X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักลำนำฝูหรงเคียงกระเรียน

ทดลองอ่าน ลำนำฝูหรงเคียงกระเรียน บทที่ 17.2

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 17.2 ตกปลาตามลำพังท่ามกลางสายลมและหิมะ

ที่ประตูหลักกำลังผลัดเปลี่ยนเวร

ขอบฟ้าเปลี่ยนเป็นสีขาว ดวงอาทิตย์ยามเช้าค่อยๆ โผล่ขึ้นมา แสงแดดอันอบอุ่นสาดส่องลงบนหิมะ พื้นดินเต็มไปด้วยความสว่างพร่างพราย

ประตูห้องไม้กระดานเปิดอยู่ แสงสว่างจากหิมะพุ่งเข้ามา เติ้งอิงจำต้องยกมือขึ้นบัง เงาร่างคนผู้หนึ่งขวางอยู่หน้าประตูอย่างเหมาะเจาะ ยามนี้คนผู้นี้ยืนหันหลังให้แสง ทำให้มองเห็นใบหน้าไม่ชัด

“ไม่ต้องควบคุมตัวเขา ให้เขาเดินเอง”

เสียงของคนผู้นั้นไม่ดัง แต่องครักษ์กองกำลังลาดตระเวนกับทหารของกองกำลังหมิงจย่าต่างปฏิบัติตามคำพูดของเขา ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

คนผู้นั้นเดินเข้ามาในห้อง แสงสว่างเลือนหายไปจากร่างของเขา เติ้งอิงเห็นใบหน้าของเขาชัดแล้ว จึงเอามือยันหัวเข่ายืนขึ้น ประสานมือค้อมกายคารวะ

“ใต้เท้าจาง”

จางลั่วเดินมายังเบื้องหน้าเขา ยกมือขึ้นปลดดาบที่เอวออกมาวางลงบนโต๊ะแล้วประสานมือคารวะตอบ จากนั้นเหยียดกายขึ้นผูกดาบ เอ่ยเสียงเยียบเย็นตามปกติ

“ไป”

เติ้งอิงเดินออกจากห้องไม้กระดานอย่างเชื่อฟัง ดวงอาทิตย์ยามเช้าโผล่พ้นขอบฟ้าแล้ว จางลั่วสั่งเขาให้ยืนรอก่อน

ครู่หนึ่งห้องไม้กระดานที่อยู่ด้านข้างก็เปิดประตู คนของสำนักกิจการฝ่ายในกลุ่มหนึ่งก็ถูกพาตัวออกมา

พวกเขาต่างถูกทัณฑ์ทรมานมาแล้ว บางคนเดินไม่ไหวด้วยซ้ำ ถูกทหารที่เปี่ยมพละกำลังขององครักษ์เสื้อแพรฉุดดึง เดินโซซัดโซเซไปทางสะพานจินสุ่ย เหออี๋เสียนสูงวัยไร้เรี่ยวแรง แทบจะถูกลากเดินไปตลอดทาง โซ่ตรวนที่เท้าลากผ่านพื้นหิมะทำให้เกิดเสียงแหลมสูง

แม้เติ้งอิงจะสวมชุดนักโทษเช่นกัน แต่เสื้อผ้าครบถ้วน สะอาดสะอ้านเรียบร้อย

จางลั่วและคนอื่นๆ เดินห่างออกไปสามฉื่อ โอนอ่อนผ่อนตามจังหวะการก้าวเดินของเขา ไม่ได้ด่าว่าหรือเร่งรัด

เติ้งอิงไม่ได้มองเหออี๋เสียน เขาเงยหน้ารับแสงอาทิตย์ที่เจิดจ้า มองไปบนตำหนักไท่เหอ

หัวมังกรหินแกะสลักใต้ราวกั้นหยกขาวถูกเช็ดถูจนสะอาดสะอ้าน มังกรนับพันเงยหน้า มองผู้สร้างที่สวมชุดนักโทษอยู่บนร่างผู้นี้

เติ้งอิงอดยิ้มจางๆ ไม่ได้

ในช่วงที่ชีวิตตกต่ำไม่มีใครลบหลู่เหยียดหยามเขา ไม่ว่าจะเป็นฉีไหวหยางหรือจางลั่ว คนที่ควบคุมดูแลกฎหมายอาญาของอาณาจักรต้าหมิงเหล่านี้ต่างดูแลเกียรติและศักดิ์ศรีของเขาในขอบเขตที่ตนเองทำได้

ฤดูหนาวที่หนาวเย็นเงียบสงัดไร้ขอบเขต ทว่าวาสนาเล็กๆ น้อยๆ นับไม่ถ้วนกลับพุ่งมาที่เขาจากทั่วทั้งสี่ทิศแปดทาง

ความไม่อาจตัดใจของอาจารย์ มิตรภาพของสหายสนิท ความเคารพนับถือของคู่ต่อสู้ล้วนทำให้เขามีความสบายใจจากใจจริง

แน่นอนยังมีหยางหวั่นของเขา…

นางสวมชุดไว้ทุกข์สีเรียบ ยืนอยู่ด้านล่างของหน้ามุข ปล่อยมือที่ประสานกันอยู่ตรงหน้าท้องแล้วโบกน้อยๆ ให้เขา รอเขาเดินมาใกล้แล้วจึงยืนอย่างเรียบร้อยอีกครั้งพลางอมยิ้มกวาดตามองเขาขึ้นๆ ลงๆ

“ผิงกั่วกับส้มกินแล้วหรือยัง”

“กินแล้ว”

“เติ้งอิง” เสียงของจางลั่วขัดจังหวะคำพูดของเติ้งอิง

เติ้งอิงก้มหน้าหยุดพูด

จางลั่วหันกายเดินเข้าไปใกล้หยางหวั่นก้าวหนึ่ง กล่าวเสียงจริงจัง “ไม่อาจพูดคุยกับนักโทษนอกตำหนัก”

“เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอพูดกับใต้เท้าจางสักสองสามคำจะได้หรือไม่”

จางลั่วงงงัน กดเสียงลงต่ำสามส่วนอย่างเห็นได้ชัด “พูดมา”

หยางหวั่นถอยหลังไปก้าวหนึ่ง คารวะจางลั่วตามมารยาทสตรีอย่างจริงจัง

“ทำอะไร”

หยางหวั่นเหยียดกายขึ้นตรง “ขอบคุณใต้เท้าที่ให้เขาเดินมาบนถนนสายนี้ด้วยตนเอง”

จางลั่วกดด้ามดาบ เบือนหน้าหลบสายตาของหยางหวั่น “ใน ‘กฎหมายต้าหมิง’ มีเรื่อง ‘ความเห็นอกเห็นใจต่อนักโทษ’ อยู่ข้อหนึ่ง เขาไม่มีท่าทีขัดขืน เดิมทีก็ไม่จำเป็นต้องลากตัวมา”

“อืม” หยางหวั่นพยักหน้าน้อยๆ “หยางหวั่นได้รับการสั่งสอนแล้ว”

จางลั่วไม่พูดอะไรอีก หันกายจะเดินจากไป แต่กลับได้ยินหยางหวั่นเรียกเขาอีก

“ใต้เท้าจาง ท่านชอบกินส้มหรือผิงกั่ว”

จางลั่วงุนงง หันกลับมาถาม “เจ้าถามข้าว่าอะไร”

“ข้าอยากจะส่งของกำนัลไปให้ท่าน” นางพูดออกไปตรงๆ อย่างไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น “แต่ข้าคาดเดาว่าถ้ามอบของอย่างอื่นให้ใต้เท้าจางจะต้องถูกใต้เท้าลงโทษในความผิด ‘ติดสินบน’ ดังนั้นข้าจึงจะซื้อผลไม้ส่งไปให้ใต้เท้ากิน” พอพูดจบก็ถามซ้ำอีกครั้ง “ท่านชอบกินส้มหรือผิงกั่ว”

จางลั่วจะปฏิเสธนาง แต่ทั้งที่เขาอ้าปากแล้ว ทว่าคำพูดที่ควรพูดกลับพูดไม่ออก

“เติ้งอิง”

จางลั่วหันกายไป เติ้งอิงประหลาดใจ แต่ยังคงขานรับ…

“ข้าอยู่”

“เจ้าชอบกินส้มหรือผิงกั่ว” จู่ๆ เขาก็ย้อนถามเติ้งอิง

“ผิงกั่ว”

“อ้อ” จางลั่วนิ่งเงียบไปชั่วขณะแล้วกล่าวกับหยางหวั่น “เอาส้ม”

หยางหวั่นพยักหน้า “ได้ พรุ่งนี้ข้าจะไหว้วานให้ท่านพี่ส่งไปที่จวนของใต้เท้าจาง”

เพิ่งกล่าวจบก็มีเสียงหวดแส้ดังมาจากใต้สะพานจินสุ่ย ขบวนเสด็จขององค์ชายอี้หลางเคลื่อนมา ประตูฮุ่ยจี๋ทางด้านตะวันตกก็เปิดแล้ว เหล่าขุนนางในสภาขุนนาง เสนาบดีศาลยุติธรรม ผู้ตรวจการของสำนักตรวจการฝ่ายซ้ายฝ่ายขวา และคนอื่นๆ ต่างจัดเสื้อผ้าหมวกให้เรียบร้อยที่หน้าประตู จากนั้นก็เดินข้ามประตูไปยังตำหนักไท่เหอ หยางหวั่นเดินไปทางขบวนเสด็จขององค์ชายอี้หลาง จางลั่วและคนอื่นๆ ต่างก็คุกเข่าลงรับเสด็จ

องค์ชายอี้หลางขึ้นไปบนตำหนักเข้านั่งประจำที่แล้วเชิญไทเฮากับฮองเฮาทั้งสองเข้ามาในตำหนัก

จางลั่วยืนขึ้น เหลือแต่เติ้งอิงกับเหล่าขันทีของสำนักกิจการฝ่ายในที่ยังคุกเข่าอยู่

ไม่นานนักไทเฮาและฮองเฮาก็ขึ้นไปบนตำหนัก ชิงเหมิงวิ่งลงมาจากบันไดสีแดง ถ่ายทอดรับสั่งว่า “มีรับสั่งเรียกขุนนางทั้งหลายพร้อมทั้งสำนักกิจการฝ่ายในขึ้นไปบนตำหนัก”

การไต่สวนผู้กระทำผิดร้ายแรงเบื้องพระพักตร์ที่ตำหนักไท่เหอครั้งนี้แตกต่างจากการประชุมใหญ่ขุนนางที่แท่นประทับทองคำ ไม่ได้เรียกขุนนางในเมืองหลวงเข้าวัง มีเพียงผู้ช่วยราชเลขาธิการในสภาขุนนางไม่กี่คนและหัวหน้าสามตุลาการเท่านั้นที่เข้าร่วม ในตำหนักที่ด้านหลังบัลลังก์ก็ไม่ได้แขวนม่าน ไทเฮาสวมชุดปกติประทับอยู่ทางขวาขององค์ชายอี้หลาง ส่วนฮองเฮาใบหน้าซีดเซียว แม้จะแต่งตัวอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็ไม่อาจบดบังความเจ็บป่วยบนใบหน้าได้ นางก้มหน้าเงียบอยู่ตลอดเวลา กระทั่งได้ยินเสียงโซ่ตรวนลากพื้นดังมาจากนอกตำหนักจึงเหลือบตาขึ้นมาช้าๆ

เหออี๋เสียนและคนอื่นๆ ถูกควบคุมตัวเข้ามาในตำหนัก หมอบอยู่ใต้เตากำยานหัวมังกร

เหออี๋เสียนไม่สามารถคุกเข่าขึ้นมาได้ องครักษ์เสื้อแพรจึงต้องยกร่างกายส่วนบนของเขาขึ้นมา ฟันของเขาหายไปหลายซี่เนื่องจากการไต่สวนด้วยทัณฑ์ทรมาน หน้าผากบวมช้ำ ชุดนักโทษขาดรุ่งริ่ง แขนห้อยอยู่บนมือขององครักษ์เสื้อแพรอย่างไร้เรี่ยวแรง

พอเห็นไทเฮา เขาเพียงยิ้มอย่างจืดเจื่อนพลางไอหอบออกมา ไม่ได้พูดอะไร กลับเป็นหูเซียงที่อยู่ข้างหลังเขาคลานเข่าไปข้างหน้าหลายก้าว หมอบอยู่ข้างเหออี๋เสียน เอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าเวทนา

“ไทเฮา…” พูดจบก็ยกโซ่ตรวนก้มศีรษะลงร้องไห้สะอึกสะอื้น

“พอแล้ว ท่าทางเหมือนอะไร” ไทเฮาตำหนิเขาเบาๆ ยกมือขึ้นแสดงท่าทีให้องครักษ์เสื้อแพรถอยออกไป นางส่ายหน้าแล้วถอนหายใจคราหนึ่ง กล่าวกับไป๋อวี้หยางว่า “เพราะบ่าวไพร่เหล่านี้ไม่ยอมสารภาพ พวกท่านจึงใช้ทัณฑ์ทรมานหรือ”

ไป๋อวี้หยางตอบ “พ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมใช้ทัณฑ์ทรมานตามกฎหมาย”

“พวกเขายอมรับผิดแล้วหรือยัง”

ไป๋อวี้หยางบอก “หูเซียงและคนอื่นๆ สารภาพแล้ว เหออี๋เสียนพลิกคำให้การหลายครั้ง คำพูดของเขาไม่น่าเชื่อถือพ่ะย่ะค่ะ”

ไทเฮามองเติ้งอิงคราหนึ่ง “คนผู้นี้เล่า”

“เติ้งอิง…” ไป๋อวี้หยางนิ่งเงียบไปชั่วขณะ “คนผู้นี้ไต่สวนมาสามครั้งล้วนไม่เปลี่ยนคำให้การ ขุนนางสามตุลาการผู้ไต่สวนเห็นว่าคำให้การของเขาเชื่อถือได้จึงไม่ได้ใช้ทัณฑ์ทรมานพ่ะย่ะค่ะ”

ไทเฮาขมวดคิ้ว “พวกเขาทำความผิดร้ายแรง พวกท่านลงโทษพวกเขาตามกฎหมาย นี่ก็ไม่มีอะไร แต่…” ไทเฮาชี้ไปที่เหออี๋เสียน “ในบรรดาพวกเขาเหล่านี้บางคนเคยติดตามปรนนิบัติรับใช้อดีตฮ่องเต้ ดวงวิญญาณของอดีตฮ่องเต้ยังจากไปไม่ไกล ถึงพวกเขาจะมีความผิดถึงตาย แต่ก่อนจะถูกลงโทษ พวกท่านก็ไม่ควรทำให้พวกเขาดูน่าอนาถเกินไปนัก”

ไป๋อวี้หยางกับหยางหลุนสบตากันคราหนึ่ง ต่างไม่ได้เอ่ยวาจา

ตอนฮ่องเต้เจินหนิงอยู่ในอำนาจ แม้ขุนนางวาจา จะยื่นฎีกากล่าวโทษขันทีที่ไปรับตำแหน่งในท้องถิ่น พวกเขาก็จะไม่ได้รับการพิจารณาไต่สวนและตัดสินโดยตุลาการท้องถิ่น ส่วนใหญ่จะให้องครักษ์เสื้อแพรควบคุมตัวเข้าเมืองหลวง มอบให้กองเจิ้นฝู่เหนือไต่สวนความผิด นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ‘เรื่องภายในของราชวงศ์’ ในวันประชุมใหญ่ขุนนางที่แท่นประทับทองคำ ขุนนางในเมืองหลวงก็เข้าร่วมประชุมด้วย ภายใต้แรงกดดันของเหล่าขุนนาง ไทเฮาจึงจำต้องเห็นชอบให้โบยขันทีในที่ประชุม แต่นั่นก็เป็นการลงโทษบ่าวไพร่โดยผู้เป็นนายในราชสำนักฝ่ายใน ย่อมแตกต่างจากการไต่สวนด้วยทัณฑ์ทรมานของกรมอาญา

คำถามของหยางหวั่นที่ว่า ‘คดีอาญาและความลับของราชสำนักที่ไม่เปิดเผยให้ใครรู้มีเส้นแบ่งที่ชัดเจนหรือไม่’ ชี้ไปที่จุดสำคัญของเรื่องนี้พอดี

เวลานี้เหล่าขุนนางต่างไม่สะดวกจะพูดจา

หยางหลุนเห็นองค์ชายอี้หลางกำลังมองตนอยู่ จึงพยักหน้าน้อยๆ ให้เขา

องค์ชายอี้หลางยืนขึ้นทันทีแล้วหันไปทางไทเฮา “เสด็จย่า ความผิดที่พวกเขาทำคือทำลายรากฐานของบ้านเมือง ไม่อาจชดเชยได้ด้วยความดีความชอบ ไม่อาจให้ความเมตตาได้”

ไทเฮาฟังแล้วก็ไม่ได้โต้แย้งคำพูดขององค์ชายอี้หลางและไม่ได้ถามอะไรไป๋อวี้หยางอีก นางเอนพิงพนักแล้วเอ่ยขึ้น

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะไม่พูดมากแล้ว ฮ่องเต้ถามเถิด”

ไทเฮาเพิ่งจะกล่าวจบ เหออี๋เสียนก็ไอออกมาอย่างหนัก ขุนนางที่อยู่ในที่นี้ต่างชำเลืองมองมาที่เขา เขาไอจนนัยน์ตาเต็มไปด้วยเส้นโลหิตแดงฉาน สั่นระริกไปทั้งร่าง ถ้าไม่ใช่ถูกคนจับตัวไว้ เกรงว่าคงล้มคว่ำไปกับพื้นนานแล้ว

องครักษ์เสื้อแพรจับปลายคางของเขาขึ้นมา ลำบากไม่น้อยกว่าจะหยุดเสียงไอของเขาได้ ตัวเหออี๋เสียนเองก็อ้าปากหุบปากผ่อนคลายอยู่พักใหญ่แล้วจึงเงยหน้าขึ้น กล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง

“ไทเฮา พระองค์ทรงถามมาเถิด…พระองค์ทรงถามบ่าวยังพอพูดได้หลายคำ บ่าวแก่ชราแล้ว ถูกไม้พลองกระทบร่างก็กลัวแล้ว ผู้อื่นบอกให้พูดอะไรก็ต้องพูดตามนั้น พระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์เฒ่า ยามประทับอยู่เบื้องหน้าบ่าว ในใจบ่าว…ก็ไม่กลัวมากเพียงนั้น…”

ไทเฮาไม่ได้ปฏิเสธความรู้สึกของเขา เพียงกล่าวเสียงเรียบ…“พูดมาเถิด ข้ากับฮ่องเต้ฟังอยู่”

เหออี๋เสียนดิ้นรนคลานเข่าไปข้างหน้าแล้วเงยหน้าขึ้น “ไทเฮา บ่าวเป็นบ่าวไพร่ที่พระองค์ทรงเลือกให้อดีตฮ่องเต้ด้วยพระองค์เอง ปรนนิบัติรับใช้อดีตฮ่องเต้มาหลายสิบปี พระทัยของอดีตฮ่องเต้สำคัญกว่าชีวิตของบ่าว บ่าวจะปลอมแปลงพระราชโองการก่อนสวรรคต ทรยศต่ออดีตฮ่องเต้ได้อย่างไร…” เขาพูดพลางมองไปทางหยางหลุนและคนอื่นๆ “ผู้ที่ปลอมแปลงพระราชโองการก่อนสวรรคตที่แท้จริงก็คือสภาขุนนาง!”

“หุบปาก!” ไป๋อวี้หยางตวาด “ในการไต่สวนของสามตุลาการเจ้ายอมสารภาพแล้ว เหตุใดยังกล้ากลับคำในตำหนักอีก!”

เหออี๋เสียนแค่นหัวเราะออกมา “แล้วเหตุใดบ่าวถึงยอมรับสารภาพเล่า…” จากนั้นก็ยื่นมือสั่นเทาไปทางไป๋อวี้หยาง “ผู้ช่วยราชเลขาธิการสภาขุนนางจะรัดมือทั้งสองข้างของบ่าวจนเกือบขาด บ่าวอยู่ในศาล…หมดสติไปหลายครั้ง จะไม่ยอมสารภาพได้หรือ ไทเฮา…” เขาพูดไปพลางกลืนฟองโลหิตในปากไปพลางแล้วหันหน้ามองไปทางไทเฮา “อดีตฮ่องเต้ยังไม่ได้เคลื่อนพระศพ ทุกอย่างในราชสำนักยังทอดพระเนตรเห็น…ปณิธานของพระองค์ไม่ได้รับการสืบทอดต่อไป กลับถูกฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม…ถูกฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม…”

พอพูดมาถึงตรงนี้เขาก็พูดไปหลั่งน้ำตาไป สั่นเทาไปทั้งร่าง จากนั้นก็เงยหน้าคร่ำครวญ

“ฝ่าบาท บ่าวผู้เฒ่าสมควรตาย ได้แต่มองดูชื่อเสียงของพระองค์ถูกทำให้แปดเปื้อน พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถเพียงนั้น แต่กลับถูกพวกเขาบีบบังคับ ต้องทบทวนความผิดของตนฐานปลอมแปลงพระราชโองการก่อนสวรรคต…ฝ่าบาท…บ่าวปวดใจยิ่งนัก…”

กลุ่มคนของสำนักกิจการฝ่ายในฟังคำพูดเหล่านี้จบก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นตามไปด้วย ชั่วขณะนั้นในตำหนักมีเสียงร่ำไห้ดังขึ้นเป็นระยะ จากนั้นก็เริ่มมีเสียงเรียกร้องความเป็นธรรมดังขึ้นมา

“เรียกร้องความเป็นธรรมเช่นนี้ จะให้เสด็จพ่อลงโทษเราหรือ พวกเจ้าเอาความกล้ามาจากที่ใด!”

พอสิ้นเสียง ทุกคนก็เงียบทันที

องค์ชายอี้หลางลุกขึ้นยืน ก้มหน้ามองไปที่เติ้งอิง “ผู้บัญชาการสำนักบูรพาแก้ต่างให้ตนเองได้”

เติ้งอิงสองมือวางแนบพื้น หมอบร่างโขกศีรษะคราหนึ่งแล้วจึงเหยียดกายขึ้นตรง “เรื่องที่ควรพูดบ่าวได้พูดในศาลของสามตุลาการแล้ว ไม่มีอะไรจะแก้ต่างพ่ะย่ะค่ะ”

องค์ชายอี้หลางเอ่ยขึ้นอีก “เช่นนั้นเรามีเรื่องหนึ่งจะถาม”

“พ่ะย่ะค่ะ”

“ผู้บัญชาการสำนักบูรพารู้ทั้งรู้ว่ามีโทษประหาร เพราะเหตุใดยังยอมรับสารภาพ”

เติ้งอิงหลุบตาลง “เดิมทีบ่าวก็เป็นบุตรของขุนนางผู้กระทำความผิด ได้รับพระเมตตาจากอดีตฮ่องเต้จึงรักษาชีวิตเอาไว้ได้ บ่าวไม่อาจผิดต่อพระเมตตาของอดีตฮ่องเต้ องค์ชายรองยังทรงพระเยาว์และประชวรอ่อนแอ หากขึ้นครองราชย์ บัลลังก์ก็ต้องตกอยู่ในมือของสำนักกิจการฝ่ายใน ถ้าสภาขุนนางกับสำนักกิจการฝ่ายในเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน บ้านเมืองก็สงบมั่นคงได้ แต่บ่าวรับตำแหน่งขันทีผู้บัญชาการสำนักบูรพามาสามปีพลอยทำเรื่องที่กดขี่บีบคั้นขุนนางในสภาขุนนางมามากมาย คดีสมคบกับวอโค่วเปิดโรงเกลือส่วนตัว บ่าวได้คุมขังลงโทษราชบัณฑิตไป๋ ถูกผู้คนนับพันชี้หน้าด่าว่าด้วยความคับแค้นขุ่นเคือง ทำให้ชื่อเสียงดีงามของอดีตฮ่องเต้เสื่อมเสีย บ่าวตายหมื่นครั้งก็ยากจะชดใช้ความผิดของตน ไทเฮา…” เขาพูดพลางเงยหน้าขึ้น “ถ้าบ่าวยังมีชีวิตอยู่จะให้เหล่าขุนนางในสภาขุนนางจิตใจสงบได้อย่างไร หากพวกเขาจิตใจไม่สงบ จะช่วยฮ่องเต้ที่ยังทรงพระเยาว์บริหารราชการแผ่นดิน ทำให้อาณาจักรต้าหมิงสงบสุขได้อย่างไร บ่าวมีความผิด ไม่กล้าร่ำไห้รบกวนดวงวิญญาณของอดีตฮ่องเต้ แต่บ่าวก็ปวดใจอย่างยิ่งเช่นกัน รู้สึกละอายใจและแค้นใจที่เพียงเพราะผลประโยชน์ส่วนตน ถึงกับทำให้มิตรภาพระหว่างฮ่องเต้กับขุนนางของอดีตฮ่องเต้และเหล่าขุนนางในสภาขุนนางต้องบอบช้ำถึงขั้นนี้”

คำพูดเหล่านี้ของเขาชี้ให้เห็นถึงความเกี่ยวเนื่องกันระหว่างฮ่องเต้ สภาขุนนาง และสำนักกิจการฝ่ายในเบื้องพระพักตร์ไทเฮา แม้เขาจะรวมตนเองเข้าไปอยู่ในกลุ่มสำนักกิจการฝ่ายใน แต่นี่ก็เป็นคำพูดจากส่วนลึกของหัวใจ ประโยคที่ว่า ‘ถ้าบ่าวยังมีชีวิตอยู่จะให้เหล่าขุนนางในสภาขุนนางจิตใจสงบได้อย่างไร หากพวกเขาจิตใจไม่สงบ จะช่วยฮ่องเต้ที่ยังทรงพระเยาว์บริหารราชการแผ่นดิน ทำให้อาณาจักรต้าหมิงสงบสุขได้อย่างไร’ นี้ชี้จุดตายของสำนักกิจการฝ่ายในโดยตรง

เหออี๋เสียนฟังคำพูดเหล่านี้จบก็กลืนน้ำลายอย่างสิ้นหวัง

“ด้วยเหตุนี้ผู้บัญชาการสำนักบูรพาจึงร้องขอความตายหรือ”

เติ้งอิงสั่นศีรษะ “บ่าวหาได้ร้องขอความตาย แต่สมควรตาย”

ในตำหนักไม่มีใครส่งเสียง หยางหลุนก้าวออกมากล่าวอย่างเหมาะแก่เวลา “ไทเฮา คดีนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้พระองค์ใหม่และเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของสภาขุนนาง การไต่สวนเบื้องพระพักตร์ในวันนี้ สำนักกิจการฝ่ายในได้กลับคำให้การในตำหนัก กล่าวหาว่าถูกสามตุลาการไต่สวนด้วยทัณฑ์ทรมาน ถูกบีบบังคับให้ต้องรับสารภาพ กระหม่อมเห็นว่าควรกำหนดขุนนางผู้ไต่สวนคดีในสามตุลาการใหม่และส่งคดีนี้กลับไป”

ไป๋อวี้หยางฟังคำพูดนี้แล้วก็หันไปมองหยางหลุนอย่างนึกไม่ถึง “รองเสนาบดีหยาง คำพูดนี้ของท่านเป็นคำพูดอะไร คดีที่ไต่สวนเสร็จสิ้นไปแล้วจะส่งกลับไปไต่สวนใหม่ได้อย่างไร”

องค์ชายอี้หลางหันมากล่าวกับไทเฮา “เสด็จย่า เราก็เห็นว่าควรส่งกลับไปไต่สวนใหม่”

ไทเฮาเอ่ยถาม “ฮ่องเต้ นี่พระองค์กำลังตั้งคำถามกับตนเองหรือ”

องค์ชายอี้หลางไม่ได้ตอบ

ไทเฮาถอนหายใจคราหนึ่ง “พาพวกเขาออกไป ข้ามีคำพูดจะพูดกับผู้ช่วยราชเลขาธิการสภาขุนนางทุกท่าน”

องครักษ์เสื้อแพรรับคำสั่งแล้วก้าวเข้ามา นำตัวคนของสำนักกิจการฝ่ายในและเติ้งอิงออกไปด้วยกัน

ในตำหนักเหลือเพียงเหล่าขุนนางในสภาขุนนางอย่างหยางหลุน ไป๋อวี้หยาง และอีกไม่กี่คน

ไทเฮายืนขึ้น จูงมือองค์ชายอี้หลางเดินลงมาจากด้านหลังบัลลังก์ เหล่าขุนนางก็รีบถวายบังคมอีกครั้ง

นางชำเลืองมององค์ชายอี้หลาง องค์ชายอี้หลางก็เข้าใจทันที “ไม่ต้องมากพิธี”

ไทเฮาปล่อยมือองค์ชายอี้หลางแล้วกล่าวกับหยางหลุน “เติ้งอิง มีคำพูดประโยคหนึ่งที่กล่าวได้ถูกต้อง ถ้าสภาขุนนางกับสำนักกิจการฝ่ายในเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน บ้านเมืองก็สงบมั่นคงได้ ข้ารู้ เหออี๋เสียนสร้างปัญหาให้ราชสำนักมานานหลายปี พวกท่านต่างชิงชังเขา เขาเองก็สมควรตาย แต่ไม่อาจสังหารคนของสำนักกิจการฝ่ายในทั้งหมด หาไม่ผู้ใดจะควบคุมดูแลพระราชลัญจกร ผู้ใดจะนำส่งกระดาษปิดหน้าหนังสือ หลานชายของข้ายังเล็ก พวกท่านคงไม่คุมตัวฮ่องเต้ไปฟังการทูลข้อราชการในห้องทำงานของสภาขุนนางกระมัง”

เหล่าขุนนางรีบบอก “พวกกระหม่อมมิกล้า”

ไทเฮาโบกมือแสดงเจตนาให้เหล่าขุนนางลุกขึ้นแล้วเอยว่า “ในเมื่อพระราชโองการก่อนสวรรคตได้ประกาศออกไปแล้ว อ๋องปกครองแคว้นศักดินาในที่ต่างๆ ก็รับทราบแล้ว ไม่จำเป็นต้องแก้ไขอะไรอีก บทความที่พวกท่านเขียนแทนอดีตฮ่องเต้ ข้าก็ได้อ่านแล้ว บางเรื่องก็เป็นความผิดของอดีตฮ่องเต้จริงๆ พวกท่านเป็นขุนนาง ถ้าจะชี้ข้อบกพร่องออกมาก็ไม่มีอะไรให้ตำหนิได้ ทว่าข้าผู้เป็นมารดาจะขอกล่าวคำพูดจากใจจริงกับพวกท่านสักคำ ในสายตาของข้าบ้านเมืองเป็นอันดับหนึ่ง ชื่อเสียงของราชวงศ์รองลงมา ข้ายอมให้พวกท่านเพียงครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น ส่วนหลานชายของข้า พวกท่านอบรมสั่งสอนเขามาจนเติบใหญ่ เขาเพิ่งจะสืบทอดตำแหน่งฮ่องเต้ ไม่อาจแปดเปื้อนสิ่งสกปรกโสมมแม้แต่น้อยนิด คดีปลอมแปลงพระราชโองการก่อนสวรรคต ถ้าให้อ๋องทั้งหลายในดินแดนศักดินารู้เข้าก็จะฉวยโอกาสนี้ก่อความวุ่นวายขึ้น เขาจะยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองอย่างไร ก่อนหน้านี้ข้าทำตามความต้องการของพวกท่าน ให้สามตุลาการไต่สวนพิจารณาคดีนี้ พวกท่านก็ไต่สวนออกมาแล้ว แต่กลับไม่คำนึงถึงฐานะของราชวงศ์ พวกท่านเป็นขุนนางใกล้ชิดผู้ช่วยบริหารราชการแผ่นดิน นอกจากเป็นขุนนางแล้วยังเป็นอาจารย์ของฮ่องเต้ พวกท่านไม่อาจคำนึงถึงแต่ความแค้นเคืองระหว่างพวกท่านกับสำนักกิจการฝ่ายในแล้วผลักฮ่องเต้ไปอยู่ในจุดที่ไม่สะอาดบริสุทธิ์”

เหล่าขุนนางฟังคำพูดเหล่านี้จบต่างก็คุกเข่าลงอีกครั้ง

หยางหลุนโขกศีรษะแล้วเอ่ยว่า “กระหม่อมละอายใจยิ่ง ขอไทเฮาทรงให้ความกระจ่าง”

ไทเฮาบอกว่า “แม้ข้าจะรู้ไม่มากเท่าพวกท่าน แต่ถึงอย่างไรก็อยู่อย่างไร้ประโยชน์มานานเพียงนี้แล้ว หากพวกท่านจะให้ข้าพูด ข้าก็จะขอล่วงเกินพูดสักคำ จะฟังหรือไม่ก็แล้วแต่พวกท่าน”

เหล่าขุนนางกล่าวขึ้นพร้อมกัน “ไทเฮาโปรดพระราชทานโอวาท”

ไทเฮาโอบองค์ชายอี้หลางไว้ข้างหน้าตนพลางเอ่ยว่า “ว่าตามกฎระเบียบ อดีตฮ่องเต้สวรรคตกะทันหัน สภาขุนนางจะเป็นผู้ร่างพระราชโองการแทน ในเมื่อพวกท่านร่างไปแล้ว นั่นก็คืออดีตฮ่องเต้ไม่ได้ทิ้งพระราชโองการก่อนสวรรคตเอาไว้ นับแต่นี้คดีปลอมแปลงพระราชโองการก่อนสวรรคตไม่ต้องพิจารณาอีก กรมอาญาก็ไม่ต้องเก็บหลักฐานทางคดีนี้ไว้อีก”

ไป๋อวี้หยางอดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ “ไทเฮาทรงหมายความว่า…จะลบล้างคดีนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ใช่แล้ว ลบล้างคดี” ไทเฮากล่าวจบก็จูงองค์ชายอี้หลางเดินกลับไปที่แท่นประทับแล้วกล่าวต่อ “ส่วนเหออี๋เสียนจะประหารอย่างไรให้กองเจิ้นฝู่เหนือเป็นผู้กำหนด คนอื่นๆ ในสำนักกิจการฝ่ายในก็เช่นกัน ล้วนไม่อาจรั้งอยู่ที่กรมอาญา คุมตัวส่งไปที่คุกหลวงทั้งหมด ให้กองเจิ้นฝู่เหนือไต่สวนให้กระจ่าง ควรประหารก็ประหาร ควรจองจำก็จองจำ ควรปล่อยตัวก็ปล่อยตัว” พอกล่าวจบนางก็ตบแขนฮองเฮาเบาๆ “เจ้าเห็นอย่างไร”

นับแต่เหออี๋เสียนถูกพาตัวออกไป ฮองเฮาก็นั่งเหม่อลอยอยู่ที่แท่นประทับมาโดยตลอด เวลานี้จู่ๆ ถูกไทเฮาตบแขน ลมหายใจก็หยุดชะงักไปครึ่งจังหวะ นั่งตัวตรงด้วยความหวั่นหวาดแล้วตอบรับอย่างคลุมเครือ

“เพคะ”

ไทเฮามองนางพลางส่ายหน้า จากนั้นก็หันไปมองไป๋อวี้หยาง ทว่าไม่ได้พูดออกมาทันที พักหนึ่งจึงละสายตากลับมา พูดอย่างตรงไปตรงมายิ่ง

“เสนาบดีไป๋ ในใจท่านรู้สึกไม่เป็นธรรมใช่หรือไม่”

ไป๋อวี้หยางตกตะลึง ก้มหน้าบอกว่า “กระหม่อมมิกล้า”

“มีอะไรมิกล้า”

ไทเฮาเงยหน้ามองไปนอกตำหนักไท่เหอ ปุยเมฆบนท้องฟ้าเคลื่อนไปมา แสงอาทิตย์ส่องทะลุช่องว่างของชั้นเมฆที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา คล้ายกระบี่ที่สาดแสงเจิดจ้าเป็นเล่มแทงทะลุลงมาบนหน้ามุขของตำหนักไท่เหอ

ไทเฮากล่าวต่อ “ป้ายเหล็กของปฐมฮ่องเต้บอกไว้ว่าขันทีไม่อาจเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง ตอนที่ข้ายังเด็กเคยได้ยินว่าปฐมฮ่องเต้ได้ตัดเอวโจวผิงขันทีสำนักกิจการฝ่ายในขาดเป็นสองท่อนเพราะรับสินบนด้วยเงินสามสิบตำลึง บัดนี้กลับยากยิ่งที่จะได้ยินเรื่องเช่นนี้อีก พวกท่านรู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด”

คำถามนี้แม้จะถามเหล่าขุนนาง แต่กลับไม่มีใครกล้าตอบ

ไทเฮาหัวเราะออกมาแล้วอธิบาย “ยามทรัพย์สินในครอบครัวพวกท่านมากขึ้น มีบุตรหลานเพิ่มขึ้น การกินอยู่และเสื้อผ้าไม่ต้องการคนทำงานให้หรือ แม้จะเป็นขุนนางมือสะอาด ไม่ต้องการความหรูหราใหญ่โตจอมปลอมเหล่านั้น แต่ตัดใจให้คนในครอบครัวต้องลำบากไปด้วยได้หรือ เป็นขุนนางเหน็ดเหนื่อยมาทั้งชีวิต จู่ๆ มีคนภายนอกผู้หนึ่งมาตำหนิคนในบ้านท่านว่าฟุ่มเฟือย จะให้ท่านไล่บ่าวไพร่ออกไปทั้งหมด พวกท่านลองถามใจตนเองดู นี่ทำได้หรือไม่”

ทุกคนมองหน้ากันไปมา

ไทเฮาทอดถอนใจ “ข้าอายุมากแล้ว ถ้าไม่ใช่ผู้อาวุโส หลายท่านบังคับให้ข้าออกมาพูดข้าก็ไม่อยากพูด แต่ในเมื่อพวกท่านอยากฟังข้าพูดปรามในตำหนักแห่งนี้สักสองสามคำ ข้าก็ขอพูดอย่างจริงใจกับพวกท่าน พวกท่านล้วนเป็นขุนนางที่เปรียบเสมือนกระดูกต้นแขนของอาณาจักรต้าหมิง ต้องแบกรับความไม่เป็นธรรมเพื่อบ้านเมือง ข้าล้วนเห็นอยู่ในสายตา เรื่องที่ไม่อาจจัดการได้ในเวลานี้ข้าต้องขออภัยพวกท่าน ฮ่องเต้ยังเล็ก หากค่อยๆ สอนอีกไม่นานก็จะเป็นใต้หล้าแห่งใหม่แล้วมิใช่หรือ”

เหล่าขุนนางฟังคำพูดนี้แล้วต่างก็ทำความเคารพ “น้อมรับคำสั่งสอน”

ไทเฮายิ้มพลางโบกมือ “วันนี้ก็แยกย้ายกันเท่านี้ แต่อย่าเพิ่งกลับ ทุกคนไปรับอาหารที่ประตูหลัก ดื่มสุราอุ่นๆ สักหลายจอกแล้วเรียกคนในครอบครัวมาช่วยพยุงกลับ แม้ปีนี้จะไม่ได้ฉลองปีใหม่ แต่เทศกาลก็ยังมีอยู่ ที่พวกท่านเขียนไว้ในพระราชโองการก่อนสวรรคตว่า…ไม่ห้ามราษฎรจัดงานรื่นเริงและพิธีแต่งงาน เช่นนั้นก็ไม่ต้องห้าม วันสิ้นปีจะมาถึงแล้ว ปิดประตูเสีย เทศกาลที่ควรฉลองก็ต้องฉลอง อย่าบีบคั้นตนเองให้ลำบากเพียงนั้น เป็นขุนนางของอาณาจักรต้าหมิงเราไม่มีหลักการเช่นนั้น ฟังเข้าใจแล้วหรือไม่”

“พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 .. 68

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: