเสียงน้ำหยดของน้ำพุ เป็นสมบัติหายากที่ยากจะได้มาในพันปี เยี่ยจื่อชิวใส่มันอยู่ตลอดเวลา ไม่กล้าให้ห่างตัวสักประเดี๋ยวเพราะกลัวว่าจะทำหายหรือมีคนขโมยไป
“ลูกเต๋าหยกน้ำแข็งนี้เป็นสมบัติประจำตระกูลโม่ หายไปเกือบยี่สิบปีแล้ว ตามหาด้วยความยากเย็นแค่ไหนก็ไม่พบ บอกมา! ของสิ่งนี้อยู่ในมือเธอได้ยังไง” โม่เหยากุมลูกเต๋าหยกน้ำแข็งเอาไว้แน่นพลางตวาดด้วยเสียงเฉียบขาด
เยี่ยจื่อชิวเห็นโม่เหยาเปลี่ยนสีหน้าก็รู้สึกประหลาดใจ ยกมือขึ้นอังหน้าผากของเขาพลางกล่าวด้วยความกลัดกลุ้ม
“ศิษย์พี่ หรือว่าท่านความจำเสื่อมจริงๆ ไม่เพียงจำเยี่ยจื่อไม่ได้ กระทั่งของสิ่งนี้ที่ท่านมอบให้อาจารย์เป็นการส่วนตัวเพื่อทิ้งเป็นของหมั้นหมายให้ข้าก็ลืมหมดอย่างนั้นหรือ ก็เพราะว่านี่เป็นสมบัติสืบทอดของสกุลโม่ของท่านที่สืบต่อกันมา เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจถึงได้มอบไว้ให้ข้า”
“ฉันเป็นคนให้เหรอ งั้นก็พอดีเลย คืนมันให้ฉันเถอะ” เวลานี้โม่เหยาเองก็ไม่อยากใช้เหตุผล เขาพยายามจะดึงเชือกสีแดงที่คล้องของล้ำค่าประจำตระกูลออกจากคอของเด็กสาว
“ไม่เอา!” เยี่ยจื่อชิวปกป้องของล้ำค่าเอาไว้แน่นราวกับเป็นแมวที่ถูกเหยียบเข้าที่หาง ขนลุกชูชันไปทั้งร่าง “สิ่งนี้จะต้องถูกส่งต่อให้กับบุตรชายของพวกเราในอนาคต! ตามกฎของสกุลโม่ ของสิ่งนี้ให้บุตรชายคนโตส่งมอบให้ภรรยาเอก ภรรยาเอกส่งต่อไปให้บุตรชายที่ทั้งสองคนเลี้ยงดูมา จะต้องส่งต่อกันไปเช่นนี้ ท่านจะนำไปทำอะไร อยากเปลี่ยนไปมอบให้ผู้ใด ข้าจะบอกท่านให้ มีภรรยาหน้าเหลืองเช่นข้าอยู่ จิ้งจอกน้อยข้างนอกก็อย่าได้คิดเข้าบ้าน! มาหนึ่งตัวข้าก็ตีหนึ่งตัว มาสองตัวก็ตีสองตัว! กล้าแย่งบุรุษกับข้าเยี่ยจื่อชิว ไม่อัดนางให้เจียนตายข้าก็มิได้แซ่เยี่ย!”
โม่เหยาใบหน้าบึ้งตึง จ้องมองเด็กสาวด้วยความเกลียดชัง เยี่ยจื่อชิวไม่ได้แสดงท่าทียอมแพ้ ในดวงตาดอกท้อราวกับมีมีดเหวี่ยงออกไปด้านนอกอย่างห้าวหาญ
ประกายไฟสาดไปทั่วทุกทิศ จู่ๆ ภายในรถก็มีเสียงที่ไม่เข้าพวกดังขึ้น ‘โครกคราก’
เยี่ยจื่อชิวพลันหน้าแดง ท่าทีใหญ่โตที่แสดงออกมาลดลงไปมาก นางก้มหน้าลงเอ่ยขึ้นเบาๆ “ศิษย์พี่ ภรรยาหน้าเหลืองของท่านหากยังไม่ได้กินข้าวคงได้หิวตายแล้ว”
“…”
Comments
comments
No tags for this post.