บทที่ 17.1 ตกปลาตามลำพังท่ามกลางสายลมและหิมะ
‘เส้นแบ่ง’ คำนี้ราวกับจี้เข้าไปตรงใจกลางกะโหลกศีรษะของหยางหลุน
เขารีบกล่าวกับหยางหวั่น “คำพูดนี้พูดกับข้าแล้วก็กลืนกลับลงไปในท้องเสีย”
หยางหวั่นพยักหน้า กล่าวต่อ “ท่านก็ไม่อาจทำอะไรรุนแรงเกินไป ต้องดูจุดยืนของไทเฮาให้แน่ใจ หาโอกาสที่ดี ขณะเดียวกันก็ต้องรู้ถึงขีดจำกัดของท่านในฐานะขุนนาง”
หยางหลุนได้ยินคำพูดของนางแล้วก็กดมือ พยักหน้าและหันกายเดินไปทางประตูตำหนักหยั่งซิน หยางหวั่นไล่ตามไปหลายก้าวแล้วเอ่ยขึ้นอีก
“ท่านพี่ ท่านรอก่อน” นางพูดพลางเอาถุงเงินใบหนึ่งยัดใส่มือหยางหลุน “เงินนี่ท่านรับไว้ เอาไปซื้อของให้เติ้งอิง”
หยางหลุนยกขึ้นมาดูแล้วบอกว่า “ซื้ออะไร เขาในตอนนี้นอกจากอาหารในคุกแล้วอย่างอื่นล้วนไม่กิน”
หยางหวั่นเอ่ยว่า “เช่นนั้นท่านก็ซื้อผิงกั่ว กับส้มให้เขากิน เสริมวิตามิน ผมของเขาจะได้ไม่ร่วง”
หยางหลุนหรี่ตา “เจ้าบอกเสริมอะไรนะ…”
“หา? อ้อ” หยางหวั่นไอออกมาทีหนึ่ง เปลี่ยนคำพูดใหม่ด้วยความขัดเขินเล็กน้อย “ข้าบอกว่าเสริมร่างกายให้แข็งแรง”
หยางหลุนมองสีหน้าท่าทางของหยางหวั่น จากนั้นก็เอาถุงเงินยัดไว้ในอกเสื้ออย่างกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย เดินจากไปหลายก้าว แต่จู่ๆ สาวเท้าเร็วๆ กลับมาตรงหน้าหยางหวั่น ชี้มาที่นางพลางเอ่ย
“หยางหวั่น รอเจ้าออกจากวังแล้ว เจ้ากลับจวนไปสักครา”
หยางหวั่นถูกเขากดดันจนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
“ท่านจะทำอะไร”
“ทำอะไรหรือ” หยางหลุนเชิดหน้าบอกว่า “ข้าจะไต่สวนเจ้า!”
หยางหวั่นกอดอกหัวเราะออกมา “ได้ ท่านจัดศาลให้เรียบร้อย ถึงเวลาข้าจะไปให้ท่านไต่สวนแน่นอน”
เดือนสิบเอ็ดผ่านไป อาณาจักรต้าหมิงได้ต้อนรับช่วงสิ้นปีที่หนาวที่สุดในประวัติศาสตร์
วันที่สิบเดือนสิบสอง ราชสำนักฝ่ายในจะเคลื่อนพระศพฮ่องเต้เจินหนิงไปยังสุสาน ทั้งนอกและในเมืองหลวงประกาศใช้กฎอัยการศึกปิดกั้นถนน ตามเส้นทางจะตั้งกระโจมน้อยใหญ่เอาไว้เพื่อให้ฮ่องเต้พระองค์ใหม่และเหล่าขุนนางที่ไปส่งพระศพได้พักผ่อน
คดีในคุกของกรมอาญานอกจากคดีสำนักกิจการฝ่ายใน คดีอื่นที่เหลือทั้งหมดจะระงับไว้ก่อน เนื่องจากมีพระราชพิธีศพ นักโทษในคุกไม่อาจแบ่งแยกระหว่างโทษ ‘จำคุก’ กับ ‘เนรเทศ’ ได้ ชั่วขณะนั้นผู้คนแออัดยัดเยียด การจัดหาสิ่งของให้นักโทษก็ไม่ทั่วถึง คนในครอบครัวของนักโทษที่อยู่ข้างนอกจำต้องคิดหาหนทางส่งสิ่งของต่างๆ เข้ามาข้างใน ทว่าสิ่งของที่ส่งมาพอมาถึงประตูที่ทำการก็จะถูกยึดไปครึ่งหนึ่ง มาถึงในคุกก็ถูกผู้คุมขูดรีดไปอีกครึ่งหนึ่ง ที่ส่งถึงมือนักโทษจริงมีน้อยยิ่งกว่าน้อย
หยางหลุนให้คนรับใช้ในจวนไปซื้อผิงกั่วกับส้มจากตลาดมาจำนวนหนึ่ง ใช้ผ้าห่อไว้แล้วหิ้วไปด้วยตนเอง เขายืนอยู่ในห้องโถงของกรมอาญารอฉีไหวหยาง ฉีไหวหยางไม่ได้กลับจวนมาเกือบสิบวันแล้ว เพิ่งพักผ่อนยามกลางวันในที่ทำการ หลังจากถูกเสมียนศาลเรียกขึ้นมา เขายังไม่ได้สวมชุดไว้ทุกข์ก็เดินออกมาแล้ว ฉีไหวหยางสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อเพื่อสวมชุดไว้ทุกข์แล้วเอ่ยถาม
“สองวันนี้สามตุลาการหยุดพิจารณาคดี รอ ‘ไต่สวนเบื้องพระพักตร์’ ท่านมาทำอะ…”
ยังพูดไม่จบก็เห็นห่อของในมือหยางหลุน
“เอาของมาให้หรือ”
หยางหลุนยังไม่ได้พูด ฉีไหวหยางก็ขยับมือแล้วเอ่ยขึ้น
“เขาไม่รับ มิสู้ท่านฉวยโอกาสที่ข้าอยู่เข้าไปดูเขาสักหน่อย”
หยางหลุนยิ้ม “ก็ได้”
ฉีไหวหยางเอียงกายไปพูดกับพัศดีที่ออกมาจากด้านหลัง “วันนี้มีคนมาจากในวังใช่หรือไม่”
“ขอรับ มีขันทีผู้ดูแลทั่วไปของสำนักกิจการฝ่ายในมาคนหนึ่ง กำลังพูดกับนักโทษเรื่องมารยาทในการ ‘ไต่สวนเบื้องพระพักตร์’ ”
“ออกมาแล้วหรือยัง”
“ยังขอรับ เพิ่งจะเข้าไป”
“อ้อ”
ฉีไหวหยางผูกสายรัดเอวชุดไว้ทุกข์ให้ดี พาหยางหลุนออกไปทางด้านหลังห้องโถง สั่งคนให้เปิดประตูคุก แต่ตนเองย้อนกลับไปในที่ทำการ
หยางหลุนก็ถือห่อของเดินเข้าไปในคุก
ในห้องคุมขังของเติ้งอิงมีขันทีผู้ดูแลทั่วไปของสำนักกิจการฝ่ายในกับเสมียนศาลของกรมอาญาสี่คนยืนอยู่ ในมือขันทีผู้ดูแลทั่วไปถือสมุด กำลังอ่านไปทีละถ้อยคำ เติ้งอิงเอามือแนบลำตัวยืนอยู่หน้าผนังห้อง นิ่งฟังไม่พูดอะไร รอขันทีผู้ดูแลทั่วไปอ่านจบ เสมียนศาลจึงถามเติ้งอิงด้วยเสียงอันดัง
“เจ้าฟังเข้าใจแล้วหรือยัง”
เติ้งอิงพยักหน้า กล่าวเสียงเรียบ “ขอรับ ฟังเข้าใจแล้ว”
เสมียนศาลบอก “เช่นนั้นก็ท่องทวนให้ฟัง”
“ขอรับ” เติ้งอิงบีบข้อมือตนเองเบาๆ ก้มหน้าลงกล่าวทวน
ความเร็วในการพูดของเขาไม่นับว่าเร็ว ทุกคำล้วนชัดเจน แทบจะเหมือนตัวอักษรในสมุดไม่ผิดเพี้ยน
“เมื่อก่อนเคยได้ยินว่าท่านอ่านผ่านตาก็สามารถท่องจำได้แม่นยำ วันนี้ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”
เติ้งอิงยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อย “รบกวนกงกงแล้ว”
หยางหลุนไม่ได้ฟังเติ้งอิงท่องหนังสือมานานมากแล้ว นี่เป็นทักษะ ‘ท่านั่งม้า’* ของเด็กๆ จากครอบครัวปัญญาชน ในด้านนี้เขาเองก็นับได้ว่ามีชื่อเสียง เมื่อก่อนก็ใช่ว่าไม่เคยแข่งขันกับเติ้งอิง ผลลัพธ์ก็ต่างมีทั้งพ่ายแพ้และชนะ แต่เขามักจะสงสัยอยู่เสมอว่าหลายครั้งที่เขาเป็นฝ่ายชนะก็เพราะเติ้งอิงไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
ขันทีผู้ดูแลทั่วไปวางสมุดลง ค้อมกายแล้วออกมาดื่มชาไปคำหนึ่ง ถือถ้วยชาไว้ยังไม่ได้วางลง เห็นหยางหลุนมองมาที่เขาก็รีบทำความเคารพ
“ผู้ช่วยราชเลขาธิการหยาง…”
หยางหลุนมองเติ้งอิงที่ยังคงยืนอยู่หลังประตูห้องคุมขังคราหนึ่ง ก้มหน้าลงถาม “กำหนดวันหรือยัง”
“เป็นวัน…”
“ดี เจ้าไปเถิด รายละเอียดข้าค่อยถามจากที่ทำการ”
“ขอรับ”
ขันทีผู้ดูแลทั่วไปก็ไม่กล้าดื่มชาอีก ค้อมกายถอยออกไปจากข้างกายหยางหลุน
หยางหลุนเดินเข้าไปในห้องคุมขัง จู่ๆ เติ้งอิงก็หัวเราะ “ทำให้ท่านมาได้ยินข้าท่องถ้อยคำเหล่านี้แล้ว”
“จะเป็นไรไปเล่า” หยางหลุนเอาห่อของวางไว้บนพื้น นั่งขัดสมาธิบนเสื่อหญ้าของเติ้งอิง “ผ่านมาหลายปีแล้วเจ้ายังอ่านผ่านตาก็สามารถท่องจำได้แม่นยำ”
เติ้งอิงก็นั่งลงในท่าชันเข่า “กฎระเบียบข้อบังคับของราชสำนักฝ่ายในมีมาก แต่มีเพียง ‘โอวาทฝ่ายในของปฐมฮ่องเต้’ เล่มเดียวที่ต้องท่องจำให้ขึ้นใจ”
เขาพูดถึงชีวิตในราชสำนักฝ่ายในไปตามเรื่อง แต่หยางหลุนกลับรู้สึกร้อนหูเล็กน้อย
“หยางหวั่นก็ท่องกฎระเบียบข้อบังคับมากมายเพียงนั้นได้หรือ”
เติ้งอิงกอดเข่านั่งตัวตรง “นางท่องได้ แต่นางมีความเคยชินอย่างหนึ่ง”
หยางหลุนใช้มือผลักโซ่ตรวนที่ข้างขาเติ้งอิงออก “ความเคยชินอะไร”
“นางชอบขยับพู่กัน ไม่ว่าจะท่องหรือจดบันทึก นางล้วนต้องขยับพู่กัน” เขาพูดพลางเงยหน้าขึ้นมองหยางหลุน “นางดูเหมือนจะเขียนสมุดบันทึกเล่มหนึ่งอยู่ตลอดเวลา”
“สมุดบันทึกเช่นไร ข้างในนั้นเขียนอะไรบ้าง”
เติ้งอิงตอบ “เป็นสมุดเย็บด้ายเล่มหนึ่ง ตัวอักษรข้างในข้าไม่เคยเห็นอย่างชัดเจน แต่ดูเหมือนจะเป็นตัวอักษรของดินแดนอี๋…”
“จะเป็นไปได้อย่างไร” หยางหลุนมองมา “ท่านแม่กับพี่สะใภ้ของนางเลี้ยงดูนางอยู่ข้างกายมาตั้งแต่เด็ก นางจะไปรู้จักตัวอักษรอี๋ได้อย่างไร…”
เติ้งอิงไม่ได้ตอบ
หยางหลุนขมวดคิ้ว สองมือวางอยู่บนหัวเข่า ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยปากขึ้น “ฝูหลิง วันนี้ตอนอยู่ที่หน้าประตูตำหนักหยั่งซินนางได้ชี้จุดหนึ่งให้ข้าดู”
“อะไรหรือ”
“เกี่ยวกับคดีที่เจ้าปลอมแปลงพระราชโองการก่อนสวรรคต” หยางหลุนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง นิ้วกดที่มือแน่น “นางถามข้าว่าคดีอาญาและความลับของราชสำนักที่ไม่เปิดเผยให้ใครรู้มีเส้นแบ่งที่ชัดเจนหรือไม่”
เติ้งอิงตกตะลึง “ท่านมีความมั่นใจหรือไม่”
“เจ้าอย่าเพิ่งพูดว่าข้ามีความมั่นใจในเรื่องนี้หรือไม่!” หยางหลุนรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “นางเป็นน้องสาวของข้า ตั้งแต่เล็กนางก็ติดตามอยู่ข้างหลังข้า เมื่อก่อนนางมีนิสัยเช่นไร รู้อะไรไม่รู้อะไรข้าย่อมรู้อย่างชัดเจน แต่…” หัวไหล่เขาพลันลู่ลง “แม้แต่เจ้ากับข้าก็ยังไม่ฉุกคิดในเรื่องนี้ เจ้าไม่รู้สึกว่าครั้งนี้นางมองเห็นทะลุปรุโปร่งเกินไปหรือ นาง…”
“จื่อซี ไม่เพียงแค่ครั้งนี้” เติ้งอิงตัดบทหยางหลุน พอพูดจบก็ขยับตัวพิงผนัง “ก่อนการสอบเคอจวี่ฤดูใบไม้ร่วง ข้ากับท่านอาจารย์ต่างเข้าใจว่าเรื่องปัญญาชนของสำนักศึกษาเป็นเรื่องที่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่สุดท้ายกลับรอดพ้นมาได้เพราะร้านชิงปอก่วน”
หยางหลุนยืนขึ้นทันใด “ในเมื่อเจ้ารู้แต่แรกแล้ว เพราะเหตุใดถึงไม่ถามนางต่อหน้าให้กระจ่าง”
“ข้ามีสิทธิ์ที่จะถามหวั่นหวั่นหรือ”
“เจ้า…”
หยางหลุนร้อนใจจนเท้าไปกระทบถูกข้อเท้าของเติ้งอิง เติ้งอิงหลับตาข่มกลั้นความเจ็บปวด ยันพื้นลุกขึ้น มองหยางหลุนแล้วเอ่ยอีก
“ข้าไม่อยากถามหวั่นหวั่น”
หยางหลุนถาม “เพราะเหตุใด”
เติ้งอิงหลุบตาลง “แต่ไหนแต่ไรล้วนเป็นนางที่มองข้า ถามข้า ข้าเป็นบ่าวรับใช้ของนางมาโดยตลอด จะเป็นผู้ไต่สวนนางได้อย่างไร”
หยางหลุนฟังคำพูดประโยคนี้ของเติ้งอิงจบก็รู้สึกใจสั่นและเจ็บปวดขึ้นมาคราหนึ่ง
ไม่เพียงเพราะเติ้งอิง แต่เป็นเพราะหยางหวั่นด้วย
สตรีในใต้หล้านี้ล้วนได้รับการอบรมสั่งสอนเรื่องคุณธรรมสตรี เห็นบุรุษเป็นท้องฟ้า มารดาเป็นเช่นนี้ ภรรยาของตนก็เป็นเช่นนี้
แต่หยางหวั่นไม่ได้อยู่ในกลุ่มเดียวกับสตรีเหล่านี้ อาจเพราะคนที่นางพึงใจเป็นเพียงบ่าวไพร่คนหนึ่ง ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องคลานอยู่ใต้ ‘ท้องฟ้า’
คนที่ซื่อตรงจิตใจกว้างขวางผู้นั้นถูกบดขยี้เป็นฝุ่นดิน นับแต่นั้นก็รวบรวมทุกย่างก้าวที่หยางหวั่นเดินมาเก็บรักษาไว้ในอก
ยามอยู่ข้างกายเติ้งอิง หยางหวั่นดูเหมือนชื่อเสียงฉาวโฉ่ แต่นางกลับไม่เคยถูกเหยียดหยามแม้แต่น้อย
เมื่อครู่นี้เขาบอกว่าหยางหวั่นมองเห็นทะลุปรุโปร่งเกินไป
และอาจไม่ใช่เพราะนางใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีเกินไป
คนที่นางรักไม่ทำหน้าที่เป็นผู้ไต่สวนนาง ดังนั้นทุกคำที่นางพูด ทุกเรื่องที่นางทำล้วนเป็นไปตามกฎเกณฑ์ภายในใจนางเท่านั้น
หยางหลุนรู้สึกว่าเรื่องนี้กล่าวไปแล้วสำหรับสตรีผู้หนึ่งนับว่าอันตรายยิ่ง เขาไม่เห็นด้วยนัก แต่เขาก็ไม่อาจไม่ยอมรับ เขามองเห็นสิ่งหนึ่งในตัวหยางหวั่นซึ่งหยางสวี่กับเซียวเหวินไม่เคยมี นั่นคืออุปนิสัยที่อยู่ระหว่างปัญญาชนกับสตรี
“เจ้าไม่ถามก็แล้วไปเถิด” หยางหลุนก้มหน้ามองไปที่ห่อของบนพื้น จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่อง “วันไต่สวนเบื้องพระพักตร์ เจ้ากับเหออี๋เสียนจะถูกพาตัวเข้าไปราชสำนักฝ่ายในด้วยกัน การไต่สวนในศาลสามครั้งก่อนหน้านี้เจ้ากับเขาเคยเผชิญหน้าแล้วยันข้อเท็จจริงกันหรือไม่”
เติ้งอิงเงยหน้าบอก “นับไม่ได้ว่าเป็นการยันข้อเท็จจริงกัน ขอเพียงขุนนางผู้ไต่สวนไม่ถาม ข้าก็ไม่มีคำให้การอื่นใด ตอนนี้คดีนี้มีปมปัญหาเพียงข้อเดียวที่ยังไม่คลี่คลาย…ข้าถูกสำนักกิจการฝ่ายในบงการให้ปลอมแปลงพระราชโองการก่อนสวรรคตหรือไม่ ทว่าปมปัญหานี้ไม่ได้ส่งผลต่อการกำหนดโทษมากนัก เป็นเพียงการแยกแยะว่าข้ากับเหออี๋เสียนใครมีความผิดมากกว่ากันเท่านั้น แต่สุดท้ายก็น่าจะหนีความตายไม่พ้นทั้งสองคน”
หยางหลุนบอกว่า “ตอนฝ่าบาททรงสอบสวนเจ้ากับเหออี๋เสียน ข้าจะโต้แย้งตรวจสอบประเด็นนี้เบื้องพระพักตร์ไทเฮาและฮองเฮา ดูว่าจะสามารถบีบคั้นท่าทีที่แท้จริงของไทเฮาที่มีต่อเรื่องการปลอมแปลงพระราชโองการก่อนสวรรคตออกมาได้หรือไม่ เมื่อครู่เจ้าถามข้าว่ามั่นใจหรือไม่ ถ้าเป็นตัวข้าเองที่คิดถึงวิธีนี้ออกมาได้ ข้าอาจไม่มั่นใจสักเท่าใด แต่นี่เป็นหยางหวั่นชี้ให้ข้าเห็น ความมั่นใจของข้ากลับมีไม่น้อย ถ้าสำเร็จแล้วนี่คือบุญคุณที่ช่วยชีวิต หลังจากเจ้าออกไปแล้วก็ไปขอบคุณนางเสีย” พอเขาพูดจบก็หยิบห่อของที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมายื่นให้เติ้งอิง “เอาไปกิน”
เติ้งอิงไม่ได้ยื่นมือมารับ กล่าวเสียงเบา “ไม่ต้องเอาของมาให้ข้า อาหารที่ข้ากินอยู่ก็ไม่เลว”
“เป็นผิงกั่วกับส้ม”
“ยิ่งไม่จำเป็น”
หยางหลุนยักไหล่ เก็บห่อของกลับมา “เจ้าบอกไม่ต้องการใช่หรือไม่”
“ใช่ ไม่ต้องการ”
“หยางหวั่นซื้อมาให้เจ้า” พูดจบหยางหลุนก็หันกายจะเดินออกไปนอกประตูห้องคุมขัง
“จื่อซี” เสียงโซ่ตรวนเสียดสีกับพื้นดังมาจากด้านหลังหยางหลุน จากนั้นเสียงที่เรียกเขาก็ดังสูงขึ้นหลายส่วน “จื่อซี รอก่อน”
หยางหลุนหยุดฝีเท้า ตอนหันหน้ากลับไปเติ้งอิงก็เดินมาถึงหน้าประตูห้องคุมขังแล้ว ผู้คุมเข้ามาปิดประตูห้องคุมขัง เขาจึงถูกขวางอยู่ข้างหลัง สีหน้าดูกระสับกระส่ายยิ่ง
“ท่านอย่าเอากลับไป…”
หยางหลุนหันกายเดินกลับไปเบื้องหน้าเติ้งอิง “ผิงกั่วกับส้ม ให้เจ้ากินทุกวัน นางบอกว่าช่วยเสริมอะไรหมินๆ สักอย่าง กินแล้วผมจะไม่ร่วง”
ผิงกั่วสี่ห้าผล ส้มเจ็ดแปดผล นอนนิ่งอยู่ในห่อผ้า
หลังจากหยางหลุนไปแล้ว เติ้งอิงก็นั่งขัดสมาธิอยู่บนเสื่อหญ้าของตน ในห้องคุมขังไม่มีน้ำ เขาจึงเอามือเช็ดกับชุดนักโทษแล้วแกะส้มช้าๆ ส้มยังเขียวอยู่ เปลือกหนาเนื้อน้อย เติ้งอิงแกะออกมากลีบหนึ่งเอาใส่ปาก น้ำรสเปรี้ยวฝาดจากกลีบส้มไหลไปตามคอลงสู่กระเพาะ เขารีบหลับตาแล้วกลืนน้ำรสเปรี้ยวฝาดที่ไหลย้อนออกมาในปากกลับลงไป
แต่เขาไม่ได้วางส้มลง ยังคงหยิบใส่ปากทีละกลีบ แล้วกลืนลงไปจนหมดอย่างเงียบๆ
จากนั้นก็หยิบผิงกั่วขึ้นมาผลหนึ่ง อ้าปากกัดไปคำหนึ่ง
หนึ่งเปรี้ยวหนึ่งหวาน บอกให้รู้เป็นนัยว่า ‘เสมอกัน’
หยางหวั่นใช้ผลไม้ห่อนี้บอกเขาเหมือนไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรอยู่นอกคุกว่าเขาไม่ได้พ่ายแพ้
เติ้งอิงเอามือที่ถือผิงกั่ววางบนหัวเข่า เคี้ยวเนื้อผลไม้ที่หวานฉ่ำช้าๆ ความเบิกบานใจและความอิ่มท้องที่ได้จากอาหารก็เหมือนกับหยางหวั่นผู้นั้น ทำให้เติ้งอิงจิตใจสงบ หลายปีมานี้เขาไม่ยอมพึ่งพาความรู้ด้านวรรณกรรม ไม่กล้าอยู่ในแวดวงบัณฑิต ไม่อยากจะอาศัยอยู่ในเรือนดีๆ ไม่พร้อมใจจะกินโจ๊กที่ใส่เนื้อสับ ใช้สิ่งเหล่านี้มาตักเตือนตนเองไม่ให้ร่วมทำสิ่งเลวร้ายกับสำนักกิจการฝ่ายใน
แต่เขายินดีจะอยู่กับหยางหวั่น ยินดีจะเชื่อฟังคำพูดของนาง กินของที่ดีต่อร่างกาย นอนห่มผ้าห่มที่อบอุ่น ยามอากาศหนาวเย็นก็สวมเสื้อผ้าให้หนาหน่อย ยืนนานแล้วก็นั่งลงสักครู่…
นางเคยถอดเสื้อผ้าของเขาในห้องของเขา เคยเห็นร่างกายที่ไม่สมบูรณ์เยียบเย็นเสื่อมโทรมของเขา เคยลูบไล้บาดแผลจากการลงทัณฑ์ที่ตัวเขาเองสะอิดสะเอียน
และเพราะเหตุนี้ชีวิตความเป็นอยู่ทั้งหมดของเขาจึงถูกรื้อใหม่ ช่วงวันเวลาแห่งการแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยซึ่งเขาไม่เคยยอมเปิดเผยต่อหน้าผู้อื่นถูกหยางหวั่นประคองไว้ในมือ นางไม่ได้พยายามที่จะนำสิ่งที่เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยมาประกอบเข้าด้วยกัน นางยังคงให้เขาอยู่อย่างยากไร้ อยู่ในห้องโกโรโกโสเย็นยะเยือก เพียงปกป้องหัวใจที่สิ้นหวังต่อใต้หล้านี้ของเขา และพาตนเองเข้ามาอยู่ในชีวิตความเป็นอยู่ของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ
นางคล้ายมองชีวิตของเขาอย่างทะลุปรุโปร่งล่วงหน้าแล้ว กระทั่งสามารถเขียนอายุขัยของเขาและจุดจบได้ในคราเดียว
แต่นางกลับละทิ้งมุมมองที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ เพียงเขียนสิ่งที่เห็นในชีวิตประจำวัน ท่วงทำนองการเขียนสุขุมเยือกเย็นและเปี่ยมไปด้วยความรักอันลึกซึ้ง
เติ้งอิงกินผิงกั่วในมือทีละคำจนหมด ใช้เสื้อนวมพันข้อเท้า ห่มผ้าห่มให้ดีแล้วเอนกายลงนอนตะแคง
เปลวเทียนที่นอกห้องคุมขังบางครั้งจะมีเสียงประกายไฟที่แตกออกมาดังขึ้น เติ้งอิงฟังไปฟังมาก็เริ่มง่วงงุน เขาสอดมือเข้ามาในผ้าห่ม ความอบอุ่นค่อยๆ แผ่มาจากมือเท้าลามไปทั่วทั้งร่าง
ไม่ผิดจากที่คิด เชื่อฟังคำพูดของนาง การใช้ชีวิตก็จะไม่ยากลำบากเพียงนั้นแล้ว
รัชศกเจินหนิงปีที่สิบสี่ วันที่แปดเดือนสิบสอง
แม้หิมะจะไม่ตกหนัก แต่ลมที่แห้งและหนาวเย็นก็พัดเกล็ดหิมะบนพื้นปลิวไปทั่วดุจพายุทราย
เฉินฮว่าพาคนของหน่วยถ่านฟืนไปส่งถ่านที่ตำหนักไท่เหอ พอเดินมาถึงหน้าตำหนักก็เห็นเหล่าขันทีรับใช้กำลังกวาดหิมะอย่างรีบเร่ง
ท้องฟ้ายังไม่สว่างเต็มที่ เหล่าบ่าวรับใช้ในวังที่กำลังทำงานอยู่ในที่ต่างๆ ก็จุดโคมไฟ เครื่องเรือนในตำหนักถูกเปลวเทียนสาดส่องเป็นประกายวิบวับเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง
เจียงหมิ่นหัวหน้ากองงานพิธีการยืนอยู่ตรงระเบียงประตู ควบคุมเหล่าบ่าวรับใช้ในตำหนักจัดแท่นประทับใหม่ไว้ด้านหลังบัลลังก์
เฉินฮว่าเดินเข้าไปทำความเคารพ “หัวหน้ากองงานพิธีการเจียง”
เจียงหมิ่นหันหน้ามา “อ้อ หัวหน้าเฉินหรือ” นางขยับไปด้านข้างก้าวหนึ่งเพื่อเปิดทางแล้วพูดไปทางด้านในว่า “พวกเจ้าหยุดก่อน ให้หน่วยถ่านฟืนก่อไฟขึ้นมาแล้วค่อยทำต่อ”
“ขอบคุณหัวหน้ากองงานพิธีการเจียง”
เฉินฮว่าแสดงท่าทีให้เหล่าขันทีรับใช้ที่อยู่ด้านหลังยกถ่านเข้ามา
เข่งถ่านถูกยกเข้ามา เหล่าบ่าวรับใช้ในวังต่างหยุดมือ พากันถอยไปอยู่ใต้ระเบียง มีเพียงสองคนถือที่ปัดฝุ่นทำความสะอาดอยู่หน้าแท่นประทับใหม่
เฉินฮว่ามองแท่นประทับใหม่สองแท่นที่อยู่หลังบัลลังก์ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากขึ้น “ไม่ใช่ว่า…องค์ชายรองประชวรหนัก ฮองเฮาตำหนักกลางต้องทรงดูแลทั้งวันทั้งคืนจนพระวรกายอ่อนล้าหรือ เหตุใดวันนี้ถึงจัดแท่นประทับสองที่เล่า”
เจียงหมิ่นบอกว่า “องค์ชายรองประชวรหนักก็จริง แต่ฮองเฮาตำหนักกลางเคยพระวรกายอ่อนล้าเมื่อใดกัน”
เฉินฮว่าเอ่ยว่า “พิธีเซ่นไหว้หลังบรรจุพระศพลงหีบพระศพ ฮองเฮาไม่เคยเสด็จไปแม้แต่ครั้งเดียว”
เจียงหมิ่นไอออกมาทีหนึ่ง ไม่ได้เอ่ยตอบ
แม้หยางหลุนและขุนนางคนอื่นๆ จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตำหนักไท่เหอระหว่างการประชุมใหญ่ขุนนางที่แท่นประทับทองคำ แต่เจียงหมิ่นอยู่ในตำหนักกลับเห็นอย่างชัดเจน ในวันนั้นไทเฮาทรงโต้แย้งฮองเฮาติดต่อกันถึงสามครั้ง ทำให้พระราชโองการก่อนสวรรคตถูกยกเลิก เหออี๋เสียนถูกโบยในที่ประชุม สำนักกิจการฝ่ายในถูกจำคุก สอบสวน และลงโทษ ฮองเฮาไม่กล้าโต้แย้ง เมื่อสูญเสียการสนับสนุนจากสำนักกิจการฝ่ายใน นางจึงได้แต่หลบอยู่ในตำหนัก
“หัวหน้ากองงานพิธีการเจียง” เฉินฮว่าเอ่ยเรียกนาง
เจียงหมิ่นเม้มปากแล้วกล่าวเสียงเย็น “อย่าถามมาก”
เฉินฮว่าได้ยินแล้วก็ถูมือ ไม่ได้พูดอะไรอีก
ไม่นานนักขันทีรับใช้ของหน่วยถ่านฟืนก็ออกมารายงาน เฉินฮว่าตอบรับไปสองสามคำ จากนั้นก็หันมากล่าวลาเจียงหมิ่น แต่กลับได้ยินเจียงหมิ่นเอ่ยขึ้น
“หัวหน้าเฉินยืนอยู่ก่อน”
เฉินฮว่ายืนนิ่งอย่างหวั่นหวาด
เจียงหมิ่นไม่ได้หันหน้ามา ยังคงมองเข้าไปในตำหนักพลางกล่าวเสียงเรียบ “ท่านรู้หรือไม่ว่าวันนี้คนของสำนักกิจการฝ่ายในรอไต่สวนอยู่ที่ใด”
เฉินฮว่ามองไปทางประตูหลักคราหนึ่ง “น่าจะเปิดห้องไม้กระดานซ้ายขวาสองห้องของกองการฎีกาวสันต์ ให้พวกเขา เวลานี้คนน่าจะพาตัวไปแล้ว หัวหน้ากองงานพิธีการเจียง…” เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถามว่า “ท่านยังนึกถึง ‘ท่านบรรพชน’ ผู้นั้นอยู่กระมัง”
เจียงหมิ่นไม่ได้ส่งเสียง
เฉินฮว่าบอก “ข้าจะไม่นึกถึงบุญคุณจอมปลอมในอดีตเหล่านั้นอีกแล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องเท็จ”
เจียงหมิ่นกล่าวเสียงขรึม “นั่นเป็นท่าน”
“ไม่ใช่เพียงข้า” เฉินฮว่าเหยียดแผ่นหลังขึ้นตรง มองไปที่เจียงหมิ่นแล้วพูดอย่างจริงจัง “หัวหน้ากองงานพิธีการเจียงเองก็ไม่ควรนึกถึง ทายาทบุตรหลานล้วนเป็นความคิดที่ไร้สาระ เมื่อตัดรากเหง้าแล้วก็ไม่ควรคิดถึงความสัมพันธ์ฉันพ่อลูกอีก หลอกลวงผู้ใต้บังคับบัญชาให้ตกอยู่ในความทุกข์ยากเพียงนั้น พอเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ก็รีบโยนบุตรชายหลานชายออกไปตายไม่ใช่หรือ ข้าได้เห็นชัดเจนแล้ว นับแต่นี้จะไม่เชื่อพวกเขาและไม่กลัวพวกเขาอีก”
เจียงหมิ่นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เรื่องของหลี่อวี๋กับอวิ๋นชิง…”
เฉินฮว่าตัดบทนาง “ข้าไม่รู้ว่าระหว่างนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ อีกทั้งข้าเป็นคนขลาดกลัว ไม่กล้าถาม ไม่กล้าเรียกร้องความเป็นธรรมแทนหลี่อวี๋ แต่ข้ารู้ว่าถ้าไม่ใช่เพราะผู้บัญชาการเติ้งกับหยางกูกู เวลานี้อวิ๋นชิงก็คงเป็นเหมือนหลี่อวี๋ ต้องไปนอนอยู่ใต้ดิน”
เจียงหมิ่นฟังคำพูดเหล่านี้จบก็อ้าปากแต่ไร้เสียง แต่ในลำคอเหมือนมีเสียงสะอื้นเล็กน้อย
นางทำได้เพียงเงยหน้ามองไปทางประตูหลัก
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 25 ส.ค. 68
Comments
comments
No tags for this post.