บทที่หนึ่ง
ราตรีมืดมิด สายลมเย็นพัดผ่าน ดวงโคมหน้าเรือนเตี้ยเก่าทึมแกว่งโยกไปมา เสียงหอนโหยหวนที่ไม่รู้ว่าเป็นของสุนัขป่าหรือสุนัขบ้านดังอยู่ไกลๆ เพิ่มความวังเวงน่าขนลุกให้ยามวิกาล
ณ มุมสลัวเย็นชื้นมุมหนึ่งของเรือนเตี้ย หลังจากเกิดเสียงแอ๊ดที่ฟังดูไม่ชอบมาพากล แสงเทียนจุดเล็กๆ ก็สว่างวาบ ดูรำไรริบหรี่เหมือนลอยอยู่กลางอากาศและอาจดับลงได้ทุกเมื่อ
จากนั้นก็เป็นเสียงลับมีดที่ทำให้หัวใจสั่นสะท้าน พร้อมด้วยเสียงหัวเราะชั่วร้ายที่ดังแทรกขึ้นมาเป็นพักๆ
“หึๆ ในที่สุดก็ตกอยู่ในเงื้อมมือข้า ดูซิว่าเจ้าจะหนีไปไหนได้…”
ทันใดนั้นมีดที่เงื้ออยู่ในมือก็ส่องประกายขาววับ ปลิดชีวิตให้กลายเป็นวิญญาณไปอีกหนึ่ง!
“เฮ้อ…” เด็กชายวัยสิบสองปีที่ถูกบังคับให้ถืออ่างน้ำสะอาดไว้สำหรับเก็บกวาดทีหลังถอนหายใจเฮือกเมื่อเห็นดังนั้น
เด็กสาวที่ถือมีดทำครัวหันขวับ ใบหน้ากลมป้อมเปรอะคราบเลือดสองดวง จิตสังหารยังกรุ่นอยู่ในแววตา “อะไรอีกล่ะ”
“ฆ่าปลาตัวเดียวยังทำราวกับฆ่าคน พี่ใหญ่ ตั้งแต่โบราณมาเพิ่งมีท่านเป็นคนแรกนี่แหละ” ซ้ำยังทำตาเป็นประกายวาววับอย่างตื่นเต้นเสียด้วย เด็กชายหน้าตาหมดจดถอนหายใจ
เฮ้อ…บางทีก็ไม่อยากยอมรับเลยว่าเด็กสาวผู้นี้เป็นพี่สาวแท้ๆ ที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกันกับเขา
ตัวเขาอวี้เหลียงนั้น ตั้งแต่เล็กก็ตั้งปณิธานไว้ว่าจะศึกษาตำรานับหมื่นให้แตกฉานเพื่อฝึกฝนตนเองให้เป็นเมธีผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคในวันข้างหน้า แม้ปัจจุบันจะอาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ สุดขอบชายแดนตะวันออกที่ห่างไกลจนนกกายังไม่อยากวางไข่ และยังชีพด้วยการเปิดร้านขายอาหารริมทางร่วมกับพี่สาว แต่เขาเชื่อมั่นในคติที่เป็นสัจธรรมไม่เปลี่ยนแปลงอย่าง ‘ฝากรอยเท้าไว้ในทุกย่างก้าว ใช้ความทุกข์ยากหล่อหลอมตนให้เป็นคนเหนือคน’ แต่พี่สาวใช้มีดทำครัวได้โหดเหี้ยมขึ้นเรื่อยๆ ส่วนเขาก็ถูกบังคับให้ดูฉากนองเลือดทุกวัน น่ากลัวเหลือเกินว่าผ่านไปนานเข้านิสัยจะบิดเบี้ยวตาม แล้วเงื้อมีดหั่นผักผ่าแตงได้โดยไม่เปลี่ยนสีหน้าเหมือนอย่างนางไปอีกคน
ฮือ…เส้นทางแห่งนักปราชญ์ที่ถือหลัก ‘เพาะกล้านานสิบปีถึงได้ไม้ เพาะคนใช้ร้อยปีคอยปลูกฝัง’ ดูท่าจะไกลออกไปทุกที
น้องชายผู้น่าสงสาร เรียนหนังสือจนเพี้ยนไปแล้วกระมัง
อวี้หมี่เห็นเด็กชายหน้าตาหล่อเหลาข้างตัวเข้าสู่ภวังค์ใจลอย อยาก ‘ร่วมทุกข์กับประชา ห่วงหารักษ์แผ่นดิน’ อีกแล้วก็อดกลอกตาไม่ได้ ก่อนจะดึงอ่างน้ำในมือเขามาล้างปลาตัวใหญ่ที่ถูกผ่าท้องขอดเกล็ดทิ้งอย่างคล่องแคล่ว
อาหารแถบชายแดนส่วนมากมีแต่เนื้อแพะ เนื้อวัว และพืชผัก ปลากุ้งสดๆ ใหม่ๆ หายากยิ่งกว่าเส้นผมบนหัวล้าน เจ้าตัวใหญ่นี่ได้มาเพราะเมื่อวานนางแอบติดสินบนเจ้าหน้าที่ทางการที่คุ้มกันรถเสบียงจากเมืองหลวงมายังจวนแม่ทัพทุกๆ สามเดือน แล้วซื้อปลาหลุดแหตัวนี้มาได้
นางใช้เกลือป่นหยาบค่อยๆ พอกตัวปลาตั้งแต่หนวดยันหางเพื่อทำปลาเค็มเก็บไว้ ท้องหิวขึ้นมาเมื่อใดจะได้หั่นชิ้นเล็กๆ มาตุ๋นกินกับเต้าหู้และเนื้อหมู
แค่คิดถึงกลิ่นหอมฉุยของเนื้อปลาเค็มกับหมูสามชั้นชิ้นมันย่องและเต้าหู้นุ่มๆ ก็…ของอร่อยชัดๆ
อวี้หมี่มัวแต่น้ำลายไหลยืดกับตนเอง มิได้ล่วงรู้เลยว่า ณ จวนแม่ทัพที่อยู่ห่างจากร้านริมทางของนางสิบแปดลี้* บุรุษร่างสูงใหญ่ที่เพิ่งกลับมาจากค่ายทหารกำลังยืนเอามือไพล่หลังหน้าอ่างไม้ใส่ปลาเป็นขนาดใหญ่
“ปลาไนหรือ”
“ขอรับ” คนที่ค้อมหลังตอบอย่างนอบน้อมก็คือเจ้าหน้าที่ผู้รับสินบนคนนั้นเอง หน้าตาฉลาดเฉลียวไม่มีแววละโมบอย่างที่จงใจแสดงออกมาเมื่อวานเลยแม้แต่น้อย
“อืม” บุรุษร่างใหญ่ยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปาก
วิเศษ วิเศษมาก!
ท้องฟ้าสว่างจ้า ประตูร้านริมทางเปิดแล้ว ควันไฟลอยออกมาพร้อมกลิ่นหอมฉุยของเนื้อแพะหมักเต้าเจี้ยวเผ็ด ยั่วยวนคนที่สัญจรผ่านไปมาให้ท้องร้องจ๊อก น้ำลายสอท่วมปาก
“เหลียงเกอเอ๋อร์* เอาเนื้อแพะหมักเต้าเจี้ยวเผ็ดสองชั่ง* กับแผ่นแป้งย่างสามชั่งมาก่อน เร็วหน่อยนะ หิวจะตายอยู่แล้ว!”
“นางหนูอวี้หมี่เอ๋ย ข้าเอาซาลาเปาไส้เนื้อแพะกับต้นหอมสิบลูก แล้วก็แกงเป็ดกับผักดอง อากาศร้อนเป็นบ้าแบบนี้ซดน้ำแกงชามใหญ่ๆ แล้วเจริญอาหารดี”
“หั่นเนื้อวัวเค็มให้สักห้าชั่ง แล้วก็ห่อหมั่นโถวลูกใหญ่ให้ยี่สิบลูก ขอด่วนล่ะ พวกเรายังต้องต้อนล่อเร่งเดินทาง!”
“ได้เลยๆ” ใบหน้ากลมป้อมยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี คิ้วอ่อนโค้ง แม้อวี้หมี่จะเป็นเด็กสาวร่างเล็ก แต่ก็คล่องแคล่วอย่างยิ่ง มีดปลายแหลมที่ลับไว้ขาววับจนส่องประกายสีฟ้าหั่นเนื้อแพะที่ชุ่มเต้าเจี้ยวเผ็ดดังขวับๆ แผ่นแป้งธัญพืชที่ผิงเตรียมไว้ตั้งแต่เช้าเป็นสีน้ำตาลทองน่ากิน นางคว้าแผ่นแป้งปึกหนึ่งมายกขึ้นโต๊ะ รอให้ลูกค้าเอาเนื้อแพะกับต้นหอมวางลงไปแล้วห่อ รับประกันว่าพอกัดกิน กลิ่นหอมจะฟุ้งไปทั้งปาก
นางยกถาดมือละใบ ยังไม่ทันได้วางถาดลงบนโต๊ะให้ดีๆ เหล่าชายหิวโซก็แย่งกันคว้าอาหารไปจนเกลี้ยง หากไม่เพราะนางดึงมือออกเร็วพอ น่ากลัวว่าป่านนี้แขนเสื้อคงถูกกัดแหว่งเป็นรูไปแล้ว
ซาลาเปาที่นึ่งไว้เข่งใหญ่ๆ กับแผ่นแป้งที่ย่างเตรียมไว้เป็นตั้งสูงหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว อวี้หมี่ผู้ยิ่งยุ่งยิ่งคึกรีบหมุนตัวเดินหายเข้าไปในครัวอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง ทิ้งลูกค้าที่ร้องขออาหารกันระงมให้น้องชายดูแล
เหนื่อยแทบตายกว่าจะพ้นช่วงที่ลูกค้าแน่นที่สุดในตอนเช้า เมื่อกลุ่มคนที่ต้องออกเดินทางไปค้าขายหรือคุ้มภัยกินอาหารเช้าจนอิ่มหนำและสั่งห่อเสบียงไปกินระหว่างทางเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงคราวที่อวี้หมี่กับน้องชายจะได้นั่งดื่มชา พักขา แล้วกินข้าวด้วยกันบ้างเสียที
“พี่ใหญ่” หลังต้นหอมม้วนแป้งย่างทาซีอิ๊วหวานลงไปอยู่ในท้อง มือสั่นเทาของอวี้เหลียงก็ค่อยๆ กลับเป็นปกติ ใบหน้าที่ซีดจนเขียวเพราะความหิวมีสีเลือดฝาดในที่สุด “เราเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นดีหรือไม่”
ป้าบ!
ฝ่ามือเพชฌฆาตโบกใส่ศีรษะเขาอย่างไร้ปรานีจนอวี้เหลียงแทบหัวทิ่มลงไปในชามโจ๊กเบื้องหน้า
“เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นกับผีน่ะสิ!” อวี้หมี่ทำหน้าหงุดหงิดที่น้องชายไม่ได้ดังใจ พลางใช้หมั่นโถวที่กัดไปครึ่งหนึ่งอุดจมูกอีกฝ่าย “ไหนบอกซิ งานที่แค่เปิดร้านตอนเช้าตรู่ก็มีเงินไหลมาเทมาแบบนี้ยังจะไปหาที่ไหนได้อีก”
“พี่ใหญ่ระวังคำพูดด้วย ระวังคำพูดหน่อย!” อวี้เหลียงสูดหายใจพร้อมละล่ำละลักบอก “เป็นสตรีแต่พูดจาหยาบคาย หากใครมาได้ยินเข้า…”
“ตอนนี้ในร้านมีแค่เจ้ากับข้า แม้แต่หนูสักตัวยังไม่มี จะกลัวอะไรเล่า” นางโต้กลับอย่างไม่แยแส
พริบตาต่อมา ท่าทางฮึดฮัดขัดใจของอวี้เหลียงก็เปลี่ยนไป นางยังไม่ทันรู้สึกตัว ความโมโหของเขาก็กลายเป็นความปรีดา ขณะส่งสายตาเป็นประกายวิบวับมองข้ามไหล่นางไปด้านหลัง
“คารวะท่านแม่ทัพใหญ่!”
แผ่นหลังของอวี้หมี่แข็งทื่อ ไอหนาวแล่นจากฝ่าเท้าขึ้นมาถึงกระหม่อมทันที
ใครหน้าไหนกันนะที่บอกข้าว่าแม่ทัพเยียนนำทัพไปซ้อมรบกลางหุบเขา จะไม่กลับเข้าเมืองภายในสามเดือนห้าเดือน!
“เหลียงเกอเอ๋อร์ เหมือนเดิมนะ” เสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นข้างหลังยังเฉียบขาดหนักแน่นเหมือนทุกครั้ง
นางค่อยๆ หันกลับไป เนื้อตัวแข็งทื่อจนแทบได้ยินกระดูกตนเองลั่นกร๊อบๆ
ความฉุนเฉียว ความหงุดหงิด ความพรั่นพรึงสะท้อนอยู่ในดวงตากลมโตที่กะพริบปริบๆ มองไปตรงกลางร้านเห็นผมดกดำถูกมัดไว้ด้วยเชือกดำ ชุดดำที่สวมใส่ช่วยเน้นไหล่กว้าง เอวสอบ และท่อนขายาวของเขาได้เป็นอย่างดี บุคลิกองอาจสง่างามสมชายชาตรีอวลอยู่ทั่วร่าง
ลมหายใจนางสะดุดไปเฮือกหนึ่ง
ฮือ ข้าจะต้อง…จะต้องจับเจ้าทหารโรงครัวที่ปล่อยข่าวเท็จส่งเดชผู้นั้นมาสับเป็นพันๆ ชิ้นให้จงได้!
“น้อมรับบัญชา!” ความฮึดฮัดขัดใจเมื่อครู่ของอวี้เหลียงระเหยกลายเป็นไอไปหมดแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษร่างสูงสง่า คำว่า ‘บูชา’ วาววาบอยู่ในตาซ้าย คำว่า ‘วีรบุรุษ’ เป็นประกายอยู่ในตาขวา ใบหน้าหมดจดคมสันมีแต่ความตื่นเต้นแกมชื่นชม ขณะเช็ดโต๊ะเช็ดเก้าอี้อย่างขมีขมัน “ข้าจะไปจัดการให้เดี๋ยวนี้ ท่านแม่ทัพเชิญนั่งก่อน”
ใบหน้าหล่อเหลาทว่าไร้อารมณ์ของเยียนชิงหลางเหมือนจะนุ่มนวลขึ้นเล็กน้อย
หากหลงตนเองหน่อย น่ากลัวคงได้ทึกทักไปว่ามีรอยยิ้มส่องประกายอยู่ในดวงตาคู่นั้นด้วยกระมัง
อวี้หมี่มุมปากกระตุกอย่างห้ามไม่อยู่
บุรุษผู้นี้ได้ชื่อว่าเป็นเทพสงครามผู้สัตย์ซื่อเที่ยงตรงแห่งชายแดนตะวันออก เป็นยอดชายชาตรีในหมู่ชายชาตรี เป็นยอดนักรบผู้ห้าวหาญในหมู่ขุนศึก เป็นหนึ่งในสี่ยอดบุรุษที่เหล่าสาวไร้คู่ตลอดจนหญิงที่ออกเรือนแล้วทั่วทั้งอาณาจักรฉางชิงใฝ่ฝันว่าจะได้อาจเอื้อมหรือกระทั่งลดตัวลงมาแต่งงานด้วย แต่ไม่มีใครรู้ดีไปกว่านางว่าภายใต้ประกายเจิดจรัสในดวงตาคู่นั้นซุกซ่อนนิสัยหยาบช้า โสมม กักขฬะไร้ที่เปรียบแบบใดเอาไว้!
เขานี่แหละที่ฉีกภาพลักษณ์สวยหรูของวีรบุรุษผู้กล้าในสายตานางลงอย่างย่อยยับ และเขาอีกเหมือนกันที่สร้างเงามืดขึ้นบนกิจการร้านอาหารริมทางอันแสนรุ่งโรจน์ของนาง…
“หมี่กู” ดวงตาของเยียนชิงหลางที่เหลือบมองมาเป็นประกายวาบ
คราวนี้หางตาของอวี้หมี่กระตุกเล็กน้อย
อย่าได้คิดเชียวนะว่าแสร้งให้ใบหน้าทุเรศทุรังดวงนั้นดูเคร่งเครียดแล้วจะอำพรางความจริงที่ว่าเขาจงใจใช้คำพูดลบหลู่นางได้ นึกหรือว่านางไม่รู้ว่า ‘หมี่กู’ ออกเสียงเหมือนกันทุกประการกับ ‘ขนมเต่าแป้ง’* ซึ่งเป็นขนมที่นิยมทำกันแถบหมิ่นหนาน คงคิดสินะว่านางจับไม่ได้ไล่ไม่ทันว่าเขาจงใจล้อเลียนรูปร่างอวบอ้วนของนาง
เท่ากับว่านางเป็นผู้คิดค้นอาหารเลิศรสชนิดนี้ขึ้นมาเชียวนะ หึ!
“เสียสติไปแล้วหรือ” คิ้วดกหนาเลิกสูงขึ้น
“ท่านสิเสียสติ! เสียสติกันทั้งตระกูล…” ต่อเมื่อโพล่งไปเช่นนั้น นางถึงเพิ่งตระหนักว่าตนเองพูดอะไรออกไป “เอ่อ…”
รอบตัวเงียบกริบ อวี้เหลียงที่ยกเนื้อแพะหมักเต้าเจี้ยวเผ็ดออกมามองนางอย่างตกตะลึงสุดขีด ราวกับว่ามีเขางอกขึ้นมาบนหัวนางซ้ำยังมีดอกไม้บานอยู่ตรงปลายเขาก็ไม่ปาน
“เถ้าแก่เนี้ยอวี้” เยียนชิงหลางเอ่ยเรียกช้าๆ ด้วยแววตาเคร่งเครียด
“ตายจริง ท่านแม่ทัพใหญ่ เชิญเจ้าค่ะ เชิญ อาหารมาแล้ว!” เด็กสาวสะดุ้งเฮือก โดยไม่รอให้เขาพูดอะไรต่อก็รีบแยกจานเนื้อแพะในมือน้องชายมาวางบนโต๊ะอย่างประจบเอาใจ ขาดแต่ยังไม่ได้เห่า ‘โฮ่งๆ’ ออกมาด้วยเท่านั้น “หากขาดรสใดหรือร้านเรารับรองได้ไม่ดีอย่างไรก็เชิญบอกได้เลยนะเจ้าคะ ท่านร้อนหรือไม่ เสี่ยวเหลียงรีบมาพัดให้ท่านแม่ทัพใหญ่เร็วเข้า โจ๊กวันนี้รสชาติไม่เลวนะเจ้าคะ ท่านจะสั่งมากินสักชามไหม”
ฮือๆ…ข้าน้อยผิดไปแล้ว ท่านแม่ทัพใหญ่ช่วยเลิกจ้องข้าน้อยด้วยสายตาดุดันชวนสะท้านเช่นนั้นได้หรือไม่
แม่ทัพหนุ่มนิสัยเคร่งเครียดจริงจังที่กำลังเดือดจัดถอนดวงตาสีดำสนิทคาดเดาความรู้สึกยากของตนออกมาช้าๆ แล้วหลุบลงมองแผ่นแป้งย่างสีน้ำตาลทองกับเนื้อแพะแทน มือใหญ่เรียวสวยหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเนื้อแพะเข้าปากเป็นอันดับแรก
“…เค็ม” เขาวิจารณ์ตามตรง
“นั่นสิขอรับ ข้าก็ว่าเค็มไปหน่อย แต่พี่ใหญ่บอกว่าต้องทำให้เค็มเข้าไว้ ลูกค้าจะได้สั่งแป้งเพิ่มเยอะๆ แม้แต่สุราก็จะขายดีขึ้นด้วย…อื้อ!” อยู่ๆ หมั่นโถวทั้งลูกก็ยัดเข้ามาในปากเด็กชายจนเขาแทบสำลักตาย
“อย่างนี้นี่เอง” เยียนชิงหลางปรายตามองเด็กสาวที่รีบเอามือไพล่หลังอย่างทันท่วงที
“เข้าใจผิดแล้วๆ นี่เป็นแค่การเข้าใจผิดเท่านั้น ฮ่าๆ” นางหัวเราะแห้งๆ “วันนี้ตอนเคี่ยวน้ำปรุงรสข้าเผลอใส่เกลือหนักมือไปหน่อยต่างหาก แต่คราวหน้าจะปรับปรุง จะต้องปรับปรุงแน่นอน”
เยียนชิงหลางวางตะเกียบลงโดยไม่กล่าวอะไร แล้วหยิบแผ่นแป้งมาม้วน กัดกินช้าๆ คำหนึ่ง
เรื่องอะไรเถ้าแก่เนี้ยอย่างนางต้องโดนลงโทษให้ยืนเป็นเพื่อนระหว่างท่านแม่ทัพใหญ่กินข้าวด้วยล่ะนี่
ที่ยิ่งไปกว่านั้นเขารังเกียจเนื้อแพะหมักเต้าเจี้ยวเผ็ดที่ทุกคนชมเปาะเป็นเสียงเดียวกันของนางมากเลยหรือ ถึงกับยอมกินแต่แป้งไม่แตะเนื้อ แบบนี้ไม่เท่ากับผิดต่อแพะที่พลีชีพเพื่อมนุษย์หรือไร
อวี้หมี่เดือดปุดๆ อยู่ในใจ แต่ไม่กล้าปริปากพูดออกมา ได้แต่ยืนประสานมือค้อมไหล่ รอฟัง ‘คำวิจารณ์’ จากท่านแม่ทัพใหญ่
“อืม” เพียงครู่เดียวเขาก็กินแผ่นแป้งหมด แล้วล้วงผ้าเช็ดหน้าสีดำจากในอกเสื้อออกมาเช็ดปาก
อืม? อืมอะไร แล้วอย่างไรต่อ
นางมองชายหนุ่มอย่างกระวนกระวาย
เยียนชิงหลางเหลือบตาขึ้นมองสีหน้าซับซ้อนของนางที่มีทั้งความยำเกรง ความขุ่นใจ และการรอคอย ประกายประหลาดวาบขึ้นในดวงตาคม เขาลุกขึ้น วางเงินค่าอาหารลงบนโต๊ะ แล้วเอามือไพล่หลังเดินไปทางประตูหน้าร้าน
เอ๋? แค่นี้เอง? หมดแล้วหรือ เหตุใดวันนี้ถึงได้ดีผิดปกติกันนะ ไม่มีคำวิจารณ์จัดจ้าน ไม่ติโน่นตินี่…ฝนจะตกลงมาเป็นสีแดงหรืออย่างไรกัน
“น้อมส่งท่านแม่ทัพใหญ่ ค่อยๆ เดินนะเจ้าคะ…” นางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดวงตาเป็นประกายด้วยความปรีดา
หลังก้าวท่อนขายาวแข็งแรงข้ามธรณีประตูไปแล้ว เยียนชิงหลางก็หันมาพูดทิ้งท้ายเนิบๆ “พรุ่งนี้ข้าจะมากินปลา”
ในหัวอวี้หมี่ราวกับมีเสียงระเบิด พวงแก้มทั้งสองข้างแดงก่ำ นางมองคนพูดปากอ้าตาค้าง ขณะถามอุบอิบอย่างร้อนตัว “ปะ…ปลา?”
เขารู้ได้อย่างไร…รู้ได้อย่างไรกัน!
แม่ทัพหนุ่มเหลือบมองนางแวบหนึ่ง ประกายบางอย่างวาบขึ้นในนัยน์ตาสุขุม ก่อนจะสำทับอีกครั้ง “อย่าลืมล่ะ พรุ่งนี้” จากนั้นก็เดินตัวตรงราวกับต้นสนจากไปอย่างสง่างาม
“ค่ายทหารขาดแคลนหน่วยอาลักษณ์บ้างหรือไม่ขอรับ ข้าน้อยยินดีวางมีดทำครัวทิ้งพู่กันไปเข้ากองทัพแทนนะขอรับ ท่านแม่ทัพใหญ่…”
ในที่สุดอวี้เหลียงก็แงะหมั่นโถวออกจากปากสำเร็จ แต่กว่าจะตะลีตะลานตามไปก็สายเกินการณ์
“เขารู้แล้ว เขาต้องรู้แล้วแน่ๆ นึกอยู่แล้วเชียว ไม่มีอะไรบนโลกที่ได้มาสบายๆ คนจวนแม่ทัพจะรับสินบนง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างไรกัน…” อวี้หมี่นั่งยองๆ ใช้นิ้ววาดวงกลมบนพื้น ใบหน้ากลมป้อมฉายแววเจ็บปวด “เขาจงใจวางกับดักให้ข้าได้อายต่างหาก…ปลาของข้า ปลาที่ข้าอุตส่าห์หมักเกลือไว้ดิบดี…”
ภายใต้เสียงครวญครางของนาง แม้แต่โคมไฟที่แขวนเอาไว้หน้าร้านยังเหมือนจะสั่นสะท้านอยู่หลายครั้งไปด้วย
เยียนชิงหลางขี่อาชาพันลี้ล่าเมฆาพุ่งทะยานไปที่ค่ายทหารดุจลูกธนู รอยยิ้มบางๆ ปรากฏให้เห็นตรงมุมปากในที่สุด
อืม วันนี้อากาศไม่เลวจริงๆ
ยามพลบค่ำ
หลังจากแวะมานั่งพักขา จิบสุรา ขบเคี้ยวของว่าง นักเดินทางระลอกสุดท้ายก็กลับเข้าเมือง งานอันเหน็ดเหนื่อยในวันนี้ของอวี้หมี่กับน้องชายสิ้นสุดลงเสียที สองพี่น้องช่วยกันเช็ดโต๊ะ ถูพื้น ปิดประตูร้าน
แต่ถึงอวี้เหลียงจะได้พัก อวี้หมี่ก็ต้องเข้าครัวไปนวดแป้ง ปั้นแป้ง ผสมไส้ หมักเนื้อ เตรียมรับมือกับลูกค้าที่จะมาอุดหนุนแต่เช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น
ร่างกลมเตี้ยสาละวนอยู่ในห้องครัว เหงื่อไหลโซมกาย กว่าจะเสร็จหมดทุกอย่างก็ยามซวี* นางผัดหมี่เหลือง ทำผักคลุกน้ำมันงากินเป็นอาหารเย็นด้วยกันกับน้องชาย
เฮ้อ…ที่น่าปวดใจเป็นอย่างยิ่งก็คือทั้งที่นางทำงานหนักราวกับอูฐ แต่ก็ยังมีรูปร่างอวบอย่างนี้ไม่เคยเปลี่ยน ตรงไหนที่ควรผอมก็ไม่ยอมผอมลงเลย
หลังจากบะหมี่น้ำชามใหญ่ลงไปอยู่ในท้อง อวี้หมี่ไม่ลืมที่จะบีบพุงนิ่มๆ ที่นูนออกมาเล็กน้อยของตนเองแล้วถอนหายใจเฮือก “ดวงหน้างามแฉล้มดุจจานหยกน่ะมีอยู่แล้ว แต่ทำอย่างไรถึงจะมีเอวคอดกิ่วได้บ้างล่ะ…นี่! สายตาเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร”
“พี่ใหญ่ ท่าน…” อวี้เหลียงยังมีอาหารคาอยู่ในปาก ขณะมองพี่สาวอย่างตกตะลึงจังงังเหมือนไม่เชื่อสายตา “เคยเรียนหนังสือมาเหมือนกันหรือนี่”
“พูดโง่ๆ แบบฝึกคัดอักษรที่เจ้าใช้ตอนเด็กๆ น่ะ ข้าเป็นคนเขียนทั้งนั้นแหละ” นางค้อนน้องชายวงใหญ่อย่างไม่สบอารมณ์ “ถึงท่านพ่อท่านแม่จะไม่เชี่ยวชาญในเชิงอักษรศิลป์ แต่ก็พอมีความรู้อยู่บ้าง ข้าเป็นลูกสาวคนสำคัญของพวกท่าน เลยเติบโตมากับอักษรและน้ำหมึกตั้งแต่เด็ก หากไม่เพราะ…เฮ้อ…กล่าวกันว่าพี่สาวเสมือนมารดา ดูถูกพี่สาวตนเองระวังจะถูกฟ้าผ่าเอา รู้หรือไม่”
“ในเมื่อพี่ใหญ่ก็รู้ว่าการศึกษาเป็นวิถีของวิญญูชน เช่นนี้เหตุใดเราไม่ยึดถือเจตนารมณ์ของท่านพ่อท่านแม่ วางมีดจับพู่กันเปิดสำนักศึกษาอบรมบ่มเพาะปัญญาชนแทนเล่า” อวี้เหลียงไม่สนใจบะหมี่อีกแล้ว เขาพูดพลางมองนางอย่างคาดหวัง
“ไม่เคยได้ยินที่คนเขาว่า ‘อาจารย์ยากจนเท่ากับผีอดตาย’ หรือไร” นางแค่นหัวเราะทีหนึ่ง แล้วพูดเสียงห้วน “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเรามีความรู้แค่น้อยนิดหรอก แต่นี่มันชายแดนที่ผู้คนยังชีพด้วยการเลี้ยงแพะและล่าสัตว์ พวกเด็กๆ ต้องออกไปคอยต้อนแพะ ต่อให้หาเด็กที่ไม่ต้องทำงานเพราะบ้านพอจะมีฐานะได้ สำนักศึกษาที่ไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนในเมืองก็แย่งเด็กไปหมดแล้ว พวกเราจะเปิดสำนักศึกษามาอ้าปากกินลมหรือไร”
อวี้เหลียงถูกเอ็ดจนตัวหด กะพริบตาปริบๆ อย่างไร้ความผิด ดูน่าสงสารเป็นกำลัง ขณะเอ่ยแย้งเบาๆ “พวกเราย้ายกลับเมืองหลวงก็ได้นี่ ท่านเคยบอกว่าบ้านเดิมของพวกเราอยู่ในเมืองหลวงไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องมาลำบากลำบนอยู่ในที่กันดารห่างไกลไปทั้งชีวิตด้วย…”
“อวี้เหลียง!” เด็กสาวหน้าตึงทันควัน มองน้องชายด้วยดวงตาเป็นประกายกร้าว “ลืมแล้วหรือว่าก่อนท่านพ่อท่านแม่จะจากไปได้สั่งเสียไว้ว่าอย่างไร”
ดวงหน้าหมดจดของผู้เป็นน้องซีดเผือดไปทันที ก่อนจะส่งเสียงเรียก “พี่ใหญ่…”
นางหน้าเครียด มือจับตะเกียบแน่นจนข้อนิ้วขาว ขณะกัดฟันพูดออกมาทีละคำ “ก่อนท่านพ่อท่านแม่จะจากไปได้สั่งให้พวกเราสองพี่น้องไปให้ไกลจากเมืองหลวงตลอดชีวิต แล้วหาที่ตั้งรกรากใช้ชีวิตอย่างสงบสุข อย่าได้กลัวความยากลำบาก ต้องคอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน หรือว่าเจ้าลืมไปจนหมดสิ้นแล้ว!”
“ข้าผิดไปแล้ว ต่อไปจะไม่เอ่ยถึงอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเมืองหลวงขึ้นมาเป็นอันขาด พี่ใหญ่ อย่าโมโหไปเลยนะ ข้าไม่ดีเอง” เด็กชายขอบตาแดงเรื่อ นึกตำหนิตนเองด้วยความละอายใจ “ข้าขอโทษ”
“เสี่ยวเหลียง” อวี้หมี่ตีบตันในลำคอ นางสูดหายใจเข้าลึกแล้วปรับเสียงให้อ่อนลง “พี่รู้ว่าลูกผู้ชายย่อมมีปณิธานยิ่งใหญ่ ให้เจ้าวิ่งวุ่นทำงานอยู่แต่ในร้านเป็นการละเลยความสามารถของเจ้า พี่สัญญาว่าไว้ให้ฐานะบ้านเรามั่นคงขึ้นอีกนิด พวกเราค่อยมาคิดวางแผนย้ายไปอยู่ทางใต้กัน เจียงหนานขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งศาสตร์ศิลป์ เจ้าชอบเรียนหนังสือ พี่จะเรียนหนังสือที่นั่นเป็นเพื่อนเจ้า หาวิชาความรู้ใส่ตัว ต่อไปหากเจ้าอยากเป็นอาจารย์สอนหนังสือ พี่ก็จะช่วยเจ้า”
“ฮือๆ พี่ใหญ่ เป็นเพราะเสี่ยวเหลียงไม่รู้ความ พลอยทำให้ท่านลำบาก ทำให้ท่านกังวลไปด้วย…” อวี้เหลียงร้องไห้ออกมาอย่างทนไม่ไหว
“เด็กโง่ หากกลัวว่าเจ้าจะมาทำให้พี่ลำบาก พี่คงทิ้งเจ้าไว้กลางทางตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว” นางล้วงผ้าเช็ดหน้าฝ้ายออกมาซับน้ำตาให้เขาแล้วแสร้งทำเสียงร่าเริง “อย่าร้องน่า ถ้าใครมาเห็นเข้าก็นึกว่าพี่สาวหมี่ร้านริมทางปิดร้านทีไรเป็นต้องทุบตีน้องชายทุกทีหรอก”
ฝ่ายตรงข้ามหัวเราะทั้งน้ำตา แล้วใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าลวกๆ ด้วยความกระดาก “อืมๆ”
“ต่อไปต้องว่านอนสอนง่ายรู้หรือไม่ รับรองว่าพี่ต้องดูแลเจ้าเป็นอย่างดีแน่” นางลูบหัวน้องชายเบาๆ
“อืม เสี่ยวเหลียงจะฟังพี่ใหญ่ทุกอย่าง”
สองพี่น้องกินข้าวต่อภายใต้บรรยากาศอบอุ่น เมื่อกินหมดแล้ว อวี้เหลียงก็อาสาจะเป็นคนล้างถ้วยชามและต้มน้ำร้อนให้ อวี้หมี่จึงได้ลิ้มรสชีวิตคุณหนูที่มีคนปรนนิบัติเป็นครั้งแรกในชีวิต
“พี่ใหญ่ ค่อยๆ นั่งแช่ไปนะ หากน้ำร้อนไม่พอก็ตะโกนบอกข้า ข้าพร้อมไปต้มเพิ่มให้ทุกเมื่อ” เด็กชายหน้าตาหมดจดกลายร่างเป็นบ่าวที่แสนขยันขันแข็งตะโกนบอกนางอยู่นอกห้อง
“เข้าใจแล้ว” เด็กสาวนั่งแช่น้ำอย่างผ่อนคลาย ให้ไอน้ำช่วยชำระความเหนื่อยล้าในหนึ่งวันที่ผ่านมาออกไป
ดีที่นางหัวไว มือหนึ่งถือแส้เฆี่ยน อีกมือถือหัวผักกาด พร้อมจู่โจมด้วยดวงตาอ่อนโยนที่มีน้ำตาคลอเบ้า ความฮึกเหิมแบบคนหนุ่มของเสี่ยวเหลียงจึงสงบลงอย่างรวดเร็ว ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าวันไหนน้องชายผู้โง่เง่าของนางจะเกิดเลือดร้อนขึ้นมา แล้วลอบหนีกลับเมืองหลวงเพื่อสร้างชื่อเสียงให้เป็นเกียรติเป็นศรีแก่วงศ์ตระกูลอะไรนั่น ทีนี้ได้จบเห่กันอย่างแท้จริงแน่
ยิ่งคิดถึงน้องชายที่ทั้งรู้สึกผิดทั้งละอายแก่ใจ ก้มหน้ายอมรับผิดโดยดุษณีซ้ำยังกระวีกระวาดทำงานไถ่โทษ นางยิ่งรู้สึกว่าตนเองเป็นอัจฉริยะผู้ฉลาดเฉลียวมากไหวพริบโดยแท้
“ข้าช่างเป็นดอกไม้งามที่เพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและสติปัญญาแห่งร้านริมทางชายแดนตะวันออกจริงๆ ฮ่าๆๆๆ”
เสียงหัวเราะด้วยความผยองทำเอานกกาที่เกาะตามต้นไม้บินฮืออย่างแตกตื่น
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่กระหยิ่มยิ้มย่องกับความฉลาดช่างวางแผนของตนเองจนขนาดหลับฝันยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ได้ทั้งคืน อวี้หมี่ก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ตอนกำลังนึ่งหมั่นโถว…
วันนี้นี่นา!
วันนี้แหละที่เยียนชิงหลางคนน่ารังเกียจจะมากินปลาที่นางลำบากลำบนหมักไว้ดิบดีให้เกลี้ยง!
ยิ่งคิดเด็กสาวก็ยิ่งหน้าบึ้ง และยิ่งรู้สึกขัดใจขึ้นเรื่อยๆ นางสู้อุตส่าห์คิดหาวิธีแทบตายกว่าจะได้ปลามา เรื่องอะไรจะปล่อยให้แม่ทัพใหญ่ผู้อยู่ดีกินดีไม่เคยขาดแคลนอาหารอย่างเขาเอาไปกินง่ายๆ หากจำไม่ผิด รถเสบียงคันนั้นมีปลาเป็นๆ ที่ฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนเยียนกั๋วกง* ในเมืองหลวงส่งมาให้หลานชายกินตั้งร้อยกว่าตัวเชียวนะ
พฤติกรรมปล้นชิงของเขาต่างอะไรกับแย่งอาหารจากปากขอทาน จะไม่ให้คนอื่นมีชีวิตอยู่เลยหรือ
“ไม่ได้!” นางยกลังถึงที่เต็มไปด้วยหมั่นโถวร้อนๆ มาวางกระแทกบนเตาไฟด้วยมือเปล่า โทสะในอกเดือดพล่านยิ่งกว่าน้ำร้อนในหม้อ “ข้าต้องต่อต้าน จะยอมสยบต่ออำนาจชั่วของเขาทุกครั้งไม่ได้”
“พี่ใหญ่ มาแล้วๆ ท่านแม่ทัพใหญ่มาแล้ว!” อวี้เหลียงวิ่งกระหืดกระหอบมาเกาะขอบประตูห้องครัวร้องบอก ใบหน้าแดงเรื่อด้วยความตื่นเต้น
“มาก็มาสิ ใครกลัวกันเล่า” นางเท้าสะเอวตะโกนกลับไป
“หา?” น้องชายงุนงง
“เจ้าน่ะ รีบไปเลยนะ ไปบอกเขาว่าศาลเจ้าเล็กๆ ของเรารับพระพุทธรูปองค์ใหญ่อย่างเขาไม่ได้ อาหารร้านเรามีแต่พื้นๆ บ้านๆ ไม่กล้าเอาไปรับรองท่านแม่ทัพใหญ่ผู้เคยกินของวิเศษเลิศรสมานักต่อนักหรอก…” คำพูดด้วยแรงอารมณ์ของเด็กสาวสะดุดลงทันที ขณะเบิกตามองร่างสูงตระหง่านที่ปรากฏกายขึ้นกะทันหัน
“มีเรื่องจะพูดกับข้าอย่างนั้นหรือ” เยียนชิงหลางก้มหน้าจ้องนางเขม็ง คิ้วดกหนาเลิกขึ้นนิดๆ นัยน์ตาเข้มหรี่ลง
อย่าได้คิดจะมายุ่งกับปลาเค็มของข้าเป็นอันขาดเชียว!
คำพูดแล่นมาถึงริมฝีปากแล้ว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงได้ถูกสายตาคมกริบของเขา ‘ข่มขวัญ’ กลับไป นางกลืนน้ำลายลงคอแล้วถามเสียงอ่อย “กินอย่างอื่นแทนได้หรือไม่”
ประกายแสงในดวงตาแม่ทัพหนุ่มอ่อนลง หัวไหล่กระเพื่อมเบาๆ ทีหนึ่ง แต่พอนางเบิกตามองให้ชัดๆ ก็พบว่าเขายังมีท่าทางสุขุมเคร่งเครียดเหมือนเดิม ไม่ได้ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
“ได้ยินว่าเจ้าตุ๋นปลาเค็มใส่หมูสามชั้นกับเต้าหู้ได้อร่อย” เขาบอกเรียบๆ
“ร้านกระจอกของเราไม่เคยขายอาหารจานนี้มาก่อน ใครที่ไหนมัน…” หัวใจของอวี้หมี่กระตุกวาบ เพิ่งจะเอ่ยถามเสียงแข็งอย่างเอาเรื่อง ก็มีอันต้องใบ้กินไปเสียก่อนเมื่อเห็นแผ่นหลังคู้ต่ำที่กำลังดอดหนีของคนร้อนตัวบางคน
พยายามป้องกันทุกทาง แต่คนร้ายในบ้านนี่กันลำบากโดยแท้ ฮือ…
“ข้าจะรออาหารจานเด็ดของบ้านเจ้า” แม่ทัพหนุ่มหมุนตัวเดินออกไปเมื่อพูดจบ
ในครัวเลยเหลือแต่อวี้หมี่ที่อยากหามีดอีโต้มาสับคนให้หายแค้น
ทว่าหลังจากนั้นนางก็ยอมเอาปลาเค็มหอมกรุ่นออกมาหั่นแต่โดยดี โดยหั่นเป็นชิ้นใหญ่ ตุ๋นกับหมูสามชั้นและเต้าหู้จนหอมฉุย แล้วยกออกไปอย่างจำยอม
ณ ด้านนอก บรรดาลูกค้าที่ปกติจะมานั่งกินสุรากินเนื้อพลางส่งเสียงเอะอะมะเทิ่ง เวลานี้พากันทำหน้าแดงเรื่อ สายตาที่มองไปทางเยียนชิงหลางเต็มไปด้วยความเลื่อมใสบูชาแบบปิดไม่มิด ราวกับว่าหายหิวไปโดยสิ้นเชิง เพราะแค่มองท่านแม่ทัพเยียนผู้องอาจสง่างามประดุจเทพสวรรค์อย่างเดียวก็อิ่มแล้ว
“คารวะท่านแม่ทัพใหญ่!”
“คารวะท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยคืออู๋เหล่าปาน พลธงสังกัดกองพลพยัคฆ์สมัยที่ท่านไปปราบกองโจรเขาเฮยซาน ไม่ได้เห็นมาหลายปี ท่านแม่ทัพใหญ่ยังองอาจสง่างามไม่ด้อยไปกว่าตอนนั้นเลย”
“ท่านแม่ทัพใหญ่ ท่านเป็นขวัญกำลังใจของชายแดนตะวันออกเรา ขอเพียงมีท่านอยู่ พวกเราชาวบ้านแถบนี้ก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น”
“นั่นน่ะสิๆ โชคดีจริงๆ ที่ได้ท่านแม่ทัพใหญ่มารักษาชายแดนตะวันออก คอยปกป้องคุ้มครองราษฎร นำกองทัพพิทักษ์บูรพาออกศึกแล้วได้ชัยชนะกลับมานับครั้งไม่ถ้วน ขับไล่ไอ้พวกคนถ่อยจากแคว้นต้าสือเสียจนเบาเรี่ยเบาเล็ด ภายหลังจึงไม่มีใครกล้ารุกรานอาณาเขตชายแดนตะวันออกเราอีกเลย ไม่เช่นนั้นพวกเราคงไม่มีชีวิตสุขสงบเช่นนี้หรอก”
“ท่านแม่ทัพใหญ่โปรดรับการคำนับจากพวกเราด้วย!”
“ชาวบ้านทุกท่านโปรดอย่าได้ทำเช่นนี้ ตัวข้าเป็นแม่ทัพ ก็แค่ทำตามหน้าที่ที่ควรทำเท่านั้น” ใบหน้าคมคายของแม่ทัพหนุ่มฉายแววตื้นตันแวบหนึ่ง ขณะรีบร้องห้ามกลุ่มคนที่ทำท่าจะคุกเข่าคำนับด้วยความซาบซึ้ง “การทำศึกพิทักษ์ดินแดนปกป้องประชาราษฎร์หลายปีที่ผ่านมาล้วนอาศัยทหารกล้าผู้ไม่เกรงกลัวความตายแห่งชายแดนตะวันออกทั้งสิ้น วีรบุรุษที่แท้จริงคือพวกเขาต่างหาก”
“หากไม่เพราะท่านแม่ทัพวางแผนการศึกได้แยบยลซ้ำยังนำทัพออกศึกแนวหน้าด้วยตนเองทุกครั้ง มีหรือจะขับไล่โจรถ่อยแคว้นต้าสือออกจากชายแดนตะวันออกได้เร็วถึงเพียงนี้…”
“จริงด้วยๆ ลูกชายข้าอยู่ในกองพลพยัคฆ์ใต้ร่มธงท่านแม่ทัพใหญ่ หากไม่เพราะท่านแม่ทัพรู้จักใช้คน ส่งเสริมคนมีความสามารถ ลูกชายข้าคงไม่ได้สร้างผลงานจนได้กินตำแหน่งนายกองร้อย เชิดหน้าชูตาวงศ์ตระกูลตั้งแต่อายุน้อยๆ เท่านี้หรอก ท่านแม่ทัพใหญ่ ท่านเป็นผู้มีคุณของสกุลหูเรานะขอรับ!”
“ที่แท้ผู้อาวุโสก็เป็นพ่อของหูเซียวนี่เอง” รอยยิ้มบางๆ ปรากฏอยู่ในแววตาเยียนชิงหลาง “หูเซียวเป็นเด็กเก่ง ไม่กลัวลำบาก เวลาฝึกทหารก็จริงจังกว่าทุกคน เป็นเพราะได้เชื้อสายที่ดีของสกุลหู และเพราะผู้อาวุโสอบรมสั่งสอนมาดี”
“มิได้ๆ เป็นเพราะท่านแม่ทัพไม่รังเกียจเดียดฉันท์เซียวจื่อของเรา เป็นเพราะท่านยอมขัดเกลาเขาต่างหาก…”
อวี้หมี่ถือหม้อปลาเค็มตุ๋นหมูสามชั้นกับเต้าหู้ยืนเงียบอยู่ตรงมุมห้อง
แววตานางนุ่มนวลขึ้นโดยไม่รู้ตัว กระแสธารอุ่นๆ ที่ไม่รู้จักชื่อไหลอวลอยู่ในอก
บุรุษร่างสูงใหญ่ผู้เงียบขรึมยังมีท่าทางเฉยชาเหมือนปกติ แต่เวลาพูดคุยกับชาวบ้านกลับดูอ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูก ไม่วางท่าข่มเขื่องแบบแม่ทัพใหญ่แม้แต่นิดเดียว
“เฮ้อ…ช่างเถิด” นางก้มลงมองเนื้อปลาในหม้อที่ตุ๋นจนมันเงาน่ากินแล้วบ่นงึมงำ “ถือเสียว่าเลี้ยงกองทัพก็แล้วกัน”
ในที่สุดกลุ่มคนที่ส่งเสียงอึกทึกจอแจก็หักใจยอมเอ่ยลาแม่ทัพใหญ่ที่นานๆ จะปรากฏตัวสักที เพียงพริบตาเดียวก็เหลือเพียงเยียนชิงหลางกับอวี้หมี่ที่ยืนถือหม้ออยู่นานถึงค่อยนำเข้าไปข้างใน
“เชิญเจ้าค่ะท่านแม่ทัพใหญ่” นางวางหม้อดินเผาลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง ไม่ได้ทำท่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันหรือฮึดฮัดอย่างที่เขาคิดภาพเอาไว้แม้แต่น้อย
ดวงตาของเยียนชิงหลางส่องประกายประหลาด ก่อนจะมองอาหารเลิศรสตรงหน้าที่ส่งกลิ่นหอมฉุยมาแตะจมูก
ปลาเค็ม หมูสามชั้น เต้าหู้ เป็นส่วนผสมที่ค่อนข้างเหนือความคาดหมาย แต่กลับเข้ากันได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ซ้ำยังหั่นมาเป็นชิ้นโตๆ…สมกับเป็นแม่นางอวี้ เถ้าแก่เนี้ยร้านริมทางผู้โผงผางไม่กลัวใครจริงๆ
“กินเจ้านี่ต้องกินกับข้าวขาวถึงจะอร่อย” ไม่รู้ว่าอวี้หมี่ไปเสกข้าวชามโตมาจากไหน เม็ดข้าวขาวเป็นประกายราวกับหิมะ อวลกลิ่นหอมกรุ่นของธัญพืชใหม่ นางวางชามข้าวลงข้างหม้อดิน ความระแวดระวังและความหงุดหงิดที่มีต่อเขาถูกความกระตือรือร้นที่จะแนะนำอาหารจานเด็ดกลบลงชั่วคราว “ได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่าของจวนแม่ทัพเป็นคนเจียงหนาน ดังนั้นแม้คนจวนเยียนกั๋วกงจะเป็นคนทางเหนือ แต่ก็กินอาหารทางใต้ เชื่อว่าข้าวขาวชั้นดีจากหังโจวชามนี้จะต้องถูกปากท่านแน่”
มือที่ถือตะเกียบของเขาชะงักไปเล็กน้อย ความอ่อนโยนบางๆ สะท้อนอยู่ในดวงตาจนแทบมองไม่เห็น เรียวปากหยักมุมขึ้นนิดๆ เด็กสาวตาพร่าไปวูบหนึ่ง แล้วมั่นใจอีกครั้งว่าภาพที่ตนเหลือบไปเห็นเมื่อครู่จะต้องเป็นภาพหลอน จะต้องเป็นภาพหลอนแน่ๆ!
แม่ทัพเยียนจอมหน้าตายผู้มีนิสัยร้ายกาจอย่างเขาจะยิ้มเป็นได้อย่างไรกัน
“อืม” เขาก้มหน้าพุ้ยข้าวต่อ
“เป็นอย่างไร อร่อยใช่หรือไม่” นางถูไม้ถูมือถามอย่างตื่นเต้น
“ในเมืองมีข้าวขาวชั้นดีขายตั้งแต่เมื่อใด”
“เอ่อ…” อวี้หมี่แลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้งผาก สายตาหลุกหลิกแบบคนร้อนตัว “ไม่กี่วันก่อน”
“ชาวบ้านแถบชายแดนตะวันออกกินแป้งเป็นอาหารหลัก ในเมืองมีร้านขายข้าวสามร้าน แต่ข้าวที่ขายมีอยู่แค่สองพันธุ์ คือข้าวเหนียวเม็ดกลมจากปินโจวกับข้าวกล้องจากอวี้โจว ข้าวเม็ดเหนียวนุ่มอย่างข้าวเจียงหนานไม่ถูกปากคนที่นี่” เขาเลิกคิ้วมองนาง “ในเมื่อไม่มีคนเอาเข้ามาขาย แล้วเจ้าซื้อมาจากที่ใด”
เด็กสาวตัวแข็งทื่อไปทันใด
ตายแน่แล้ว นางลืมไปเสียสนิทว่าทั่วทั้งชายแดนตะวันออก ไม่ว่าจะกิจทหารหรือราษฎร ไม่มีเรื่องใดที่แม่ทัพใหญ่เช่นเขาไม่รู้
“ถูกต้องๆ ไม่มีใครขาย” ยิ่งคิดนางก็ยิ่งอยากจะกระอัก จากที่คาดหวังรอคอยคำชมจากเขานิดๆ เวลานี้ใบหน้ากลมป้อมดำเป็นก้นหม้อ มาถึงขั้นนี้แล้วมีแต่ต้องยอมรับแบบตายเป็นตาย “ครั้งก่อนที่รถเสบียงจากจวนเยียนกั๋วกงของท่านผ่านมาทางนี้ ข้าเอาเนื้อหมูป่าเค็มชิ้นใหญ่ไปแลกข้าวมาจากท่านป้าที่คุมรถ…แต่เป็นเพราะข้าโกหกนางหน้าด้านๆ ว่าตนเองเป็นโรคเหน็บชา หมอบอกว่าต้องใช้ข้าวเจียงหนานมาทำกระสายยาถึงจะหาย ท่านป้าฟังแล้วสงสารเลยยอมแลกของกับข้า ท่านอย่าโทษนางเลย”
อย่างนี้นี่เอง
เยียนชิงหลางฟังแล้วไม่ได้เลิกคิ้วด้วยซ้ำ เขาพุ้ยข้าวใหม่ชั้นดีเหนียวนุ่มเข้าปากอีกคำ แล้วเคี้ยวกินด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ได้”
“หา?” นางอึ้งจนตาค้าง แค่นี้เองหรือ
ผิดหวังถึงเพียงนี้เชียว? เช่นนั้น…
เขาปรายตามองอีกฝ่าย แล้วกลับคำ “พวกเรามากำหนดเงื่อนไขกัน แล้วข้าจะละเว้นบ่าวอวดดีที่แอบเอาข้าวไปขายเข้าพกเข้าห่อตนเองคนนี้”
“เงื่อนไขอะไร ทะ…ท่านจะแลกเปลี่ยนอะไร” นางตื่นตัวขึ้นมาทันที ใบหน้ากลมป้อมมองเขาอย่างฉุนเฉียว “แล้วอะไรคือ ‘แอบเอาข้าวไปขายเข้าพกเข้าห่อตนเอง’ พวกเราก็แค่แลกเปลี่ยนสิ่งของกันเท่านั้น ต้องกล่าวโทษท่านป้าอย่างร้ายแรงถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“ข้าวปลาอาหารทั้งหมดบนรถเสบียงเป็นของจวนเยียนกั๋วกงกับจวนแม่ทัพ ใช้อำนาจในหน้าที่เบียดบังของเหล่านี้เพื่อประโยชน์ส่วนตนก็ต้องมีโทษตามนั้น” เขาพูดอย่างเย็นชา “จวนแม่ทัพใช้กฎทหารปกครองคน เจ้าว่าบ่าวคนนั้นโทษหนักหรือไม่เล่า”
อวี้หมี่ใจเต้นแรง พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
“หากจะสืบสาวราวเรื่องกันจริงๆ เจ้าเองก็มีความผิดฐานรับของโจรมาเก็บซ่อนไว้เช่นกัน” เขาเสริมเนิบๆ อีกประโยค
“นึกแล้วเชียว” นางพึมพำ ริมฝีปากซีดเผือดสั่นระริก
นึกแล้วเชียวว่าคนอย่างเขาไม่เข้าใจอะไรง่ายๆ หรอก
ปกติก็ชอบมาหาเรื่องนางอยู่แล้ว วันนี้ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะนางเป็นคนส่งหลักฐานเอาผิดให้เขาเองกับมือ อวี้หมี่อยากจะร้องไห้ให้สาแก่ใจแล้วแทงมือตนเองให้ยับ…อยากมือบอน อยากขี้อวดดีนัก ไม่ได้อวดแล้วจะตายหรือไร!
เยียนชิงหลางก้มหน้าคีบเนื้อปลาใส่ปากอย่างสุภาพเรียบร้อยราวกับไม่เห็นใบหน้าขมขื่นกลัดกลุ้มเสียใจของนางอยู่ในสายตา
หลังจากนั้นไม่นาน…
“เอ่อ…” เด็กสาวร่างเล็กรวบรวมความกล้าทำคอหดเข้ามายืนตรงข้างโต๊ะ ใบหน้ากลมเต็มไปด้วยรอยยิ้มประจบ ขณะเอ่ยถามเบาๆ “ต้องกำหนดเงื่อนไขอย่างไร ท่านแม่ทัพใหญ่ถึงจะไม่เอาผิดข้ากับท่านป้า”
“ข้าอยากได้…” เยียนชิงหลางจัดการกับอาหารในหม้อกับข้าวขาวอย่างใจเย็นจนหมดเกลี้ยง ถึงค่อยวางตะเกียบ แล้วเหลือบตาขึ้นจ้องหน้านาง “เจ้า”
“ค่อยยังชั่วๆ ตกอกตกใจหมด นึกว่าจะให้ข้าชดใช้จนสิ้นเนื้อประดาตัวเสียอีก…” นางพยักหน้าหงึกๆ จากนั้นถึงค่อยได้สติ ใบหน้าดวงน้อยแดงก่ำขึ้นมาทันที “ทะ…ท่านพูดว่า…ข้า!?”
“ใช่ ข้าอยากได้เจ้า” เขาพูดซ้ำช้าๆ ทีละคำ
อวี้หมี่แทบกระอักเลือด “นึกแล้วเชียวว่าข้ามองท่านไม่ผิด ตัวเป็นมนุษย์แต่ใจเป็นเดรัจฉาน บ้าตัณ…”
“มาทำอาหารในจวนแม่ทัพหนึ่งเดือน”
“…” คำด่ายาวเป็นพรวนติดคาอยู่ในลำคอทันที
“เมื่อครู่เจ้าจะพูดว่าข้าอะไรนะ” คิ้วดกหนาเลิกขึ้นนิดๆ
“เอ่อ…เปล่านี่!” นางรู้สึกหัวใจหวิวๆ อย่างห้ามไม่อยู่ รีบยิ้มกลบเกลื่อน “ร้านข้าลมแรง หน้าต่างตอกตะปูไว้ไม่แน่นหนาสักเท่าไร มันเลยชอบลั่นเอี๊ยดอ๊าดจนคนหูฝาดไปได้ง่ายๆ…เมื่อครู่ท่านแม่ทัพใหญ่บอกจะให้ข้าเข้าไปทำอาหารในจวนท่านหนึ่งเดือนเพื่อไถ่โทษใช่หรือไม่ แหม ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว พรุ่งนี้ข้าจะรีบเก็บสัมภาระไปรายงานตัวที่จวนท่านแต่เช้าเลยทีเดียว ไม่ต้องให้ท่านส่งรถมารับหรอก ฮ่าๆ”
เยียนชิงหลางเหมือนจะยิ้ม แต่ก็ไม่ใช่
เด็กสาวที่ถูกจ้องจนแข้งขาสั่นจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างหวาดๆ “ท่านแม่ทัพใหญ่ยังมีสิ่งใดจะบัญชาอีกเจ้าคะ”
“ต้นยามเหม่า* พรุ่งนี้ มาสายถูกโบยสิบไม้”
ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นโยนเงินก้อนหนึ่งลงบนโต๊ะแล้วเอามือไพล่หลังเดินจากไป ทิ้งให้อวี้หมี่ยืนทำหน้าซับซ้อนมองก้อนเงินขาวที่มีค่ามากกว่ารายได้ของนางทั้งเดือน แม้จะแอบยินดีอยู่ในใจ แต่ก็ยังโมโหจนคันเขี้ยวอยู่ดี
ความผิดนี้นางเป็นคนก่อเองแท้ๆ ทว่าเหตุใดถึงได้รู้สึกเหมือนตกหลุมพรางเลยนะ
ในคืนนั้น…
“พี่ใหญ่ ข้าตามท่านเข้าจวนแม่ทัพไปช่วยหยิบจับอะไรได้หรือไม่”
“พูดอะไรของเจ้า” อวี้หมี่ที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเก็บสัมภาระเงยหน้าขึ้นจ้องน้องชายอย่างดุดัน “ถ้าปิดร้านไปหนึ่งเดือนเต็ม ลูกค้าไม่คิดว่าพวกเราปิดร้านหนีหรือ ระหว่างที่พี่เข้าไปทำงานเป็นวัวเป็นควายอยู่ในจวนแม่ทัพ แน่นอนว่าเจ้าก็ต้องทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำอยู่ในร้าน จะต้องรักษากิจการที่พี่อุตส่าห์สร้างมาอย่างยากลำบากเอาไว้ให้ได้ล่ะ ได้ยินหรือไม่”
“ขะ…ข้าทำคนเดียวไม่ไหว” อวี้เหลียงแย้งเสียงอ่อย
ลูกค้าพวกนั้นอย่างกับเสือหิวก็ไม่ปาน…
“เป็นบุรุษอกสามศอก อย่าเอาแต่พูดว่าตนเอง ‘ไม่ไหว’ สิ!” นางทำหน้าอ่อนเพลียกับความไม่เอาไหนของอีกฝ่าย ขณะใช้มือเล็กตบไหล่เขาเบาๆ “เป็นน้องที่อวี้หมี่คนนี้เลี้ยงดูมาทั้งที แค่ฆ่าหมูเชือดแพะเอามาต้มผัดแกงทอดน่ะ ไม่คณามืออยู่แล้ว ปกติเจ้าแค่ไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือ ตอนนี้เวลาที่เจ้าจะได้อวดความสามารถ ทำหน้าที่บุรุษสกุลอวี้มาถึงแล้ว พี่เชื่อมั่นใจตัวเจ้านะ!”
“ข้า…”
“ตกลงตามนี้นั่นแหละ” นางโบกมือ แล้วหันมาตรวจสอบต่อว่าห่อสัมภาระสีน้ำเงินขนาดใหญ่ยังขาดอะไรอีกบ้าง
มีดทำครัว…เอามาแล้ว เครื่องเทศนานาชนิด…เอามาแล้ว ตำราอาหารลับของสกุลอวี้…เอามาแล้ว อ้อ จริงสิ ยังขาดมีดปอกผลไม้ที่แสนคล่องมือของนาง
อวี้เหลียงมองพี่สาวลุกๆ นั่งๆ เดี๋ยวหยิบอันโน้นเดี๋ยวคว้าอันนี้ แววตากังวลของเขากะพริบปริบๆ ก่อนจะเดินไปนวดแป้งอยู่เงียบๆ ตรงมุมห้องอย่างยอมรับชะตากรรม
บทที่สอง
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้ายังมืดขมุกขมัว อวี้หมี่ก็สะพายห่อสัมภาระขนาดใหญ่ที่อัดแน่นจนเหมือนจะแตกทะลักได้ทุกเมื่อ ยืน ‘ลาตาย’ กับน้องชายท่ามกลางลมหนาวพัดหวีดหวิว
“ฮือๆ”
“เสี่ยวเหลียง อย่าร้องสิ ร้องมาทั้งคืนแล้ว เจ้าร้องไม่เหนื่อย แต่ข้าฟังจนเหนื่อย” นางถอนหายใจทีหนึ่ง แล้วอดจะปวดแปลบในใจไม่ได้ จากนั้นก็ตบไหล่ที่กระเพื่อมเพราะแรงสะอื้นของน้องชายเบาๆ “แค่เดือนเดียวเอง พอครบหนึ่งเดือนเมื่อไร พี่ก็จะกลับมา อีกอย่างนะ ตัวพี่อยู่ทางโน้น แต่ใจพี่อยู่ทางนี้ พี่จะนึกถึงเจ้าตลอดเวลา”
“ฮือๆ” เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือเขาไม่อยากรับมือกับเหล่าชายฉกรรจ์ท้องหิวเหมือนตั๊กแตนลงทุ่งพวกนั้นคนเดียวต่างหาก…
อวี้หมี่มองน้องชายอย่างปวดเศียรเวียนเกล้า อดจะสองจิตสองใจขึ้นมาไม่ได้
พายุทรายมืดฟ้ามัวดินก่อตัวขึ้นตรงขอบฟ้าไม่ไกลนัก แล้วพัดเข้ามาพร้อมเสียงฟ้าร้องครืนๆ ชวนให้อกสั่นขวัญผวาอย่างยิ่งในความมืดสลัวยามเช้าเช่นนี้
“พายุทรายมา! รีบเก็บเสื้อผ้าเร็วเข้า…ไม่สิ ต้องรีบเข้าไปหลบในบ้านต่างหาก!” นางรีบร้องสั่งเมื่อเห็นท่าไม่ดี
“อือ” อวี้เหลียงเอามือกุมหัววิ่งลนลานกลับเข้าไปในร้าน แต่แล้วก็ฉุกใจขึ้นมาได้ “พี่ใหญ่ ดูเหมือนจะไม่ใช่พายุทรายนะ ข้าได้ยินเสียงฝีเท้าม้า”
“เฮ้อ…เจ้าร้องไห้จนเลอะเลือนไปแล้วหรือไร เสียงฝีเท้าม้าจะดังครืนๆ เหมือนเสียงฟ้าร้องได้อย่างไรเล่า…” พูดมาถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกแปลกๆ เช่นกัน จึงได้หรี่ตาเพ่งมองไป กลีบปากเล็กชุ่มชื้นอ้ากว้างทันที “หา?”
ที่ตรงเข้ามาคือม้า พูดให้ชัดคือม้าลักษณะดีรูปร่างสูงใหญ่กว่าม้าทั่วไปตัวหนึ่งที่ถูกใช้ให้ลดตัวมาลากรถม้าทำจากไม้ต้นถง* ดูเรียบง่ายสมถะทว่าคงทนแข็งแรงอย่างยิ่ง คนบังคับรถม้าคือชายผิวเข้มท่าทางองอาจห้าวหาญ นัยน์ตาเป็นประกายคมกริบ ทั้งที่มีแค่คนหนึ่งคนกับม้าหนึ่งตัว แต่กลับดูทรงอำนาจน่าเกรงขามดุจล่ามโยงม้าศึกและทหารหาญหมื่นพันวิ่งออกมาจากคมดาบคมกระบี่กลางทะเลทราย!
ทะเลทราย ม้าศึกและทหาร…เหตุใดคำที่ผุดขึ้นมาในหัวนางไม่ชอบมาพากลทั้งนั้นเลย
อย่าบอกนะว่า…
คนบังคับรถม้าแค่ดึงบังเหียนเบาๆ ไม่ได้ทำอะไรอื่น รถม้าที่กำลังห้อตะบึงก็หยุดสนิทลงตรงหน้านางทันที อวี้หมี่ยังไม่ทันได้สติก็พบว่าตนเองกำลังตาจ้องตากับม้าตัวเขื่อง…นี่ภาพลวงตากระมัง เหตุใดนางถึงได้รู้สึกว่าเจ้าม้าดำขยิบดวงตากลมโตของมันสองครั้งอย่างกรุ้มกริ่มกันล่ะ
“เอ่อ…” นี่มันอะไรกัน…
“ข้าน้อยเหอหย่ง รับคำบัญชาจากท่านแม่ทัพใหญ่ให้มาคุมตัว…แค่ก…มารับเถ้าแก่เนี้ยอวี้ไปที่จวน” เหอหย่งประสานมือคำนับพลางพูดเสียงก้อง
ใบหน้ากลมป้อมของเด็กสาวบึ้งตึงทันตา
“ต้องขอบคุณท่านแม่ทัพใหญ่มาก” นึกว่านางไม่ได้ยินคำว่า ‘คุมตัว’ อย่างนั้นหรือ
“เชิญ” ขนาดนางแสดงความไม่พอใจออกมาทางสีหน้าอย่างโจ่งแจ้ง เหอหย่งยังไม่แยแส หน้าไม่แดง ลมหายใจไม่ติดขัด ไม่เลิกคิ้ว เคร่งขรึมเยือกเย็นสมเป็นคนหนุ่มใต้การปกครองของกองทัพสกุลเยียนโดยแท้
นางขมุบขมิบปากด่า ก่อนก้าวขึ้นรถม้ายังไม่ลืมส่งสายตาพิฆาตที่อัดแน่นด้วยจิตสังหารไปให้ เหอหย่งไม่ยักถูกข่มขวัญ กลับเป็นน้องชายตนเองที่ตกใจลนลานแทน
“พี่ใหญ่…เข้าไปอยู่ในจวนแม่ทัพ…จะพูดจะทำอะไรต้องระวังให้ดีนะ…” อวี้เหลียงเกาะขอบรถม้าแน่น มองนางตาละห้อย ก้อนสะอื้นแทบจุกคอ น้ำตานองไหลหลั่ง “และก็…อย่าลืมน้องคนนี้เล่า”
“เสี่ยวเหลียง ฝากดูแลร้านด้วยนะ” อวี้หมี่ตบบ่าน้องชายอย่างเข้มแข็ง “ร้องไห้ไปไยกัน ไม่เป็นไรน่า ไว้พี่กำราบเตาไฟจวนแม่ทัพเรียบร้อยก็จะกลับมา!”
“ฮือๆๆๆ”
เหอหย่งมองเงียบๆ อยู่อีกด้าน รู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
คนหนึ่งอารมณ์อ่อนไหวเหลือแสน ส่วนอีกคนก็ความรู้สึกทื่อเหมือนไร้หัวใจ พี่น้องคู่นี้สมกับ ‘ความพิเศษไร้ใดเทียบในชายแดนตะวันออก’ จริงๆ
แต่พอคิดถึงเหตุการณ์ประหลาดที่ท่านแม่ทัพใหญ่กำชับกำชาเขาอย่างผิดปกติวิสัยก่อนออกมา…
คิ้วดกหนาของแม่ทัพเยียนผู้สุขุมเคร่งขรึมไม่ขยับ หากแต่ดวงตาสีดำสนิทดุจหมึกไม่มีประกายคมกริบเหมือนทุกที กลับฉายแววตื่นเต้นอย่างหาได้ยาก…หรือควรต้องบอกว่าเป็นความสนุกแบบร้ายกาจ หรือว่าอาจจะกำลังรอคอย…
สรุปว่าเหอหย่งเห็นแล้วขนสันหลังลุกเกรียวอย่างไม่มีสาเหตุ
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกสงสารเวทนาแม่นางน้อยที่นั่งอยู่ในรถม้าขึ้นมา ที่นางมองโลกในแง่ดี ไม่ได้ล่วงรู้สักนิดว่าหนทางเบื้องหน้ามีแต่ความมืดมิด…
แม่นางผู้น่าสงสารไปทำอะไรให้ท่านแม่ทัพใหญ่ผู้องอาจสง่าดุจเทพสงครามของพวกเขาโกรธเข้านะ
ต้นยามเหม่า ท้องฟ้าเริ่มสว่างรำไร ในที่สุดรถม้าคันนั้นก็แล่นเข้ามาในจวนแม่ทัพด้วยสภาพฝุ่นเขลอะไปทั้งคัน
อวี้หมี่เพิ่งจะลงจากรถม้ายังไม่ทันได้กวาดตาพิจารณาจวนแม่ทัพที่ผู้คนเล่าลือกันว่ามีเนื้อที่กว้างขวาง มีโครงสร้างมั่นคงแข็งแรง ดูเข้มขลังทรงอำนาจ ก็ถูกไล่ให้ไปรายงานตัวที่โรงครัวเล็กสำหรับทำอาหารให้ท่านแม่ทัพโดยเฉพาะเสียก่อน
แม้จะชื่อว่าโรงครัวเล็ก แต่ความจริงไม่เล็กเลยสักนิด แค่แตกต่างจากความโกลาหลวุ่นวายของโรงครัวใหญ่ที่ทำอาหารเลี้ยงบรรดาองครักษ์เอย สาวใช้เอย บ่าวเอย รวมสามร้อยกว่าชีวิต ครัวนี้มีขึ้นตามคำสั่งเฉียบขาดของฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนเยียนกั๋วกงที่แสนห่วงหาอาทรหลานชาย จึงทำอาหารและขนมต่างๆ ให้เยียนชิงหลางคนเดียวโดยเฉพาะ
แต่ฮูหยินผู้เฒ่ามิได้ล่วงรู้เลยว่าหลานที่ตนรักดุจชีวิตแทบจะกินนอนอยู่ในค่ายทหาร โรงครัวเล็กแห่งนี้จึงเอาไว้เลี้ยงปลาหรือตากแห้งอาหารเสียมากกว่า
ผิดกันตรงที่เช้าตรู่วันนี้เยียนชิงหลางมานั่งจิบชาอย่างใจเย็นตรงโต๊ะมุมครัวที่เก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน
“เจ้ามาสาย” เขาวางจอกชาลงพลางกล่าวโทษนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ทั้งที่ท่านแม่ทัพใหญ่ยังเคร่งขรึมเฉียบขาดเช่นปกติ แต่ไม่รู้เหตุใดเหอหย่งที่ยืนนอบน้อมตรงหน้าประตูเพื่อรายงานตัวว่าปฏิบัติหน้าที่สมบูรณ์แล้วถึงได้เห็นรอยยิ้มบางที่แสนน่าสงสัยตรงมุมปากผู้บังคับบัญชา
เหอหย่งยังไม่ทันได้แสดงสีหน้าใดๆ ดวงตาคมกริบดุจสายฟ้าก็ตวัดมองมา ทำเอาเขาสะท้านเฮือก รีบทำความเคารพแล้วเผ่นออกมาอย่างว่องไว
ท่านแม่ทัพใหญ่โปรดไว้ชีวิตด้วย เมื่อครู่ข้าน้อยไม่เห็นอะไรทั้งนั้น แค่ตาฝาดไปเองน่ะขอรับ…ตาฝาดไปจริงๆ
“สายตรงไหนกัน” อวี้หมี่แบกห่อผ้าหนักอึ้งด้วยสีหน้าซีดเผือด เพราะถูกรถม้าเขย่าให้กระเด้งกระดอนมาตลอดทางจนหน้ามืดวิงเวียนพะอืดพะอม ไม่อาเจียนให้เขาดูตรงนี้ก็นับว่าเกรงใจกันพอแล้ว ได้ยินดังนั้นจึงอดกลอกตาไม่ได้ “เมื่อครู่ข้าถามพี่เหอมาเรียบร้อยแล้ว พวกเรามาถึงจวนแม่ทัพต้นยามเหม่าพอดีเป๊ะ ไม่ขาดไม่เกินแม้แต่นิดเดียว”
เหอหย่งที่เดินกลับคอกม้าขนลุกเกรียวอย่างไร้สาเหตุ รีบยกมือลูบต้นคอหวาดๆ
“พี่เหอ?” ดวงตาคมหรี่ลง
ไอเย็นที่เขาแผ่ออกมาแบบกะทันหันทำให้เด็กสาวลมหายใจสะดุด ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอโดยไม่รู้ตัว
“สนิทกันมากหรือ” ทั้งที่เขาถามออกมาเนิบนาบ เสียงก็ไม่ได้ดังขึ้นเลยสักนิด แต่นางกลับรู้สึกว่าหัวใจสะท้านเฮือกสองทีจนต้องหดตัวไปข้างหลังตามสัญชาตญาณ
“ปะ…เปล่า เข้าใจผิด…เป็นเรื่องเข้าใจผิดน่ะ ฮ่าๆ” นางหัวเราะแห้งๆ
“ทีหลังอย่าให้เกิดเหตุเข้าใจผิดเช่นนี้ขึ้นอีกเป็นอันขาด” เขาบอกเรียบๆ
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับท่านด้วย แต่ประโยคนี้นางแค่กล้าถามอยู่ในหัวเท่านั้นแหละ
“เจ้าค่ะ ท่านว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้น” นางงึมงำ “ท่านแม่ทัพใหญ่ยิ่งใหญ่ที่สุดอยู่แล้ว!”
ใบหน้าเคร่งขรึมของเยียนชิงหลางกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะกลับเป็นปกติ แล้วใช้นิ้วเรียวยาวเคาะโต๊ะเบาๆ “ลงมือได้”
“ลงมือทำสิ่งใด” นางเงยหน้าขึ้นถามอย่างงุนงง
“อาหารเช้า”
เด็กสาวได้ยินดังนั้นก็กัดฟันกรอด แล้วพูดฉุนๆ “ท่านแม่ทัพใหญ่ เช้าๆ อย่างนี้ท่านไม่ไปค่ายทหาร แต่มานั่งรอให้ข้าทำอาหารเช้าให้กินน่ะหรือ”
“อืม” เขาตอบอย่างเห็นเป็นเรื่องปกติ
อวี้หมี่อยากจะกลั้นใจตายให้รู้แล้วรู้รอด นางถามอย่างขุ่นเคือง “ทะ…ท่าน…รีบร้อนถึงเพียงนี้เชียวหรือ ข้าเพิ่งจะมาถึงจวนแม่ทัพ ยังไม่ทันได้เข้าห้อง ยังไม่ทันได้วางของ ให้ข้าพักเหนื่อยกินน้ำกินท่าสักหน่อยมันจะตายหรือไร”
“ไม่พอใจมากเลยหรือ” คิ้วดกหนาเลิกขึ้น
“ถามบ้าๆ เป็นท่านท่านจะพอใจหรือ” นางทำตาขุ่น คิ้วตวัดเฉียง
เขาพยักหน้าแล้วทำท่าครุ่นคิด
ความหงุดหงิดที่อัดอั้นอยู่ในใจค่อยทุเลาลงบ้าง ใบหน้ากลมป้อมผ่อนคลายขึ้น พอกำลังจะอ้าปากบอกว่านางต้องกรำแดดกรำฝนตากลมห่มทรายมาตลอดทาง กว่าจะมาถึงที่นี่ลำบากลำบนเพียงไร เสียงเอื่อยๆ ของเขาก็ดังขึ้นเสียก่อน
“มื้อเช้าทำโจ๊กข้าวฟ่างกับซาลาเปานึ่งแล้วกัน” เขานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ “ข้าไม่กินไส้กุยช่าย นอกนั้นก็พิจารณาเอา”
อะไรกัน! ท่านแม่ทัพเยียนจะยึดติดกับมื้อเช้าไปถึงไหน!?
อวี้หมี่ผู้ทรมานจากการเมารถซ้ำยังถูกปลุกเพลิงโทสะให้ลุกพึ่บด้วยคำพูดไม่กี่ประโยคแทบอยากเขวี้ยงห่อสัมภาระในมือใส่หน้าฝ่ายตรงข้าม
หมายจะส่งเสียงคำรามระบายอารมณ์สักตั้ง แต่พอมองสบนัยน์ตาลึกล้ำด้วยห้วงรัตติกาลที่คล้ายกำลังยิ้มอยู่ของเขา ในหัวนางก็ระเบิดบึ้ม ความกล้าฝ่อไปทันทีอย่างไม่เอาอ่าว สู้ก็สู้ไม่ได้ ด่าก็ด่าไม่ชนะ เมื่อเป็นเช่นนี้มีแต่ต้องยอมก้มหัวให้เท่านั้น
“…ไส้หมูกับผักกาดขาวได้ใช่หรือไม่” นางรู้สึกละอายแก่ใจที่ตนเองต้องตามใจเขาอย่างสุดซึ้ง
“ได้” เยียนชิงหลางผายมือน้อยๆ ด้วยท่าทาง ‘ข้าเป็นผู้ใหญ่ใจกว้างไม่ถือสาหาความกับผู้น้อย’
แม้ใจจะแช่งชักหักกระดูกเขาอย่างไร อวี้หมี่ก็ไม่กล้าระบายอารมณ์ออกมาทางคำพูด นางแกะห่อสัมภาระแต่โดยดี หยิบมีดชนิดต่างๆ ออกมาเรียงกันเป็นตับ แล้วหันไปทำความคุ้นเคยกับโรงครัวเล็กที่เต็มไปด้วยข้าวของเบ็ดเตล็ดจากทางเหนือและทางใต้ ตลอดจนหมูเห็ดเป็ดไก่และปลาเป็น
จุๆ อุดมสมบูรณ์ถึงเพียงนี้ เปิดร้านสุรายังพอถมเถ
คิดมาถึงตรงนี้ก็อดจะหันไปทำตาขวางใส่บุรุษร่างสูงที่นั่งสบายอารมณ์อยู่ตรงมุมไม่ได้
คนขี้ตืด มีของกินกองเต็มครัวยังมาเอาเรื่องข้าเพราะปลาตัวเดียวกับข้าวแค่สองโต่ว* อีกนะ…
ปากยังบ่นงึมงำไม่หยุด แต่มือทำงานคล่องแคล่วว่องไวเหมือนเก่า เพียงครู่เดียวก็ซาวข้าวฟ่างใส่หม้อยกขึ้นตั้งไฟ นวดแป้งจนเสร็จ ระหว่างรอให้แป้งหมักตัวก็หันไปสับผักกาดขาวกับเนื้อหมูเพื่อทำไส้ แล้วใส่อ่างนวดกับน้ำขิงสดและน้ำ พอเหลือบไปเห็นเห็ดกระดุมดอกใหญ่อวบอ้วนขาวราวกับหิมะอยู่ในตะกร้าผักก็หยิบมาหั่นใส่ชามอ่างด้วยเพื่อเพิ่มรสชาติสดใหม่แบบอาหารภูเขา
แป้งที่หมักตัวได้ที่อ่อนนุ่มยืดหยุ่นดี นางกะความจุกระเพาะอาหารของบุรุษตัวโตๆ เช่นเขา แล้วแบ่งแป้งออกมาห้าหกก้อน ที่เหลือใช้ผ้าคลุมไว้ อีกเดี๋ยวจะได้เอามานึ่งเป็นหมั่นโถวเสริมทัพ
มือเล็กห่อซาลาเปาลูกขาวกลมอ้วนใส่ลังถึงยกขึ้นตั้งไฟ จากนั้นก็ล้างมือจนสะอาด แล้วหยิบแตงกวาสามสี่ลูกมาหั่นเป็นแว่น โรยเกลือบางๆ ตามด้วยน้ำตาลกรวด น้ำส้มหมักข้าวจากเจิ้นเจียง เหยาะน้ำมันงาลงไปนิด เท่านี้ก็ได้เครื่องแกล้มสดกรอบหวานๆ เปรี้ยวๆ น่าอร่อย
เยียนชิงหลางจ้องมองการเตรียมอาหารที่แสนคล่องแคล่วของนาง ร่างเล็กอวบกลมเดี๋ยวก็ก้มลงดูความแรงของฟืนในเตา เดี๋ยวก็ชะโงกขึ้นมาดูข้าวฟ่างที่ส่งกลิ่นหอมฉุยอยู่ในหม้อดิน การทำงานและความร้อนทำให้ใบหน้าดวงน้อยแดงเรื่อ เหงื่อเม็ดใสผุดพรายขึ้นมาตามหน้าผากและลำคอ
แม้เรือนผมจะค่อนข้างยุ่ง สวมชุดผ้าฝ้าย รอบตัวนางก็ยังเต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่นที่ทำให้หัวใจอุ่นอวลตามไปด้วย
เป็นความรู้สึกสงบสุขอิ่มเอมตามวิสัยปุถุชนอย่างหนึ่ง…
แม่ทัพหนุ่มจ้องมองนางตาไม่กะพริบ ความอบอุ่นที่แม้แต่ตนเองยังไม่รับรู้สะท้อนอยู่ในดวงตา
เท่าที่เขาประสบพบเจอมากับตัว ต่อให้แม่นางน้อยคนนี้โมโหจนกระทืบเท้าเร่าๆ รับประกันได้เลยว่าเพียงแค่หันไปอีกทาง นางก็ลืมความโกรธจนหมดสิ้น ไม่รู้จะชมว่าเป็นพรที่สวรรค์ประทานมาให้หรือควรบอกว่านางเกิดมาสติไม่สมบูรณ์ดี เหมือนอย่างตอนนี้ เมื่อครู่ยังทำท่าหัวฟัดหัวเหวี่ยงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่เขาอยู่ชัดๆ แต่พอยุ่งกับงานครัวเข้าหน่อยก็กลับไปมีท่าทางเบิกบาน สองตาเป็นประกายอีกแล้ว
“เอาล่ะ เรียบร้อย!” หลังจากแง้มดูซาลาเปานุ่มฟูในลังถึงเป็นครั้งสุดท้าย นางก็เปิดฝา หยิบซาลาเปามาใส่จานอย่างไม่กลัวร้อน แล้วยกมาวางบนโต๊ะพร้อมหม้อดินใส่โจ๊กข้าวฟ่างเหนียวข้นหอมกรุ่นและแตงกวาเปรี้ยวหวานจานนั้น “เชิญท่านแม่ทัพใหญ่”
“ลำบากเจ้าแล้ว” เขาพยักหน้า หลุบตากินมื้อเช้าด้วยกิริยาห้าวหาญทว่าสุภาพเรียบร้อย
ท่าทางตอนกินข้าวของเขาสะกดสายตาให้อวี้หมี่มองจนเหม่อ หน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
หากตัดนิสัยข่มเขื่องวางอำนาจที่แสนน่ารังเกียจออกไป แม่ทัพเยียนก็นับเป็นชายหนุ่มรูปงามมากคนหนึ่ง ดวงตาลึกล้ำ จมูกโด่ง ริมฝีปากได้รูปสวย ซ้ำยังมีรูปร่างสูงใหญ่กำยำ น่ามองไปหมดทุกสัดส่วน…
ยามนั้น นางพลันได้สติกลับมาจากเสียงกลืนน้ำลายของตนเอง แล้วผงะถอยไปข้างหลังสองก้าวด้วยความตกตะลึง
“หืม?” เขาเงยหน้าขึ้นมองเมื่อได้ยินเสียง เรียวปากได้รูปสมบูรณ์แบบเปื้อนคราบน้ำมันเป็นประกายแวววาว เห็นแล้วช่าง…ชวนให้น้ำลายหกอย่างยิ่ง!
อวี้หมี่กระโดดโหยงเหมือนกระต่ายตกใจ แล้วคว้าห่อสัมภาระวิ่งปรู๊ดไปข้างนอกอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง แค่ฝากคำพูดไว้ในสายลม “ค่อยๆ กินนะเจ้าคะ…”
ทิ้งเยียนชิงหลางซึ่งนั่งถือซาลาเปาที่กินไปครึ่งลูกให้ทำหน้างงงันอยู่ในครัวคนเดียว
ครู่ใหญ่ ไหล่กว้างของชายหนุ่มก็กระเพื่อมน้อยๆ คล้ายทอดถอนใจ ทว่าในขณะเดียวกันก็เหมือนกลั้นหัวเราะ
จวนแม่ทัพพิทักษ์บูรพาปกครองคนด้วยกฎทหาร อวี้หมี่วิ่งพรวดพราดเหมือนไฟลนก้นในจวนที่ควบคุมความประพฤติอย่างเคร่งครัดเฉียบขาด ถือว่าแสดงพฤติกรรมไม่เคารพต่อท่านแม่ทัพอย่างร้ายแรง
ทว่าเมื่อเหล่าองครักษ์ยอดฝีมือที่พรางตัวอยู่ในจวนแม่ทัพอย่างแนบเนียนจะโผล่ออกมาเอาเรื่องนางนั้น หญิงสูงวัยที่ไม่รู้ว่าปรากฏตัวขึ้นจากที่ใดก็ยกมือขึ้นนิดๆ เป็นเชิงปราม ยังความประหลาดใจให้ยอดฝีมือที่เร้นกายอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ กำแพง หรือชายคาเรือนอย่างมาก ส่วนอวี้หมี่ก็ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเมื่อครู่เกือบรักษาหัวเอาไว้ไม่ได้
“แม่นางอวี้” หญิงชราในอาภรณ์สีดำส่งเสียงเรียกด้วยใบหน้าเฉยชา “ในจวนแห่งนี้จะวิ่งพรวดพราดหรือส่งเสียงเอะอะไม่ได้ ใครฝ่าฝืนจะต้องแบกโอ่งกระโดดสามร้อยครั้ง แม่นางอวี้โปรดจำให้ขึ้นใจด้วย”
“เอ่อ…” นางมองหญิงสูงวัยที่พูดจาเหี้ยมโหดอำมหิตด้วยสีหน้าและน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะรับคำหวาดๆ “เจ้าค่ะ ข้าน้อยทราบแล้ว ไม่ทราบว่าท่านคือ?”
“ข้าคือแม่นมเหยียน ผู้ดูแลจวนแม่ทัพพิทักษ์บูรพา ต่อไปหากแม่นางอวี้มีเรื่องอันใด มาหาข้าหรือหาเทาเทียนที่เป็นพ่อบ้านประจำจวนก็ได้” น้ำเสียงของแม่นมเหยียนเรียบเฉย ไม่มีการทอดสนิทแม้แต่นิดเดียว ทว่าไม่มีนัยดูถูกเหยียดหยันด้วยเช่นกัน
“คารวะแม่นมเหยียน” นางใจเต้นแรงอย่างไร้สาเหตุ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง “เรียกข้าว่าอวี้หมี่เถิดเจ้าค่ะ ถึงข้าจะเข้ามาเป็นแม่ครัวในจวนนี้แค่เดือนเดียว แต่หากอยากให้ทำอะไรหรือต้องการชี้แนะสิ่งใดก็เชิญบอกมาได้เต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจกัน”
ฝ่ายตรงข้ามกวาดตามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าหนึ่งตลบ แม้แต่สายตาก็ยังนิ่งทื่อไร้อารมณ์ “ได้”
สายตาของนางทำให้อวี้หมี่ขนหัวลุก ความคิดหนึ่งผ่านเข้ามาในหัวอย่างห้ามไม่อยู่…หากทุกคนในจวนแม่ทัพพิทักษ์บูรพาหน้าตายเหมือนเยียนชิงหลางหรือแม่นมเหยียน หนึ่งเดือนต่อไปนี้จะให้คนนิสัยร่าเริงเบิกบานเช่นนางมีชีวิตอยู่อย่างไร
“เจี้ยนหลัน” แม่นมเหยียนเอ่ยเรียก
“เจ้าคะ” สาวใช้หน้าตางดงามรูปร่างสะโอดสะองนางหนึ่งสาวเท้าเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว บุคลิกแช่มช้อยสง่างามแบบหญิงที่ได้รับการอบรมจากตระกูลใหญ่
อวี้หมี่กะพริบตาปริบๆ แล้วอดริษยาอยู่ในใจไม่ได้…โอ้โห ดูไม่ออกเลยจริงๆ ว่าจวนแม่ทัพพิทักษ์บูรพาที่แข็งทื่อหนาวเหน็บจะมีสาวใช้งามหยาดเยิ้มถึงเพียงนี้ ต่อไปหากข้าเปิดร้านขายของจนร่ำรวย เห็นทีต้องหาเด็กสาวๆ หน้าตาแฉล้มแช่มช้อยมาเป็นสาวใช้บ้าง จะต้องดูมีอำนาจบารมีอย่างมากแน่
“พาแม่นางอวี้ไปที่เรือน”
“เจ้าค่ะ” เจี้ยนหลันย่อตัวคำนับนาง แล้วใช้น้ำเสียงสุภาพที่ไม่แสดงตัวว่าสูงกว่าหรือต่ำกว่าพูดขึ้นว่า “แม่นางอวี้ เชิญตามมาทางนี้”
“เอ่อ…” นางมองกิริยาอ่อนช้อยของหญิงงามอย่างเคลิบเคลิ้มอยู่ครู่หนึ่งถึงค่อยได้สติ แล้วยกมือเกาแก้มเขินๆ “ขอบคุณมาก”
เจี้ยนหลันเพียงแค่ยิ้มบาง แล้วเดินนำหน้าอย่างสง่างาม
อวี้หมี่ที่เดินตามอยู่ข้างหลังเงยหน้ามองอีกฝ่าย ก่อนจะก้มหน้ามองตนเองแล้วให้รู้สึกอดสูใจเมื่อพบว่าความจริงคนที่เหมือนสาวใช้คือตนต่างหาก
ระหว่างที่คิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น นางก็ถูกพาเข้ามาในเรือนขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กหลังหนึ่งที่เก็บกวาดไว้อย่างสะอาดสะอ้าน ที่จริงต้องบอกว่าเป็นห้องนอนห้องหนึ่ง แต่มีเฉลียงรับแขกเล็กๆ วางโต๊ะกับม้านั่งทรงกลมที่ทำจากไม้หลี* ตู้ลิ้นชักห้าชั้นสองใบทำจากไม้เนื้อดีที่น่าจะมีอายุพอควร ด้านหลังฉากบังตาไม้ฉลุลายเรียบง่ายคือเตียงนอนสีแดง แขวนผ้าแพรสีฟ้าเป็นม่านหน้าเตียงแบบสมถะ ผ้าปูเตียงเป็นสีเดียวกัน นอกจากนั้นยังมีผ้าห่มที่ดูนุ่มฟูน่าสบาย
ห้องนี้แตกต่างจากความหรูหราอลังการแบบตระกูลใหญ่ที่นางคิดภาพไว้ แต่ก็สมเป็นเรือนในจวนแม่ทัพพิทักษ์บูรพาเพราะสมถะเรียบง่ายไม่ต่างจากเยียนชิงหลาง
“แม่นางเชิญพักผ่อนตามสบาย บ่าวขอตัวก่อน”
“ขอบคุณมาก ไปทำงานเถิด”
เมื่อเจี้ยนหลันเดินออกไปแล้ว ประสาทที่ตึงเครียดตั้งแต่เช้าของอวี้หมี่ก็ได้ผ่อนคลายเสียที นางโยนห่อสัมภาระทิ้ง แล้วกระโจนเข้าใส่ผ้าห่มนุ่มนิ่มบนเตียง
เหนื่อยเหลือเกินๆ เพิ่งจะย่างเท้าเข้าจวนแม่ทัพได้ไม่ถึงชั่วยาม แต่เหตุใดจึงรู้สึกเหนื่อยยิ่งกว่าทำอาหารเลี้ยงลูกค้าสักร้อยแปดสิบคนอีกนะ
จะว่าไป…
“เสี่ยวเหลียงคงรับศึกไหวกระมัง” นางพึมพำกับตนเอง
เสียดายที่จวนแห่งนี้อยู่ไกลจากร้านริมทางมากเกินไป จึงไม่ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของอวี้เหลียงผู้กำลังถูกรุมกลุ้มด้วยเหล่าลูกค้าที่กำลังอารมณ์ขึ้นจนตาเป็นประกายวาววับด้วยความหิว
ภายในโรงครัวเล็ก อวี้หมี่ที่พักผ่อนเสร็จแล้วกำลังนั่งยองๆ อยู่ตรงมุมหนึ่ง มองดูถั่วเขียวที่เขียวสดน่ารัก ถั่วแดงที่แดงสดใส และถั่วปากอ้าเม็ดเต่งตึงที่เก็บแยกเป็นไหๆ อย่างปลาบปลื้ม
“ดีเหลือเกิน มีถั่วเยอะเช่นนี้” นางใช้มือช้อนถั่วขึ้นมาอย่างมีความสุข รับรู้สัมผัสจั๊กจี้ยามเม็ดถั่วกลมลื่นกลิ้งไปมาบนฝ่ามือจนอดยิ้มเบิกบานไม่ได้ “ทีนี้ก็ได้ใช้สูตรอาหารที่ท่านแม่สืบทอดมาแล้ว!”
แม้จะเข้าฤดูใบไม้ร่วง แต่แถบชายแดนตะวันออกก็ยังถูกแดดแผดเผาเหมือนเก่า มีเพียงตอนเช้ากับตอนกลางคืนเท่านั้นถึงจะมีลมเย็นพัดผ่าน นางไปสืบถามมาจนรู้ว่าปกติเยียนชิงหลางกินนอนในค่ายทหาร แต่ระยะนี้จะกลับจวนเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน
ช่วงเวลาที่อากาศยังร้อนอบอ้าว อีกทั้งชายหนุ่มยังเหนื่อยกับการฝึกทหารในค่ายทั้งวัน คงไม่รู้สึกอยากอาหารและกินอะไรหนักๆ ไม่ลงในมื้อเย็น
อวี้หมี่ใช้จานตักถั่วเขียวขึ้นมาแช่น้ำเปล่า แล้วเลือกรากบัวอวบๆ สองสามรากมาปอกเปลือกนึ่งให้สุก นอกจากนั้นเมื่อเห็นว่ามีดอกกุ้ยแห้งสีเหลืองทองกลิ่นหอมฟุ้งอยู่ห่อหนึ่งก็ตวงใส่ไหเล็กหนึ่งถ้วย เติมสุราข้าวหมากรสหวานลงไปพอท่วม ก่อนจะปิดปากไหไว้อย่างแน่นหนา
สุราข้าวหมากดอกกุ้ยนี้ต้องหมักไว้สามวันถึงจะได้ที่ จะต้มดื่มร้อนๆ หรือนำมาทำขนมหวานก็อร่อยทั้งนั้น นางลองหมักไว้ไหหนึ่งก่อน หากเยียนชิงหลางกินแล้วชอบค่อยหมักเพิ่มหลายๆ ไห
ถั่วเขียวที่แช่จนนิ่มแล้ว นางสะเด็ดน้ำออก ใส่โม่หินขนาดเล็กโม่ให้แหลก คลุกเคล้ากับรากบัวสุกสับละเอียดจนเข้ากันดี เทใส่ถาดเหล็กทรงแคบตื้น ยกขึ้นตั้งไฟจนสุกแข็งเป็นเนื้อเนียนสีเขียวอ่อนที่มีสีขาวพิสุทธิ์แซมประปราย จากนั้นยกไปแช่ให้เย็นในบ่อน้ำด้านนอกทั้งถาด
ถั่วลิสงคั่วจนหอมนำมาบดพักไว้ ผักชี พริก กระเทียมซอยบางๆ ไว้รอเยียนชิงหลางกลับมาค่อยราดน้ำปรุงรสลงไปก่อนยกขึ้นโต๊ะ
นางหยิบหมูเค็มมาแล่เป็นแผ่นบางเฉียบ เต้าหู้ก็หั่นเป็นแผ่น จับเต้าหู้หนึ่งแผ่นวางซ้อนหมูเค็มที่มีสัดส่วนของมันกับเนื้อแดงแบบพอดิบพอดีหนึ่งชิ้น แล้วใช้น้ำเต้าที่ขูดเป็นเส้นยาวตากแห้งมามัดไว้ จัดเรียงใส่ลังถึงและยกขึ้นตั้งไฟ
แป้งที่หมักทิ้งไว้เมื่อเช้า นางเอามาปั้นเป็นหมั่นโถวก้อนเท่าฝ่ามือ ยัดรากบัวสับก้อนกลมเล็กไว้ข้างใน รากบัวสับส่วนนี้นางผสมน้ำตาลทรายแดงลงไปด้วยเล็กน้อย พอนึ่งสุกแล้วกัดกินจะมีรสหวานปะแล่ม ตอนทำขายที่ร้าน ต่อให้เป็นผู้ชายดิบหยาบที่ไม่ชอบของหวานยังกินได้มื้อละเจ็ดแปดก้อนเป็นอย่างต่ำ
เมื่อเห็นว่าน่าจะได้เวลาแล้ว เจี้ยนหลันก็เดินเข้ามาบอกเบาๆ พอดี “แม่นางอวี้ ท่านแม่ทัพใหญ่กลับมาแล้ว เวลานี้กำลังอาบน้ำอยู่ ท่านเตรียมอาหารได้เลย”
“อ้อ ทราบแล้ว” อวี้หมี่หั่นผักกาดต้นอวบอ้วนสดกรอบกำหนึ่ง ล้างน้ำให้สะอาด แล้วโยนใส่กระทะที่เจียวน้ำมันกระเทียมจนร้อน ใช้ตะหลิวตลบสองที แล้วโรยเกลือกับเนื้อบ๊วยที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ลงไป เติมน้ำเปล่าจนควันขึ้นก็รีบตักขึ้นมา ได้เป็นผัดผักสีเขียวสดขึ้นมันเงาชวนน้ำลายหกอีกหนึ่งจาน
นางยกถาดเหล็กขึ้นจากบ่อน้ำ หั่นวุ้นรากบัวกับถั่วเขียวให้เป็นเส้น จัดใส่ชามก้นลึกใบใหญ่ โรยถั่วลิสงป่น ผักชีซอย พริกซอย กระเทียมซอยไว้ด้านบน สีเหลืองทองของถั่วลิสง สีเขียวของผักชี สีแดงของพริก และสีขาวของกระเทียมตัดกับเส้นรากบัวถั่วเขียวที่เป็นวุ้นใสได้อย่างสวยงาม
สุดท้ายนางราดน้ำปรุงรสที่ผสมจากน้ำส้มดำ น้ำส้มหมักข้าว น้ำตาลกรวด และซีอิ๊วงาอีกเล็กน้อยลงไปเพิ่มความหอม รสเปรี้ยวเผ็ดนำ ช่วยเรียกน้ำย่อยได้ดี
ถาดไม้ใบใหญ่เรียงรายไปด้วยเข่งเล็กใส่หมั่นโถวก้อนกลมกลึงกะทัดรัดส่งกลิ่นแป้งสุกหอมฉุย ชามก้นลึกใส่เส้นรากบัวถั่วเขียว ผัดผักกาดหอมกลิ่นกระเทียม จานหมูเค็มซ้อนเต้าหู้แผ่นสีแดงขาว และสุราขาวเฝินจิ่วรสร้อนแรงอีกหนึ่งกา แค่เห็นก็น้ำลายไหล
“เรียบร้อย” นางยื่นถาดให้เจี้ยนหลัน
สาวใช้มองใบหน้ากลมป้อมที่แดงเรื่อและชื้นเหงื่อของนางแล้วทำท่าจะพูดอะไรออกมา แต่ยั้งตนเองไว้ได้ ก่อนจะพยักหน้า ถือถาดเดินออกไป
“ง่ายๆ สบายมาก!” นางปาดเหงื่อ นั่งไขว่ห้างข้างเตาไฟพลางดื่มน้ำรสหวานสดชื่นจากบ่อ แล้วพรูลมหายใจยาวเหยียดอย่างสบายอารมณ์ “ข้ารึอุตส่าห์กลัวแทบตาย นึกว่าจวนแม่ทัพนี่เป็นภูเขาดาบทะเลเพลิงบ่อมังกรพิษเสียอีก ปรากฏว่าจัดการได้ง่ายๆ เช่นนี้”
ตอนที่เยียนชิงหลางบอกว่านางมีหน้าที่ทำอาหารให้คนคนเดียวกิน นางยังนึกว่าปากเขาแกล้งทำเป็นใจกว้างไปอย่างนั้น แต่ใจจริงไม่รู้ว่าคิดวิธีทรมาทรกรรมนางไว้อย่างไรบ้าง ไม่นึกว่ากลับกลายเป็นนางเองที่ตัดสินวิญญูชนด้วยสายตาคนถ่อย
“น่ากลัวว่าบนโลกคงมีสตรีที่องอาจเข้มแข็ง มีความละอายแก่ใจ รู้จักยอมรับผิดอย่างกล้าหาญเช่นอวี้หมี่คนนี้แค่ไม่กี่คนหรอก!” นางประเมินตนเองเสร็จสรรพก็พูดออกมาอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
เจี้ยนหลันถือถาดหนักอึ้งเดินมาถึงหน้าประตู พอได้ยินประโยคนั้นก็หางตากระตุกอย่างห้ามไม่อยู่
แม่นางอวี้ผู้นี้ช่าง…เห็นคุณค่าในตนเองดีจริง
“แม่นางอวี้” สาวใช้กระแอมเบาๆ แล้วยกมุมปากคลี่ยิ้มละมุนตาอย่างสุภาพ “ท่านแม่ทัพใหญ่บอกว่าแม่นางอวี้ใช้ความชมชอบของตนเองประเมินความชมชอบของผู้อื่น จึงเข้าใจไปว่าทุกคนชอบกินรสเผ็ดๆ เปรี้ยวๆ หวานๆ แบบสตรีกันหมด นับเป็นแม่ครัวที่ไม่ได้มาตรฐาน ดังนั้นแม่นางอวี้โปรดเตรียมอาหารเย็นใหม่อีกชุด…ตามหน้าที่ด้วย”
“พรวด! แค่กๆ” น้ำที่เพิ่งดื่มเข้าไปในปากอวี้หมี่พุ่งพรวดออกมาสาดไปทั่ว นางสำลักจนแทบขาดอากาศตาย ใบหน้ากลมป้อมเป็นสีแดงก่ำ “แค่กๆ เขาว่า…แค่กๆ…ว่าอย่างไรนะ”
สมแล้วที่เจี้ยนหลันเป็นคนในจวนแม่ทัพ จึงเคลื่อนไหวได้ว่องไวอย่างยิ่งยวด อาหารเลิศรสนานาชนิดบนถาดยังปลอดภัยดี ไม่กระฉอกออกมาแม้แต่นิดเดียว ดวงหน้างามยังยิ้มละไม “แม่นางอวี้โปรดเร่งมือด้วย ท่านแม่ทัพใหญ่รอกินข้าวอยู่”
มารดามันเถอะ! หากเยียนชิงหลางยืนอยู่ตรงนี้ นางจะพ่นน้ำใส่หน้าเขาให้ตาย หรือไม่ก็จับบีบคอให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย!
มีอย่างหรือมารังแกกันแบบนี้…
“ไม่ชอบกินเผ็ดกินเปรี้ยวกินหวาน คราวก่อน คราวก่อนนั้น แล้วก็คราวก่อนโน้น ใครกันมาที่ร้านแล้วแย่งซี่โครงแพะเปรี้ยวหวาน แกงเปรี้ยวเผ็ด แล้วก็ข้าวเหนียวถั่วหวานของข้าไปกิน!” นางเอ่ยด้วยโทสะพลุ่งพล่าน
“แม่นางอวี้โปรดระวังวาจาด้วย” เจี้ยนหลันหุบยิ้ม ใบหน้าเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย “ลบหลู่เจ้านาย ทำให้ท่านแม่ทัพใหญ่เสื่อมเสีย ต้องรับโทษตามกฎทหารให้โบยแปดสิบไม้ ตบปากหนึ่งร้อยครั้ง แม่นางโปรดอย่าได้ทำลายระเบียบของจวนนี้โดยเจตนาเลย”
คำก็กฎทหาร สองคำก็ระเบียบ เดี๋ยวก็แบกโอ่งกระโดด เดี๋ยวก็โบยแปดสิบไม้ เดี๋ยวก็ตบปาก…ที่นี่มันจวนแม่ทัพหรือที่คุมขังนักโทษกันแน่!
อวี้หมี่กัดริมฝีปากด้วยความโมโห จะล้มโต๊ะระบายอารมณ์ก็ไม่กล้า โดยเฉพาะเมื่อคิดได้ว่าตนเป็นชาวบ้านตัวเล็กๆ ไม่มีสิทธิ์มีเสียง เทียบกับเยียนชิงหลางผู้ทรงอำนาจในแถบชายแดนตะวันออก ก็ไม่ต่างอะไรจากแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ
“ได้ ข้าจะทน” นางหน้าซีดสลับแดง สุดท้ายก็กลั้นอกกลั้นใจเค้นเสียงลอดไรฟัน “เหลืออีกยี่สิบแปดวัน”
ในที่สุดสายตาของเจี้ยนหลันก็สะท้อนความเห็นอกเห็นใจออกมา “ท่านแม่ทัพใหญ่สั่งว่าหากแม่นางอวี้เอ่ยถึงเรื่องนี้ ให้บ่าวบอกท่านว่า ‘เดือนนี้เดือนใหญ่ มีสามสิบวัน’ ”
กลยุทธ์เลิศล้ำที่ท่านแม่ทัพใหญ่คิดขึ้นในกระโจมกลางค่าย สามารถสยบข้าศึกได้ล่วงหน้าตั้งแต่อยู่ห่างออกไปพันลี้ราวกับมีญาณหยั่งรู้ เขาเอามาใช้จัดการกับหญิงอ่อนแออย่างนั้นน่ะหรือ
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอฝากคำพูดให้แม่นางเจี้ยนหลันไปรายงานท่านแม่ทัพใหญ่นายของเจ้าประโยคหนึ่งได้หรือไม่” หลังจากหน้าซีดสลับเขียวได้สักพัก ใบหน้าของอวี้หมี่ก็กลายเป็นสีดำสนิทราวกับก้นหม้อ ขณะแค่นเสียงเย็นชา
“เชิญว่ามาได้”
“บอกเขาว่าไปกินมูลเสียไป!”
การประเดิมศึกแรกในจวนแม่ทัพ แม่ทัพเยียนเป็นฝ่ายรุกก่อน แล้วเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ
บทที่สาม
คืนนั้นอวี้หมี่นึกว่าตนเองจะถูกลากไปลงโทษตามกฎทหาร ปรากฏว่าหลังจากที่โยนกระทะทิ้งและด่าเขาจนเสร็จแล้ว เยียนชิงหลางก็ยังไม่โผล่หน้ามาเอาโทษนางที่ฝ่าฝืนกฎ กลับเป็นแม่นมเหยียนที่มาหานางอีกครั้งก่อนเข้านอน
“แม่นางอวี้”
“…เจ้าคะ” ไม่รู้เพราะเหตุใด พอเจอใบหน้าเฉยชาไม่ยินดียินร้ายของแม่นมเหยียน ความสะใจที่ได้ระบายอารมณ์ออกไปอย่างเผ็ดร้อนเมื่อครู่ถึงได้ถูกแทนที่ด้วยความพรั่นพรึง
“ข้าเป็นแม่นมของท่านแม่ทัพใหญ่ ท่านแม่ทัพใหญ่องอาจห้าวหาญ แต่ก็เป็นคนใจคอกว้างขวางมากคนหนึ่งเช่นกัน”
อวี้หมี่อึ้งไป อดจะบ่นงึมงำอยู่ในใจไม่ได้ว่า มารดามันเถอะ! หากเป็นคนใจคอกว้างขวางจะกลั่นแกล้งเด็กสาวบอบบางที่ไม่มีแม้แต่แรงจะมัดไก่เช่นข้าหรือ
“ข้าไม่มีลูก ท่านแม่ทัพใหญ่จึงเป็นเหมือนญาติเพียงคนเดียวของข้า”
อวี้หมี่พยักหน้าหงึกๆ แล้วชักรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา
“ดังนั้นใครก็ตามที่ดูหมิ่นท่านแม่ทัพใหญ่ ทำให้ท่านแม่ทัพใหญ่ไม่พอใจ ก็เท่ากับหาเรื่องข้าด้วยเช่นกัน” แม่นมเหยียนยังทำหน้านิ่ง ทว่าสองตากลับเป็นประกายวาววับ “แม่นางอวี้อยากลองหรือไม่”
ท่ามกลางความมืดมิดยามวิกาล รอบตัวหญิงสูงวัยเต็มไปด้วยบรรยากาศเย็นเยียบราวกับภูตผี…
“ข้าทราบแล้วๆ ต่อไปข้าจะพยายามสะกดอารมณ์ ข่มอกข่มใจให้ดี…” หัวใจของอวี้หมี่สั่นสะท้าน ขนสันหลังตั้งชัน ก่อนจะยกมือกุมหัววิงวอน “ฮือ…ได้โปรดอย่าฆ่าข้าเลย”
“แม่นางอวี้พูดเป็นเล่น ข้าเป็นคนเหี้ยมโหดอำมหิตที่เอะอะก็จะฆ่าจะแกงกันอย่างไร้เหตุผลที่ไหนเล่า” เห็นอวี้หมี่เอามือกุมหัวตัวสั่นงันงกเป็นนกกระทา ดวงตาของแม่นมเหยียนก็โชนแสงวาบ มุมปากกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะพูดเนิบนาบ
ชิงเกอเอ๋อร์พูดถูก แม่นางน้อยคนนี้น่าสนใจจริงๆ
“ดังนั้นแม่นมหมายความว่า…ท่านไม่โกรธข้าหรือเจ้าคะ” นางเงยหน้าขึ้นอย่างคาดหวัง
“ข้าหมายความว่าแม่นางอวี้พูดจาลบหลู่ท่านแม่ทัพใหญ่ ตามหลักแล้วควรเข้าไปขอขมา ให้ท่านแม่ทัพใหญ่อภัยให้ถึงจะถูก” หญิงสูงวัยแค่นเสียงขึ้นจมูกดังหึ
อวี้หมี่กลืนน้ำลายลงคอ แล้วงึมงำอย่างมีทิฐิแกมขัดแย้งในตนเอง “บุรุษอกสามศอกเช่นเขาจงใจหาความสตรีตัวเล็กๆ อย่างข้าก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไรหรอก”
“ข้าแก่แล้วหูไม่ดี รบกวนแม่นางอวี้ช่วยพูดซ้ำอีกครั้งได้หรือไม่” แม่นมเหยียนพูดเสียงเรียบ แต่สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่า… ‘กล้าดีก็พูดซ้ำอีกครั้งสิ!’
“ไปเดี๋ยวนี้แหละเจ้าค่ะ” อวี้หมี่สะดุ้งเฮือกในใจแล้วรีบผงกหัวปลกๆ แม้จะพยายามข่มอกข่มใจก็ไม่วายจะลอบบ่นตบท้าย “ขะ…ข้าจะไปขอขมาเขาเดี๋ยวนี้ แม่นมเข้านอนแต่หัววันดีหรือไม่เจ้าคะ นี่เป็นเรื่องของเด็กๆ ท่านอย่าสอด เอ่อ…ข้าจะพูดว่าท่านอย่าเก็บมาพะวงเลยดีกว่า หาไม่หากพลอยเพลียอกเพลียใจไปด้วยจะแย่เอานะเจ้าคะ ท่านว่าจริงหรือไม่”
แม่นมเหยียนถลึงตาใส่เด็กสาวที่ไม่รู้ว่าหัวไวหรือหัวทื่อกันแน่ แล้วไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี
มิน่าเล่า ชิงเกอเอ๋อร์ถึงได้ใช้กลยุทธ์ประหลาดวกวน เดี๋ยวก็ภูเขา เดี๋ยวก็น้ำ เห็นแล้วชวนงุนงงยิ่ง ที่แท้ก็เพราะคู่ต่อสู้เป็นปลาไหลแสนลื่นที่จับไม่อยู่ เป็นทองแดงที่ตีไม่แบนนี่เอง
“นี่ก็ดึกมากแล้ว” หญิงสูงวัยเลิกคิ้วน้อยๆ ก่อนจะพูดเป็นนัย “ปกติท่านแม่ทัพใหญ่จะเข้านอนช่วงปลายยามจื่อ*”
ความหมายก็คือถ้าจะขอขมาก็ต้องรีบไป หากรอจนข้ามคืนจะไม่เป็นผลแล้ว?
“เฮ้อ…” นางถอนหายใจอย่างยอมแพ้ “เจ้าค่ะ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
เห็นไหม มีอำนาจก็ดีอย่างนี้แหละ ไม่ต้องออกโรงเองก็เล่นงานนางจนตกน้ำตกท่าได้อยู่ดี
“รอให้ข้ามีเงินมีทองกองล้นฟ้าเมื่อไร ข้าจะซื้อแม่นมสักสามร้อยห้าร้อยคนมาแสดงศักดาบ้าง” นางเดินไปตามทางที่แม่นมเหยียนกำชับมาอย่างเคร่งครัด มุ่งหน้าไปยังเรือนนอนของเยียนชิงหลาง พร้อมงึมงำอยู่คนเดียวโดยมีแสงโคมเป็นเพื่อนส่องทาง “เมื่อถึงเวลานั้นพวกนางก็จะชื่นชมเจ้านายอย่างข้าเสียเลิศลอยราวกับเป็นเทพลงมาจากสวรรค์ ดูซิว่าทีนี้ยังจะมีใครกล้ามาแหย่ข้าเล่นอีกหรือไม่”
นั่นน่ะสิ ทั้งแหย่ ทั้งกลั่นแกล้ง เยียนชิงหลางคนนั้นนึกว่านางดูไม่ออกหรือว่าตนเองถูกเขา ‘หยอกเล่น’ ราวกับเป็นสิ่งของชิ้นหนึ่ง
ไม่เช่นนั้นแม่ทัพพิทักษ์บูรพาผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรมีชื่อเสียงขจรขจายจะลดตัวลงมาหาเรื่องสตรีตัวเล็กๆ คนหนึ่งไปไยกัน
“แต่เหตุใดเขาถึงต้องคอยแกล้งข้าด้วยเล่า แหย่ข้าเล่นสนุกนักหรือไร” นางทำแก้มป่อง ไม่ได้ล่วงรู้เลยสักนิดว่าคำพูดส่งเดชของตนเองตรงกับความจริงเข้าอย่างจัง
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายเป็นขุนนาง ส่วนนางเป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่ทำตัวเล็กลีบนอบน้อมกับเขา นางยังจะทำอะไรได้อีก
เพื่อให้ชีวิตใน ‘ระยะต้องโทษ’ อันแสนขมขื่นอีกยี่สิบเก้าวันที่เหลือสบายขึ้นอีกนิด อวี้หมี่จำต้องลากเท้าเดินไปถึงหน้าเรือนนอนของคู่กรณีอย่างจำยอม หลังเตรียมตัวเตรียมใจและหายใจเข้าลึกๆ เรียบร้อยแล้ว นางก็เอ่ยกับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ยืนยามอยู่ตรงหน้าประตู
“ข้าน้อยอวี้หมี่มาขอพบท่านแม่ทัพใหญ่ รบกวนพี่ชายท่านนี้ช่วยเข้าไปรายงานให้ที”
นึกไม่ถึงว่าพอเอ่ยคำว่า ‘พี่ชาย’ ออกไป ชายหนุ่มรูปร่างสูงตระหง่านดุจสนต้นใหญ่ก็สะท้านเฮือกทีหนึ่ง ใบหน้าที่อยู่ใต้เงาสลัวของรัตติกาลซีดเผือดเล็กน้อย “แม่นางอวี้ชะ…เชิญเข้าไปได้เลย…มะ…ไม่ต้องเรียกข้าว่าพี่ชายหรอก”
อะไรกัน เหตุใดต้องมีท่าทางเช่นนั้นด้วย
นางกะพริบตาปริบๆ ระหว่างที่ยังงุนงงอยู่นั้น เสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากข้างใน
“เข้ามา” เสียงของแม่ทัพเยียนนั่นเอง
“เจ้าค่ะ” นางทำใจกล้าผลักประตูเข้าไปอย่างร้อนๆ หนาวๆ ไม่มีอารมณ์มาสนใจเรื่องพี่ชายไม่พี่ชายอีกแล้ว
เรือนนอนของเยียนชิงหลางกว้างขวางกว่านางถึงสามเท่า โต๊ะเขียนหนังสือตัวใหญ่วางอยู่ตรงมุมหนึ่ง กระบี่เรียบๆ ดูหนักแน่นน่ายำเกรงเล่มหนึ่งแขวนอยู่บนผนัง ชั้นวางของสะสมเรียงรายไปด้วยตำราพิชัยสงครามปกสีน้ำเงิน มองลึกเข้าไปข้างในคือเตียงนอนหลังใหญ่สะอาดสะอ้านแขวนม่านสีน้ำเงินไว้อย่างเรียบง่าย อบอวลไปด้วยกลิ่นอายสุขุมแข็งแกร่ง
ที่แท้ห้องนอนบุรุษก็เป็นเช่นนี้เองหรือนี่
ไม่รู้เพราะเหตุใดพวงแก้มทั้งสองข้างถึงได้ร้อนผ่าว โชคดีที่ตะเกียงในห้องไม่สว่างเท่าไรนัก ให้เพียงแสงสลัวๆ ดูไม่ออกว่าใบหน้ากลมป้อมของนางกำลังแดงก่ำ
“มาหาข้ามีธุระอะไร” ร่างสูงสง่าค่อยๆ ก้าวออกมาจากด้านหลังฉากบังตาพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่ยินดียินร้าย
อวี้หมี่เหลือบตาขึ้นมอง คราวนี้ทั้งหน้าร้อนฉ่าจนควันแทบออกหัว!
เขา…เขาช่าง…
บ่ากว้าง ไหล่หนา เรือนกายสูงใหญ่ คงเพราะกำลังจะเข้านอน เขาถึงปล่อยผมดำให้สยายลงไปเคลียแผ่นหลัง เสื้อคลุมสีขาวบนร่างผูกไว้หลวมๆ เผยให้เห็นแผงอกกำยำสีทองแดงกว่าครึ่ง ถ้าเขม้นตามองให้ดีอาจเห็นยอดตูมเล็กๆ ด้วยก็เป็นได้…ไม่สิๆ นี่นางคิดลามกอะไรอยู่!
เด็กสาวรีบก้มหน้างุด ไม่กล้ามอง ‘ร่างงาม’ ที่ยั่วยุชักจูงคนให้ทำบาปได้ง่ายๆ แล้วเอ่ยเสียงสั่น “ขะ…ข้ามาขอ…ขอขมาท่านแม่ทัพใหญ่ ขอโทษเจ้าค่ะ ข้าไม่ควรบอกให้ท่านไปกินมูลเลย”
อวี้หมี่อกสั่นขวัญแขวนรออยู่พักใหญ่ก็ยังไม่ได้ยินเสียงอะไรเสียที จึงอดลอบเหลือบตาขึ้นมองเขาไม่ได้ แล้วเห็นเยียนชิงหลางกำลังยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วพอดี
“นั่งสิ” เขาลดมือลง แล้วพูดเอื่อยๆ เรื่อยๆ เหมือนเดิม
บรรยากาศในตอนนี้พิลึกสิ้นดี…ตกลงว่าเขาโกรธหรือไม่โกรธกันแน่
นางไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง ได้แต่จับเก้าอี้ค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่ง โดยไม่ลืมก้มหน้าทำคิ้วตกอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
ชายหนุ่มเองก็นั่งลงบนเก้าอี้มีเท้าแขนตรงริมหน้าต่าง ท่านั่งทำให้สาบเสื้อคลุมที่หลวมอยู่แล้วเผยอออกอีกนิด
คราวนี้อวี้หมี่ดึงสายตาจ้องเขม็งของตนเองกลับมาได้อย่างทันท่วงที แล้วพยายามระงับแมลงบ้าหนุ่มรูปงามที่กำลังวิ่งพล่านอยู่ในหัวอย่างสุดความสามารถ พลางบริภาษตนเองในใจว่าต้องทำตัวลามกขึ้นสมองถึงเพียงนี้ด้วยหรือ ใช่ว่าเกิดมาไม่เคยเห็นบุรุษเสียเมื่อไร!
แต่…ท่านแม่ทัพใหญ่เจ้าขา มานั่งสาบเสื้ออ้าอวดแผงอกเช่นนี้ก็ผิดกฎเหมือนกันไม่ใช่หรือ
“หมี่กู”
คำสั้นๆ สองคำขับไล่ภาพฝันหวานๆ ที่เหมือนฟองสบู่ของอวี้หมี่ให้กระเจิงไปทันที!
นางลืมไปโดยสิ้นเชิงว่าตนเองมาที่นี่เพื่อขอขมา ลืมไปโดยสิ้นเชิงว่าเมื่อครู่ตนเองยังน้ำลายหกกับเรือนร่างของเขา เสียงใสแหวลั่นด้วยความโมโห “ห้ามเรียกข้าว่าหมี่กูอีกนะ! ใครเรียกข้าว่าหมี่กู ข้าไม่ไว้หน้าแน่!”
“เสี่ยวหมี่” ชายหนุ่มเปลี่ยนคำเรียกขานอย่างโอนอ่อน
นางชะงัก ใบหน้ากลมป้อมยังขุ่นเคืองไม่หาย
ช่างเถิด เรียกเสี่ยวหมี่ยังน่าฟังกว่าเรียกต้าหมี่ล่ะนะ
“ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพใหญ่มีสิ่งใดจะชี้แนะ” นางสูดหายใจลึกๆ แล้วถามออกไปอย่างนั้น
“เจ้าเป็นแม่ครัวที่ไม่ได้มาตรฐาน”
“เหตุใดข้าถึงกลายเป็นแม่ครัวที่ไม่ได้มาตรฐานไปได้เล่า” นางฉุนกึกขึ้นมาจนแทบตบโต๊ะแล้วลุกพรวด
“จวนแม่ทัพไม่ใช่ร้านริมทาง ในเมื่อเข้ามาอยู่บ้านเขาก็ต้องทำอาหารให้ถูกปากเจ้าบ้านเป็นหลัก ข้ากล่าวโทษเจ้าผิดไปอย่างนั้นหรือ” เขาย้อนถามเนิบๆ
นางชะงักค้างไปทันที
“การสังเกตว่าเจ้าบ้านชอบไม่ชอบกินสิ่งใดไม่ใช่หน้าที่ที่เจ้าควรทำหรอกหรือ” เยียนชิงหลางมองนางเงียบๆ เมื่อครู่อวี้หมี่ยังฮึดฮัดขัดใจอยู่เล็กน้อย แต่เวลานี้พูดไม่ออกโดยสิ้นเชิง
พระจันทร์ลอยสูง เครื่องบอกเวลาน้ำหยดติ๋งๆ ทั้งในและนอกเรือนถูกปกคลุมด้วยความเงียบสงบ คนหนึ่งสั่งสอนอบรมด้วยท่าทางลุ่มลึกอ่านยาก อีกคนรู้สึกละอายแก่มโนธรรมอย่างสุดซึ้งที่ตนไม่เป็นมืออาชีพพอ
“ท่านแม่ทัพใหญ่กล่าวถูกแล้ว” ผ่านไปนานเนิ่น อวี้หมี่ถึงค่อยเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าสะท้อนให้เห็นว่าผ่านการใคร่ครวญมาอย่างจริงจัง “บวชเป็นพระหนึ่งวันก็ต้องตีระฆังหนึ่งวัน เข้าไปครองเวจแต่ไม่อึเป็นพฤติกรรมน่าละอาย หนึ่งเดือนหลังจากนี้ข้าน้อยจะตั้งใจทำอาหาร ไม่ให้ท่านแม่ทัพใหญ่ผิดหวังเป็นอันขาด”
ปณิธานดีเยี่ยม แต่คำเปรียบเปรยที่ใช้ออกจะอุจาดเกินไปหน่อยกระมัง…
เยียนชิงหลางยกมือนวดขมับ พูดอะไรไม่ออกอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็โบกมือตัดบท “ดึกแล้ว ไปพักผ่อนเถิด”
“เจ้าค่ะ” ราวกับได้ปลดภาระหนักอึ้งเมื่อได้ยินประโยคนั้น นางยิ้มแฉ่งกระโดดลงจากเก้าอี้ “คืนนี้ท่านแม่ทัพใหญ่โปรดหลับให้สบาย เช้าวันพรุ่งนี้ท่านจะต้องมองข้าน้อยใหม่แน่นอน”
เขามองเด็กสาวผู้สดใสร่าเริง ประกายแสงเล็กๆ วาบขึ้นในดวงตา “อืม”
อวี้หมี่วางแผนงานในหัวอย่างตั้งอกตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะทำจานเด็ดจานไหนมากอบกู้เกียรติยศและศักดิ์ศรีแม่ครัวของตนกลับมาดี จังหวะที่เท้าเล็กๆ กำลังจะก้าวออกจากห้อง ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านหลัง
“เสี่ยวหมี่”
“หือ?” นางหันขวับไปมอง
“พรุ่งนี้ตอนเที่ยงข้าจะอยู่ในค่าย”
“หา?” เด็กสาวกะพริบตาปริบๆ มองอีกฝ่ายอย่างงุนงง
“เตรียมอาหารให้มากหน่อย เพราะรองแม่ทัพทุกนายก็อยู่กันครบหมด” เขาบอกเนิบๆ
อวี้หมี่นิ่งงันเป็นอันดับแรก ก่อนจะลิงโลด นี่เขากำลังหยิบยื่นโอกาสสำคัญให้นางได้แสดงฝีมือสินะ
“พวกนั้นเป็นคนทางเหนือทุกคน” เขาเปรยขึ้นลอยๆ อีกประโยค
ท่านแม่ทัพใหญ่กำลัง…แนะแนวทางให้ข้าอยู่ใช่หรือไม่
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ” นางส่งยิ้มสดใสเป็นประกายให้ชายหนุ่ม ดูอ่อนหวานน่ารักราวกับดอกกุ้ยเล็กๆ แย้มกลีบผลิบาน “ท่านแม่ทัพใหญ่โปรดวางใจ พรุ่งนี้รอดูผลงานข้าได้เลย!”
เยียนชิงหลางมองนางกึ่งวิ่งกึ่งกระโดดออกไปด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า แล้วนั่งเหม่ออย่างนั้นอยู่นาน…
เช้าวันรุ่งขึ้น ด้านหน้าเยียนชิงหลางมีโจ๊กข้าวเมล็ดสั้นร้อนๆ บรรจุอยู่ในหม้อดิน หมั่นโถวข้าวโพดขนาดเท่าฝ่ามือสี่ห้าก้อน อกห่านทับทิมสีแดงสดกลิ่นหอมฉุยหนึ่งจาน ยำสาลี่แตงกวาฝอย นอกจากนั้นยังมีน้ำแกงเป็ดใส่ตังกุยชามโต น้ำแกงใสแจ๋ว ทว่ารสชาติเข้มข้นยิ่ง
เขามองอาหารเช้าหอมกรุ่นแตะจมูก แต่ละอย่างเป็นอาหารง่ายๆ แต่เข้ากันได้อย่างลงตัว รอยยิ้มวาบขึ้นในดวงตาคม หากแต่เขาไม่ได้ลงมือกินทันที “นางเล่า”
“แม่นางอวี้ยังยุ่งอยู่ในโรงครัวเล็กเจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะหยิบขนมหัวกลวงที่ยังกรุ่นไอร้อนขึ้นมา พลางถามลอยๆ คล้ายไม่ใส่ใจ “นางกินหรือยัง”
“ยังเจ้าค่ะ” เจี้ยนหลันรีบพูดต่อเมื่อเห็นว่ามือของเจ้านายชะงัก “ตอนบ่าวเดินออกมา เห็นแม่นางอวี้กำลังทาซีอิ๊วบนซี่โครงแกะ ในเตาติดไฟแรง น่าจะเตรียมทำแกะย่างเจ้าค่ะ”
“อืม” เขาหลุบตาลง แล้วเริ่มกินอาหารเช้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เจี้ยนหลันถอยออกไปเงียบๆ ให้เจี้ยนจู๋ผู้มีหน้าที่รับใช้ประจำรินชาให้เจ้านาย
“ท่านแม่ทัพใหญ่” เจี้ยนจู๋ผู้มีความเย่อหยิ่งสะท้อนอยู่บนใบหน้างดงามลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็เอ่ยขึ้นอย่างเหลืออด
“หืม?”
“นายท่าน แม่นางอวี้คนนี้ท่าทางไม่รู้ความเอาเสียเลย นางเข้าจวนมาทำอาหารให้ท่านกินโดยเฉพาะ ตามหลักแล้วควรต้องยกมาให้ท่านด้วยตนเอง แต่นี่กลับเรียกใช้เจี้ยนหลันอย่างไม่เกรงใจ พวกเราเหมย หลัน จู๋ จวี๋ เป็นสี่สาวใช้ขั้นเอกในจวน ไม่ใช่ให้แม่ครัวเล็กๆ อย่างนางมา…”
เยียนชิงหลางชะงัก แล้วเหลือบมองนางด้วยสายตาเฉยชา เจี้ยนจู๋หน้าถอดสี รีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที
“บ่าวพูดจาไม่สมควร นายท่านโปรดลงทัณฑ์ด้วย”
“ไปรับโทษจากพ่อบ้านเทาด้วยตนเอง” เขาเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “หลังจากนี้ไม่ต้องกลับมารับใช้ข้าอีก”
ดวงหน้างามซีดเผือดราวกับกระดาษ ร่างอ้อนแอ้นสั่นสะท้านขณะสะอื้นไห้วิงวอนว่า “นายท่านโปรดให้โอกาสบ่าวอีกสักครั้ง ต่อไปบ่าวไม่เหิมเกริมวิจารณ์นายท่านกับแขกอีกแล้ว โปรดอย่าขับไล่ไสส่งบ่าวเลยนะเจ้าคะ นายท่าน…”
เทียบกับโทษทัณฑ์อันน่ากลัวที่จะได้รับจากพ่อบ้านเทาผู้หมดจดหล่อเหลาแต่มีน้ำมือเฉียบขาดเหี้ยมเกรียมแล้ว สิ่งที่เจี้ยนจู๋กลัวยิ่งกว่าคือนับแต่นี้ไปจะไม่ได้กลับมาอยู่ข้างกายเจ้านายผู้องอาจห้าวหาญอีก
“พรุ่งนี้กลับจวนเยียนกั๋วกงไปเสีย” เขาคีบอกห่านทับทิมเข้าปากเคี้ยวกินช้าๆ ก่อนจะเอ่ยเนิบนาบ “เจ้าเห่อเหิมเกินไป กลับไปขัดเกลานิสัยเสียใหม่ก็เป็นผลดีต่อตัวเจ้าเองด้วย”
“ไม่นะเจ้าคะ นายท่าน บ่าวรับใช้ท่านมาสิบปีแล้วนะเจ้าคะ…” สาวใช้ร่ำไห้น้ำตานองหน้า ดูน่าสงสารเป็นกำลัง
ประกายเย็นชาในดวงตาลึกล้ำยิ่งแข็งกร้าวขึ้น “หากไม่เพราะเห็นแก่ที่เป็นนายบ่าวมาหลายปี ลำพังแค่เจ้ามีความคิดไม่บังควรเช่นนี้ ข้าก็ไม่ละเว้นเจ้าแล้ว”
“บ่าวสมควรตาย บ่าวสมควรตายอย่างยิ่ง…” เจี้ยนจู๋ตื่นตระหนกจนแทบใจสลาย ไม่กล้าทำจริตมารยาใส่เขาอีกแล้ว ได้แต่โขกหัวลงกับพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า
“เตาเอ้อร์” เยียนชิงหลางเอ่ยเรียกอย่างไร้ปรานี
“ขอรับ!” ชายในชุดเข้ารูปสีดำปรากฏตัวขึ้นคำนับเขาด้วยการคุกเข่าข้างเดียว ก่อนจะดึงเจี้ยนจู๋ขึ้นมาอย่างคล่องแคล่ว แล้วหายวับไปในชั่วพริบตา
ดวงตาของแม่ทัพหนุ่มส่องประกายวาววับ ดูหงุดหงิดและผิดหวังอยู่ในที แต่เพียงครู่เดียวก็กลับเป็นปกติ หยิบตะเกียบขึ้นมากินข้าวต่อเงียบๆ
ความน่ากลัวที่สุดของมนุษย์คือไม่รู้ฐานะตนเอง มักใหญ่ใฝ่สูง สิ่งที่จะสูญเสียไปไม่ได้มีเพียงความสัมพันธ์ระหว่างกันเท่านั้น
หลังกินข้าวเช้าเสร็จ เขาลุกขึ้นถามเจี้ยนจวี๋ที่เข้ามารับใช้เงียบๆ ว่า “ข่าวนั้นในเมืองหลวงไปถึงไหนแล้ว”
“เรียนนายท่าน มีเบาะแสแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้เตาอีกำลังนำคนไปตามสืบด้วยตนเอง”
“จับตาดูไว้”
“เจ้าค่ะ”
อวี้หมี่ย่างซี่โครงแกะชิ้นเขื่องสีน้ำตาลทอง กรอบนอกนุ่มใน หอมกลิ่นซีอิ๊วอบอวล ก่อนจะย่างแป้งหมั่นโถวตะกร้าใหญ่ ทำแตงดองซีอิ๊วหวานหนึ่งถ้วย ฝานหัวไช้เท้าแดงสดกรอบ และต้มแกงผักกาดขาวกับลูกชิ้นเนื้อโดยเคี่ยวน้ำแกงจากกระดูกวัวจนได้น้ำแกงขาวขุ่นดุจน้ำนม
ใกล้เที่ยงเต็มทีแล้ว นางผ่าแตงโมลูกใหญ่จากหลันโจวเป็นอันดับสุดท้าย คว้านให้เป็นลูกกลมๆ แล้วแช่ในน้ำดอกกุ้ยผสมบ๊วยเปรี้ยว เนื่องจากจำได้ว่าเขากินอ่อนเปรี้ยวอ่อนหวาน นางจึงใส่น้ำตาลกรวดกับบ๊วยเปรี้ยวน้อยหน่อย เปลี่ยนไปเพิ่มปริมาณสุราดอกเหมยกับดอกกุ้ยแทน ให้ได้รสหวานนิดเปรี้ยวหน่อย แต่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้และความสดฉ่ำของแตงโม
นางคิดไว้เหมือนกัน บุรุษตัวโตๆ พวกนี้ชอบกินเนื้อกันทั้งนั้น เทียบกันแล้วเยียนชิงหลางจัดว่ากินอาหารรสอ่อน ดังนั้นไม่รู้ว่าน้ำดอกกุ้ยบ๊วยเปรี้ยวนี้จะถูกปากทุกคนหรือไม่ แต่จะให้อาหารทั้งโต๊ะมีแต่จานเนื้อ นางก็ทนมองไม่ได้
“เฮ้อ…เป็นแม่ครัวที่ละเอียดลออเกินไปนี่ก็ลำบากเหมือนกัน” เด็กสาวยกมือข้างหนึ่งเท้าเอว มืออีกข้างกุมหน้าผากทำท่าปวดเศียรเวียนเกล้า
เจี้ยนหลันยืนมองหน้าประตูครัวเล็กอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ส่งเสียงกระแอมหนักๆ
อวี้หมี่หันไปมอง
“ใกล้ได้เวลาแล้ว”
“จริงด้วยๆ เกือบลืมแล้วนะนี่” นางรีบลำเลียงอาหารทั้งหมดใส่กล่องอาหารแบบมีหูหิ้วขนาดใหญ่หลายใบ แล้วมีท่าทางลังเล “ดูท่าต้องเรียกคนมาช่วยหิ้วหลายๆ คนกระมัง…”
“แม่นางอวี้สบายใจได้” เจี้ยนหลันหิ้วกล่องเหล่านั้นขึ้นมาอย่างมั่นคง ขนาดน้ำแกงยังไม่กระฉอกออกมาแม้แต่หยดเดียวราวกับใช้เวทมนตร์ก็ไม่ปาน “ไปกันเถิด”
“โห…” อวี้หมี่ทำตาเป็นประกายอย่างเลื่อมใสพลางปรบมือรัว “ยอดเยี่ยม ล้ำเลิศยิ่งนัก!”
เจี้ยนหลันอดยิ้มบางๆ ไม่ได้ เนตรงามหยีโค้ง ดูตรึงตาตรึงใจราวกับภาพวาดยิ่งกว่าเก่า ขนาดอวี้หมี่เป็นสตรีด้วยกันยังมองอย่างเคลิบเคลิ้ม เยียนชิงหลางช่างวาสนาดีแท้ ขนาดสาวใช้ในจวนแม่ทัพยังงดงามราวกับเทพธิดานางสวรรค์ มิน่าเล่าเขาถึงได้เขม่นนางแล้วหาเรื่องกลั่นแกล้งได้ตลอด
ไม่รู้เพราะเหตุใด อยู่ๆ หัวใจนางก็เกิดหดหู่อัดอั้นขึ้นมา
“แม่นางอวี้?”
“อ้อ มาแล้วๆ” ความเหงาหงอยเมื่อครู่หายไปจากใบหน้ากลมป้อมอย่างรวดเร็ว เด็กสาวคว้าตะกร้าที่วางแยกไว้อีกใบขึ้นมาพลางว่า “ไปเถิดๆ อย่าปล่อยให้ท่านแม่ทัพใหญ่ของเจ้ารอจนร้อนใจ เดี๋ยวจะฉวยโอกาสเล่นงานข้าอีก”
เจี้ยนหลันทำหน้าแปลกๆ พลางพึมพำอะไรบางอย่างกับตนเอง แต่สุดท้ายก็ยังเดินไปยังรถม้าที่จอดข้างศาลาด้านนอกอย่างมั่นคง
คนบังคับรถม้าในวันนี้ไม่ใช่เหอหย่ง แต่เป็นชายร่างสูงใหญ่อีกคนที่คล่องแคล่ว เคร่งขรึม และหน้าตายพอกัน อีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาใดๆ กับการทักทายอย่างตีสนิทของอวี้หมี่ทั้งสิ้น มีเพียงเจี้ยนหลันผู้ตาไวเท่านั้นที่เห็นว่าตอนได้ยินอวี้หมี่ทักขึ้นว่า ‘พี่ชายท่านนี้หน้าไม่คุ้นเลย’ ร่างสูงตระหง่านราวกับต้นสนของเขาสะดุ้งน้อยๆ
“เฮ้อ…” ผ่านมาแค่สองวันกับอีกหนึ่งคืน เจี้ยนหลันก็ตระหนักชัดแล้วว่า…แม่นางอวี้คนนี้เป็นสมบัติในมือนายท่าน พวกไม่รู้ที่ตายคนไหนมองนานหน่อย รับรองว่าเป็นต้องถึงคราวเคราะห์!
แต่คนหัวทื่ออย่างอวี้หมี่กลับไม่รู้ตัวสักนิด หลังขึ้นมานั่งบนรถและเอาม่านลงแล้ว ยังหันมาเอ่ยชมกับนางด้วยสีหน้าเลื่อมใส “จวนแม่ทัพอบรมคนมาดีจริง แต่ละคนสุขุมองอาจ ไม่ยิ้มแย้มเล่นหัวแม้แต่นิดเดียว สมกับเป็นผู้กล้าที่ปกป้องบ้านเมืองโดยแท้”
แม่นางคนนี้นี่หนอ เพราะคนก่อนยิ้มแย้มเล่นหัวกับเจ้าน่ะสิ เมื่อคืนเลยถูกโยนกลับไปอยู่ในค่ายทหารเรียบร้อยแล้ว
“ขอบคุณแม่นางอวี้ที่ชมเชย” เจี้ยนหลันห้ามตนเองไม่ให้ถอนหายใจ
“จริงสิ แม่นางเจี้ยนหลัน เมื่อครู่เจ้าหิ้วกล่องตั้งหลายใบคนเดียวสบายๆ เชื่อว่าจะต้องมีวิชายุทธ์ล้ำเลิศแน่” อวี้หมี่มองอีกฝ่ายอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ “ข้าขอคำนับเจ้าเป็นอาจารย์ได้หรือไม่”
“แค่เคยฝึกหมัดมวยนิดหน่อยเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายเท่านั้น จะเอาวิชาที่ใดมาสอนผู้อื่นกัน” สายตาที่จ้องมองมาอย่างคาดหวังทำให้เจี้ยนหลันขนลุกเกรียว “อีกอย่างฝึกยุทธ์ใช่จะฝึกกันได้ง่ายๆ แม่นางเรียนไปก็ไม่มีโอกาสได้ใช้จริง แล้วจะฝึกให้เหนื่อยเปล่าไปไยเล่า”
“ได้ใช้สิ” อวี้หมี่กะพริบตาปริบๆ ใบหน้ากลมป้อมเคร่งเครียดขึ้นอย่างหาได้ยาก “เจ้าก็รู้ว่าข้าเปิดร้านขายอาหารริมทางกับน้องชาย ปกติลูกค้าที่เข้าร้านมีแต่คนคุ้นเคยกันทั้งนั้นก็จริง แต่ร้านข้าอยู่ไกลออกไปนอกเมือง เคราะห์หามยามร้ายเจอพวกกองโจรหลังม้าปล้นร้านจะทำอย่างไรเล่า”
“ชายแดนตะวันออกไม่มีโจรหลังม้า” เพราะถูกท่านแม่ทัพใหญ่กวาดล้างจนราบคาบไปตั้งแต่สองปีก่อนแล้ว
“เอ่อ…ถึงอย่างไรก็ต้องมีโจรกระจอกตาไร้แววบ้างล่ะน่า” เด็กสาวร่างกลมเล็กยังคงพูดต่ออย่างไม่ยอมแพ้
“ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก” เจี้ยนหลันยิ้มน้อยๆ อย่างน่ามอง ไม่กล้าอธิบายมากว่าเจ้านายของนางแวะเวียนไปที่ร้านริมทางสองสามวันครั้ง โจรกระจอกที่ใดยังจะใจกล้าเข้าปล้นร้านนั้นอีก
“เอาเป็นว่ากันไว้ดีกว่าแก้…” อวี้หมี่ยังพยายามโน้มน้าวเพื่อฝากตัวเป็นศิษย์กับอีกฝ่ายให้ได้
“แม่นางอวี้ ค่ายทหารอยู่ข้างหน้านั่นแล้ว” เจี้ยนหลันรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เดี๋ยวพอยกอาหารไปให้แล้วท่านจะกลับจวนก่อนหรือจะรอกลับพร้อมท่านแม่ทัพใหญ่”
ใบหน้ากลมป้อมของอวี้หมี่แดงวาบขึ้นมาตามคาด “หะ…เหตุใดข้าต้องรอกลับพร้อมเขาด้วย ข้าเป็นแค่แม่ครัวที่เอาอาหารมาส่งเท่านั้น…จะกลับด้วยกันกับเขาไปไย”
สาวใช้ยกแขนเสื้อขึ้นป้องปากลอบยิ้มขัน แต่ยังแสร้งรับคำด้วยสีหน้าจริงจัง “ทราบแล้ว”
“อุ๊ย! มีม้าด้วย” อวี้หมี่หน้าร้อนผ่าวอย่างไม่มีสาเหตุ ต้องเบี่ยงเบนประเด็นทำเป็นตื่นเต้นกับทิวทัศน์นอกตัวรถแทน
“ข้ามไปทางฟากนั้นเป็นสนามฝึกม้าใหญ่ที่สุดในแถบชายแดนตะวันออก เป็นของท่านแม่ทัพใหญ่เช่นกัน”
อวี้หมี่มองตามด้วยสีหน้าตกตะลึง
“เป็นที่รู้กันทั้งแผ่นดินว่าม้าที่ดีที่สุดมาจากชายแดนตะวันออก และม้าพันลี้กับม้าศึกที่ดีที่สุดของแถบชายแดนตะวันออกมาจากสนามฝึกม้าสกุลเยียนทั้งสิ้น” เจี้ยนหลันตาเป็นประกายพลางเล่าอย่างภาคภูมิ
ยามนี้เด็กสาวอึ้งเสียจนพูดไม่ออก นางรู้แต่แรกแล้วว่าเยียนชิงหลางมีตำแหน่งเป็นถึงแม่ทัพพิทักษ์บูรพา กุมอำนาจเหนือกำลังทหารหนึ่งในสี่ของแผ่นดิน ซ้ำยังเป็นทายาทชายรุ่นหลานเพียงหนึ่งเดียวของจวนเยียนกั๋วกงอันยิ่งใหญ่ทรงอำนาจแห่งเมืองหลวง อยู่ในฐานะสูงส่งอย่างไร้คำบรรยาย แต่พอได้มาเห็นกับตาว่าเขายังมีที่ดินผืนใหญ่เช่นนี้อยู่ในมือ แล้วนึกถึงร้านริมทางเล็กๆ ที่ตนกับน้องชายใช้เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่ละวันทำกำไรได้เท่าหัวแมลงวัน ต่อให้เก็บเงินสักสามปีห้าปีก็ยังไม่มีปัญญาซื้อแม้แต่ขาข้างเดียวของม้าพันลี้จากสนามเขา…
นางกับเขาแตกต่างกันไกลลิบเลยทีเดียว
ความรู้สึกแปลกๆ ผุดขึ้นในหัวใจอวี้หมี่ นางบอกไม่ถูกว่ามันคืออะไร คล้ายจะเป็นความอัดอั้น คล้ายจะเป็นความเจ็บปวด นอกจากนั้นยังมีเสี้ยวความขมขื่นและความหดหู่อันไร้สาเหตุปะปนอยู่ด้วย
นางเอื้อมมือไปรวบม่านหน้าต่างจนสุด แล้วชะโงกหัวออกไปครึ่งหนึ่ง หลับตาลง ปล่อยให้สายลมเย็นเหนือทุ่งหญ้าพัดใส่ใบหน้า กลิ่นดินกลิ่นหญ้าจางๆ ช่วยให้ลมหายใจที่อั้นอยู่ในอกโล่งสบายขึ้นมาก
“แม่นางอวี้ระวัง!” เจี้ยนหลันไม่ล่วงรู้สภาพจิตใจนาง แต่เห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวนจนต้องรีบดึงนางกลับเข้ามานั่งเหมือนเดิม “รถม้าแล่นเร็ว หากท่านพลัดตกลงไปจะวุ่นวายยกใหญ่”
“ไม่เป็นไรๆ ข้ายังสบายดี ก็แค่…อยากรับลมนิดหน่อย” นางสูดหายใจลึกๆ แล้วยิ้มกว้างให้สาวใช้ “นั่งรถม้ามันอุดอู้ เดี๋ยววันไหนมีโอกาสข้าหัดขี่ม้าบ้างดีกว่า จะได้สัมผัสว่าการควบม้าห้อตะบึงให้ความรู้สึกอย่างไร”
“เอ่อ…แม่นางขออนุญาตท่านแม่ทัพใหญ่ก่อนแล้วกัน”
“เหตุใดต้องขออนุญาตเขาด้วยเล่า” รอยยิ้มของอวี้หมี่ชะงักค้างไปทันที กลายเป็นหงุดหงิดแทน “ข้าไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเสียหน่อย จะขี่ม้าหรือไม่ขี่ ต้องให้เขามาควบคุมด้วยหรือไร เกิดวันใดข้าซื้อม้าสักสามตัวห้าตัวมาเวียนกันขี่โดยเฉพาะก็ไม่ใช่เรื่องของเขาสักนิด”
“ขี่ม้ามันอันตราย” เจี้ยนหลันกระแอม แล้วไม่ลืมที่จะเตือน “อีกอย่างม้าในแถบชายแดนตะวันออกนี้อยู่ใต้การควบคุมของกองทัพทั้งหมด คนธรรมดาซื้อไม่ได้หรอก”
“ถ้าเช่นนั้นข้าขี่ลาแทนคงได้กระมัง” นางย้อนถามแบบเคืองๆ เสียจนเจี้ยนหลันหมดคำที่จะพูดกับนาง
หลังจากนั่งมาได้ค่อนชั่วยาม รถม้าก็แล่นมาถึงทางเข้าค่ายทหารใหญ่ของชายแดนตะวันออกเสียที ม่านหน้ารถถูกแหวกออก คนที่ถือกล่องมีหูหิ้วหลายใบก้าวลงมาเป็นคนแรกคือเจี้ยนหลันผู้กำลังฝืนยิ้ม ส่วนคนที่ถือตะกร้าใบใหญ่ที่กอดไว้กับตัวมาตลอดทางคืออวี้หมี่ผู้หมายมั่นปั้นมือว่าเมื่อ ‘งานนอก’ ที่กินระยะเวลาหนึ่งเดือนนี้สิ้นสุดลงเมื่อไร นางจะเข้าเมืองไปซื้อลาสักตัวกลับมาเลี้ยงที่ร้านให้จงได้
ค่ายใหญ่เป็นสถานที่สำคัญทางการทหารของชายแดนตะวันออก แม้เจี้ยนหลันจะเป็นคนในจวนแม่ทัพก็ยังต้องมีการรายงานชั้นแล้วชั้นเล่า สุดท้ายก็มีรองแม่ทัพนายหนึ่งนำทางพวกนางสองคนอ้อมไปทางค่ายเล็ก มุ่งหน้าไปยังกระโจมบัญชาการที่แม่ทัพใหญ่อยู่ในตอนนี้
ตอนแรกอวี้หมี่ยังหมายจะมาเปิดหูเปิดตาชมที่ตั้งกองทัพอันยิ่งใหญ่ที่มีทหารหาญนับแสนนายของสกุลเยียน แต่เจอแบบนี้ก็ต้องล้มเลิกความคิด เดินตามหลังรองแม่ทัพผู้นั้นไปพร้อมกับเจี้ยนหลันอย่างว่าง่าย
พอก้าวเข้ากระโจมบัญชาการ นางก็เห็นร่างสูงสง่าเป็นอันดับแรก เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาฝึกกองทัพ เขาจึงไม่ได้ใส่ชุดออกศึกกับเสื้อเกราะ แต่ใส่ชุดเข้ารูปสีดำ เส้นผมดกดำมัดรวบแล้วใช้เชือกสีเดียวกันผูกไว้ ใบหน้าหล่อเหลาเฉียบขาด เรือนร่างดูสูงใหญ่กำยำยิ่งกว่าปกติ องอาจสง่างามจับตาจับใจ
เสียงตึกตักหนักๆ ดังขึ้นในอก เหมือนอะไรบางอย่างกำลังเต้นอย่างรุนแรง หากเผลอนิดเดียวก็จะฉวยโอกาสมุดเข้าไปถึงก้นบึ้งหัวใจ สีแดงก่ำแผ่ซ่านครอบคลุมใบหน้ากลมป้อม นางขยุ้มคอเสื้อตนเองพยายามบังคับลมหายใจอย่างเอาเป็นเอาตาย ทว่าก็ยังอดเหลือบมองไปทางร่างสูงตระหง่านนั้นอีกไม่ได้…
“พรวด!” ไม่รู้ว่าใครหลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
อวี้หมี่เหมือนสะดุ้งตื่นจากฝัน นางกะพริบตาปริบๆ อยู่สักพักถึงค่อยได้สติ นะ…นี่นางถูกคนอื่นจับได้ตอนกำลังเคลิ้มไปกับรูปโฉมของเยียนชิงหลางอย่างนั้นหรือ! เพียงพริบตาเดียวความอายก็แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ เด็กสาวแหวขึ้นว่า “ขำบ้าอะไรกัน!”
“…” ทั้งกระโจมเงียบกริบทันที
เยียนชิงหลางยกมือนวดหัวคิ้วขณะพยายามกลั้นหัวเราะ ก่อนจะเหลือบดวงตาสีดำสนิทขึ้นมองนางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น “เอาข้าวมาส่งหรือ”
“เอ่อ…ใช่เจ้าค่ะ” พอหลุดปากแหวออกไปก็ใจหายวาบ คิดว่าตายแน่แล้วทีนี้ บรรดาคนหนุ่มรูปร่างกำยำล่ำสันที่อยู่ในกระโจมดูเป็นบุคคลที่ไม่สมควรทำให้โกรธทั้งสิ้น นางรีบยิ้มแห้งๆ ประจบ “เอ่อ…คือ…ฮ่าๆ ใต้เท้าทุกท่านค่อยๆ กินนะเจ้าคะ ข้าน้อยไม่รบกวนแล้ว”
เจี้ยนหลันเพิ่งจะวางกล่องอาหารลงบนโต๊ะจนครบ ยังไม่ทันได้เปิดฝาก็ถูกอวี้หมี่ลากตัววิ่งออกจากกระโจม
“แม่นางอวี้?”
“ตายจริง ข้านึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้ล้างกระทะ เตาไฟก็ยังไม่ได้เช็ด ถ้าอย่างไรเรากลับกันเลยดีกว่า…” ม่านทางเข้ากระโจมสะบัดแค่ทีเดียว อวี้หมี่พร้อมด้วยพรรคพวกก็หายวับไปไม่เห็นแม้แต่เงา
ภายในกระโจมตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ทว่าคราวนี้คนที่กลั้นหัวเราะเพิ่มจำนวนขึ้นจากเดิม
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่หลุดเสียงหัวเราะออกมาเมื่อครู่ชื่อซ่งโหลว เป็นแม่ทัพฝีมือดีใต้ร่มธงแม่ทัพใหญ่ ทั้งที่ถูกด่าว่า ‘ขำบ้าอะไรกัน’ เขาก็ยังอารมณ์ดี ไม่หงุดหงิดฉุนเฉียวแม้แต่นิดเดียว “ความชื่นชอบของท่านแม่ทัพใหญ่เป็นเลิศ ข้าน้อยเลื่อมใสยิ่งนัก”
“เท่าที่ข้าดู แม่หนูคนนี้คิ้วหนาตาโต หน้ากลมอิ่ม อุปนิสัยตรงไปตรงมา น่ารักน่าชังอย่างยิ่ง…” กุนซืออันดับหนึ่งถังเสวียนจื่อลูบเคราสั้นของตนพลางแย้มยิ้ม
“น้องสาวคนนี้แค่อ้าปากก็ด่าเจ้าซ่งทันที ตาถึงจริงๆ ฮ่าๆ ถูกใจข้ายิ่งนัก ต่อไปหากมีโอกาส ข้าจะต้องขอคบหานางเป็นสหายสนิทให้จงได้” ชายร่างใหญ่บึกบึนกำยำที่กำลังยิ้มกว้างคือผู้บัญชาการทหารกองหน้า อุปนิสัยโผงผางตรงไปตรงมากว่าทุกคน
“นั่นน่ะสิๆ!”
“กล่าวได้ถูกยิ่งนัก!”
“ฮ่าๆ”
เยียนชิงหลางเลิกคิ้วกวาดตามองแม่ทัพนายกองคนสนิท มุมปากกระตุกนิดๆ ราวกับจะถามว่ากำลังดูละครฉากสนุกกันอยู่หรือไร
“ใครไม่หิวก็ออกไปเรียกทหารซ้อมรบข้างนอก!” เขาสั่งเสียงเข้ม ดวงตาคมปลาบดุจสายฟ้า
เสียงจ้อกแจ้กพลันเงียบกริบเป็นจักจั่นฤดูหนาวไปทันที แต่ละคนรีบยืนขึ้นตัวตรง กระทั่งกุนซืออาวุโสก็ไม่เว้น
เยียนชิงหลางค่อยๆ เปิดฝากล่องใบหนึ่ง กลิ่นหอมอันเย้ายวนของซี่โครงแกะย่างกระจายฟุ้ง เหล่าชายฉกรรจ์พุ่งเข้าใส่เหมือนเป็นผีหิวตายกลับชาติมาเกิด
“โอ้โห ของดีเลยนี่!”
“ท่านแม่ทัพใหญ่โปรดอภัยด้วย ต่อไปข้าไม่กล้าอีกแล้ว ถ้าอย่างไรขอซี่โครงสักซี่ให้ข้าแทะก่อนได้หรือไม่”
ระหว่างที่ทุกคนกำลังแย่งของกินกันอุตลุด เยียนชิงหลางถือตะกร้าที่แสนคุ้นตาเพราะเคยเห็นนางใส่อาหารที่ร้านริมทางมาก่อน เดินอ้อมฉากบังตาเข้าไปยังพื้นที่ด้านหลังที่กั้นไว้เป็นห้องนอน แล้ววางตะกร้าลงบนโต๊ะไม้ ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาถึงได้รู้สึกว่าของในตะกร้านี้เตรียมไว้เพื่อตนเองผู้เดียว
หลังจากดึงผ้าสำลีสีน้ำเงินที่ปิดไว้ด้านบนเพื่อรักษาความร้อนออก สิ่งที่อยู่ข้างในคือโถกระเบื้องใส่โจ๊กข้าวกรุ่นไอร้อนอวลกลิ่นหอมอ่อนๆ พุทราสีแดงชาดทั้งลอยทั้งจมปะปนอยู่กับเม็ดข้าวสีขาวดุจหิมะ แป้งแผ่นขนาดเท่าฝ่ามือที่ชโลมน้ำมันต้นหอมก่อนผิงไฟหนึ่งปึก เนื้อแกะย่างซีอิ๊วฉีกฝอยหนึ่งจาน ส่วนที่วางอยู่ล่างสุดคือปลานึ่งจานเล็กๆ
ตรงก้นตะกร้ามีจดหมายฉบับหนึ่ง ลายมือตัวใหญ่หนาบนนั้นไม่อ่อนช้อย แต่มีเอกลักษณ์น่าสนใจอย่างยิ่ง…
‘ท่านแม่ทัพใหญ่
ไม่รู้ว่าเตรียมอาหารมามากพอหรือไม่ แต่เท่าที่วิเคราะห์จากประสบการณ์ บุรุษกินอาหารแต่ละทีราวกับเสือหิวอย่างนั้น กระทั่งจานยังแทบกลืนลงไปด้วย ข้าน้อยกลัวว่าท่านจะแย่งไม่ทันพวกเขา อาหารในตะกร้านี้เป็นอาหารที่ท่านเคยสั่งกินในร้านข้าน้อยทั้งนั้น แล้วอย่าเลือกกินอีกล่ะ
อวี้หมี่น้อมคำนับด้วยความเคารพ’
“กล้าลงท้ายว่าน้อมคำนับด้วยความเคารพ…มีถ้อยคำใดในจดหมายแสดงถึงความเคารพบ้าง” เขาพึมพำ ทว่าประกายแสงกระเพื่อมพราวอยู่ในนัยน์ตาคมแบบปิดไม่มิด คล้ายกำลังยิ้มอยู่
เยียนชิงหลางตักโจ๊กเข้าปากคำหนึ่ง โจ๊กข้นหอมนุ่มนวลเจือรสหวานปะแล่มของพุทราแดง พอกลืนลงคอก็กำซาบเข้าไปในอวัยวะต่างๆ ที่อยู่ในกาย…
บทที่สี่
เย็นวันนั้นอวี้หมี่นวดแป้งแล้วดึงสาวเป็นเส้นบะหมี่ที่แสนเหนียวนุ่ม
กับข้าวกินแกล้มประกอบไปด้วยห่านต้มเกลือ กุ้งเคี่ยวน้ำมัน รากบัวสอดไส้เผือกกวน มีไข่ตุ๋นน้ำนมแพะเป็นของล้างปาก เมื่อวางทุกอย่างลงในถาดใหญ่ ขนาดนางมองเองยังท้องร้องจ๊อกๆ อย่างห้ามไม่อยู่
หลังจากส่งถาดทั้งใบให้เจี้ยนหลัน นางก็หันมาทำความสะอาดเตาไฟอย่างแคล่วคล่อง แล้วใช้ถ่านในเตาที่ยังระอุอยู่อุ่นเนื้อคลุกข้าวเหนียวคั่วบดห่อใบบัวกินกับน้ำบะหมี่ที่เหลือ เท่านี้ก็อิ่มไปได้หนึ่งมื้อ
ระหว่างกินเนื้อคลุกข้าวเหนียวคั่วบดที่แทบละลายในปาก นางหรี่ตาอย่างมีความสุข แต่กินไปๆ ก็อดจะปวดใจขึ้นมาไม่ได้
“เสี่ยวเหลียงก็ชอบกินเนื้อคลุกข้าวเหนียวคั่วบดห่อใบบัวมากเหมือนกัน” หัวใจห่อเหี่ยวลงทันตา นางมองเนื้อคลุกข้าวเหนียวคั่วบดตรงหน้าอย่างเหม่อลอย
ไม่รู้ว่าเสี่ยวเหลียงดูแลร้านตัวคนเดียวเป็นอย่างไรบ้าง กิจการได้รับผลกระทบอะไรหรือไม่ นางไม่อยู่เสียคน น้องชายเหนื่อยแทบขาดใจอย่างไรก็ไม่มีใครให้บ่นปรับทุกข์…
อาหารเลิศรสที่กินเข้าไปกองรวมกันอยู่ก้นกระเพาะ อัดแน่นจนท้องปวดขึ้นมาเป็นระลอก นางพยายามกะพริบตาไล่ไอน้ำอุ่นที่เอ่อขึ้นมาออกไป แต่กลับพบว่าตอนนี้แม้แต่โพรงจมูกยังแสบร้อนไปด้วย
เพิ่งผ่านมาไม่กี่วัน เหลืออีกตั้งยี่สิบกว่าวันที่นางต้องอดทน งานในจวนแม่ทัพสบายๆ แต่เสี่ยวเหลียงอยู่ที่ร้านคงยุ่งจนตัวเป็นเกลียว จะหันหน้าไปหาคนช่วยก็ไม่มี
ฉับพลันนั้นความคิดหนึ่งก็แล่นปราดเข้ามาในสมอง อวี้หมี่เงยหน้าพรวด นัยน์ตาเป็นประกายเรืองรองด้วยความหวัง “จริงด้วย!” นางเด้งตัวลุกขึ้นยืนพร้อมตบเข่าฉาดอย่างตื่นเต้น “ยังมีวิธีนี้อยู่นี่นา!”
อวี้หมี่วิ่งไปทางเรือนนอนของแม่ทัพใหญ่อย่างลิงโลด แม้จะถูกองครักษ์ที่สูงใหญ่ราวกับภูเขาขวางไว้ตรงหน้าประตูเหมือนเดิม แต่เพียงครู่เดียวเขาก็ปล่อยให้นางเดินอาดๆ เข้าไปในห้องนอนของเยียนชิงหลางได้
ชายหนุ่มที่ใช้เชือกสีดำมัดผมดกหนาไว้ข้างหลังหลวมๆ หลังอาบน้ำกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะ นัยน์ตาสีนิลหลุบลงเล็กน้อย มือเรียวยาวจับตะเกียบคีบห่านต้มเกลือชิ้นหนึ่งขึ้นมากิน ขนาดนางวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา เขายังไม่เงยหน้ามองด้วยซ้ำ
“กินข้าวแล้วหรือ”
“เอ่อ…กินแล้ว…” นางตั้งสติไม่ทัน เลยทั้งพยักหน้าและส่ายหน้า “ยัง แต่ก็ถือว่าได้กินแล้ว”
“ใครก็ได้” เขาเอ่ยเรียกด้วยเสียงทุ้มห้าว
“ขอรับ!” เสียงขานรับจากด้านนอกดังกึกก้องปานระฆังจนนางสะดุ้งโหยง
“เตรียมชามกับตะเกียบมาอีกชุด”
“ขอรับ!”
อวี้หมี่ยืนตะลึงอยู่ครู่ใหญ่ถึงเข้าใจ ใบหน้ากลมเล็กแดงก่ำขณะปฏิเสธตะกุกตะกัก “มะ…ไม่ต้องหรอก ท่านกินไปคนเดียวเถิด ข้าไม่หิว…”
อีกอย่างให้นั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกับเขาคงไม่เหมาะนักกระมัง อีกทั้งมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่านางจะเผลอทำผิดกฎทหารข้อใดของจวนแม่ทัพอีกหรือไม่
หัวใจเต้นโครมๆ อยู่ในอก ความคิดในสมองยุ่งเหยิง ดวงหน้ากลมป้อมเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีดเดี๋ยวเขียว ความรู้สึกหลากหลายที่สะท้อนอยู่บนนั้นแปรปรวนไปมา แต่เยียนชิงหลางเห็นแล้วกลับต้องกลั้นยิ้มจนมุมปากกระตุก
บางทีเขาก็อยากเปิดกะโหลกนางออกดูว่ามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง
“นั่ง” เขาสั่งสั้นๆ “กิน”
นางสะดุ้งเฮือกแล้วรีบรับชามกับตะเกียบที่องครักษ์ส่งให้ก่อนนั่งลงที่โต๊ะ ไม่กล้ากระบิดกระบวนมากไปกว่านี้ ว่าแต่ตะเกียบกับชามวางอยู่หน้าประตูหรือไรกันนะ เหตุใดถึงได้ไปเอามาเร็วนัก หรือว่า…
“มีอะไร” เขาสังเกตเห็นสีหน้าแปลกๆ ของอีกฝ่าย
“ข้าคงไม่ได้แย่งตะเกียบกับชามของพี่องครักษ์ที่อยู่ข้างนอกคนนั้นหรอกกระมัง” นางถามอย่างระมัดระวัง
เอ๋? นางคิดไปเองหรืออย่างไรกันนะ เหมือนจะได้ยินเสียงสูดหายใจเฮือกดังมาจากข้างนอก
เด็กสาวเหลือบมองแม่ทัพผู้สุขุมแล้วกะพริบตาปริบๆ เมื่อครู่เขาทำหน้าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างไม่สบอารมณ์อยู่แวบหนึ่งใช่หรือไม่
ไม่สิ นางตาฝาดไปเองแน่ๆ ใบหน้าเคร่งขรึมไร้อารมณ์ของท่านแม่ทัพใหญ่มีความรู้สึกอื่นนอกจาก ‘ความเยือกเย็น’ ด้วยหรือ
“พวกเขาทำอะไรว่องไวอยู่แล้ว” เขาเลื่อนถาดใส่จานอาหารเข้าไปตรงหน้านางเล็กน้อยอย่างแนบเนียน
“อ้อ” อวี้หมี่ได้ฟังดังนั้นก็เข้าใจ แล้วทำหน้าตื่นเต้น “หรือว่านี่คือวิชาตัวเบาที่คนเขาพูดกัน ใช่หรือไม่”
“เจ้า…” สีหน้าเลื่อมใสชื่นชมของนางช่างขวางหูขวางตาเขาเสียจริง
“หา?” เด็กสาวผงะ รอยยิ้มร่าเริงค้างอยู่บนใบหน้า ไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าเหตุใดเขาถึงหน้าบึ้งขึ้นมาอีกแล้ว
“ไม่กินก็ออกไป” เยียนชิงหลางแค่นเสียงหึหนักๆ ขึ้นจมูก
“เจ้าค่ะ” นางกลืนน้ำลายพร้อมทำคอหด จากนั้นก็แย้งเสียงอ่อยๆ “แต่ข้าก็ไม่ได้บอกว่าจะกินแต่แรกแล้วนะ…”
แม่ทัพหนุ่มหรี่ตา นัยน์ตาโชนแสงจ้าราวกับดาบคมกริบ “หืม?”
“เปล่าเจ้าค่ะ เปล่า ได้นั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกับท่านแม่ทัพใหญ่ถือเป็นวาสนาสูงสุดในชีวิตข้าน้อยแล้ว ฮ่าๆ ท่านแม่ทัพใหญ่กินเลย ไม่ต้องเกรงใจ มีแต่กับข้าวบ้านๆ นี่แหละ กินเลยๆ…” นางลนลานเสียจนพูดจาเลอะเทอะไปหมด
ฮือ…นางเกลียดความขี้ขลาดและความขี้ประจบของตนเองเหลือเกิน
“รินน้ำชา” เขาสั่งเสียงเย็น
“เจ้าค่ะ” อวี้หมี่รีบรินชาใส่จอกให้
“ตอนแรกเจ้าจะกินอะไรเป็นมื้อเย็น” หลังจิบชาอึกหนึ่ง เขาถามขึ้นเหมือนชวนคุยเรื่อยเปื่อย
“เนื้อคลุกข้าวเหนียวคั่วบดห่อใบบัวกับน้ำบะหมี่” นางชะงักไปเล็กน้อย แล้วตอบตามจริง
“ต่อไปมากินด้วยกันกับข้า” เขาสั่งง่ายๆ
“อืม…หา?” ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองเขาอย่างตกตะลึง ขนาดทำตะเกียบหล่นลงไปบนโต๊ะข้างหนึ่งยังไม่รู้สึก
“หรือเจ้าไม่กล้ากินอาหารที่ตนเองทำ” เขาถามโดยไม่เลิกคิ้วสักนิด
“เหตุใดจึงจะไม่กล้าเล่า” นางงุนงงเป็นอันดับแรก ก่อนจะตบโต๊ะดังป้าบ ทำเสียงแหวด้วยความโมโห “นี่! ท่านกำลังพูดเป็นนัยว่าข้าใส่อะไรลงไปในอาหารอย่างนั้นหรือ…”
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้” เขาตัดบทเสียงหนักแน่น
คำปฏิเสธของอวี้หมี่คาอยู่แค่ในลำคอทันที ใบหน้ากลมป้อมดำเครียดเป็นก้นหม้อขณะตัดสินใจไม่ได้ว่าควรบีบคอเขาให้ตายเสียตรงนี้ หรือเทอาหารทุกอย่างบนโต๊ะใส่หัวเขาดี
“นี่ ท่านแม่ทัพเยียน” นางเรียกเสียงห้วน
“หืม?”
“ไม่ได้แกล้งข้าท่านจะตายอย่างนั้นหรือ” นางทำหน้าฮึดฮัด “ตอนแรกถูกท่านบังคับให้มาเป็นแม่ครัวที่นี่ข้าทนได้อยู่หรอกนะ ก็ใครอยากให้ข้าลักซื้อของกินบ้านท่านเล่า ข้ายินยอมพร้อมตาย…”
“ ‘ยินยอมพร้อมตาย’ ไม่ได้ใช้ในบริบทนี้” เขากล่าวแก้ไข
เด็กสาวผงะ ความอายเปลี่ยนเป็นความโกรธอย่างรวดเร็ว “กะ…ก็ข้าจะใช้ ท่านจะทำไม ยุ่งอะไรกับข้าด้วย”
“วันนี้ใจกล้าขึ้นมิน้อยนี่” ประกายเย็นเฉียบวาบขึ้นในดวงตาชายหนุ่ม
หัวของอวี้หมี่ระเบิดบึ้ม รู้สึกเย็นวาบตรงต้นคอ ความห้าวหาญที่อุตส่าห์ปลุกเร้าขึ้นมาอย่างยากลำบากละลายกลายเป็นน้ำไหลนอง นางพูดตะกุกตะกัก “กะ…ก็มันจริงนี่…แล้วท่านก็ไม่คิดจะหารือกันก่อน…แม่ครัวก็มีสิทธิ์พูดเหมือนกันนะ…”
เยียนชิงหลางจ้องมองนางเรียบๆ “อ้อ?”
เขาไม่ได้ใช้ความรุนแรง ไม่ได้ทำเสียงกระโชกโฮกฮากเลยแท้ๆ แค่มองนางเฉยๆ เหตุใดนางถึงได้ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว แข้งขาอ่อน อยากวิ่งหนีไปจากที่นี่
“ขะ…ข้าก็แค่แสดงความคิดเห็นของตนเอง…” นางกลืนน้ำลายลงคอ แล้วยิ้มประจบอย่างหวาดๆ “ถ้าท่านแม่ทัพไม่เห็นด้วย…ก็ช่างเถิด…มีอะไร…ค่อยพูดค่อยจากัน…”
“อืม” นัยน์ตาคมกริบสีดำฉายแววพึงพอใจอยู่ลึกๆ
ใบหน้าเคร่งเครียดเย็นชาของเขาค่อยมีความนุ่มนวลปรากฏให้เห็นบ้างแล้ว หัวใจของอวี้หมี่จึงผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย แล้วรีบคีบกับข้าวให้เขาแทบไม่ทัน ไม่มีอารมณ์มาห่วงแล้วว่าพฤติกรรมทำเป็นเก่งแล้วมาสอพลอทีหลังของตนเองน่าละอายเพียงไร
“กับข้าวจะเย็นหมดแล้ว รีบกินเถิด”
เยียนชิงหลางสะกดรอยยิ้มบางๆ ตรงมุมปากเอาไว้ เขากินผักไปสองสามคำ แล้วเหลือบตาขึ้นมองนางเมื่อนึกอะไรได้ “เจ้ามาที่นี่เพราะมีเหตุอันใดหรือ”
“พรวด!” อวี้หมี่ตักบะหมี่ให้ตนเองถ้วยหนึ่ง น้ำแกงที่เพิ่งจะซดเข้าไปพุ่งพรวดออกมาเลอะเทอะไปทั่ว “แค่กๆ”
มือใหญ่ตบหลังนางเบาๆ พอเห็นว่านางสำลักจนหน้าแดงก่ำก็ขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า “มีเรื่องสำคัญใหญ่หลวงอะไรที่ทำให้เจ้าร้อนรนจนถึงขั้นสำลักน้ำแกง”
“แค่กๆ…มะ…ไม่ใช่ แค่กๆ” นางพูดพลางสำลักพลางอย่างร้อนตัว “ข้านี่มันโง่เหลือเกิน…ความจริงที่มานี่ก็เพราะอยากมีเรื่องขอความเมตตาจากท่าน…”
“ขอความเมตตาเรื่องอะไร” เขาลูบไปถึงกลางหลังนาง พอสัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มอบอุ่นใต้ฝ่ามือก็รีบชักมือกลับทันทีราวกับถูกลวก ใบหน้าร้อนผ่าวอย่างน่าประหลาด เช่นเดียวกับร่างกำยำที่แข็งทื่อไปครู่หนึ่ง
“เรื่องของเรื่องก็คือข้าน้อยเป็นห่วงว่าน้องชายอยู่คนเดียวจะรับมือกับลูกค้าที่ร้านไม่ไหว เลยอยากมาขอร้องท่านแม่ทัพใหญ่ว่าจะอนุโลมให้ข้าน้อยกลับไปช่วยงานที่ร้านสักวันละสองชั่วยามได้หรือไม่ รีบไปรีบกลับในวันเดียวกัน รับประกันว่าจะไม่ให้พลาดเวลาอาหารหลักสามมื้อกับมื้อดึกของท่านเป็นอันขาด ไม่ทราบว่าท่านคิดอย่างไรบ้างเจ้าคะ” อวี้หมี่ลุกขึ้นย่อตัวคำนับเขาอย่างแช่มช้อยอ่อนหวานชนิดที่ทุกคนต้องมองนางใหม่
แต่น่าเสียดายที่นางทำให้คนตาบอดดู
“ไม่ได้” เขาปฏิเสธทันควันอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
“ไม่เช่นนั้นก็หนึ่งชั่วยามครึ่ง” นางต่อรองอย่างร้อนใจ “ชั่วยามเดียวก็ยังดี หนึ่งชั่วยามอย่างน้อยก็พอจะช่วยเสี่ยวเหลียงของข้านวดแป้ง หมักเนื้อแพะอะไรพวกนี้ได้ ทั้งได้ช่วยงานน้องชายทั้งปฏิบัติงานในจวนอย่างครบถ้วน ข้าคิดมาแล้ว ไม่มีแผนใดจะเหมาะเจาะไปกว่าแผนนี้”
“คิดว่าจวนแม่ทัพของข้าคือที่ใด อยากเข้าอยากออกก็ทำได้ตามอำเภอใจเช่นนั้นหรือ” เยียนชิงหลางถามเสียงเย็น รู้สึกหงุดหงิดอย่างไร้สาเหตุเมื่อเห็นนางเอาแต่พูดถึงน้องชายตนเอง
“ถ้าไม่เพราะมีช่องโหว่ให้ท่านเอาผิด ใครมันจะอยากเข้ามาอยู่ในจวนแม่ทัพนี่…” นางงึมงำเบาๆ
ใบหน้าหล่อเหลาคล้ำเครียด ดวงตาคมหรี่ลง “ต่อไปอย่าได้พูดถึงเรื่องนี้อีก!”
“ฮือ…ไม่นะเจ้าคะท่านแม่ทัพใหญ่…” นางตกใจลนลานจนหน้าละห้อย
สวรรค์ ปากข้าไวเช่นนี้มิใช่รนหาที่ตายหรือไร!
ความหวังที่ริบหรี่อยู่แล้วยิ่งถูกปิดตายไร้ทางไปต่อเพราะความปากไวแบบไม่คิดหน้าคิดหลังของตนเอง อวี้หมี่อยากหาเข็มเย็บผ้าสักเล่มมาเย็บปากให้รู้แล้วรู้รอด
“หากเจ้ายืนกรานเช่นนั้นจริงๆ ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางประนีประนอม” หลังจากนั้นเขาก็โพล่งขึ้นและมองนางอย่างคนมีแผน
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านแม่ทัพใหญ่เป็นคนน้ำใจประเสริฐ…” นางสุดแสนปรีดาเมื่อได้ยินดังนั้น
“ในหนึ่งวันเจ้าออกจากจวนไปกี่ชั่วยาม ก็ต้องเก็บมาบวกทบเพื่อชดเชยทีหลัง” เขาทำหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “คำนวณตั้งแต่ต้นจนจบก็เท่ากับว่าเจ้าต้องอยู่ในจวนต่อสิบถึงสิบห้าวัน หากเจ้าตกลงตามนี้ ข้าก็ยินดีจะอะลุ้มอล่วยเป็นน้ำใจ แล้วผ่อนปรนให้เจ้า”
ผ่อนปรนกับผีสิ!
อวี้หมี่แทบกระอักเลือด นางใช้ปลายนิ้วสั่นระริกชี้จมูกโด่งเป็นสันของเขาอยู่นาน สุดท้ายก็เค้นเสียงดุดันได้เพียง “อย่าได้คิด! ไม่มีทาง! ฝันไปเถิด!”
ไหนแม่นมเหยียนบอกว่า ‘ท่านแม่ทัพใหญ่องอาจห้าวหาญ แต่ก็เป็นคนใจคอกว้างขวางมากคนหนึ่งเช่นกัน’ เหลวไหลชัดๆ! โลกนี้ยังมีใครใจคอคับแคบ คิดเล็กคิดน้อย ขี้ตืดขี้เหนียวไปกว่าเขาอีก นางแค่ลักซื้อปลาหนึ่งตัวกับข้าวอีกสองโต่วของจวนเขา นี่ก็อุตส่าห์เข้าจวนมาขายฝีมือไถ่โทษแล้ว เขายังจะเอาอย่างไรอีก!
เยียนชิงหลางไม่พูดอะไรสักคำ เอาแต่มองนางเรียบๆ ด้วยท่าทางหนักแน่นมั่นคงดุจเขาไท่ซาน
นางถลึงตาจ้องหน้าชายหนุ่มอยู่นาน ความเดือดดาล ความโมโห ความกังวล ความคับแค้นผสมกันยุ่งเหยิงอยู่ในใจ ขอบตาเริ่มแดงก่ำ หัวอกอัดอั้นขมขื่นอย่างห้ามไม่อยู่
คนใหญ่คนโตที่แสนสูงศักดิ์อย่างเขาจะเข้าใจความรู้สึกของชาวบ้านตัวเล็กๆ ที่ต้องปากกัดตีนถีบเพื่อเอาชีวิตรอดอย่างนางกับน้องชายได้อย่างไรกัน
จวนเยียนกั๋วกงยิ่งใหญ่โอฬาร บ่าวไพร่เดินสวนกันให้ว่อน จวนแม่ทัพพิทักษ์บูรพามีข้ารับใช้นับไม่ถ้วน ตัวเขาเองยังมีทหารกล้าแสนนายอยู่ในมือ สั่งคำเดียวมีแต่คนรอรับบัญชา ไหนเลยจะรู้ซึ้งถึงความยากลำบากของลูกกำพร้าที่บ้านแตกสาแหรกขาด เหลือแค่สองพี่น้องที่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน
อวี้หมี่ตื้อในลำคอ พยายามระงับก้อนความขมขื่นที่พลุ่งพล่านขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจกลับลงไป
เยียนชิงหลางเห็นนางขอบตาแดงก่ำ ทว่ากลับกัดริมฝีปากล่างแน่นอย่างดื้อรั้นก็ปวดแปลบในใจ ลืมเรื่องไม่สบอารมณ์ทุกอย่างไปสิ้น หัวใจปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูก
“เจ้า…อย่าร้องไห้เลย”
“ลูกตาข้างไหนของท่านเห็นว่าข้าร้องไห้” นางใช้มือถูหน้าโดยแรง แล้วกัดฟันกรอด “อวี้หมี่คนนี้เป็นถึงเจ้าของร้านอาหารริมทางชายแดนตะวันออก มีแขกอุปถัมภ์เนืองแน่นชายคา ฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ ข้าไม่ใช่สตรีที่ดีแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นพวกนั้น อย่าดูถูกกันให้มากนักเลย!”
เขาอยากบอกเหลือเกินว่า ‘มีแขกอุปถัมภ์เนืองแน่นชายคา’ ไม่ได้ใช้ในบริบทนี้ แต่พอเห็นดวงตาแดงก่ำที่แสนเด็ดเดี่ยวของนางก็เงียบไป
“ข้า…” ชายหนุ่มกระแอม รู้สึกประหม่าชอบกล “ไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
“แล้วท่านหมายความเช่นไร”
เขาโต้ตอบไม่ออก
บรรยากาศตกอยู่ใต้ความเงียบงัน
สักพักใหญ่ให้หลัง อวี้หมี่ก็สูดจมูกแล้วใช้แขนเสื้อถูหน้าอีกครั้ง จะเอาความอาภัพขมขื่นที่ประสบมาชั่วชีวิตระบายใส่เขาก็ดูเหมือนจะไม่ยุติธรรม นางตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเบาๆ “ท่านไม่เข้าใจหรอก เสี่ยวเหลียงเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวของข้า ขะ…ข้าไม่ห่วงเขาไม่ได้”
ถูกต้อง สองพี่น้องสกุลอวี้ช่วยเหลือประคับประคองกันและกัน นี่เป็นสิ่งที่เขาประจักษ์ด้วยตาตนเองมาตลอดสองปี
เยียนชิงหลางมองนางนิ่ง แล้วห้ามตนเองไม่ให้ทอดถอนใจ
“ข้ารู้ว่าข้านิสัยไม่ดี พออารมณ์ร้อนขึ้นมาทีไรเป็นต้องปากไว กระทบกระทั่งท่านแม่ทัพใหญ่จนทำให้ท่านโมโหด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่บ่อยครั้ง” นางทำหน้าหมองพูดเสียงเครือ “ต่อไปข้าจะปรับปรุงตัว…”
ในที่สุดเขาก็ฝืนแข็งใจต่อไปไม่ไหว ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “โรงครัวใหญ่ของจวนแม่ทัพมีแม่ครัวสิบสองคน หากเจ้าต้องการ พรุ่งนี้ข้าจะส่งไปช่วยงานที่ร้านสองคน เจ้าจะได้ไม่ต้องคอยพะวักพะวนเป็นห่วงเหลียงเกอเอ๋อร์”
“จะ…จริงหรือ” อวี้หมี่เงยหน้าพรวด เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหู ดูน่ารักน่าชังอย่างยิ่ง “ได้จริงๆ หรือ”
ดวงตาคมทอแสงนุ่มนวลจนเขาแทบอยากเอื้อมมือออกไปแตะแพขนตาสีดำงอนยาวราวกับปีกผีเสื้อของนางว่าเทียบกับภาพในความคิดของเขาแล้ว จะเหมือน…
ชายหนุ่มสะดุ้งวาบในใจ ตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันที สีแดงเรื่ออันน่าสงสัยกำลังแผ่ซ่านอยู่ตรงหลังใบหูช้าๆ
“ท่านแม่ทัพใหญ่ ท่านช่างเป็นคนดีเหลือเกิน” อวี้หมี่ปากสั่นระริกขณะจับมือเขาขึ้นมาเขย่า
นางตื้นตันเสียจนระงับอารมณ์ไม่อยู่ “ขอโทษด้วย เมื่อครู่ข้าว่าท่านเพราะเข้าใจท่านผิด…ท่านแม่ทัพใหญ่ เชิญใช้กฎทหารในจวนลงโทษข้าได้เลย คราวนี้ข้ายินยอมพร้อมตาย จะตีจะฆ่ากันอย่างไร หากข้าขมวดคิ้วแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ถือว่าเป็นผู้กล้า”
เฮ้อ…เมื่อไรนางถึงจะปรับปรุงนิสัยชอบใช้คำส่งเดชได้นะ
แต่คราวนี้เยียนชิงหลางไม่ได้เอ่ยปากแก้ไข เพราะกำลังพยายามทำมองข้ามสัมผัสนุ่มนิ่มอบอุ่นบนมือที่ถูกนางบีบไว้แน่น
ความประหม่าทำให้ใบหน้าหล่อเหลายิ่งเคร่งขรึมเฉียบขาดขึ้น น่าเสียดายที่สีเลือดฝาดบนโหนกแก้มทรยศภาพลักษณ์แม่ทัพเยียนจอมหน้าตายของเขาเสียแล้ว
โชคดีที่อวี้หมี่เป็นพวกหัวช้า อีกอย่างตอนนี้นางมัวแต่ตำหนิตนเองกับซาบซึ้งตื้นตันในน้ำใจเขา จึงไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่ผิดแปลกจากยามปกติเล็กน้อยของท่านแม่ทัพใหญ่
แต่องครักษ์ที่โผล่หน้าออกมาจากหลังประตูกลับตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง จวบจนถูกผู้บังคับบัญชาตวัดสายตาดุดันมามองถึงได้รีบลนลานหดหัวกลับไป
ฮือ ท่านแม่ทัพใหญ่น่ากลัวเหลือเกิน!
ข่มขวัญลูกน้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เยียนชิงหลางก็ชักสายตากลับมามองเด็กสาวหน้ากลมอีกครั้ง ดวงตาคมดูกระสับกระส่ายเล็กน้อย แต่ในขณะเดียวกันก็ฉายแววอ่อนโยนผิดปกติ “เช่นนั้น…เจ้า…เอ่อ…จากนี้ไปก็อยู่ในจวนอย่างสบายใจแล้วกัน”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ” นางพยักหน้าอย่างว่าง่าย “รับรองว่าต่อไปข้าจะตอบแทนท่านแม่ทัพใหญ่เป็นอย่างดีแน่นอน”
“ไม่ใช่ตอบแทนข้า”
“เอ๋?” ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ อย่างฉงนฉงาย
“ไม่มีอะไร” แม่ทัพหนุ่มหลุบตาลงกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริงในใจ “กับข้าวเย็นหมดแล้ว สั่งให้คนยกไปอุ่นก่อนค่อยกินต่อแล้วกัน”
“ข้าจัดการเองๆ”
ทว่าเขาจับมือนางกลับโดยแรง แล้วส่งเสียงเรียก “ใครก็ได้”
“ขอรับ!” องครักษ์ที่อยู่ด้านนอกเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วยกถาดอาหารเดินหายออกไปในพริบตา
แต่คราวนี้อวี้หมี่ไม่มีแก่ใจจะต้องชมว่าองครักษ์มีวิชาตัวเบาเป็นเลิศอีกแล้ว เพราะนางกำลังก้มหน้าลงอึ้งๆ มองมือตนเองที่ถูกมือใหญ่อบอุ่นจับไว้แน่น รู้เพียงแต่ว่าหัวใจเต้นรัวแรงยิ่งนัก…
บทที่ห้า
คืนนั้นอวี้หมี่นอนกระสับกระส่ายหลับไม่สนิท ซ้ำยังลุกขึ้นมานั่งเป็นพักๆ เหม่อมองมือขวาที่ถูกเยียนชิงหลางกุม นางพลิกตัวกลับไปกลับมาอยู่บนเตียงทั้งคืนราวกับย่างแผ่นแป้ง เพิ่งจะเริ่มสะลึมสะลือปิดตาลงตอนฟ้าสว่างรำไร แต่พอได้ยินเสียงไก่ขันด้านนอกก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีก สุดท้ายเลยต้องขยี้ตาอ้าปากหาวหวอดพลางลงจากเตียง
“นอนไม่หลับทั้งคืนเพราะมือข้างเดียว เจ้าทำอะไรอยู่กันแน่” นางถลึงตาดุดันใส่ใบหน้าอ่อนเพลียในกระจกทองแดง “อวี้หมี่โง่เง่า อวี้หมี่จอมเขลา”
นางตำหนิตนเองจนสาแก่ใจ ตามปกติไปเทน้ำในหม้อน้ำร้อนออกมาล้างหน้าด้วยตนเอง ไม่เคยรอให้เจี้ยนหลันเข้ามาปรนนิบัติ แต่เมื่อคืนจิตใจปั่นป่วนว้าวุ่น เช้านี้ก็หนังตาหนักอึ้งเสียเหลือเกิน นางจึงเดินไปที่บ่อน้ำ ตักน้ำเย็นเฉียบเข้ากระดูกดำมารดหน้า แล้วต้องตัวสั่นงันงกด้วยความหนาว
แต่มีข้อดีอยู่อย่างคือนางตาสว่างโดยสมบูรณ์ ไม่เอาแต่พะวักพะวนเรื่องมือข้างนั้นอีกแล้ว
เด็กสาวม้วนแขนเสื้อ เทแป้งสามชามใหญ่ลงบนโต๊ะทำครัว ขุดตรงกลางให้เป็นหลุมเล็กๆ โรยเกลือนิดน้ำตาลหน่อย แล้วค่อยๆ เทน้ำลงไปผสมไม่ให้แห้งหรือแฉะเกินไป มือเล็กทั้งสองข้างออกแรงดัน กด ม้วน นวด ฟาด ตี อย่างชำนาญ เพียงครู่เดียวก็ได้แป้งผสมเนื้อเนียนหยุ่นนุ่ม นางพักแป้งไว้บนโต๊ะโดยใช้ผ้าชุบน้ำคลุม จากนั้นก็ตักงาดำชามใหญ่ขึ้นมาจากหนึ่งในไหกระเบื้องสิบกว่าใบที่วางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ
นางบดงาจนละเอียดด้วยครกหินใบเล็ก นำลงไปคั่วเร็วๆ กับน้ำมันถั่วลิสงในกระทะขนาดใหญ่ กลิ่นหอมงากับกลิ่นหอมถั่วลิสงลอยฟุ้ง นางรีบตักน้ำตาลเคี่ยวเหนียวหนับใส่ลงไปหนึ่งช้อนอย่างว่องไว พอยกกระทะขึ้นมาก็ได้งาดำเคี่ยวร้อนๆ กลิ่นหอมฉุย
เตาไฟอีกเตาตั้งหม้อตุ๋นน้ำแกงไก่จนเป็นสีเหลืองทองเจือขาวขุ่นแบบน้ำนม นางตรวจดูไฟเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปแบ่งแป้งที่ขึ้นตัวดีแล้วเป็นก้อนกลมเล็กๆ แผ่ออกให้แบน ทาเนยกับงาดำเคี่ยวลงไป ม้วนแป้ง จากนั้นก็แผ่ให้แบนใหม่ ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งก็ได้เซาปิ่ง* กลมที่มีไส้สอดแทรกเป็นชั้นๆ นางหยิบแปรงเล็กมาจุ่มน้ำป้ายลงบนหน้าขนม โรยงาขาวลงไป จากนั้นก็เอาไปติดแนบไว้กับผนังด้านในเตาเหล็กที่ทำขึ้นโดยเฉพาะ
มะเขือสีม่วงเข้มที่วาววับจนขึ้นเงาสามลูกใหญ่ถูกหั่นเป็นชิ้นๆ อย่างว่องไว ใส่เนื้อแพะสดใหม่ลงไปผัดในกระทะที่ตั้งน้ำมันจนหอม ปรุงรสด้วยน้ำส้ม สุรา พริกหอม ต้นหอมหั่นท่อน กระวานดำ พุทราแดง อบเชยเทศ ขิงแว่น เติมน้ำเปล่าลงไปให้เดือด สุดท้ายก็ใส่มะเขือลงไปผัดแล้วปิดฝากระทะ รอจนได้กลิ่นหอมก็ยกขึ้นจากเตา ได้เป็นเนื้อแพะผัดมะเขือม่วงแสนอร่อยอีกหนึ่งจาน
สำนวนที่ว่าเนื้อแพะผัดมะเขือม่วงอร่อยลิ้น ผู้เฒ่ากินเพลินเพลิดจนจุกตาย หมายถึงอาหารท้องถิ่นชายแดนตะวันออกที่หอมเผ็ดเครื่องเทศจานนี้นี่แหละ
เซาปิ่งกลมที่ผิงจนเป็นสีน้ำตาลทองแล้ว นางนำออกมาเรียงพักไว้ให้คลายร้อนเพื่อคงสัมผัสกรอบนอกนุ่มใน ระหว่างนั้นก็ทำยำแตงกวามันฝรั่งเส้นอย่างรวดเร็ว แล้วจัดเรียงใส่ถาดใหญ่พร้อมด้วยน้ำแกงไก่ เนื้อแพะผัดมะเขือม่วง และเซาปิ่งหน้างาขาว
เฮ้อ…ดีจริงที่คนเรามีงานให้ทำ พอยุ่งกับงานก็ไม่มีเวลามาหมกมุ่นกับความคิดไร้สาระในหัว
เจี้ยนหลันที่ยืนรอหน้าประตูโรงครัวเล็กอยู่นานน้ำลายสอกับกลิ่นอาหารอย่างห้ามไม่อยู่
“แม่นางเจี้ยนหลัน ข้าทำเซาปิ่งไส้งาดำเคี่ยวกับเนื้อแพะผัดมะเขือม่วงเอาไว้เยอะเลย อีกเดี๋ยวพอว่างจากงานแล้วมาชิมรสมือข้าหน่อยเป็นอย่างไร” อวี้หมี่บอกยิ้มๆ
เจี้ยนหลันรีบปฏิเสธแทบไม่ทัน “บ่าวมิกล้า”
“บ่าวกล้ามิกล้าอะไรเล่า ระหว่างเราสองคนยังไม่แน่เลยว่าใครเป็นบ่าว อีกอย่างอาหารทำไว้ให้คนกิน ถ้าเจ้ากินแล้วชอบ แม่ครัวอย่างข้าก็ปลื้มใจ”
“แม่นางอวี้เป็นแขก ไม่ใช่บ่าวเจ้าค่ะ”
“เจ้าเคยเห็นแขกคนใดโดนคุมตัวให้มาติดไฟทำกับข้าวทุกวันหรือไม่เล่า” หรือว่าจวนแม่ทัพพิทักษ์บูรพาจะปฏิบัติกับแขกไม่เหมือนที่อื่น
“เดี๋ยวบ่าวยกอาหารให้เองเจ้าค่ะ” เจี้ยนหลันไม่กล้าพูดถึงรายละเอียดเบื้องลึก ขณะรับถาดมาถือไว้เองด้วยกิริยาคล่องแคล่วแช่มช้อย
“อ้อ ใช่ๆ ท่านแม่ทัพใหญ่ยังรอกินข้าวอยู่” อวี้หมี่เพิ่งนึกออกจึงเอ่ยเร่ง “รีบไปเถิดๆ เดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อย”
เจี้ยนหลันไม่ยอมออกเดิน กลับเลิกคิ้วโก่งบางขึ้นถามอย่างฉงน “แม่นางอวี้ไม่ไปด้วยกันหรือเจ้าคะ”
“ให้ข้าไปด้วยเหตุใดกัน” อวี้หมี่หน้าเหลอ ชะรอยพอตื่นมาก็ลืมสิ้นว่าเมื่อคืนตนเองรับปากอะไรกับท่านแม่ทัพใหญ่เอาไว้
เจี้ยนหลันถอนหายใจเฮือก แล้วช่วยเตือนความจำ “เมื่อคืนท่านรับปากนายท่านไว้ว่าหลังจากนี้จะไปกินข้าวร่วมโต๊ะกับนายท่านทุกวัน”
อวี้หมี่ผงะ แล้วยกมือลูบแก้มอึ้งๆ “อา…ข้าลืมแล้วจริงๆ นั่นแหละ”
“เชิญเจ้าค่ะ แม่นางอวี้”
นางกระอักกระอ่วนเก้อเขินขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ทว่าเจี้ยนหลันเอาแต่จ้องมองมาอย่างดึงดัน นางจึงต้องกลั้นใจเตรียมชามกับตะเกียบอีกชุดเดินตามหลังสาวใช้ไป
ฟ้าสว่างเต็มที่แล้ว หมอกยามเช้าเจือไอเย็นสดชื่นค่อยๆ สลายไป สวนอันกว้างใหญ่ของจวนแม่ทัพปลูกไม้ยืนต้นไว้มากกว่าไม้ดอก ทอดตามองไปจึงเห็นสีเขียวขจีเป็นแพเต็มคลองจักษุ มองแล้วรื่นหูรื่นตา รู้สึกสดชื่นปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก
แต่เดินไปได้สักพัก อวี้หมี่ก็เอะใจขึ้นมา “นี่ไม่ใช่ทางไปเรือนนอนท่านแม่ทัพใหญ่นี่”
“เวลานี้นายท่านอยู่ที่หอไพศาล”
“หอไพศาลเอาไว้ทำอะไรหรือ” นางชะงักไปเล็กน้อย
“หอไพศาลตั้งอยู่กลางทะเลสาบในจวน เป็นห้องหนังสือของนายท่าน” เจี้ยนหลันไม่ได้อธิบายต่อว่าปกติที่แห่งนี้เป็นเขตหวงห้ามในจวนแม่ทัพพิทักษ์บูรพาที่คนทั่วไปจะล่วงล้ำไม่ได้
กินข้าวเช้าในห้องหนังสือ? แหม ความชื่นชอบของท่านแม่ทัพเยียนช่างพิกลดีจริงๆ
แม้จะงุนงงสับสน นางก็ยังเดินตามอีกฝ่ายเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาจนมาอยู่หน้าทะเลสาบแห่งหนึ่งที่มีสายหมอกลอยอยู่ข้างบน เด็กสาวเบิกตากว้าง ส่งเสียงอุทานด้วยความตกตะลึง
“โห…” ชายแดนตะวันออกมีทะเลสาบใหญ่ถึงเพียงนี้อยู่ด้วย ซ้ำยังอยู่ในจวนแม่ทัพอีกต่างหาก อาณาเขตจวนแม่ทัพพิทักษ์บูรพาช่างกว้างใหญ่ไพศาลจริงๆ…
“บ่าวส่งท่านได้แค่นี้” เจี้ยนหลันส่งถาดอาหารให้องครักษ์ท่าทางดุดันที่ยืนยามอยู่ตรงริมทะเลสาบ แล้วหันมาพูดกับอวี้หมี่ “แม่นางอวี้โปรดขึ้นเรืออย่างสบายใจเถิด นายท่านกำลังรอท่านอยู่”
แค่จะกินข้าวเช้ายังทำคนอื่นวุ่นวายไปหมด นี่กินข้าวหรือจัดกระบวนทัพกันแน่
เท้าที่กำลังก้าวลงเรือแจวของอวี้หมี่พลอยแข็งทื่อ ไม่รู้ว่าหากจรดเท้าลงไปจะเผลอเหยียบกลไกอะไรเข้าหรือไม่
“หรือว่า…” นางกลืนน้ำลายลงคอ เริ่มหวาดระแวงอยู่ในใจ “พอท่านแม่ทัพใหญ่หลับไปหนึ่งคืนแล้วตื่นขึ้นมาในตอนเช้าจะคิดว่าส่งแม่ครัวสองคนไปให้ร้านของข้าเปล่าๆ ถือเป็นการเสียศักดิ์ศรีอย่างร้ายแรง เช้านี้เลยตั้งใจจะคิดบัญชีกับข้า”
ใช่ จะต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน ไม่เช่นนั้นจะทำลับๆ ล่อๆ แต่เช้าด้วยเหตุใดเล่า
คิดถึงประวัติโฉดยาวเป็นหางว่าวที่เยียนชิงหลางเคยกลั่นแกล้งรังแกนางแล้ว…
ยิ่งคิดก็ยิ่งหายใจไม่ทั่วท้อง ใบหน้ากลมป้อมขาวเผือดสลับกับซีดเขียว นางถือชามจับตะเกียบแน่น นั่งกระสับกระส่ายอยู่บนเรือลำน้อยที่แล่นแหวกน้ำไปข้างหน้า นึกอยากลุกขึ้นมาโดดลงน้ำหนีเป็นพักๆ
“แม่นางอวี้โปรดนั่งนิ่งๆ” องครักษ์ผู้นั้นถือลำไผ่อย่างมั่นคง เห็นได้ชัดว่าพายเรือมาจนช่ำชอง “ใกล้ถึงแล้ว”
“พี่ชายท่านนี้ ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านแม่ทัพใหญ่ถึงต้อง…”
องครักษ์ที่เมื่อครู่ยังสุขุมเยือกเย็นอยู่ดีๆ พลันหน้าซีดเผือด แล้วรีบก้มหน้าก้มตาจ้วงลำไผ่แจวเรือเร็วรี่ ดูผิดปกติมีพิรุธอย่างมาก อวี้หมี่เห็นแล้วยิ่งใจเต้นแรง
แต่นางไม่ล่วงรู้สักนิดว่าทั้งหมดมีต้นเหตุมาจากคำว่า ‘พี่ชาย’ ทรงอานุภาพฉกาจฉกรรจ์ที่นางเอ่ยเรียกโดยไม่คิดอะไรนั่นแหละ ไม่มีใครในจวนแม่ทัพพิทักษ์บูรพาไม่รู้ว่านับตั้งแต่เหอหย่งคนรถถูกท่านแม่ทัพใหญ่ผู้ถูกลมเพชรหึงเล่นงานเนรเทศไปอยู่ที่ค่ายนั้น ก็ไม่เคยได้กลับมาอีกเลย ได้ยินแว่วๆ จากข่าวที่เล็ดลอดออกมาว่าเป็นไปได้อย่างสูงที่เวลานี้เหอหย่งจะถูกคุมตัวฝึกหนักอย่างบ้าคลั่งในค่ายพยัคฆ์โหดที่เข้มงวดที่สุดของกองทัพสกุลเยียน!
“ข้าแค่อยากถามว่า…”
“จะถึงแล้วๆ” เรือลำน้อยแล่นแหวกผิวน้ำราวกับลูกธนูหรือดาวตกก็ไม่ปาน
เรือแล่นเร็วเสียจนขนาดอวี้หมี่ขึ้นไปยืนบนพื้นหอไพศาลแล้วยังหน้ามืดวิงเวียนไม่หาย
“เจ้าเมาเรือหรือ” เยียนชิงหลางขมวดคิ้วดกหนาน้อยๆ พลางก้าวเข้ามาจับมือนางไว้อย่างมั่นคง
“ขะ…ข้าไม่เป็นไร” นางเลียริมฝีปากแห้งผาก พอเงยหน้าขึ้นมองเขาก็เกิดสั่นสะท้านขึ้นมาอีก
“เหตุใดจึงมองข้าเช่นนั้น” เขามุ่นหัวคิ้ว
“ทะ…ท่าน…” เด็กสาวพยายามกลืนน้ำลายลงคอ แล้วถามตะกุกตะกัก “เหตุใดถึงได้…”
“วันนี้ที่ค่ายไม่มีงาน เป็นวันหยุดของข้า” คล้ายมองความระแวงในใจนางออก แม่ทัพหนุ่มจึงยกมุมปากขึ้นน้อยๆ “ใครต่อใครกล่าวว่าทิวทัศน์ของหอไพศาลงามเป็นเลิศ เจ้าคิดว่าอย่างไรบ้าง”
“ข้าคิดว่า…” ท่านจะ…จัดการข้าน่ะสิ!
ทว่าตอนนี้นัยน์ตาคมเจือยิ้มนิดๆ อย่างหาได้ยาก ดูรื่นรมย์ใจอย่างบอกไม่ถูก อวี้หมี่ถูกภาพนั้นจู่โจมเสียจนใจสั่น หัวใจเต้นตึกๆ ระรัวอยู่ในอก ลืมสิ้นถึงความคิดตามมุมมองคับแคบเมื่อครู่นี้ของตนเอง
แรกสุดเขามองนางด้วยสายตางุนงง แต่เพียงไม่นานก็รู้ทันว่านางคิดอะไร จึงกลายเป็นหงุดหงิดแทนจนได้ “อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดว่าข้าจะลวงเจ้ามาฆ่า”
“เอ่อ…ข้าจะคิดเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่า ฮ่าๆ” นางหัวเราะแห้งๆ อย่างร้อนตัว แววตาหลุกหลิกไปมา ดูน่าสงสัยอย่างยิ่ง “ทิวทัศน์ทะเลสาบงดงามเหลือเกินจริงๆ ท่านแม่ทัพใหญ่ช่างมีความชื่นชอบส่วนตัวที่ดีเยี่ยมอะไรเช่นนี้”
“กินข้าวให้เสร็จก่อนค่อยคิดบัญชีกับเจ้า” เขาคำรามเสียงต่ำด้วยรู้ทันความคิดนาง
“ฮือ อย่านะเจ้าคะท่านแม่ทัพใหญ่…” ใบหน้ากลมป้อมอูดอูมเป็นซาลาเปา
เยียนชิงหลางหันหลังสาวเท้ายาวๆ ขึ้นบันไดโดยไม่รอ ใบหน้าหล่อเหลาดูเคร่งขรึมตามปกติ เดินขึ้นไปได้สองสามขั้น ร่างสูงใหญ่ก็พลันหยุดชะงัก “ยังมัวแต่ยืนทึ่มอยู่ตรงนั้นไปไยอีก”
“อ๊ะ…เจ้าค่ะๆ จะขึ้นไปเดี๋ยวนี้แหละ” นางถอนหายใจเฮือกด้วยความโล่งอก แล้วรีบปั้นยิ้มถือชามกับตะเกียบเดินตามเขาต้อยๆ
เพราะเสียเวลาไปกับเหตุการณ์เมื่อครู่ อาหารในถาดจึงเย็นหมดแล้ว อวี้หมี่มองน้ำแกงไก่สีเหลืองทองที่มีฝ้าไขมันสีขาวลอยอยู่ข้างบนกับเนื้อแพะผัดมะเขือม่วงอย่างลำบากใจ ใบหน้ากลมเล็กม่อยหงอยลงอย่างห้ามไม่อยู่
พอเย็นก็ไม่อร่อยแล้ว เขาต้องไม่อยากกินแน่นอน
“มีอะไรหรือ” เยียนชิงหลางสังเกตเห็นอาการห่อเหี่ยวของนาง
“ท่านแม่ทัพใหญ่กินเซาปิ่งงาขาวกับยำแตงกวามันฝรั่งเส้นไปพลางๆ ก่อนเถิด ข้าน้อยจะยกจานที่เหลือกลับไปอุ่นให้ใหม่…”
“ไม่ต้อง” เขาพยักพเยิดให้นางนั่งลง
“แต่…”
“เรื่องเล็ก” แม่ทัพหนุ่มแนบฝ่ามือเข้ากับหม้อใส่น้ำแกงไก่ เพียงถ่ายทอดกำลังภายในใส่เบาๆ ไอร้อนก็ลอยขึ้นจากผิวน้ำแกงในพริบตา จากนั้นก็อุ่นเนื้อแพะผัดมะเขือม่วงด้วยวิธีเดียวกันภายใต้สายตาเบิกกว้างจนแทบหลุดออกจากเบ้าของอวี้หมี่ “ร้อนแล้ว กินข้าวเถิด”
“…” นางทำอย่างไรก็หุบปากที่อ้าหวอไม่ลงจริงๆ
เขาตักน้ำแกงร้อนๆ กลิ่นหอมฉุยให้นาง พร้อมด้วยน่องไก่ที่เคี่ยวจนเปื่อยหนึ่งน่องกับเห็ดอีกสองสามดอก “กินสิ”
“ท่านแม่ทัพใหญ่ ทะ…ท่านเป็นผู้วิเศษชัดๆ!” อวี้หมี่ตาเป็นประกายด้วยความเลื่อมใส ตื่นเต้นเสียจนอยากจับมือเขาขึ้นมาเขย่าแรงๆ แต่ก็กลัวว่าจะกลายเป็นลบหลู่เขา เลยไม่รู้จะระบายความตื่นเต้นนี้อย่างไรดี
แม่ทัพหนุ่มผู้มีใบหน้าเคร่งขรึมเห็นดังนั้นก็อดจะยิ้มออกมานิดๆ ไม่ได้
“นั่นกำลังภายในใช่หรือไม่ หรือว่าฝ่ามือเหล็กทราย? วิชาเมฆาเพลิง?” สุดท้ายนางก็อดไม่ได้ที่จะจับมือเขามาพลิกหน้าพลิกหลัง พลางอุทานอย่างอัศจรรย์ใจ “หากข้าตอกไข่ลงบนนี้จะกลายเป็นไข่สุกหรือไม่ เป็นสินะๆ”
ดวงตาทอยิ้มกลายเป็นใบหน้าบึ้งตึงทันที เขาชักมือกลับมาอย่างรวดเร็ว แล้วแค่นเสียงหึขึ้นจมูก “เจ้าเห็นแม่ทัพผู้นี้เป็นตัวอะไร พวกเร่ขายวิชาในยุทธภพอย่างนั้นหรือ”
เด็กสาวสะดุ้งโหยง ก้มหน้ารับผิดแต่โดยดี “ต่อไปข้าน้อยไม่กล้าแล้ว”
“ตกลงจะกินข้าวหรือไม่” สุดท้ายเยียนชิงหลางที่ทำหน้าตึงเห็นนางคอตกซึมเซาก็ทนสงสารไม่ไหว น้ำเสียงจึงอ่อนลง
“กินเจ้าค่ะ” อวี้หมี่ฟื้นคืนชีพกลับมากระปรี้กระเปร่าเป็นร้อยเท่าอีกครั้ง รอยยิ้มประจบประแจงผลิบานอยู่บนใบหน้ากลมป้อม “มาๆ ข้าน้อยจะปรนนิบัติท่านเอง ลองชิมเซาปิ่งหน้างานี่ดูนะเจ้าคะ ตอนยังร้อนกรอบนอกนุ่มใน พอเย็นแล้วนุ่มเหนียวเคี้ยวเพลิน อร่อยมากเลยล่ะ”
เซาปิ่งมีขนาดเท่าฝ่ามือเท่านั้น เขากัดทีละครึ่งอัน กลิ่นหอมกำจายออกมาอบอวลอยู่ในปากระหว่างเคี้ยว อร่อยจนต้องพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว
“ไม่เลวใช่หรือไม่เจ้าคะ” นางตาพราว ก่อนจะแนะนำต่ออย่างกระตือรือร้น “เซาปิ่งแบบนี้เอามาห่อเนื้อแพะเค็มกินก็อร่อยล้ำ หรือถ้าอยากกินแบบหวาน ทาน้ำผึ้งดอกกุ้ยนิดก็หอมเลิศรสเหมือนกัน”
เยียนชิงหลางกินเงียบๆ ไม่ใคร่วิจารณ์เรื่องรสชาติสักเท่าไรนัก แต่ก็จัดการอาหารในถาดหมดไปกว่าค่อนภายในเวลาอันสั้น เหลือไว้แต่ส่วนของนาง
อวี้หมี่ไม่ล่วงรู้ความนัยว่าเขาทำเช่นนั้นเพื่ออะไร เห็นเซาปิ่งกับเนื้อแพะผัดมะเขือม่วงยังเหลือก็เร่งเร้าอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ “ยังเหลืออยู่นะเจ้าคะ ถ้าชอบก็กินเยอะๆ สิ”
คิ้วดกหนาเลิกขึ้นเล็กน้อย มือใหญ่หยิบเซาปิ่งชิ้นหนึ่งยัดใส่ปากเล็กๆ ที่พูดจ้อไม่หยุดของนาง “กิน!”
“อื๊อ…” เซาปิ่งชิ้นนั้นยัดเข้ามาอย่างถนัดถนี่จนคับแน่นไปทั้งปาก
“กินเสร็จแล้วข้าจะสอนเจ้าขี่ม้า”
ดวงหน้ากลมที่แก้มทั้งสองข้างปูดนูนฉายแววลิงโลด “อี่อ๊า!?”
จะได้ขี่ม้าจริงหรือ!
ก่อนจะได้สนุกสนานกับการขี่ม้าอย่างที่ใฝ่ฝัน มีอยู่เรื่องหนึ่งที่นางต้องทำให้เสร็จสิ้นในฐานะพี่สาวผู้มีความรับผิดชอบและรักน้องชายอย่างสุดซึ้ง
“ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าขอพบแม่ครัวสองคนที่จะไปช่วยงานที่ร้านหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ จะได้กำชับกำชาพวกนางด้วย”
เมื่อกลับมาถึงพื้นที่ด้านในจวนแม่ทัพ อวี้หมี่ที่ได้รับคำสั่งให้กลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดทะมัดทะแมงก็ได้สติจากภวังค์ปลาบปลื้มเคลิบเคลิ้ม แล้วถามเขาอย่างนั้น
“ได้” เขาตอบเสียงเรียบ
“ขอบคุณท่านแม่ทัพใหญ่” นางดีใจยิ่งนัก
“ใครก็ได้” ดวงตาคมตวัดมอง
“ขอรับ!” มีองครักษ์เข้ามารับคำสั่งทันที
อวี้หมี่เห็นแล้วอิจฉาเหลือใจ ใฝ่ฝันว่าวันหนึ่งตนเองจะมีอำนาจเช่นนี้บ้าง แต่คิดดูอีกที คนที่ทำงานตัวเป็นเกลียวอย่างนางมีแต่ต้องเป็นฝ่ายรับคำสั่งเท่านั้น อยากเป็นฝ่ายออกคำสั่งคงต้องรอเกิดใหม่ชาติหน้า
ไม่สิ ความจริงเดิมทีนางมีชาติกำเนิดที่ดี หากไม่เพราะครอบครัวประสบหายนะตอนที่นางอายุหกขวบจนบ้านแตกสาแหรกขาดในชั่วข้ามคืนล่ะก็…
ดวงตากลมโตหม่นลง ก่อนจะส่ายหน้าโดยแรงเพื่อสลัดเรื่องที่ไม่ควรคิดถึงทิ้งไป
ทว่าความทรงจำดำมืดที่ผ่านมาแสนนานกลับพุ่งกระโจนออกมาในจังหวะนั้น แล้วจู่โจมสมองของนางเข้าอย่างจัง
‘หมี่เอ๋อร์ พาน้องเจ้าหนีไป ไกลเท่าไรยิ่งดี อย่าได้หวนกลับมาเหยียบเมืองหลวงอีกแม้แต่ก้าวเดียว ชีวิตนี้จะให้คนอื่นรู้ไม่ได้เป็นอันขาดว่าพวกเจ้าเป็นทายาทสกุลเยี่ยอันทรงเกียรติ!’
‘ท่านแม่ ท่านพ่อกับท่านปู่เล่า แล้วยังท่านลุงกับท่านป้ารอง ไม่มาด้วยกันหรือเจ้าคะ’
‘หมี่เอ๋อร์หลับตาเสีย อย่ามอง!’
อวี้หมี่หน้าซีดขาว ลมหายใจกระชั้นขึ้นทีละน้อย ไอหมอกสีโลหิตแผ่ขยายขึ้นตรงหน้า…ไม่ ไม่ใช่หมอก แม้ท่านแม่จะปิดตานางไว้ นางก็ยังรู้ว่านั่นเป็น…
“เสี่ยวหมี่?” เสียงทุ้มห้าวแฝงความกระวนกระวายและความสงสารดังขึ้นข้างหู “เหตุใดสีหน้าถึงได้ย่ำแย่เช่นนี้ ไม่สบายอย่างนั้นหรือ!”
นั่นเป็น…ศีรษะของท่านปู่ร่วงตกลงมา
ท่านปู่…ท่านปู่ผู้เคยอุ้มนางชมสวนดอกไม้ โอ้โลมให้นางหัดเขียนหนังสือ…
นางสูดหายใจแรงๆ ร่างเล็กแข็งเกร็งราวกับว่าแค่แตะนิดเดียวก็จะแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย…ดวงตาสีดำสุกใสฉ่ำคลอด้วยหยาดน้ำแห่งความสับสนหวาดกลัว เขาเห็นแล้วหัวใจเจ็บแปลบเป็นริ้วๆ
เยียนชิงหลางเอื้อมมือออกไปดึงนางเข้ามากอดแนบอกโดยไม่ต้องคิด แล้วปลอบประโลมเบาๆ เมื่อสัมผัสได้ว่าร่างในวงแขนกำลังสั่นสะท้านอย่างรุนแรง “ไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไรแล้วนะ ข้าอยู่ที่นี่ อยู่ตรงนี้”
อ้อมกอดอบอุ่นมั่นคงที่ไม่เคยได้รับมาก่อนและเสียงนุ่มนวลที่ปลอบโยนอยู่ข้างหูทำให้อาการตื้อในหัวกับแน่นหน้าอกเป็นพักๆ ของอวี้หมี่ทุเลาลงทีละน้อย พร้อมกับที่ค่อยๆ ได้สติกลับคืนมา
นางหลับตาลง พยายามดึงพลังในการควบคุมตนเองที่แกว่งไกวเสียไม่มีดีกลับมา สูดหายใจลึกๆ หลายครั้ง แล้วเอ่ยเสียงแผ่วพร่า “ขะ…ข้าสบายดี ข้าไม่เป็นไร ไม่…ไม่มีทางเกิดอะไรขึ้นแน่”
ไม่มีใครรู้ว่าพวกนางสองคนพี่น้องอยู่ที่ชายแดนตะวันออก และไม่มีใครรู้ว่าพวกนางเป็นใคร ดังนั้นพวกนางจึงปลอดภัยมาก ปลอดภัยมากจริงๆ
เขาจับไหล่นางไว้อย่างมั่นคงโดยไม่ลืมรักษาระยะห่างเล็กน้อย ถึงอย่างไรนางก็เป็นเด็กสาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง ตราบใดที่ยังพิสูจน์เรื่องบางอย่างไม่กระจ่าง เขาควรให้เกียรตินาง
“ท่านแม่ทัพใหญ่ ทะ…ท่านปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่” สีซีดขาวบนใบหน้ากลมป้อมเลือนหายไปแล้ว กลายเป็นแดงเรื่อด้วยความเขินอายแทน
“เดี๋ยวข้าจะให้หมอในจวนมาจับชีพจรให้” คิ้วดกหนาขมวดแน่น เขายอมผ่อนแรงมือหลังจากที่ลังเลเล็กน้อย แต่ยังไม่วางใจปล่อยมือเสียทีเดียว ด้วยเกรงว่านางจะไม่สบายตรงไหน “หากเจ้าป่วยก็พักผ่อนให้มากๆ ดีกว่า”
“ข้าไม่เป็นไรๆ เมื่อครู่นี้แดดแรงไปหน่อย ข้าเลยตาลาย” นางเงยหน้าขึ้นมาพยายามฉีกยิ้มสดใสสุดความสามารถ หากไม่เพราะเมื่อครู่นี้เขาเห็นอยู่ทนโท่ว่านางหน้าซีดเพียงไรคงถูกตบตาไปแล้ว
“อย่าพูดอะไรที่ทั้งเจ้าและข้าต่างก็ไม่เชื่อเลย” เขาหรี่ตามองนางด้วยสายตาคมกริบ “หรือเจ้าไม่เชื่อมั่นในตัวข้า ว่าข้าปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยของเจ้าได้”
คำพูดของเขาเหมือนมีนัยแอบแฝง นางฟังแล้วใจเต้นโครมคราม รู้สึกเหมือนถูกเขาล่วงรู้ความลับแล้วอย่างนั้น
อวี้หมี่ลนลานถอยหลังก้าวใหญ่เพื่อหนีจากรัศมีการปกป้อง…หรือพันธนาการของเขา แล้วปั้นหน้ายิ้มแย้มใสซื่ออย่างสุดความสามารถ
“พะ…พูดอะไรอย่างนั้นเจ้าคะ ท่านแม่ทัพใหญ่คิดมากเกินไปแล้ว ข้าสบายดีจริงๆ ไม่เป็นไรเลย กระโดดโลดเต้นได้ด้วยซ้ำ” พูดพลางไม่ลืมกระโดดสองทีเป็นการพิสูจน์ “หากท่านไม่วางใจ อีกเดี๋ยวข้าน้อยจะยืนยันด้วยการขี่ม้าให้ท่านดูดีหรือไม่”
“ยังจะขี่ม้าอยู่อีก?” เยียนชิงหลางทำตาดุใส่ “ไม่ห่วงร่างกายตนเองบ้างเลยหรือ”
เด็กสาวทำคอหด แล้วบอกเสียงค่อย “ข้าไม่เป็นไรจริงๆ”
“กลับไปพักผ่อนที่เรือนเสีย ไว้ให้หมอตรวจดูอาการก่อนค่อยว่ากัน” เขาสั่ง
“แต่ทางเสี่ยวเหลียง…”
“ข้าจะไปคัดเลือกแม่ครัวแล้วไปหาเสี่ยวเหลียงเอง” เขาบอกเสียงเข้มอย่างเผด็จการ
“ท่านจะไปเอง?!” นางแทบอ้าปากหวอ
“เจี้ยนหลัน” แม่ทัพหนุ่มเรียกเบาๆ
ไม่รู้ว่าสาวใช้คนงามปรากฏกายจากหลังพุ่มไม้พุ่มไหน แล้วก้าวออกมาขานรับอย่างนอบน้อม “บ่าวอยู่นี่เจ้าค่ะ”
“เจ้าคุมนางกลับเรือน ‘ด้วยตนเอง’ แล้วให้หมอลู่มาตรวจชีพจรนาง”
“เจ้าค่ะ บ่าวทราบแล้ว”
“ข้าไม่เป็นไรจริงๆ…ไม่ได้ไม่สบายเสียหน่อย เดี๋ยว…ฟังข้าอธิบายก่อน… ฮือ…ข้าอยากขี่ม้า”
ภายใต้การอารักขาของเจี้ยนหลันผู้เป็นเสมือนเครื่องพิสูจน์ชั้นดีว่าความงามและความแข็งกร้าวก็ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว อวี้หมี่แหกปากร้องโหยหวนตลอดทางเหมือนจะตายเสียให้ได้ แต่ก็ยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงชะตากรรมที่ถูกคุมตัวกลับเรือนอยู่ดี
“ฮือๆ ท่านแม่ทัพใหญ่เป็นคนโกหก…คนนิสัยไม่ดี…”
เสียงโอดครวญที่ลอยมาตามลมสร้างความขบขันให้เยียนชิงหลางผู้กำลังขึงหน้าเคร่งเครียดได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
“สตรีผู้นี้นี่…” เขาหัวเราะพลางส่ายหน้า
แต่หวนคิดถึงความผิดปกติของนางเมื่อครู่ รอยยิ้มในดวงตาของชายหนุ่มก็ถูกแทนที่ด้วยประกายแสงหม่นๆ แห่งความกังวล
“หากข้าเดาไม่ผิด…” หัวใจหนักอึ้ง เขาหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง แววตาสับสนอ่านยาก “ไม่ ข้าจะต้องเดาผิดแน่”
นอกจากจะฝันสลายไม่ได้ขี่ม้า อวี้หมี่ยังถูกหมอสูงวัยที่ไม่รู้ว่าได้รับคำสั่งให้มาซ้ำเติมนางหรือมีฝีมือแพทย์เลิศล้ำจริงจับตรวจชีพจร รมยา ฝังเข็มครบชุดทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไร ก่อนไปยังทำท่าสลักสำคัญเขียนใบสั่งยาทิ้งไว้ให้ บอกว่าแต่ละเดือนให้กินติดต่อกันจนครบสามเทียบ ถึงจะรักษาโรคเลือดพร่องที่สะสมอยู่ในร่างกายมานานหลายปีให้ดีขึ้นได้
นับจากวันนั้น นางจึงถูกบังคับให้ดื่มยาขมแสนขมจนแทบขาดใจติดต่อกันสามวัน
การบังคับขู่เข็ญที่ต้องเผชิญทำให้อวี้หมี่โมโหจนแทบปีนกำแพงหรือพังประตูหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าการคุ้มกันในจวนแม่ทัพพิทักษ์บูรพาเข้มข้นแน่นหนาราวกับสร้างขึ้นจากทองแดงหรือไม่ก็เหล็ก อย่าว่าแต่องครักษ์ยอดฝีมือที่แฝงตัวตามจุดต่างๆ เลย แค่นิ้วเรียวยาวนิ้วเดียวของเจี้ยนหลันก็ดีดนางจากชายแดนตะวันออกกระเด็นไปสุดขอบชายแดนตะวันตกได้แล้ว…
นางจึงทำได้แค่ยอมรับชะตากรรมดื่มยาในส่วนของเดือนนี้ให้หมดอย่างขมขื่น
ทว่าภาษิตกล่าวไว้ดีนัก มนุษย์ดินก็ยังเป็นดินอยู่สามส่วน* สิ่งที่อวี้หมี่ทำเพื่อเอาคืนก็คือปิดประกาศแผ่นใหญ่ไว้หน้าประตูเรือนว่า
‘แม่ครัวป่วย ขอปิดเตาไฟหยุดงานสามวัน คนหิวโปรดดูแลตนเอง’
คำว่า ‘หิว’ แต่ละขีดเขียนบิดเบี้ยวยึกยือจนมองเผินๆ เหมือนคำว่า ‘โหด’
คำข่มขู่และวิธีเอาคืนแบบเด็กๆ ที่เต็มไปด้วยความแง่งอนนี้ ตอนได้ฟังบ่าวไพร่รายงาน เยียนชิงหลางตอบด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “เข้าใจแล้ว” ก่อนจะปิดประตูห้องเงียบๆ
จากนั้นเสียงหัวเราะดังกังวานก็กึกก้องขึ้นจากข้างใน ทำเอาพวกองครักษ์หน้าประตูตกอกตกใจว่าตนหูแว่วไปเอง ไม่เช่นนั้นท่านแม่ทัพใหญ่ก็คงถูกผีเข้า เอ่อ…อย่างแรกน่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่า!
ในคืนที่สามที่อวี้หมี่เก็บตัวอยู่แต่ในเรือนเพราะป่วยนั้น…
“เฮ้อ…เบื่อจะตายอยู่แล้ว…” เด็กสาวร่างกลมเล็กที่ยังผูกผ้าคาดหัวเพื่อแสดงว่าตนเป็นคนป่วยกลิ้งตัวไปมาจนถึงปลายเตียง แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
ไม่ได้จับมีดไม่ได้จับตะหลิวมาสามวัน แค่นั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้องก็มีคนเอาอาหารมาประเคนให้ถึงที่ วิธีพักฟื้นร่างกาย…หรือขุนหมู…เช่นนี้น่ะทำนางเบื่อจนแทบตายอยู่แล้ว อีกทั้งพอต้องมาอยู่ว่างๆ ทั้งวัน เวลาก็ผ่านไปเชื่องช้าราวกับเต่าคลาน ช่างทรมานเหลือเกิน
“ข้านี่มีดวงเกิดมาเหนื่อยจริงๆ อยู่ว่างเป็นไม่ได้” นางถอนใจอีกเฮือก
ยามนั้นเองเสียงเคาะประตูเบาๆ สองครั้งพลันดังขึ้นหน้าห้อง
“ใคร” นางสะดุ้งโหยง รีบลุกพรวดขึ้นมานั่งด้วยสีหน้าหวาดระแวง “ขะ…ข้ากินยาของวันนี้ไปแล้วนะ ไม่ต้องเอามาให้แล้ว!”
“ข้าเอง” เสียงทุ้มห้าวที่คุ้นเคยดีดังขึ้น
อวี้หมี่ชะงัก ก่อนจะกระโดดขึ้นมาอย่างลิงโลด ทว่าพอจะเปิดประตูก็พลันผงะไป แล้วยกมือเท้าเอวทำหน้าไม่สบอารมณ์ตะโกนไปว่า “ข้าน้อยป่วยอยู่ ท่านแม่ทัพใหญ่โปรดรีบกลับไปโดยเร็วดีกว่า เกิดติดโรคจากข้าน้อยจนร่างกายเป็นอะไรขึ้นมา ข้าน้อยมีแต่ต้องตายไถ่โทษสถานเดียวเท่านั้น”
ตะโกนได้ปาวๆ เช่นนี้ยังจะบอกว่าป่วยอีก…
“เปิดประตู” เยียนชิงหลางซ่อนยิ้มตรงมุมปาก พูดเสียงเคร่งขรึม “ข้ามาเยี่ยมไข้เจ้า”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ แต่ไม่ต้อง” ก็ใครกันเล่าที่ทำให้นางโดนบังคับให้ดื่มยาขมๆ ทั้งยังถูกเข็มมากมายจิ้มตามตัว
“ข้าเอาของอร่อยมาให้”
“ไม่กินเจ้าค่ะ ข้าน้อยกินยาจนอิ่มแล้ว เชิญท่านแม่ทัพใหญ่กินตามสบาย” นางยังคงงัดข้อใส่
เพิ่งจะมาทำดีด้วยเอาตอนนี้หรือ หึ สายเกินไปแล้ว!
“อย่างนั้นหรือ” เสียงทุ้มห้าวด้านนอกกลายเป็นเสียงพึมพำกับตนเอง “ดูท่าคงต้องสั่งให้คนเอาโจ๊กธัญพืชห้าสีที่เสี่ยวเหลียงเคี่ยวให้ไปคืนเสียแล้ว…”
ประตูห้องเปิดออก ใบหน้ากลมป้อมที่แดงเรื่อด้วยความตื่นเต้นโผล่ออกมาจากข้างใน
“เสี่ยวเหลียงเคี่ยวโจ๊กมาให้ข้าหรือ อยู่ที่ใดๆ”
สีหน้าของนางดีขึ้นมากแล้วจริงๆ ปื้นเขียวจางๆ ใต้ขอบตาก็เลือนหาย เยียนชิงหลางเห็นแล้วนึกพอใจอยู่เงียบๆ
ท่านหมอลู่สมเป็นอดีตแพทย์หลวงฝีมืออันดับต้นๆ ของแผ่นดิน ตรวจโรคได้แม่นยำและรู้วิธีฟื้นฟูร่างกายคนไข้เป็นอย่างดี
เขาอ่านใบวินิจฉัยโรคของอวี้หมี่แล้ว เห็นว่าเพราะได้รับความกระทบกระเทือนใจในวัยเด็ก เลือดลมติดขัดอุดกั้นอยู่ในอก ต่อมาไม่ได้รับการรักษา ซ้ำยังตรากตรำร่างกายเกินไป แม้จะดูสมบูรณ์แข็งแรงดี แต่ความจริงแล้วเป็นโรคเลือดพร่อง หากปล่อยให้เรื้อรังเช่นนี้ต่อไปปีแล้วปีเล่า อวัยวะภายในมีแต่จะอ่อนแอ ภูมิต้านทานบกพร่องลงทุกวัน…
ทำเอาเขาใจหายใจคว่ำ รีบสั่งหมอลู่โดยไม่ต้องคิดว่าให้ทำทุกวิถีทางเพื่อรักษานาง ต้องการใช้ยาตัวใดก็เบิกเอาจากในจวนแม่ทัพได้เลย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องฟื้นฟูร่างกายนางให้กลับมาแข็งแรง แล้วบำรุงจนอ้วนขาวให้จงได้
นัยน์ตาคมนุ่มนวลขึ้น ขณะยื่นกล่องอาหารที่ถืออยู่ใส่มือนาง “ค่อยๆ กินนะ ระวังสำลัก”
“ข้าไม่ใช่เด็กเสียหน่อย” อวี้หมี่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเวลาทำปากยู่เช่นนี้ดูน่ารักน่าเอ็นดูเพียงไร
เขายิ้มบางพลางเดินเอามือไพล่หลังเข้าไปในเฉลียงรับแขกเล็กๆ แล้วทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้มีพนักและเท้าแขน มองนางเปิดกล่องอาหารพลางอุทานอย่างดีอกดีใจ
“โอ้โห! โจ๊กธัญพืชห้าสี ยังมีไข่เจียวถั่วฝักยาวกับเนื้อปลายอด้วย…ฝีมือทำครัวของเสี่ยวเหลียงพัฒนาแล้ว แค่ได้กลิ่นยังรู้เลยว่าต้องอร่อย” นางกัดเนื้อปลายอกินคำโตอย่างแทบรอไม่ไหว แล้วหรี่ตาอย่างมีความสุข “อื้ม อร่อย”
เยียนชิงหลางเห็นนางเบิกบานเริงร่าราวกับหนูที่ร่วงตกลงไปในไหน้ำมัน* ก็กำมือข้างหนึ่งเป็นกำปั้นแล้วกดตรงมุมปากไว้แน่นๆ ขณะกลั้นหัวเราะจนบ่ากว้างกระเพื่อม
อวี้หมี่มีความสุขจนลืมสิ้นทุกสิ่ง หลังจากกินทุกอย่างจนหมดเกลี้ยงยังไม่วายเลียริมฝีปากอย่างอิ่มเอม จวบจนหางตาเหลือบไปเห็นร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้ายิ้มแย้มก็แข็งค้างไปทันที
“ขอโทษด้วย ขะ…ข้าลืมถามไปเสียสนิทว่าท่านแม่ทัพใหญ่จะกินด้วยกันหรือไม่”
รอยยิ้มวาบขึ้นในดวงตาแม่ทัพหนุ่ม ทว่าสีหน้ายังเฉยเมยไร้อารมณ์เหมือนเดิม “นั่นสินะ”
นางอึ้งไปครู่หนึ่งถึงค่อยได้สติ แล้วงึมงำเบาๆ กึ่งอายกึ่งหงุดหงิด “คนเขาก็แค่พูดตามมารยาทเท่านั้นหรอก…”
“สามวันมานี้ข้าไม่ได้กินจนเต็มอิ่มเลย”
“หา?” เด็กสาวชะงัก
“ดังนั้นเจ้าต้องชดเชยส่วนของสามวันที่ผ่านมาให้ข้า” เขาพูดหน้าตายเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา
“ท่าน…” นางแทบระเบิดอารมณ์เสียเดี๋ยวนั้น ปากคอสั่นด้วยความโมโหอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ฝืนสะกดอารมณ์เอาไว้ “ได้! ชดเชยเป็นชดเชยสิ!”
ถูกล่ะว่าเขาเป็นตัวการทำให้นางต้องกินยาแสนขม แต่…แต่นางก็หยุดงานไปสามวันจริงๆ ข้อนี้นางปฏิเสธไม่ได้
นี่เป็นครั้งแรกที่อวี้หมี่รู้สึกละเหี่ยใจกับมโนธรรมเสี้ยวเล็กๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ในตัว
เฮ้อ…เป็นคนดีก็ต้องลำบากแบบนี้ล่ะนะ!
ระหว่างที่เด็กสาวทำเป็นส่ายหน้าถอนหายใจอย่างปลาบปลื้มกับความเป็นคนดีของตนเอง เยียนชิงหลางมองเห็นความเปลี่ยนแปลงหลายหลากบนใบหน้ากลมเล็กดวงนั้น เดี๋ยวก็ยินดี เดี๋ยวก็ขุ่นขึ้ง เดี๋ยวก็กลัดกลุ้ม เดี๋ยวก็แดง เดี๋ยวก็ซีด เดี๋ยวก็เขียว เขาพลันค้นพบว่าการกลั้นหัวเราะก็เป็นความทรมานอย่างหนึ่งเช่นกัน
“เด็กโง่” สุดท้ายเขาก็หลุบตาลงพร้อมหัวเราะออกมาเบาๆ
เสียงทุ้มที่เอื้อนเอ่ยมีความเอ็นดูที่อธิบายด้วยคำพูดไม่ได้แฝงอยู่เล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
“ร่างกายเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
อวี้หมี่ได้สติก็รีบถามเขากลับทันที “หายเป็นปกติแล้วเจ้าค่ะ ไม่ต้องกินยาอีกแล้ว จริงๆ นะ ต่อไปก็ไม่ต้องกินแล้วได้หรือไม่เจ้าคะ”
เขายิ้มเรียบๆ ก่อนจะเลี่ยงไปพูดถึงเรื่องอื่นแทน “อยากขี่ม้าชมจันทร์หรือไม่”
“อยากสิๆ” ดวงหน้าเนียนฉายแววตื่นเต้นยินดี ขณะพรวดพราดเข้าไปดึงมือเขามาเขย่าโดยแรง “พาข้าไปนะ ขอร้องล่ะ ได้โปรดเถิด”
“เจ้ารับปากว่าจะนั่งนิ่งๆ อยู่บนหลังม้า?” นัยน์ตาคมโชนแสงวาววับ
“ขอรับประกันด้วยนิสัยของข้าเลย!” นางชูกำปั้นขึ้นแนบอกอย่างหนักแน่น
เยียนชิงหลางแทบสำลักอากาศ นิสัยของนางนั้น…บางแง่มุมและบางเวลาคงต้องมาพิจารณากันอีกที
ทว่าคืนนี้ฟ้าสวยจันทร์ผ่องอย่างหาได้ยาก เยียนชิงหลางจึงไม่ต่อปากต่อคำด้วย ใบหน้าหล่อเหลากลับไปเรียบเฉยตามปกติอย่างรวดเร็ว ขณะบอกเสียงเข้ม “ต่อไปต้องกินยาทุกเดือนแต่โดยดี”
“…” หลังจากเงียบไปพักใหญ่ นางก็กัดฟันพยักหน้า “อืม”
“อีกหนึ่งเค่อให้หลัง ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่คอกม้า” คิ้วดกหนาพาดเฉียงจรดขมับเลิกสูง “ใส่เสื้อผ้าให้อุ่นหน่อยล่ะ”
“น้อมรับบัญชา” อวี้หมี่ดีใจเสียจนหุบปากไม่ลง
บทที่หก
ใต้แสงเดือนสลัว ล่าเมฆากำลังปฏิบัติภารกิจอันยากเข็ญที่สุดในชีวิตม้าของมัน…นั่นคือเหยาะย่างช้าๆ ด้วยความเร็วระดับเต่าคลานที่แสนน่าอับอายเพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้านายตระกองกอดคนงาม เอ๊ย! เอาใจเด็กสาวให้เบิกบาน
ในคืนที่จันทร์ทอแสงนวลตา ลมเย็นสดชื่นพัดกลิ่นดอกไม้ให้หอมอบอวลไปทั้งทุ่งหญ้าชายแดนตะวันออกเช่นนี้ ปกติเป็นโอกาสดีที่แม่ทัพใหญ่จะขี่ม้าศึกคู่ใจออกมาควบตะบึงย่ำแสงจันทร์ไล่ตามลมอย่างห้าวหาญดุจสายฟ้า แต่เวลานี้ยังมีมือใหม่ที่ชอบขี่ม้า แต่ก็ชอบสั่นและส่งเสียงวี้ดว้ายนั่งอยู่บนหลังมันด้วยอีกคน ล่าเมฆาเกือบสลัดนางตกหลังหลายรอบด้วยความรำคาญ
แต่พอเริ่มขยับตัวผิดสังเกตทีไร นายของมันจะดึงบังเหียนเบาๆ เป็นเชิงเตือนทุกครั้ง ล่าเมฆาเลยจำต้องยอมรับชะตากรรมเหยาะย่างแบบเต่าคลานต่อไป ชายร่างสูงใหญ่ที่แสดงกิริยาอ่อนโยนทอดเสียงนุ่มนวลคุยกับเจ้ามือใหม่จอมเซ่อซ่านั่นไม่ใช่เจ้านายของมัน…ไม่ใช่เจ้านายของมันจริงๆ
“ตื่นเต้นจัง…ล่าเมฆาตัวสูงเหลือเกิน…แต่พวกเราขี่ให้เร็วขึ้นอีกนิดไม่ได้จริงๆ หรือ”
อวี้หมี่สวมกระโปรงยาวกับเสื้อลำลอง ทว่าพอไปถึงคอกม้าก็ถูกเขาบังคับให้ใส่เสื้อคลุมยาวขนฟูฟ่องอีกชั้น ตอนนี้เลยตัวกลมดิกราวกับลูกหนัง ใบหน้าเล็กที่โผล่พ้นคอเสื้อขนจิ้งจอกมาครึ่งหนึ่งแดงเรื่อด้วยความตื่นเต้น หลังระงับความหวาดกลัวเมื่อขึ้นมาอยู่บนหลังอาชาตัวใหญ่ในตอนแรกสุดได้แล้วนางก็เริ่มเรียกร้องแบบได้คืบจะเอาศอก
“เจ้าเพิ่งเคยขี่ม้าครั้งแรก ระวังพรุ่งนี้จะลุกลงจากเตียงไม่ไหวเอา” ไม่รู้เยียนชิงหลางนึกถึงอะไรเข้า ใบหน้าคมคายจึงแดงก่ำ เขาเสกระแอมกระไอเบาๆ “แค่กๆ”
เพราะแสงจันทร์ที่งดงามดุจภาพฝันเป็นเหตุแท้ๆ เชียว เขาถึงได้หลุดปากพูดประโยคชวนคิดลึกเช่นนั้นออกมา
แม่ทัพหนุ่มคิดอย่างประหม่า แล้วอดจะก้มหน้าลงลอบมองนางแวบหนึ่งไม่ได้
“อืมๆ จริงของท่าน” อวี้หมี่ผู้มีสมองเรียบง่ายเกลี้ยงเกลาราวกับไข่ปอกคิดลึกอย่างใครเขาไม่เป็น ได้ยินดังนั้นก็ผิดหวังเป็นอันดับแรก ก่อนจะพยักหน้าอย่างยอมรับความจริง “แต่ก่อนข้าเคยได้ยินลูกค้าที่ร้านเล่าว่ามีคนเพิ่งเคยซื้อม้ามาขี่ครั้งแรกแล้วดันคึกจัดเกินไปหน่อย เลยเกือบตกลงมาคอหัก เช่นนั้นคืนนี้เราขี่ช้าๆ ไปก่อนก็ได้ ไว้คราวต่อไปค่อยขี่ให้เร็วขึ้นอีกนิด…แน่นอนว่าหากข้าได้ขี่เองอีกตัวจะดีที่สุด”
“รอให้เจ้าเรียนรู้วิธีควบคุมบังเหียน วิธีขึ้นลงม้า วิธีปกป้องตนเองเมื่อพลัดตกจากหลังม้าได้เมื่อไรค่อยว่ากัน” เขาชี้แจงขั้นตอนต่างๆ ให้นางฟัง
“หมายความว่าท่านรับปากว่าคราวหน้าข้าจะยังได้ขี่ม้าอีกใช่หรือไม่” แววตานางมีประกายแพรวพราวขึ้นมาทันใด
ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าตนจะเสียทีให้สตรีซื่อบื้อผู้นี้ได้
“อืม” เขาแค่นเสียงตอบอย่างไม่เต็มใจนัก แล้วไม่ลืมที่จะย้ำ “แต่ต้องเป็นเวลาที่ข้าอยู่ด้วยเท่านั้น”
ใบหน้ากลมเล็กง้ำลงทันใด “แต่ท่านแม่ทัพใหญ่ออกจะยุ่งถึงเพียงนั้น…”
หากต้องรอขี่ม้าตอนเขาว่าง น่ากลัวว่าครั้งต่อไปที่จะได้ขี่คงอยู่ห่างไปไกลโพ้น ต้องรอให้ขึ้นปีใหม่ก่อนกระมัง
เยียนชิงหลางเห็นนางหน้าหมองลงหัวใจก็กระตุกวาบ จึงโพล่งออกไปโดยไม่รู้ตัว “ข้าสัญญา เจ้าอยากหัดเมื่อไรก็เมื่อนั้น”
“จริงหรือ” อวี้หมี่หันขวับไปมองคนข้างหลัง ดีใจจนแทบคลั่งเสียให้ได้
หัวใจอันแข็งแกร่งอ่อนยวบจนหลอมละลายเป็นแอ่งน้ำฤดูใบไม้ผลิ แล้วจะให้เขาเอ่ยคำว่า ‘ไม่’ ออกไปได้อย่างไรเล่า
“แต่ต้องเป็นเวลาที่ข้าอยู่ในจวน เจ้าอยากหัดเมื่อไรก็มาบอกข้า” เขาเอ่ยเสียงนุ่ม
“ท่านแม่ทัพใหญ่ ท่านใจดีเหลือเกิน” นางกางแขนกอดเขาด้วยความตื่นเต้นดีใจ
ร่างสูงสง่าเกร็งเครียดขึ้นทันที ทั้งประหม่า ทั้งตื่นเต้น ทั้งเขินอายจนไม่กล้าขยับ กล้ามเนื้อที่แน่นอยู่แล้วยิ่งแข็งขึงราวกับเหล็กกล้า ความปรีดาระเบิดตัวขึ้นในอกเป็นระลอก ใบหน้าคมคายเคร่งขรึมกระตุกน้อยๆ เหมือนจะอมยิ้มแต่พยายามฝืนตนเองเอาไว้ ทว่าฝืนอย่างไรก็ฝืนไม่อยู่…
เยียนชิงหลางนึกดีใจที่คืนนี้แสงจันทร์หรุบหรู่ นางจึงมองไม่เห็นว่าตอนนี้หน้าเขาแดงก่ำราวกับลูกมะเขือเทศ
เรือนร่างหอมกรุ่นเบียดชิดแผงอกกำยำของเขา เสียงหัวเราะคิกคักด้วยความเบิกบานส่งผลให้เนินเนื้อกลมกลึงกระเพื่อมเบาๆ เสียดสีไปมาเสียจนเขาสะท้าน เลือดร้อนๆ ฉีดพล่านจากหัวใจลงไปหาท้องน้อยโดยตรง
ในที่สุดอวี้หมี่ก็รู้สึกผิดสังเกต ที่นางสวมกอดอยู่ในตอนนี้คือเรือนร่างบึกบึนสมส่วนแบบบุรุษเพศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายความเป็นชาย ซ้ำยังเบียดชิดกันจนความนุ่มละมุนแนบติดกับความแข็งแกร่ง…ด้านล่างยังมีวัตถุแข็งๆ ที่มีสัณฐานเป็นลำใหญ่คอยดุนดันจนนางอึดอัด นางขยับสะโพกหนีโดยสัญชาตญาณ แล้วต้องตกใจเมื่อพบว่าท่อนลำดังกล่าวดีดผึงทีหนึ่ง!
เสียงขึ้นจมูกเบาๆ ดังขึ้นเหนือกระหม่อม ฟังดูคล้ายเสียงคราง แต่ก็เหมือนเสียงคำรามด้วยเช่นกัน…
“อย่าขยับ” เขาเค้นเสียงแหบพร่าลอดไรฟัน
“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้า…” พวงแก้มเนียนร้อนผ่าว นางรีบกระถดตัวหนีราวกับถูกลวกและหวุดหวิดเกือบร่วงตกจากหลังม้า
“ระวัง!” ท่อนแขนแข็งแรงช้อนร่างเล็กเอาไว้ แล้วรั้งเข้ามากอดแนบอกอย่างใจหายใจคว่ำ
สะ…สัมผัสกันอีกแล้ว…
อวี้หมี่หัวหมุนติ้ว โพรงจมูกอุ่นวาบ ของเหลวร้อนๆ ไหลพรวดลงมาเป็นทางทันตา
“ท่านแม่ทัพใหญ่…” นางรีบยกมือปิดจมูกตะกุกตะกักบอกเขา “ชะ…ช่วยปล่อยข้าด้วยเจ้าค่ะ”
เยียนชิงหลางปล่อยมือ ทว่ายังใช้ท่อนแขนพยุงนางไว้หลวมๆ รู้สึกประหม่าเล็กน้อย “จับบังเหียนให้ดีๆ ระวังจะพลัดตก”
“อืม” นางจับบังเหียนแน่นพลางก้มหน้างุดจนแทบซุกลงไปกับขนหลังคอของล่าเมฆา
เมื่อครู่…เมื่อครู่มันอะไรกันนะ เหตุใดหัวใจนางถึงได้เต้นแรงเหลือเกิน จุดที่ถูกเขาสัมผัสร้อนผ่าวขึ้นมาราวกับติดไฟ…ซ้ำยังหวามซ่าน…
เด็กสาวกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ร่างละมุนหดลงจนเล็กยิ่งกว่าเดิม ขณะหมอบคู้ไปกับคอล่าเมฆา จนมันส่งเสียงฟืดฟาดออกมาทางจมูกเพราะถูกน้ำหนักกดทับ
อวี้หมี่ตกใจลนลาน นางรีบทิ้งบังเหียน ใช้สองมือกอดคออาชาตัวงามไว้แน่น “เด็กดี ยะ…อย่าขยับ อย่าสลัดพี่สาวทิ้งนะ เดี๋ยวกลับไปพี่สาวจะทำขนมลากลิ้งอร่อยๆ ให้เจ้ากิน…”
เยียนชิงหลางฟังแล้วไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี ความปรารถนาที่พุ่งทะยานขึ้นมาอย่างหลงลืมตนเมื่อครู่ลดฮวบลงกว่าครึ่ง น้ำเสียงกลับมาราบเรียบเยือกเย็นอีกครั้ง “ล่าเมฆาเป็นม้าศึก”
“ม้าศึกกินขนมไม่ได้หรือไร” นางหันไปถามด้วยความฉงน
“เจ้าเลือดออก!” เขาสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายคมกริบทันทีขณะถามเสียงดัง “ตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดถึงไม่บอก ไม่ได้ รีบกลับจวนไปให้ท่านหมอดูอาการเดี๋ยวนี้เลย!”
“ไม่ต้องๆ” จะให้นางทำหน้าหนาบอกใครต่อใครได้อย่างไรว่าตนเองเลือดกำเดาไหลเพราะเคลิ้มไปกับเสน่ห์บุรุษเพศของเขา “ให้เลือดกำเดาไหลบ้างก็ดี เลือดลมจะได้ไหลเวียนสะดวก เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่ต้องกลับไปหาหมอหรอก” มิหนำซ้ำท่านหมอลู่คนนั้นจะได้ฉวยโอกาสฝึกฝังเข็มบนร่างนางปะไร นางไม่อยากเสนอตนเองไปเป็นหมอนปักเข็มให้ใครหรอกนะ
“จนถึงขนาดเลือดกำเดาไหลยังจะเป็นเรื่องเล็กได้อย่างไร” เขาขมวดคิ้วหน้าเครียดยิ่งกว่าเดิม
“ก็เมื่อตอนหัวค่ำข้ากินเข้าไปเยอะเกินจนร้อนในน่ะสิ เดี๋ยวเลือดไหลออกมาหมดก็ไม่มีอะไรแล้ว” นางหัวเราะแห้งๆ ประจบเขา โดยไม่ลืมจะเงยหน้าให้อีกฝ่ายดูโดยละเอียด “เห็นหรือไม่ เลือดแห้งหมดแล้ว”
“เจ้า…” คราบเลือดตรงปลายจมูกนางทำให้เขาปวดใจเป็นกำลัง ก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียด มือใหญ่เชยคางเล็กขึ้นมา ใช้แขนเสื้อบรรจงเช็ดเลือดให้เบาๆ “ชอบฝืนอยู่เรื่อย ลืมแล้วหรือว่าตนเองเป็นสตรี ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีบุรุษรับไว้ให้เจ้า!”
นางกลั้นหายใจนิ่งมองเขาค่อยๆ เช็ดเลือดให้ตนเองอย่างอ่อนโยน ภายใต้แสงจันทร์ ใบหน้าหล่อเหลาคมคายคล้ายถูกอาบย้อมด้วยแสงนวลละมุน นัยน์ตาเจิดจรัสเหมือนแสงดาวเจือไว้ด้วยความรู้สึกบางอย่าง เหมือนกำลังยิ้มบางๆ เหมือนกำลังถอนหายใจ ทั้งยังเหมือนกำลังปวดใจและเวทนาอยู่นิดๆ…
หัวใจเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่งโดยไม่มีสาเหตุ ร่างเล็กหดเกร็ง ไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว ราวกับกลัวว่าเมื่อขยับแล้วความฝันงดงามใต้แสงจันทร์ที่ชวนเคลิบเคลิ้มและแสนเหลือเชื่อนี้จะสิ้นสุดลงเสียก่อน…
ใช่แล้ว นางจะต้องกำลังฝันไปแน่ๆ
แม่ทัพเยียนผู้สุขุมเคร่งเครียด ยิ่งใหญ่ทรงอำนาจ และเหี้ยมโหดดุดัน เหตุใดถึงได้อ่อนโยนกับนางถึงเพียงนี้ ทุกความเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความทะนุถนอม ราวกับกลัวว่าหากออกแรงเยอะไปแค่นิดเดียวจะทำให้นางแตกสลายหรือทำให้นางเจ็บได้
“เสี่ยวหมี่” เขามองนางตาไม่กะพริบพลางเอ่ยเรียกเบาๆ
“หืม?” นางได้ยินตนเองกระซิบตอบอย่างขลาดอาย
แสงจันทร์สะกดใจ สายลมราตรีเย็นรื่น ในค่ำคืนอันงดงามเช่นนี้ ดูเหมือนอะไรก็เกิดขึ้นได้ อะไรก็เป็นจริงขึ้นมาได้
“เจ้ายินดีจะ…” เสียงของเขาแผ่วพร่า ชายหนุ่มค่อยๆ โน้มตัวลงมาอย่างเชื่องช้า
ในจังหวะนั้นเอง ล่าเมฆาก็ทำลายบรรยากาศด้วยเสียงจามดังลั่น!
ไอหมอกหวานๆ หายวับไปทันที…ใบหน้าสองดวงที่โน้มเข้ามาจนอยู่ห่างกันนิดเดียวชะงักค้างอย่างประดักประเดิด
ล่าเมฆา!
เยียนชิงหลางลอบกัดฟันกรอด ทว่ายังแสร้งทำหน้าสุขุมเรียบเฉย มือใหญ่ลูบแก้มนางเบาๆ อย่างกระดาก “เอ่อ…เมื่อครู่…เศษหญ้าปลิวมาติดน่ะ”
“ขอบคุณท่านแม่ทัพใหญ่ที่ช่วยเหลือ…” นางกระอ้อมกระแอ้มเออออตามทั้งที่หน้ายังไม่หายแดง “แย่จริง บนทุ่งลมแรง หญ้าก็เยอะ”
ล่าเมฆาที่รู้ตัวว่าทำผิดรีบทำคอหด ท่าทางหงอยๆ ดูน่าสงสารอย่างยิ่ง
แต่อวี้หมี่เห็นแล้วกลับขบขัน
“เด็กดี เดี๋ยวกลับไปพี่สาวจะต้มบัวลอยน้ำขิงหวานให้เจ้ากินบำรุงร่างกายนะ เจ้าจะได้ไม่หนาวตอนกลางคืนอีก” นางตบหัวอันโอฬารของมันเบาๆ อย่างเอ็นดู
เยียนชิงหลางที่ถูกกีดกันให้อยู่อีกทางไปโดยปริยายขมวดคิ้วพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “ดึกมากแล้ว กลับกันเถิด”
“แล้วพรุ่งนี้มาใหม่ได้หรือไม่” นางทำสายตาคาดหวัง
ในที่สุดรอยยิ้มบางๆ ก็ผุดขึ้นตรงมุมปากเขา “ได้ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”
“ข้าอยากขี่เองอีกตัว”
ใบหน้าหล่อเหลากลับไปบึ้งตึงทันควัน “ไม่ได้”
“แต่ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็น…ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิด…” อวี้หมี่รวบรวมความกล้าเพื่อประท้วง แต่ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งอ่อยลงทุกทีภายใต้สายตาที่จ้องมองของอีกฝ่าย
“ตอนนี้เพิ่งจะคิดตัดความสัมพันธ์กับข้า ไม่สายเกินไปหรือ” เยียนชิงหลางรู้สึกอัดอั้นในอกอย่างบอกไม่ถูก น้ำเสียงเลยพลอยกระด้างไปด้วย
“ไม่ใช่ตัดความสัมพันธ์เสียหน่อย เดิมทีพวกเราก็…” ไม่รู้เพราะเหตุใด นางถึงพูดต่อไม่ออกว่า ‘ไม่ได้เป็นอะไรกันอยู่แล้ว’
แต่เขากลับรู้ว่าประโยคที่ยังเอ่ยไม่จบคืออะไร หัวใจจึงเจ็บหนึบทันที “เสี่ยวหมี่”
“หือ?”
“เจ้าเกลียดชังข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
คำถามของเขาทำให้นางเบิกตากว้าง โต้ตอบไม่ออก แล้วหดตัวหนีสายตาร้อนแรงคู่นั้นโดยไม่รู้ตัว “ขะ…ข้าเปล่าเสียหน่อย”
“เช่นนั้นเจ้า…” เขาสูดหายใจลึกๆ น้ำเสียงแหบพร่ายิ่งกว่าเมื่อครู่ “เจ้า…ชอบข้าหรือไม่”
สมองของอวี้หมี่ระเบิดบึ้ม นางอ้าปากค้างมองอีกฝ่ายอย่างตกตะลึง
เยียนชิงหลางมองเด็กสาวตาไม่กะพริบ ใบหน้าคมคายเผือดสีเล็กน้อยจากการรอคอย ดวงตากลมโตของนางฉายแววงุนงง พรึงเพริด ทำอะไรไม่ถูก คล้ายกับเขากำลังทำให้นางลำบากใจ และทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขาตื่นเต้นไปเองฝ่ายเดียว!
ในอกเจ็บระบมจนแทบทนไม่ไหว แม่ทัพหนุ่มดึงบังเหียนพลางหนีบเข่าเข้ากับท้องม้าโดยแรง!
“ท่านแม่ทัพใหญ่!” นางหวีดเรียกด้วยความตระหนก
“ไม่เป็นไร” เขาบอกเสียงเย็น “กลับจวน!”
อาชาตัวพ่วงพีควบตะบึงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว อวี้หมี่หลับตาปี๋จับอานม้าไว้แน่นด้วยความหวาดกลัว ข้อสงสัยและความกระวนกระวายที่มีถูกพัดกระเจิดกระเจิงไปหมด
ท่านแม่ทัพใหญ่…เป็นอะไรของเขากันนะ
เช้าวันรุ่งขึ้น อวี้หมี่เพิ่งจะก้าวออกจากเรือนเพื่อเดินไปโรงครัวเล็กก็ได้รู้จากเจี้ยนหลันเสียก่อนว่าท่านแม่ทัพใหญ่ไปค่ายทหารแล้ว เนื่องจากระยะนี้ยุ่งอยู่กับการซ้อมรบ ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะกลับมาที่จวนแม่ทัพ
ข่าวที่ได้ยินไม่ทำให้นางถอนหายใจด้วยความโล่งอกแต่อย่างใด ตรงกันข้าม หัวใจกลับหนักอึ้งขึ้นทันที
เขาจะต้องโกรธอย่างแน่นอน ซ้ำครั้งนี้ยังโกรธจริงอีกด้วย
ดวงตากลมโตหมองลงอย่างรวดเร็ว นางกัดริมฝีปากอย่างไม่สบายใจ “แม่นางเจี้ยนหลัน แล้วอาหารแต่ละมื้อของท่านแม่ทัพใหญ่ในระยะนี้ก็ยังให้ข้าทำส่งไปที่ค่ายเหมือนเดิมใช่หรือไม่”
อวี้หมี่ไม่ทันรู้ตัวว่าน้ำเสียงมีความกระตือรือร้นและความคาดหวังแฝงอยู่นิดๆ
“ไม่จำเป็น” ทว่าสาวใช้สังเกตเห็น แล้วตอบเสียงเรียบโดยไม่แม้แต่จะเลิกคิ้ว “ท่านแม่ทัพใหญ่สั่งไว้ว่าช่วงนี้จะกินนอนร่วมกับไพร่พลในค่าย ดังนั้นแม่นางอวี้ไม่ต้องลำบาก”
เด็กสาวหน้าซีดเผือด กลีบปากขยับเล็กน้อย ทว่าพูดอะไรไม่ออก
“เชิญแม่นางอวี้กลับเข้าเรือนไปพักผ่อนเถิด อีกเดี๋ยวบ่าวจะยกอาหารเช้ามาให้” เจี้ยนหลันย่อตัวคำนับ ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปเมื่อพูดจบ
“เดี๋ยว แม่นางเจี้ยนหลัน…”
เจี้ยนหลันได้ยินชัดเจน ทว่าทำเป็นหูทวนลมเดินต่อไปเรื่อยๆ
นางรู้ว่าไม่ควรเสียมารยาทเช่นนี้ ทว่าเมื่อเช้านางเห็นร่างสูงใหญ่ของเจ้านายยืนเอามือไพล่หลังเงียบๆ ตรงหน้าต่าง ทอดตามองไปข้างนอกด้วยสีหน้าหม่นหมอง บุคลิกห้าวหาญองอาจสมชายชาตรีเหมือนหายวับไปจนหมด ถูกแทนที่ด้วยความอ้างว้างเดียวดายที่ไม่อาจบรรยายด้วยคำพูด
ท่านแม่ทัพใหญ่ผู้แกร่งกล้าเกรียงไกร บุคคลอันเป็นที่เคารพเลื่อมใสของกองทัพสกุลเยียนและชาวบ้านแถบชายแดนตะวันออก เหตุใดกลับดูหมองเศร้าได้ถึงเพียงนี้
นอกจากจะตกใจแล้ว เจี้ยนหลันยังเจ็บปวดเกินทนรับและโมโหอย่างบอกไม่ถูก
คนที่ทำให้เจ้านายนางเป็นกังวล เดี๋ยวทุกข์เดี๋ยวสุข กระวนกระวายผิดวิสัยได้ บนแผ่นดินนี้มีเพียงแม่นางอวี้หมี่แห่งร้านขายอาหารริมทางชายแดนตะวันออกเพียงคนเดียว!
ความรู้สึกที่นายท่านมีต่อนางในช่วงที่ผ่านมา…ไม่สิ ในช่วงสองปีมานี้ นางไม่รับรู้แม้แต่นิดเดียวเลยเชียวหรือ
หรือเพราะรู้ว่านายท่านมีใจให้ ถึงได้แกล้งทำเป็นเล่นตัวไม่รับรู้เพื่อทรมานนายท่านเล่น
คนเรายิ่งหน้าซื่อเท่าไร จิตใจก็ยิ่งเจ้าเล่ห์น่าชังเท่านั้นจริงๆ ด้วย
รอบตัวของเจี้ยนหลันที่เดินจากไปกรุ่นไปด้วยไอโทสะอย่างปิดไม่มิด อวี้หมี่มองตามด้วยความว้าวุ่นใจ
“แม้แต่เจี้ยนหลันก็พลอยโกรธข้าอีกคน” นางทิ้งตัวลงนั่งบนธรณีประตูสูง พลางใช้มือยันประตูอย่างอ่อนแรง
เพราะเหตุใดกันนะ เพราะนางทำให้ท่านแม่ทัพใหญ่โกรธ ทุกคนในจวนเลยไม่คิดจะดีกับนางอีกต่อไปอย่างนั้นหรือ
แต่จะให้นางอธิบายกับคนอื่นอย่างไรเล่า ว่าท่านแม่ทัพใหญ่ถามคำถามสองข้อที่ทำให้นางตั้งตัวไม่ติดและไม่รู้ว่าควรตอบกลับไปอย่างไรดี พอไม่ได้รับคำตอบ เขาเลยหลบหน้าไปอยู่ที่ค่ายด้วยความโมโห
นางจ้องมองแสงอรุณที่ค่อยๆ เรืองรองขึ้นตรงขอบฟ้า ในอกปั่นป่วนยุ่งเหยิงจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี สมองเอาแต่คิดถึงประโยคที่เขารบเร้าถามเมื่อคืนซ้ำแล้วซ้ำเล่า…
‘ตอนนี้เพิ่งจะคิดตัดความสัมพันธ์กับข้า ไม่สายเกินไปหรือ’
‘เสี่ยวหมี่ เจ้าเกลียดชังข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ’
‘เช่นนั้นเจ้า…เจ้า…ชอบข้าหรือไม่’
“หรือว่า…เมื่อคืนเขากำลังบอกรักข้า…”
บอกรัก?!
“ช้าก่อน!” นางยกมือปิดปากตนเองอย่างตกตะลึง ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่สะท้อนอยู่ในดวงตาคือความตระหนก ความยินดี หรือความลนลานกันแน่ “หรือว่าขะ…เขาชอบข้า”
แต่จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า
นางนิสัยโผงผาง ซ้ำหน้าตาก็ไม่ได้สวยงามละมุนตาแต่อย่างใด ไม่มีชาติตระกูล ไม่มีฐานะ ไม่อ่อนหวาน ไม่ช่างเอาอกเอาใจ แล้วเขาจะมาหลงรักนางได้อย่างไรเล่า
แต่เมื่อหวนคิดถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ทั้งสายตาและการกระทำต่างๆ ของเขาล้วนสื่อความหมายพิเศษ…นางก็ให้หน้าแดงวาบ รู้สึกตาพร่าขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
หมายความว่าที่เขาทำตัวแปลกๆ โมโหฮึดฮัดขึ้นมาง่ายๆ ก็เป็นเพราะ… ‘ไม่อาจได้มาครองดังใจหวัง อกป่วนคลั่งว้าวุ่นกระสับกระส่าย’ อย่างนั้นหรือ
“เขาชอบข้า…” นางพยายามข่มความรู้สึก แต่สุดท้ายก็ยังยิ้มคนเดียวอย่างลืมตัว จากนั้นก็รีบกัดริมฝีปากเอาไว้ด้วยเกรงใครจะได้ยินเข้า “ขะ…เขาดูเหมือนจะชอบข้า”
ช้าก่อน ไม่สิ สองปีมานี้เวลาไปร้านริมทางทีไร เขามักพยายามหาเรื่องจับผิดนางได้ตลอด ทำเอานางลำบากลำบนมิใช่น้อย แล้วเช่นนั้นเขาเกิดความรู้สึกพิเศษต่อนางตั้งแต่เมื่อใดกันเล่า แล้วกลายเป็นบุรุษที่ตกอยู่ในห้วงรัก รู้จักทะนุถนอมอ่อนโยนต่อสตรีตั้งแต่เมื่อใด
อวี้หมี่รู้สึกเหมือนหัวใจเพิ่งจะปลาบปลื้มยินดีจนดีดตัวขึ้นโผบินไปถึงยอดเมฆได้พริบตาเดียวก็ร่วงตกลงมากระแทกพื้นจนแหลกละเอียด
“แม่ทัพใหญ่หลงรักแม่ครัวตัวเล็กๆ อย่างนั้นหรือ” รอยยิ้มบนใบหน้าเลือนหาย ถูกแทนที่ด้วยความหมองหม่น “เรื่องประหลาดแบบนี้แม้แต่ในนิทานยังไม่มีเลย แล้วจะเกิดขึ้นจริงกับข้าได้อย่างไร”
นับแต่โบราณกาล เรื่องราวความรักที่ทำให้ผู้คนริษยา ชื่นชม และพูดถึงกันอย่างอัศจรรย์ใจมีเพียงผู้กล้าครองคู่หญิงงาม ไม่เช่นนั้นก็คุณชายตระกูลมั่งคั่งครองคู่คุณหนูจากตระกูลใหญ่ หากอยากได้ที่บีบคั้นหัวใจหน่อยก็จะเป็นคุณชายผู้มั่นในรักมีใจให้หญิงคณิกาคนดังผู้งามล่มเมือง ไม่เคยเลยสักครั้งที่แม่ครัวจะได้มีบทบาทกับใครเขา
เขาและนางแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ต่อให้ในอดีตครอบครัวนางไม่เคยประสบเหตุร้าย ก็ยังไม่คู่ควรกับตระกูลสูงศักดิ์อย่างเยียนกั๋วกงอยู่ดี
ตอนนี้…ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเข้าไปใหญ่
ต่อให้ระหว่างเขากับนางมีบางสิ่งบางอย่างต่อกัน เมื่ออยู่ต่อหน้าความเป็นจริงบางสิ่งบางอย่างที่ว่าจะเป็นได้แค่ควันธูปที่จางหายไปในชั่วพริบตา
เมล็ดพันธุ์ที่ถูกกำหนดมาให้ไม่สามารถผลิดอก ยังมีความเป็นไปได้หรือความจำเป็นต้องแตกหน่ออ่อนอีกหรือไม่เล่า
“อาหมี่สกุลอวี้ คนเขาดีกับเจ้า อ่อนโยนกับเจ้าแค่หน่อยเดียว เหตุใดเจ้าถึงลืมเสียแล้วว่าตนเองเป็นใคร” โพรงจมูกแสบร้อน นางยิ้มเยาะตนเอง “ทำตัวให้ฉลาดหน่อยเถิด อย่าโง่เง่าเหมือนพวกสตรีในนิทานเลย แค่บุรุษทำตาหวานใส่เข้าหน่อยก็ถึงกับยอมตายแทนได้ น่าขายหน้านัก!”
คงเพราะช่วงนี้ชีวิตนางมีความสุขเกินไปนั่นแหละ กำแพงที่สร้างขึ้นมาป้องกันตนเองถึงได้ต่ำลง ลืมสิ้นแม้แต่สถานะนายบ่าว นางนี่ช่างเลอะเลือนได้อย่างน่าโบยนัก
“ตั้งใจทำงานไปทุกวันๆ แต่โดยดีเถิด ครบกำหนดหนึ่งเดือนเมื่อไรก็เก็บข้าวของไปจากที่นี่ทันที ไม่ว่าแม่ทัพใหญ่คนนั้นจะมีความรู้สึกแบบใด จริงใจก็ดี หลอกลวงก็ช่าง ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าแม้แต่นิดเดียว จำใส่หัวไว้ล่ะ!” นางพูดตอกย้ำตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าน้ำเสียงขมขื่นขึ้นทุกขณะ
เหมือนกับว่าเมื่อครู่นางเพิ่งบังคับตนเองให้บดขยี้อะไรบางอย่างจนแหลกคามืออย่างไรอย่างนั้น…
สองสามวันมานี้บรรยากาศในจวนแม่ทัพพิทักษ์บูรพาแปลกประหลาดชอบกล
เริ่มจากท่านแม่ทัพใหญ่ย้ายไปอยู่ในค่ายทหารทุกวัน ส่วนแม่นางอวี้หมี่ก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง ไม่ย่างกรายเข้าไปในโรงครัวเล็กอีกเลย
องครักษ์บางคนทนไม่ไหว ต้องไปถามต้นสายปลายเหตุจากเจี้ยนหลัน แต่ถูกนางตอบกลับมาด้วยฝ่ามือน้ำแข็งนิลพร้อมสายตาดุดันที่เหมือนจะฆ่าคนได้
“ชอบแส่เรื่องชาวบ้านถึงเพียงนี้ยังจะเป็นบุรุษไปไยอีก เดี๋ยวข้าจะช่วยให้เจ้ากลับชาติไปเกิดใหม่เป็นสตรีเสียเลย ไสหัวไป!”
ตอนนี้ทุกคนในจวนแม่ทัพเลยพากันหุบปากเงียบกริบ ไม่กล้าสอดรู้สอดเห็นเรื่องนี้อีกเลย
เวลาเจ็ดวันผ่านไปในพริบตา
ตามกระแสข่าวเล็กๆ ที่พูดกันในหมู่องครักษ์ เจ็ดวันมานี้ท่านแม่ทัพใหญ่ซ้อมรบโหดเสียจนผู้ใต้บังคับบัญชาร้องระงม บรรดารองแม่ทัพทั้งหลายก็พากันบ่นอู้ แต่พอเจอสีหน้าเย็นชาของท่านแม่ทัพก็รีบเอามือกุมหัววิ่งไปซ้อมรบแต่โดยดี
เหตุการณ์นี้ทำให้ได้ประจักษ์ว่าความหงุดหงิดของท่านแม่ทัพใหญ่ผู้อกหักรุนแรงแค่ไหน โทสะฉกาจฉกรรจ์เพียงไร
สุดท้ายแม้แต่พ่อบ้านเทาเทียนผู้ดูแลความเรียบร้อยเฉพาะเขตเรือนชั้นนอก ไม่เคยก้าวก่ายความเป็นไปของเรือนชั้นในยังทนไม่ไหว ต้องไปอัญเชิญตัวช่วยออกมาในค่ำคืนนี้
“แม่นม ได้ยินมาว่าวันนี้ที่ค่ายก็ฝึกหนักจนทหารกองพลพยัคฆ์ตายไปอีกสองนาย” อันที่จริงเทาเทียนผู้หล่อเหลางดงามไร้ที่ติมีใบหน้าแบบที่พวกสตรีนิยมชมชอบมากที่สุด แต่เนื่องจากเป็นบุตรผู้คุมห้องลงทัณฑ์จวนเยียนกั๋วกง ดังนั้นขนาดเวลายิ้มยังดูเหี้ยมเกรียมน่าสะพรึงกลัว เป็นเหตุให้ครองสถานะไร้คู่ครองมาจนถึงตอนนี้
“กองทัพสกุลเยียนอ่อนแอถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไร” แม่นมเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะแค่นเสียงขึ้นจมูกดังฮึ “เช่นนั้นชิงเกอเอ๋อร์ก็ควรฝึกให้หนักจริงๆ”
ขืนฝึกต่อไปได้ตายกันหมดพอดี!
เทาเทียนห้ามตนเองไม่ให้สำลักและรักษารอยยิ้มเจ้าเล่ห์แบบจิ้งจอกเอาไว้บนใบหน้า “นายท่านอารมณ์ไม่ดี หากเรื่องส่วนตัวส่งอิทธิพลต่อเรื่องงานจนฝึกกองทหารแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าให้กองทัพสกุลเยียนได้ย่อมเป็นเรื่องประเสริฐ กลัวแต่ว่าความขุ่นมัวจะยังไม่จางหายไปจากใจนายท่าน นี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่”
“ชิงเกอเอ๋อร์เกิดมาเพิ่งเคยมีใจให้สตรีเป็นครั้งแรก จะอารมณ์ปั่นป่วนเพราะความรักไปบ้างก็เป็นเรื่องปกติ”
ใบหน้าไร้อารมณ์ของแม่นมเหยียนปรากฏรอยยิ้มบางๆ แห่งความปลาบปลื้ม “ชิงเกอเอ๋อร์เติบใหญ่แล้วจริงๆ หากฮูหยินผู้เฒ่ารู้เข้าจะต้องดีใจมากเป็นแน่”
เห็นทีได้เวลาต้องส่งพิราบสื่อสารไปแจ้งข่าวกับทางจวนเยียนกั๋วกงแล้ว…
“แม่นม…” นี่ไม่ใช่เวลามามัวยินดีว่า ‘ในที่สุดลูกข้าก็เติบใหญ่เสียที’ หรอกกระมัง
“ไม่เป็นไร” แม่นมเหยียนปรายตามองเขา “คนหนุ่มๆ ยังเก็บอารมณ์ไม่เป็นอย่างนี้แหละ”
“ขอรับๆ” เทาเทียนนิ่วหน้าอย่างประหม่า “แต่หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป เกิดฝ่ายหญิงไม่เข้าใจแล้วหนีไปก่อน จะทำเช่นไรกันเล่า”
เมื่อถึงเวลานั้นนายท่านจะเสียใจทีหลังก็สายเกินไปแล้ว คนที่ต้องทรมานใจก็จะเป็นข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ภักดีอย่างพวกเขานี่แหละ!
“ก็ถูกของเจ้า” แม่นมเหยียนใคร่ครวญ ก่อนจะพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ไว้เป็นหน้าที่ข้าเอง”
“แม่นมออกโรงด้วยตนเองเช่นนี้ เชื่อว่าสถานการณ์จะต้องคลี่คลายและจบลงด้วยดีอย่างแน่นอน” นัยน์ตาหงส์ของเทาเทียนเป็นประกายด้วยความยินดีจนเก็บไม่มิด
ขนาดแม่นมเหยียนผู้มีจิตใจแข็งแกร่งเย็นชาดุจเหล็กกล้ามาหลายสิบปีเจอความงามของเจ้าตัวยังถึงกับตาพร่าไปวูบหนึ่ง
“ชายไร้คู่แต่ละคนลอยชายให้ข้าเห็นได้ทุกวัน มันขัดลูกตานัก” หญิงสูงวัยหรี่ตา “หากเจ้ายังไม่อยากแต่งภรรยาเอก จะหาสตรีเอาอกเอาใจเก่งมาแต่งเป็นอนุสักคนก่อนก็ได้ ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งไว้ให้ข้าคอยจับตาดู พวกเจ้าแต่ละคนหนีไม่รอดหรอก”
เทาเทียนสูดหายใจเฮือก ดวงหน้างดงามราวกับปีศาจรีบฉีกยิ้มประจบแทบไม่ทัน “ทำให้แม่นมต้องเหนื่อยใจเสียแล้ว แต่เจ้านายต้องมาก่อน ข้าน้อยไม่รีบร้อน ไม่รีบร้อนแม้แต่นิดเดียว”
“ประโยคนี้ไปพูดให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟังเองเถิด” แม่นมเหยียนเหมือนจะยิ้มก็ไม่ใช่ ไม่ยิ้มก็ไม่เชิง “ข้าไม่กล้าตัดสินใจให้หรอก”
เพียงนึกถึง…ยายเฒ่าผู้เมตตาอารี ชอบเป็นแม่สื่อแม่ชักคนนั้น เทาเทียนก็ถึงกับพูดไม่ออก
อีกด้านหนึ่งของจวนแม่ทัพ…
อวี้หมี่นั่งกอดเข่าอยู่บนหลังคาเรือน เหม่อมองภาพเมืองชายแดนตะวันออกที่อยู่นอกกำแพงสูง
ไปตามทิศทางนี้เรื่อยๆ…เรื่อยๆ…ก็เป็นค่ายกองทัพสกุลเยียนแล้วสินะ
เวลานี้เขากำลังทำอะไรอยู่ อาหารสามมื้อในค่ายมีอะไรบ้าง ทหารโรงครัวในนั้นจะทำกับข้าวได้อร่อยสักเท่าไรกันเชียว เขาเลือกกินถึงเพียงนั้น จะกินได้หรือ
คิดมาถึงตรงนี้ทีไร นางเป็นต้องนึกด่าตนเองในใจอีกครั้งว่ากังวลไม่เข้าเรื่อง
กินไม่ได้แล้วอย่างไรเล่า เขาเป็นคนบอกไม่ให้นางทำของกินส่งไปเอง จะให้นางเสนอหน้าเอาอาหารไปที่ค่ายแล้วอ้อนวอนให้เขากินอย่างนั้นหรือ อีกอย่างนางก็ตัดสินใจแล้วนี่นา ว่าหลังจากนี้จะนั่งนับวันไปเรื่อยๆ พอครบกำหนดเมื่อไรจะไปจากจวนแม่ทัพทันที
แล้วเหตุใดตอนนี้ถึงยังมานั่งกระวนกระวายว้าวุ่นใจอยู่อีกเล่า
นางเอามือข้างหนึ่งเท้าคางนั่งกัดริมฝีปาก ไม่รู้ด้วยเหตุใดกระบอกตาถึงได้ร้อนผ่าว หัวใจแปลบปลาบ เจ็บปวดนิดๆ แต่ที่มากกว่านั้นคือ…ขมขื่นและน้อยใจ
“แม่นางอวี้” น้ำเสียงชราที่เต็มไปด้วยความเฉียบขาดดังขึ้นมาใต้ชายคา
นางชะงัก แล้วชะโงกหน้าลงไปมอง
เสียงสูดหายใจเฮือกดังขึ้นในความเงียบ เหล่าผู้เร้นกายที่ใจหายใจคว่ำเป็นทุนเดิมอยู่แล้วพากันเกร็งตัวเตรียมพร้อมอย่างระมัดระวัง
“แม่นมเหยียน?” เด็กสาวสะดุ้งโหยง ก่อนจะร้องทักแห้งๆ
อย่าบอกนะว่าแม่นมเหยียนเองก็เคืองนางเหมือนอย่างเจี้ยนหลัน ก็เลยจะมาคิดบัญชีกับนาง?
“ลงมา” หญิงสูงวัยขมวดคิ้ว “สตรีดีๆ ที่ใดปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคาบ้าง อันตรายออกอย่างนั้น ไม่กลัวตกลงมาเลยหรือ”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าเป็นคนมือเท้าคล่องแคล่ว ไม่มีทางตกได้หรอก เอ่อ…จะลงไปเดี๋ยวนี้แหละเจ้าค่ะ” อวี้หมี่จำต้องคลานลงไปช้าๆ อย่างยอมรับชะตากรรม
โดยไม่ได้รับรู้เลยว่าบริเวณนั้นมีคนกำลังยืนเหงื่อตกทั้งหมดกี่คน
แม้แต่แม่นมเหยียนเองก็ยังลอบพรูลมหายใจยาวเหยียดออกมาเบาๆ เมื่อนางลงมายืนตรงหน้าโดยสวัสดิภาพ ทว่าคิ้วหงอกขาวกลับขมวดเข้าหากันแน่นกว่าเดิม
“หลังคาจวนแม่ทัพจัดเป็นเขตหวงห้ามทางการศึก หากไม่ใช่องครักษ์หรือทหารจะปีนขึ้นไปไม่ได้เด็ดขาด ใครฝ่าฝืนต้องโทษโบยแปดสิบไม้” แม่นมเหยียนทำหน้าบึ้ง
“ขออภัยเจ้าค่ะ” อวี้หมี่สะท้านเฮือกเล็กน้อย
“หากใครทำผิดร้ายแรงแล้วพูดแค่ ‘ขออภัย’ ก็หมดเรื่อง จวนแม่ทัพพิทักษ์บูรพายังจะมีกฎเกณฑ์ไว้เพื่ออะไรอีก” หญิงสูงวัยแค่นเสียงหึ ตั้งใจว่าจะใช้ไม้แข็งก่อนค่อยใช้ไม้นวม “เจ้าคิดว่าจวนแม่ทัพคือที่ใด หืม?”
ขอเพียงแม่นางน้อยยอมก้มหัวอ่อนข้อให้ก่อน ไม่ต้องกลัวเลยว่าชิงเกอเอ๋อร์จะไม่กลับมา
แต่ละคำของแม่นมเหยียนดุดันดุจคมอาวุธ อวี้หมี่ตกใจลนลานเสียจนนิ่งอึ้งไป
กลีบปากเล็กสั่นระริก หมายจะอ้อนวอนขอความเมตตา แต่ความกระวนกระวาย ความว้าวุ่น ความกังวล และความน้อยใจที่สะสมมาหลายวันทำให้อารมณ์ตึงเครียดจนเกือบถึงจุดพังทลาย นี่แม่นมเหยียนยังมาเอ็ดอึงด้วยเสียงเฉียบขาด นางจึงปล่อยโฮออกมาอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป
“จวนแม่ทัพนี่จงใจสร้างขึ้นมาไว้รังแกคนชัดๆ ฮือๆ ขี่ม้าไม่สบอารมณ์ก็ชักสีหน้า…ปีนขึ้นหลังคาก็จะถูกโบย ฮือๆ เอะอะอะไรก็หลายสิบไม้ๆ เหตุใดไม่ฆ่าข้าให้ตายไปเสียเลยเล่า…”
อยู่ๆ เด็กสาวก็ร้องไห้ลั่น เล่นเอาแม่นมเหยียนทำอะไรไม่ถูก
“จริงๆ เลย เหตุใดอยู่ดีๆ ก็ร้องไห้เป็นเด็กไปได้นะ ข้าก็แค่ดุว่าเจ้าไม่กี่คำ จะโบยเจ้าจริงๆ เสียเมื่อไร ร้องไห้ไปไยกันเล่า”
ทำนบอารมณ์นั้นลองว่าพังทลายลงมาแล้ว ไหนเลยจะควบคุมได้ง่ายๆ อวี้หมี่ร้องไห้อย่างชอกช้ำ ร้องอย่างไม่คิดจะรักษาภาพลักษณ์ ร้องจนน้ำหูน้ำตาไหลนอง เช็ดอย่างไรก็เช็ดไม่หมด
แม่นมเหยียนร้อนรนไม่รู้จะทำอย่างไรดี สีหน้าเยือกเย็นชนิดต่อให้ภูเขาไท่ซานทลายลงตรงหน้าก็ไม่รู้สึกรู้สาถูกโยนทิ้งไว้ที่ใดแล้วไม่รู้ได้ นางละล่ำละลักปลอบ “เจ้า…เฮ้อ…ยังไม่เลิกร้องอีก ไม่กลัวคนเขาหัวเราะเยาะเอาหรือ เอาล่ะๆ ขอเพียงเจ้าเลิกร้อง ข้าจะยอมตามใจเจ้าทุกอย่าง”
อวี้หมี่ร้องไห้เสียจนมึนหัว คัดจมูก ตาแดงช้ำ ไหนเลยจะมีแก่ใจฟังว่าคนอื่นพูดอะไร นางเอาแต่ร้องเหมือนจะฉีกปอดเป็นชิ้นๆ ราวกับต้องการระบายความขมขื่นทรมานที่สะสมไว้ในใจมาหลายปีออกมาทางน้ำตาให้หมดสิ้น “ข้า…อยากกลับบ้าน…”
แม่นมเหยียนทั้งปวดหัวทั้งสงสาร รีบดึงเด็กสาวเข้ามากอดพลางตบหลังเบาๆ “เด็กโง่ เจ้าไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้วนะ เหตุใดพอเจอเรื่องอะไรเข้าหน่อยก็ร้องไห้โวยวายจะกลับบ้านเล่า อยู่ในจวนแม่ทัพไม่ดีตรงไหนกัน”
นานเหลือเกินแล้วที่ไม่ได้สัมผัสอ้อมกอดอบอุ่นของผู้อาวุโส น้ำตาที่อวี้หมี่พยายามกลั้นไว้อย่างยากลำบากทะลักพรูลงมามากกว่าเดิม นางสะอื้นฮักๆ จนแทบพูดไม่เป็นคำ “ข้า…ข้าอยากกลับ…ฮือ…อยากกลับบ้าน…”
เด็กน้อยที่น่าสงสาร แม้ปกติจะคล่องแคล่วเก่งกาจสักเพียงใด ถึงอย่างไรก็อายุแค่สิบหก ยังเป็นเด็กที่โตไม่เต็มที่!
ชิงเกอเอ๋อร์นี่ก็เหลือเกิน เอาความหงุดหงิดไปลงกับทหารพวกนั้นก็พอแล้ว ไยถึงต้องทำจนแม่หนูนี่เสียขวัญถึงเพียงนี้ด้วยนะ บาปกรรมแท้ๆ!
แม่นมเหยียนลืมไปโดยสิ้นเชิงว่าตนก็เป็นหนึ่งในตัวการที่ทำให้แม่หนูคนนี้ร้องไห้โฮด้วยความตกใจเช่นกัน
“ไม่ต้องกลัวๆ มีข้าอยู่ทั้งคน ใครกล้าทำอะไรเจ้า ข้าจะตีให้น่าดู”
ยี่สิบกว่าปีมานี้ ทายาทรุ่นหลานของจวนเยียนกั๋วกงไม่มีเด็กผู้หญิงเลยสักคน…แม้แต่เด็กผู้ชายก็มีเพียงเยียนชิงหลางคนเดียวเท่านั้น…ดังนั้นเมื่อได้เห็นว่าจากที่เคยโมโหฮึดฮัด อวี้หมี่ในเวลานี้ดูอิดโรยเปราะบาง จมูกกับตาแดงก่ำอย่างน่าสงสาร หัวใจของแม่นมเหยียนก็ปวดแปลบจนแทบละลาย
“แม่นม…” อวี้หมี่กอดร่างตรงหน้าแน่นอย่างลืมตัว น้ำตาทะลักลงมาเป็นสาย “ฮือๆ”
ร่างของแม่นมเหยียนเหมือนมีกลิ่นอายของท่านแม่กับท่านป้า มีสัมผัสแห่งความสุขอย่างที่นางรับรู้ได้สมัยที่ยังได้รับอ้อมกอดและความรักความทะนุถนอมจากคนในครอบครัว…
ถ้าหาก…นางไม่บ้านแตกสาแหรกขาด ถ้าหากนางกับน้องชายยังมีญาติผู้ใหญ่ นางจะอยู่ใกล้ความใฝ่ฝันของตนเอง…ขึ้นอีกนิดใช่หรือไม่
ไม่เหมือนอย่างตอนนี้ ที่แม้จะถูกทำให้เจ็บปวดชอกช้ำอย่างไรก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทน คอยห้ามใจตนเองไม่ให้โหยหา ไม่ให้สัมผัส…สิ่งสวยงามแสนห่างไกลที่ไม่ได้เป็นของนาง
หากนางยังเป็นหลานสาวที่รักของผู้ตรวจการเยี่ยผู้เก่งกาจ นางจะพอมีสิทธิ์ให้ใฝ่ฝันและวาดหวังว่าตนกับท่านแม่ทัพใหญ่จะมีอนาคตร่วมกันหรือไม่
ทว่า…ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว…
ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บปวด หัวใจร้าวรานเสียไม่มีดี นางพลันเกิดความคิดว่า…สู้หนีไปให้ไกลจากทุกสิ่งทุกอย่าง…โดยเฉพาะเยียนชิงหลาง…เสียแต่ตอนนี้จะดีกว่า
“แม่นม ข้า…” เด็กสาวสูดจมูกสะอื้นเบาๆ “ข้าจะกลับบ้านแล้ว แม่นมโปรดรักษาตัวด้วย”
“อะไรนะ จะกลับตอนนี้เลยน่ะหรือ” แม่นมเหยียนนิ่งอึ้ง “ไม่ได้ๆ จะกลับไม่ได้ แค่หนุ่มสาวงอนกันนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย เจ้าถึงกับต้องตัดขาดกันถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“อวี้หมี่คิดดีแล้วเจ้าค่ะ ข้าตั้งใจจะไปจริงๆ แม่นมโปรดขอขมาท่านแม่ทัพใหญ่แทนข้าด้วย ข้าทำงานอีกครึ่งเดือนต่อไปไม่ไหวจริงๆ ข้าขอยอมรับผิด พรุ่งนี้จะให้น้องชายนำเงินค่าปรับมามอบให้” อารมณ์ของนางสงบลงแล้ว ใบหน้ากลมป้อมที่ลายพร้อยไปด้วยน้ำตาฉายแววเด็ดเดี่ยว “ขอบคุณแม่นมกับท่านแม่ทัพใหญ่ที่ช่วยดูแลในช่วงที่ผ่านมา อวี้หมี่ขอลาท่านตรงนี้”
เหตุการณ์ที่พลิกผันกะทันหันทำให้แม่นมเหยียนตั้งตัวไม่ติด
“ไม่ได้นะ!” ใบหน้าเหี่ยวย่นเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพใหญ่เชิญเจ้ามาอยู่ในจวนด้วยตนเอง หากจะไป เจ้าก็ต้องอำลาท่านแม่ทัพใหญ่ด้วยตนเองเช่นกัน”
“ข้า…” โพรงจมูกแสบร้อนขึ้นมาอีกแล้ว นางตอบเสียงเครือ “ทำให้ท่านแม่ทัพใหญ่ไม่พอใจ ไปตอนนี้เขามีแต่สบายใจขึ้นด้วยซ้ำ แบบนี้ดีกับทุกฝ่าย”
ขอเพียงต่างคนต่างไปคนละทาง เขากับนางก็จะไม่เกี่ยวข้องกันอีก ความรู้สึกที่ปั่นป่วนว้าวุ่นจะกลับมาอยู่ใต้การควบคุมของนางเหมือนเดิม และหน่ออ่อนแห่งความคิดที่ไม่ควรเกิดก็จะไม่เติบโตขึ้นมาเลื้อยพันหัวใจนางวันแล้ววันเล่าอีก
“ข้อนี้ข้าจัดการให้ไม่ได้” หญิงชราแค่นเสียงหึ “ใครเป็นคนก่อเรื่องก็ต้องสะสางด้วยตนเอง ข้าแก่จนปูนนี้แล้ว ขอดูแลสุขภาพตนเองพอ ไม่อยากยื่นมือเข้าไปก้าวก่ายกับเรื่องของคนหนุ่มคนสาว”
ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด พอถูกแม่นมเหยียนย้อนกลับมาเช่นนั้น อวี้หมี่ก็ถึงกับโต้ตอบไม่ออก
“แต่…”
“ไม่มีแต่ เจ้ากลับเรือนไปก่อน ตราบใดที่ท่านแม่ทัพใหญ่ยังไม่กลับจวน เจ้าจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น” นางร้องสั่ง “ใครก็ได้ คุม…พาแม่นางอวี้ไปส่งที่เรือน! หากยังปล่อยให้นางปีนขึ้นหลังคาอีก ระวังหนังของพวกเจ้าให้ดี”
“ขอรับ!” ผู้เร้นกายปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันหลายคน ทำท่าทำทางราวกับเกิดเหตุร้ายแรง ทว่ากิริยาอาการและน้ำเสียงกลับนอบน้อมจนขนลุก “แม่นางอวี้ เชิญขอรับ!”
“แม่นมเจ้าคะ!” ใบหน้ากลมป้อมซีดเผือดด้วยความร้อนรน
เมื่ออวี้หมี่ถูกคุมตัวกลับเรือนแล้ว สีหน้าของแม่นมเหยียนก็เปลี่ยนไปทันที ขณะกวักมืออย่างร้อนใจ “ใครก็ได้ รีบไปรายงานท่านแม่ทัพใหญ่เดี๋ยวนี้เลย!”
หากชายหนุ่มยังไม่กลับมาอีก เรื่องจะยิ่งลุกลามไปกันใหญ่ เมื่อถึงเวลานั้นดูซิว่าจะยังมีใครช่วยเกลี้ยกล่อมแม่หนูน้อยให้ยอมกลับมาได้
“ขอรับ บ่าวจะรีบไปทันที” เตาซานรับคำสั่งและวิ่งออกไปทันที
(ติดตามต่อในเล่ม)
Comments
comments
No tags for this post.