บทที่ 2-4 สามีภรรยาปลอม
6
บนหอทองล่วงเข้ากลางคืนแล้ว รอบด้านล้วนจุดโคมไฟ เปลวไฟลุกโชติช่วง
ในมุมที่ซย่าชิงยวนนั่งอยู่นางสามารถมองเห็นสันกรามและกระดูกไหปลาร้าที่เชื่อมต่อกันเป็นลายเส้นพู่กันที่ลากขึ้นลงชัดเจนของลู่หย่วนได้พอดี เหมือนดั่งขุนเขาลำน้ำหนักแน่นที่นางเคยคัดลอก แววตาเขาดูถือดี พูดง่ายๆ ก็คือยั่วโมโห
ซย่าชิงยวนเท้าคางนึก เมื่อก่อนลู่หย่วนคงไม่ค่อยถูกคนลงไม้ลงมือเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นคลุกคลีอยู่ในโลกภายนอกมานานเพียงนี้ จะมีสภาพเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
หานซูนั่งอยู่ในที่สว่าง นางนั่งอยู่ในที่มืด ลู่หย่วนเปลี่ยนมุมโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง บังนางไว้จากสายตาของหานซูได้อย่างน่าอัศจรรย์ นางเพิ่งสังเกตเป็นครั้งแรกว่าไหล่ของลู่หย่วนกว้างจริงๆ
หานซูก็ทำเป็นมองไม่เห็นการกระทำเล็กๆ ของเขา หลังดื่มสุราไปก็โบกมือเรียกบริวารมากระซิบอยู่สองสามคำ จากนั้นก็มีหญิงงามที่รูปโฉมแตกต่างกันไปเดินออกมาจากหลังฉากกั้น ย่อมเป็นคนที่โดดเด่นของหอเทียนเซียง
“ดึกแล้ว ขอให้สาวงามทุกท่าน…ประคองแขกผู้มีเกียรติไปพักผ่อนเถอะ” หานซูเอ่ยขึ้น
หลังหญิงงามเหล่านั้นรับคำก็แยกย้ายไป มีอยู่หลายคนในนั้นที่จับจ้องไม่วางตาเดินมาทางที่นั่งของลู่หย่วน
สัญญาณเตือนในใจของซย่าชิงยวนร้องขึ้น แต่ลู่หย่วนบีบเอวของนางเงียบๆ แล้วส่งสายตาให้นาง
“พระเก้าพันปี คืนนี้ผู้น้อยมีภรรยาคนงามอยู่ข้างกาย พาสาวงามกลับไปด้วยเกรงว่าจะไม่เหมาะ”
หานซูกุมจอกสุราไว้ มองซย่าชิงยวนแล้วก็มองลู่หย่วน สายตานั้นแทบจะเขียนคำว่า ‘ข้าจะดูว่าพวกเจ้าจะเล่นละครตบตาไปถึงเมื่อไร’ ไว้บนใบหน้า
ซย่าชิงยวนลอบด่าทอในใจ อ้อ จิ้งจอกเฒ่า ที่แท้ก็ลองใจนี่เอง
เห็นได้ชัดว่าจุดเริ่มต้นของหายนะในปีนั้นมีหานซูเป็นต้นเหตุ มาวันนี้ลู่หย่วนงมเข็มในมหาสมุทรตามหานางจนเจอ แล้วยังประกาศเสียใหญ่โตว่าแต่งงานกับนาง การกระทำเหล่านี้ไม่ต่างอะไรจากการเปิดศึกกับหานซู แม้ว่าลู่หย่วนในตอนนี้จะมีฮ่องเต้หนุนหลัง แต่ถ้าหานซูเอาจริงกับเขาขึ้นมา จะบี้เขาให้ตายก็ไม่ต่างอะไรจากบี้มดตัวหนึ่ง
“ต่อให้ผู้น้อยยินยอม…” เขาชะงักไปแล้วพูดต่อ “เกรงว่ายวนเอ๋อร์ก็คงไม่ยินยอม”
คำว่า ‘ยวนเอ๋อร์’ ที่แสดงถึงความสนิทสนมนี้ทำเอาซย่าชิงยวนอึ้งงันจนตอบสนองไม่ทัน รอจนนางตอบสนองได้แล้วก็อดสั่นสะท้านเพราะความเลี่ยนเอียนไม่ได้ นางหันไปมองลู่หย่วนอย่างตกตะลึง
เขาก้มลงมาที่ข้างหูนาง กล่าวถ้อยคำอ่อนหวานรื่นหู “ใช่หรือไม่ ยวนเอ๋อร์” แล้วก็เสริมด้วยเสียงอันเบา “ช่วยคล้อยตามที เบี้ยหวัดเดือนนี้เพิ่มให้เจ้าเป็นสองเท่า”
ซย่าชิงยวนถูกยุจนฮึกเหิมในพริบตา ดวงตาทอประกาย ตัวอ่อนปวกเปียกซบลงกับไหล่ของลู่หย่วน ทำราวกับคุณหนูสูงศักดิ์ที่ถูกตามใจจนเคยตัว น้ำเสียงที่พูดเปลี่ยนเป็นตัดพ้อน้อยใจ “ใช่แล้ว พระเก้าพันปี การพรากจากชั่วครู่แล้วพบพานนั้นหอมหวานกว่าวิวาห์ใหม่ ข้าน้อยคิดถึงใต้เท้าลู่จริงๆ จะทนแบ่งใต้เท้าลู่ให้กับผู้อื่นได้อย่างไร” กล่าวจบนางก็ฝังหน้าเข้ากับคอของลู่หย่วนแล้วซุกไซ้ด้วยความใจกล้า
ลู่หย่วนเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนมือที่กุมเอวนางอยู่จะกระชับขึ้น ทำเสียนางตกใจจนเหงื่อซึมหลัง
หานซูมองพวกเขาอย่างนึกสนุกอยู่สักพัก ซย่าชิงยวนแสดงต่อไปไม่ไหวแล้ว เลยแกล้งตายฝังหน้าลงกับไหล่ลู่หย่วน ดูไปกลับคล้ายนกน้อยต้องการที่พักพิง
“ได้ ในเมื่อฮูหยินไม่ยินยอม ผู้แซ่หานก็ไม่พรากรักของผู้อื่น เช่นนั้นให้คนไปส่งใต้เท้าลู่กับฮูหยินกลับจวนแล้วกัน ทว่าอย่างไรหญิงงามเหล่านี้ก็มอบให้ใต้เท้าลู่แล้ว หวังว่าใต้เท้าลู่จะรับไมตรีจากข้าผู้แซ่หาน”
ลู่หย่วนไม่ตอบคำใด เพียงอุ้มซย่าชิงยวนขึ้น ยิ้มและเปลี่ยนบทสนทนา “ฮูหยินเมาแล้ว โปรดอภัยที่ข้าน้อยต้องลากลับก่อน”
หานซูพยักหน้า โบกมือเป็นเชิงส่งแขก
ลู่หย่วนจึงอุ้มนางเดินออกจากโถงใหญ่ไปท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย
เขาอุ้มนางเดินออกจากหอทอง แต่ไม่ได้ปล่อยลงทันที ยังคงเดินลงบันไดที่แกะสลักลวดลายซับซ้อนไปทีละก้าว
ซย่าชิงยวนเร่งเขาเบาๆ “ใต้เท้าลู่ ปล่อยข้าลง”
ใบหน้าด้านข้างของเขาดูงดงามเป็นพิเศษใต้แสงโคมไฟ
ซย่าชิงยวนนึกในใจ ตั้งสติหน่อย กำลังแสดงละครๆ
“เมื่อครู่เจ้าเดินขึ้นหอสิบชั้นมาเองหรือ”
ซย่าชิงยวนมองลงไปข้างล่าง พริบตานั้นความเย็นวาบก็ผุดขึ้นในใจ หอเทียนเซียงนี่สร้างไว้สูงเกินไปแล้ว
เมื่อมองจากตรงนี้ลงไป แขกที่เดินไปมาในชั้นล่างสุดตัวเล็กเท่ามด ซย่าชิงยวนไม่รู้ว่าในตอนแรกตนเดินขึ้นมารวดเดียวได้อย่างไร นางสูดหายใจเข้า เอ่ยอย่างสับสน “ไม่อย่างนั้นจะให้ข้าทำเช่นไรเล่า”
เขาไม่สนใจนางและเดินลงไปข้างล่างต่อ เดินไปหลายขั้นแล้วถึงเอ่ยขึ้นว่า “คืนนี้เจ้ามาหาข้าด้วยเหตุใด”
“มีคนบอกว่าท่านอยู่ที่หอเทียนเซียง ซ้ำพระเก้าพันปีก็อยู่ด้วย ข้าเลยมา” ซย่าชิงยวนกล่าวจบก็เสียใจภายหลัง รู้สึกว่าคำพูดนี้จะทำให้คนเข้าใจผิดเปล่าๆ คิดไปว่านางกับเขามีอะไรบางอย่าง
“มีคนบอกเจ้า เจ้าก็เชื่อหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าทั้งหอเทียนเซียงมีแต่สายของคนแซ่หาน” เขาเหมือนจะเคืองขึ้นมาแล้ว
นางก็ชักเคืองเหมือนกัน “แต่ถ้าเกิดเรื่องเล่า ถ้าเกิดท่าน…ถ้าเกิดท่านตาย ข้าก็เสียใจนะ”
กว่าซย่าชิงยวนจะรู้สึกว่าคำพูดนี้ชักจะล้ำเส้นก็ได้พูดออกไปแล้ว
เมื่อนางกล่าวจบ เขาพลันหยุดฝีเท้า แล้วก้มลงจุมพิตนางที่กลางหอเทียนเซียงอันสว่างไสว บนขั้นบันไดที่สลักเสลาอย่างวิจิตร ใต้แสงโคมแดงชาดที่ทุกผู้คนล้วนมองเห็น เขาเพียงแตะที่ริมฝีปาก
ก่อนหน้าที่วัดโบราณใช่จะไม่เคยทำ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน นางบอกไม่ได้ว่าไม่เหมือนกันอย่างไร เพียงแต่ในชั่วเวลานี้นางขยุ้มเสื้อเขาแน่น ใจเต้นอย่างไม่อาจควบคุม นางเห็นขนตายาวของเขากะพริบเบาๆ แววตาเขาดูลนลานไปชั่วขณะ แล้วผละริมฝีปากออกจากนางทันที
7
“หะ…เหตุใดท่านถึงทำเช่นนี้” ซย่าชิงยวนกำสาบเสื้อลู่หย่วนไว้ไม่ปล่อย
“อย่าว่อกแว่ก มีคนกำลังดูอยู่” เขาตีหน้าขรึม แต่สายตากลับมองไปบนหอ พยักหน้าและแย้มยิ้ม
เมื่อมองตามสายตาเขาไปนางเห็นพระเก้าพันปียืนอยู่ที่ริมขอบราวกั้นหอด้านบน สีหน้าเบิกบานอย่างได้ชมดูความสนุก
“ใต้เท้าลู่ ครั้งหน้าจะแสดงละครช่วยบอกข้าก่อนด้วย ข้าจะได้…” ในใจนางครู่หนึ่งก็โล่งใจ อีกครู่หนึ่งก็ผิดหวัง
“เจ้าจะได้อะไร” เขามองพระเก้าพันปีเดินออกห่างจากราวกั้นไป ค่อยหันกลับมามองนาง รอยยิ้มบนใบหน้ายังไม่จางหาย และส่อแววกรุ้มกริ่มเล็กน้อย
“ข้าจะได้ไม่ออกนอกการแสดง ทำใต้เท้าลู่เหนื่อยเปล่า” นางกลอกตาใส่ลู่หย่วน ดิ้นลงมาจากตัวเขา ใครจะนึกว่านางแค่ลงมายืนก็ซวนเซจนเกือบล้มลง ดีที่เขาตาไวมือไวคว้าแขนดึงนางกลับมาได้ นางคว้าสาบเสื้อเขาอย่างลืมตัว ก่อนจะได้ยินเสียงผ้าขาด ชุดผ้าแพรต่วนสีแดงเข้มที่ลู่หย่วนใส่ในวันนี้ถูกดึงขาดออกเป็นทาง เผยให้เห็นเสื้อตัวในและกระดูกไหปลาร้าวับๆ แวมๆ
ฝูงชนที่มุงดูอยู่โดยรอบต่างทำเสียงจุปาก
หลังได้ยินเสียงลู่หย่วนขบกราม ซย่าชิงยวนก็ปิดตาอย่างสิ้นหวัง “ขะ…ขะ…ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ”
แต่สิ่งที่เหนือความคาดคิดนางก็คือต่อจากนั้นตัวนางก็เบาหวิว และถูกอุ้มขึ้นอีกครั้ง
“บังไว้”
ซย่าชิงยวนทำเรื่องน่าอับอาย ย่อมต้องทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายแต่โดยดี นางยื่นมือออกไปช่วยปิดสาบเสื้อที่ถูกดึงออกมาของเขา ดูแล้วเหมือนกับกำลังโอบรอบไหล่เขาอย่างเป็นธรรมชาติ
คล้ายว่าลู่หย่วนจะพอใจกับการกระทำของนาง เขาอุ้มนางลงจากหอไป ฝีเท้าเบาราวกับเหาะเหิน จนเมื่อออกจากประตูใหญ่หอเทียนเซียงมาแล้วบนใบหน้าก็ยังไม่มีเหงื่อผุดแม้สักเม็ด ช่างแข็งแรงจนน่าตกใจจริงๆ
“ใต้เท้าลู่ กำลังวังชาท่านไม่เลวเลย” ซย่าชิงยวนแหย่เขาอย่างคนไม่กลัวตาย
รถม้าจอดอยู่นอกประตู บ่าวรับใช้รออยู่ตรงนั้นมานานแล้ว ลู่หย่วนไม่สนใจการเย้าแหย่จากนาง อุ้มนางเข้าไปในรถไม่ว่อกแว่ก หลังปิดม่านรถลงอย่างระมัดระวังแล้วถึงหันมาคิดบัญชีกับนาง ใบหน้ายังคงยิ้มละไม
“เมื่อครู่นี้เจ้าว่าอย่างไรนะ”
“ไม่มีอะไร…แล้วเหตุใดพระเก้าพันปีถึงเชิญท่านไปดื่มที่หอเทียนเซียง คงไม่ใช่แค่จะมอบหญิงงามให้ท่านจริงๆ หรอกกระมัง”
ตอนนี้เขานั่งห่างจากนางราวกับกลัวว่านางจะเอาเปรียบเขา จัดสาบเสื้อที่ยับยู่ยี่ให้เรียบร้อย เริ่มหลับตาสงบสติอารมณ์
“เขาทำไปเพราะอยากเจอเจ้า”
“เจอข้า?”
“เขากักข้าไว้ที่หอเทียนเซียง ดื่มสุราเป็นเวลาสามวันเพราะเดิมพันว่าเจ้าจะต้องมา เขาคงได้ยินข่าวคราว รู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ จึงตั้งใจสร้างสถานการณ์” ลู่หย่วนมุ่นคิ้วเล็กน้อย แววตาคลายความระวังอย่างยากจะมี ราวกับพยัคฆ์ร้ายหวนคืนรัง
“ยังดีที่เจ้าแสดงได้สมจริง เขาได้เห็นกับตาว่าเจ้าจดจำเรื่องเมื่อก่อนไม่ได้และไม่มีเจตนาจะแก้แค้น บางที…เขาอาจระแวงพวกเราน้อยลง”
เมื่อได้ยินเขาพูดคำว่า ‘พวกเรา’ ซย่าชิงยวนค่อยตระหนักได้ว่าเขาอาจไม่ได้หลับตาลงมาสามวันแล้ว บนตัวมีกลิ่นสุราคละคลุ้ง เป็นสุราเกสรดอกไม้ของหอเทียนเซียง กลิ่นไม่ได้ฉุนมาก แต่ออกฤทธิ์ไล่หลังรุนแรง
“แล้วถ้าข้าไม่ไปเล่า”
“ถ้าเจ้าไม่มา…ก็ไม่มีอะไร เขาจะจัดห้องนอนไว้ให้ข้า เลือกหญิงงามที่ไว้ใจได้จำนวนหนึ่งมาปรนนิบัติข้าเข้านอน” ลู่หย่วนเล่าเรียบๆ พูดจบก็ลอบมองนางปราดหนึ่ง
ในวันนี้วันเดียวใจนางเดี๋ยวโจนขึ้นเดี๋ยวร่วงลง มาตอนนี้ก็หล่นลงไปถึงจุดต่ำสุด หัวเราะเยาะหยันตนเอง “ตอนแรกข้านึกไว้แล้วว่าท่านจะไม่เหมือน แล้วข้าก็ดูไม่ผิดจริงๆ ใต้เท้าลู่เป็นคนที่แตกต่างจากพวกเขา”
“พวกเขาอย่างนั้นหรือ” ลู่หย่วนไม่เข้าใจ
“พวกที่เห็นคนเป็นผักหญ้า รับเบี้ยหวัดเสียเปล่า กินอิ่มหนำสำราญตลอดวัน พูดจาสวยหรูเสแสร้งเมตตา” นางหันไปมองนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์กลางคืนมืดทึบ นอกหอเทียนเซียงมีฝูงชนล้นหลาม
“หนอนชอนไชแว่นแคว้น” ลู่หย่วนยิ้ม ต่อคำพูดที่ซย่าชิงยวนยังกล่าวไม่จบออกมา
บทที่ 2-5 สามีภรรยาปลอม
8
ซย่าชิงยวนมองลู่หย่วนแล้วหลับตาลง สติหลุดไปชั่ววูบ ในความสลัวนางนึกถึงเงาคนผู้หนึ่งจากส่วนลึกของความทรงจำ สวมชุดม่วงคาดแดง ใบหน้าคมเข้ม นั่งตัวตรงแหน็วอยู่ในห้องโถงหลัก เบื้องหน้ามีดาบวางอยู่เล่มหนึ่ง ฝักดาบทำจากทองคำบริสุทธิ์ วาดเป็นลายมังกร ลมหอบใหญ่กวาดใบไม้แห้งบนพื้น บุรุษผู้นั้นมองซย่าชิงยวนในวัยเยาว์ด้วยดวงตาอ่อนโยน
‘อำนาจทั่วแผ่นดินไปรวมอยู่ที่เสนาบดีฝ่ายซ้าย รับเบี้ยหวัดเสียเปล่า สามกรมล้วนไร้ประโยชน์ หากต้องมีคนสละชีพเพื่อเตือนสติคนในแผ่นดิน ขอให้เริ่มที่ตัวข้าก่อน’
ซย่าชิงยวนในวัยเด็กไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของบิดา เพียงรู้สึกโศกเศร้า มาตอนนี้นางไม่เพียงจำได้ แต่ยังเข้าใจนัยความหมายจากคำพูดของบิดาอย่างครบถ้วน ตามติดด้วยความเจ็บปวดกรีดกระชากที่ท่วมทะลัก ปวดชนิดที่นางจะยืนให้มั่นยังทำไม่ได้ ในความมืดสลัวมีคนประคองนางไว้ นางลืมตาขึ้น สิ่งที่ประจักษ์ในสายตาคือใบหน้าลู่หย่วน ตัวนางกำลังคว้าแขนเสื้อเขาแน่นไม่ยอมปล่อย ราวกับว่านั่นคือฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้าย
“เมื่อครู่เจ้านึกถึงอะไรบางอย่างได้ใช่หรือไม่” แววกังวลในดวงตาลู่หย่วนกลับไม่ได้เสแสร้ง
“ปะ…เปล่า แค่ปวดศีรษะนิดหน่อย” เมื่อนางได้สติกลับคืนก็ปล่อยเขาทันที
“ใต้เท้า ฮูหยิน ถึงจวนแล้วขอรับ”
เสียงตะโกนจากนอกรถดังถูกเวลาพอดี ขัดบทสนทนาของทั้งสอง ลู่หย่วนอุ้มนางลงจากรถโดยไม่ต้องคิด ทำราวกับนางไม่มีขาเสียอย่างนั้น ที่ทำให้นางยิ่งทำอะไรไม่ถูกก็คือ…ลู่หย่วนเหมือนจะอุ้มนางเดินไปทางห้องนอน
“ทะ…ท่านทำอะไร” ซย่าชิงยวนขัดขืนจะกระโดดลงมา เวลานี้หลังออกมาจากหอเทียนเซียงที่หอมตลบอบอวลแล้ว นางค่อยรู้สึกว่าที่จริงลู่หย่วนดื่มมากไป เมื่อครู่ก็แค่ฝืนทำเป็นมีสติสัมปชัญญะ เขาไม่ปล่อยมือ เพียงก้มมองนางแวบหนึ่ง ในดวงตาซ่อนนัยเอาไว้มากเหลือเกิน เช่นเดียวกับจุมพิตที่ทำให้นางใจเต้นรัวเร็วที่หอทอง
“ตะ…ใต้เท้าลู่ ท่านรีบวางข้าลง” พอเข้าใกล้ห้องนอนมากขึ้นเรื่อยๆ นางก็ร้อนใจ “ถ้ายังไม่ปล่อย ข้าจะกัดท่านแล้วนะ!”
ลู่หย่วนหยุดมองนาง “เจ้ากัดสิ ทว่ามีคนมากมายกำลังมองอยู่นะ”
เวลานี้นางค่อยมองตามหางตาของเขา พบว่ากลางห้องโถงที่เคยว่างเปล่า…มีหญิงงามยืนอยู่แถวหนึ่ง
มวลบุปผาตระการตา ต่างงดงามในแบบของตนเอง
ซย่าชิงยวนนิ่งตะลึง “เมื่อครู่นี้พระเก้าพันปี…”
ลู่หย่วนไม่หยุดฝีเท้า เพียงผงกศีรษะเล็กน้อย บอกว่านางพูดถูก “เจ้านึกว่าออกมาจากหอเทียนเซียงแล้วละครบทนี้จะจบอย่างนั้นหรือ”
จากนั้นเขาก็ก้าวยาวๆ เดินเข้าไปในห้องนอน ปิดประตูเสียงดังปัง หาชุดจุดไฟมาจุดโคมแต่ละดวงภายในห้องให้สว่าง เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกการกระทำและคำพูดของคนในห้องก็จะขยายฉายเป็นเงาบนหน้าต่างปิดกระดาษ ให้รายละเอียดปรากฏ
ขั้นตอนตรงนี้เป็นไปอย่างราบรื่น เท้านางเพิ่งจะแตะพื้น ลู่หย่วนก็เริ่มเปลื้องเสื้อผ้า
“เดี๋ยวก่อน! ใต้เท้าลู่ ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้นะ รีบใส่กลับเข้าไป ใส่เข้าไปเดี๋ยวนี้!”
เขากางมือออก “เจ้าจะช่วยข้าถอดหรือ”
นางลดเสียงลง ใช้รูปปากถามเขา “เราต้องเล่นละครกันถึงขั้นนี้เชียวหรือ”
ลู่หย่วนคว้าตัวนางเข้ามาใกล้ แล้วจับมือนางวางลงบนเข็มขัดเขา “หากวันหน้าเจ้าไม่อยากให้มีหญิงงามสิบสองนางอยู่ในบ้านเรียกขานเป็นพี่สาวน้องสาว คอยจับตาทุกการกระทำของเจ้ากับข้านำไปรายงานพระเก้าพันปี คืนนี้ก็ขอเบียดเบียนเจ้า…ให้แสดงบทสามีภรรยาที่รักใคร่กันให้ถึงที่สุด”
นางรวบรวมจิตใจก่อนพยักหน้า เริ่มช่วยเขาปลดเข็มขัด ช่วยไม่ได้ที่เข็มขัดมีความซับซ้อนจริงๆ นางง่วนกับการปลดไปพักใหญ่ก็หาตำแหน่งหัวเข็มขัดไม่เจอสักที
ลู่หย่วนเงยหน้าขึ้น ปล่อยให้นางคลำเปะปะ เส้นผมที่หน้าผากถูไถกับซอกคอเขา ทันใดนั้นนัยน์ตาเขาก็หด กระแอมอย่างไม่เป็นธรรมชาติแล้วคว้ามือนางไว้ “นี่เจ้าคลำไปถึงที่ใดแล้ว”
9
ตั้งแต่กลับมาจากหอเทียนเซียง ซย่าชิงยวนก็ประหม่าอย่างบอกไม่ถูกมาตลอด ไม่รู้จริงๆ ว่ามือวางอยู่ตรงส่วนใด ยามนี้ลู่หย่วนก้มลงมาถามนาง ซย่าชิงยวนค่อยร้อง “อ๊า…” ขึ้นอย่างความรู้สึกช้า แล้วก็ร้อง “อื้อ…” จากนั้นก็ร้อง “อา…” จากนั้นถึงจะปล่อยมือออก ใบหน้านางแดงจนร้อนลวก ลนลานเอนไปด้านหลัง ทว่านึกไม่ถึงว่าเส้นผมจะบังเอิญเกี่ยวเข้ากับหัวเข็มขัดที่ง้างออกครึ่งหนึ่งของเขาในเวลานี้ นางกรีดร้องอย่างเจ็บปวด แล้วก็ถูกดึงกลับไปซบกับอกเขา
ลู่หย่วนก้มลงมาใช้แขนรัดรอบตัวนางอย่างไม่สบอารมณ์ ออกแรงดึงผมปอยนั้นออก
“เจ็บๆๆ! ท่านเบาๆ หน่อย โอ๊ย!”
“ถ้าเจ้าไม่รีบหนีไปเมื่อครู่ ตอนนี้จะเจ็บเช่นนี้หรือ”
“ถ้าข้าไม่รีบหนี จุดจบจะยิ่งแย่ไปกว่านี้อีก โอ๊ย…ท่านเบาๆ”
“อย่าร้อง จะเสร็จแล้ว”
“ช้าหน่อย! ท่านจะออกแรงเยอะเพียงนั้นไปเพื่ออันใด!”
“แล้วจะให้ทำอย่างไร เจ้าอยากให้ยืดเยื้อไปกว่านี้หรือ”
กว่าจะแกะเส้นผมที่โชคร้ายปอยนั้นออกจากเข็มขัดได้ ทั้งสองค่อยนึกขึ้นได้ทีหลังว่านอกประตูมีคนอยู่และมีอยู่ไม่น้อย แต่มาตอนนี้หญิงงามที่นอกประตูหายวับไปจนหมด อย่างไรเสียเนื้อความในบทสนทนานี้ก็ออกจะ…เร้าใจไปหน่อย
ซย่าชิงยวนเงี่ยหูฟังอยู่ครู่หนึ่ง พบว่าคนข้างนอกได้แยกย้ายไปแล้วจริงๆ นางจึงหันมาหาลู่หย่วนและทำปากพะเยิบพะยาบอย่างอัศจรรย์ระคนดีใจ “ไปกันหมดแล้วหรือ”
ลู่หย่วนเท้าแขนกับโต๊ะราวกับยังไม่อาจเอาชนะฤทธิ์สุรา เสื้อของเขาแบะออกครึ่งหนึ่ง เข็มขัดหลุดลุ่ย ยืนกุมหน้าผากสักพักค่อยส่ายศีรษะ “เจ้าไม่คิดดูล่ะว่าเมื่อครู่เราพูดอะไรไปบ้าง”
เปลวไฟจากเทียนส่งเสียงปะทุ แสงโคมสลัวส่องเค้าโครงหน้าลู่หย่วนให้ชัดเจน ยามมองนางสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ไร้ความรู้สึกแต่ก็มีความรู้สึก นางถูกรูปลักษณ์ของเขาสะกดเอาไว้อีกครั้ง ขณะวิญญาณหลุดลอย ค่อยตระหนักได้ว่าบทสนทนาเมื่อครู่ชวนให้ผู้อื่นเข้าใจผิดได้เพียงไร
ซย่าชิงยวนนึกในใจ ช่างเถอะ เรื่องที่พวกเราถูกผู้อื่นเข้าใจผิดไม่ได้มีแค่เรื่องนี้
“ดีเหมือนกัน วันนี้นับว่าข้ามีคุณงามความชอบ ใต้เท้าพักผ่อนเถอะ ข้าขอตัวกลับห้องไปนอนก่อน” นางหาวหวอดเตรียมผละจากไป ลู่หย่วนในวันนี้ดูแปลกไป นางรับมือไม่ถูกเลยจริงๆ
“ไป? ไปที่ใด” เขานั่งลงที่ข้างโต๊ะ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเมามาย
“กลับห้องตนเองอย่างไรเล่า” นางเอ่ยอย่างคนใจฝ่อ
เมื่อตอนที่ลู่หย่วนไม่อยู่ นางได้เลือกเรือนสะอาดหลังเล็กในจวนสกุลลู่ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว อยู่ตัวคนเดียวอย่างสงบเงียบ นางอยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
“ซย่าชิงยวน”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกชื่อนางอย่างจริงจัง ไม่ได้หยอกเย้า ไม่ได้ซักไซ้ เพียงแต่น้ำเสียงอ้างว้างอย่างยิ่ง ราวกับกำลังเรียกคนอีกคนที่ชื่อซย่าชิงยวน เขามองขึ้นมาที่นาง แววตาซับซ้อน บนบันไดหอเทียนเซียงเขาก็ใช้แววตาเช่นนี้มองนางอยู่ชั่วขณะ
“รินชาให้ข้าที ได้หรือไม่” เขาพิงโต๊ะหนังสือพลางเอ่ยเสียงเบายิ่ง ส่อแววความอ่อนแอให้เห็นอยู่รางๆ
ซย่าชิงยวนทนเห็นคนงามออดอ้อนไม่ได้เป็นที่สุด นางวิ่งอย่างกระฉับกระเฉงไปรินน้ำชามาให้เขาถ้วยหนึ่ง
ลู่หย่วนรับน้ำชาไปดื่มคำหนึ่ง จู่ๆ ก็ยิ้มขึ้นมา “จืดแล้ว”
“ท่านไม่ชอบรสจืดก็อย่าดื่ม” นางกลอกตาอย่างค่อนข้างเอาเรื่อง “ข้าไม่ใช่สาวใช้ของท่านเสียหน่อย”
“เจ้าย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว” ลู่หย่วนวางถ้วยชาแล้วยืนขึ้น เดินซวนเซไปที่ข้างเตียง ยามเดินเฉียดไหล่นางมือก็ลากผ่านนางเบาๆ
ระหว่างที่นิ้วเกี่ยวกัน จิตใจของนางแทบจะหวั่นไหวตามการสัมผัสนั้น แต่ลู่หย่วนชักมือกลับเสียก่อน พูดกับตนเองเบาๆ ว่า “เจ้าคือ…ยวนเอ๋อร์ของข้า”
ซย่าชิงยวนใจเต้นดังตึกตัก คนผู้นี้กล่าวคำพูดเหลวไหลอันใดกัน
นางเพิ่งนึกอยากถามเขา แต่ตัวต้นเรื่องก็แผ่ลงไปบนเตียง หลับไปทั้งชุดนั้น
บทที่ 2-6 สามีภรรยาปลอม
10
คืนวันนั้นในยามราตรีมืดมิด เมืองหลวงฝนตกหนัก
ศพของหญิงชุดแดงถูกคนชุดดำสองคนทิ้งลงบ่อน้ำ ฟ้าแลบขึ้นมา ส่องให้เห็นชั่วขณะที่หญิงสาวร่วงลงจากปากบ่อ คนชุดดำรีบร้อนจากไป รอยเลือดที่เหลืออยู่บนพื้นถูกพายุฝนชะล้างจนไร้ร่องรอย
ผ่านไปพักใหญ่เมื่อสายฟ้าฟาดผ่านท้องฟ้า จู่ๆ มือขาวซีดข้างหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาจากข้างบ่อน้ำ บนเล็บมีแต่รอยเลือด จากนั้นก็เป็นใบหน้าหนึ่ง หรือพูดให้ถูกก็คือเป็นหน้ากากอันหนึ่ง ไม้จวี่* สีขาวทาสีแดง สลักดวงตาคู่หนึ่งที่เหมือนจะร้องไห้ก็ไม่ใช่ เหมือนจะยิ้มก็ไม่เชิง มือที่ขาวซีดนั้นปลดหน้ากากลงช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่เละเทะมีเลือดอาบ
“เสาเย่าหยุดนะ!” บัณฑิตชุดขาวผวาตื่นจากความฝัน ผุดลุกพรวดขึ้นมานั่งบนเตียง แผ่นหลังอาบเหงื่อเปียกชุ่มโชก ในเตาหอมทองแดงข้างเตียงจุดกำยานก้อนเล็กเอาไว้ เผาไหม้จนเหลือแต่เถ้าแล้ว มีเพียงควันสีขาวม้วนเป็นเกลียว เขาพลิกตัวลงจากเตียงไปล้างหน้า พยายามทำให้ตนเองสงบลง แต่สองมือกลับยังคงสั่นระริก ห้องนอนเขาเล็กแคบแต่สะอาดสะอ้าน มีหนึ่งเตียง หนึ่งโต๊ะ กับอีกหนึ่งม้านั่ง
สีเขียวเข้มของไผ่เขียวนอกหน้าต่างแผ่ขยายออก เขาสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะหันเดินไปที่หัวเตียง ตรงนั้นแขวนหน้ากากอยู่อันหนึ่ง บนสีแดงชาดสลักลูกตาเรียวยาว เหมือนกับที่หญิงสาวที่ตายไปผู้นั้นสวมใส่ไม่มีผิด
ชายชุดขาวหยิบหน้ากากขึ้นมา ใส่เข้าไปในห่อผ้าสำหรับเดินทางแล้วเปิดประตูเดินออกไป นอกประตูคือแสงแดดเจิดจ้าไม่สิ้นสุด
11
ลู่หย่วนตื่นขึ้นมาในตอนเช้า พบว่าตนได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสะอาดแล้ว
ซย่าชิงยวนเลิกม่านประตูขึ้นเดินเข้ามา ในมือถือเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ตากแห้งเรียบร้อย ก่อนจะหันมองเขาปราดหนึ่ง “ตื่นแล้วหรือ ข้าจะออกไปทำธุระ บนโต๊ะมีโจ๊กและกับข้าว แล้วก็…ยาสร่างเมา”
ลู่หย่วนนวดหน้าผาก เอ่ยถามขึ้นอย่างจับจุดสำคัญได้แม่น “เมื่อคืน…ใครเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้า”
เริ่มแรกซย่าชิงยวนเดินไปถึงประตูแล้ว พอได้ยินคำพูดนี้พลันเปลี่ยนจากท่าทีเมื่อครู่ที่นอบน้อมเป็นโยนเสื้อผ้าในมือใส่หน้าเขาอย่างหยาบคาย “ท่านเปลี่ยนเอง!” แล้วรีบหมุนตัววิ่งจากไป
ลู่หย่วนถูกโยนเสื้อใส่หน้า แต่กลับอารมณ์ดีขึ้นมา เขาคลอเพลงออกจากจวนไปทำงาน
ทว่าบ่าวรับใช้กลับเอ่ยปากที่ด้านหลังเขาอย่างเห็นอกเห็นใจ “ใต้เท้า คราวหน้าจะดื่มหนักไม่ได้แล้วนะขอรับ”
ลู่หย่วนงงงัน “…”
“เมื่อวานใต้เท้าดื่มหนักไป ฮูหยินเรียกข้าน้อยให้ไปเปลี่ยนเสื้อให้ใต้เท้า ใต้เท้ากอดฮูหยินไว้ไม่ปล่อย ทั้งยังอาเจียนใส่ทั่วตัวฮูหยินอีก”
ลู่หย่วนแทบจะพูดอันใดไม่ออกไปชั่วขณะ “แล้ว…แล้วฮูหยินนางว่าอย่างไรบ้าง”
“ฮูหยินบอกว่านางต้องการเบี้ยหวัดเพิ่มขอรับ”
12
หลังผ่านความวุ่นวายที่หอเทียนเซียงมาแล้ว ซย่าชิงยวนก็พอทำความเข้าใจนิสัยบางอย่างของลู่หย่วนได้ คนผู้นี้แม้จะดูเอาแน่เอานอนไม่ได้ ทั้งบางครั้งยังชอบสัพยอกนาง แต่ก็ไม่เคยสร้างความลำบากให้นางจริงๆ ตรงกันข้ามตั้งแต่พวกเขาแต่งงานกันมา เขามีแต่จะใส่ใจนางมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ดีจนนางรู้สึกว่าตนเองเหมือนเป็นแกะที่ถูกขุนให้อ้วนเพื่อรอเชือด ไม่ก็เป็นพวกนกคีรีบูนในหนังสือนิยายที่ถูกเลี้ยงไว้ในส่วนลึกของคฤหาสน์ใหญ่ไว้ให้นายท่านหาความสำราญ
อย่างเช่นตอนนี้ นางมองดูโต๊ะที่มีผ้าพับใหม่ส่งมาจากชุมชนทอผ้าทางตอนเหนือของเมืองวางอยู่กับเครื่องประดับศีรษะเต็มโต๊ะ ล้วนเป็นลวดลายและเนื้อผ้าที่แปลกใหม่ที่สุดในเมืองหลวงแล้วก็อดหางตากระตุกไม่ได้
ลู่หย่วนคิดจะทำอะไร หรือว่าเล่นละครแล้วติดใจ เห็นนางเป็นภรรยาในเรือนหลังไปแล้วจริงๆ
แต่เมื่อใคร่ครวญโดยละเอียด ยามมีคนนอกอยู่ด้วย เขามักจะแสร้งสนิทสนมกับนางราวกับเป็นสามีภรรยาที่รักกันจริงๆ แต่เมื่อไม่มีใครเขากลับเรียบร้อยสำรวม นอกจากครั้งนั้นที่วัดโบราณก็ไม่ได้แตะต้องนางอีก
เมื่อนึกถึงเรื่องในคืนนั้นใจของนางก็เริ่มเต้นตึกตัก นางหยิบผ้าผืนหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาลูบ ผ้าไหมใหม่เนื้อเย็นเฉียบเหมือนกระบี่แหวกผ่านน้ำไหล นางแนบเนื้อผ้าลงบนหน้า พยายามลดความอุ่นร้อนบนใบหน้า
ลู่หย่วน…ที่แท้เขาเห็นนางเป็นของเล่นที่กลั่นแกล้งได้ตามอำเภอใจ บุตรีของตระกูลคู่แค้นที่สามารถใช้ประโยชน์ หรือว่า…คู่หูชั่วคราวที่เขาเกิดนึกสงสารเวทนาขึ้นมากันนะ
ซย่าชิงยวนถอนหายใจ วางผ้าผืนนั้นกลับลงไปในกล่องไม้จันทน์แดง เท้าเอวพลางส่ายหน้า “ซย่าชิงยวน เจ้าต้องสงบสติ บุรุษมีมากมาย แต่ชีวิตมีแค่ชีวิตเดียว”
“บุรุษมีมากมายอะไรกัน”
ทันใดนั้นเสียงของลู่หย่วนก็ดังมาจากหลังประตู ทำนางตกใจรีบปิดฝากล่องไม้จันทน์แดง เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเพื่อการค้า หันไปทักทายอย่างอบอุ่นเกินเหตุ
“อรุณสวัสดิ์ ใต้เท้าลู่”
“อรุณสวัสดิ์อะไรกัน นี่มันเลยเที่ยงวันมาแล้ว” ลู่หย่วนไม่ได้ก้าวเข้าไปในห้องของนาง เพียงแต่พิงประตูโน้มตัวเข้ามาพูดกับนาง มุมปากเจือรอยยิ้ม ทว่ายังคงใช้น้ำเสียงยียวน
“นี่ให้ข้าหรือ” นางชี้เครื่องประดับศีรษะกับของมีค่าที่ทำจากเงินและทอง เปลี่ยนหัวข้อเสียดื้อๆ
“อืม ให้เจ้า” เขาพิงกรอบประตูอย่างเกียจคร้าน หรี่ตามองนาง “ชอบหรือไม่”
คำพูดนี้กลับทำนางสะอึก หลังขบคิดอย่างหนักอยู่ครู่ใหญ่นางก็ส่ายหน้า “ความหวังดีจากใต้เท้าลู่ ข้าละอายใจที่จะรับ”
ดูเหมือนว่าเขาไม่แปลกใจเลยสักนิดต่อคำปฏิเสธของนาง ยังคงพิงกับกรอบประตู เพียงแต่หมุนตัวไปอีกทาง คล้ายว่ากำลังอาบแดด เสียงเยียบเย็นราวหิมะเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูซย่าอย่าได้คิดมาก วันนี้เจ้าเป็นฮูหยินของจวนเจิ้นกั๋วกง สิ่งของเหล่านี้ให้เจ้าใส่เวลาออกไปเข้าสังคมดื่มน้ำชา”
จากนั้นเขาก็ลืมตาพร้อมกล่าวต่อว่า “สายของคนแซ่หานทั่วทั้งราชสำนักกำลังจับตาดูทุกการกระทำของเจ้ากับข้า เรื่องครั้งก่อนคงเกิดขึ้นอีกหลายครั้งในวันหน้า”
“ได้ เช่นนั้นข้าจะรับไว้” นางตอบกลับเสียงราบเรียบ “ขอบคุณใต้เท้าลู่ที่ใส่ใจ”
“ข้าเดาขนาดชุดเอาเอง” เขาก้มหน้าลูบจมูก “ไม่รู้ว่าถูกต้องหรือไม่”
นางหน้าแดงขึ้นฉับพลัน คว้ากระบอกพู่กันไม้หนานบนโต๊ะเขวี้ยงใส่เขา
ลู่หย่วนแย้มยิ้มและยกมือขึ้นรับไว้มั่น “ตอนเย็นในวังมีงานเลี้ยง ฝ่าบาทเอ่ยชื่อเจ้าให้ไปเข้าร่วมพร้อมข้า”
“ฝ่าบาทหรือ” นางไม่เคยลืมคนที่เป็นต้นเหตุของความเปลี่ยนแปลงในวังครั้งนั้น…หลิวเสวียนหลี่ฮ่องเต้ของราชวงศ์ต้าลี่ ชีวิตครึ่งแรกเป็นวีรชนที่พิชิตใต้หล้าและยุติกลียุค ชีวิตครึ่งหลังเป็นทรราชที่พระราชทานโทษตายให้ขุนนางกับแม่ทัพที่จงรักภักดีกับมือตนเอง
“ใช่” เขากอดอกเดินเข้ามาในห้อง วางกระบอกพู่กันลงบนโต๊ะ ก้มหน้ามองนาง “เพียงแค่ต้องไปพบเขา เจ้าก็กลัวแล้วหรือ”
“คะ…ใครกลัวกันเล่า” เห็นเขาเดินเข้ามา แรงกดดันที่น่าสะพรึงก็ทำให้นางอดถอยไปก้าวหนึ่งไม่ได้
“ถ้าเจ้าไม่กลัว แล้วเหตุใดจึงเดินหลบข้า เจ้ากับข้าห่างเหินกันเช่นนี้ ช้าเร็วก็จะเผยพิรุธ”
ขณะมองซย่าชิงยวนดวงตาของลู่หย่วนมักมีรอยยิ้ม คงเพราะคิดว่านางน่าขัน นางรู้สึกปวดหนึบในใจพลางนึกว่าระหว่างทั้งสองมีความแค้นของตระกูลขวางกั้นอยู่ ลู่หย่วนยังจะถามอีกว่านางหลบอะไร บางทีอาจเป็นเพราะเขาไม่ได้ใส่ใจต่อเรื่องที่นางเก็บไว้ในใจเลยแม้แต่น้อย
นางนึกเช่นนี้ไปพลางนั่งลงที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ยิ้มให้กระจกทองแดง “นั่นสิ ข้าจะหลบไปไย ในเมื่อมาแล้วก็ต้องทำตาม รับเบี้ยหวัดแล้วก็ต้องแสดงเป็นลู่ฮูหยินแต่โดยดี”
พอกล่าวจบนางก็ส่งไต้เขียนคิ้วจากโต๊ะเครื่องแป้งใส่มือเขา กะพริบตาปริบๆ มองเขา “ชิงยวนแต่งงานเป็นครั้งแรก ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ต้องเรียนรู้ใหม่แต่ต้น หวังว่าใต้เท้าลู่จะไม่รังเกียจให้คำแนะนำสั่งสอน เริ่มต้นจาก…เขียนคิ้วเป็นอย่างไร”
ลู่หย่วนถือไต้เขียนคิ้วนิ่วหน้ามองนาง แต่ก็ชักช้าไม่ลงมือสักที นางส่องกระจกอย่างขาดความมั่นใจ “ทำไมหรือ วันนี้ข้าไม่สวยหรืออย่างไร”
เขาพลันจับไหล่ของนางจัดให้หันตรงกับตำแหน่งกระจกพอดี ทำให้นางมองไม่เห็นหน้าของเขา เพียงได้ยินเขาตอกกลับนางเสียงเรียบ “ก็ใช่น่ะสิ ฮูหยินของกั๋วกงเช่นเจ้ามีที่ใดกัน”
“ท่านไม่มองข้า จะเขียนได้อย่างไร” นางสงสัย ระหว่างที่หันไป นางก็ถูกลู่หย่วนใช้มือข้างหนึ่งปิดตาเอาไว้
“เช่นนี้ก็พอ” เสียงของเขาไม่สะทกสะท้าน “ไม่อย่างนั้น…ข้าจะเสียสมาธิ”
เขาใช้มือข้างหนึ่งปิดตานาง มืออีกข้างถือไต้เขียนคิ้ว วาดเส้นบางๆ บริเวณคิ้วของนาง
รอบด้านเงียบสงัดไร้เสียง ดังนั้นเสียงหายใจของทั้งสองจึงชัดเจนเป็นพิเศษ
“เสร็จหรือยัง” ซย่าชิงยวนอดเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้
“ใกล้แล้ว” ลู่หย่วนวาดเส้นสุดท้ายเสร็จก็ระบายลมหายใจยาวเหยียด ลดมือลงช้าๆ จับนางหันไปที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง “เจ้าดูเอาเอง”
ซย่าชิงยวนมองปราดเดียวก็หัวเราะลั่น “นี่คืออะไร ลู่หย่วน ท่านบอกข้าที ท่านวาดอะไรของท่าน”
นางชี้ที่คิ้วหนาเตอะของตน “นี่เหมือนจิ้งจอกขนร่วงจำแลงมาหรือไม่”
ลู่หย่วนถูกนางหยอกให้ขำก็หยิบผ้าขึ้นมาชุบน้ำจะเช็ดให้นาง นางหัวร่องอก่องอขิงตัวโยน ไม่ยอมให้เขาทำ
ทั้งสองหัวเราะสนุกสนานอยู่สักพัก ไม่รู้เหตุใดจึงกลายเป็นอยู่ในท่าที่นางถูกเขาจับกดกับโต๊ะ
ลู่หย่วนมือหนึ่งยันโต๊ะ อีกมือหนึ่งประคองเอวซย่าชิงยวน ส่วนสองมือนางก็เท้าไปข้างหลังเพื่อยันโต๊ะ นางเงยหน้ามองเขา จากนั้นเป็นลู่หย่วนที่รับรู้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปได้ก่อนจึงรีบชักมือกลับ แต่นางกลับคว้าสาบเสื้อเขาไว้อย่างลืมตัว เมื่อถูกอีกฝ่ายจ้องถึงค่อยปล่อยออกในพลัน
“ซย่าชิงยวน” เขามีสีหน้าจริงจัง “ข้าเคยบอกแล้วว่าเจ้ากับข้าเป็นแค่สามีภรรยาตามข้อตกลง จะเล่นเข้าบทเพียงใดก็อย่าได้ถือเป็นจริง” พอกล่าวจบเขาก็วางผ้าลงบนโต๊ะ หันกายเดินจากไป
แต่คำพูดตอบกลับของนางกลับทำเขาชะงัก
“แล้วท่านเล่า ท่านเคยถือเป็นจริงหรือไม่”
เขาไม่ได้ตอบคำถาม เพียงก้าวออกนอกประตูไป
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน พฤศจิกายน 2567)
Comments
comments
No tags for this post.