X
    Categories: With Loveทดลองอ่านร้อยพันหมื่นปีขอมีแค่เธอ

ทดลองอ่าน ร้อยพันหมื่นปีขอมีแค่เธอ บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 10

บทที่ 3 จอมยุทธ์หญิงล้วนกังวลเรื่องออกเรือน

เยี่ยจื่อชิวนั่งอยู่บนเตียงด้วยความรู้สึกสับสน ทุกสิ่งทุกอย่างของที่นี่ล้วนแตกต่างไปจากที่ตนรู้จัก ใต้หล้าแบ่งเป็นสองแคว้น ต่อให้แคว้นหนึ่งจะเจริญรุ่งเรืองกว่าอีกแคว้นสักเพียงใดก็เป็นไปไม่ได้ที่จะแตกต่างกันถึงขั้นนี้! แม้จะเคยสงสัย แต่ก็ถูกความปีติยินดีที่หาศิษย์พี่พบสกัดกั้นเอาไว้ ทว่าเมื่อครู่ศิษย์พี่บอกว่าที่นี่คือปีคริสต์ศักราชที่สองพันสิบสอง ไม่ใช่รัชศกเป่ยหยวนที่สี่ร้อยสามสิบแปดอย่างที่นางเข้าใจ

เยี่ยจื่อชิวอยากร้องไห้แล้ว หากที่นี่เป็นอีกโลกหนึ่ง อย่างนั้น ‘ศิษย์พี่’ ที่อยู่ข้างนอกก็ไม่ใช่คนที่นางตามหาใช่หรือไม่

ไม่เอา! เยี่ยจื่อชิวส่ายศีรษะอย่างแรงเป็นการปฏิเสธ ไม่ว่าที่นี่จะเป็นสถานที่ใด ราชวงศ์อะไร ศิษย์พี่ก็ยังคงเป็นศิษย์พี่คนนั้น! เขาเพียงแค่มาที่นี่โดยบังเอิญเหมือนกับนางก็เท่านั้นเอง!

คล้ายกับคว้าฟางช่วยชีวิตเอาไว้ก็ไม่ปาน เยี่ยจื่อชิวสะกดจิตตัวเองซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด

โม่เหยายืนอยู่หน้าประตู เห็นสีหน้าย้อนแย้งสับสนของเด็กสาวแล้ว แววตาของเขาก็มีประกายแห่งความยินดี หากเธอมาจากต่างโลกจริง อย่างนั้นบนโลกนี้เธอก็ยิ่งไม่มีญาติหรือเพื่อนฝูงอะไร ด้วยการรับรู้ที่เป็นศูนย์ของเธอเกี่ยวกับโลกนี้ ไม่มีทางที่จะอยู่รอดได้เลย

“ศิษย์พี่” เยี่ยจื่อชิวเห็นโม่เหยากำลังยืนอยู่หน้าประตูเงียบๆ ก็กระโดดลงพื้นก่อนถลาเข้าสู่อ้อมกอดเขา โอบล้อมลำคอเขาแน่นพลางกล่าวด้วยความหวาดกลัว “ที่นี่แปลกประหลาดมาก เยี่ยจื่อกลัว ต่อไปเยี่ยจื่อจะไม่ทำสิ่งของของศิษย์พี่เสียหายตามใจชอบอีก ศิษย์พี่อย่าได้ทอดทิ้งเยี่ยจื่อนะเจ้าคะ…ฮือๆ”

เนื่องจากการแสดงออกอย่าง ‘ไม่รู้ประสา’ เรื่อยมาของเยี่ยจื่อชิว เขาจึงมองเธอเป็นเด็กที่สมองไม่ค่อยดีมาตลอด ทว่าเวลานี้เมื่อเส้นโค้งเว้าอรชรอ้อนแอ้นของเพศหญิงแนบสนิทกับร่างกายตนเองก็ทำให้เขาจำเป็นต้องเปลี่ยนความเข้าใจเสียใหม่ เธอไม่ใช่เด็กๆ แล้ว

โม่เหยายิ้มขื่น ร่างกายแข็งทื่อ ก่อนจะใช้สองมือผลักร่างอ้อนแอ้นในอ้อมแขนพลางเอ่ยปลอบโยน “ไม่ร้องไห้นะ ตอนที่เธอยังหาที่ไปไม่ได้ก็อยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราวก่อนได้”

เยี่ยจื่อชิวที่ถูกผลักออกไปได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าเล็กที่งดงามก็เปี่ยมด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจไม่มีที่สิ้นสุด เกาะติดเขาราวกับปลาหมึกยักษ์อีกครั้ง นางคล้องลำคอของโม่เหยาเอาไว้พร้อมกล่าวเสียงดัง

“เยี่ยจื่อไม่ไป เยี่ยจื่อจะอยู่กับศิษย์พี่ตลอดไป!” นางซบหน้าลงบนอกของชายหนุ่มพลางร้องไห้ ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ศิษย์พี่ที่นางพึ่งพาอาศัยถึงขั้นบอกอย่างชัดเจนว่านางอาศัยอยู่ที่นี่ได้เป็นการ ‘ชั่วคราว’ เท่านั้น นางทั้งโกรธเคืองทั้งน้อยเนื้อต่ำใจ แรงของสองแขนเพิ่มมากขึ้น ปรารถนาเป็นอย่างยิ่งว่าจะบีบลำคอของเขาให้หัก น้ำตาที่ระบายออกมาทั้งหมดล้วนเช็ดถูกับเสื้อผ้าตรงหน้าอกของเขา

กลิ่นบนร่างกายของศิษย์พี่หอมเป็นอย่างยิ่ง เป็นลมหายใจของบุรุษที่เย็นสดชื่นและสะอาดสะอ้าน แผ่นอกกว้างหนาแข็งแกร่ง ซบลงบนนั้นรู้สึกปลอดภัยเหลือเกิน

ก่อนหน้านี้เป็นเพราะหวาดกลัวเยี่ยจื่อชิวจึงหุนหันพลันแล่นไปชั่วขณะถึงได้ทำกิริยาใจกล้าถึงเพียงนี้ ต่อมาเมื่อสภาพจิตใจค่อยๆ สงบลงแล้วก็โมโหขึ้นอีกครั้งเพราะคำพูดของโม่เหยา นางเลยคับอกคับใจ ยิ่งเขาสลัดอย่างสุดกำลังนางยิ่งบีบลำคอของเขา บีบจนตายก็ช่าง ถ้าจะไม่สบาย ทุกคนก็ไม่สบายไปด้วยกัน!

ระหว่างที่ทั้งสองคนพัวพันกันอยู่ กริ่งประตูก็ดังขึ้น

“ฉันจะไปเปิดประตู” โม่เหยารู้สึกดีใจมากที่ในที่สุดก็ปลีกตัวออกมาได้ เขาผลักตัวคนที่หยุดเอาแต่ใจออกไปแล้วเปิดประตูด้วยสภาพเหงื่อท่วมศีรษะ

คุณชายจากครอบครัวเศรษฐีสวมชุดแบรนด์เนมทั้งตัวเดินเข้ามาในห้อง หน้าตาของเขาหล่อเหลาสง่างาม ตัวเตี้ยกว่าโม่เหยาอยู่บ้าง ผิวขาว อวัยวะบนใบหน้าค่อนข้างงดงามละมุนละไมคล้ายผู้หญิง ทำให้เขาดูเจ้าเล่ห์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูไม่ได้มีความเป็นผู้หญิงอะไร ไม่มีใครเข้าใจเพศของเขาผิด สรุปว่าเป็นชายหนุ่มผิวขาวหน้าสวยคนหนึ่ง

ชายหนุ่มหน้าสวยเดินยิ้มตาหยีเข้ามาในห้อง เขาเลิกคิ้วเอ่ยกับโม่เหยา “ฉันมาดูหลอดไฟที่บ้านนาย หลอดไฟพวกนี้เป็นสินค้าใหม่นำเข้าจากอิตาลีทั้งหมด บางดวงเป็นรุ่นลิมิเต็ด สินค้าที่คุณชายอย่างฉันช่วยเลือกให้นายด้วยตัวเองไม่ถึงครึ่งปีก็เสียทั้งหมดอย่างไร้เหตุผล เรื่องน่าตลกคือหลอดไฟพวกนี้ถึงขั้นเสียพร้อมกันทั้งหมดอย่างกับปรึกษากันมายังไงยังงั้น ช่วยบอกฉันทีว่านายทำอะไรกับพวกมัน ถึงกับต้องทำให้พวกมัน ‘ทำลายตัวเอง’ เพื่อปกป้องความบริสุทธิ์อย่างไม่ลังเลเลยเหรอ”

เยี่ยจื่อชิวเดินเช็ดน้ำตาออกมาจากห้อง เมื่อเห็นว่าแขกที่มาเป็นชายหนุ่มรูปงามก็อดตกตะลึงไม่ได้

หนุ่มหน้าสวยที่กำลังพูดหยอกล้อเห็นเด็กสาวที่สวมชุดนอนเดินออกมาพร้อมดวงตาแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะร้องไห้มาก็ตะลึงงัน จากนั้นก็รีบมองไปยังคราบน้ำตาบนหน้าอกของโม่เหยาที่เขาเห็นตอนเดินเข้ามาแต่ไม่ได้สนใจ หลังนิ่งอึ้งไปสองสามวินาทีก็พลันตะโกนลั่น

“เจ้าเด็กนี่ถึงกับรังแกเด็กสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ! ที่แท้สิ่งที่นายทำตัวไร้เหตุผลใส่ไม่ใช่หลอดไฟนำเข้าพวกนั้นแต่เป็นน้องสาวคนนี้เหรอ!”

“ไสหัวไปเลย!” โม่เหยาจ้องมองคนที่พูดเพ้อเจ้อไร้สาระด้วยสายตาตักเตือน ก่อนมองไปทางเยี่ยจื่อชิวพลางพูด “เธอเป็นคนที่ฉันช่วยมาจากแม่น้ำเมื่อคืนด้วยความหวังดี จะอยู่ที่นี่ก่อนเป็นการชั่วคราว เธอร้องไห้เพราะคิดถึงบ้าน”

“อ่าฮะ” หนุ่มหน้าสวยไม่ค่อยเชื่อข้ออ้างที่โม่เหยาใช้แก้ต่าง มือลูบคางพลางกลอกตามองไปมาระหว่างโม่เหยากับเยี่ยจื่อชิวไม่หยุดด้วยสายตาคลุมเครือ

โม่เหยารู้จักนิสัยของเพื่อนรักดีจึงรู้สึกทั้งโมโหทั้งจนใจ เขาส่ายศีรษะแล้วแนะนำให้เยี่ยจื่อชิวที่มีสีหน้าอยากรู้อยากเห็น

“เขาเป็นเพื่อนที่รู้จักกับฉันมาตั้งแต่เด็กๆ ชื่อโจวเซ่าอี้ หนุ่มเจ้าสำราญที่ขยันเปลี่ยนผู้หญิงยิ่งกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้า ผู้หญิงดีๆ อย่าได้อยู่ใกล้เขามากเกินไปเป็นอันขาด”

โจวเซ่าอี้ไม่พอใจคำแนะนำตัวเขาของโม่เหยาเป็นอย่างยิ่ง จึงพูดชี้แจงให้ตนเอง “นายใส่ร้ายฉันต่อหน้าสาวสวยให้น้อยๆ หน่อย! คุณชายอย่างฉันมีเสน่ห์ดึงดูดใจไม่ยึดติดในกฎเกณฑ์ การที่เก่งกาจด้านความสัมพันธ์กับผู้หญิงโดยธรรมชาตินี่โทษฉันได้เหรอ ทุกคนต่างบรรลุนิติภาวะ ก่อนจะเริ่มต้นก็ตกลงกันว่าจะคบและจากกันด้วยดี ฉันไม่ได้ปฏิบัติต่อผู้หญิงคนไหนที่ฉันคบหาด้วยไม่ดีเลย อีกอย่างที่ผ่านมาก็เป็นผู้หญิงที่เป็นฝ่ายโผเข้าสู่อ้อมอก คุณชายอย่างฉันที่คอยถนอมเอาใจผู้หญิงทนเห็นสาวงามโศกเศร้าไม่ได้ ถึงได้คบหากับพวกเธออย่างใจดี จนถึงวันนี้นายเคยได้ยินเรื่องแฟนเก่าที่เกลียดฉันบ้างไหมล่ะ ถึงจะเลิกกันแล้วทุกคนก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันทั้งนั้น”

เยี่ยจื่อชิวออกท่องยุทธภพพบเจอคนมามากมาย คนที่ไร้ยางอายที่สุดก็คือคุณชายเสเพลที่เล่นกับความรู้สึก เห็นสตรีเป็นประหนึ่งของเล่น เมื่อได้ฟังถ้อยคำลำพองใจของโจวเซ่าอี้ ใบหน้าก็แสดงออกถึงการขับไล่ไสส่งและรังเกียจออกมาจากหัวใจอย่างซื่อตรง นางปรับสีหน้า กล่าวกับโม่เหยาอย่างจริงจัง

“ศิษย์พี่วางใจได้ แต่ไหนแต่ไรมาเยี่ยจื่อรู้รักษาตัวรอด ร่างกายจิตใจซื่อตรงต่อสามีในอนาคตเท่านั้น บุรุษที่ชอบเดินเตร่ท่ามกลางพุ่มบุปผาและแป้งชาดเยี่ยจื่อไม่เห็นค่าแก่การคบหา”

โจวเซ่าอี้ถลึงตา เขาไม่อยากเชื่อว่าคนที่ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและฐานะการเงินดีไปเสียทุกอย่างอย่างตัวเองจะถูกหญิงสาวดูแคลนแบบตรงไปตรงมาแบบนี้ เมื่อพิจารณาจากประสบการณ์การมีความสัมพันธ์กับหญิงสาวมามากมายนับไม่ถ้วน ผู้หญิงคนนี้ดูถูกดูแคลนเขาจริงๆ ไม่ใช่การแสร้งปล่อยเพื่อจับอย่างแน่นอน!

โม่เหยาได้ฟังก็ปรากฏรอยยิ้มจางๆ ในดวงตา กำมือป้องปากกระแอมเล็กน้อยแล้วพูดกับโจวเซ่าอี้ที่โกรธจนควันแทบพุ่ง

“ฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อ อีกเดี๋ยวจะออกไปซื้อหลอดไฟ”

แน่นอนว่าเมื่อตัวเองรู้สึกไม่สบายอารมณ์ก็ย่อมเห็นคนอื่นมีความสุขไม่ได้ โจวเซ่าอี้ไม่อยากทำตัวไม่สมกับฐานะด้วยการจู้จี้จุกจิกกับเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ จึงหันไปชี้โม่เหยา หรี่ดวงตาลงพลางกล่าวขึ้นอย่างประสงค์ร้าย

“เพื่อนรัก เหยาปี้เข้าร่วมงานนิทรรศการอัญมณีที่มิลาน อีกประมาณสองสามวันจะกลับเมือง T นายว่าหลังจากเธอกลับมาแล้วรู้ว่านายสร้างเรือนทองคำซ่อนสตรีเอาไว้…”

โม่เหยาได้ฟังสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วแน่น “พูดไร้สาระอะไรน่ะ อย่าคิดว่าฉันจะเจ้าชู้เหมือนนายสิ!”

“อ่าฮะ เพื่อนรัก นายแสวงหาความสุขให้มากๆ เถอะ” โจวเซ่าอี้กำลังมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น

สายตาเยี่ยจื่อชิวจดจ้องใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์ของโม่เหยาครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถามโจวเซ่าอี้อย่างระแวดระวัง

“เหตุใดท่านจึงกล่าวเช่นนี้ เหยาปี้ผู้นั้นมีความสามารถเหนือคนธรรมดาหรือ เหตุใดนางจึงต้องรับรู้การมีอยู่ของข้า ศิษย์พี่ถึงจะแสวงหาความสุขได้มากขึ้น”

“ช่วงนี้น้องสาวดูละครย้อนยุคมากสินะ” ในที่สุดโจวเซ่าอี้ก็พบวิธีตอบโต้เยี่ยจื่อชิวได้แล้ว เขามองใบหน้าอ่อนหวานที่แอบซ่อนอารมณ์หึงหวงเอาไว้ไม่อยู่ของเด็กสาวด้วยความสงสาร “แม้จะบอกว่าวิธีการพูดจาแบบนี้จะไม่เหมือนใครอยู่บ้าง แต่จะอาศัยจุดที่แตกต่างตรงนี้ดึงดูดความสนใจของชายหนุ่มเกรงว่าจะยากมากๆ เลยนะ แม้แต่ ‘ศิษย์พี่’ ‘ศิษย์น้อง’ ก็ยังเอาออกมาใช้ จุ๊ๆ คุณชายอย่างฉันแนะนำให้เธออย่าเสียเวลาไปกับโม่เหยาเลย นานแล้วนะที่เขากับเหยาปี้น่ะ…”

“นายว่างมากหรือไง” โม่เหยาฉุดดึงคนที่อยากจะเปิดโปงตัวเองไปยังห้องรับแขก ชี้ไปที่โคมไฟคริสตัลสไตล์ยุโรปที่เพดานห้องแล้วเอ่ยว่า “ถ้ามีเวลามาพูดพล่ามอยู่ที่นี่ล่ะก็ ไม่สู้ทำเรื่องสำคัญจะดีกว่า ถอดหลอดไฟทั้งหมดในบ้านยกเว้นห้องนอนของฉันออกมา”

“นายถึงกับให้คุณชายอย่างฉันถอดหลอดไฟ!” โจวเซ่าอี้ชี้ตัวเองพลางถลึงตาเอ่ยถาม

“ไร้สาระ! หลอดไฟพวกนี้มาจากกิจการของบ้านนายทั้งนั้น ถ้าฉันปล่อยข่าวออกไปว่าของใช้ในบ้านภายใต้ยี่ห้อในเครือตระกูลโจวใช้ไม่ถึงหนึ่งปีก็พังแล้ว นายว่า…”

“โอเคๆ ฉันไม่ได้กลัวนายสักหน่อยเลย วันนี้ถือว่าฉันโชคร้ายก็แล้วกัน” โจวเซ่าอี้ย้ายเก้าอี้เตรียมถอดหลอดไฟอย่างยอมรับในชะตากรรม เขาเดินพลางบ่นไปด้วยว่า “สินค้าในเครือตระกูลโจวของฉันมีคุณภาพยอดเยี่ยมทั้งนั้น อายุการใช้งานนานกว่าหลอดไฟทั่วๆ ไปหลายเท่า ทำหลอดไฟคุณภาพสูงพังแปดดวงในรวดเดียว นายนี่ก็ถือว่ามีฝีมือ!”

คราวนี้โม่เหยาไม่ได้โต้แย้งคำพูดของเขา ทว่ามองไปยังเด็กสาวอย่างมีความนัยแล้วเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ฝีมือถึงขั้นนี้ทำให้ได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ”

“เอ๋?” โจวเซ่าอี้หันกลับมาด้วยความประหลาดใจ พินิจมองใบหน้าของโม่เหยาครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็หัวเราะออกมา “เป็นฉันที่เข้าใจผิดไปนี่เอง คนที่ ‘ห้าวหาญ’ อย่างแท้จริงคือน้องสาวคนนี้!”

เยี่ยจื่อชิวไม่ได้ใส่ใจการหยอกล้อของโจวเซ่าอี้ จิตใจของนางถูกสตรีที่ชื่อเหยาปี้ผู้นั้นดึงดูดไปแล้ว ศิษย์พี่ได้ฟังชื่อของสตรีผู้นี้ก็มีท่าทีเปลี่ยนไป ตำแหน่งของหญิงผู้นั้นในใจเขาจะต้องไม่ธรรมดาแน่

สถานการณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก ความสัมพันธ์ของนางอยู่ในขั้นวิกฤตแล้ว

“ศิษย์พี่ เหยาปี้คือผู้ใด” เยี่ยจื่อชิวแสร้งเอ่ยถามถึงชื่อที่ทำให้ในใจนางเกิดความหึงหวงขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ

“เป็นเด็กเป็นเล็กกังวลกับเรื่องนี้ให้น้อยลงหน่อย ตอนบ่ายฉันจะออกไปข้างนอก เธออยู่ที่บ้านดูทีวีเอานะ” โม่เหยาเปิดโทรทัศน์ในห้องรับแขก เมินเฉยต่อท่าทางโศกเศร้าร้องทุกข์ของเด็กสาว เข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

เยี่ยจื่อชิวย่ำเท้า ระบายความไม่พึงพอใจของตนเองอย่างไร้สุ้มเสียง

โทรทัศน์เปิดอยู่ สถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งกำลังฉายละครกำลังภายในยุคโบราณที่ดูเหมือนว่าจะฉายซ้ำทุกปี

พี่โหย่วจี้ รั่วจื่อต่างหากที่เป็นคนที่ท่านหมั้นหมาย เหตุใดท่านจึงเอาแต่คิดจะแต่งงานกับนางมารลัทธิปีศาจนั่นด้วยเล่า

รั่วจื่อ เรื่องของความรู้สึกไม่อาจฝืน คนที่ข้ารักจริงๆ คือเหม่ยเหม่ย

ข้าไม่สนๆ! วันนี้พวกเราทำตามสัญญาหมั้นหมายกราบไหว้ฟ้าดินแต่งงานกันเถิด!”

รั่วจื่อ เป็นข้าที่ติดค้างเจ้า ขออภัยด้วย ข้าจางโหย่วจี้เคยสาบานไว้ว่าชีวิตนี้นอกจากเหม่ยเหม่ย จะไม่มีวันแต่งงานกับหญิงใด

จู่ๆ ก็ได้ยินการสนทนาระหว่างชายหญิง เยี่ยจื่อชิวตกใจ นางมองไปตามเสียงและพบว่าเสียงนั้นมาจาก ‘กล่อง’ เรียวยาวบางๆ อันหนึ่ง

พอถูกฉากโต้เถียงกันของชายหญิงทำให้สะเทือนใจ เยี่ยจื่อชิวก็เดินเข้าไปโดยไม่รู้ตัว ก่อนชี้ไปยังหนุ่มรูปงามที่มีสีหน้าละอายแก่ใจภายใน ‘กล่อง’ พลางด่าสาดเสียเทเสีย

“ชายจิตใจเหี้ยมโหดคิดคดทรยศ ทอดทิ้งคู่หมั้นละเลยจริยธรรม สมควรถูกหั่นเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง!”

“เฮือก!” โจวเซ่าอี้ที่กำลังถอดหลอดไฟตกใจกับเสียงด่าทอด้วยความโมโหอย่างกะทันหันของเยี่ยจื่อชิวจนเกือบตกจากเก้าอี้ เขารีบทรงตัวก่อนหันไปมองอย่างไม่พอใจ “นี่ แค่ดูทีวีเอง อินขนาดนี้จะเสียงดังเอะอะให้ได้อะไร”

เวลานี้เยี่ยจื่อชิวได้ถูกชายหญิงในโทรทัศน์ดึงดูดไปนานแล้ว มีหรือจะได้ยินว่าคนข้างๆ กล่าวอะไร

กรี๊ด!” หญิงสาวงดงามในละครกรีดร้องด้วยความเศร้าเสียใจ ข้อต่อกระดูกมือทั้งสองข้างส่งเสียงกร๊อบๆ บาดหู พริบตานั้นมือก็กลายเป็นกรงเล็บน่าหวาดกลัว ดวงตาคู่นั้นฉายแววบ้าคลั่งพลางกัดฟันกรอด จางโหย่วจี้! เป็นเจ้าที่ติดค้างข้าในอดีต ในเมื่อเจ้าไร้ใจ เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าข้าไร้ความยุติธรรมก็แล้วกัน!”

“ลงมือเถิด ไม่ฆ่าเขาก็ระบายความแค้นออกมาไม่ได้!” เยี่ยจื่อชิวชูมือขึ้นกำหมัดให้กำลังใจหญิงสาวด้วยความขุ่นเคือง

พี่โหย่วจี้!” จู่ๆ หญิงสาวที่งดงามยิ่งกว่าหญิงสาวคนเมื่อครู่ก็ถูกคนพาเข้ามาโดยที่มือถูกมัดไพล่หลัง หญิงงามสะคราญมองชายหนุ่มที่อยู่ไม่ไกลด้วยสายตาโง่งม ส่วนชายหนุ่มเองก็มองกลับอย่างโง่งมเช่นกัน

ชั่วขณะนั้นคล้ายว่าใต้หล้านี้มีเพียงพวกเขาสองคน

“นางจิ้งจอก!” เยี่ยจื่อชิวฮึกเหิมเสียยิ่งกว่าหญิงสาวในละครที่ชื่อ ‘รั่วจื่อ’ นางชี้หน้าจอโทรทัศน์อย่างโมโหพลางตำหนิเสียงลั่น “อยู่ท่ามกลางคนมากมายยังส่งสายตาให้กัน นางจิ้งจอกชั่วช้า! ชายโหดเหี้ยมต่ำทราม!”

โจวเซ่าอี้ลืมหลอดไฟที่ถอดไปได้ครึ่งหนึ่ง เขาอ้าปากค้างมองเด็กสาวที่อินไปกับละครอย่างตกตะลึงจนคางแทบจะหล่นลงไปบนพื้น

ในเมื่อพวกเจ้ารักกันลึกซึ้ง วันนี้ข้าก็จะทำให้พวกเจ้าเป็นคู่ยวนยาง ที่ต้องพลัดพรากอย่างสมบูรณ์!” ‘รั่วจื่อ’ กางกรงเล็บพุ่งเข้าไปหาหญิงสาวที่ถูกมัดด้วยหมายจะเอาชีวิต ออกกระบวนท่าแทงเข้าหาจุดสำคัญของศัตรูหัวใจ

“อย่างนั้นล่ะ ฆ่านางเสีย!” เยี่ยจื่อชิวปรบมือด้วยความยินดี

เหม่ยเหม่ย!” ชายหนุ่มในหน้าจอเหาะทะยานไปข้างหน้าเพื่อช่วยเหลือด้วยความหวาดกลัว พริบตาเดียวก็ต่อสู้พัวพันกับหญิงสาวที่อิจฉาริษยาจนคลุ้มคลั่งผู้นั้น

“มีอย่างที่ไหน!” เยี่ยจื่อชิวเห็นสถานการณ์ก็โมโหใหญ่โต ชี้นิ้วด่าชายหนุ่มที่ตั้งหน้าตั้งตาปกป้อง ‘เหม่ยเหม่ย’ “เพื่อนางจิ้งจอกถึงกับลงมือกับคู่หมั้นคู่หมาย ชาติชั่ว! ไร้ยางอาย! ต่ำช้า!”

โจวเซ่าอี้เช็ดเหงื่อบนศีรษะ ส่ายหน้าพูดกับคนที่อารมณ์ฮึกเหิมผิดปกติอย่างจนใจ “แม่นางเหม่ยเหม่ยต่างหากที่เป็นคู่ชะตาที่แท้จริง เป็นนางเอกหลักของละครเรื่องนี้ เธอว่ามีอะไรไม่เป็นธรรมงั้นเหรอ”

“คู่ชะตาอะไรกัน ชิ!” เยี่ยจื่อชิวซึ่งเต็มไปด้วยความโกรธไม่มีที่ระบายก็พบทางออกทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เหรียญทองแดงพุ่งออกจากหว่างนิ้วตนในชั่วพริบตา กระแทกเข้ากับขาเก้าอี้อย่างแม่นยำ

“เหวอ!” เก้าอี้พลันพลิกคว่ำ โจวเซ่าอี้ที่ยืนอยู่ข้างบนยังไม่ทันได้ตอบสนองก็ล้มลงบนพื้นอย่างอเนจอนาถ ก้นของเขานั่งลงบนขาเก้าอี้พอดิบพอดี และบังเอิญไปโดน ‘ส่วนสำคัญ’ เขาจึงเจ็บจนร้องโอดโอยออกมา

ละสายตาไปครู่เดียว ‘รั่วจื่อ’ ในละครก็ได้รับบาดเจ็บ เยี่ยจื่อชิวเห็นอย่างนั้นก็โกรธและด่าทอคู่หญิงชายซึ่งโอบกอดกันอยู่ยกใหญ่

“หญิงโฉดชายชั่วตัวดี! วันนี้ข้าจะทำตามประสงค์ของสวรรค์ มัดพวกเจ้าไปถ่วงแม่น้ำ!”

กล่าวจบมือก็เอื้อมไปชักกระบี่ด้านหลัง แต่กลับจับได้เพียงความว่างเปล่า ทันใดนั้นนางก็นึกได้ว่ากระบี่อยู่ในห้อง ไม่ได้สะพายไว้กับตัว จึงได้แต่ล้มเลิกการใช้กระบี่แล้วใช้มือขวาต่างมีดโบกปัดหมายจะฟันไปที่ชายหญิงคู่นั้นในหน้าจอ

ในช่วงเวลาวิกฤต ขณะที่ฝ่ามือของเยี่ยจื่อชิวอยู่ห่างจากโทรทัศน์ไม่ถึงสิบเซนติเมตร โม่เหยาที่ได้ยินเสียงดังก็รีบวิ่งออกมาจากห้องนอนแล้วกดปุ่มเปลี่ยนช่องได้ทันเวลา

ภาพที่ปรากฏบนจอพลันเปลี่ยนไป ผู้คนล้วนหายไปทั้งหมด

เยี่ยจื่อชิวรีบเคลื่อนกำลังภายในเก็บพลังฝ่ามือที่จะฟาดลงไป การฝืนเก็บวรยุทธ์ไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย โดยเฉพาะพลังฝ่ามือเมื่อครู่ที่นางใช้กำลังภายในไปถึงแปดส่วน เมื่อเก็บวรยุทธ์พลังจะย้อนกลับมากัดกลืนร่างกายอย่างรุนแรง

เยี่ยจื่อชิวทำเสียงฮึดฮัด นางรู้สึกหวานในลำคอก่อนกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ขณะที่กำลังจะพ่นออกมานางก็ใช้กำลังภายในฝืนบังคับกลืนกลับไป

หลังเช็ดคราบเลือดที่เปื้อนตรงมุมปากเสร็จก็สูดลมหายใจเข้าลึก เยี่ยจื่อชิวที่ใบหน้าซีดเซียวกล่าวอย่างลังเลไม่แน่ใจ

“ชายทรยศใจโหดเหี้ยมผู้นั้นเล่า นางจิ้งจอกเล่า พวกเขาซ่อนตัวอยู่ที่ใดกัน”

เมื่อโจวเซ่าอี้เห็นโม่เหยาก็ร้องทุกข์ด้วยสีหน้าขมขื่น “โม่เหยา ยัยคนนี้มาจากอวกาศใช่รึเปล่า เธอมาทำลายโลกใช่ไหม”

โม่เหยาเดินเข้ามาประคองโจวเซ่าอี้ไปนั่งบนโซฟาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาเหลือบมองเยี่ยจื่อชิวที่กำลังยืนตะลึงอยู่หน้าโทรทัศน์พลางเอ่ยถาม

“เกิดอะไรขึ้น”

โจวเซ่าอี้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อย่างรวดเร็วด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง ก่อนชี้ไปที่เด็กสาวและพูดกับโม่เหยาอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“นายว่ามาซิ พระเอกนางเอกในทีวีจะรักกันไม่แยกจากเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย ฉันแค่โต้แย้งแทนนางจิ้งจอกที่เธอพูดถึงว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคู่ที่สวรรค์ลิขิตไว้ ผลคือเธอก็บ้าคลั่งขึ้นมา ทำร้ายฉันจนเกือบล้มตกลงมาเป็นขันที! ตอนนั้นเธอแค่สะบัดนิ้วเบาๆ เก้าอี้ก็ล้มลง ขนาดอภินิหารดัชนีเธอยังทำเป็น เป็นไปได้ไหมว่าเธอมาจากนอกโลกน่ะ”

“ลำบากนายแล้ว เพื่อนรัก” โม่เหยาตบไหล่ของโจวเซ่าอี้ที่โกรธจัดเบาๆ ด้วยความเห็นใจ จากนั้นก็เดินไปหาเยี่ยจื่อชิวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของโม่เหยาเข้ามาใกล้ เยี่ยจื่อชิวก็จ้องมองหน้าจอโทรทัศน์เขม็ง “ศิษย์พี่ เหตุใดจู่ๆ สองคนนั้นที่เยี่ยจื่อต้องการสั่งสอนถึงกลายเป็นงูไปแล้ว”

โม่เหยาจับจ้องหน้าจอโทรทัศน์ก็เห็นเพียงงูเหลือมตัวใหญ่กำลังแลบลิ้นเลื้อยอยู่ในป่า นกและสัตว์ในบริเวณที่มันเลื้อยผ่านต่างหนีไปอย่างเงียบๆ

ตอนนี้ช่องใหม่กำลังฉายรายการสัตว์โลก…

 

เยี่ยจื่อชิวไม่ชินกับการใส่เสื้อผ้าของที่นี่เลย โม่เหยาซื้อเสื้อผ้าให้นางสองสามชุด นางเลือกเพียงชุดนอนที่ดูแล้วเข้าตาที่สุดและคุ้นเคยเป็นที่สุด ส่วนเสื้อตัวในยังคงเป็นของตนเอง นางยอมรับเสื้อผ้าประเภท ‘ชุดชั้นในท่อนบน’ ของที่นี่ไม่ค่อยได้จริงๆ

นางไม่ยินดีที่จะสวมใส่สิ่งบางๆ ดูไม่สบายตัวที่เรียกว่า ‘ลางร้าย!’* เป็นอย่างยิ่ง

คนที่นี่แปลกประหลาดเสียเหลือเกิน สวมใส่สิ่งของที่มีกลิ่นอายชั่วร้ายเช่นนี้ไว้บนตัว อย่าบอกนะว่าพวกเขาหวังจะใช้ความชั่วร้ายควบคุมความชั่วร้ายและปัดเป่าสิ่งอัปมงคลงั้นหรือ ถึงอย่างนั้นสำหรับของที่เป็น ‘ลางร้าย’ แบบนี้ นางกลัวว่าต่อให้หลบหลีกไปก็หลีกไม่พ้น

หากเปลี่ยนชื่อเป็น ‘ดวงดาวแห่งโชคลาภ’ นางอาจจะกลั้นใจลองสวมใส่ดูเพื่อความเป็นมงคล

เยี่ยจื่อชิวนับนิ้วดู นางอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลาแปดวันแล้ว เลียนแบบคำพูดของศิษย์พี่คือเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์กับอีกหนึ่งวัน นั่นก็พูดได้ว่าหนึ่งสัปดาห์กับหนึ่งวัน

เยี่ยจื่อชิวใช้ชีวิตตามปกติในทุกๆ วัน ตอนเช้ายามเหม่าสองเค่อ (ประมาณหกโมง) ตื่นนอนตรงเวลา นั่งสมาธิครึ่งชั่วยาม จากนั้นก็กินมื้อเช้าด้วยกันกับโม่เหยา หลังจากนั้นโม่เหยาขับรถไปทำงาน นางก็ดูโทรทัศน์อยู่ที่บ้าน

หลังจากดูโทรทัศน์มาทั้งวัน เยี่ยจื่อชิวรู้สึกเบื่อหน่าย นางเดินไปยังระเบียงมองผ่านหน้าต่างลงไป เวลานี้โม่เหยาน่าจะกลับมาแล้ว

แม้ว่าสายตาของนางจะดีกว่าคนทั่วไปหลายเท่า แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นผู้คนบนพื้นดินจากชั้นสิบห้าได้ชัดเจน เพียงแต่นางเริ่มคุ้นชินกับการยืนมองลงไปจากระเบียงในเวลานี้ การรอคอยศิษย์พี่กลับมาเป็นเรื่องที่นางจำเป็นต้องทำทุกวัน

“วันนี้คงไม่ทำโอทีหรอกกระมัง” เยี่ยจื่อชิวพูดกับตัวเองพลางก้มมองผู้คนกับรถยนต์บนพื้นดิน

ในช่วงไม่กี่วันมานี้เยี่ยจื่อชิวคุ้นเคยกับคำศัพท์ของที่นี่บ้างแล้ว อย่างเช่นคำว่าทำงานของที่นี่หมายถึงงานในหน้าที่ การเข้างานหมายถึงการออกไปใช้แรงทำงาน

ศิษย์พี่บอกว่าในบ้านมีคนว่างงานเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน เพื่อที่จะเลี้ยงดูคนที่เพิ่มขึ้นมาหนึ่งคนให้รอด เขาจะต้องออกไปหาเงินให้มากขึ้น ขอเพียงนางอยู่ที่บ้านอย่างว่านอนสอนง่ายไม่ทำลายข้าวของ เขาก็จะหาเงินมามากๆ เพื่อเลี้ยงนางให้อิ่มท้อง

เยี่ยจื่อชิวซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง ตระหนักได้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับศิษย์พี่ที่จะทำงานหนักเพื่อหาเงินมาจุนเจือเลี้ยงดูครอบครัว และเพื่อทำให้เขารู้สึกวางใจ นางจึงเชื่อฟังมาโดยตลอด สิ่งของที่ไม่เข้าใจใช้ไม่เป็นก็ไม่แตะต้อง พยายามมุมานะที่จะเป็น ‘ภรรยาที่ดี’ ให้ศิษย์พี่พึงพอใจ

ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง โม่เหยาก็กลับมา

“วันนี้ศิษย์พี่กลับค่อนข้างช้า ทำโอทีอีกหรือเจ้าคะ” เยี่ยจื่อชิวเข้าไปต้อนรับด้วยความยินดี อยู่ตัวคนเดียวทั้งวันค่อนข้างหดหู่ เวลานี้มีคนให้พูดคุยด้วย แน่นอนว่านางต้องดีใจ

“อืม ในบริษัทมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ” เมื่อโม่เหยาเปลี่ยนมาใส่รองเท้าแตะที่โถงทางเข้าแล้วดวงตาก็กวาดมองทุกสิ่งที่เขาเห็นตามนิสัยปกติและถามอย่างทุกวันว่า “วันนี้ไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นใช่ไหม”

“ไม่มีนะเจ้าคะ!” เยี่ยจื่อชิวเงยหน้าขึ้นกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “เยี่ยจื่อไม่ได้ทำของเสียหายมานานมากแล้ว ต่อไปก็จะไม่ทำด้วย!”

“เด็กดี” โม่เหยาขยี้ผมที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบของเด็กสาวเป็นการชมเชย

“ฮี่ๆ” คนที่ได้รับการชมเชยจากศิษย์พี่ก็พลันฝันหวานไปไกล

โม่เหยาเข้าห้องไปเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้านใส่สบายแล้วเข้าครัวเปิดตู้เย็นหยิบผักออกมาก่อนจะเอ่ยถามว่า “วันนี้ทั้งวันทำอะไรล่ะ”

“ดูละครทีวี” ตั้งแต่เยี่ยจื่อชิวรู้จักว่าโทรทัศน์เอาไว้ทำอะไรก็หลงใหลในการดูโทรทัศน์มาก นางชอบดูละครย้อนยุคและดูอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษ

“ดูละครทีวีทั้งวัน ฉันไม่ได้บอกเหรอว่าให้เธอดูช่องที่เป็นการสอนวิทยาศาสตร์และข่าวให้มากๆ” โม่เหยาชำเลืองมองเด็กสาวอย่างไม่พอใจ

เยี่ยจื่อชิวเบะปากอย่างไร้เดียงสา “ละครทีวีสนุกนี่นา การสอนวิทยาศาสตร์กับข่าวเยี่ยจื่อดูแล้วอยากนอน”

“หึ”

ในขณะที่โม่เหยากำลังล้างผักหั่นผัก เยี่ยจื่อชิวก็มองดูอยู่ตรงประตูครัว พูดคุยกับเขาอย่างไม่ได้เก็บมาใส่ใจ

คุยกันอยู่สักพักหนึ่งโม่เหยาก็นำผักที่หั่นเสร็จแล้วใส่ในกระทะแล้วเริ่มผัด ดวงตาเยี่ยจื่อชิวกลอกไปมา เอ่ยปากคุยกับเขาเรื่องละครทีวีที่ดูเมื่อกลางวัน

“ศิษย์พี่ ละครทีวีที่เยี่ยจื่อดูวันนี้นางเอกน่าสงสารเหลือเกิน”

หลังพูดจบนางก็กะพริบตาปริบๆ มองโม่เหยาด้วยความคาดหวัง อยากให้เขาเอ่ยถามสักประโยคว่า ‘น่าสงสารอย่างไร’ จากนั้นนางก็จะ ‘โยนอิฐล่อหยก’*

ดีดลูกคิดดังป๊อกแป๊ก ผลลัพธ์คือเขาไม่สนใจนาง…

“ศิษย์พี่ หญิงผู้นั้นน่าสงสารจริงๆ เยี่ยจื่อเห็นใจนางยิ่งนัก”

ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ยังไม่สนใจ

“ศิษย์พี่ หญิงผู้นั้นไม่เคยทำเรื่องผิดต่อฟ้าดินใดๆ ผลคือทุกคนต่างเยาะเย้ยนาง”

“…”

“ศิษย์พี่ หญิงผู้นั้น…”

โม่เหยาซึ่งถูกเสียงรบกวนสุดจะทานทน ในที่สุดก็เอ่ยถามอย่างหมดความอดทนตามที่ใครบางคนคาดหวัง “เธออยากพูดอะไรกันแน่”

เยี่ยจื่อชิวลอบยิ้ม และรีบหุบยิ้มก่อนแววตาแหลมคมของโม่เหยาจะกวาดมองมา นางกล่าวอย่างจริงจังว่า “เรื่องราวเป็นเช่นนี้ หญิงผู้นั้นตอนเด็กได้หมั้นหมายกับเด็กชายในหมู่บ้านเอาไว้”

ได้ยินคำว่า ‘หมั้นหมาย’ หนังตาของโม่เหยาก็กระตุก ลางสังหรณ์ที่ไม่เป็นมงคลจู่ๆ ก็พรั่งพรูขึ้นในใจ

“ทั้งสองคนเป็นสหายสมัยเด็กและมีใจให้กันเมื่อเติบใหญ่ ตอนฝ่ายชายอายุสิบหกเข้าเมืองหลวงสอบเป็นขุนนาง ก่อนจากไปให้หญิงสาวรอเขาสอบติดแล้วจะกลับมาสู่ขอนางแต่งงานอย่างเป็นหน้าเป็นตา หญิงสาวรับปาก ผลลัพธ์คือรอแล้วรอเล่า ตั้งแต่อายุสิบสี่รอมาตลอดจนอายุสิบแปด คู่หมั้นไม่เคยกลับมาอีกคล้ายสาบสูญไปจากโลกนี้ก็ไม่ปาน ต่อมาคนของครอบครัวฝั่งคู่หมั้นไปยังเมืองหลวงก็หาไม่พบ คนในพื้นที่และเพื่อนบ้านต่างเกลี้ยกล่อมหญิงสาวว่าอย่าได้รอเลย คู่หมั้นของนางเกรงว่าจะพบกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด มิเช่นนั้นจะจากไปสี่ปีโดยไม่มีข่าวคราวได้อย่างไร

หญิงสาวไม่ฟัง ยังคงยืนหยัดรอต่อไป ผลคือรอจนกระทั่งอายุสิบเก้าปี หญิงสาวในหมู่บ้านที่อายุเท่ากับนางต่างเป็นมารดามีลูกสองสามคนแล้ว แม้แต่หญิงอ้วนรอยแผลเต็มหน้าที่ขี้เหร่ที่สุดในหมู่บ้านใกล้เคียงก็แต่งงานแล้ว เหลือเพียงนางคนเดียวยังไม่แต่งงาน ตอนแรกคนในหมู่บ้านยังเห็นใจในสิ่งที่นางพบเจอ แต่พอนานวันเข้าทุกคนต่างก็เริ่มหัวเราะเยาะว่านางเป็นหญิงทึนทึกขายไม่ออก เพราะถูกทุกคนเยาะเย้ย ครอบครัวหญิงสาวจึงไม่กล้าเงยหน้าเวลาออกจากบ้าน ส่วนนางไม่กล้าแม้แต่จะก้าวออกจากประตู ด้วยเหตุนี้พี่สะใภ้ น้องชาย น้องสาวจึงมีคำต่อว่าต่อขานไม่น้อย วันทั้งวันในบ้านมีแต่การทะเลาะกันเสียงดังเอะอะ เพราะว่าทุกข์จากความรู้สึกผิด หญิงสาวแทบจะรับผิดชอบงานในบ้านทั้งหมด เหน็ดเหนื่อยทำงานอย่างหนัก ผลคือหญิงสาวหน้าตางดงามที่คนเห็นแล้วชื่นชมก็เหน็ดเหนื่อยจนกลายเป็นหญิงขี้เหร่ใบหน้าเหลืองซูบผอม…”

เยี่ยจื่อชิวสาธยายถึงความน่าสงสารที่หญิงสาวพบเจออย่างทอดถอนใจ หลังจากพูดไปได้สักพัก ในที่สุดก็เล่าละครที่ดูไปเมื่อตอนกลางวันจบ ดวงตาคู่นั้นมองชายหนุ่มที่ไม่รู้ว่าได้ฟังเรื่องที่นางเล่าหรือเปล่าด้วยความคับแค้นใจ เริ่มแสดงอาการทอดถอนใจ

“ความคาดหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตหนึ่งของสตรีก็คือแต่งงานกับบุรุษที่ดี ช่วยเหลือสามีเลี้ยงดูลูก สตรีเมื่อถึงวัยก็ต้องแต่งงาน ไม่อย่างนั้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรตามก็จะกลายเป็นที่น่าขบขันของผู้คน”

โม่เหยาแทบจะกลอกตา เขาทำอาหารต่อโดยไม่พูดอะไร

“ศิษย์พี่ ท่านได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่!” เยี่ยจื่อชิวกล่าวจนปากแห้งลิ้นแห้ง แต่อีกฝ่ายทำราวกับไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น นางกระทืบเท้าด้วยความโกรธ

“ได้ยินแล้ว”

“ได้ยินแล้วท่านไม่อยากพูดอะไรหรอกหรือ”

“มีอะไรน่าพูดกันล่ะ สิ่งเดียวที่อยากพูดคือต่อไปเธอดูละครทีวีไร้สาระพวกนี้ให้น้อยลงหน่อย ดูละครยุคปัจจุบันทำความเข้าใจกับสังคมนี้ให้มากๆ”

“ละครยุคปัจจุบันเยี่ยจื่อดูไม่เข้าใจ ดูได้เพียงละครเช่นนี้ ศิษย์พี่ท่านอย่าเปลี่ยนเรื่อง” เยี่ยจื่อชิวเบะปากด้วยความไม่พอใจ “อีกครึ่งปีเยี่ยจื่อก็จะอายุสิบเก้าเท่ากับหญิงสาวในละครแล้ว! หรือศิษย์พี่จะทนมองดูข้าถูกคนอื่นหัวเราะเยาะว่าแก่ถึงเพียงนี้แล้วยังไม่แต่งงานงั้นหรือ”

หลังจากพูดอ้อมไปอ้อมมา ในที่สุดก็กล่าวจุดประสงค์ออกมาเสียที โม่เหยาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เขาตักถั่วแขกผัดกระเทียมใส่ในจานแล้วพูดกับเด็กสาว

“ที่นี่ไม่นิยมแต่งงานเร็ว เธออายุเท่านี้ไม่แก่สักนิด กลับกันยังเด็กอยู่มาก”

พูดไปพูดมาก็คือไม่อยากทำตามสัญญาหมั้นหมายและแต่งงานกับข้า!

เยี่ยจื่อชิวน้อยเนื้อต่ำใจอย่างยิ่ง ขอบตาแดงระเรื่อพลางกล่าว “เยี่ยจื่อมาแคว้นเทียนได้แปดวันแล้ว ยังไม่เคยพบท่านลุงท่านป้าเลย ว่ากันว่าลูกสะใภ้ขี้เหร่อย่างไรก็ต้องเจอพ่อแม่สามี นานถึงเพียงนี้แล้วยังไม่มีโอกาสคารวะสักหน ท่านลุงท่านป้าจะหาว่าเยี่ยจื่อไม่รู้ความเอาได้”

โม่เหยาสีหน้าเย็นเยียบในทันที “แม่ของฉันตายไปเมื่อสองปีก่อน ส่วนพ่อฉัน…ตอนนี้มีความสุขมาก!”

เยี่ยจื่อชิวได้ฟังก็ตกอกตกใจ รีบก้มหน้าลงดึงปลายแขนเสื้อของเขาพลางกล่าวขอโทษด้วยความไม่สบายใจ “ศิษย์…ศิษย์พี่ เยี่ยจื่อไม่ได้ตั้งใจกล่าวถึงท่านป้า ขออภัยด้วย”

“ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอหรอก ตอนนี้ฉันออกมาอยู่ที่นี่ ยังไม่มีความคิดจะกลับไปช่วงนี้” เมื่อพูดถึงคนในครอบครัว น้ำเสียงของโม่เหยาก็ค่อนข้างเย็นชา

“อ้อๆ” เยี่ยจื่อชิวพยักหน้ารัวๆ ลอบโทษตัวเองว่าทำให้ศิษย์พี่ไม่เบิกบานใจ

“มายกกับข้าวไป” โม่เหยาออกคำสั่ง

“เจ้าค่ะ” เยี่ยจื่อชิวทำผิดไป อดรนทนไม่ไหวอยากจะทำตัวดีๆ เสียหน่อย ได้ฟังก็รุดหน้าขึ้นยกกับข้าวไปวางบนโต๊ะ พร้อมกับหยิบชามกับตะเกียบไปวางอย่างดี หลังจากทำทุกอย่างเสร็จหมดแล้วหางตาก็ลอบมองชายหนุ่ม ท่าทีระมัดระวังคล้ายกับเด็กอนุบาลตัวน้อยที่ทำอะไรผิดแล้วถูกครูตำหนิ

โม่เหยาเห็นอย่างนั้นก็อดยิ้มไม่ได้ ความเยียบเย็นในดวงตาค่อยๆ เลือนหาย เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลขึ้น

“เธอไม่ต้องเจอพ่อของฉันหรอก แต่เจอคนอื่นๆ ได้ พรุ่งนี้ลูกพี่ลูกน้องของฉันจะมา ลูกพี่ลูกน้องดีกับฉันมาตั้งแต่เด็ก คงช่วยสอนบางอย่างให้เธอได้”

“อ๋า ญาติผู้น้องจะมาหรือเจ้าคะ” เยี่ยจื่อชิวได้ยินดังนั้นก็รู้สึกกังวล สองมือจับตามร่างกาย จากนั้นก็กล่าวด้วยท่าทางเศร้าซึม “ญาติผู้น้องจะมาแล้ว พบกันครั้งแรกควรเตรียมของขวัญเล็กๆ น้อยๆ เอาไว้ให้จึงจะถูก แต่…แต่ว่าทั้งตัวเยี่ยจื่อไม่มีสิ่งของใดหลงเหลือ นอกจากกระบี่เล่มหนึ่งแล้วก็ไม่มีของมีค่าใดอีก แต่กระบี่ก็มอบให้ไม่ได้ จะทำอย่างไรดี”

โม่เหยาอยากบอกว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือสิ่งที่ห้อยอยู่บนคอเธอนั่นแหละ แต่เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เยี่ยจื่อชิวโมโหเขาจึงไม่ได้พูดคำนี้ออกมา ส่ายศีรษะหัวเราะพลางเอ่ยขึ้น

“ลูกพี่ลูกน้องอายุมากกว่าเธอหนึ่งปี เธอจะเรียกว่าญาติผู้น้องไม่ได้ ควรจะเรียกพี่สาวถึงจะถูก”

“ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ควรเรียกข้าว่าพี่สะใภ้” เยี่ยจื่อชิวพึมพำเบาๆ

“เธอว่ายังไงนะ” โม่เหยาฟังไม่ชัด

“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” เยี่ยจื่อชิวพูดแล้วจู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ดวงตาดอกท้อเป็นประกายขึ้นมาทันที นางมองโม่เหยาแล้วกล่าวว่า “เยี่ยจื่อวาดภาพเหมือนให้นางเป็นของขวัญสำหรับการพบกันได้ รอให้นางมาแล้วข้าค่อยวาด”

“เธอวาดรูปเป็นเหรอ” โม่เหยาถามด้วยความตกตะลึง

“แน่นอนเจ้าค่ะ!” เยี่ยจื่อชิวเลิกคิ้วพร้อมเชิดหน้าขึ้นกล่าวอย่างมั่นใจ “เยี่ยจื่อติดตามร่ำเรียนวิชาวาดภาพกับอาจารย์มาสิบกว่าปี ไม่กล้าเรียกตนว่าเป็นหญิงที่มีความรู้ความสามารถ แต่ว่าพิณ หมาก พู่กัน วาดภาพก็ยังถือว่ารู้ทั้งหมด”

“อ้อ พิณ หมาก พู่กัน วาดภาพล้วนเชี่ยวชาญทุกอย่างงั้นเหรอ” โม่เหยาวางดอกกะหล่ำที่หั่นไปครึ่งหนึ่งในมือ มองเด็กสาวอย่างไม่อยากเชื่อ

“ไม่ใช่ว่าเชี่ยวชาญไปเสียทุกอย่าง” เยี่ยจื่อชิวระงับสีหน้าอันภาคภูมิใจเอาไว้ ลูบใบหน้าแดงระเรื่อและกล่าวอย่างเขินอาย “สติปัญญาของเยี่ยจื่อมีจำกัด สิ่งที่ได้เรียนรู้นั้นยังไม่ถึงหนึ่งหรือสองในสิบของความสามารถของอาจารย์ ดังนั้นจึงเรียกได้ว่ารู้ ‘ทั้งหมด’ มิใช่ ‘เชี่ยวชาญ’ ”

เมื่อเห็นใบหน้าแดงระเรื่อของเด็กสาวแล้วโม่เหยาก็อยากหัวเราะ แต่เขาอดกลั้นเอาไว้และพูดอย่างใจกว้าง “ฟังดูแล้วอาจารย์ของเธอเก่งกาจน่าดู”

“อาจารย์ของข้าอะไรกัน” เยี่ยจื่อชิวกลอกตามองชายหนุ่มด้วยความไม่พอใจ กล่าวแก้ไขว่า “เป็น ‘อาจารย์’ ของพวกเราต่างหาก ศิษย์พี่ ต่อให้ท่านสูญเสียความทรงจำแต่จะทอดทิ้งสำนักไม่ได้!”

มุมปากโม่เหยากระตุกเล็กน้อย ประสบการณ์สองสามวันที่ผ่านมาเตือนเขาว่าอย่าได้ถกเถียงเรื่อง ‘สูญเสียความทรงจำ’ กับเด็กสาวคนนี้ ไม่อย่างนั้นเธอจะเอะอะโวยวายจนหูเขาไม่ได้สงบไปทั้งคืน

เขากระแอมเบาๆ ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยว่า “ดูเหมือนว่า…สามารถสอนลูกศิษย์อย่างเธอได้ คิดว่าคนเป็นอาจารย์คงไม่ใช่คนธรรมดา”

“ใช่แล้ว!” เมื่อกล่าวถึงอาจารย์ผู้มีพระคุณ เยี่ยจื่อชิวก็รู้สึกภาคภูมิใจในตนเองยิ่งนัก กล่าวอย่างหน้าชื่นตาบาน “อาจารย์ยังเป็นผู้มีความสามารถโดดเด่นในยุทธภพ พิณ หมาก พู่กัน วาดภาพ บทกวีและบทเพลงล้วนเชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้ง กระทั่งวรยุทธ์และธาตุทั้งห้า ยันต์แปดทิศล้วนอย่างรู้จริง! ไม่ว่าจะเป็นคนในแวดวงขุนนางหรือผู้มีชื่อเสียงในยุทธภพ เมื่อได้ยินชื่อของอาจารย์ต่างก็หวาดกลัวสุดขีด สำหรับพวกเขาแล้ว ยอมล่วงเกินฮ่องเต้ดีกว่าล่วงเกินอาจารย์!”

“ชื่อเสียงเลื่องลือขนาดนั้นเชียว?” โม่เหยาเลิกคิ้วแล้วยิ้มถาม “ในเมื่อใครๆ ก็ต่างหวาดกลัวเขา คิดว่านามจะต้องยิ่งใหญ่มากแน่เลย”

“แน่นอนอยู่แล้ว” เยี่ยจื่อชิวผงกศีรษะด้วยความลำพองใจ ยิ้มตาหยีแล้วกล่าวว่า “อาจารย์มีนามว่าเจินจื่อ!”

เจินจื่อ?

มีดหั่นผักเกือบหั่นมือ หางตาของโม่เหยามองเยี่ยจื่อชิวที่ยังคงภาคภูมิใจในตัวอาจารย์มากจนตัวเกือบจะลอย เขาอยากบอกจริงๆ ว่านาม ‘เจินจื่อ’ ก็ดังมากในยุคปัจจุบัน หาก ‘เจินจื่อ’ มาที่นี่จริงๆ ล่ะก็ ความปั่นป่วนคงเทียบได้กับการที่ดาวอังคารพุ่งชนโลกอย่างแน่นอน…

 

เพราะมีสิ่งให้เรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ความต้องการในการแสวงหาความรู้ของเยี่ยจื่อชิวก็ทวีคูณมากขึ้นทุกที มีคำถามมากมายตามมาไม่ขาดสาย พอมีโอกาสก็จะจับตัวโม่เหยามาถามนู่นถามนี่ อย่างเช่น

คำถามที่หนึ่ง…

“ศิษย์พี่ เหตุใดคนเหล่านั้นในละครทีวีใช้กระบวนท่าวรยุทธ์โง่เง่าแท้ๆ แต่กลับต่อสู้จนอีกฝ่ายกระอักเลือดได้เล่า”

“พวกนั้นเป็นของปลอมทั้งนั้นแหละ”

“มีอย่างที่ไหนกัน! ละครทีวีปลอมยังปล่อยออกมาได้ เห็นว่าคนโง่งมกันหมดหรือไร!”

“มีแค่คนโง่อย่างเธอนั่นแหละที่ชอบดูอะไรที่เอาไว้หลอกคนพวกนี้ ในเมื่อทนดูไม่ไหว งั้นก็ไปดูข่าวสิ!”

“เฮ้อ เช่นนั้นเยี่ยจื่อแสร้งทำเป็นคนโง่ก็แล้วกัน…”

คำถามที่สอง…

“ศิษย์พี่ เมื่อวานเยี่ยจื่อดูทีวีได้ยินคนคนหนึ่งด่าทออีกคนว่า ‘หลอกเตี่ย’ ศิษย์พี่บอกว่าคนที่นี่จะเรียกท่านพ่อว่าป๊า ไม่ใช่เตี่ยหรอกหรือ เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ด่าว่า ‘หลอกป๊า’ แต่เป็น ‘หลอกเตี่ย’ ล่ะ ‘หลอกป๊า’ ฟังดูห้าวหาญกว่าตั้งเยอะ!”

“นั่นเป็นคำศัพท์ที่ได้รับความนิยมบนอินเตอร์เน็ต มีความหมายว่าถูกหลอก ส่วนมากหมายถึงถูกคนอื่นหลอกหรือไม่ก็ถูกหยอกล้อ รู้ว่าหมายความว่าอะไรก็พอแล้ว ส่วนจะเป็น ‘หลอกเตี่ย’ หรือ ‘หลอกป๊า’ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะต้องมากังวล”

“เยี่ยจื่อเชื่อฟังคำของศิษย์พี่ ไม่กังวลแล้ว ความรู้ใหม่ต้องเรียนตอนนี้ใช้ตอนนี้ถึงจะจำได้แม่นยำ ศิษย์พี่ฟังนะ ดูว่าความสามารถในการใช้อย่างว่องไวของเยี่ยจื่อเป็นอย่างไร” นางกระแอมในลำคออย่างเป็นจริงเป็นจัง จากนั้นก็ใช้คำว่า ‘หลอกเตี่ย’ มาแต่งประโยค “ระยะนี้เยี่ยจื่อดูละครทีวีที่ ‘หลอกเตี่ย’ มากมาย ความรู้สึกหลงใหลของฉันล้วนถูกพวกมัน ‘หลอกเตี่ย’ แล้ว ศิษย์พี่ เยี่ยจื่อพูดถูกหรือไม่”

“…”

คำถามที่สาม…

“ศิษย์พี่ ‘เพ่านิว’* หมายความว่าอย่างไร เยี่ยจื่อรู้ว่า ‘นิว’ หมายถึงสตรี เช่นนั้นความหมายของ ‘เพ่า’ หมายถึงนำสตรีโยนลงไปแช่ในน้ำหรือ”

“…”

“ศิษย์พี่? ท่านไม่ตอบแสดงว่าท่านเองก็ไม่เข้าใจใช่หรือไม่”

“เรื่องดีๆ ไม่เรียน วันๆ สนใจแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้ มันใช้ได้เหรอ!” ตำหนิเสร็จเขาก็ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนพูดอธิบายอย่างอ้อมค้อมว่า “ความหมายของ ‘เพ่านิว’ คำนี้น่ะ…จะว่ายังไงดี เข้าใจแค่ว่ามีความรู้สึกดีๆ กับผู้หญิงคนหนึ่ง ดังนั้นจึงอยาก…ใกล้ชิดเธอ หวังจะสร้างความสัมพันธ์ที่สนิทชิดเชื้อกับเธอพอ”

“ศิษย์พี่มีความรู้จริงๆ ด้วย อะไรๆ ก็เข้าใจไปหมด”

ชายคนหนึ่งอับอายจนหน้าแดง

“ ‘เพ่า’ คำนี้ใช้ได้กับผู้หญิงเท่านั้นหรือ เช่นนั้นเยี่ยจื่ออยากใกล้ชิดกับศิษย์พี่มากๆ พูดว่าเยี่ยจื่ออยาก ‘เพ่า’ ศิษย์พี่ได้หรือไม่”

ชายคนหนึ่งโงนเงนเจียนจะหกล้ม

“ศิษย์พี่?”

ชายคนหนึ่งกัดฟันพูด “คำศัพท์นี้ใช้ได้กับผู้หญิงเท่านั้น!”

“อ้อ เยี่ยจื่อทราบแล้ว เมื่อญาติผู้น้องมา เพื่อเป็นการแสดงถึงการต้อนรับและความดีใจที่มีต่อนาง เยี่ยจื่อจะจำไว้ว่าต้องพูดกับนางว่า ‘ฉันอยากเพ่านิวเธอ’ ” หญิงคนหนึ่งกำหมัดเตือนตัวเองว่าต่อหน้าญาติผู้น้องต้องแสดงออกว่ากระตือรือร้นสักหน่อย นี่เป็นหน้าที่ของนางในฐานะ ‘นายหญิง’

ชายคนหนึ่งคลุ้มคลั่ง คำรามกับท้องฟ้า “ฉันทนไม่ไหวแล้ว!”

เยี่ยจื่อชิวอุดอู้อยู่ในบ้านหลายวัน ความรู้สึกแปลกใหม่และความอยากรู้อยากเห็นอันแรงกล้าในช่วงที่เพิ่งมาถึงเกี่ยวกับ ‘บ้าน’ หลังนี้ค่อยๆ หายไปหลังได้เรียนรู้ทุกอย่างหมดแล้ว แม้ว่าในโทรทัศน์จะมีรายการมากมาย ทว่าที่ชื่นชอบก็มีอยู่ไม่เท่าไร

เวลาดูโทรทัศน์เมื่อพบจุดที่ไม่เข้าใจนางก็จะตั้งใจจำเอาไว้แล้วค่อยไปถามโม่เหยาทีหลัง นางคิดว่าตัวเองเรียนอย่างขยันขันแข็ง แต่คนสอนช่างไม่มีความอดทนเอาเสียเลย ตอนแรกยังสั่งสอนด้วยถ้อยคำดีๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็ฉุนเฉียวในทันใด ทั้งๆ ที่นางเรียนรู้ได้เร็วมาก มักเรียนแล้วเอามาปรับใช้บ่อยๆ ศิษย์พี่ไม่ชื่นชมก็แล้วไป แต่ผลกลับกลายเป็นว่าเขาเป็นบ้าไปแล้ว

นิสัยแย่ ไม่มีความอดทน นี่คือข้อบกพร่องที่เยี่ยจื่อชิวสรุปให้กับนิสัยของโม่เหยา

ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ศิษย์พี่ต่อให้ดีแค่ไหนก็เป็นคนเช่นกัน ไม่อาจสมบูรณ์แบบดังเช่นเทพเซียน นางเป็นคนใจคอกว้างขวาง จิตใจเปิดกว้างไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น จะไม่จู้จี้จุกจิกกับศิษย์พี่ที่อารมณ์เสียง่ายอย่างนี้ก็แล้วกัน

พอยืนอยู่ตรงระเบียงแล้วมองลงไปข้างล่าง เยี่ยจื่อชิวรู้สึกอึดอัดใจมาก อยากออกไปผ่อนคลายจิตใจ จนใจที่ศิษย์พี่ไม่อนุญาตให้นางออกไปตัวคนเดียว พูดอย่างไม่ไว้หน้าว่า ‘สาวหน้าขาว’* ที่มีพลังทำลายล้างสูงแบบนาง ออกไปข้างนอกจะต้องเกิดเรื่องขึ้นอย่างแน่นอน

‘สาวหน้าขาว’ น่าจะไม่ใช่คำพูดที่น่าฟังแน่ ไม่แน่ว่าอาจจะมีความหมายที่แสดงถึงความโง่เง่าของนาง แต่เยี่ยจื่อชิวเป็นคนมองโลกในแง่ดี เข้าใจเอาเองว่าศิษย์พี่ชมว่านางหน้าขาว ผิวพรรณดี

“ไม่ให้ออกจากบ้านน่าเบื่อยิ่งนัก วันคืนเช่นนี้มีอิสระเหมือนตอนท่องยุทธภพเสียที่ไหน”

เยี่ยจื่อชิวคิดถึงวันคืนก่อนหน้านี้ที่อยากไปไหนก็ไป อยากต่อยตีก็ต่อยตีได้อย่างสุขใจ ในใจก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะยั่วให้โม่เหยาโมโห นางอยากจะทำลายหน้าต่างป้องกันแล้วกระโดดลงจากระเบียงไปเที่ยวเล่นจริงๆ

หลังจากตั้งหน้าตั้งตารอคอย ในที่สุดก็ถึงช่วงกลางคืนที่โม่เหยากลับบ้านแล้ว แต่เขาไม่ได้กลับมาคนเดียว ยังพาลูกพี่ลูกน้องของเขามาด้วย

“สวัสดีค่ะญาติผู้น้อง” เยี่ยจื่อชิวเผยรอยยิ้มเป็นมิตรที่ฝึกฝนกับกระจกมานับครั้งไม่ถ้วน พร้อมยื่นมือขวาออกมาจะจับมือกับอีกฝ่าย นี่เป็นวิธีทักทายที่นางเรียนรู้มาจากโทรทัศน์

ญาติผู้น้องของโม่เหยาชื่อว่าโม่เหยียนเหยียน ปีนี้อายุสิบเก้า เพิ่งจะขึ้นมหาวิทยาลัยปีสอง มหาวิทยาลัยอยู่ไม่ไกลจากบ้านของโม่เหยา ดังนั้นเมื่อถึงวันหยุดหรือว่าวันไหนคาบเรียนน้อยก็มักจะมาพักที่นี่สักคืนสองคืน

“สวัสดีๆ” ท่าที ‘เป็นทางการ’ ของเยี่ยจื่อชิวทำให้โม่เหยียนเหยียนอดยิ้มไม่ได้ ยื่นมือขวาออกไปจับมือกับอีกฝ่าย

โม่เหยียนเหยียนหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับโม่เหยาเล็กน้อย ดวงตาก็คล้ายกันมาก ถึงหน้าตาจะไม่งดงามเท่าเยี่ยจื่อชิว แต่ก็ยังคงเป็นสาวสวย เวลายิ้มมีลักยิ้มเล็กๆ น่ารักสองข้าง น้ำเสียงคมชัด ดูแล้วเป็นสาวสวยที่ร่าเริงสดใสและสบายๆ สวมกางเกงยีนกับเสื้อยืดแบบเรียบง่าย

ครั้งแรกที่เจอกัน เยี่ยจื่อชิวรู้สึกดีต่อญาติผู้น้องคนนี้มากทีเดียว

เมื่อโม่เหยาเข้าบ้านมาเห็นเสื้อผ้าที่เยี่ยจื่อชิวสวมใส่ก็ขมวดคิ้ว เมื่อคืนก่อนเขากำชับกับเธอแล้วว่ามีแขกมาหาต้องสวมเสื้อใส่กางเกงให้เหมาะสม ผลคือเธอต่อหน้าเชื่อฟังลับหลังกลับขัดขืน

เยี่ยจื่อชิวแต่งตัวเหมือนปกติ ยังคงสวมใส่ชุดคลุมนอนกับกางเกงสีขาวที่ตัวเองคิดว่าสบายที่สุด ชุดคลุมนอนสีม่วงอ่อนเนื้อผ้านุ่มละมุนเป็นชุดที่โม่เหยาซื้อให้ใหม่ แต่กางเกงเป็นสิ่งที่เยี่ยจื่อชิวนำติดตัวมาจากยุคโบราณ

การแต่งกายแบบนี้เป็นเรื่องปกติในสายตาของเยี่ยจื่อชิว แต่ในสายตาของโม่เหยียนเหยียนกลับแตกต่างออกไป! มีสาวสวยคนหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านของลูกพี่ลูกน้อง ตอนที่รู้เรื่องนี้เธอก็ประหลาดใจแทบแย่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ถามหาเหตุผล เวลานี้เห็นอีกฝ่ายสวมชุดนอนในบ้านของลูกพี่ลูกน้อง…

ผู้หญิงต้องมีความสัมพันธ์แบบไหนถึงแต่งตัวแบบนี้ในบ้านของผู้ชายที่โตแล้วด้วยสีหน้าสบายๆ ขนาดลูกพี่ลูกน้องอย่างเธอหลังอาบน้ำเสร็จต้องจะนอนแล้วถึงเปลี่ยนไปใส่ชุดนอน ปกติเธอไม่มีทางปรากฏตัวต่อหน้าโม่เหยาในสภาพนี้แน่ๆ

“พวกพี่…” สีหน้าของโม่เหยียนเหยียนเต็มไปด้วยความคลุมเครือ สายตามองไปมาระหว่างโม่เหยากับเยี่ยจื่อชิว ในดวงตากลมโตคู่นั้นฉายแววลอบยิ้มให้กับชายหญิงที่แอบคบชู้กันคู่นี้

“คิดฟุ้งซ่านให้มันน้อยๆ หน่อย!” โม่เหยาเขกศีรษะเธอแล้วกวาดตามองเสื้อผ้าที่เยี่ยจื่อชิวสวมใส่ด้วยความไม่พอใจ “ลืมที่ฉันบอกไปแล้วหรือไง เธอเป็นศิษย์วัดเส้าหลิน ถูกภิกษุเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กจนโต จะสวมใส่แบบปกติได้ยังไงล่ะ”

เยี่ยจื่อชิวได้ยินคำพูดนั้นก็อ้าปากค้าง จากนั้นก็หุบลงอย่างไม่เต็มใจภายใต้สายตาตักเตือนของโม่เหยา ศิษย์พี่บอกว่านาง ‘ไม่เหมือนคนอื่น’ เกินไป ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างแต่เป็นวรยุทธ์ ดังนั้นจึงกล่าวเตือนนางว่านอกจากเขาแล้วไม่อนุญาตให้นางพูดเรื่องใดๆ เกี่ยวกับแคว้นตี้ หากมีคนสงสัยก็บอกว่าตนเองเติบโตที่วัดเส้าหลิน

เพราะโม่เหยาบอกว่าถ้าเรื่องที่นางมาจาก ‘โลกยุคโบราณ’ ถูกคนนอกล่วงรู้เข้าล่ะก็ จะต้องถูกคนที่ทำการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์มัดตัวไปศึกษาค้นคว้าอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นจะมีชีวิตกลับออกมาอย่างสมบูรณ์หรือไม่ก็ไม่อาจรู้ได้ ตอนเขาพูดจาสีหน้าจริงจังเป็นที่สุด ทำให้นางจำเป็นต้องใส่ใจ ต่อให้ไม่พอใจที่อาจารย์ถูกพูดให้กลายเป็นภิกษุก็ห้ามแก้ต่าง

เมื่อโม่เหยียนเหยียนถูกเตือนความจำก็เห็นได้ชัดว่าเพิ่งนึกขึ้นได้ กล่าวทันทีว่า “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ความเคยชินนี้ไม่เหมือนใครเลยจริงๆ”

“สองสามวันนี้ถ้ามีเวลาก็สอนอะไรให้เธอหน่อย คิดซะว่าสอนเด็กอายุสามขวบก็ได้” โม่เหยากล่าวอย่างไม่ไว้หน้าเลยสักนิด

เยี่ยจื่อชิวไม่พอใจ เบะปากคัดค้าน “ศิษย์พี่ เยี่ยจื่อฉลาดกว่าเด็กสามขวบมากนัก อีกอย่างพิณ หมาก พู่กัน วาดภาพก็ต่างรู้ทุกอย่าง หากเปรียบกับเด็กสามขวบก็เก่งกาจกว่ามาก!”

“ทำไมเธอเรียกเขาว่าศิษย์พี่ พี่ชายของฉันหน้าตาเหมือนศิษย์พี่ของเธองั้นสิ” โม่เหยียนเหยียนนั่งอยู่บนโซฟา หยิบรีโมตเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ไปพลางเอ่ยถาม

“หน้าเหมือนอะไรกัน เป็นเขาชัดๆ!” เยี่ยจื่อชิวพูดแก้ไข

โม่เหยียนเหยียนมองโม่เหยาที่เดินกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องด้วยความเห็นใจ ถูกคนมองว่าเป็นศิษย์พี่อย่างอธิบายไม่ได้ ลูกพี่ลูกน้องช่างน่าสงสารจริงๆ

พวกเขาทั้งสองเพิ่งจะรู้จักกันจึงแสดงออกอย่างเกรงอกเกรงใจอยู่บ้าง เยี่ยจื่อชิวนั่งอยู่ข้างโม่เหยียนเหยียน หลังจ้องมองหน้าจอโทรทัศน์ไปครู่หนึ่งก็พลันคิดเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นางกล่าวด้วยดวงตาเป็นประกาย

“ได้ยินศิษย์พี่พูดถึงเธอมานานแล้ว แม้จะไม่เคยพบหน้ามาก่อน แต่เพราะศิษย์พี่ฉันจึงมีความรู้สึกดีๆ กับเธอมาก วันนี้แวบแรกที่ได้เห็นก็คิดว่าน่ารักงดงามอย่างที่จินตนาการเอาไว้จริงๆ”

เมื่อถูกชมเชยแน่นอนว่าต้องรู้สึกดีใจ โดยเฉพาะเมื่อถูกสาวสวยคนหนึ่งชมว่าสวยก็ยิ่งดีใจมากขึ้นไปอีก ท่าทีของโม่เหยียนเหยียนพลันดีขึ้นหลายส่วน

เธอพูดว่า “อยู่ต่อหน้าเธอใครจะกล้าบอกว่าสวยอีก ไม่แปลกใจที่ศิษย์พี่รั้งเธอไว้หลายวันแบบนี้ คนที่เป็นอาหารตาอย่างนี้มองดูก็เจริญหูเจริญตาไม่ใช่เหรอ”

เยี่ยจื่อชิวถูกชมก็ดีใจจนตัวลอยเช่นกัน นางกุมมือโม่เหยียนเหยียนอย่างยินดีพลางกล่าวเสียงดัง “ญาติผู้น้อง เธอช่างดีเหลือเกิน ฉันอยากจะเพ่า…”

“เพ่าฉา* เหรอ” โม่เหยาที่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินออกมาตัดบทคำพูดของเยี่ยจื่อชิวทันที ก่อนมองมาด้วยแววตาดำทะมึน “ยังไม่รีบไปชงชาหลงจิ่งมาให้เหยียนเหยียนดื่มอีก!”

เยี่ยจื่อชิวถูกโวยวายใส่จนอึ้งงัน เมื่อสบกับดวงตาที่จ้องเขม็งมาของโม่เหยา ใบหน้าก็ร้อนผะผ่าว รีบลุกขึ้นไปชงชาอย่างว่านอนสอนง่ายในทันที เหมือนลูกสะใภ้ตัวน้อยที่เชื่อฟังทุกคำพูด

โม่เหยาล้างมือแล้วก็เข้าครัวไปเตรียมทำอาหาร คืนนี้ลูกพี่ลูกน้องมา เขาคิดว่าจะทำอาหารอร่อยๆ ให้อีกฝ่ายกิน

“ญาติผู้น้อง ดื่มชาเถอะ” เยี่ยจื่อชิวรู้วิธีชงชา

โม่เหยียนเหยียนมองเยี่ยจื่อชิวด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม “ได้ยินพี่บอกว่าเธออายุน้อยกว่าฉันหนึ่งปี เอาแต่เรียกญาติผู้น้องๆ อยู่ตลอดแบบนี้ไม่ใช่ว่าเอาเปรียบฉันอยู่เหรอ”

เยี่ยจื่อชิวมองด้วยท่าทางใสซื่อ “ไม่ช้าก็เร็วฉันก็ต้องเรียกเธอว่าน้องสาว เรียกตอนนี้ก็ไม่เห็นเป็นไร”

“อะไรคือไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเรียกฉันว่าน้องสาว” โม่เหยียนเหยียนถามอย่างสงสัย

“เรื่องนี้…” เยี่ยจื่อชิวไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยอีก อย่างไรก็เป็นเด็กสาว คำพูดบางอย่างก็เขินอายที่ต้องพูดต่อหน้าคนอื่น จึงได้กระมิดกระเมี้ยนหน้าแดงกล่าวว่า “เรื่องแบบนี้จะมีหน้าพูดออกไปได้อย่างไร”

“อะไรนะ”

“โธ่เอ๊ย ไม่ต้องถามฉันแล้ว!” เยี่ยจื่อชิวกุมใบหน้าที่เหนียมอายจนแดงเรื่อ หางตาแอบชำเลืองมองไปทางห้องครัว

โม่เหยียนเหยียนมองดูหน้าของเยี่ยจื่อชิวอย่างละเอียดครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ จึงส่ายศีรษะพลางบ่นพึมพำ “พิลึกคนจริงๆ”

เมื่อเห็นโม่เหยียนเหยียนไม่ได้เค้นถามอีก เยี่ยจื่อชิวก็ผ่อนลมหายใจ ในขณะเดียวกันความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อญาติผู้น้องที่รู้จักเข้าอกเข้าใจคนอื่นคนนี้ก็เพิ่มขึ้นมาก จึงเบียดเข้าไปกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ญาติผู้น้องช่างเอาใจใส่จริงๆ ฉันอยากเพ่า…”

“เยี่ยจื่อ! มาปอกกระเทียม” ในช่วงเวลาสำคัญโม่เหยาก็พูดตัดบท ‘การสารภาพรักอย่างลึกซึ้ง’ ของเยี่ยจื่อชิวอีกครั้ง

“เจ้าค่ะ” เยี่ยจื่อชิวลุกขึ้นยืน กล่าวกับโม่เหยียนเหยียนด้วยท่าทีรู้สึกผิดอย่างคนเป็นนายหญิง “ญาติผู้น้องดูทีวีเถิด ฉันจะไปช่วยพี่ชายเธอปอกกระเทียมแล้ว”

ปอกกระเทียมเสร็จ โม่เหยาก็ให้เธอคัดเลือกผัก คัดเลือกผักเสร็จแล้วก็ให้เธอจัดวางชามกับตะเกียบ พอจัดวางชามกับตะเกียบเสร็จก็ยังให้เธอนำผ้าห่มออกมาให้โม่เหยียนเหยียน

สรุปคือตลอดเวลาจนกระทั่งกินข้าวเสร็จ เยี่ยจื่อชิวยุ่งจนไม่มีเวลาพูดคุยกับโม่เหยียนเหยียนเลย

มื้อเย็นโม่เหยาตุ๋นซี่โครงหมู นึ่งปลาน้ำใส แล้วเมนูผัดอีกสามอย่างเสริมด้วยน้ำแกงอย่างหนึ่ง สรุปได้ว่าหลากหลายเป็นอย่างยิ่ง

เยี่ยจื่อชิวสรรเสริญเยินยอโม่เหยาเป็นอย่างมาก กินอาหารทุกอย่างไปเยอะทีเดียว

“ฝีมือการทำอาหารของพี่ฉันก็งั้นๆ มาตลอด ทำไมเธอถึงกินอย่างกับว่าเขาทำอาหารรสเลิศที่สุดในโลกอย่างนั้นล่ะ” เห็นเยี่ยจื่อชิวเจริญอาหาร โม่เหยียนเหยียนที่กินอาหารทุกจานอย่างละนิดรู้สึกไม่เข้าใจ

“ใครว่ากันล่ะ” เยี่ยจื่อชิวกลืนอาหารในปาก กล่าวตอบโต้ว่า “กับข้าวที่ศิษย์พี่ทำอร่อยมาก เยี่ยจื่อชอบมากๆ”

“ซี่โครงหมูนี่เวลาตุ๋นไม่พอ ไม่ค่อยเข้าเนื้อ” โม่เหยียนเหยียนกล่าว

“ไม่นะ ตุ๋นเละเกินไปจะเลี่ยนเอาได้ แบบนี้กำลังดี”

“เครื่องในปลานี่น่าจะไม่ได้ล้างให้ดี กินเข้าไปแล้วขมนิดหน่อย”

“ขมถึงจะดี ล้างกระเพาะบำรุงจิตใจ”

“เหตุผลอะไรกันเนี่ย ใครเป็นคนพูด ทำไมฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน” โม่เหยียนเหยียนถาม

“ฉันพูดเอง”

“…” โม่เหยียนเหยียนกลอกตา ไม่สนใจว่าสีหน้าของโม่เหยาจะดำคล้ำแค่ไหน เธอชี้ไปยังผัดถั่วแขกอย่างจับผิด “ถั่วแขกพวกนี้ไม่ได้คัดเลือกให้ดี ส่งผลต่อรสสัมผัสมาก”

“ฉันเป็นคนเลือกเอง อย่าโทษศิษย์พี่!” เยี่ยจื่อชิวแบกรับความผิดชอบอย่างกล้าหาญ

โม่เหยียนเหยียนหมดคำจะพูด มองโม่เหยาที่ถลึงตาจ้องเธอที่พูดจู้จี้จุกจิกอย่างไม่อาย “พี่ พี่มีสุดยอดแฟนคลับแล้วนะ”

โม่เหยาได้ฟังก็มองไปทางเยี่ยจื่อชิวที่กำลังตั้งอกตั้งใจกินข้าว สีหน้าเขาผ่อนคลายลง มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว

“ศิษย์พี่ทำงานข้างนอกมาทั้งวัน กลับมาก็ยังต้องทำอาหาร เหนื่อยยากอย่างแท้จริง พวกเราต้องเห็นใจเขา อีกอย่างกับข้าวที่ทำก็อร่อยอยู่ชัดๆ นี่นา” เยี่ยจื่อชิวชำเลืองมองโม่เหยียนเหยียนที่เอาใจยากอย่างไม่พอใจ

“เธอนี่มันหลับหูหลับตาเลื่อมใส!” โม่เหยียนเหยียนพึมพำ

“เดิมทีศิษย์พี่ก็ดีอยู่แล้ว!”

รอยยิ้มของโม่เหยากว้างขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดนี้ สายตาที่มองไปทางเยี่ยจื่อชิวแฝงความอบอุ่นจางๆ เขาคีบซี่โครงหมูใส่ในชามของเธอเป็นครั้งแรก

เยี่ยจื่อชิวมองซี่โครงหมูในชามอย่างตกตะลึง จากนั้นก็กอดชามพูดอย่างขวยเขินและซาบซึ้งใจ “ศิษย์พี่ ท่านดีจริงๆ”

“อะแฮ่ม” โม่เหยากระแอมอย่างกระอักกระอ่วน ตีหน้านิ่งแล้วเอ่ยว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว กินข้าวดีๆ”

เยี่ยจื่อชิวผงกศีรษะ ไม่พูดอะไรอีกจริงๆ

 

เนื่องจากห้องนอนแขกถูกโม่เหยาดัดแปลงให้เป็นห้องหนังสือและใช้ทำงาน ดังนั้นโม่เหยียนเหยียนจึงต้องนอนห้องเดียวกับเยี่ยจื่อชิว

เมื่อถึงเวลานอน เยี่ยจื่อชิวล้างหน้าบ้วนปากเสร็จก็พูดกับโม่เหยียนเหยียนที่กำลังเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียง

“มีประโยคหนึ่งอยากจะพูดตั้งแต่ที่เธอมาที่นี่แล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้พูดเลย พูดตอนนี้ก็ไม่สาย”

“พูดอะไรเหรอ” โม่เหยียนเหยียนละสายตาจากโทรศัพท์มือถือแล้วเอ่ยถาม

“คิกๆ” เยี่ยจื่อชิวคลานขึ้นไปบนเตียงด้วยความว่องไว นั่งลงแนบชิดกับโม่เหยียนเหยียน “เหยียนเหยียน ฉันอยากเพ่านิวเธอ”

แววตาของโม่เหยียนเหยียนฉายความตะลึงงัน “เธอว่ายังไงนะ ฉันฟังไม่ชัด”

“ฉันบอกว่าฉันชอบเธอมาก เห็นเธอครั้งแรกก็ชอบเลย ฉันอยากเพ่านิวเธอ!” เยี่ยจื่อชิวจับแขนของโม่เหยียนเหยียนอย่างสนิทสนม

“แม่เจ้า!” โม่เหยียนเหยียนร้องเสียงแหลม โยนโทรศัพท์มือถือทิ้งแล้วพลิกตัวหนีลงจากเตียงด้วยความลุกลี้ลุกลน กระทั่งรองเท้าก็ไม่สนใจจะใส่ เธอวิ่งเท้าเปล่าหนีออกมาจากห้องพลางตะโกนลั่นด้วยความหวาดผวา “พี่! ฉันไม่อยากนอนเตียงเดียวกับผู้หญิงคนนี้ ไม่ปลอดภัย!”

 

หน้าที่แล้ว1 of 10

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: