บทที่ 1-3 แต่งงานกับพญายม
กลางดึกคืนนั้นรถดำเทียมม้าสี่ตัวคันหนึ่งก็มาจอดอยู่ที่นอกประตูจวนสกุลซย่า บนรถม้าประทับตรามังกรมัจฉาของราชองครักษ์อวี่หลิง ไม่มีผู้ใดกล้าขวาง ม่านรถถูกเลิกขึ้น ชายหนุ่มสันจมูกสูงโด่งเบ้าตาลึกเดินลงมา ทั่วทั้งตัวสวมเครื่องแบบทหารสีดำสนิท สาบเสื้อยุ่งเหยิงเล็กน้อยแต่กลับทำให้ดูมีบารมียิ่งขึ้น ในอ้อมแขนเขามีสตรีนางหนึ่งห่ออยู่ในเสื้อคลุมตัวนอกสีดำ กำลังนอนหลับสนิท
ประตูหลักของจวนปิดสนิท หลังเขาเคาะประตูแล้วรออยู่ครู่หนึ่ง ประตูใหญ่จึงเปิดออกตามเสียงเรียก บ่าวรับใช้เห็นป้ายที่เอวของเขาก็ลนลานเข้าไปรายงานในเรือน
เมื่อบอกต่อกันไปถึงเรือนชั้นใน หญิงวัยกลางคนก็กระแอมกระไอเดินออกมา ใบหน้าฉายแววขุ่นเคือง แต่ก็ปิดความยินดีอย่างคนสำเร็จแผนการได้ไม่มิด “ไม่ทราบว่าเป็นใต้เท้าท่านใดนำคุณหนูบ้านข้ากลับมาส่ง ถ้าเรื่องแดงออกไป ข้าจะบอกต่อใต้เท้าลู่ว่าอย่างไร…”
นางยังพูดไม่ทันจบ พอเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจนก็นิ่งงันอยู่กับที่
“ข้าน้อยลู่หย่วน มาส่งคู่หมั้นกลับจวน ระหว่างทาง…รำลึกความหลังกัน จึงเสียเวลาไปนาน” เขาย่างเดินก้าวใหญ่เข้าไปในลานบ้าน เสมือนเข้าไปในสถานที่รกร้างไร้ผู้คนก็มิปาน
หลังจากคืนนั้นเมื่อซย่าชิงยวนตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงนกร้องจากนอกหน้าต่างดังเซ็งแซ่ นางยังนึกไปว่าเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวัดโบราณเป็นเพียงแค่ฝัน นางลงจากเตียงจะไปล้างหน้าสางผมก็เหยียบถูกรองเท้าปักดิ้นสีแดงชาดลายหงส์คู่หนึ่ง พอยื่นมือออกไปก็คลำเจอขอบเตียงไม้จันทน์แกะสลัก รวมทั้งม่านเตียงกางลงมาเป็นชั้นๆ
นี่ไม่ใช่ห้องเก็บฟืนปูเสื่อฟางที่นางนอนเป็นประจำ แต่เป็นห้องนอนที่มีแต่แขกเท่านั้นที่เข้าพักได้
ซย่าชิงยวนตบศีรษะตนเองคราหนึ่ง ภาพฉากเมื่อคืนก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวทีละภาพ นางสะดุ้งตัวโยนปีนลงจากเตียง เมื่อหากระจกทองเหลืองจากโต๊ะเครื่องแป้งเจอแล้วก็ตรวจตราตนเองโดยละเอียด ทันใดนั้นนางก็เห็นรอยจ้ำแดงที่คอ
ซย่าชิงยวนร้องคร่ำครวญพลางปิดหน้า เรื่องเมื่อคืนนี้เป็นจริงเสียด้วย นางได้หลับนอนกับชายอื่นที่เจอกันโดยบังเอิญไปแล้วจริงๆ ทั้งยังถูกส่งกลับจวน ที่แย่ที่สุดคือนางลืมส่วนสำคัญที่สุดของเมื่อคืนนี้ไปจนหมดสิ้น จำได้เพียง…คนผู้นั้นร่างสูง วาจาน้อย ดวงตาดั่งเหยี่ยวอินทรี จับจ้องมองนางตลอดเวลาแต่ก็เหมือนกับกำลังมองคนอีกคน นางรู้สึกได้ว่าแม้ท่าทีที่เขามีต่อตนจะเดี๋ยวเหินห่างเดี๋ยวใกล้ชิด แต่พอขอก็ยอมให้ เขากำลังสนองความต้องการของนาง ไม่รู้ว่านั่นเป็นเพราะความสงสาร หรือเป็นความแปลกใจที่หญิงสาวผู้โดดเดี่ยวและมีชีวิตยากลำบากจะปล่อยเนื้อปล่อยตัวได้ถึงเพียงนี้
เมื่อคืนตอนท้ายมีฝนตกที่นอกห้องนั่งกรรมฐาน เสียงฝนซ่าๆ กลบเสียงอื่นไปมากมาย นางจำได้ว่าตนเองรู้สึกร้อนรุ่ม จึงถอดเสื้อคลุมออกพันไว้บนร่างของเขา มือของเขา…น่าจะไม่ได้แตะต้องนางเลยกระมัง แต่ก็จุมพิตนางอย่างใจไม่อยู่กับตัวตลอดเวลา ทั้งสองแสร้งทำทีพัวพันโดยไม่ได้กระทำอะไรลึกซึ้ง แต่ก็ไม่ได้คิดจะหยุด ภายหลัง…แม้จะลืมส่วนที่สำคัญไปจนหมด ทว่าในใจนางก็ว่างโหวงราวกับอะไรขาดหายไป
คืออะไรกันนะ…
ซย่าชิงยวนยังไม่ทันได้คิดให้ละเอียด นอกระเบียงทางเดินก็พลันสว่างขึ้นด้วยโคมไฟที่แกว่งไกว สาวใช้เรียกนางว่าคุณหนูซย่าอย่างไม่คุ้นชินนัก ก่อนจะบอกให้นางรีบล้างหน้าสางผม
ใช่แล้ว วันนี้เป็นวันแต่งงานของนาง
ซย่าชิงยวนคร่ำครวญในใจอีกครั้ง นี่คือชีวิตที่ผีสางกลั่นแกล้งเช่นใดกัน นางคิดว่าเมื่อคืนนี้ถ้าไม่ตายใต้เงื้อมมือของคนสกุลซย่าก็ตายใต้เงื้อมมือคนผู้นั้น…ช้าก่อน เหตุใดคนผู้นั้นถึงส่งนางกลับจวนได้ราบรื่นเพียงนี้ อีกทั้งนางยังได้พักในห้องนอนแขกราวกับคนที่ไม่มีเรื่องราวใด อิงจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ท่านป้าของนางจะไม่ฉวยโอกาสสร้างเรื่องสักหน่อยหรอกหรือ
หรือว่าคนผู้นั้นไม่เพียงแต่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการเมื่อคืน แต่ยังเป็นบุคคลที่กระทั่งท่านป้าของนางก็ยังไม่อาจตอแยด้วย
ซย่าชิงยวนผลักประตูเดินออกไป นางรั้งตัวสาวใช้ที่มารายงานเมื่อครู่นี้เอาไว้ “เมื่อคืนนี้ใครเป็นคนส่งข้ากลับมา”
สาวใช้นางนั้นกลับมองเลยไปเห็นคนที่อยู่สุดทางเดิน ก่อนจะส่ายหน้ารัวเป็นกลองป๋องแป๋ง แตกตื่นลนลานและวิ่งจากไป
เมื่อซย่าชิงยวนหันไปก็เห็นว่าในเงาของแดดยามเช้าที่สุดปลายทางเดินมีชายร่างสูงสวมชุดยาวดำสนิททั้งตัวกำลังยืนพิงเสาหลับอยู่
นอกระเบียงเป็นไผ่เขียวดงหนึ่ง เมื่อลมพัดผ่านใบไผ่ก็ส่งเสียงเสียดสีกัน ชายชุดดำผู้นั้นรวมเป็นหนึ่งกับป่าไผ่ มีเพียงใบหน้าที่เป็นสีหยกบริสุทธิ์ แนวคิ้วทั้งสองเฉียงขึ้น สีเข้มดั่งน้ำหมึก เป็นสีของปล้องไม้ไผ่
ซย่าชิงยวนนึกถึงที่เคยได้ยินเวลาทหารทางการดื่มสุราแล้วคุยเล่นกันก่อนหน้านี้ คนที่รบทัพจับศึกมานานในทะเลทรายจะชินกับการยืนหลับ สองคิ้วเขามุ่นเล็กน้อยราวกำลังฝันร้าย เป็นคนแปลกหน้าผู้นั้นเมื่อคืนนี้ หรือบางที…นับจากระดับความใกล้ชิดอย่างเมื่อคืนนี้ ตอนนี้อาจไม่นับเป็นคนแปลกหน้าแล้ว
ซย่าชิงยวนกระแอมกระไอสองที คนผู้นั้นลืมตาขึ้นในพลัน ราชสีห์มักจะกลบจิตสังหารไม่มิดเมื่อถูกปลุกให้ตื่น แววตานั้นเป็นแววตาที่ไร้ความรู้สึก นางถอยไปก้าวหนึ่งโดยไม่อาจควบคุม
ทว่าเมื่อเขาเห็นว่าเป็นนางก็เก็บจิตสังหารในดวงตากลับไป เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบางๆ ที่อบอุ่นราวลมในวสันตฤดู “เมื่อคืนหลับสบายดีหรือไม่”
คราวนี้ซย่าชิงยวนถูกถามจนสะอึกไป นางกระแอมอีกสองสามที จึงค่อยเงยหน้าขึ้นด้วยใบหน้าแดงฉาน
อีกฝ่ายยิ่งแย้มยิ้มอย่างมีความสุข “ดูท่าจะตกใจเสียแล้ว ต้องโทษข้า”
นางกำลังจะถามว่าเขาเป็นใคร อีกฝ่ายกลับเดินเข้ามาหานางช้าๆ ราวราชสีห์เดินเข้าหาเหยื่อ แพรไหมบนชุดสีดำสนิทสะท้อนแสงบาดตา เป็นครั้งแรกที่นางเห็นอย่างชัดเจนว่าบนนั้นใช้ไหมเงินปักตราประทับรูปมังกรมัจฉา หรือเรียกอีกอย่างว่าหมัวเจี๋ย ลวดลายที่ตกทอดมาจากชนต่างเผ่าทางแดนโม่ซี*
ในบรรดาขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊ที่มียศเป็นขั้นของราชสำนักต้าลี่มีคนเพียงกลุ่มเดียวที่เสื้อผ้าจะใช้ตราเป็นรูปมังกรมัจฉา นั่นก็คือราชองครักษ์อวี่หลิงที่ทำงานรับผิดชอบคดีความร้ายแรงที่ขุนนางขั้นสามขึ้นไปเป็นผู้ก่อและมีหน้าที่ดูแลคุกหลวงโดยเฉพาะ นอกจากนั้นบนแถบกระดาษสีแดงในลานบ้านเมื่อวานนี้ก็เขียนไว้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งว่าพระราชทานสมรสนางให้กับผู้บัญชาการองครักษ์อวี่หลิง คนผู้นี้คือลู่หย่วน
“ซย่าชิงยวน เป็นอย่างไรบ้าง ดูจากสีหน้าเจ้า ในที่สุดก็จำข้าได้แล้ว”
แสงสว่างยามเช้าทอเข้ามาในระเบียงทางเดินเป็นช่องๆ ทาทาบแสงสลัวและคลุมเครือลงบนร่างทั้งสอง ซย่าชิงยวนยังคงตะลึงเรื่องที่ตนได้หลับนอนกับคู่หมั้นที่เดิมทีมาจากตระกูลคู่แค้น
ลู่หย่วนกลับเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เขาถามนางว่า “ข้ารูปงามหรือไม่”
นางอ่านคนผู้นี้ไม่ออก ได้แต่บอกความจริงไป “รูปงามมาก”
“เจ้าชอบหรือไม่”
“อะไรนะ” ซย่าชิงยวนงงงันแล้ว
“ข้าอยากพูดว่าถ้าข้าไม่ใช่ลู่หย่วน เจ้าก็จะไม่รังเกียจข้าใช่หรือไม่” เขาก้มลงมา เห็นรอยจ้ำแดงที่ข้างคอนางซึ่งหลงเหลือจากเมื่อคืนก็อดสำลักและเบนสายตาออกไม่ได้
“แต่ท่านคือลู่หย่วน แล้วท่านก็รู้แต่แรกว่าข้าคือใคร เรื่องเมื่อคืนนี้ท่านก็มีส่วนเกี่ยวข้องใช่หรือไม่” นางจ้องเขาตรงๆ โดยไม่มีการปกปิดแม้แต่น้อย
ลู่หย่วนเผยสีหน้าแตกตื่นไปชั่วขณะ “ข้าสาบานได้ ตอนแรกข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะไปจุดธูปไหว้พระที่วัดจิ้งฮุ่ย แค่บังเอิญเจอกันเท่านั้น ข้าพบว่าธูปที่จุดในวิหารหลักมีปัญหาก็เลยตามเจ้าออกไป…”
พอพูดถึงตรงนี้เขาก็หยุดไป
“เช่นนั้นในเมื่อเป็นการพบกันโดยบังเอิญ แล้วเหตุใดท่านต้องช่วย…” นางเถียงกลับอย่างลืมตัว แต่ก็หยุดปากในทันใด
แสงแดดยามเช้าทาบบนร่างเขา วันนี้เขาสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย ต้องอยู่ใกล้พอถึงจะเห็นว่าผิวบริเวณคอที่โผล่ออกมานอกปกเสื้อมีรอยฟันขบเหมือนจะชัดแต่ก็ไม่ชัด นางจำได้ว่าเมื่อวานตนเองกัดเขาไปจริงๆ และก็จำได้ว่าเขาบ่ากว้างเอวคอด ท่อนแขนกำยำเปี่ยมพลัง เป็นร่างกายและหุ่นอย่างคนที่ออกรบมาเป็นเวลานานปี
ความทรงจำตอนที่ได้ ‘สนิทชิดใกล้กัน’ เมื่อวานนี้ปรากฏขึ้นตรงหน้านางเหมือนโคมฉายภาพ แม้ตอนนี้เขาจะสวมเสื้อผ้าปกปิดมิดชิด แต่ก็ห้ามนางให้คิดเลื่อนเปื้อนไปเรื่อยไม่ได้
“ที่จริงแล้ว…เมื่อคืนนี้พวกเราไม่ได้ แค่กๆ ทำเรื่องอย่างว่า” เขาเงยหน้ามองขึ้นฟ้า หัวข้อสนทนานี้ช่างน่ากระอักกระอ่วนเสียจริง
“ไม่ได้ทำ? ถะ…ถ้าเช่นนั้นพวกเรา?” นางไม่อยากจะเชื่อ
“ที่จริงพวกเรา…ทำสิ่งนั้นไปแล้ว แต่ว่าไม่ได้…ทำเช่นนั้น” เขาพูดซ้ำอีกรอบ จากนั้นก็ย้อนถามอย่างหัวเสีย “เจ้าเคยวาดภาพวังวสันต์มาก่อนไม่ใช่หรือ หรือที่เจ้ากับข้าได้ทำหรือไม่ได้ทำอันใดบ้าง…เจ้ารู้สึกเองไม่ได้เลย? หรือจะบอกว่าเจ้าลืมอีกแล้ว”
ซย่าชิงยวนยักไหล่ “ข้าลืมแล้ว จำได้เพียงว่าหลังยาออกฤทธิ์ ข้าต้องการเชิญชวนท่านร่วมหลับนอน ตอนแรกท่านไม่ตอบตกลง ภายหลังก็ครึ่งผลักไสครึ่งตอบสนอง หลังจากนั้นก็เปลี่ยนจากรับเป็นรุก…”
นางยังพูดไม่ทันจบ ลู่หย่วนก็เข้าไปปิดปากนาง พลางทำสีหน้าอย่างสำนึกเสียใจภายหลัง “ช่างเถอะ เหตุใดข้าจะต้องเอาเรื่องเจ้าเรื่องนี้ด้วย”
“ฉะนั้น…เมื่อคืนนี้ท่านก็ไม่ได้ทำอย่างนั้นกับข้า หรือว่า…ท่านไม่สามารถ!” เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ ซย่าชิงยวนก็ลอบยินดีในใจ ที่แท้ลู่หย่วนสู่ขอนางก็เพราะเหตุนี้ เขากลัวว่าเหล่าคุณหนูในเมืองหลวงจะรังเกียจเขาก็เลยเสาะหาคนเพียงผู้เดียวในแผ่นดินที่ไม่กล้ารังเกียจเขา…ทายาทกำพร้าสกุลซย่าที่มีชีวิตราวกับมุสิกข้างถนน
ชั่วครู่หนึ่งซย่าชิงยวนก็เห็นว่าสีหน้าลู่หย่วนทอแววสงสารเห็นใจ
“ข้าสามารถหรือไม่ เดี๋ยวเจ้าก็จะได้รู้” ลู่หย่วนไม่สนใจนางอีก เขาหันหลังเดินจากไป
“แล้วเหตุใดท่านถึง…” นางเพิ่งจะถามคำนี้ออกไป ในใจก็สั่นสะท้าน และนึกถึงคำตอบที่เป็นไปไม่ได้แต่ก็สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง
ลู่หย่วนดั้นด้นเดินทางเป็นพันหลี่เพื่อตามหานาง เผอิญเจอนางที่ตลาดข้างทาง ยื่นมือเข้าช่วยเหลือที่วัดโบราณแล้วยังทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อสู่ขอนาง ทว่าไม่ได้ฉวยโอกาสซ้ำเติมในสถานการณ์ที่เหมาะแก่การลงมือที่สุด บางที…เขาอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่นางคิด เพียงแต่คำตอบนี้ออกจะเหลวไหลเกินไปหน่อย แม้แต่นางเองยังเชื่อไม่ลง
“ลู่หย่วน ท่านคงไม่ได้…” นางพูดไม่จบก็กลืนคำกลับไป
ลู่หย่วนไม่เกลียดนาง นี่จะเป็นไปได้อย่างไร
แสงแดดยามเช้าทาบบนอาภรณ์สีดำมืดมิดของลู่หย่วน ความสว่างไสวล้วนถูกดูดกลืน อาจเป็นเพราะรับรู้ได้ถึงความคิดนาง เขาจึงหยุดฝีเท้าลง ยืนนิ่งหันหลังให้นาง
“รีบไปเตรียมตัวผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย พิธีแต่งงานจะเริ่มในอีกสองชั่วยามให้หลัง”
บทที่ 1-4 แต่งงานกับพญายม
3
ฤดูใบไม้ผลิรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โหม่งกลองของเมืองเจียงตูดังกึกก้อง
ผู้ที่มาชมความสนุกเบียดเสียดกันที่ข้างทางอย่างเนืองแน่น ว่ากันว่านี่เป็นวันที่ลู่หย่วน…ทายาทกำพร้าของเจิ้นกั๋วกงผู้ล่วงลับลู่ถิงยวนตบแต่งภรรยาเอก
“พวกเจ้าได้ยินกันหรือไม่ เมื่อหลายเดือนก่อนฮ่องเต้เสด็จออกจากวังเป็นครั้งแรกในรอบห้าปี นำทหารไปตำบลค่งหม่าแดนโม่เป่ยด้วยตนเอง ปล่อยใต้เท้าลู่น้อยออกมาจากคุกปิดตาย แต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการองครักษ์อวี่หลิง ได้เลื่อนขั้นอย่างกับขี่เมฆเหินหมอก ระยะนี้นับว่าเป็นบุคคลที่ร้อนแรงดั่งเปลวเพลิงของราชสำนัก กระแสลมนี้…เกรงว่าแม้แต่พระเก้าพันปีก็ยังหวั่นเกรง!”
ยามพูดถึงพระเก้าพันปี เสียงของคนผ่านทางก็เบาลงเล็กน้อย
“ได้ยินว่าภรรยาที่สู่ขอมานางนี้แซ่ซย่า เหมือนจะมีความเกี่ยวโยงกับขุนนางต้องโทษซย่าเยี่ยนผู้นั้น”
“เหลวไหลทั้งเพ! ตอนนั้นขุนนางต้องโทษซย่าเยี่ยนเป็นคนยื่นฎีกาฟ้องแม่ทัพลู่ องค์เหนือหัวถึงได้พระราชทานโทษประหารแม่ทัพลู่ สองตระกูลมีความแค้นฝังรากหลายชั่วโคตร แล้วถ้าซย่าเยี่ยนนั่นมีบุตรสาวก็น่าจะตายไปนานแล้วด้วย”
“แต่ถ้าข่าวลือเป็นจริงล่ะก็ ตอนนี้สกุลลู่ได้หวนคืนสู่ราชสำนัก คุณชายน้อยท่านนี้มีอำนาจดุจตะวันยามเที่ยง ทั้งยังเดินทางไกลเป็นพันหลี่ดั้นด้นฟันฝ่าอุปสรรคจนตามตัวทายาทกำพร้าสกุลซย่าที่หายไปในปีนั้นจนเจอ แล้วยังแต่งนางเข้าตระกูลอีก…จองเวรจองกรรมกันไม่เลิกเช่นนี้แล้วเมื่อใดจะสิ้นสุด จุ๊ๆๆ”
เวลาเดียวกันนี้เอง หนึ่งในตัวละครหลักของพิธีแต่งงาน…ลู่หย่วนผู้เป็นเจ้าบ่าวยังคงอยู่ในห้องคุมขังที่ใช้สอบสวนคดีอาชญากรรมของคุกใหญ่เมืองเจียงตู บนตัวสวมชุดแต่งงานสีแดงสด ด้านหลังมีเครื่องมือลงทัณฑ์จัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ บนโซ่เหล็กเบื้องหน้ามีชายผู้หนึ่งที่แต่งกายหรูหราดวงตาดำคล้ำถูกล่ามไว้ ลู่หย่วนมือขวาถือถ้วยชา มือซ้ายถือหนังสือเล่มหนึ่ง กดคิ้วลงและเอ่ยว่า “แผนล่อลวงเมื่อคืนในวัดโบราณที่ชานเมืองโดยให้วางยาซย่าชิงยวนเป็นฝีมือเจ้าสินะ”
“ชะ…ใช่”
“เหตุใดถึงปองร้ายนาง ผู้ร่วมสมคบคิดคือใคร” ลู่หย่วนตะล่อมถามอย่างเชี่ยวชาญ “ตอบมาดีๆ ข้าผู้แซ่ลู่จะได้พิจารณา…ลงโทษเจ้าตามกฎหมาย”
“ทะ…ท่านแม่บอกว่าถ้าทำให้น้องสาวถูก…ถูกคนในวัดทำให้แปดเปื้อน แล้วค่อยจับให้ได้ซึ่งหน้า กะ…ก็จะได้กะ…กำจุดอ่อนไว้ในมือเรา ภายหลังเมื่อไปเมืองหลวงก็ไม่ต้องกลัวว่านางจะไม่ไยดีพวกเราอีก” บุรุษผู้นั้นคายผู้ร่วมสมคบคิดออกมาโดยไม่ลังเล
เพล้ง!
เสียงถ้วยชาแตกกระจาย บุรุษผู้นั้นตกใจสะดุ้งโหยง ปัสสาวะรดกางเกง
ลู่หย่วนเงยหน้ามองเขา สายตานั้นทำให้เขารู้สึกเหมือนตนเองได้ตายไปแล้ว
“ระ…เรียนใต้เท้า ข้าน้อยกับซย่าชิงยวนไม่ใช่ญาติสนิทมิตรสหายอะไร ละ…แล้วก็ไม่ใช่ครอบครัวจริงของนางแพศยานั่น ที่ทำไปเมื่อคืนนี้เป็นคำสั่งของท่านแม่ทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องต่ำช้าอะไร ใต้เท้าโปรดไต่สวนให้กระจ่างด้วย”
ลู่หย่วนปล่อยมือออกจากถ้วยชา แผ่นกระเบื้องร่วงลงพื้นเคร้งคร้าง มือเต็มไปด้วยแผลมีเลือด จากนั้นเขาก็วางหนังสือ เดินเข้ามาหาบุรุษผู้นั้นช้าๆ “เจ้าได้แตะต้องนางหรือไม่”
ขณะนั้นอีกฝ่ายไม่เข้าใจว่าลู่หย่วนกำลังพูดเรื่องอะไร จึงได้แต่ส่ายหน้า
“ข้าหมายถึงคุณชายจากตระกูลใหญ่ผู้มีชื่อเสียงของเจียงตู จอมเสเพลที่เที่ยวหอคณิกาตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบห้าปี เจ้าเคยแตะต้องซย่าชิงยวนหรือไม่” ลู่หย่วนก้มหน้า เสียงอยู่ที่ข้างหูอีกฝ่ายนี่เอง น้ำเสียงยังคงราบเรียบ
อีกฝ่ายเดิมก็ตัวสั่นเทิ้มราวกระชอนร่อนแกลบอยู่แล้ว พลันตระหนักถึงความเป็นไปได้ที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อน ทันใดนั้นก็หัวเราะอย่างเสียสติ เงยหน้าชำเลืองมองลู่หย่วน
“ใต้เท้าลู่ เจ้าชมชอบนางจริงๆ หรือ ขนาดคนชั่วอย่างข้ายังรู้เลย โทษข้อหาเป็นกบฏของซย่าเยี่ยนในตอนนั้นพระเก้าพันปีเป็นคนไต่สวน ถ้าเจ้าไม่ได้แต่งนางแพศยานั่นเพื่อแก้แค้นล่ะก็ พระเก้าพันปีรู้เข้าจะปล่อยเจ้าไปหรือ” เขาหัวเราะเยาะอีกที “ใต้เท้าลู่ สตรีตายไปแล้วยังหาใหม่ได้ หมวกขุนนางถ้าทำหาย อาจหมายถึงต้องเสียศีรษะไปนะ”
ลู่หย่วนค้อมตัว โบกมือโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี ตบเขาไปหนึ่งฉาด
เสียงดังกังวานนี้ปลุกคนที่คุกเข่าอยู่ให้แตกตื่นผวา
“ข้าถามเจ้าว่าเคยแตะต้องนางหรือไม่” ลู่หย่วนกระชากใบหน้าอีกฝ่ายเข้ามา ใช้มือที่เปื้อนเลือดเช็ดเสื้อของเขา ขยับเข้าไปเอ่ยเบาๆ ที่ข้างหู “ในสวนข้างหลังจวนมีศพสตรีอยู่สามศพ เป็นเด็กหญิงที่ถูกเจ้าทำร้ายจนตาย ศพถูกมอบให้เจ้าหน้าที่ชันสูตรตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะสนใจความเป็นตายของข้า มิสู้สนใจตัวเจ้าเองก่อนดีกว่า”
อีกฝ่ายใบหน้าไร้สีเลือดในทันใด
“นอกจากวิญญาณแค้นทั้งสามแล้ว ถ้าเจ้ายังเคยแตะต้องนางอีกแม้แต่นิ้วเดียวล่ะก็…”
ลู่หย่วนหยิบหนังสือขึ้นมา หมุนตัวเดินออกไปแล้วปิดประตูห้องคุมขัง กุญแจเหล็กลั่นดังกริ๊ก
“ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่าการตายทั้งเป็นในนรกขุมที่สิบแปดที่แท้แล้วรสชาติเป็นอย่างไร”
เสียงฝีเท้าลู่หย่วนค่อยๆ ห่างออกไป บุรุษผู้นั้นนั่งแน่นิ่งราวกับเป็นอัมพาตอยู่บนพื้น แววตาไร้ซึ่งความหวัง
ในความมืดภายใต้ชุดแต่งงานสีแดงสดของลู่หย่วน แผลที่มือยังคงมีเลือดไหลอาบชายแขนเสื้อให้เป็นสีแดง ขับย้อมให้ใบหน้าที่งดงามของเขาดูบ้าคลั่งและชั่วร้ายยิ่งขึ้น เหมือนอย่างขุนนางผู้พิพากษา และคล้ายกับอสูรร้าย
4
ครึ่งชั่วยามให้หลัง ฤกษ์มงคลมาถึงแล้ว
ระหว่างที่ฝูงชนพูดคุยกันไป ลู่หย่วนที่สวมชุดแต่งงานสีแดงสดก็ออกเดินทางตรงมาจากจวนว่าการเมืองเจียงตู ขี่ม้าตัวสูงใหญ่มุ่งหน้าไปยังจวนสกุลซย่าด้วยความฮึกเหิมเปี่ยมพลัง เขามองไปรอบข้างอย่างสงบสุขุม นั่งตัวตรง คิ้วตาชัดเจน ดั้งจมูกสูงโด่ง รูปลักษณ์ผสมระหว่างจุดเด่นของชาวจงหยวนกับชาวโม่เป่ยนี้ แม้ไม่สวมชุดแดงก็ดูสะดุดตาท่ามกลางฝูงชน บรรดาหญิงสาวที่มามุงดูอดทอดถอนใจเบาๆ ไม่ได้ ช่างเป็นบุรุษที่รูปงามเสียจริง ทั้งยังสูงส่งหาตัวจับยาก ยังเยาว์วัยและสูงศักดิ์ ราวกับไม่มีอยู่จริงบนโลกมนุษย์ เสียดายที่คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ รูปลักษณ์ภายนอกยิ่งหล่อเหลาปานใด น่ากลัวว่าจิตใจจะยิ่งอำมหิตไปด้วยปานนั้น
ยามโพล้เพล้ บรรดาแขกเหรื่อในงานเลี้ยงนั่งเก้าอี้ยังไม่ทันอุ่นก็ถูกเชิญให้กลับบ้าน ลานหลังบ้านจึงเหลือเพียงผ้าแพรต่วนสีแดงสดที่ว่างเปล่ากับโคมไฟกระดาษสีชาดแขวนไว้ตามคานห้องแกว่งไกวอย่างสงบเสงี่ยม คั่นจากลานหลังบ้านด้วยทะเลสาบ ในศาลาฝั่งตรงข้ามกับสวนดอกไม้ยังคงมีการขับร้องละคร
เจ้าบ่าวลู่หย่วนสวมชุดพิธีการสีแดงสด จอนผมดำขลับกับใบหน้าแดงปลั่ง นั่งตัวตรงดื่มสุราที่ฝั่งตรงข้าม รูปงามกว่าตัวพระหนุ่ม ในละครเสียอีก
คณะละครแสดงเรื่อง ‘ศาลาขอจันทร์’ เล่าเรื่องของชายหญิงคู่หนึ่งในสมัยกลียุคที่มาหลบฝนใต้หลังคา ภายหลังก็ตัดสินใจจะอยู่กินกันฉันสามีภรรยาโดยไม่ได้บอกครอบครัว มือซ้ายของลู่หย่วนถือจอกสุรา มือขวาซ่อนอยู่ในช่องแขนเสื้อ ชายแขนเสื้อมีคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนจากตอนที่อยู่ในคุกหลวงเมื่อครู่ผสมกับสีชุดแต่งงานกลายเป็นสีแดงเลือดหมู
แสงสายัณห์สุดท้ายเลือนหายไป ตัวพระหนุ่มกับตัวนางชุดคราม โอบกอดกันและค่อยๆ ถอยออกจากฉากไป
ลู่หย่วนเงยหน้าขึ้น ดื่มสุราหยดสุดท้ายในจอก แล้วลุกขึ้นเดินไปที่โถงด้านหลัง
เทียนแดงในโถงด้านหลังสว่างอย่างยิ่ง ลู่หย่วนก้าวเดินอย่างเชื่องช้า
ที่วัดโบราณเมื่อคืนนี้เขามึนหัวเล็กน้อย เห็นนางเดินตัดแสงเข้ามาในวิหารพระ รองเท้าปักลายดอกไม้ เครื่องประดับห้อยทอง ทั้งตัวสวมชุดอย่างหญิงสาวสูงศักดิ์ทั่วไป ถ้าก่อนหน้าวันนั้นไม่ได้บังเอิญเห็นนางใส่ชุดเก่าขาดคร่ำคร่า แต่งกายเป็นบุรุษต่อรองราคากับคนที่ข้างถนนอย่างช่ำชองราวกับอันธพาลข้างทาง เขาคงเชื่อจริงๆ ว่าซย่าชิงยวนใช้ชีวิตในเจียงตูสุขสบายดี ดังคำกล่าวว่าใจขลาดเขลาเมื่อใกล้ภูมิลำเนา เขานึกไม่ถึงเลยว่าซย่าชิงยวนจะลืมเขาไปจนหมดสิ้น ไม่เหลือแม้แต่โอกาสให้เขาได้ขลาดกลัว สิ่งที่เคยคิดไว้ว่าเป็นวาสนาดีงาม มาตอนนี้กลับกลายเป็นการบีบบังคับ จู่ๆ เขาพลันปวดศีรษะขึ้นมา เขากุมศีรษะนึกถึงภาพในอดีตขึ้นมาทีละฉาก
เกสรดอกไม้ที่ไหวระริก ปลายผมที่ชื้นเหงื่อของหญิงสาว เสียงจักจั่นร้องที่นอกหน้าต่างในเทศกาลต้นฤดูร้อน กระดาษที่เขียนตัวอักษรไว้ครึ่งหนึ่งถูกปัดตกพื้นส่งเสียงดังแควก กระดาษนั้นฉีกขาดแล้ว…
นางควบม้าข้ามผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน ยื่นมือมาทางเขา ฉุดดึงเขาออกจากความตาย
นางส่งลูกแมวให้เขาอุ้ม บอกว่าต่อจากนี้ก็มีคนในครอบครัวแล้ว
นางยื่นกิ่งดอกท้อที่มีน้ำค้างจับส่งให้เขา บอกว่าคนที่นางชอบมาตลอดก็คือเขา
ภาพเลือนหายไปทีละฉาก เขาตกลงสู่ความมืดมนอนธการไร้ที่สิ้นสุดอีกครั้ง บนพื้นหิมะที่เหน็บหนาวเข้ากระดูก เขาย่ำเข้าไปในเมืองร้างตามลำพัง หัวเข่าชาจนไม่เหลือความรู้สึก ในความรับรู้เพียงหนึ่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ เขานึกถึงความสว่างสดใสของฤดูใบไม้ผลิที่เมืองหลวง นึกถึงใบหน้าเจือรอยยิ้มของนาง ดังนั้นจึงขบฟันดึงขาออกมาจากพื้นหิมะ ตะเกียกตะกายขยับร่างกายส่วนที่เหลือลากมาถึงหน้าประตูเมืองในที่สุด ประตูเปิดเสียงดังเอี๊ยด ภายในเมืองเต็มไปด้วยซากศพ เขามองไปรอบๆ ร้องตะโกนเรียกชื่อนาง แต่ไม่มีใครขานรับ
ที่แท้สิ่งที่เรียกว่านรกอเวจีก็เป็นแค่เมืองร้างแห่งหนึ่งเท่านั้นเอง
ความทรงจำพลัดกระจายไป ลู่หย่วนรวบรวมเรี่ยวแรงสงบสติอารมณ์ ก้าวยาวๆ ออกเดินไปยังห้องที่มีเทียนไขแดงจุดอยู่
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 2 พ.ย. 67
Comments
comments
No tags for this post.