บทนำ ความหลังของต้าลี่
1
ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า
สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทางชายแดนตอนเหนือสำหรับต้านทานชาวหูของชาวต้าลี่ ปราการชายแดนแห่งนี้สร้างขึ้นบนแดนทุ่งหญ้า หันเข้าหาดินแดนรกร้างว่างเปล่า หิมะโปรยปรายทั้งปี มีฤดูใบไม้ผลิเพียงเดือนเดียวเท่านั้น
ผู้ที่อาศัยอยู่ในตำบลค่งหม่ามีเพียงทหารรักษาการณ์ชายแดนทางเหนือของราชวงศ์ต้าลี่ พวกเขาเฝ้าปกปักรักษาที่นี่มาหลายชั่วอายุคน ผู้คนที่เดินไปมาบนถนนมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเคยเป็นทหารเก่ามากประสบการณ์ในสมรภูมิมาก่อน
เวลานี้คือเดือนสิบสอง หิมะโหมกระหน่ำในโม่เป่ย ประตูเมืองปิดสนิท มีเส้นทางของถนนใหญ่เพียงสายเดียวที่ทอดมาจากสุดแดนทุ่งหญ้า ปลายข้างหนึ่งเชื่อมกับเมืองหลวง ปลายอีกข้างเชื่อมกับแดนโม่เป่ย หากวกไปทางเหนือข้ามเขาหลางหยาก็จะเป็นทุ่งหญ้าที่ชาวหูอยู่อาศัย และปลายถนนใหญ่ฝั่งที่อยู่ใกล้กับประตูเมืองมีโรงเตี๊ยมพักแรมเล็กๆ ตั้งอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ
ธงโรงเตี๊ยมสีแดงชาดโบกสะบัดในสายลมมองเห็นได้แต่ไกล โรงเตี๊ยมพักแรมจุดเทียนสว่าง กลิ่นหอมกรุ่นจากข้าวและอาหารอุ่นระอุโชยออกมาพร้อมกลิ่นสุรา กลายเป็นแสงส่องทางท่ามกลางหิมะที่ตกหนักไปโดยปริยาย
มีเสียงดังขึ้นพร้อมกับประตูไม้ของโรงเตี๊ยมพักแรมที่เปิดออก นักเดินทางร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมสีดำเดินเข้ามา ก่อนจะสลัดหิมะที่เกาะอยู่ตามชุดคลุมจนร่วงเต็มพื้น
“เถ้าแก่ คืนนี้มีห้องว่างหรือไม่” ชุดคลุมสีดำของนักเดินทางมีหมวกคลุมปิดบังใบหน้า แต่เมื่อสังเกตก็พอดูออกจากการแต่งกายและกิริยาของเขาว่าคนผู้นี้ไม่ใช่พ่อค้าวาณิชทั่วไป เป็นไปได้มากว่าจะเป็นบุคคลสูงศักดิ์จากเมืองหลวง
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมรีบเดินออกมาจากหลังโต๊ะวางสุรา “มีๆ”
รอยแผลเป็นจากของมีคมบาดลึกยาวและขาเทียมไม้ที่ขาซ้ายทำให้ใบหน้ายิ้มแย้มนั้นแลดูทั้งน่าขันและน่าพรั่นพรึง
“ดี ข้าขอห้องหนึ่ง” อาคันตุกะหยิบทองก้อนหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อแล้ววางลงบนโต๊ะ
“นายท่าน ทองก้อนนี้มากพอจะซื้อโรงเตี๊ยมพักแรมได้ทั้งหลังเชียวนะ” เถ้าแก่หดมือที่ยื่นออกไปกลับมาพลางมองอาคันตุกะผู้แปลกพิกลอย่างลังเล
ใบหน้าภายใต้หมวกคลุมเผยยิ้ม “ไม่เป็นไร รับไปเถอะ ยกอาหารและสุราที่ดีที่สุดของร้านท่านออกมา หากไม่ถือสา…ยังใคร่ขอถามไถ่ถึงคนผู้หนึ่งจากท่าน”
เถ้าแก่ได้ฟังดังนั้น แผลเป็นบนใบหน้าเจือยิ้มก็ปริแยกเป็นหลายรอย คว้าทองก้อนเก็บเข้าอกเสื้ออย่างรวดเร็วแล้วพยักหน้ารัว “ถามหาคนจากข้านับว่าถามถูกคนแล้ว! ข้ารับช่วงต่อที่นี่จากบิดาตั้งแต่ตอนที่ข้ายังสูงไม่ถึงท้องม้า ในตำบลค่งหม่าไม่มีเรื่องใดที่ข้าไม่รู้!”
ครึ่งชั่วยามให้หลัง อาหารและสุราที่เถ้าแก่ได้เตรียมไว้ก็ถูกยกมาวางเต็มโต๊ะ
“สุราหลอมมีด ของโม่เป่ยนี้ดื่มในวันหิมะตกแล้วอุ่นกายยิ่ง! กินคู่กับเนื้อวัวแล่ใหม่สดๆ ฮึ! ให้แลกกับการเป็นฮ่องเต้ข้าก็ไม่เอา!”
อาคันตุกะรินสุราจอกหนึ่ง แล้วพยักพเยิดคางให้เถ้าแก่ “นั่งสิ”
บนตัวนักเดินทางลึกลับผู้นี้มีอำนาจข่มขวัญ ทำให้เถ้าแก่จำต้องทำตามคำสั่ง “ขอเรียนถาม ท่านต้องการทราบเรื่องผู้ใด”
“บุคคลต้องโทษสถานหนักจากราชสำนัก แซ่ลู่ ชื่อหย่วน ชื่อรอง ติ้งเจียง”
2
“คนผู้นี้…ข้ากลับไม่เคยได้ยินมาก่อน ขอเรียนถาม คนผู้นี้มีการคบหากับท่านอย่างไร” เถ้าแก่อดมองมือที่กำลังถือจอกสุราของอาคันตุกะผู้นั้นไม่ได้
มือนั้นใหญ่และดูมีพลัง บริเวณง่ามนิ้วกับนิ้วกลางมีรอยด้าน เป็นมือที่คุ้นเคยกับการจับดาบ ทั้งยังสวมแหวนน้าวหยก ไม่ถามก็พอดูรู้ว่ามีค่าควรเมือง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงชุดคลุมหนังจิ้งจอกดำที่เขาสวมอยู่บนตัว
“บิดาของคนผู้นี้เป็นสหายเก่าแก่ของข้า เขาก่อความผิดสถานหนัก ทั้งตระกูลโดนร่างแหให้อพยพไปสามพันหลี่ สถานที่ลงหลักปักฐานเป็นแห่งสุดท้ายคือตำบลค่งหม่า”
“ขอเรียนถาม สหายเก่าแก่ผู้นั้นของท่านคือ…”
นักเดินทางวางจอกสุราลงช้าๆ มองดูเงาสะท้อนพร่าเลือนของตนเองในจอก สะเก็ดไฟข้างเตาลั่นดังเปรี๊ยะ เขาเอ่ยเสียงขรึมขึ้นว่า “เคยเป็นผู้นำสี่เสาหลักแคว้นของราชวงศ์ต้าลี่ แม่ทัพสูงสุด เจิ้นกั๋วกง ลู่ถิงยวน”
เตาไฟส่งเสียงดังอีกครั้ง เถ้าแก่ล้วงทองก้อนออกมาจากในอกเสื้อ วางลงบนโต๊ะช้าๆ คืนให้นักเดินทาง จากนั้นก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง ทำความเคารพอย่างทหารให้อีกฝ่าย “ในเมื่อเป็นสหายเก่าของแม่ทัพลู่ ทองก้อนนี้ข้าย่อมรับไว้ไม่ได้”
“อ้อ?” อาคันตุกะเงยหน้าขึ้นมองเถ้าแก่อย่างสนใจ “ท่านก็เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของลู่ถิงยวนหรือ”
“ท่านล้อเล่นแล้ว ทุกคนล้วนทราบว่าหลังเจิ้นกั๋วกงสิ้น ก็ไม่มีนักรบอาชาพยัคฆ์เผ่นอีกต่อไป” ใต้แสงไฟ แผ่นหลังและเอวของเถ้าแก่เหยียดตรง สีหน้าแววตาสุขุมราวกับเป็นคนละคนเมื่อเทียบกับท่าทีก้มหน้านบนอบก่อนหน้านี้ “ข้าเพียงแค่โชคดี ได้เห็นสง่าราศีของเจิ้นกั๋วกงในสงครามครั้งหนึ่งที่เขาหลางหยาเมื่อสิบแปดปีก่อน”
คนชุดดำดื่มสุราคำหนึ่ง “เช่นนั้นท่านลองเล่ามาว่าเจิ้นกั๋วกงเมื่อสิบแปดปีก่อนมีสง่าราศีปานใด”
นัยน์ตาของเถ้าแก่ทอประกายสว่างวาบขึ้นทันที ราวกับอายุลดลงหลายปี “หิมะในปีนั้นยังมากกว่าวันนี้เสียอีก! ตอนนั้นข้ายังสูงไม่เท่าล้อรถม้าก็ตามบิดาข้าไปเป็นกองหนุนฉุกเฉินที่เขาหลางหยา ได้เห็นกับตาว่าแม่ทัพลู่ยืนอยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยก้าวก็สามารถยิงธงของค่ายกระโจมเหนือร่วงได้! ศึกครั้งนั้นต้าลี่เราคว้าชัยชนะอย่างสมบูรณ์แบบ สู้ศึกหนำใจยิ่ง! ในตอนนั้นนอกจากแม่ทัพลู่ยังมี…”
“ยังมีอะไร” อาคันตุกะจ้องมองเขาจากใต้หมวกคลุม
“ยังมี…ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน อดีตฮองเฮา กับเสาหลักแคว้นอีกสองท่าน ท่านหนึ่งในเวลานี้คือพระเก้าพันปี อีกท่านหนึ่งคือขุนนางต้องโทษซย่าเยี่ยน” เสียงของเถ้าแก่ลดต่ำลง ก่อนจะถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
“ไยท่านถอนหายใจเล่า” อาคันตุกะซัก
“เสียดาย”
“เสียดายอะไร”
“ได้ยินว่าเมื่อครั้งที่สี่เสาหลักแคว้นยังอยู่ก็ช่วยฮ่องเต้ต้าลี่รบพุ่งเหนือใต้ ยึดหนานเจียง ปราบโม่เป่ย กินเวลาเป็นสิบกว่าปี พอใต้หล้าเริ่มสงบ แม้แต่เจ้าของโรงเตี๊ยมเล็กๆ อย่างข้าก็อาศัยโอกาสที่ชายแดนสุขสงบสร้างกิจการขึ้นมาได้ เสียดายที่ห้าปีก่อน…”
“ห้าปีก่อนทำไมหรือ”
“เหตุวุ่นวายในวังหลวงเมื่อห้าปีก่อน ได้ยินว่าฮ่องเต้ถูกขุนนางชั่วล่อลวง สั่งประหารแม่ทัพลู่กับใต้เท้าซย่าเยี่ยนตายตามกัน อดีตฮองเฮาก็สวรรคตในการศึกครั้งหนึ่งที่เขาหลางหยา หลังจากนั้นฮ่องเต้ก็ยิ่งไม่ใส่ใจราชกิจ เรื่องใหญ่ในราชสำนักล้วนให้พระเก้าพันปีตัดสินใจ ทุกวันนี้คนของพระเก้าพันปีแทรกซึมทั่วราชสำนัก เกรงว่าต้าลี่…คงจะร่มเย็นเป็นสุขได้อีกไม่นานแล้ว” เถ้าแก่จิบสุราคำหนึ่งทันใด แล้วถอนหายใจหนักหน่วงอีกครา รอยแผลเป็นบนใบหน้ายิ่งดูน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง
“ในเมื่อคนของพระเก้าพันปีแทรกซึมไปทั่วราชสำนัก เถ้าแก่ไม่กลัวว่าข้าจะเป็นสายของคนแซ่หานหรือ”
“จะกลัวอันใด! ชีวิตนี้ข้าเคยพบพานวีรชน แล้วก็เคยเป็นวีรชน เสียตาข้างหนึ่งกับขาข้างหนึ่งในสนามรบ สุราฤทธิ์แรงของโม่เป่ยก็ดื่มมาหลายปีแล้ว ย่อมไม่เกรงกลัวความเป็นตายแต่แรก ข้าแค่จะบอกว่าข้าเสียดายแทนวีรชนทั้งสามที่ตายไป!”
อาคันตุกะนั่งอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน ราวกับยอดเขาสูงดำทมิฬ ทอดเงาทะมึนท่ามกลางแสงเทียน
“เช่นนี้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันที่ไม่แยกแยะดีชั่วต่างหากถึงจะเป็นผู้ก่อความผิดที่แท้จริง”
เถ้าแก่เงียบไปทันใด ลังเลชั่วครู่แล้วก็ยิ้มออกมา ส่ายหน้าพลางนั่งลง “เมื่อครู่นี้ข้าเลอะเลือนไป ขอท่านอย่าได้ถือสา เพียงแค่นึกถึงข่าวลือเก่าๆ ที่ไขข้อสงสัยว่าเหตุการณ์วุ่นวายในทุกวันนี้มีที่มาอย่างไร แม้จะเหลวไหลทั้งเพ แต่ฟังเอาสนุกก็พอได้”
อาคันตุกะทำมือบ่งบอกให้เล่ามา เถ้าแก่ก็นั่งลงตรงข้ามเขา ลดเสียงลงแสร้งทำทีมีเลศนัยเอ่ยปาก “ได้ข่าวว่าเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนตอนที่ใต้หล้าขัดแย้งกัน ที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเริ่มจากการเป็นสามัญชน รวบรวมทหารออกรบพุ่งเหนือใต้ รวมใต้หล้าเป็นปึกแผ่นได้ เพราะในมือมีของวิเศษอยู่ห้าอย่าง”
“อะไรบ้างหรือ”
“ของวิเศษห้าอย่างนั้นเล่าขานกันว่าตกทอดลงมาสู่โลกมนุษย์ตั้งแต่ครั้งที่ฟ้าดินแยกออกจากกัน ปรากฏขึ้นต่อผู้ชอบธรรมและเร้นหายไปต่อผู้มิชอบธรรม อย่างแรกคือดาบสะบั้นเศียรมังกร ว่ากันว่านั่นคือของที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันชิงมาจากมือของข่านกระโจมเหนือในศึกที่เขาหลางหยา หลอมขึ้นจากหินเหล็กจากสวรรค์ สามารถสะบั้นเศียรมังกรได้ ภายหลังฮ่องเต้ใช้ดาบนี้สังหารแม่ทัพลู่กับเสนาบดีฝ่ายขวา แล้วตรัสว่ามันเป็นดาบปีศาจจึงโยนเข้าท้องพระคลังไป
อย่างที่สองคือนักรบอาชาพยัคฆ์เผ่น ลือกันว่านักรบบนหลังม้าผู้นี้มาจากแดนหนานเจียง หาญกล้าอย่างยิ่ง ชุดเกราะทำจากแร่เงินอ่อน ลักษณะคล้ายเกล็ดปลา ฟันแทงไม่เข้า เดิมเป็นผู้ติดตามของเจิ้นกั๋วกง ภายหลังเขาเปลี่ยนไปสวามิภักดิ์ฮ่องเต้
อย่างที่สามคือดวงตาจิตรกรรม ว่ากันว่าคนที่มีดวงตานี้แต่กำเนิดสามารถพรรณนาขุนเขาลำน้ำภูมิประเทศและขุมทองเหมืองแร่ ชนิดที่ผ่านตาไม่ลืมเลือน รายละเอียดน้อยใหญ่ไม่ตกหล่น ได้ยินว่าซย่าเยี่ยนเสนาบดีฝ่ายขวาก็คือคนที่มี ‘ดวงตาจิตรกรรม’ แต่กำเนิด
อย่างที่สี่คือองครักษ์อวี่หลิง เล่ากันว่าหน่วยนี้ถูกก่อตั้งโดยนักบวชจากภูเขาที่แตกฉานศาสตร์แห่งอินหยางและวิชาการลงทัณฑ์อาญา คนที่เข้าหน่วยองครักษ์อวี่หลิงล้วนเชี่ยวชาญการสังหารคนโดยไร้ร่องรอย
ส่วนอย่างสุดท้ายคือ…ภาพวาดนทีคัมภีร์ธารา”
“ภาพวาดนทีคัมภีร์ธาราหรือ” อาคันตุกะวางจอกสุราลง ค่อยๆ สอดมือเข้าไปในชุดคลุม
“ภาพวาดจากผืนนที คัมภีร์จากลำธาร เมื่อภาพวาดนทีคัมภีร์ธาราปรากฏ ใต้หล้าก็จะสงบสุข ไม่มีใครเคยเห็นว่าของสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่ รู้แค่ว่าเมื่อใต้หล้ากำลังรวมเป็นหนึ่ง มันจะปรากฏออกมา เปิดเผยนามมังกรของโอรสสวรรค์ที่แท้จริง ถึงจะฟังดูไม่มีมูลเท่าใด แต่ก็ได้ข่าวว่าเวลานั้นหานซูเสนาบดีฝ่ายซ้ายได้มอบภาพวาดนทีคัมภีร์ธาราออกมา จึงได้พบกับฮ่องเต้และได้เป็นขุนนาง แต่เมื่อห้าปีก่อน…”
“ห้าปีก่อนทำไมหรือ” อาคันตุกะเพ่งสมาธิ ทางหนึ่งฟังเสียงพึมพำงึมงำของเถ้าแก่โรงเตี๊ยม ทางหนึ่งก็ฟังเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอกหน้าต่าง กลางหิมะที่พัดพลิ้วลอยละลิ่วมีเงาคนสีดำกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้าจากตำบลค่งหม่ามาทางโรงเตี๊ยมพักแรมแห่งนี้
“ห้าปีก่อนแม่ทัพลู่กับเสนาบดีฝ่ายขวาต้องโทษประหาร นักรบอาชาพยัคฆ์เผ่นของแม่ทัพลู่กับดวงตาจิตรกรรมของเสนาบดีฝ่ายขวาก็สูญหายไปนับแต่นั้น หน่วยองครักษ์อวี่หลิงก็ถูกยุบหลังอดีตฮองเฮาสวรรคต ได้ยินว่าภาพวาดนทีคัมภีร์ธาราก็หายไปด้วย ท่านว่านี่ไม่ใช่ลางบอกเหตุหรอกหรือ”
“เถ้าแก่ ท่านเชื่อจริงหรือว่ามีของวิเศษห้าอย่างนั้น” อาคันตุกะหันจากหน้าต่างมายิ้มให้
“ทีแรกข้าไม่เชื่อ แต่…เมื่อสิบแปดปีก่อนที่เขาหลางหยา ข้าได้เห็นนักรบอาชาพยัคฆ์เผ่นมากับตา แล้วก็เคยเห็นดาบสะบั้นเศียรมังกร เช่นนั้นที่เหลืออีกสามอย่างจะไม่จริงได้อย่างไร”
ภายนอกโรงเตี๊ยมหิมะลูกใหญ่พลัดกระจาย ลมหนาวพัดผ่าน อาคันตุกะนิ่งคิดอยู่เป็นนานก็พยักหน้า
“ในเมื่อของวิเศษห้าอย่างปรากฏตัวต่อผู้ชอบธรรม เร้นหายต่อผู้มิชอบธรรม ฮ่องเต้ในตอนนี้ประหารขุนนางสุจริต เชื่อฟังคำคนต่ำช้า นับเป็นกษัตริย์ที่ไร้ปรีชา ของวิเศษย่อมเลือกนายคนใหม่เป็นธรรมดา”
เถ้าแก่ก็พยักหน้าคล้อยตาม พลันฟาดฝ่ามือฉาดเมื่อนึกอะไรได้ “อ๊า ความจำข้านี่ก็เหลือเกิน! เมื่อครู่พูดถึงเขาหลางหยากับท่าน ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าสี่ปีก่อนที่เชิงเขาหลางหยา ทหารรักษาการณ์เคยสู้สงครามย่อมๆ กับชาวหูทางชายแดนเหนือ ทหารทั้งกองรอดตายมาแค่นายเดียว เขาลากขาหักๆ คลานมาพักฟื้นที่โรงเตี๊ยมของข้านานถึงหนึ่งเดือนกว่า เด็กผู้นั้นเหมือนจะแซ่ลู่”
ขณะนึกถึงภาพในวันนั้น เถ้าแก่ก็ความคิดแล่นเตลิด “เด็กนั่นก็ดวงแข็งจริงๆ ที่ค่งหม่าไม่ชุบเลี้ยงทหารว่างงาน ทหารบาดเจ็บมากมายพอเสียขาจากพิษความเย็นก็ปลิดชีพตนเอง คนที่คลานกลับมาจากท่ามกลางหิมะแล้วรักษาอาการจนหายก็มีเขานี่ล่ะเป็นคนแรก”
เวลานี้ประตูโรงเตี๊ยมถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง หอบเอาลมหิมะเข้ามา นักรบสวมชุดทหารมีระเบียบเรียบร้อยผู้หนึ่งก็มายืนที่ประตู โค้งคำนับอย่างใหญ่โตให้นักเดินทางชุดดำ “ฝ่าบาท”
“ฝะ…ฝ่าบาท?” เถ้าแก่พรวดพราดยืนขึ้น
คนชุดดำเผยสีหน้าไม่พอใจ แต่ก็ยังหันมาถอดหมวกที่แต่เดิมคลุมศีรษะอยู่ออก สายเงินสองเส้นแกว่งอยู่ที่หน้าผาก ใต้ชุดคลุมคือชุดผ้าแพรต่วนสีดำปักดิ้นทอง เถ้าแก่เคลื่อนสายตาลงต่ำก็เห็นดาบซึ่งคาดอยู่ที่เอวของเขา งานฝีมือแบบทางเหนือ ฝักดาบเป็นทองคำบริสุทธิ์ หลอมจากหินเหล็กสวรรค์ สามารถตัดเศียรมังกรได้
“กระหม่อมถะ…ถวายบังคมฝ่าบาท” เขาตัวสั่นงันงก ตั้งท่าจะคุกเข่าให้อีกฝ่าย นึกถึงคำพูดอุกอาจต่างๆ ที่ได้กล่าวไปเมื่อครู่ หยาดเหงื่อบนหน้าผากก็ไหลลงมา
คนชุดดำกลับประคองเขาไว้ก่อนที่เถ้าแก่จะงอขาไม้เทียมพลางเอ่ยว่า “ไม่ต้องคุกเข่าแล้ว ท่านแค่ต้องจำไว้ว่าเมื่อครู่นี้ท่านกับเราเพียงดื่มสุราเท่านั้น”
เถ้าแก่รีบพยักหน้าต่อเนื่อง
คนชุดดำหรือก็คือฮ่องเต้ของราชวงศ์ต้าลี่หันกายไปส่งสัญญาณมือให้ทหารที่ประตู
“บุตรชายกำพร้าของแม่ทัพลู่ยังไม่ตาย เขาอยู่ที่นี่จริงๆ ถ่ายทอดคำสั่ง ให้นายทัพทหารรักษาการณ์เปิดประตูเมือง”
เสียงสัญญาณดังขึ้นจากที่ไกล จากนั้นประตูเมืองก็เปิดออก
ชายชุดดำลุกขึ้น พยักหน้าเล็กน้อยให้เถ้าแก่ “สุราฤทธิ์แรงของโม่เป่ยสมคำเล่าลือ เหมือนที่เราเคยดื่มเมื่อสิบกว่าปีก่อนไม่มีผิด”
เถ้าแก่ใช้สายตามองส่งโอรสสวรรค์ที่ลือกันว่าใช้ชีวิตครึ่งแรกไปกับการพิชิตใต้หล้า แต่พอขึ้นครองราชย์ก็กระทำการโง่เขลาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนออกนอกโรงเตี๊ยม และเดินเข้าไปในพายุหิมะที่ปกคลุมทั่วแผ่นดินผืนฟ้า อีกฝ่ายเพิ่งจะอายุย่างเข้าสี่สิบ ขมับกลับมีเกศาหงอกขาว ที่ทำให้เถ้าแก่ตกใจยิ่งกว่าคือบนใบหน้าที่ยังคงรูปงามใต้หมวกคลุม แววตาคู่นั้นกลับว่างเปล่าไร้ประกาย ไม่มีจุดศูนย์รวม
ฮ่องเต้ของต้าลี่พระเนตรบอดทั้งสองข้าง
เถ้าแก่ตะลึงงันที่หน้าประตูอยู่เป็นนาน ค่อยนึกได้ว่าต้องปิดประตูโรงเตี๊ยม บัดนี้พายุหิมะพัดเข้ามาเต็มห้องโถงแล้ว เมื่อเขาหันไปก็เห็นว่าบนโต๊ะมีแหวนน้าวหยกวางอยู่ นั่นเป็นของที่คนชุดดำเมื่อครู่ทิ้งไว้ให้เป็นค่าสุราแทนทองก้อน
3
ข่าวที่จู่ๆ ฮ่องเต้ก็มาปรากฏตัวที่แดนโม่เป่ยนั้นไม่นานก็แพร่ไปทั่วตำบลค่งหม่า ทหารรักษาการณ์บนกำแพงรายงานต่อนายทัพทหาร ประตูเหล็กบานหนักที่คล้องห่วงโซ่อยู่ก็เปิดออกช้าๆ ป้อมปราการแข็งแรงแน่นหนาก็เผยโฉมหน้าที่แท้จริง
นี่คือตำบลค่งหม่า หน้าด่านแข็งแกร่งของโม่เป่ย แนวต้านสำคัญทางตอนเหนือของต้าลี่
นายทัพทหารรักษาการณ์ยืนอยู่หน้าประตูเมือง ถวายบังคมต่อฮ่องเต้ ทหารรักษาการณ์ทั้งเมืองร้องขานทรงพระเจริญหมื่นปีดังกู่ก้อง
เกศาขาวของฮ่องเต้ท่ามกลางหิมะขาวโพลนดูบาดตา ผู้คนที่มองเห็นต่างก็ตะลึงงันแล้วพากันลนลานก้มศีรษะลง
“เรามาในวันนี้เพื่อตามหาคนผู้หนึ่ง แซ่ลู่ ชื่อหย่วน ชื่อรองติ้งเจียง”
แม่ทัพได้ยินชื่อนี้ก็ครุ่นคิดชั่วครู่แล้วส่ายหน้า เขาหันไปถามรองแม่ทัพที่ข้างกาย ทว่ารองแม่ทัพก็ทำสีหน้าว่างเปล่า ไม่รู้จักคนผู้นี้เช่นกัน
“หากหาคนพบ ตกรางวัลทองคำหนึ่งร้อยตำลึง” ฮ่องเต้เอ่ยเสริมอีกประโยค ฝูงชนที่เมื่อครู่นิ่งเงียบพลันมีเสียงดังอึงอลขึ้นทันที กระทั่งนายทัพทหารก็ยังตื่นเต้นโลดโผน
ไม่นานนักทหารองครักษ์นายหนึ่งก็วิ่งมาตรงหน้าแม่ทัพแล้วกระซิบคำที่ข้างหู อีกฝ่ายหน้าเปลี่ยนสีในพลัน
“ถ่ายทอดคำสั่งข้า นักโทษขังตายแซ่ลู่ผู้นั้นไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามแตะต้อง!”
จากนั้นคำสั่งของแม่ทัพก็ส่งต่อไปเป็นทอดๆ สะท้อนก้องทั่วฟ้าดินที่ปกคลุมด้วยหิมะน้ำแข็ง ตรงเข้าไปถึงคุกใต้ดินที่คุ้มกันอย่างแข็งแรงแน่นหนาของตำบลค่งหม่า
ภายในคุกใต้ดินส่วนที่มืดมนอนธการที่สุด ชายหนุ่มที่โดนล่ามโซ่หนาหนักเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ คราบสกปรกและคราบเลือดบนใบหน้าปะปนกันเละเทะ บดบังใบหน้าเดิมเอาไว้
รอยแยกของผนังหินในจุดที่สูงสุดของคุกใต้ดินมีแสงส่องลอดเข้ามา เขาหลับตาเงี่ยหูฟังเพื่อให้แน่ใจว่าคำสั่งทหารที่ตะโกนกันอยู่นั้นพูดถึง ‘นักโทษคุมขังลู่หย่วนที่กำลังรอคำตัดสิน’ จากนั้นมุมปากเขาก็ขยับราวกับว่ากำลังยิ้มและกำลังร้องไห้
ผ่านไปไม่นานเท่าใด ฮ่องเต้ใช้ดาบคู่กายต่างไม้เท้าคลำทางเดินเข้ามาในคุกใต้ดิน
“ลู่หย่วน”
เมื่อมีเสียงดังขึ้นภายในห้องขัง ณ เวลานั้น นักโทษในห้องขังก็เงยหน้าขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เสียงเคร้งคร้างดังขึ้น เป็นเสียงความเคลื่อนไหวของโซ่เหล็ก นักโทษผู้นั้นดวงตาทอประกายดุร้ายราวกับสัตว์ป่าในกรง น่าตกใจเสียจนผู้ติดตามที่ประตูคุกอดชักดาบประจำตัวออกมาไม่ได้
ฮ่องเต้มองทอดต่ำ ใช้ดวงตาที่ว่างเปล่ามองดูคนที่ถูกล่ามยึดกับผนัง
“ห้าปีแล้ว โชคดีที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่” ฝุ่นเถ้าฟุ้งตลบอยู่ในอากาศ มุมปากของฮ่องเต้คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “วันนี้เรามาขออะไรบางอย่างจากเจ้า หากทำสำเร็จก็จะเป็นการล้างมลทินให้สกุลลู่ แล้วยังจะได้…รู้เบาะแสของซย่าชิงยวน”
ฮ่องเต้ส่งสัญญาณมือ ผู้คุมลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้าวมาข้างหน้า แล้วปลดโซ่เหล็กที่ล่ามลู่หย่วนเอาไว้ ทันทีที่นักโทษผู้นั้นเป็นอิสระก็พุ่งตัวออกไปเบื้องหน้าราวกับเสือร้าย ทว่าเขากลับถูกจับตัวอย่างแน่นหนาจากทางซ้ายขวาทันใด
“นางยังมีชีวิตอยู่หรือ” นักโทษเอ่ยถามคำแรกด้วยเสียงที่แหบต่ำ แต่กลับเป็นเสียงของชายหนุ่ม
“ยังมีชีวิตอยู่” ฮ่องเต้ไม่เปลี่ยนสีหน้า สายตาล่องลอยไปบนใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด
“ปีนั้นหลังจากซย่าเยี่ยนตายไป จวนสกุลซย่าเกิดเพลิงไหม้ บุตรีโทนของเสนาบดีฝ่ายขวาซย่าชิงยวนหายสาบสูญ เราเองก็เพิ่งรู้ว่าตอนนั้นเด็กน้อยผู้นั้นไม่ได้ตายตกไปในเปลวเพลิง แต่ถูกคนส่งไปที่เจียงตูอย่างลับๆ”
ชายหนุ่มสงบลงทันที นัยน์ตาดำขลับทอประกาย เป็นดวงตาที่ดูราวกับสุนัขป่า
ฮ่องเต้ผงกศีรษะยิ้ม “หากอยากไปพบนาง ก็รับคำสั่งของเราเสีย”
คุกใต้ดินเงียบสงัดไปชั่วครู่จนได้ยินเสียงน้ำหยดกระทบพื้นทีละหยดๆ
ฮ่องเต้ส่งสัญญาณมือไปทางด้านหลัง ผู้ติดตามก็รีบยื่นราชโองการที่ปิดผนึกไว้อย่างดีออกมาพร้อมกับชุดขุนนาง ดาบประจำตัว และตราคำสั่งทหาร
“ลู่หย่วนบุตรชายของอดีตนักโทษประหารลู่ถิงยวน แม้จะต้องโทษเนรเทศ แต่ก็ออกรบเพื่อบ้านเมือง มีความดีความชอบโดดเด่น ถึงตกระกำลำบากก็ยังคงซึ่งจรรยา ขอแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอดเจิ้นกั๋วกงอีกครั้ง มอบตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์อวี่หลิง คอยตรวจตราบรรดาขุนนางที่มียศขั้นสามขึ้นไปและเหล่าราชนิกุลในเมืองหลวง รับราชโองการ”
ท้องฟ้าใกล้จะสว่าง แสงยามรุ่งสางแทรกผ่านร่องหินแคบบนเพดานห้องขังเข้ามา ส่องต้องใบหน้านักโทษผู้นั้น สะท้อนให้เห็นเค้าโครงสันกรามที่ชัดเจนและดวงตาดำขลับของเขาว่าเป็นแค่คนหนุ่มที่อายุเพียงยี่สิบต้นๆ เท่านั้น
“ทูลถามฝ่าบาท มีเรื่องใดจะรับสั่ง”
ใบหน้าราวน้ำแข็งสลักของฮ่องเต้เผยแววยินดีขึ้นในที่สุด “ขอยืมมือเจ้า ร่วมกับดวงตาจิตรกรรมของซย่าชิงยวน ช่วยเราตามหานักรบอาชาพยัคฆ์เผ่นกับภาพวาดนทีคัมภีร์ธารากลับคืนมา”
บทที่ 1-1 แต่งงานกับพญายม
‘ความรักที่เขามีต่อนางคือความลับที่บริสุทธิ์ผุดผ่องที่สุดในบันทึกประวัติศาสตร์’
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในกลางฤดูหนาวของรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด
แคว้นต้าลี่ก่อตั้งมายาวนานถึงสิบเอ็ดปี แต่เหล่าวีรชนที่ยุติกลียุคหากไม่ตายอย่างอนาถก็กลายเป็นที่ยกย่องบูชาในสุสานบรรพชนหลวงเพราะคดีที่ไม่เป็นธรรมเมื่อห้าปีก่อน เหลือไว้เพียงตำนานเล่าขานต่างๆ ที่ถูกร้อยเรียงเป็นนิทานมุขปาฐะ แพร่สะพัดไปทั่วแดนดิน
หนึ่งในเรื่องที่คนไม่ค่อยรู้กันก็คือในเหตุการณ์หายนะครั้งนั้น มีคนสองคนที่แต่เดิมไม่น่ามีชีวิตอยู่ ทว่าพวกเขากลับรอดชีวิตมาได้และได้เผชิญความพลิกผัน รวมถึงกลับมาพบกันอีกครั้งในห้าปีให้หลัง
หลายปีต่อมาเมื่อซย่าชิงยวนจรดพู่กันรำลึกถึงความหลังในช่วงนั้นถึงได้พบว่านางไม่ได้รู้จักลู่หย่วนอย่างถ่องแท้ นางเขียนเรื่องราวนี้ขึ้นเพียงเพื่อตอบข้อปริศนาที่รบกวนจิตใจนางมานาน
ปริศนาคือคดีความไม่เป็นธรรมยาวนานต่อเนื่องหลายสิบปีที่ลากเอาผู้คนมากมายเข้าไปเกี่ยวข้อง คำถามของปริศนากลับเป็นเพราะเหตุใดแต่ต้นจนจบขุนนางมากอำนาจที่ในตำราประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ‘มักใหญ่ใฝ่สูงและโหดเหี้ยมอำมหิต’ อย่างลู่หย่วนถึงได้ไม่เคยปล่อยมือจากนางในช่วงเวลาที่การลอบสังหารบ้าระห่ำ จิตใจระส่ำระสาย
คำตอบที่ไม่น่าเป็นไปได้ที่สุดและไร้เหตุผลที่สุดคือเขากับนางเคยรักกันมาก่อน
เรื่องในอดีตเหล่านี้เป็นความลับที่บริสุทธิ์ผุดผ่องที่สุดในบันทึกประวัติศาสตร์
1
ฤดูใบไม้ผลิรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ดในเมืองเจียงตู ปุยหลิวร่วงโปรยปราย
สำหรับซย่าชิงยวนแล้วเดิมทีนี่เป็นเช้าตรู่ที่สดชื่นแจ่มใส หากนางไม่ได้ไปชนเข้ากับคนผู้หนึ่งที่มุมถนนโดยไม่คาดคิด ทั้งยังชนจนทำภาพวังวสันต์* ที่ซ่อนไว้ในถุงผ้าร่วงกระจายเต็มพื้น ตอนนั้นนางยังไม่รู้ว่าชายที่หน้าตาภายนอกดูดีแต่ปากคอเราะรายผู้นี้ชื่อลู่หย่วน ไม่รู้ว่าตนเองเคยแอบชอบเขาข้างเดียวราวกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ แล้วก็ล้มป่วยหนักไปเงียบๆ หลังจากผิดหวังในความรัก เมื่อฟื้นขึ้นมาก็ลืมเหตุการณ์ก่อนอายุสิบห้าปีไปจนสิ้น ยิ่งจำไม่ได้ว่าเขาเป็นใคร
นางเหมือนกลับชาติมาเกิดใหม่อีกครั้ง ฐานะและความจำล้วนถูกลบไปสิ้น หลงเหลือเพียงนิสัยเก่าๆ ที่ยากจะแก้ติดตัวมา อย่างเช่นนางเพียงถือพู่กันก็สามารถวาดภาพขุนเขา ลำน้ำ ผู้คน และสิ่งของได้ ทั้งยังชำนาญการลอกเลียนแบบภาพวาดมีชื่อเสียง
หลังถูกขับไล่ออกจากบ้านที่มาอาศัยเขาอยู่แล้ว นางก็อาศัยความสามารถนี้หาเลี้ยงปากท้อง ทำให้ไม่ถึงกับอดตาย
อีกตัวอย่างก็คือนางมักจะฝันถึงเรื่องเดิมๆ ในฝันมีคนผู้หนึ่งโอบกอดนางอยู่ในความมืดอย่างทะนุถนอมและให้ความสำคัญ ราวกับว่านางเป็นสิ่งของที่ล้ำค่าที่สุดในโลกหล้านี้
แม้ทุกครั้งหลังตื่นจากฝัน นางต้องคอยเตือนสติตนเองว่านั่นเป็นแค่ความฝัน มีเพียงต้องเชื่อว่านั่นคือฝันเท่านั้นนางจึงจะได้ไม่คาดหวังว่าเคยมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นมาก่อน
ไม่คาดหวังก็จะได้ไม่ผิดหวัง ไม่ผิดหวังก็จะได้ใช้ชีวิตในวันข้างหน้าในแต่ละวันต่อไปได้
จนเมื่อคนที่สวมชุดทหารองครักษ์อวี่หลิงผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นที่เจียงตู นางถึงได้ตระหนักว่าที่แท้ในห้าปีที่เหมือนฝันร้ายนี้ คนที่ฝังกลบเรื่องในอดีตไว้แล้วใช้ชีวิตล่องลอยไปวันๆ ไม่ได้มีแค่นางคนเดียว
2
หลายปีให้หลังเมื่อนึกถึงวันนั้น ซย่าชิงยวนก็ยังคงจำรายละเอียดต่างๆ ได้กระจ่าง นั่นเป็นเช้าตรู่ที่แสนธรรมดา ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ในตรอกปูพื้นหินก็มีเสียงร้องขายขนมแช่น้ำเชื่อมดังขึ้นมา ร้านตำราข้างทางก็เปิดแต่เช้า การสอบเซียงซื่อ ประจำฤดูใบไม้ผลิใกล้เข้ามาแล้ว เหล่าคนที่สมัครสอบกอดบาทพระเมื่อจวนตัว ต่างก็วิ่งมาจ่ายเงินก้อนใหญ่ซื้อหนังสือสี่ตำราฉบับคัดลอกที่มีคำอธิบาย วันนี้ก็เป็นเช่นนั้น ฟ้ายังไม่ทันสาง ประตูร้านตำราก็มีแถวต่อยาวเหยียด ไม่ต้องถามก็รู้ว่าคนเหล่านี้ต่างเป็นเด็กรับใช้บัณฑิตที่คุณชายตระกูลต่างๆ และสำนักศึกษาส่งมาถามหาว่ามีหนังสือสี่ตำราที่คัดลอกใหม่หรือไม่
“ทุกวันนี้สอบเป็นขุนนางยากนัก ศิษย์จากตระกูลธรรมดาอย่างเราๆ คิดจะเป็นขุนนางผ่านการสอบเคอจวี่ยากยิ่งกว่ายาก!” เด็กรับใช้บัณฑิตจับกลุ่มกันสองสามคนอ้าปากหาวพลางคุยเล่นกัน
“แน่นอนอยู่แล้ว! เจียงตูรุ่มรวยมาตั้งแต่สมัยก่อน มีกวีบัณฑิตมากมายเต็มไปหมด ไม่ใช่แค่สอบเข้ายากกว่าหัวเมืองทางเหนือนะ แค่สี่ตระกูลใหญ่ในเจียงจั่วอย่างสกุลซย่า สกุลเผย สกุลหลี่ กับสกุลซู แต่ละปีก็ทุ่มเงินก้อนใหญ่เชื้อเชิญขุนนางปลดเกษียณกลับบ้านเกิดให้มาสอนลูกหลานในตระกูล อาจารย์บางคนเคยรับตำแหน่งในกรมอากร เคยออกข้อสอบรอบฤดูใบไม้ผลิมาไม่รู้กี่ปีแล้ว”
“ใช่เลย! บัณฑิตจากครอบครัวจนๆ อย่างเจ้ากับข้ากอดหนังสืออ่านจนตายก็สู้ฟังบรรยายสักรอบจากอาจารย์ที่บ้านตระกูลใหญ่เชิญมาไม่ได้!”
“แต่ปีนี้ไม่เหมือนเดิมนะ ได้ยินว่าคำอธิบายหนังสือสี่ตำราที่ร้านนี้ขาย แต่ละวรรคล้วนตรงกับข้อสอบเคอจวี่ชุดก่อน ไม่ใช่แค่เรียบเรียงและวิเคราะห์ได้เหมาะสม แต่ยังมีข้อช่วยจำที่ใช้สีแดงเขียนให้ด้วย ยามนี้ราคาเล่มคัดลอกพุ่งกระฉูดไปนานแล้ว ถ้าวันนี้เจ้ากับข้าต่อแถวซื้อได้ก็แสดงว่าบรรพบุรุษจุดธูปไหว้พระมาเยอะ!”
ที่สุดปลายของแถวยาวมีเด็กรับใช้บัณฑิตร่างผอมเล็กเป็นพิเศษยืนอยู่ ทั้งที่อยู่ในเดือนสามอันอบอุ่นของเจียงตู แต่เด็กรับใช้ผู้นั้นยังสวมเสื้อบุนวมแล้วห่อตนเองเป็นก้อนกลม โดยไม่สนว่าจะร้อนหรือไม่ ใบหน้าที่งดงามโผล่ออกมาจากเสื้อเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในมือถือถุงผ้าขาดๆ หน้าผากผุดเม็ดเหงื่อเพราะความร้อนอบอ้าว
ตอนที่ประตูร้านตำราเปิดออก เจ้าของร้านแบกแผ่นไม้ออกมาแขวนที่นอกร้าน บนนั้นเขียนอักษรตัวใหญ่ว่า
‘เล่มคัดลอกสิบเล่ม มาก่อนได้ก่อน’
ทันใดนั้นผู้คนก็แห่พุ่งกันเข้าไปที่ประตูร้าน ใช้ทั้งหมัดและเท้าเพื่อแย่งหนังสือเล่มคัดลอกสิบเล่มนั้น ถึงกับมีหลายเล่มถูกฉีกจนหน้าขาดออกระหว่างการแย่งชิง กระดาษขาวราวหิมะปลิวว่อนไปทั่วฟ้า ชักจูงให้คนที่เดินผ่านมาเข้าไปร่วมแย่งด้วย ทั้งปลุกปล้ำกระทืบเท้าและสบถสาบานด่าทอ ครึกครื้นยิ่งกว่าตลาดสด มีเพียงเด็กรับใช้บัณฑิตที่สวมเสื้อบุนวมผู้นั้นที่ยืนดูอยู่ด้านข้าง ในดวงตาเผยรอยยิ้มออกมา รอจนกระดาษแผ่นสุดท้ายถูกยื้อแย่งจนหมด ฝูงชนแยกย้ายสลายตัว เด็กรับใช้บัณฑิตถึงเดินไปข้างหน้าช้าๆ เหลียวซ้ายแลขวาอย่างมีพิรุธ แล้วเดินเข้าร้านไปอย่างรวดเร็วพร้อมส่งสายตาให้เจ้าของร้าน
เจ้าของร้านเห็นว่าเป็นเขาก็รู้ความทันที รีบเชิญเขาเข้าไปในห้องด้านในร้านแล้วปิดประตู
“คุณชายน้อย ข้าขอยกความดีความชอบให้วิธีที่ท่านชี้แนะมา ขายทีละสิบเล่ม หนังสือสี่ตำรากองพะเนินตรงนี้ไม่รู้ราคาขึ้นไปตั้งเท่าใด” เจ้าของร้านทางหนึ่งก็ยิ้มไป ทางหนึ่งก็โกยเอาเหรียญเงินในมือเก็บเข้าอกอย่างคล่องแคล่ว
เด็กรับใช้บัณฑิตร่างผอมเล็กมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือออกมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ค่านายหน้า ห้าสิบตำลึง”
เจ้าของร้านแสดงใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้มอีกครั้ง “คุณชายน้อย การค้าเล็กๆ ของข้า…ท่านจะเรียกเก็บถึงครึ่งหนึ่งเช่นนี้คงไม่ดีกระมัง”
“สกุลซย่าแห่งตงซาน สกุลเผยแห่งไห่ซั่ง สกุลหลี่แห่งเจียงจง สกุลซูแห่งปั้นเฉิง แค่เงินที่สี่ตระกูลใหญ่นี้มาแอบถามหาหนังสือจากท่านในเดือนเดียว เท่าที่ข้ารู้ก็พันตำลึงแล้ว ยังไม่รวมค่าหนังสือที่ขายได้ในเช้าวันนี้วันเดียวอีก หลายบ้านถึงกับเปิดประมูลราคา น้ำขึ้นหนุนเรือสูง เกรงว่าอย่างน้อยก็ถึงสองร้อยตำลึง”
เจ้าของร้านกลืนน้ำลาย ที่แท้คนผู้นี้ก็คอยท่าอยู่หน้าประตูแต่เช้า ไม่ใช่เพื่อชมดูความสนุก แต่เพื่อคำนวณว่าจริงๆ แล้วเขาได้เงินไปมากน้อยเท่าใด
“คุณชายน้อย ท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว แผงขายหนังสือของข้าเดินทางสุจริตมาตลอด ที่หนึ่งเล่มราคาสิบตำลึงเงินเป็นเพราะทุกคนชื่นชอบลายมือที่เป็นระเบียบของคุณชาย เหตุใดตระกูลใหญ่จะต้องทุ่มเงินก้อนโตเพื่อถามหาหนังสือพื้นๆ ทั่วไปเล่า ท่านต้องทราบว่าแอบทำข้อสอบรั่วไหลต้องโทษตัดศีรษะเชียวนะ”
เจ้าของร้านที่เห็นว่าหลอกไม่สำเร็จ ก็ทึกทักเอาเองว่าอีกฝ่ายคงไม่รู้รายละเอียดของการเจรจากับตระกูลใหญ่ จึงเริ่มขู่เข็ญเขา
“หลายวันก่อนมีบ่าวรับใช้ในตระกูลใหญ่มาถามกับข้าว่าจะผูกขาดซื้อหนังสือสี่ตำราที่มีคำอธิบายทั้งหมดจากร้านท่านต้องใช้เงินเท่าใด ท่านลองทายดูว่าเขาให้เท่าใด” เด็กรับใช้บัณฑิตยังคงพูดอย่างสงบนิ่ง
“ให้เท่านี้” เขาเอ่ยต่อพลางกางนิ้วทั้งห้าและช้อนตามองเจ้าของร้าน
“ห้าร้อยตำลึงเงินหรือ” เจ้าของร้านยิ้มหยัน
ทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายหน้า
เจ้าของร้านครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เริ่มเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “ห้า…ห้าพันตำลึงเงิน?”
อีกฝ่ายยังคงส่ายหน้าอีกครั้ง
“ห้าร้อยตำลึงทอง” เด็กรับใช้เอ่ยขึ้นในที่สุด ในดวงตาสุกใสแฝงแววเยาะเย้ย เขาจ้องเจ้าของร้าน “ตระกูลใหญ่ไม่อยากเห็นผู้คนในเมืองเจียงตูมีของสิ่งนี้ นี่เป็นการคุกคามครั้งใหญ่ต่อการสมัครสอบของพวกเขาในปีนี้ ดังนั้นก่อนที่ทางการจะค้นพบและสืบสวนเรื่องนี้ ตระกูลใหญ่จะยอมเสี่ยงผูกขาดซื้อหนังสือสี่ตำราฉบับที่มีคำอธิบายให้หมดตลาด
เถ้าแก่ ถ้าท่านไม่ซื้อหนังสือนี้กับข้า เห็นทีจะต้องว่าจ้างคนกลุ่มหนึ่งในราคาสูงลิบเพื่อคัดลอกแล้ว แต่ท่านควรทราบว่าข้าใช้ขี้ผึ้งที่จะมองเห็นเมื่อโดนไฟทำสัญลักษณ์ไว้ในทุกหน้าเพื่อป้องกันการปลอมแปลง และท่านก็รู้ว่าถ้าตอนนี้ข้าไปแพร่งพรายกับตระกูลใหญ่ว่าหนังสือสี่ตำราฉบับที่มีคำอธิบายเล่มจริงได้หมดไปแล้ว ที่แพร่หลายในท้องตลาดเป็นเล่มปลอม หนังสือปลอมหนึ่งร้อยเล่มที่ท่านตุนไว้กับอาลักษณ์คัดลอกที่ยังไม่ได้รับค่าตอบแทนพวกนั้น จะทำให้ท่านลงทุนเสียเปล่าหรือไม่”
เหงื่อบนหน้าผากเจ้าของร้านไหลลงมาแล้ว จากนั้นเขาก็ขบฟัน เอ่ยเสียงแข็งว่า “ที่แท้ตอนเจ้าคุยการค้ากับข้าก็คิดหาทางรับมือเอาไว้แล้ว ได้ ในเมื่อเจ้าไม่ไว้ไมตรี ขะ…ข้าก็จะแจ้งทางการ! แจ้ง…”
ทว่าเขายังพูดไม่ทันจบก็กลืนคำส่วนที่เหลือลงไป พิงตัวข้างกองหนังสืออย่างห่อเหี่ยว เขาแจ้งทางการไม่ได้ การแอบขายข้อสอบมีโทษหนัก หากบอกว่าเด็กรับใช้บัณฑิตเป็นผู้ก่อเหตุหลัก เขาก็เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด เขาคิดว่าแค่ตนไปจ้างอาลักษณ์กลุ่มหนึ่งในราคาต่ำเตี้ยก็จะไม่ถูกเด็กที่เจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอกตรงหน้านี้บงการ กอบเงินก้อนหนึ่งมาแล้วก็จะเกษียณกลับบ้านเกิดไป นึกไม่ถึงว่าเด็กที่ผอมบางอ่อนแอและเจ้าแผนการนี้จะใจกล้ากว่าที่เขาคิดไว้
“เจ้าจะเอาอย่างไร ว่ามา” เจ้าของร้านก้มหน้าลง ล้วงเอาเงินถุงนั้นออกมาจากในอก “ถือว่าข้าเคราะห์ร้ายแล้วกัน นี่เป็นเงินตำลึงทั้งหมดที่ได้จากการขายหนังสือเมื่อเช้านี้ เจ้าอยากได้ก็เอาไปให้หมดเลย”
“เถ้าแก่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่อยากได้เงินเหล่านี้” เสียงหัวเราะของอีกฝ่ายยังคงใสกังวาน “ที่จริงบ้านตระกูลใหญ่ไม่ได้มาถามอะไรข้า แล้วก็ไม่รู้ว่าหนังสือคัดลอกพวกนี้มาจากใคร เมื่อครู่นี้ข้าแค่ทดสอบความจริงใจในการทำการค้าระหว่างท่านกับข้า”
เจ้าของร้านพลันตกใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่อีกฝ่ายอย่างทำอะไรไม่ถูก
“ข้ารู้ว่าเถ้าแก่เป็นคนพูดแล้วทำจริง สัญญาแล้วเป็นสัญญา ข้าเองก็ไม่อยากทำการค้ากับท่านแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวแล้วเลิกค้าขายกันไป”
เจ้าของร้านฟังแล้วในใจก็ยิ่งหวาดหวั่น คนผู้นี้พูดจาแฝงความหมายสองแง่ แต่ละคำล้วนทิ่มแทงใจเขา ก่อนหน้านี้เขาสังเกตเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายมาขายหนังสือคัดลอกตัวคนเดียว เขาก็ทำทีเป็นตกลงค้าขายด้วย วางแผนว่าพอได้หนังสือคัดลอกมาก็จะจ้างคนให้มาคัดลอกต่างหาก จะได้เขี่ยคนผู้นี้ทิ้งโดยเบ็ดเสร็จ ตอนนี้ดูแล้วเขาทำพลาดอย่างใหญ่หลวง เด็กรับใช้บัณฑิตผู้นี้ไม่เพียงขวัญกล้าเทียมฟ้า ทั้งยังรอบคอบระมัดระวัง อ่านความคิดเขาออกอย่างกระจ่างแจ้งแต่แรก แต่กลับคงความสุภาพอ่อนน้อมกล่าววาจาซ่อนนัยต่อเขา
“คะ…คุณชายน้อยอยากทำการค้ากับข้าหรือ ขะ…ขอแค่ไม่ละเมิดกฎหมายของต้าลี่ ขะ…ข้าก็คงไม่อาจบ่ายเบี่ยง”
เวลานี้เด็กรับใช้ถึงได้กะพริบตา ส่งยิ้มมีเลศนัยให้เจ้าของร้าน แล้วก้มหน้าลง…ปลดเสื้อผ้าออก
เจ้าของร้านลนลาน หันหน้าหนีพลางโบกไม้โบกมือ “คุณ…คุณชายน้อยไม่ต้องทำถึงขั้นนี้! ข้าไม่ได้…ไม่ได้มีความชื่นชอบเช่นนี้!”
แต่เด็กรับใช้บัณฑิตไม่สนใจเขา ปลดเสื้อบุนวมที่พันตัวไว้อย่างแน่นหนาออก ควานหยิบ…ม้วนภาพนับสิบออกมาจากในเสื้อบุนวม วางลงบนโต๊ะหนังสือทีละม้วนก่อนจะเอ่ยเนิบนาบว่า “เอ้า นี่คือ…การค้าที่ข้าอยากทำร่วมกับท่าน”
เจ้าของร้านได้ยินเสียงเคลื่อนไหวบนโต๊ะก็ลืมตาที่หลับแน่นขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะเหลือบมองไปที่โต๊ะแล้วนิ่งงัน เขาเห็นท้ายกระดาษส่วนที่เว้นว่างไว้ของม้วนภาพบนโต๊ะเหล่านั้นมีตราประทับของซย่าเยี่ยน เสนาบดีฝ่ายขวาที่ถูกบุกจวนริบทรัพย์ไปเมื่อห้าปีก่อน
สกุลซย่าแห่งตงซาน ผู้นำตระกูลขุนศึกของแดนเจียงจั่ว หลังบรรพบุรุษได้เกี่ยวดองเป็นเชื้อพระวงศ์ ลูกหลานก็ได้ปักปิ่นประดับยศ ได้ชื่อว่าเป็นเจ้านายในคราบสามัญชน ซย่าเยี่ยนสมัยยังเยาว์วัยก่อนจะเข้าทำงานในราชสำนักให้หลิวเสวียนหลี่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็เคยเก็บตัวถือศีลบำเพ็ญพรตอยู่ในภูเขานานหลายปี สร้างชื่อไปทั่วแดนจากฝีมือวาดภาพอันล้ำเลิศ แม้หลังจากเขาตายไปและราชสำนักจะไม่ให้เอ่ยชื่อเขาอีก แต่งานเขียนพู่กันและภาพวาดที่มีตราประทับของซย่าเยี่ยนก็ยังคงมีคนแลกเปลี่ยนค้าขายอย่างลับๆ เพราะส่งต่อจากคนรุ่นเก่าลงมาน้อยมาก ยิ่งทำให้หายากแสนยาก เขาคือประมุขสกุลซย่าแห่งตงซานที่อายุน้อยที่สุด แต่เมื่ออายุสิบหกก็หักหลังวงศ์ตระกูลแล้วหันไปพึ่งหลิวเสวียนหลี่ที่ตอนนั้นยังเป็นสามัญชนรากหญ้า ถูกสกุลซย่าลบชื่อออกจากผังตระกูล ทั้งยังมีข่าวลือว่าตอนที่องครักษ์อวี่หลิงมากวาดล้างตระกูลใหญ่ของเจียงจั่วเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน คนที่ลงแรงมากที่สุดก็คือซย่าเยี่ยน
นับแต่นั้นเป็นต้นมาตระกูลใหญ่ของเจียงจั่วก็ประกาศว่าจะไม่ขออยู่ร่วมฟ้าเดียวกับองครักษ์อวี่หลิง และตั้งแต่นั้นตำนานเรื่องของวิเศษทั้งห้าตกอยู่ในมือของคนที่ฟ้าไม่ได้กำหนดไว้ก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวมุมตรอกซอกซอย เจ้าของร้านนึกไม่ถึงว่าเด็กรับใช้บัณฑิตตัวเล็กๆ ผู้นี้จะถือผลงานของซย่าเยี่ยนเอาไว้ ยิ่งนึกไม่ถึงว่าเขาจะมีมากเพียงนี้ ดูท่าแล้วเขาไม่ใช่แค่นักต้มตุ๋น แต่เป็นมหาโจร
“นี่ๆๆ…ข้าไม่กล้ารับ”
“ภาพวาดพวกนี้…ท่านรู้จักหรือ” เด็กรับใช้บัณฑิตกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะทำหน้าตกใจ “นี่เป็นของที่ข้า…หาเจอจากศาลเจ้าร้างแห่งหนึ่ง วาดได้สวยมากอย่างกับภาพของจิตรกรชื่อดัง ข้าคิดว่าบางทีท่านอาจจะรู้จักผลงานก็เลยหยิบมาให้ท่านดู”
อีกฝ่ายขยับคิ้ว นึกไม่ถึงว่าเด็กรับใช้บัณฑิตผู้นี้จะไม่รู้ที่มาของภาพวาด “ภาพ…ภาพนี่…”
เจ้าของร้านแสร้งทำท่าทีลำบากใจ สีหน้าลังเล เขาเห็นอีกฝ่ายชูนิ้วขึ้นมาห้านิ้วก็เผยสีหน้าตกใจพลางเอ่ยปาก “ห้า…ห้าพันตำลึง? แพงไปแล้วๆ”
ขณะที่พูดนั้นก็ลอบคิดคำนวณในใจ หากนี่เป็นงานของซย่าเยี่ยนจริงๆ ห้าพันตำลึงนี้ก็ใช่ว่าจะจ่ายไม่ได้…
เด็กรับใช้บัณฑิตกลับยิ้มและส่ายหน้า “ห้าร้อยตำลึง ภาพพวกนี้ค่อนข้างเก่า บางชิ้นสีซีดแล้ว ควรค่าแก่เงินมากมายเพียงนั้นที่ใดกัน”
เจ้าของร้านรีบกลบสีหน้ายินดีปรีดาเอาไว้ ตีหน้าขรึมคลี่ภาพออกทีละม้วนเพื่อพิจารณาโดยละเอียด ยิ่งดูมือก็ยิ่งสั่น ดูถึงภาพที่สามก็หลับตาลง เจียงตูเป็นเมืองหลวงเก่า มียอดคนโดดเด่นมากหน้าหลายตา มักจะมีบุตรหลานอกตัญญูลักลอบนำของมีค่าในบ้านออกมาจำนำ งานภาพวาดและงานเขียนพู่กันที่ผ่านมือเจ้าของร้านนับว่ามีอยู่ไม่น้อย พอจะดูออกว่าภาพเหล่านี้ถ้าไม่ใช่ผลงานจริงของซย่าเยี่ยน ก็ต้องเป็นฝีมือของปรมาจารย์ เพียงภาพเดียวก็มีค่าถึงพันตำลึงแล้ว
“อืม ภาพพวกนี้แม้ไม่ใช่ของล้ำค่ามีราคาอะไร แต่ถือว่าข้าให้เป็นสินน้ำใจคุณชายแล้วกัน ห้าร้อยตำลึงก็ห้าร้อยตำลึง!” เจ้าของร้านกล่าวจบก็ขบฟันแล้วคลำหาตั๋วเงินสองใบออกมาจากห้องด้านใน ส่งให้เด็กรับใช้ไปพร้อมกับเหรียญเงินถุงนั้น
อีกฝ่ายรับเงินเก็บเข้าในอ้อมอกเป็นมั่นเหมาะ เวลานี้เสื้อบุนวมตัวนั้นไม่มีม้วนภาพแล้วจึงแฟบลงไปมาก ทำให้เห็นเรือนร่างของเขาที่แต่เดิมก็เล็กบาง…เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุราวสิบห้าสิบหกเท่านั้น เด็กรับใช้บัณฑิตผงกศีรษะให้เจ้าของร้านแล้วยิ้มกริ่มเดินออกไป เพิ่งจะออกนอกประตู เจ้าของร้านก็ปิดประตูอย่างแทบอดรนทนไม่ไหว กางม้วนภาพออกและตีราคาแต่ละภาพโดยละเอียด
เด็กรับใช้บัณฑิตกอดเงินในอ้อมแขน ก้มหน้าเดินออกไปนอกตรอก ดวงตามีแต่รอยยิ้ม…ไม่ใช่รอยยิ้มเยาะหยันเฉกเช่นเมื่อครู่ และก็ไม่ใช่รอยยิ้มสุภาพเสแสร้งจอมปลอม แต่เป็นรอยยิ้มจากความโล่งใจอย่างแท้จริง
สายลมอบอุ่นของเดือนสามโชยใส่นาง นางถอดเสื้อบุนวมออก สวมเพียงเสื้อเก่าขาดชั้นเดียว เดินไปข้างหน้าด้วยฝีก้าวราวเหาะเหิน นั่นเป็นชั่วครู่สั้นๆ ที่จิตใจซึ่งคอยระแวดระวังของนางผ่อนคลายลงอย่างที่น้อยครั้งจะมี จากนั้นชั่วครู่สั้นๆ นางก็ชนเข้ากับคนผ่านทางที่หัวมุมถนนเข้าเต็มๆ
อีกฝ่ายท่าทางจะเป็นผู้ฝึกวิชายุทธ์ แผ่นอกแข็งแกร่งราวแผ่นเหล็ก กระแทกจนนางเจ็บจมูก เสียดุลศูนย์ถ่วงหงายล้มไปข้างหลัง อีกฝ่ายก็ไม่มีความคิดจะช่วยพยุงเลยแม้แต่น้อย มองดูนางล้มลงไปโต้งๆ ตั๋วเงินและถุงใส่เหรียญเงินในอ้อมกอดก็ร่วงลงเต็มพื้น ระหว่างกลางคั่นด้วยภาพม้วนสุดท้ายที่เวลานี้ก็ร่วงหล่นลงพื้นเช่นกัน ม้วนภาพกางออกเผยให้เห็นมุมหนึ่งของงานวาด นางมัวแต่เก็บเงิน เก็บเสร็จค่อยพบว่าภาพกางออก จากนั้นก็สายไปแล้ว…คนตรงหน้าย่อลงมานานแล้วและจ้องภาพนั้นอย่างจดจ่อเหมือนกำลังจมอยู่ในความคิด
“งานเก่าเก็บของสกุลซย่า” คนผู้นั้นเอ่ยคำเสียงชัดกังวาน เป็นภาษาทางการของทางเหนือ เขาก้มตัวลงชันเข่าข้างเดียว มือหนึ่งจับที่ขอบภาพม้วนนั้นไว้ไม่ให้ลมพัดไปไกล นิ้วมือข้อต่อกระดูกเรียวยาว ง่ามนิ้วมีรอยด้านชัดเจน เป็นมือที่จับดาบอย่างช่ำชอง
จบกัน! เหมือนจะชนเข้ากับทหารทางการเข้าแล้ว
นางตกใจชักมือที่ยื่นออกไปเก็บม้วนภาพกลับมา เพราะนางรู้ว่าการแอบครอบครองงานภาพวาดของนักโทษสกุลซย่าเป็นความผิดร้ายแรง เพียงแต่นางจะพูดอย่างไรให้คนผู้นี้เชื่อว่าภาพวาดนี้…คือของปลอมที่นางวาดขึ้นเอง
คนตรงหน้าหยิบภาพขึ้นมากางออกอย่างฉงนสงสัยและเลิกคิ้วขึ้น “ภาพวังวสันต์หรือ”
นางตกใจสะดุ้งเฮือก รีบก้มมองภาพวาดนั้น นี่ต่างหากที่เรียกว่าจบเห่ อาจเป็นเพราะก่อนออกมานางรีบร้อนจึงหยิบเอาทักษะอีกอย่างที่ปกติจะนำไปหาเงินในตลาดมืด…ภาพวังวสันต์ซึ่งปะปนเข้าไปอยู่ในกองภาพวาดเลียนแบบผลงานของซย่าเยี่ยนออกมาด้วย ที่ยุ่งยากกว่านั้นก็คือนางเผลอประทับตราของสกุลซย่าลงไปบนภาพนี้
“ภาพ…ภาพวังวสันต์อะไรกัน ใต้เท้าตาฝาดแล้ว” นางหัวเราะแห้งๆ เก็บม้วนภาพกลับมาอย่างรวดเร็ว เตรียมรวบเข้าอ้อมแขนแล้วก็จะรีบวิ่งหนีไป แต่กลับถูกเขาดึงภาพในมือกลับไปเสียก่อน
“ข้าขอซื้อ” อีกฝ่ายยื่นมือไปหาถุงเงินที่เอว ก่อนจะหยิบเงินก้อนหนึ่งส่งให้นาง
พอนางเห็นดังนั้นก็เผลอยื่นมือออกไปรับอย่างลืมตัว
ทั้งสองเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน สี่ตาประสานกันโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วต่างก็ตะลึงงัน บุรุษตรงหน้าสวมชุดดำทั้งตัว ที่เอวคาดดาบงดงามและได้มาตรฐาน ดั้งจมูกสูงโด่ง คิ้วคมเข้ม นัยน์ตาดำขลับ สายตาที่มองคนจากล่างขึ้นบนนั้นราวกับดาบ ขณะกวาดไปมาบนใบหน้านาง นางก็รู้สึกว่าใบหน้ากำลังร้อนผ่าว อาศัยการมองเพียงปราดเดียวนางก็รู้ว่าคนผู้นี้นางจะล่วงเกินไม่ได้เด็ดขาด
นางกระวีกระวาดลุกขึ้นพลางเอ่ยว่า “มอบให้ท่านแล้ว” จากนั้นจึงหันกายออกวิ่ง ชั่วพริบตาก็หายลับไป
แต่บุรุษผู้นั้นยังคงนั่งนิ่งอยู่เนิ่นนานกว่าจะลุก พอลุกขึ้นแล้วเขายังยืนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่จึงค่อยๆ แย้มยิ้มกับตนเองแล้วถึงก้าวเดิน
“ซย่าชิงยวน เจ้าจำไม่ได้จริงหรือว่าข้าเป็นใคร”
ซย่าชิงยวนในเวลานั้นไม่มีแก่ใจจะคาดเดาฐานะของชายแปลกประหลาดผู้หนึ่งเลยสักนิด ในใจนางเต็มไปด้วยการคำนวณวางแผนว่าตอนนี้หาเงินค่าใช้จ่ายในการเดินทางก้อนสุดท้ายมาได้แล้ว จะออกจากเจียงตูขึ้นเหนือไปที่เมืองหลวง พอเข้าเมืองหลวงแล้วต้องหาสถานที่ที่เชื่อถือได้เพื่อลงหลักปักฐาน ต่อจากนั้นก็จะเดินในเส้นทางขุนนาง รอให้ตั้งหลักในเมืองหลวงเรียบร้อยแล้วก็จะเริ่มสืบหาข้อเท็จจริงจากเหตุหายนะในครั้งนั้น แต่จะออกจากเจียงตูได้ต้องกลับไปยังบ้านเก่าหลังนั้นเพื่อขโมยของบางอย่างที่แต่เดิมเคยเป็นของนาง
เหมือนเช่นที่ผ่านมา นางทำตัวลับๆ ล่อๆ เข้าไปในห้องโถงด้านหลังจากประตูข้าง ทว่าครั้งนี้กลับไม่เหมือนคราก่อนๆ นางเห็นว่าในลานของโถงกลางบ้านเต็มไปด้วยหีบไม้จันทน์ใบใหญ่หลายสิบใบวางอยู่ ทุกใบแปะกระดาษสีแดงเขียนถ้อยคำมงคล
ในตอนนี้เองสาวใช้ผู้หนึ่งเผอิญผ่านมา เมื่อเห็นว่าเป็นนางก็นิ่งตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็คว้านางไว้แล้วตะโกนสุดเสียงไปทางลาน “คุณหนูซย่ากลับมาแล้ว!”
‘คุณหนูซย่า’ ตั้งแต่นางมาที่เจียงตูก็ไม่มีใครเรียกนางเช่นนี้มาก่อน สกุลซย่าสายเมืองเจียงตูของท่านป้าญาติฝั่งบิดานางได้สาบานว่าจะตัดขาดการไปมาหาสู่ตั้งแต่ตอนที่ซย่าเยี่ยนต้องโทษอาญาเมื่อห้าปีก่อน พร้อมกันนั้นก็ประกาศว่าจะจงรักภักดีต่อหานซู เพื่อแสดงความภักดีจึงเปลี่ยนแซ่เป็นแซ่หานทั้งตระกูล ถูกคนทั้งแผ่นดินเหยียดหยาม แต่ก็ปกป้องชีวิตทั้งครอบครัวมาได้ด้วยเหตุนี้ ถึงขั้นพึ่งพาสายของคนแซ่หานให้พอมีอำนาจอยู่ในเมืองเจียงตูด้วย
นางขบคิดในใจ ในที่สุดก็เข้าใจว่าสินสอดทั่วลานบ้านนี้มีไว้ให้ผู้ใด นางดิ้นหลุดจากมือของสาวใช้ พยายามหนีออกไปข้างนอกสุดชีวิต แต่บ่าวรับใช้ในบ้านต่างก็ตอบสนอง ห้อมล้อมเข้ามาสกัดทางหลบหนีของนางไว้อย่างแน่นหนา ตามติดมาด้วยเสียงกระแอมติดต่อกันจากในส่วนลึกของเรือน บ่าวรับใช้ทยอยหลบไปด้านข้าง นายของจวนกลับมาแล้ว คนผู้นั้นมีศักดิ์เป็นป้าห่างๆ ของนางนั่นเอง
สตรีผู้นั้นเดินออกมาช้าๆ จากในร่มเงาของเรือนส่วนหลัง ใบหน้าผัดแป้งหนาเตอะตามธรรมเนียมของชนชั้นสูงราวกับมีหน้ากากหนึ่งชั้นสวมอยู่บนใบหน้า ซย่าชิงยวนเหมือนจะไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางมาก่อน หญิงนางนั้นยืนอยู่กลางลานบ้าน นางจ้องตากับซย่าชิงยวน ทันใดนั้นก็ย่อกายคำนับ การคารวะนี้ทำให้คนในจวนทั้งบนและล่างแตกตื่น ทยอยกันคารวะตาม ชั่วพริบตาก็คุกเข่าลงไปทั่วทั้งลาน
“ขอแสดงความยินดีกับคุณหนู เวลานี้ได้แต่งกับคนสูงศักดิ์ ตระกูลของใต้เท้าลู่เป็นขุนนางมาหลายชั่วรุ่น แต่นี้ไปบ้านข้าก็มีที่พึ่งแล้ว”
ซย่าชิงยวนมีสีหน้าซับซ้อน จากขุ่นเคืองกลายเป็นหัวเราะ “ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อมาเอาของ หานฮูหยินพูดเรื่องอะไร ข้าไม่เข้าใจ”
เห็นได้ชัดว่าสตรีนางนั้นถูกคำเรียกขานว่า ‘หานฮูหยิน’ ทิ่มแทงจนเจ็บปวด มีแต่บุตรหลานกตัญญูของพระเก้าพันปีเท่านั้นที่จะถือเป็นเกียรติ
แม้นางจะลืมไปหลายเรื่อง แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยละทิ้งเกียรติยศในวันเก่าๆ ของสกุลซย่าแห่งตงซาน นางแค่นเสียงเย็น มองซย่าชิงยวนอย่างเยาะหยัน “น่าเสียดาย เรื่องนี้เจ้าทำอะไรไม่ได้ ใต้เท้าลู่ผู้นี้อย่างไรก็เป็นเจิ้นกั๋วกงที่องค์เหนือหัวทรงแต่งตั้ง ถึงเจ้าจะมีโทษติดตัว เป็นนางทาสชั้นต่ำ ไม่คู่ควรกับสามีสูงศักดิ์ แต่ถ้าใต้เท้ายินยอมมาสู่ขอ ข้าก็ไม่อาจทำอะไรได้”
ซย่าชิงยวนใจสั่นสะท้าน นางมองไปยังหีบไม้จันทน์ใบใหญ่เหล่านั้น บนแถบสีแดงนั้นเขียนด้วยผงทองว่า
‘พระราชทานแก่เจิ้นกั๋วกง ขุนนางขั้นสามผู้บัญชาการองครักษ์อวี่หลิง ลู่ติ้งเจียง’
“ลู่ติ้งเจียง…ลู่หย่วน?”
บทที่ 1-2 แต่งงานกับพญายม
ห้าปีก่อนซย่าชิงยวนล้มป่วยหนัก เมื่อฟื้นขึ้นมาก็มาอยู่ที่เจียงตู ได้ยินว่าถูกทิ้งไว้ที่หน้าประตูจวนสกุลซย่า ถูกท่านป้ารับเลี้ยงไว้ด้วยความ ‘ปรารถนาดี’ นอกจากนางจำได้ว่าตนชื่อซย่าชิงยวน เรื่องทั้งหมดก่อนหน้านี้ล้วนลืมสิ้น หลายปีมานี้นางอยู่เจียงตูก็ไถ่ถามไปทั่ว ค่อยๆ ปะติดปะต่อเรื่องในอดีตเกี่ยวกับขุนนางต้องโทษซย่าเยี่ยนจากคำบอกเล่าของผู้อื่นได้ทีละนิด ได้ความว่าตอนนั้นบิดานางกับแม่ทัพลู่ถิงยวนเป็นสหายเก่าแก่ที่มิตรภาพลึกซึ้ง แล้วลู่ถิงยวนยังมีบุตรชาย ได้ยินว่าชื่อลู่หย่วน ว่ากันว่าทั้งสองตระกูลเคยดีต่อกันอย่างยิ่ง เคยเป็นสหายร่วมศึกที่ยอมร่วมเป็นร่วมตายในสมรภูมิ และไม่แน่ว่านางกับลู่หย่วนอาจเคยมีวาสนาได้พบพานกันอยู่หลายครั้ง แต่แล้วเมื่อห้าปีก่อนซย่าเยี่ยนก็ยื่นฎีการ้องเรียนว่าลู่ถิงยวนเป็นกบฏ ทำให้ลู่ถิงยวนตัดศีรษะฆ่าตัวตายตามรับสั่งของฮ่องเต้ ลู่หย่วนก็ถูกลากเข้าไปพัวพัน โดนเนรเทศไปไกลถึงพันหลี่ สหายร่วมศึกในอดีตกลายเป็นศัตรูเก่งกล้า หากคนสกุลลู่ยังมีชีวิตอยู่ก็คงต้องมาแก้แค้นกับนางแน่นอน
บางครานางก็นึกคิดว่าลู่หย่วนจะหน้าตาเป็นอย่างไร นิสัยใจคอดีหรือไม่ ในเมื่อแต่ก่อนสองตระกูลก็เคยดีต่อกัน บางทีพวกเขาอาจเคยพบเจอกันเป็นครั้งคราว นางได้ยินว่าแม่ทัพลู่ซื่อตรงโปร่งใสมาทั้งชีวิต เป็นวิญญูชนผู้หนึ่ง แสดงว่าลู่หย่วนก็อาจจะเป็นคนดี วันนี้เขามาปรากฏตัวจริงๆ แล้ว แต่ใจของนางเหมือนร่วงลงไปในโพรงน้ำแข็ง
ลู่หย่วนไม่เพียงยังมีชีวิตอยู่ แต่ยังรับตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการองครักษ์อวี่หลิงที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ กลายเป็นขุนนางหน้าใหม่ในราชสำนักที่ร้อนแรงโชติช่วงของเมืองหลวง วันนี้เขามาเยือนเจียงตูด้วยตนเองและเจาะจงชื่อแซ่ว่าจะสู่ขอนาง นี่หมายความว่าอย่างไร แน่นอนว่าความผิดย่อมมีผู้ก่อ หนี้สินย่อมมีผู้กู้ ยามนี้เขาต้องการใช้อำนาจซื้อชีวิตนาง
ขณะที่นางกำลังยืนตะลึงลานอยู่กับที่ ด้านหลังก็มีเสียงคนเมาดังมา เป็นญาติผู้พี่ของนาง และเป็นฝันร้ายที่นางคอยหลีกหนีมาตลอดนับแต่มาอยู่เจียงตู
“นางแพศยา นึกว่าสี่ปีก่อนเจ้าจะตายไปแล้ว ดันอยู่มาถึงทุกวันนี้ อย่าคิดนะว่าวันนี้ไต่เต้าเข้าสกุลลู่ได้แล้วก็จะเปลี่ยนจากนกกระจอกเป็นนางหงส์ ใต้เท้านั่น คนที่เมืองหลวงเรียกกันว่าเป็น ‘มัจจุราชหน้าหยก’ ผู้บัญชาการองครักษ์อวี่หลิงที่คอยคุมคุกหลวง เจ้ายิ่งเป็นคู่แค้นของสกุลลู่ แต่งเข้าไปคงจะมีชีวิตแบบขออยู่ไม่สู้ตาย ขอตายก็ไม่อาจเสียมากกว่า หากกลัวแล้วล่ะก็ คุกเข่าขอร้องให้ข้ารับเจ้าเข้าเรือนยังทัน!”
ซย่าชิงยวนยืนอยู่ในลาน ลมเดือนวสันต์พัดผ่านเสื้อชั้นเดียวเก่าขาดของนาง ในอ้อมแขนยังถือตั๋วเงินสองใบกับถุงเงินไว้อยู่ ครึ่งชั่วยามก่อนนางยังนึกอย่างไร้เดียงสาว่าแต่นี้ไปนางจะเป็นอิสระแล้ว ในลานบ้านที่ใหญ่โต ทุกคนต่างเห็นว่านางต้องแต่งให้กับลู่หย่วนเป็นแน่แท้ แต่ก็ไม่ยอมเอ่ยออกมาแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่านางแต่งเข้าสกุลลู่ไปแล้วจะมีจุดจบอย่างไร และคนผู้เดียวที่พูดความจริงออกมาก็เพียงเพื่อจะลากนางลงนรกขุมที่ลึกกว่าเดิม ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่รู้ เพียงแต่ไม่สนใจ หัวใจของซย่าชิงยวนค่อยๆ เหน็บหนาว จับตัวเป็นผลึกน้ำแข็ง นางเผยอปากออกแต่ก็ไร้คำพูดใดจะกล่าว ผ่านไปเนิ่นนานนางถึงเปิดปากเอ่ยราวกับวิญญาณหลุดลอย
“งานแต่งนี้ ข้ารับปาก”
นางได้ยินคนเบื้องบนเบื้องล่างทั้งลานลอบถอนหายใจโล่งอก
“แต่ก่อนจะตบแต่ง ข้ามีคำขอสุดท้าย วันนี้ข้าจะไปวัดจิ้งฮุ่ยที่ชานเมืองตะวันตก…จุดธูปขอพร”
วัดโบราณที่ทางชานเมืองตะวันตกเป็นวัดทางพุทธที่มีชื่อเสียง ตัววัดตั้งอยู่กลางป่าเขา แต่ที่เชิงเขาเป็นย่านพลุกพล่านที่เชื่อมต่อตรงไปยังจวนว่าการของเมือง เจริญอย่างยิ่ง หลังนางก้าวเข้ามาในจวนก็ยากจะหนีออกไป ได้แต่อาศัยตอนที่จุดธูปไหว้พระหนีไปหลังเขาแล้วค่อยคิดหาวิธีปลอมตัวออกจากเมืองเจียงตู แต่ของสิ่งนั้นที่เมื่อแรกนางคิดจะมาเอาคืนเกรงว่าคงต้องหาโอกาสอื่นแล้ว และบางทีนางอาจไม่ได้คืนไปตลอดกาล
ก่อนออกจากจวนท่านป้าเหมือนจะรู้ทันแผนการของนาง จึงจงใจส่งรถติดตาม บอกว่าเพื่อคุ้มครองแต่แท้จริงเพื่อเฝ้าคุม เพื่อคลายความระแวงของท่านป้านางยังขอเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นอย่างคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ เกล้ามวยผมปักปิ่นสีชาด ทำทีว่าเต็มใจตกปากรับคำการแต่งงานในครั้งนี้
หลังซย่าชิงยวนเปลี่ยนเครื่องแต่งกายก็เผยโฉมออกมา นี่ทำให้คนในจวนทั้งบนและล่างต่างสูดลมหายใจเย็นเยียบ ลอบคิดในใจว่าอีกฝ่ายเป็นดั่งหยกงามคลุกฝุ่น น่าเสียดายที่ปล่อยให้นางซุกซ่อนความงามนี้มาเป็นเวลาหลายปีเสียได้
ระหว่างการเดินทางไปวัดจิ้งฮุ่ยนางระแวดระวังมาโดยตลอด เคราะห์ดีที่กระทั่งเข้าไปในวัดแล้วก็ไม่มีเหตุอะไรเกิดขึ้น เพียงแต่ผู้ดูแลคนเก่าที่ปกตินางเจออยู่เป็นประจำวันนี้กลับไปนั่งกรรมฐาน คนที่มารับพวกนางจึงเป็นภิกษุรูปหนึ่งซึ่งไม่รู้จักกันมาก่อน
หลังนางก้าวเข้าไปในวิหารหลักก็หาข้ออ้างออกจากสายตาของท่านป้า เดินวนเวียนอยู่ในวิหารเป็นเวลาครึ่งก้านธูป* จากนั้นก็ลุกไปที่ข้างหลังวิหาร
สิ่งที่นางไม่ได้สังเกตก็คือที่ไม่ไกลจากนางมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ในมุมส่วนที่มืดมิดของวิหารหลัก เขาสวมชุดดำทั้งตัว ดาบประจำตัวที่ข้างเอวทอประกายในที่มืด พอนางก้าวเท้าเดินออกไปแล้ว เขาก็รีบเดินตามติด
ตลอดทางที่นางเดินนั้นผ่านห้องนั่งกรรมฐานที่ลดเลี้ยวซับซ้อนข้างหลังวิหาร เวลาแต่งเป็นบุรุษออกมานอกจวนนางมักจะชอบไปนั่งเหม่อมองทิวทัศน์ที่หลังภูเขา จึงเดินได้อย่างชำนาญทาง
แต่เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ซย่าชิงยวนพลันพบว่าฝีเท้าตนเองหนักอึ้งขึ้นอย่างมาก ศีรษะก็หนักหน่วงวิงเวียน หายใจหอบโดยไม่มีสาเหตุ จนเมื่อแข้งขาอ่อนยวบเดินไม่ได้อีกต่อไป นางถึงมารู้ตัวทีหลังว่าธูปที่จุดในวิหารหลักนั้นมีปัญหา มีคนมาที่นี่ก่อนนาง จัดวางทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว และรอให้นางมาติดกับ
ซย่าชิงยวนฝืนยันตนเองขึ้น เกาะกำแพงเดินไปข้างหน้า ทันใดนั้นก็มีมือสองข้างยื่นออกมาจากด้านหลังประคองแขนนางไว้ นางคว้ามือนั้นโดยไม่ทันตั้งตัวและมองไปข้างหลัง ก็เห็นใบหน้าที่เหมือนจะรู้จักมักคุ้น สวมชุดดำทั้งตัวกับดาบประจำตัวที่สลักลายมังกรมัจฉา
“ท่านเองหรือ”
“เจ้าถูกคนปองร้ายแล้ว” เสียงของเขาแผ่วต่ำ ดังอยู่ที่ข้างหูนางนี่เอง
ซย่าชิงยวนที่ตอนนี้สติสัมปชัญญะไม่แจ่มชัดเมื่อได้ยินก็รู้สึกเหมือนว่าเสียงของเขาดังขึ้นเป็นสิบเท่า
“ในธูปนั่นมีพิษ”
“ข้ารู้” ซย่าชิงยวนกัดฟันพยักหน้า
“ให้ข้าช่วยเจ้าดีหรือไม่” เขาถามต่อ มือยังคงแตะเพียงแขนของนาง ไม่ให้นางล้มลงไป
“ช่วยหรือ” นางมองขึ้นมาด้วยสายตาว่างเปล่า สบกับดวงตาดำขลับของเขา “ช่วยอย่างไร”
เขาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ สถานการณ์ในตอนนี้พูดอะไรออกไปก็มีแต่จะยิ่งมีพิรุธ จึงได้แต่พยุงแขนจัดให้นางพิงกำแพง ใช้แขนยันนางไว้ให้มั่น รักษาระยะห่างไม่ให้ใกล้ชิดกันเกินไป
“ท่านช่วยข้าไม่ได้ วันนี้ถ้าข้าไม่ตายที่นี่ วันพรุ่งก็ต้องตายใต้เงื้อมมือผู้อื่น” นางยิ้มโรยแรง ดวงตาทอประกายวาววามจากการฝืนทน งามจนทำให้คนตะลึง แต่กลับไร้ซึ่งความหวัง
เมื่อได้ยินเช่นนี้เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “วันพรุ่ง…ไม่ใช่ว่าเจ้าจะต้องแต่งให้คุณชายลู่หรอกหรือ”
“ลู่หย่วนน่ะหรือ เขา…เขากับข้า…มีความแค้นระหว่างตระกูล” พิษออกฤทธิ์แรงขึ้นเรื่อยๆ ตานางหรี่ลงเรื่อยๆ จนแทบจะปิด
เขายิ่งขมวดคิ้วเป็นร่องลึกและเขย่าไหล่นาง “ห้ามหลับ”
นางพยายามลืมตา ลมหายใจอ่อนรวยริน แต่ก็ยังใช้แรงเฮือกสุดท้ายผลักเขา “รีบไป พวกเขาก่อเหตุไม่เลือกวิธีการ ถ้าท่านถูกพบเห็นเกรงว่าคงไม่อาจรอดชีวิต”
ยามที่เอ่ยจบเปลือกตาของนางก็ปิดลง หมดสติไป
ไกลออกไปมีเสียงร้องตามหาคนดังเซ็งแซ่
ลู่หย่วนขบกรามแน่น อยากพูดอะไรแต่ก็พูดไม่ออก ขอบตาแดงก่ำ ได้แต่กำหมัดทุบกำแพง
“ซย่าชิงยวน ห้าปีที่ข้าไม่อยู่นี่ เจ้าอยู่มาได้อย่างไร”
เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สีหน้าเขาหมองคล้ำกว่าเดิม เขาอุ้มนางขึ้นมาแล้วหลบเข้าไปในห้องนั่งกรรมฐานที่อยู่ใกล้ที่สุดห้องหนึ่ง ในห้องนั่งกรรมฐานมีฉากกันลมบานใหญ่ที่สามารถซ่อนคนได้สองคนพอดี
เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาแล้ว ตามด้วยเสียงประตูถูกผลักออก เคราะห์ดีที่คนเหล่านั้นเพียงกวาดตามองไม่กี่ครา เมื่อเห็นว่าไม่มีคนก็ปิดประตู รอให้เสียงฝีเท้าค่อยๆ ห่างออกไปเขาก็ถอนหายใจในความมืด แต่แล้วยังถอนใจไม่ทันเสร็จก็ต้องหยุดชะงักกลางคัน เพราะว่าซย่าชิงยวนกำลังเงยหน้าขึ้น ใช้ริมฝีปากและปลายลิ้นเล็กเรียวไล้ไปตามลูกกระเดือกของเขา
ลู่หย่วนก้มลงจ้องนางเขม็ง กลับพบว่าดวงตานางโค้งเป็นจันทร์เสี้ยวและส่งยิ้มให้เขา ดูออกว่าฤทธิ์ยานางในตอนนี้ไม่เพียงไม่ทุเลา แต่ยังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สองมือที่แต่เดิมเคยว่านอนสอนง่ายลูบคลำที่เอวเขาตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบได้ ทั้งยังลูบไล้จากเอวขึ้นมาข้างบน ดูแล้วปกตินางคงจะดูภาพวังวสันต์มาไม่ใช่น้อยๆ ลูกกระเดือกเขาขยับ ในใจหัวเราะเยาะนาง แต่ทันใดนั้นก็แทบจะขบรากฟันตนเองหัก
“ซย่าชิงยวน เจ้าอย่าจำคนผิดนะ มองให้ดี ข้าคือลู่หย่วน” เขาก้มหน้าเอ่ย พลางคว้าสองมือของซย่าชิงยวนที่ลูบเปะปะไปทั่วดึงไปไว้ที่หลังเอว ตัวนางพลันโน้มมาข้างหน้าอย่างไม่อาจควบคุมทำให้ยิ่งเข้าใกล้เขามากขึ้น ทั้งสองใบหน้าแนบชิด ทอเป็นเงาที่ดูกำกวมจากหลังฉากกั้น ดวงตาของนางยังคงสงบเป็นน้ำนิ่งไร้คลื่น
“ลู่หย่วนหรือ ท่านจะมา…แก้แค้นหรือ” นางจ้องเขาเป็นเชิงหยอกล้อ “ถ้าท่านเป็นลู่หย่วนจริง เหตุใดจึงไม่…ไม่ฆ่าข้าตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้า หรือว่า…ท่านอยากแต่งงานกับข้า ภายหลังจะได้ทรมานข้าไปอย่างช้าๆ ใช่แล้ว ต้องเป็นเช่นนั้นแน่”
พอเอ่ยจบแล้วนางก็หรี่ตายิ้มราวกับแมวดาวที่เจ้าเล่ห์
แสงแดดอบอุ่นทอเข้ามาทางหน้าต่าง เขายื่นนิ้วออกไปจิ้มหน้าผากนางที่แนบเข้ามาให้ถอยกลับ “ใช่เสียที่ใดเล่า”
ซย่าชิงยวนฉวยโอกาสตอนที่เขาไม่ทันตั้งตัวดึงมือข้างหนึ่งหลุดออกมาได้ แล้วปลดกระดุมที่เสื้อด้านหน้าของเขา ขณะกำลังจะปลดลงไปข้างล่างมือก็ถูกกุมไว้เสียก่อน
“ห้ามข้าด้วยเหตุใด เมื่อครู่นี้ใต้เท้าไม่ใช่บอกว่าต้องการช่วยข้าหรอกหรือ” นางเงยหน้าขึ้นถามเขา ใบหน้านางในวันนี้แต้มชาดมาเล็กน้อย ข้างมวยผมยังปักปิ่นหยก มีพู่ระย้าห้อยลงมาหลายเส้น ขณะที่นางพูดพู่เหล่านั้นก็แกว่งไกวไปมาไม่หยุด
จู่ๆ ลู่หย่วนก็รู้สึกสับสนวุ่นวาย เขายื่นมือออกไปเหมือนมีอะไรมาดลใจ ค่อยๆ ถอนปิ่นที่เป็นอุปสรรคอันนั้นออก พอถอนออกมาแล้วก็ไม่รู้จะวางไว้ตรงที่ใด ได้แต่สอดเข้าไปในช่องแขนเสื้อ เขาทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย นางเหมือนจะจำเขาไม่ได้เลยจริงๆ มองเขาก็เหมือนมองคนแปลกหน้า ทั้งยังกระตือรือร้นอยากเข้าใกล้คนแปลกหน้าอย่างเขาอีก เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองถึงได้รู้สึกโมโหเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา เขาปล่อยข้อมือที่เมื่อครู่นี้คว้าไว้อย่างแน่นหนาออกแล้วหลับตาลง สายลมอบอุ่นในเดือนสามจากนอกหน้าต่างพัดเข้ามาเป็นระลอก จากนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่านางค่อยๆ ขยับเข้ามาดอมดมเขาราวกับแมวน้อยตัวหนึ่ง
“แม้ท่านกับข้าจะเจอกันตามวาระโอกาส…” ซย่าชิงยวนปลดกระดุมเสื้อเขาอีกเม็ด นิ้วมือเย็นเฉียบอ้อยอิ่งอยู่ที่ลำคอเขา นางกล่าวถ้อยคำสับสน ทว่าใช้น้ำเสียงที่ดูอดทนอย่างยิ่ง…ราวกับกำลังถกเหตุผลกับเขา “แต่เราได้มาพบพานในวัดเก่าคร่ำแห่งนี้นับเป็นวาสนา รูปร่างหน้าตาของใต้เท้า…ข้าพึงใจยิ่งนัก”
นางจับคางเขา บังคับให้เขาก้มหน้าลง เมื่อสายตาของทั้งคู่ประสานกัน เขารู้สึกราวกับถูกความร้อนจากหยาดน้ำตาที่คลอในดวงตาของนางลวกเอา จึงรีบหลบสายตาออกอย่างรู้สึกผิด
มือของนางลูบอกของลู่หย่วนแผ่วเบา “วันนี้ไม่ว่าจะไปหรืออยู่ก็ยากจะหนีพ้นความตาย ช่างน่าเสียดายที่ข้าวาดภาพวังวสันต์มานับไม่ถ้วน แต่กลับไม่เคยได้ลิ้มรสบุรุษเลยสักครา ตายไปก็คงเป็นวิญญาณที่น่าเวทนายิ่ง ในเมื่อใต้เท้าอยากเป็นผู้ใจบุญ มิสู้ใจบุญให้ถึงที่สุด…มีความสุขกับข้าสักครั้งจะได้หรือไม่”
เส้นผมนางกวาดผ่านสันกรามของเขาไปมา พาให้ใจเขาว้าวุ่นระส่ำระสาย เมื่อลู่หย่วนได้ยินคำพูดนี้ของนาง ก็พลันนิ่งตะลึงอยู่กับที่เหมือนถูกสายฟ้าฟาด
พอเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบรับ เสียงของนางก็ค่อยๆ เบาลง น้ำเสียงเยือกเย็นเศร้าสร้อยพลางพูดกับตนเองไปด้วย “ใต้เท้าคงคิดว่าข้าใจง่ายใช่หรือไม่ แต่ข้าอยู่เจียงตูมาห้าปีแล้ว ใช้ชีวิตอยู่บนปลายมีดดาบ อย่าว่าแต่อยู่โดยไม่มีจุดหมายเลย ยังต้องคอยระวังไม่ให้ถูกขายเข้าไปในขุมนรกอีก อยู่ต่อไปเช่นนี้ช่างน่าเบื่อนัก นี่กระทั่งก่อนตายจะทำตามอำเภอใจสักครั้งก็ไม่ได้เลยหรือ”
ลู่หย่วนจับมือที่ซุกซนของนางเอาไว้ไม่ให้ขยับตามอำเภอใจอีก อารมณ์มากมายท่วมท้นในดวงตาเขา คำพูดนับหมื่นพันมาจุกอยู่ที่ข้างลำคอ เมื่อเปิดปากก็พูดได้แค่ “เจ้าแน่ใจถึงเพียงนี้เชียวหรือว่าลู่หย่วนจะรังแกเจ้า”
“ข้าจำไม่ได้แล้ว บางที…เขาอาจจะรู้จักกับข้าในกาลก่อน” แววตานางล่องลอยไปไกล มือเรียวสะบัดหลุดจากมือใหญ่ของเขา แล้วลูบไล้จากข้อมือเขาขึ้นไป
เมื่อลู่หย่วนได้ยินนางบอกว่านางจำไม่ได้แล้ว สีหน้าก็กลายเป็นตกตะลึงก่อน ต่อมาก็จมจ่อมครุ่นคิด จากนั้นก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ในทันใด สีหน้าค่อยโล่งใจขึ้นมากในชั่วพริบตา
“เจ้าหมายความว่าเจ้าจำเรื่องทั้งหมดก่อนหน้านี้ไม่ได้ แล้วก็จำไม่ได้แล้วว่าข้าเป็นใครอย่างนั้นหรือ”
ยาออกฤทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ ซย่าชิงยวนฟังคำถามเขาไม่เข้าหูแล้ว สนใจแต่จะถูไถไปมาบนตัวเขา “ห้าปีก่อนข้าถูกทิ้งไว้ที่เจียงตู จำเรื่องราวก่อนหน้านั้นไม่ได้เลยสักนิด…ท่านบอกว่าเขาจะสงสารข้า ท่านคิดว่าเขาจะสงสารข้าหรือไม่ ข้ามาส่งตนเองถึงหน้าประตูบ้านเขา ไร้ญาติสนิทให้พึ่งพา ทั้งยังเป็นลูกสาวของบ้านศัตรูอีก”
ลู่หย่วนหลุบตาลง ปล่อยให้นางเล่นกับนิ้วมือของเขา
นางก้มหน้าและปรึกษาหารือกับเขาต่ออย่างอดทนด้วยตรรกะที่ไม่เชื่อมโยงและน้ำเสียงนุ่มนวล โดยสาระสำคัญคือขอให้เขาตกลงทำเรื่องปล่อยตัวเหลวไหลสักครั้งที่นี่ในเวลานี้
สถานการณ์ที่อึดอัดทรมานเช่นนี้ดำเนินต่อได้ไม่นาน ลู่หย่วนก็ไม่มีเวลาจะใคร่ครวญเรื่องอาการที่ต้องรีบหาทางรักษาของนาง ซย่าชิงยวนเองก็ไร้เรี่ยวแรงจะต่อกรกับฤทธิ์ยาที่ปะทุขึ้นอย่างรุนแรงเป็นระลอกนี้ได้ นางเอาหน้าผากแนบกับปลายคางของเขา แล้วครางเสียงกระเส่าชวนหลงใหล
“วันพรุ่งจะแต่งงานอยู่แล้ว ฮูหยินไฉนถึงได้…ใจร้อนกว่าข้าเล่า” ลู่หย่วนนิ่วหน้ามองนาง ปากพูดเสียดสี แต่มือกลับลูบไล้ไปบนลำคอเรียวขาวนวลเนียนของนางอย่างไม่อาจควบคุม สุดท้ายเมื่อนางเขย่งเท้าขึ้นมากัดริมฝีปากล่างของเขา นัยน์ตาของลู่หย่วนก็พลันสะท้านขึ้น เขาไม่ได้ผลักไสนาง แต่กลับยอมจำนนปล่อยให้นางขบกัดลิ้มเลียอย่างสะเปะสะปะต่อไป
ท้องฟ้านอกห้องใกล้จะมืด ความอุ่นร้อนในห้องกลับยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ในฉากกั้น ชายหนุ่มร่างสูงถูกหญิงสาวกดชิดกับผนัง ดวงตานางล่องลอยไปไกล สองมือยังคงวางอยู่บนคอของชายหนุ่ม เขย่งเท้าและจูบเขาโดยแรง
ชายหนุ่มปล่อยให้นางปู้ยี่ปู้ยำตามอำเภอใจ ดวงตาทอแววหม่นมืด แต่มือวางรองที่เอวนางเอาไว้ เหมือนกลัวว่านางจะล้มลงไปและก็เหมือน…อยากสัมผัสแต่ไม่กล้าแตะต้อง
ภายในกายของนางร้อนรุ่มราวกับไฟสุม สติสัมปชัญญะแทบจะถูกเผาผลาญจนหมดสิ้น สิ่งเดียวที่ให้ความรู้สึกเย็นชุ่มชื่นมีเพียงร่างกายของบุรุษตรงหน้า นางจึงคลายคอเสื้อให้หลวมเล็กน้อย ยกขาข้างหนึ่งโอบรอบเอวของอีกฝ่าย พยายามที่จะแนบชิดเขาให้มากยิ่งขึ้น สองแขนโอบรัดบ่าของเขาไว้แน่น ลมหายใจของนางปั่นป่วน เปล่งเสียงครางครวญดังลูกสัตว์ที่ร้องขออาหาร
ร่างของชายหนุ่มชะงักค้างไปชั่วขณะทันทีที่นางคล้องขาที่เอวของเขา มือของเขาเลื่อนจากเอวของนางไปลูบไล้ตามขาเรียวที่กำลังก่อกวน วันนี้นางสวมเพียงแค่ชุดคลุมบางๆ ผิวเนื้อเนียนละมุนราวกับไหมมีเพียงผ้าแพรกั้นเท่านั้น
คิ้วของชายหนุ่มขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม มือที่จับขาของนางหยุดนิ่งเพียงครู่ จากนั้นมือก็ออกแรงเบาๆ ดึงนางลงมาจากบนตัว แล้วอุ้มนางขึ้นมา ถีบประตูให้เปิดออก ก่อนจะเดินออกไปจากวัดโบราณ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 31 ต.ค. 67
Comments
comments
No tags for this post.