บทที่ 2 ศิษย์พี่ท่านไม่เข้าใจความรัก
เยี่ยจื่อชิวที่แยกเขี้ยวเผยกรงเล็บ* ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ดูดุร้ายราวกับแม่ไก่ที่กำลังปกป้องลูกเจี๊ยบ พอท้องร้องขึ้นมาก็กลายเป็นหนูที่รอความตาย ส่ายหางอย่างน่าสงสารอยู่ใต้เงื้อมมือราชสีห์ ซ้ำสีหน้าก็เปลี่ยนอย่างรวดเร็วราวกับได้รับถ่ายทอดมาจากกิ้งก่า โม่เหยาเลื่อมใสความสามารถของ ‘ศิษย์น้อง’ คนนี้เป็นอย่างมาก
เยี่ยจื่อชิวเห็นว่าศิษย์พี่คนนี้ไม่แยแสกับความหิวโหยของนางจึงใช้อุบายแบบเดียวกับที่เคยลองหลายครั้งก่อนหน้านี้เวลาขอร้องอาจารย์เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น
ซี่ฟันกัดลงที่ริมฝีปากเบาๆ ศีรษะก้มลงเล็กน้อย ดวงตาดอกท้อสั่นไหวคล้ายกับว่าได้รับความอยุติธรรมอย่างยิ่ง ขนตางอนกะพริบเคลื่อนไหวไปตามดวงตา คล้ายกับเป็นแปรงเล็กที่ละเอียดอ่อน ทำให้ใจคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชา
โม่เหยาไม่รู้ว่าตนเองถูกครอบงำด้วยความชั่วร้ายแบบไหน สมองยังไม่ทันตอบสนองคืนมา มือก็จับพลัดจับผลูหยิบเอาของถุงใหญ่ที่เพิ่งซื้อมาจากเบาะหลัง
ครั้นตระหนักได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ โม่เหยาก็จดจ้องมือของตัวเองจนแทบอยากจะให้ทะลุเป็นพรุน เขากัดฟันก่นด่า ก่อนจะหยิบขนมปังห่อหนึ่งกับไส้กรอกยื่นไปให้เด็กสาวแล้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
“เพิ่งซื้อมา เอาไปกินซะ!”
“ขอบคุณศิษย์พี่!” เยี่ยจื่อชิวรับของกินมาด้วยความตื่นเต้น ดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกาย ครั้นตระหนักได้ว่าอีกประเดี๋ยวก็จะได้กินอะไรแล้ว น้ำลายก็ไหลจนนางต้องปิดปากแล้วกลืนน้ำลายกลับลงไป
โม่เหยาเหลือบมองเด็กสาวอย่างดูแคลน
เยี่ยจื่อชิวหยิบขนมปังที่ไม่เคยเห็นมาก่อนรวมถึงไส้กรอกพลิกไปมาอยู่เป็นนานสองนาน นางที่กำลังเบิกบานใจก็ค่อยๆ ยิ้มไม่ออกเพราะพบกับเรื่องยุ่งยากเข้าให้แล้ว สิ่งที่เรียกว่าขนมปังกับไส้กรอกต่างห่ออย่างแน่นหนาอยู่ใน ‘เปลือก’ ต้องเอา ‘เปลือก’ ออกถึงจะกินได้ แต่ปัญหาคือจะเอามันออกมาได้อย่างไร
นางแอบชำเลืองมองชายหนุ่มที่มีสีหน้าไม่สู้ดี ไม่รู้ว่าขัดเคืองใจอะไรอยู่ ก่อนจะกลืนน้ำลายหลายอึกแล้วยื่นขนมปังกับไส้กรอกกลับไปให้เขาอย่างเชื่องช้า มองพวกมันครั้งสุดท้ายก่อนที่จะ ‘จากลา’ ด้วยความเจ็บปวดใจ จากนั้นก็หลบสายตาออกไปอย่างเด็ดขาดแน่วแน่พลางกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ศิษย์พี่ เยี่ยจื่อไม่คุ้นชินกับการกิน…ของเหล่านี้ มีของว่างอย่างอื่นหรือไม่”
โม่เหยามองดูเด็กสาวราวกับมองมนุษย์ต่างดาวก็ไม่ปาน เห็นเธอตะกละอยากกิน ทำปากแจ๊บๆ อยู่ตลอดเวลา แต่ในใจเขาคิดว่าไม่รู้ว่าจะกินยังไงชัดๆ! เขาไม่อยากจะเชื่อว่าบนโลกนี้มีคนที่กระทั่งแกะห่อขนมปังกับไส้กรอกไม่ออก! ก่อนหน้านี้ตอนตามมากระโดดขึ้นรถก็ออกจะห้าวหาญแสนเท่เสียจนเขาคิดว่าตนเองพบกับอุลตร้าแมนหญิง ใครเลยจะคิดว่า…
“เธอมาจากซอกมุมซอกหลืบไหนกันแน่น่ะ” โม่เหยารู้สึกว่าตัวเองจะเป็นบ้าอยู่แล้ว เพียงหวังว่าพรุ่งนี้เช้าตื่นขึ้นมาจะพบว่าความจริงแล้วนี่เป็นแค่ความฝันเหลวไหลไร้สาระ
“ฮึ” เยี่ยจื่อชิวซึ่งถูกดูแคลนหันท้ายทอยแสดงความขอบคุณตอบเขา สาวน้อยต่างก็มีความกรีดกราย การกรีดกรายของคนงามก็ยิ่งมีมาก เพราะถูกคู่หมั้นดูแคลนเสียจนเธอเสียหน้าเป็นอย่างมาก
โม่เหยาส่ายศีรษะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเห็นอกเห็นใจหรือเปล่า เขาฉีกห่อขนมปังออกแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“รีบกินซะ”
เยี่ยจื่อชิวหันกลับมาอย่างรวดเร็วก็เห็นว่าปัญหาซึ่งทำให้นางยุ่งยากใจอยู่เป็นนานสองนานได้รับการแก้ไขแล้ว อาหารที่ ‘สูญเสียไปแล้วได้กลับมาใหม่’ ทำให้นางดีใจขึ้นเป็นเท่าตัว ความทะนงตนหรือเกียรติอะไรไม่สนใจอีกแล้ว นางแย่งขนมปังมาแล้วกัดลงไปคำใหญ่ คนในดวงใจอยู่ข้างหน้าต้องระวังภาพลักษณ์เสียหน่อย แต่ตอนนี้นางหิวมากจึงไม่สนใจอะไรทั้งนั้น กลืนขนมปังชิ้นใหญ่กว่าฝ่ามือลงไปภายในพริบตา
“เอ้า” โม่เหยาที่ทนมองกับท่าทางการกินของอีกฝ่ายที่น่าสงสารจนทนดูไม่ได้ พอยื่นไส้กรอกที่ปอกเปลือกออกแล้วเขาก็หันหลังให้เธอ
“อิดอี้ อ้านอ้างอีเอื๋อเอิน! เอี้ยอื่ออ้าบอึ๊งใออิ้งอั๊ก” (ศิษย์พี่ ท่านช่างดีเหลือเกิน เยี่ยจื่อซาบซึ้งใจยิ่งนัก)
เยี่ยจื่อชิวยัดขนมปังเข้าไปในปากจนเต็มแน่น กล่าวด้วยความซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหลพราก ภาพลักษณ์ของโม่เหยาในใจของนางเด้งขึ้นสูงพึ่บๆๆ ติดต่อกันสิบฉื่อ นางประคองไส้กรอกด้วยความพึงพอใจ ค่อยๆ เคี้ยวจนหมดเกลี้ยง สุดท้ายยังเลียนิ้วมือที่มีกลิ่นไส้กรอกติดอยู่ด้วย
กินขนมปังกับไส้กรอกจนหมดใช้เวลาไปไม่ถึงครึ่งนาที เยี่ยจื่อชิวลูบท้องซึ่งยังเอะอะร้องหิวอยู่ เลียริมฝีปากกล่าวอย่างที่ยังไม่สาแก่ใจ
“อร่อยจริงๆ ศิษย์พี่ ยังมีอีกหรือไม่ อีกสิบอันเยี่ยจื่อก็กินอิ่มแล้ว”
“ไม่มีแล้ว!” โม่เหยาเพ่งมองคนที่ได้คืบจะเอาศอกแล้วมองดูนาฬิกาข้อมือพลางกล่าว “ตีสองสิบนาที เธอควรกลับบ้านนอนได้แล้ว”
สายตาเจ้าเล่ห์อ้อยอิ่งอยู่ที่ถุงใบใหญ่ที่ด้านในมีข้าวของอยู่กองหนึ่ง เยี่ยจื่อชิวอดกลั้นความปรารถนาอย่างถึงที่สุด กล่าวพลางหัวเราะคิกๆ
“ศิษย์พี่ พวกเรากลับบ้านกันเถอะเจ้าค่ะ”
โม่เหยาย่นคิ้วชำเลืองมองเสื้อผ้าบนร่างกายของเด็กสาวพลางกล่าวฮึดฮัด “ฉันไม่อยากพาพรายน้ำกลับไปทำลายบ้าน”
เยี่ยจื่อชิวก้มมองเสื้อผ้าเปียกชื้นของตัวเองรอบหนึ่ง คิดว่าเสื้อผ้าชื้นทั้งตัวเข้าบ้านคนอื่นเป็นการเสียมารยาท จึงตบลงที่หน้าอกอย่างเปิดเผยพลางกล่าวเสียงก้องกังวาน
“นี่ไม่ยาก ข้าจะทำให้ชุดแห้งเดี๋ยวนี้!”
โม่เหยาอยากรีบร้อนกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกชื้นจนอึดอัด หลังจากผ่านความทรมานมาช่วงหนึ่งเขาก็รู้สึกง่วงแล้ว หางตาเหลือบมองคนที่ทำท่าทำทางอิ่มอกอิ่มใจ จากนั้นก็สตาร์ตรถ
ก่อนขับรถออกไปก็ไม่ลืมที่จะปิดหน้าต่างรถทั้งหมด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ ‘วัตถุแปลกปลอม’ เข้ามาสร้างความหายนะให้กับใจของเขามั่วซั่ว
กลางดึกรถราบนถนนน้อยมาก โม่เหยาขับรถค่อนข้างเร็ว ครุ่นคิดอยู่ว่าหลังจากพาเด็กน่ารำคาญคนนี้กลับไปแล้วจะให้เธอส่งสมบัติประจำตระกูลโม่มาแต่โดยดีได้อย่างไร
ข่มขู่? หลอกล่อ? ใช้ความหล่อ?
ขณะที่กำลังครุ่นคิด หางตาของโม่เหยาเหลือบไปเห็นไอน้ำลอยออกมาจากร่างกายของคนข้างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ครู่เดียวกระจกหน้าต่างรถก็ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกชั้นบางๆ เขาเปิดที่ปัดน้ำฝนอย่างรวดเร็ว หลังจากลดความเร็วลงแล้วก็หันศีรษะไปมองแวบหนึ่งด้วยความสับสน ใครจะคิดว่าภาพที่เห็นจะทำให้ผมของเขาตั้งตรงด้วยความตกใจ
เขาเห็นเด็กสาวหลับตาลง มือทั้งสองกำหมัดแน่น ไอน้ำบางๆ พุ่งออกมาจากร่างกายของเธอ กระทั่งผมก็ล้วน ‘พ่นควัน’ ไอน้ำที่ห้อมล้อมเธอก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ภาพนี้คล้ายกับผีสาวตนหนึ่งกำลังทำพิธีกรรม และยังเกิดขึ้นบนถนนเวลาดึกดื่นที่เงียบสงบทำให้ดูน่าหวาดกลัวเป็นพิเศษ
“เธอ…เธอ…” โม่เหยามือสั่นเทาจนหลุดจากพวงมาลัย รถจึงสูญเสียการควบคุมในทันที พุ่งไปยังด้านขวาด้วยความเร็วสูง
โม่เหยาที่สัมผัสได้ถึงอันตรายพลันเหงื่อออกทั่วร่าง บังคับดึงสติกลับมาแล้วรีบร้อนเบรกรถ สองมือหมุนพวงมาลัยไปทางซ้ายด้วยความรวดเร็ว เสียงเบรกแหลมสูงแสบแก้วหูดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ดังยาวนานกว่าเมื่อครู่
หลังจากที่เยี่ยจื่อชิวใช้กำลังภายในอบทั้งร่างกายให้แห้งแล้วก็ถูกภาพเหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ตะลึงงัน ร่างกายโยกซ้ายเอนขวาไปตามรถ เมื่อรถหยุดลงในที่สุด หน้าผากนูนแดงของนางก็กระแทกกับกระจกหน้าอย่างหนักหน่วงอีกหนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ รอยปูดนูนบนหน้าผากบวมใหญ่ขึ้นอีก บวมเป่งคล้ายกับมีลูกพลัมขึ้นอยู่บนหน้าผาก
สถานการณ์นี้อันตรายเป็นอย่างยิ่ง ในที่สุดโม่เหยาก็อาศัยทักษะการขับรถระดับสูงหยุดรถในขณะที่กำลังจะชนเข้ากับราวกั้นถนน
เคราะห์ดีที่เป็นกลางดึก ทั่วทุกทิศทางไม่มีรถคันอื่น ถ้าหากเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นตอนกลางวันก็ยากจะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ได้
“ศิษย์พี่!” เยี่ยจื่อชิวกุมหน้าผากที่ปูดโนพลางน้ำตาไหลพรากๆ โวยวายใส่ชายหนุ่มอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “ท่านบอกก่อนได้หรือไม่ว่าเจ้ากล่องเหล็กนี่ล้มเหลวบ่อยเพียงใด หัวของเยี่ยจื่อรับการชนแล้วชนอีกไม่ไหวจริงๆ ข้าเจ็บมาก”
โม่เหยายังคงอยู่กับอาการหวาดกลัวหลังจากรอดชีวิตมาได้ มือทั้งสองข้างบนพวงมาลัยล้วนสั่นเทา เมื่อได้ยินเสียงก็จ้องมองไปยังตัวการที่ก่อเหตุขึ้นในทันที คนก่อเหตุกลับยังกล้าร้องว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม
น่าต่อยชะมัด! สายตาเดือดดาลเปลี่ยนเป็นทึ่มทื่อทันทีเมื่อจดจ้องไปที่เสื้อผ้าซึ่งแห้งแล้วของเด็กสาว
เยี่ยจื่อชิวไม่ได้โง่เง่าถึงเพียงนั้น นางตระหนักได้ว่าตัวเองทำให้ศิษย์พี่ตกใจ พอพูดออกไปแล้วก็รู้สึกผิด ไม่กล้าบ่นเรื่องศีรษะชนอีก นางสังเกตได้ว่าคนผู้นี้อารมณ์ผิดปกติจึงมองสีหน้าที่แปรปรวนอยู่บ่อยครั้งด้วยความหวาดกลัว
“ศิษย์พี่เป็นอะไรไป เสื้อผ้าของเยี่ยจื่อแห้งแล้ว สามารถตามท่านกลับบ้านนอนได้แล้วกระมัง”
โม่เหยาตัดสินใจเอื้อมมือออกไปจับเสื้อผ้าของเด็กสาวโดยไม่รู้ตัว บริเวณที่สัมผัสนั้นกลับแห้งสบาย หากเขาไม่แน่ใจว่าผลการตรวจสุขภาพประจำปีของตนปกติมาก เขาคงสงสัยว่าตัวเองมีอาการป่วยทางจิตอย่างรุนแรง
หลังจากได้พบกับเด็กสาวคนนี้เขาก็ตื่นตกใจไม่หยุดหย่อน โม่เหยาไม่เคยรู้สึกว่าสุขภาพหัวใจของตนแข็งแรงจนถึงขั้นเหนือกว่ามาตรฐานทั่วไปอย่างวันนี้มาก่อน ตกใจครั้งแล้วครั้งเล่ากลับยังไม่เป็นอะไรเลยสักนิด หากเปลี่ยนเป็นคนที่จิตใจอ่อนแอสักหน่อย เมื่อพบเข้ากับเยี่ยจื่อชิวอย่างนี้ไม่เกิดอาการช็อกในทันทีสิแปลก!
“เธอเป็นคนหรือว่าผี” โม่เหยาอดกลั้นความอยากทุบตีคนแล้วเอ่ยถาม
“มีผีที่หน้าตางดงามอย่างเยี่ยจื่อด้วยหรือ” เยี่ยจื่อชิวส่งสายตาไม่พอใจให้โม่เหยา เชิดคางขึ้นเล็กน้อยด้วยความภูมิใจกับรูปร่างหน้าตาของตัวเอง แน่นอนว่านางมีความมั่นใจอยู่พอสมควร
“เธอใช้มนตร์ดำอะไรเสื้อผ้าถึงได้แห้งเร็วขนาดนี้เนี่ย!” หากไม่ใช่เพราะเห็นด้วยตาตัวเอง ตีให้ตายเขาก็ไม่เชื่อว่าบนโลกมีเรื่องแปลกประหลาดแบบนี้
“กำลังภายในน่ะ ศิษย์พี่เองก็มีไม่ใช่หรือเจ้าคะ” เยี่ยจื่อชิวกะพริบตามองไปยังชายหนุ่มด้วยความสงสัย คิ้วงามยู่ย่นเล็กน้อย “ศิษย์พี่ ตอนที่ท่านลืมเรื่องในอดีตคงจะไม่ได้ลืมแม้กระทั่งฝีมือการต่อสู้กระมัง”
“กำลังภายใน?” โม่เหยามองอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิดพลางพึมพำกับตนเอง “ที่แท้บนโลกนี้ก็มีคนที่มีกำลังภายในจริงๆ…”
“ศิษย์พี่” เยี่ยจื่อชิวร้อนใจแล้ว ชายหนุ่มที่การพูดการจาท่าทางค่อนข้างแปลกทำให้นางกังวลใจอย่างมาก
โม่เหยามองเยี่ยจื่อชิวอยู่พักหนึ่ง อารมณ์ในดวงตาลึกๆ ของเขาไม่อาจคาดเดาได้ ขณะที่เยี่ยจื่อชิวร้อนใจจนจะร้องไห้ออกมา สายตาของเขาก็มองไปที่เชือกสีแดงบนคอของเด็กสาวที่ผลุบๆ โผล่ๆ แวบหนึ่ง จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์ที่แปรปรวนแล้วหันศีรษะไปพลางกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ไม่มีอะไร พวกเราไปกันเถอะ”
เมื่อรถสตาร์ตแล้วเริ่มเคลื่อนออกไป เยี่ยจื่อชิวที่ได้รับความเจ็บปวดถึงสองครั้งติดคราวนี้ได้รับบทเรียนแล้ว พอรถเริ่มเคลื่อนที่นางก็จัดเสื้อผ้านั่งให้เรียบร้อยทันที มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาป้องกันหน้าอกไว้ จิตใจมีสมาธิขั้นสูง ดวงตาจ้องไปข้างหน้าตรงๆ ไม่กล้าแม้กระทั่งกะพริบตา กลัวว่าจะมีเหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้นอีก
หากชนอีกก็ไม่แน่ใจว่าการชนครั้งนี้จะทำให้นางกลายเป็นคนสติปัญญาอ่อนด้อยไปเลยหรือไม่ แต่หากต้องเสียโฉมเพราะเรื่องนี้ล่ะก็ลำบากมากแน่นอน! ถึงเวลานางจะเอาอะไรไปชิงดีชิงเด่นกับจิ้งจอกน้อยที่นอกบ้านเหล่านั้นกันล่ะ!
ด้วยเหตุผลส่วนตัวบางอย่างโม่เหยาจึงอาศัยอยู่ในพื้นที่ระดับกลางของเขตที่พักอาศัยทั่วไปเพียงลำพัง ราคาห้องของที่นี่ไม่ถือว่าแพง อาคารเหล่านี้เพิ่งสร้างได้ไม่ถึงหนึ่งปี ทุกอย่างจึงดูใหม่มากทั้งหมด
อาคารมีทั้งหมดยี่สิบชั้น โม่เหยาอาศัยอยู่ที่ชั้นสิบห้า
หลังจากขับรถเข้าไปในโรงจอดรถและล็อกรถเรียบร้อยแล้ว โม่เหยาก็พาเยี่ยจื่อชิวที่กำลังมองไปรอบๆ อย่างสงสัยเข้าไปในตัวอาคาร
“บ้านที่ศิษย์พี่อยู่สูงยิ่งนัก!” เยี่ยจื่อชิวแหงนหน้าขึ้นมองอาคารสูงพลางทอดถอนใจ นางตามติดด้านหลังชายหนุ่มพลางเอ่ยถาม “สูงถึงเพียงนี้ ราคาน่าจะไม่น้อย ต้องเป็นเงินกว่าพันตำลึงกระมัง”
โม่เหยามือข้างหนึ่งหิ้วสิ่งของที่ซื้อกลับมาจากซูเปอร์มาร์เก็ต อีกมือหนึ่งถือโทรศัพท์มือถือที่รอดตายเพราะถูกวางทิ้งไว้บนรถตอนกระโดดลงแม่น้ำเพื่อ ‘ช่วยคน’ เขายืนอยู่หน้าลิฟต์กดปุ่มขึ้นก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเรียบ
“สามห้องนอน หนึ่งห้องครัว หนึ่งห้องนั่งเล่น สองห้องน้ำ ซื้อมาสี่ล้าน”
“สี่ล้าน!” เยี่ยจื่อชิวร้องเสียงแหลมดังก้องก่อให้เกิดเสียงสะท้อนบนชั้นหนึ่งอันเงียบเชียบ แต่ครู่เดียวนางก็สำรวมอารมณ์หุนหันพลันแล่นไว้ด้วยความยากลำบากเนื่องจากสายตาไม่สบอารมณ์ของโม่เหยา ‘ลูกล้างผลาญ’* สามพยางค์นี้วนไปมาอยู่ที่ปลายลิ้น สุดท้ายนางก็เคลื่อนฝีเท้าเบาๆ อย่างใช้ความคิด เข้าประชิดโม่เหยาพลางฝืนยิ้มแล้วเอ่ยถาม “ความจริงแล้วที่ศิษย์พี่พูดคือ…สี่ล้านเหรียญทองแดงกระมัง”
โม่เหยาชำเลืองมองเด็กสาวแวบหนึ่ง ไม่สนใจที่จะตอบคำถามไอคิวต่ำนี้
มีเสียงดังติ๊ง ประตูลิฟต์เปิดแล้ว
“เข้าไป” โม่เหยาคว้าแขนเสื้อของอีกฝ่ายก้าวเข้าไปในลิฟต์
เมื่อเข้ามายืนอยู่ในลิฟต์ มองดูประตูลิฟต์ที่เปิดออกและปิดเองได้อัตโนมัติ ดวงตาทั้งสองข้างของเยี่ยจื่อชิวก็เป็นประกายอยู่ตลอด พุ่งตัวเข้าไปที่หน้าประตูลูบซ้ายเคาะขวาพลางเอ่ยชมไม่หยุดปาก
“กลไกนี้ทำได้งดงามประณีตจริงเชียว! ข้าเคยเห็นแต่ประตูกลไกหิน นี่ทำมาจากอะไรน่ะ เหล็กหรือ”
โม่เหยามองดูเด็กสาวเคาะประตูลิฟต์ดังกึงๆ อยู่ตลอด ใช้หูแนบเพื่อ ‘ทำการศึกษา’ เป็นครั้งคราว สีหน้าเขาก็พลันเคร่งเครียด เขากวาดตามองดูตำแหน่งกล้องทั้งหมดภายในลิฟต์แล้วตะคอกด้วยความรู้สึกขายหน้าเป็นอย่างยิ่ง
“ทำอะไรน่ะ กลับมายืนให้ดี!”
ในตอนที่สังเกตเห็นว่า ‘ห้องลับ’ ที่พวกเขาอยู่นั้นลอยขึ้นอย่างรวดเร็วมั่นคง เยี่ยจื่อชิวที่ทั้งดีใจระคนประหลาดใจ ดวงตาเป็นประกายแวววาว ก็หยุดศึกษาอย่างเชื่อฟังแล้วเดินกลับมาเอ่ยขึ้น
“น่าอัศจรรย์จริง! มิน่าเล่าศิษย์พี่มาถึงแคว้นของราชวงศ์เทียนแล้วไม่อยากกลับไปอีก ห้องลับนี้ผู้ใดเป็นคนสร้างขึ้นหรือ เก่งกาจยิ่งนัก! ถ้ามีโอกาสจะต้องไปเยี่ยมเยียนถึงบ้านให้จงได้ คงจะดีมากหากได้รับคำชี้แนะจากท่านอาจารย์ที่มีชื่อเสียง! ห้องลับที่น่าอัศจรรย์และเคลื่อนที่ได้เช่นนี้ไม่รู้ว่าจำต้องใช้เงินเท่าไรจึงจะสามารถซื้อมาได้”
โม่เหยาเลือกที่จะนิ่งเงียบอีกครั้ง เยี่ยจื่อชิวเห็นท่าทีนั้นก็รู้ว่าไม่ควรถามอะไรอีก
ถึงชั้นสิบห้าแล้ว ประตูลิฟต์ก็เปิดอัตโนมัติ โม่เหยาก้าวเท้าอย่างรวดเร็วและฉวยโอกาสคว้าตัวเด็กสาวที่อดใจไม่ไหวลูบไปมาอยู่ที่ประตูลิฟต์ออกไปด้วย
ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดลง โม่เหยาหันหน้ากลับไปมองกล้องวงจรปิดภายในลิฟต์ ภาวนาให้ภาพภายในลิฟต์อย่าได้ถูกเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบของโครงการสังเกตเห็นเข้า เพราะเขาไม่อยากเสียหน้ากับเรื่องนี้เลย
เขาใช้กุญแจเปิดประตูเข้าไปแล้วเปิดไฟ ขณะเปลี่ยนรองเท้าแตะที่บริเวณโถงประตูก็รั้งเด็กสาวที่อารมณ์คึกคักเป็นพิเศษให้เข้าไปข้างในด้วย จากนั้นก็ยื่นรองเท้าแตะสีแดงให้แล้วออกคำสั่ง
“เปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะแล้วค่อยเข้าไป”
เยี่ยจื่อชิวซึ่งอยากเดินเข้าไปศึกษาหลอดไฟบนเพดานเปลี่ยนไปใส่รองเท้าแตะอย่างเชื่อฟัง หลังจากลองเดินกลับไปมาสองสามก้าวก็ชื่นชอบในทันที เอ่ยพึมพำกับตัวเอง
“รองเท้าเช่นนี้ใส่สบายขึ้นเยอะเลย ศิษย์พี่อนุญาตให้ข้าเปิดเผยเท้าต่อหน้า นี่หมายความว่า…คิกๆๆๆ”
“หัวเราะอะไร ยังไม่เข้ามาอีก!” เสียงรำคาญใจของโม่เหยาตัดบทฝันหวานที่ไม่สมจริงของเยี่ยจื่อชิว
“เจ้าค่ะ” เยี่ยจื่อชิวรู้สึกว่าตนคาดเดา ‘ความคิด’ ของศิษย์พี่ได้ หากเขารู้เข้าจะโกรธ ดังนั้นนางจึงระงับอารมณ์อย่างเข้าจิตเข้าใจ แสร้งทำเป็นมองไม่ออกและเดินเข้าไปด้วยสีหน้าจริงจัง
ลักษณะของบ้านศิษย์พี่แปลกประหลาดแปลกตา หากมีเวลานางจะต้องศึกษาให้ละเอียดถี่ถ้วน
“เธอพักห้องนี้ไปก่อน ลูกพี่ลูกน้องของฉันมาพักที่นี่สองสามวันบ้างเป็นครั้งคราว ในตู้มีเสื้อผ้าของผู้หญิงอยู่ เธอเลือกชุดที่เหมาะแล้วไปเปลี่ยนหลังอาบน้ำซะ” จบคำพูด โม่เหยาก็พาเด็กสาวไปยังหน้าประตูห้องน้ำ เปิดไฟข้างในแล้วเอ่ยว่า “เข้าไปอาบน้ำข้างใน ดึกมากแล้ว อาบน้ำฝักบัวแก้ขัดไปก่อนเถอะ”
เยี่ยจื่อชิวมองดูห้องน้ำที่ค่อนข้างเล็ก สิ่งของที่วางอยู่ภายในแปลกตามากสำหรับนาง มองดูอยู่รอบหนึ่งก็เอ่ยถามอย่างไร้สาเหตุ
“ไม่มีถังอาบน้ำ เยี่ยจื่อจะอาบน้ำได้อย่างไรเล่า”
เมื่อสบตากับสายตาที่งุนงงของเด็กสาว โม่เหยาก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ อดกลั้นความหุนหันพลันแล่นที่ใกล้คลุ้มคลั่งอธิบายวิธีใช้บรรดาสิ่งของทั้งหมดอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ชักโครกในห้องน้ำ อ่างอาบน้ำ ฝักบัว แชมพูสระผม ครีมอาบน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีใช้ชักโครกกับฝักบัว สุดท้ายก่อนที่ความอดทนจะหมดลง เขาก็เข้าไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำส่วนตัวที่ห้องนอนหลักด้วยใบหน้าดำคล้ำ
เยี่ยจื่อชิวยืนเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง จดจ้องสิ่งของทุกอย่างอย่างละเอียดพลางนึกย้อนวิธีใช้ที่โม่เหยาสอนเอาไว้ เมื่อรู้สึกว่าพอใช้เป็นแล้วก็กลับไปที่ห้องของนางเพื่อหาเสื้อผ้า
ในตู้มีเสื้อผ้าอยู่ไม่กี่ชุด เยี่ยจื่อชิวหาไปหามาก็เลือกชุดยาวถึงเข่า (ความจริงแล้วเป็นชุดนอน) นางค้นตู้รอบหนึ่งก็ไม่เจอตู้โต้วกับกางเกง จึงทำได้เพียงหยิบชุดนอนสีส้มตัวหนึ่งไปอาบน้ำด้วยความท้อใจ
หลังจากอาบน้ำร้อนซึ่งเป็นประสบการณ์ที่แปลกประหลาด เยี่ยจื่อชิวก็นำเสื้อผ้าที่เปลี่ยนมาซักแล้วใช้กำลังภายในอบตู้โต้วกับกางเกงให้แห้งก่อนจะนำมาสวมใส่ มัดชุดนอนเสร็จแล้วก็เดินออกไป
โม่เหยาอาบน้ำเสร็จแล้ว กำลังยุ่งอยู่ในครัว
กลิ่นหอมโชยมาจากห้องครัว เยี่ยจื่อชิวออกแรงสูดดม หิวโหยจนน้ำลายเริ่มท่วมท้นอีกครั้ง นางกลืนน้ำลายลงไปแล้วเอ่ยปากด้วยความตกตะลึง
“ศิษย์พี่ ไม่คิดว่าท่านเข้าครัวด้วย!”
“รออยู่ข้างนอก อีกเดี๋ยวก็เรียบร้อยแล้ว” โม่เหยากล่าวโดยไม่ได้หันหน้ามา
“บุรุษอยู่ให้ห่างครัว!” เยี่ยจื่อชิวกล่าวอย่างเด็ดขาดสมเหตุสมผล
“ออกไป ถ้าพูดมากอีกก็อย่าได้กินเลย!” สองมือของโม่เหยากำลังยุ่ง ปากก็กล่าวข่มขู่
เยี่ยจื่อชิวได้ฟังก็เปลี่ยนสีหน้าทันที ถูมือทั้งสองข้างพลางเอ่ยเอาอกเอาใจ “ศิษย์พี่ทำอะไรหรือ”
“สปาเกตตี้” โม่เหยาใส่วัตถุดิบเช่นข้าวโพด แครอต แฮม แล้วผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน
“เจ้าค่ะ” เยี่ยจื่อชิวลูบท้องที่ร้องจ๊อกๆ ขึ้นมา มองไปยังกระทะในมือของโม่เหยาตาปริบๆ แล้วกล่าวขอร้องด้วยคำพูดน่าฟัง “ศิษย์พี่ เยี่ยจื่อหิวจนกลืนวัวได้ทั้งตัวแล้ว ทำบะหมี่ ‘สาลี่’ ให้มากหน่อยเถิด เยี่ยจื่อยังไม่เคยกินบะหมี่ที่ทำจากสาลี่มาก่อนเลย”
โม่เหยามือสั่น เกือบจะถือตะหลิวเอาไว้ไม่อยู่ หันหน้าไปตวาดอย่างเดือดดาล “ถอยไป!”
เยี่ยจื่อชิวเอะอะครู่หนึ่งก็หายตัวไปจากหน้าประตูครัว
ผ่านไปสักพักโม่เหยาก็ยกจานสองใบมาวางไว้บนโต๊ะในห้องอาหาร มองดูเด็กสาวที่นั่งรอตาเป็นประกายอยู่ที่โต๊ะนานแล้ว
สีส้มเหมาะสมกับเยี่ยจื่อชิวมาก ขับให้ใบหน้าของนางขาวนวลสดใส ผมหลังจากสระแล้วก็ไม่ได้ยุ่งเหยิงหรือเป็นกระจุกอีกต่อไป ดูยาวตรงนุ่มสลวย เนื่องจากเบิกบานใจพวงแก้มจึงขึ้นสีแดงระเรื่อ ดังคำกล่าวที่ว่าคนพึ่งเสื้อผ้า เยี่ยจื่อชิวเดิมทีก็รูปร่างหน้าตางดงาม เป็นหญิงงามโดยกำเนิดตามมาตรฐาน เวลานี้ทั้งร่างกายเพียงจัดการให้สะอาดสะอ้าน ความงามนั้นก็พลันเพิ่มมากขึ้นระดับหนึ่ง กระทั่งโม่เหยาซึ่งมีภูมิคุ้มกันมาก่อนตั้งแต่เล็ก เคยเห็นสาวสวยมานับไม่ถ้วนก็อดไม่ได้ที่จะมองดูหลายครั้ง
“ศิษย์พี่ เยี่ยจื่อไม่เกรงใจแล้วนะ!” เยี่ยจื่อชิวดึงจานที่ใส่เส้นไว้ค่อนข้างมาก ไม่ได้สนใจมองโม่เหยา หยิบตะเกียบได้ก็ก้มหน้ากินคำใหญ่อย่างถึงอกถึงใจ
นางหิวมากจริงๆ แหละ เพียงชั่วเวลาที่กะพริบตาสองหน นางก็กินสปาเกตตี้หมดไปแล้วครึ่งหนึ่ง โม่เหยาถือตะเกียบมองท่าทางการกินของเด็กสาวที่กินอาหารตรงหน้าหมดภายในชั่วพริบตาอย่างประหลาดใจ
เขาเห็นว่าสปาเกตตี้จานใหญ่เหลืออยู่ไม่กี่คำแล้วก็มองดูสปาเกตตี้ในจานของตัวเองที่ยังไม่ได้แตะต้องแม้แต่คำเดียวก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทอดถอนใจพลางตักแบ่งสปาเกตตี้ครึ่งจานใส่ลงในจานของเยี่ยจื่อชิว
ทำนองว่าคนหน้าตาสะสวยจะทำท่าทางอย่างไรก็เจริญตาเจริญใจ ท่าทางการกินของเยี่ยจื่อชิวสามารถเรียกได้ว่าตะกละมูมมาม ท่าทางการกินระดับนี้หากเป็นคนทั่วไปคงทำให้ทัศนียภาพเสื่อมเสียและขัดลูกตาอย่างแน่นอน แต่เยี่ยจื่อชิวกลับไม่เป็นอย่างนั้น ท่าทางกิริยาเดียวกันแต่นางทำออกมาแล้วเพียงแค่ดูเปิดเผยตรงไปตรงมาเท่านั้น ดึงดูดเพียงความเห็นอกเห็นใจของเขาแทนที่จะเป็นความรังเกียจ อย่างเช่นโม่เหยาที่ถูกทำให้โกรธครั้งแล้วครั้งเล่าก็ยังอดไม่ได้ที่จะแบ่งสปาเกตตี้ให้นางครึ่งจาน
“อิดอี้…” เยี่ยจื่อชิวเงยหน้ามองด้วยแววตาซาบซึ้งใจ ดวงตาดอกท้อเปียกชุ่มแลดูไร้เดียงสาน่าสงสาร ขณะเดียวกันก็เพิ่มเศษเสี้ยวความงามที่ทำให้หลงใหลขึ้นอย่างไร้สาเหตุ “อิดอี้ อ้านอ้าง…ฮือๆ ดี!”
หากในปากไม่ได้เต็มไปด้วยอาหาร เยี่ยจื่อชิวจะต้องโผเข้าไปกอดศิษย์พี่ที่รักไว้แน่นอย่างแน่นอน เพื่อแสดงถึงความรู้สึกซาบซึ้งใจที่นางมีให้
ศิษย์พี่พูดไม่ขาดปากว่านางไม่ใช่คู่หมั้นของเขา แต่ผลลัพธ์ไม่เพียงพานางกลับบ้าน ยังทำอาหารให้กินอีกด้วย แม้ว่าจะดุดันอยู่ตลอด แต่ก็เป็นมาตรฐานของความปากร้ายแต่ใจดี เขาเองก็หน้าตาหล่อเหลาดูดียิ่งนัก อย่างนี้จุดโคมไฟก็ยากจะหาพบ บุรุษที่ดีถึงเพียงนี้ คิดไม่ถึงว่าจะเคราะห์ไม่ดีถูกนางจับจองเอาไว้ล่วงหน้า!
น้ำตาหยดหนึ่งรินไหลออกจากดวงตา นี่เป็นน้ำตาที่เต็มไปด้วยความปีติยินดี! เยี่ยจื่อชิวตื้นตันใจกับความโชคดีของตนเอง หลายปีมานี้อารมณ์ด้านลบที่กังวลว่าศิษย์พี่จะอยู่ร่วมกันได้ยากหรือความประพฤติไม่ดีทำนองนี้ก็พลันกระจัดกระจายหายไปหมดสิ้น
โม่เหยาคิดว่าเด็กสาวกินเร็วเกินไปจึงสำลัก จึงกล่าวอย่างเสียอารมณ์ “กินช้าหน่อย ไม่มีใครแย่งกับเธอหรอก”
เยี่ยจื่อชิวผงกศีรษะอย่างรุนแรง ปาดน้ำตาแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินต่อ
ฝีมือการทำอาหารของศิษย์พี่ดีจริงๆ บะหมี่ที่ทำออกมาอร่อยจนนางปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะกลืนกินลงไปในคำเดียว เพราะว่าเคี้ยวและกลืนเร็วเกินไปจึงพลาดกัดลิ้นอยู่หลายหน เจ็บจนน้ำตาคลอ
เยี่ยจื่อชิวกินสปาเกตตี้จนไม่เหลือสักเส้น หลังจากกลืนคำสุดท้ายลงไปก็ประคองท้องที่นูนป่องออกมาด้วยความพึงพอใจ หากไม่เคยลิ้มรสความทรมานของความหิวโหยเหลือทน จะทะนุถนอมความหวานช่วงขณะที่กินดื่มเพียงพอได้อย่างไร
“กินอิ่มแล้วก็กลับห้องไปนอนซะ พรุ่งนี้ฉันไม่ไปทำงาน ตอนเที่ยงถึงจะตื่นนอน เธอหิวแล้วก็ไปหาอะไรกินในตู้เย็นตามสบาย อย่าส่งเสียงดังเกินไป ถ้าทำเสียงเอะอะจนปลุกฉันตื่นขึ้นมา ก็รับผิดชอบผลที่ตามมาด้วยล่ะ!”
โม่เหยากินสปาเกตตี้ที่เหลืออยู่ครึ่งจานเสร็จพอดี กำชับเสร็จแล้วก็ถือจานกับตะเกียบไปล้างที่ห้องครัว เรื่องประเภทนี้เขาไม่กล้าเสี่ยงอันตรายให้เด็กสาวไปทำ ใครจะรู้ว่าเธอจะยิ่งเพิ่มความยากลำบากให้เขาหรือเปล่า
หลังกินอิ่มดื่มจนพอใจ จิตใจก็ผ่อนคลาย เยี่ยจื่อชิวพลันรู้สึกอ่อนล้าไปทั้งตัว กลับห้องไปนอนหลับอย่างว่านอนสอนง่าย
พอโม่เหยาได้นอนก็หลับลึกมาก เขาตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาเที่ยงครึ่งแล้ว หลังตื่นนอนเขาก็ไปล้างหน้าในห้องน้ำ ขณะที่กำลังแปรงฟันจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนเขาพาใครคนหนึ่งกลับมาด้วย
ภายในห้องเงียบเชียบอย่างน่าประหลาด อย่างกับว่านอกจากตัวเขาแล้วก็ไม่มีใครอยู่อย่างไรอย่างนั้น โม่เหยาบ้วนปากสองสามครั้งก็หยิบผ้าขนหนูขึ้นเช็ดหน้าแล้วเปิดประตูออกไป
ห้องนั่งเล่นไม่มีคนอยู่ เขาจึงเดินไปที่ห้องนอนของเยี่ยจื่อชิวแล้วพบว่าประตูเปิดแง้มอยู่
เขาผลักเปิดประตูเบาๆ มองเข้าไปข้างในก็เห็นเด็กสาวกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ฝ่ามือทั้งสองข้างประกบเข้าหากัน ดวงตาทั้งสองข้างปิดอยู่ ทั้งร่างกายคนแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว
โม่เหยามองแวบหนึ่งก็ถอยออกไป รู้ว่าเธอมีกำลังภายใน เรื่องนั่งสมาธิฝึกลมปราณเขาเองก็ไม่ได้ตื่นตระหนกตกใจแล้ว
อากาศค่อนข้างอึมครึม ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นเมฆ แสงในห้องค่อนข้างมืดทึม
ตอนที่เข้าไปในห้องครัว โม่เหยากดสวิตช์บนผนัง ผลลัพธ์คือไฟไม่ติด
“เอ๊ะ” เขาลองกดเปิดอีกครั้งก็ยังไม่ติด
“ศิษย์พี่ ท่านตื่นแล้วหรือ” เยี่ยจื่อชิวที่นั่งสมาธิเสร็จแล้วเดินออกมาจากห้อง เห็นว่าโม่เหยาตื่นแล้วก็เดินเข้ามาทักทายด้วยความดีใจ
“อืม” เห็นเด็กสาวออกมาแล้ว โม่เหยาก็อยากเปิดไฟในห้องรับแขกด้วย ใครจะรู้ว่ากดสวิตช์ไปผลลัพธ์คือไฟก็ไม่ติดอีก
“ไฟดับงั้นเหรอ เมื่อกี้ยังมีไฟอยู่เลยนี่” โม่เหยากลับไปดูที่ห้องนอนด้วยความสงสัย ตอนที่เขาออกมาไฟห้องน้ำยังไม่ได้ปิด เวลานี้ยังสว่างอยู่ “ไม่ได้ไฟดับ แล้วทำไมไฟในห้องรับแขกกับห้องครัวถึงเปิดไม่ติดล่ะ” ชายหนุ่มขมวดคิ้วเดินออกมาจากห้อง
เยี่ยจื่อชิวที่ตามโม่เหยามาโดยตลอดได้ฟังก็ใจฝ่อในทันใด หลบๆ เลี่ยงๆ ไม่กล้ามองเขา ฝีเท้าขยับไปยังห้องของตนเองอย่างช้าๆ
“หยุดอยู่ตรงนั้นนะ!” โม่เหยาหรี่ตาทั้งสองข้างลง หันหน้าไปจดจ้องคนที่ดวงตากลอกกลิ้งไปมา เห็นได้ชัดว่าคิดจะหลบหนี เขากอดอกพลางยิ้มเย็น “อธิบายให้ฟังซิว่าเกิดอะไรขึ้นกับไฟพวกนี้”
เมื่อเห็นว่าหนีไม่พ้น เยี่ยจื่อชิวจึงยึดหลักการอันยิ่งใหญ่สารภาพเพื่อให้โทษหนักกลายเป็นเบา นางหยุดฝีเท้าแล้วเกาหู หัวเราะแหะๆ พลางกล่าวอย่างรู้สึกผิด
“ตอนกลางคืนเห็นศิษย์พี่กดบนสิ่งเล็กๆ เหล่านี้ห้องก็สว่างขึ้น เยี่ยจื่อรู้สึกว่าแปลกประหลาด ดังนั้นพอตื่นเช้ามาจึงอยากกดบ้างเพื่อศึกษามันอย่างเต็มที่ สิ่งนี้ช่างน่าสนุกเสียจริง กดลงไปห้องก็สว่างขึ้น กดลงไปอีกทีห้องก็มืดลง เดิมก็กดอยู่ดีๆ ใครจะรู้ว่ากดไปกดมาก็…”
“ก็คือเธอเอาสวิตช์พวกนี้มาเป็นของเล่น!” โม่เหยานวดหว่างคิ้ว บอกตัวเองว่าจะต้องสงบจิตใจ เพิ่งตื่นนอนมาจะโมโหไม่ได้ ไม่เป็นผลดีต่อร่างกายและจิตใจ
“เยี่ยจื่อไม่รู้ว่ากดไปหลายครั้งแล้วจะใช้ไม่ได้นี่นา” เยี่ยจื่อชิวใจฝ่อจนไม่กล้าเงยหน้า ก็เพราะว่าสนุกจนเกินไป อัศจรรย์ใจจนเกินไป นางจึงไม่ได้ควบคุมมือตนเองไปครู่หนึ่ง…
“กดเสียไปกี่อัน” โม่เหยารู้สึกว่าการพาเด็กสาวคนนี้มาเลี้ยงดูที่บ้านเป็นการท้าทายต่อความอดทนสุขุมเยือกเย็นของเขาอย่างเป็นประวัติการณ์แน่นอน
“เสีย…เสียทั้งหมดเลย” เยี่ยจื่อชิวชี้นิ้วออกไป นอกจากห้องนอนของโม่เหยาแล้ว ห้องที่มีไฟทั้งหมดล้วนถูกชี้ สุดท้ายเมื่อรู้ว่าสถานการณ์ท่าไม่ดี นางก็ปลีกตัวไปซ่อนอยู่ในห้องล็อกประตูในทันที ส่วนวิธีการล็อกนางเพิ่งจะศึกษาเข้าใจในตอนเช้า
“เสีย…ทั้งหมดเลยเหรอ…” โม่เหยาสีหน้าดำทะมึน เขาจ้องมองไปยังประตูห้องนอนที่เยี่ยจื่อชิวซ่อนตัวอยู่ ก่อนจะไปที่ห้องน้ำ โถงทางเข้า แล้วก็ห้องพักแขกอีกห้องเพื่อตรวจเช็กรอบหนึ่ง ไฟทั้งหมดเปิดไม่ติดโดยไม่มีข้อยกเว้น
คนใจบุญแทบจะเป็นบ้าแล้ว โม่เหยาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ อดกลั้นจนแทบจะบาดเจ็บภายใน ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึง ยืนอยู่ในห้องรับแขกที่มีแสงสลัวเพราะว่าท้องฟ้ามืดครึ้ม จ้องมองหลอดไฟที่ถูกเยี่ยจื่อชิว ‘เล่น’ พังด้วยความฉุนเฉียว
“สวรรค์ส่งเธอมาให้กลั่นแกล้งฉันสินะ!”
ตอนที่โม่เหยายังไม่ตื่น เยี่ยจื่อชิวหยิบขนมปังในตู้เย็นออกมากินใส่ท้องคลายหิว คราวนี้ไม่ต้องให้โม่เหยาช่วยเหลือ นางก็เปิดหีบห่อด้านนอกของขนมปังได้แล้ว
ในตู้เย็นมีสิ่งของอยู่เต็มไปหมด ทั้งหมดล้วนเป็นของสำหรับกินดื่ม เพราะว่าส่วนใหญ่เป็นของที่นางไม่เคยเห็นจึงไม่กล้าเอาออกมาตามใจชอบ
ตอนเช้ากินขนมปังถุงเล็กไปถุงเดียว ผ่านเที่ยงวันไปแล้วเยี่ยจื่อชิวที่ยังไม่ได้กินมื้อกลางวันจึงหิวมาก พอได้ยินเสียงเปิดปิดเตาภายในครัวก็เดินไปเดินมาด้วยใจที่ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง รอจนได้ยินเสียงยกอาหารขึ้นโต๊ะ นางก็รู้สึกอยากกินจนทุกข์ทรมานเหลือเกิน
นางแง้มประตูออกเป็นช่องเล็กๆ อย่างช้าๆ ยื่นศีรษะออกมาชะเง้อคอมองดูที่โต๊ะกินข้าว โม่เหยานั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวคนเดียว กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อยด้วยท่าทีสง่างาม หลงลืมการมีตัวตนของนางไปแล้ว
เยี่ยจื่อชิวกัดฟันกรอด ต่อว่าศิษย์พี่ว่าเป็นคนใจแคบที่เจ้าคิดเจ้าแค้นอยู่แต่กับเธอ
ด้วยทนความเย้ายวนไม่ไหว เยี่ยจื่อชิวจึงมายังห้องอาหารเงียบๆ ครั้นเห็นว่าเปลือกตาของโม่เหยาไม่ได้เลิกขึ้นสักนิดก็กัดริมฝีปากเดินหน้าทนไปยังข้างโต๊ะ หาเรื่องกล่าวขึ้น
“ศิษย์พี่ ท่านกินข้าวหรือ อร่อยหรือไม่”
มื้อเที่ยงโม่เหยาทำอาหารอย่างเรียบง่าย มีเพียงมะเขือเทศผัดไข่กับผัดมะเขือ แล้วก็ข้าวสวย
อยู่ในบ้านโม่เหยาสวมใส่เสื้อสบายๆ เสื้อนอนกางเกงนอนสีกากีทั้งตัว เนื่องจากรูปร่างมาตรฐานของเขาทำให้สวมใส่อะไรก็ดูดีไปหมด เสื้อผ้าธรรมดาพออยู่บนร่างกายเขาให้ความรู้สึกหรูหราสง่างามขึ้นมาทันตา
เยี่ยจื่อชิวลอบชื่นชมศิษย์พี่ที่ดูสุภาพอ่อนโยนเวลาที่เขาไม่โกรธ คิ้วของเขาดำเข้มและหนาราวกับถูกย้อมด้วยหมึกชั้นดี ขนตาของเขาหนามากและยาวมาก เมื่อดวงตาหลุบมองลงด้านล่างหรือว่าหลับตาลง ขนตาจะคล้ายกับแปรงสองอันที่ปิดบังดวงตาเอาไว้ สันจมูกสูงตรง ปาก…
“มองพอหรือยัง” โม่เหยากวาดตาแข็งกระด้างมองเด็กสาวที่จ้องเขาอย่างใจจดใจจ่อ
เมื่อได้ยินดังนั้นเยี่ยจื่อชิวก็สะดุ้งเฮือก และเห็นว่าใบหน้าของตนอยู่ใกล้ใบหน้าหล่อเหลาเพียงหนึ่งฝ่ามือก็รู้สึกเขินอายจนใบหน้าแดงก่ำ รีบยืนยืดตัวตรง
น่าขายหน้ายิ่งนัก! เหตุใดมองไปมองมาถึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้ได้ล่ะ ถ้าหากศิษย์พี่ไม่ส่งเสียงออกมาเสียก่อน เกรงว่าจะแนบใบหน้าลงไปโดยไม่รู้ตัวแล้ว…
นางกระแอมด้วยความกระอักกระอ่วน ก่อนจะก้มหน้าลงมองอาหารพลางกล่าวด้วยท่าทีกระบิดกระบวน
“เมื่อครู่นี้บนหน้าศิษย์พี่มีแมลง…แมลงตัวเล็กๆ พอเยี่ยจื่อขยับเข้าไปใกล้ มัน…มันก็บินไปแล้วน่ะเจ้าค่ะ…”
เยี่ยจื่อชิวอธิบายอย่างไม่ได้เรื่องได้ราว มุมปากของโม่เหยากระตุกขึ้นเล็กน้อย เขาส่งเสียงฮึดฮัดเบาๆ ด้วยท่าทีราวกับไม่พอใจ
แย่แล้ว เอาแต่มองดูหนุ่มรูปงาม อาหารใกล้จะถูกกินหมดแล้ว! เยี่ยจื่อชิวร้อนใจใหญ่ ลากเก้าอี้มานั่งลง คิดจะแย่งจานไป
“ห้ามแตะต้อง” โม่เหยามองเด็กสาวเป็นการตักเตือน ใช้ตะเกียบชี้ไปยังอาหารทั้งสองจาน “อาหารเป็นของฉันคนเดียว ไม่ได้ทำส่วนของเธอ”
“ศิษย์พี่ ท่านยากจนกระทั่งเลี้ยงดูว่าที่ภรรยาไม่ได้เชียวหรือ” เยี่ยจื่อชิวถูกโจมตีอย่างรุนแรง นึกไม่ถึงว่าศิษย์พี่จะใจดำอำมหิตกับนาง
“ไม่ต้องมาเล่นละคร!” โม่เหยากลอกตาใส่อีกฝ่าย ชี้ไปยังหลอดไฟที่เสียเหนือศีรษะแล้วกล่าวสั่งสอน “ทำผิดก็ต้องกล้ารับผิด แล้วก็สัญญาด้วยว่าต่อไปจะไม่ทำผิดอีกถึงจะเป็นเด็กดี! ดูซิว่าเธอทำยังไง”
เยี่ยจื่อชิวใจฝ่อไม่กล้ามองชายหนุ่ม จ้องอาหารสองจานที่ได้แต่มองทว่าไม่อาจกินได้อย่างขุ่นเคืองพลางบ่นพึมพำ “เยี่ยจื่อรู้ที่ไหนกัน…”
“ยังกล้ามาพูดอีก!” โม่เหยาวางตะเกียบลง มองดูเด็กสาวที่ยังคงไม่หยุดหาข้ออ้างให้ตนเองอย่างเอาจริงเอาจัง “กดไฟเสียหนึ่งดวงเธอไม่รู้ ไฟสองดวงเสียแล้วเธอก็ยังไม่รู้ รอจนดวงที่สามที่สี่ตอนที่เธอเล่นจนเสียเพราะวิธีเดิมๆ เธอกล้าพูดว่าเธอไม่รู้งั้นเหรอ อีกอย่างเช้าวันเดียวเธอก็ทำเสียไปทั้งหมดแปดดวง แปดดวง!”
เยี่ยจื่อชิวก้มหน้าต่ำลงอีก นางเป็นฝ่ายผิด ไม่กล้าโต้เถียงอีกแล้ว
“ไฟแปดดวงเป็นเงินเท่าไหร่ยังไม่พูดถึง ฉันจะต้องเสียเวลาเท่าไหร่ในการซื้อหลอดไฟมาติดตั้ง! ในบ้านมีเครื่องใช้ไฟฟ้าตั้งมากมาย ถ้าหากถูกเธอเล่นพังเพราะว่า ‘ไม่รู้’ ไปทีละชิ้นๆ ขายเธอออกไปก็ยังชดใช้ไม่หมดเลย!” โม่เหยาคลายอารมณ์ฉุนเฉียวลง มองคนที่จวนจะทำตัวเป็นนกกระจอกเทศ* พลางกล่าวตักเตือนอย่างจริงจัง “ครั้งนี้ครั้งเดียว ไม่มีครั้งต่อไปอีก! ถ้าฉันเห็นว่าเธอทำของในบ้านนี้พังอีกล่ะก็! เธอก็เอาลูกเต๋าหยกน้ำแข็งมาค้ำประกันแล้วกัน!”
เยี่ยจื่อชิวที่ถูกติเตียนจนเริ่มคิดทบทวนด้วยตัวเองได้ยินประโยคสุดท้ายก็เงยหน้าขึ้นในทันใด เอ่ยต่อปากต่อคำอย่างไม่ยอมจำนนแม้แต่น้อย
“พูดไปพูดมาท่านก็แค่หมายปองลูกเต๋าหยกน้ำแข็ง! หึๆ ของสิ่งนี้เป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว ศิษย์พี่ท่านล้มเลิกความคิดนี้เสียเถอะ!”
“ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย!”
“ท่านเจ้าชู้ประตูดิน หลายใจ!”
โม่เหยาทั้งโกรธทั้งรู้สึกขบขัน “ถามหน่อย สรุปเธอได้มาจากที่ไหนไม่ทราบ”
เยี่ยจื่อชิวปิดสมบัติที่คล้องอยู่ตรงลำคอพลางกล่าวตอบด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยการกล่าวหา “คิดหาทุกวิถีทางเพื่อนำของหมั้นหมายนี้กลับไป มิใช่ว่าเพื่อหญิงอื่นหรอกหรือ เลือดเย็นแล้งน้ำใจ ทรยศหักหลัง ฮึ!”
โม่เหยาเพิ่งจะอ้าปากโต้แย้ง จู่ๆ โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เขาจ้องมองเด็กสาวอย่างดุเดือดแวบหนึ่งแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อเพื่อรับสาย
“ฮัลโหล…ฉันกำลังกินข้าว…วันนี้ไม่ได้ อีกเดี๋ยวจะออกไปซื้อหลอดไฟ กว่าจะติดตั้งเสร็จก็สายมากแล้ว…ไม่ใช่ไฟดวงเดียว เป็นไฟแปดดวง…อย่าไปพูดถึงเลย ฉันถูกทำให้ลำบากแทบบ้าแล้ว…พี่จะเลือกของนำเข้าส่งมาให้สองสามอันเหรอ ไม่ต้อง คราวนี้ผมจะเปลี่ยนไปใช้ที่คุณภาพรองลงมาหน่อยแบบเดียวให้หมด!” โม่เหยากล่าวจบก็วางสายแล้วยัดโทรศัพท์มือถือกลับลงไปในกระเป๋าเสื้อ
สมาธิของเยี่ยจื่อชิวถูกโทรศัพท์มือถือที่โม่เหยาเก็บไว้เป็นอย่างดีดึงดูดไปแล้ว นางวางเรื่องทะเลาะออกไปก่อนแล้วถามด้วยความประหลาดใจ
“ศิษย์พี่ สิ่งที่ท่านหยิบออกมาเมื่อครู่นี้คือสิ่งใด ภายในมีคนพูดอยู่ด้วย เป็นเครื่องส่งเสียงพันหลี่หรือ”
โม่เหยามองเด็กสาวอย่างตั้งใจ ความประหลาดใจของเธอไม่เหมือนการเสแสร้ง ตั้งแต่รู้จักกันมาเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นไม่น้อย ทุกๆ เรื่องราวต่างสะท้อนให้เห็นถึงความ ‘ไม่เหมือนใคร’ ของเธอ
เป็นวิทยายุทธ์ มีกำลังภายใน คล้ายว่าจะไม่รู้จักทุกสิ่งทุกอย่างของที่นี่ เอาแต่เอ่ยปากว่าตนเองเป็นคนราชวงศ์ตี้ เรียกลิฟต์ว่ากลไก ความรู้เรื่องเงินของเธอจำกัดอยู่ที่เงินตำลึงกับเหรียญทองแดง…
แต่ละอย่างส่อเค้าให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเด็กสาวคนนี้ไม่น่าจะเป็นคนบนโลกนี้ ประวัติศาสตร์จีนไม่มีราชวงศ์ตี้ น่าจะมาจากยุคโบราณในห้วงเวลาอื่น ถึงโม่เหยาจะพบว่าเรื่องนี้น่าเหลือเชื่อเกินไป และอยากพูดกล่อมตัวเองว่าเธอกำลังเล่นละครอยู่ แต่ว่าเธอเล่นละครก็เล่นถึงขนาดใช้วิชาตัวเบาและกำลังภายในได้ นักแสดงที่ ‘ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่’ ถึงระดับนี้ดูเหมือนจะยิ่งไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปได้
“พวกเราอยู่ในประเทศจีนในปีคริสต์ศักราชที่สองพันสิบสอง ไม่มีราชวงศ์ตี้ที่เธอพูดถึง สิ่งที่เธอคิดว่าเป็น ‘กล่องเหล็ก’ เรียกว่ารถยนต์ เป็นยานพาหนะแทนการเดินเท้าที่ใช้น้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิง ‘กลไก’ ที่สามารถขึ้นลงได้เรียกว่าลิฟต์ และพวกเราก็ใช้ธนบัตรหรือรูดบัตรเพื่อซื้อสิ่งของต่างๆ ของอย่างพวกเงินตำลึง เหรียญทองแดงนั่นไม่ได้ใช้กันมาหลายร้อยปีแล้ว สรุปก็คือสิ่งที่เธอพูดว่าเป็นของแปลกประหลาด สำหรับพวกเราที่นี่ถือว่าเป็นของที่พบเห็นได้ทั่วไปมาก…” โม่เหยาเผยแพร่ความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ให้กับเด็กสาวด้วยสีหน้าจริงจัง อยากให้เธอเข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้วเธอมายังสถานที่ใด
“ศิษย์พี่ ท่านกำลังพูดอะไร” เยี่ยจื่อชิวเห็นสีหน้าจริงจังของชายหนุ่ม ในใจก็หวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก ไม่อยากให้เขาพูดต่อไปอย่างกับว่าเป็นลางบอกเหตุ เห็นได้ชัดว่าอยากหลีกเลี่ยงอะไร นางพลันรีบร้อนลุกขึ้นยืนแล้วเดินโซซัดโซเซกลับไปที่ห้อง
Comments
comments
No tags for this post.