บทที่ 17.3 ตกปลาตามลำพังท่ามกลางสายลมและหิมะ
ราชสำนักฝ่ายในเลี้ยงอาหาร เหล่าขุนนางออกจากตำหนักแล้วก็เข้าไปที่ห้องทำงานตรงประตูหลัก
ถ่านไฟในห้องเผาจนแดงฉาน หยางหลุนถอดชุดขุนนางตัวนอกแล้วเข้าไปนั่งข้างกระถางไฟ จากนั้นไป๋อวี้หยางกับฉีไหวหยางก็เดินเข้ามาด้วยกัน หยางหลุนเงยหน้ายังไม่ทันได้พูดอะไร ไป๋อวี้หยางก็กล่าวเสียงเย็น
“คนจากสำนักบูรพาผู้นั้น ท่านจะปกป้องไปจนถึงเมื่อใด”
หยางหลุนยืนขึ้น “เรื่องเกี่ยวพันกับการสืบทอดบัลลังก์ ความสงบมั่นคงของท้องถิ่นท่านก็เห็นแล้ว ไม่ใช่ข้าปกป้องเขา”
ไป๋อวี้หยางก็ถอดชุดขุนนางออกพาดไว้ที่เก้าอี้ทรงกลมที่มีเท้าแขนและพนักพิง หันกายลงนั่งตรงข้ามหยางหลุน
“พอลบล้างคดีนี้ กรมอาญาก็ต้องปล่อยตัวเขาไปอย่างไร้ความผิด เขาเป็นขันทีผู้บัญชาการสำนักบูรพา เหออี๋เสียน หูเซียง และคนอื่นๆ ถูกตัดสินความผิดเช่นนี้ พวกท่านคิดว่าหัวหน้าขันทีผู้ควบคุมสำนักกิจการฝ่ายในจะเป็นใคร”
ถ่านไฟรมจนแก้มสองข้างของหยางหลุนร้อนผ่าว หน้าผากมีเหงื่อออก
เวลานี้ขุนนางในสภาขุนนางคนอื่นๆ ในห้องก็วิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา
หัวหน้าสำนักตรวจการฝ่ายซ้ายเอ่ยว่า “นี่ถลำเข้าไปในรอยเดิมอีกแล้ว” พูดจบก็ทอดถอนใจคราหนึ่ง “ในตอนนั้นเป็นเพราะอดีตฮ่องเต้ถูกเลี้ยงดูอยู่ในมือของขันที ทำให้ภายหลังทรงให้อภัยเหออี๋เสียนครั้งแล้วครั้งเล่า บัดนี้เติ้งอิงผู้นี้แม้จะไม่เหมือนกับเหออี๋เสียน แต่ถึงอย่างไรก็ไปมาหาสู่ใกล้ชิดกับฝ่าบาทบ่อยครั้ง อย่าว่าแต่…” เขามองหยางหลุนคราหนึ่ง ลังเลไปชั่วขณะ สุดท้ายยังคงเปิดปาก “อย่าว่าแต่หนิงเฟยประชวรพักรักษาตัวอยู่ที่อุทยานกล้วยเป็นเวลานาน คนที่ดูแลฝ่าบาทมาโดยตลอดคือหยางหวั่นนางกำนัลของตำหนักเฉิงเฉียนผู้นั้น นางกับเติ้งอิง…”
“หุบปาก!”
คำพูดของหัวหน้าสำนักตรวจการฝ่ายซ้ายถูกหยางหลุนตวาดตัดบท จากนั้นหยางหลุนก็ก้มหน้าไอออกมาทีหนึ่ง
ไป๋อวี้หยางเอ่ยว่า “รองเสนาบดีหยาง นางเป็นน้องสาวท่าน แต่ท่านก็ไม่อาจคิดแต่จะปกป้องนางได้”
“ปกป้องอะไร” หยางหลุนเดินไม่กี่ก้าวมายังเบื้องหน้าไป๋อวี้หยาง “หยางหวั่นอยู่ในวังมาสามปี ทุ่มเทจิตใจดูแลฝ่าบาทมาโดยตลอด เคยปลุกปั่นมอมเมาฝ่าบาท เคยทำความผิดสักเรื่องหรือไม่”
ไป๋อวี้หยางบอก “แล้วเพราะเหตุใดวันนั้นฝ่าบาทไม่ทรงยอมประหารเติ้งอิง จะต้อง ‘ไต่สวนผู้กระทำความผิดร้ายแรงเบื้องพระพักตร์’ ให้จงได้ น้องสาวของท่านเคยพูดอะไรเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาท ท่านที่เป็นพี่ชายทราบหรือไม่”
“นางไม่เคยพูดอะไรทั้งนั้น!”
“หยางหลุน!” ไป๋อวี้หยางก็ยืนขึ้นมาเช่นกัน “ท่านกับเหล่าขุนนางในสภาขุนนางทั้งหลายจงคิดดู ถ้าครั้งนี้เติ้งอิงพ้นผิด พวกเรารวมทั้งท่านยังจะมีใครร้องทุกข์กล่าวโทษเขาได้อีก” เขาพูดจบก็หันกายมองไปทางเหล่าขุนนาง “ในใจพวกท่านไม่กลัวหรือ”
ขุนนางหลายคนต่างนิ่งเงียบ หนึ่งในนั้นยื่นมือไปดึงหยางหลุนกลับมาแล้วกล่าวเตือนเสียงเบา “อันที่จริงคำพูดของเสนาบดีไป๋ก็มีเหตุผล ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็ยังทรงพระเยาว์ สำนักกิจการฝ่ายในถือพระราชลัญจกร นั่นคือหนึ่งคำพูดหนักแน่นดุจเก้ากระถางศักดิ์สิทธิ์ เติ้งอิงผู้นี้ใกล้ชิดสนิทสนมกับน้องสาวท่านมากเกินไป ท่าทีของฝ่าบาทที่มีต่อเขาเวลานี้พวกเราก็มองออกแล้ว แม้…ข้าเองจะเห็นว่าเขาแตกต่างจากเหออี๋เสียน แต่…” เขาส่ายหน้าพลางถอนหายใจคราหนึ่ง “เขาเคยยึดครองที่นาของสำนักศึกษาทางใต้มาเป็นของตน หลายปีมานี้สำนักบูรพาสร้างคุกสำนักแล้ว ยามทำคดีมีหรือจะไม่หาสินบน ท่านควรไปดูด้วยตนเอง คนในคุกสำนักคนใดบ้างที่บ้านไม่ได้ถูกขูดรีดจนไม่เหลือเงินแม้แต่เหวิน เดียว แม้แต่ราชบัณฑิตไป๋ก็ถูกเขากดขี่บีบคั้นจนป่วยหนัก จนทุกวันนี้ก็ยังไม่หายดี รองเสนาบดีหยาง ไม่อาจให้เขานั่งในตำแหน่งหัวหน้าขันทีได้จริงๆ”
คำพูดนี้พอกล่าวจบคนอื่นๆ ต่างก็พากันคล้อยตาม
หยางหลุนถูกคนดึงรั้งจนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มองไป๋อวี้หยาง แต่กลับไร้คำพูดจะโต้แย้ง อาหารก็กินไม่ลงแล้ว เพียงสะบัดให้หลุดจากมือของขุนนางผู้นั้น คลุมเสื้อแล้วเดินฝ่าลมออกไป
ยามหยางหลุนมีเรื่องในใจก็ไม่อยากกลับจวน มุ่งหน้าไปประตูฮุ่ยจี๋เพียงลำพัง ในร่มเงาประตูฮุ่ยจี๋ เขาเห็นหยางหวั่นหอบห่อยาสมุนไพรห่อหนึ่งอยู่ในอ้อมแขนรอเขาอยู่หน้าประตูคลังยาหลวง
หยางหลุนผ่อนฝีเท้า หยางหวั่นก็เดินเข้ามารับหน้า
“เป็นอะไร ท่าทางดูกลัดกลุ้มยิ่งนัก”
“ใครกลัดกลุ้มกัน”
หยางหวั่นเงยหน้าขึ้นยิ้ม “เอาชนะได้กระดานหนึ่งก็กระดานหนึ่งเถิด แค่นี้ก็ไม่ง่ายแล้ว”
พอนางกล่าวจบ ท้องของหยางหลุนก็ส่งเสียงร้องขึ้นมา
หยางหวั่นก้มหน้ามองไปที่ท้องของหยางหลุน ยิ้มพลางถาม “ยังไม่ได้กินอะไรหรือ ไม่ไปที่เรือนพักของเติ้งอิงสักหน่อย ข้าจะต้มบะหมี่ให้ท่านกินชามหนึ่ง”
หยางหลุนบอก “เรือนพักของเขาไม่ได้ถูกปิดตายหรือ”
“ปิดแล้ว แต่ห้องของหลี่อวี๋ที่อยู่ด้านข้างยังเปิดอยู่ ไม่มีคนอยู่ ยังพอนั่งได้ครู่หนึ่ง”
หยางหลุนเดินตามหยางหวั่นไปทางคูน้ำป้องกันวังด้วยกัน ตลอดทางหยางหวั่นไอไม่หยุด
หยางหลุนอดถามไม่ได้ “เจ้าไปเอายาที่คลังยาหลวงให้ตนเองหรือ”
หยางหวั่นเดินพลางสั่นศีรษะ “ไม่ใช่ อาการป่วยของข้าหมอหลวงเป็นผู้ดูแลรักษา”
“หมอหลวงหรือ” หยางหลุนนึกถึงคำพูดของเหล่าขุนนางในสภาขุนนางก่อนหน้านี้ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เขาสาวเท้าเร็วๆ ไปยังเบื้องหน้านางแล้วตำหนิว่า “อาการป่วยของนางกำนัลให้หมอหลวงเป็นผู้ดูแลรักษาได้อย่างไร เจ้าอย่าเห็นว่าฝ่าบาทขึ้นครองราชย์แล้ว เจ้าเลี้ยงดูเขามาไม่กี่ปี เจ้าจะสามารถกำเริบเสิบสานได้”
หยางหวั่นรับฟังคำพูดของเขาเงียบๆ ไม่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริง
นางเพียงหยุดฝีเท้า มองเขาแล้วเอ่ยถาม “ท่านก็กลัวแล้วใช่หรือไม่”
หยางหลุนพลันอึ้งงันไป “ข้า…”
หยางหวั่นยิ้มแล้วทอดถอนใจ “ข้าหวังว่าฝ่าบาทจะเป็นฮ่องเต้ที่มีคุณธรรมมีเมตตาพระองค์หนึ่ง แต่ข้ากลับไม่อาจรับความเมตตาที่เขามีต่อข้าได้อีกต่อไป หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ถึงข้าจะไม่ได้ทำอะไร ราชสำนักฝ่ายในก็ไม่อาจรับข้าไว้ได้แล้ว” นางกล่าวจบก็เงยหน้าขึ้นมองหยางหลุน “ท่านพี่ หลายปีมานี้ท่านก็เปลี่ยนไปไม่น้อย ข้าเคยเห็นท่านร้อนใจเพราะเติ้งอิง หาทางประนีประนอมเพื่อเขา ข้าซาบซึ้งใจยิ่ง แต่…” นางกระชับห่อยาในอ้อมแขน “ข้าเพิ่งเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงเฉพาะคนนั้นไม่เพียงพอที่จะต่อต้านใจของคนทั้งราชสำนักได้ ใจคน…”
นางเม้มปาก เส้นผมที่หลุดลุ่ยถูกลมหนาวพัดปลิวขึ้น มุกหยกที่หูแกว่งไปมากระทบกันเสียงใส
นางพูดไม่ค่อยเต็มปาก หรี่นัยน์ตาคล้ายกำลังข่มกลั้นความเจ็บปวดที่อยู่ในร่างกาย “ใจคนนั้นซับซ้อนและเป็นหนึ่งเดียวกันจริงๆ ขุนนางในราชสำนักก็ดี ชาวบ้านทั่วไปก็ดี ต่างคนต่างมีความทุกข์กังวลและความสุขอยู่ในใจของตน พวกเขารู้ดีว่าตอนนี้เวลานี้ควรเกลียดใคร ถ้าท่านต้องการจะทำดีกับคนที่ถูกเกลียดจะทำให้เขาผู้นั้นยิ่งมี ‘บาป’ มากขึ้นและตายเร็วขึ้น”
“ตายเร็วขึ้นหรือ” หยางหลุนกล่าว “เหตุใดเจ้าพูดถึงเขาเช่นนี้”
หยางหวั่นบอก “หรือมิใช่เล่า”
หยางหลุนถอนหายใจคราหนึ่ง “ใช่ เจ้ามองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่งทั้งหมด” เขามองจ้องดวงตาของหยางหวั่น “แต่คำพูดที่เอ่ยออกมานั้นทำให้คนท้อแท้ใจอย่างแท้จริง”
“นั่นเป็นท่าน” หยางหวั่นยอกย้อนประโยคหนึ่ง
หยางหลุนเอียงหน้าหัวเราะออกมา พยักหน้าพลางบอกว่า “ใช่ เป็นข้าที่ท้อแท้ใจ เจ้าเหมือนกับเติ้งอิง ต่อให้เบื้องหน้าคือแท่นประหารก็กล้าเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมา”
หยางหวั่นกำลังจะตอบ แต่กลับไอออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
หยางหลุนรีบกางแขนบังลมให้นาง “หมอหลวงก็ดูแลรักษาไม่หายหรือ”
หยางหวั่นสั่นศีรษะ “ข้าไม่ได้กินยาที่หมอหลวงจัดให้เหล่านั้น”
“เพราะเหตุใด”
“ข้าไม่อาจทิ้งจุดอ่อนใดๆ ของตนเองไว้ ข้าจะต้องมีชีวิตออกจากวังให้จงได้” นางพูดพลางหยิบยาในอ้อมแขนออกมา “ไทเฮาทรงอนุญาตให้ข้าไปรับพี่หญิงออกจากอุทยานกล้วยแล้ว ยาขับความเย็นเหล่านี้เตรียมไว้ให้พี่หญิง ข้าได้ทูลไทเฮาแล้ว หลังจากรับพี่หญิงออกจากอุทยานกล้วย ข้าก็จะออกจากวัง จากนั้น…” นางเงียบไปครู่หนึ่ง “เรื่องที่ข้าจะทำอาจทำให้ท่านอับอาย ข้าหวังว่า…ท่านจะไม่สนใจข้า ไม่ต้องยืนอยู่ข้างข้า และไม่ต้องช่วยข้า”
“เจ้า…”
“ท่านพี่” หยางหวั่นตัดบทเขา “ข้าเบิกบานใจมากจริงๆ ท่านอย่าด่าว่าข้าอีก อย่าตำหนิเติ้งอิงอีก ท่านก้าวมาหาพวกเราก้าวใหญ่ก้าวนี้ กล่าวไปแล้วสำหรับพวกเรานับเป็นบุญคุณอย่างยิ่ง ก้าวนี้ก้าวเดียวก็เพียงพอแล้ว เวลานี้…ขอให้ท่านถอยกลับไป ถอยไปยืนอยู่ในจุดที่สภาขุนนางควรอยู่ ทิ้งหนทางที่เหลือไว้ให้ข้าเป็นคนเดินเถิด”
“เจ้าจะเดินอย่างไร เจ้าเป็นสตรีผู้หนึ่ง คิดจะไล่ตามไปถึงลานประหาร ตายอยู่ด้วยกันกับเขาหรือ”
“ข้าไม่ทำเรื่องไร้ประโยชน์เหล่านั้น แต่เส้นทางหลังจากนี้ของเขามีเพียงข้าที่จะจับจูงเขาเดินต่อไปได้” นางพูดพลางเอามือทัดเส้นผมที่ถูกลมพัดจนยุ่ง “เขาเป็นคนของข้า เขาฟังเพียงคำพูดของข้า เพียงยอมรับเหตุผลของข้า แม้ข้าจะไม่มีเหตุผลอะไร ได้แต่บังคับเขาให้กินยากินผลไม้ บำรุงรักษาร่างกายให้ดี แต่เขาได้ตัดสินใจที่จะติดตามข้าแล้ว เขาก็ได้แต่ต้องมีชีวิตอยู่เช่นนี้ ท่านพี่ ‘กฎหมายต้าหมิง’ กล่าวไปแล้วสำหรับเขาเป็นโครงไม้ที่ว่างเปล่าโครงหนึ่ง แต่ข้าผู้นี้เป็นความจริง ข้าจะควบคุมเขาไปทั้งชีวิต”
รัชศกเจินหนิงปีที่สิบสี่ ต้นเดือนสิบสอง พระศพอดีตฮ่องเต้ถูกเคลื่อนไปยังสุสาน องค์ชายอี้หลางกับเหล่าขุนนางต่างออกจากเมืองไปส่งพระศพ
เดิมทีการก่อสร้างสุสานของอดีตฮ่องเต้ยังไม่แล้วเสร็จ ทว่าพอพระราชโองการก่อนสวรรคตของสภาขุนนางออกมา กรมโยธาก็ตัดลดกฎระเบียบเดิมของสุสานลงทันที สิ่งปลูกสร้างบนพื้นดินหยุดดำเนินการทั้งหมด
ตอนเคลื่อนพระศพฮ่องเต้เจินหนิง งานก่อสร้างใต้พื้นดินเสร็จสิ้นไปเกือบเก้าส่วนแล้ว เดิมทีกรมโยธาเสนอแนะให้ตั้งพระศพของอดีตฮ่องเต้ไว้ในอารามหลวงที่ภูเขาปี่จย้าชั่วคราวก่อน รอสร้างหอคอยเหนือประตูใหญ่ ห้องโถงเซ่นไหว้ ห้องปีกทั้งซ้ายขวาและแท่นวางรูปปั้นเทพเจ้าเสร็จแล้วค่อยนำอดีตฮ่องเต้ลงฝัง แต่ไป๋อวี้หยางคัดค้านคำเสนอแนะของกรมโยธา
ไม่มีการขัดขวางของสำนักกิจการฝ่ายใน สภาขุนนางกำหนดกฎระเบียบพิธีในการส่งพระศพได้อย่างรวดเร็ว สั่งการให้ทำทุกอย่างอย่างเรียบง่าย ไม่เพิ่มภาระให้ราษฎร
ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้เจินหนิงผู้ที่ชอบสวมใส่อาภรณ์งามหรู แสวงหาความสุขมาตลอดชีวิต สุดท้ายกลับถูกบังคับให้เป็นฮ่องเต้ที่มีพระราชพิธีศพเรียบง่ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของอาณาจักรต้าหมิงเช่นนี้
ปลายปีหิมะตกหนักปกคลุมถนน หยางหวั่นป่วยหนักมากขึ้น องค์ชายอี้หลางจึงให้นางพักรักษาตัวอยู่ในตำหนักหยั่งซิน ไม่ต้องตามเสด็จ
ในวังมีแต่ความเงียบเหงา ไทเฮากลับมีรับสั่งก่อนออกจากวังให้หยางหวั่นนำคนจากกองงานพิธีการไปรับหนิงเฟยกลับตำหนักในช่วงที่เหล่าขุนนางไปส่งพระศพ
เวลานี้พิธีใหญ่ของราชสำนักฝ่ายในยังไม่ได้กำหนดลงมา กองงานพิธีการมีความลังเลอย่างมากต่อพิธีรับหนิงเฟยกลับตำหนัก ไทเฮามีรับสั่งให้กองงานพิธีการรับกลับมา ทว่าอยู่ในช่วงบ้านเมืองกำลังไว้ทุกข์ จะเรียกใช้ทหารนำหน้าขบวนเสด็จได้อย่างไร ความจริงแล้วเจตนาของไทเฮาชัดเจนยิ่ง…หนิงเฟยเป็นสตรีฟั่นเฟือน แม้จะเป็นเพราะใคร่ครวญถึงความรู้สึกขององค์ชายอี้หลาง รับนางกลับตำหนักชั่วคราว แต่หลังจากนั้นก็ไม่อาจให้นางเข้าร่วมพิธีใหญ่ของราชสำนักฝ่ายใน
เพราะเรื่องนี้เจียงหมิ่นจึงมาพบหยางหวั่นด้วยตนเอง นางกล่าวอย่างขออภัย “เกรงว่าหนิงเฟยต้องไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้ว”
หยางหวั่นกลับไม่ได้พูดอะไร เพียงตอบว่า “บ้านเมืองกำลังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ทำเช่นนี้ก็สมควรแล้ว สามารถรับพระชายากลับมาได้ก็พอแล้ว”
เจียงหมิ่นเห็นหยางหวั่นไม่ลำบากใจก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ จึงเอ่ยปลอบโยน “กองงานพิธีการกำหนดไว้ว่าเป็นวันที่ยี่สิบสี่ แม้ไม่อาจเรียกใช้ทหารนำหน้าขบวนเสด็จ แต่คนยังนับว่าครบครัน”
หยางหวั่นทำได้เพียงกล่าวขอบคุณเจียงหมิ่น
วันที่ยี่สิบสี่ วันนี้หิมะตกหนักทั้งเมือง
หยางหวั่นถือร่มยืนอยู่หน้าประตูอุทยานกล้วย คนของกองงานพิธีการยืนแยกออกไปอยู่สองฝั่ง ในมือของเหล่านางข้าหลวงประคองเสื้อผ้าที่แม้จะตัดเย็บใหม่ แต่ล้วนไม่ใช่ชุดราชสำนักของสนมชายา ทว่าเป็นชุดธรรมดา ผู้รักษาการณ์ของอุทยานกล้วยเปิดประตูอุทยานแล้วกล่าวกับหยางหวั่น
“ให้คนเข้าไปปรนนิบัติพระชายาแต่งตัวเกล้าผมได้หกคน คนอื่นๆ ที่เหลือต้องรออยู่ด้านนอก”
หยางหวั่นหันมารับเสื้อผ้าจากมือนางข้าหลวง บอกเจียงหมิ่นว่า “ข้าพานางกำนัลของตำหนักเฉิงเฉียนเข้าไปก็แล้วกัน”
“ได้”
หยางหวั่นรวบกระโปรงก้าวเข้าประตูอุทยาน
หลังประตูอุทยานเป็นสวนต้นเหมย ช่วงนี้กลิ่นหอมของดอกเหมยกำลังแรง ดอกเหมยที่งดงามประหนึ่งหยกสีชมพูแขวนห้อยอยู่ในสวน
ในสวนมีทางเดินเล็กๆ แทรกอยู่ พอเดินตามทางเดินเล็กๆ ไปข้างหน้าก็จะพบแต่มวลหมู่บุปผา
นางกำนัลที่นำทางเป็นกูกูสูงวัยผู้หนึ่ง นางสุภาพอ่อนโยนยิ่ง เดินไปพลางกล่าวกับหยางหวั่นไปพลาง “หลายปีมานี้พระชายาไม่อาจออกจากตำหนัก บางครั้งก็จะประทับยืนอยู่ข้างหน้าต่างครู่หนึ่ง ตอนแรกพวกเราเข้าใจว่าพระชายาทรงคิดถึงฝ่าบาทกับองค์ชายใหญ่ แต่ภายหลังกลับพบว่าพระทัยของพระชายานั้นเมินเฉย ช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงฤดูใบไม้ร่วง ฝ่าบาทจะเสด็จมาจัดงานเลี้ยงในสวนกับสนมเจี่ยงอยู่บ่อยครั้ง ทุกครั้งในเวลานั้นพระชายาจะทรงปิดประตูแล้วนั่งเงียบๆ อยู่คนเดียว ในที่สุดพวกเราก็ค่อยๆ ตระหนักว่าทุกครั้งที่พระชายาเปิดหน้าต่างก็เพียงเพื่อจะทอดพระเนตรดวงจันทร์บนท้องฟ้า”
“ดวงจันทร์หรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ” นางกำนัลเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า “ทั้งวังหลวงแสงจันทร์ที่อุทยานกล้วยงดงามที่สุด เมื่อก่อนพวกเราไม่รู้จักชื่นชม เป็นพระชายาที่ทรงบอกพวกเรา ทุกครั้งที่ถึงฤดูหนาว ในค่ำคืนที่ดอกเหมยบานสะพรั่ง พอผลักหน้าต่างออกไป บุปผาหนาวเย็นแสงจันทร์เย็นเยียบ มีกลิ่นหอมเย็นลอยวนอยู่ข้างๆ ช่างเป็นภาพที่งดงามลึกซึ้งยิ่ง เสียดายตอนนี้ยังเช้าอยู่ วันนี้พระชายาไม่ได้เห็นแล้ว เฮ้อ…ดูข้าเถิด…” นางกำนัลผู้นั้นก้มหน้า “พูดจาอะไรเช่นนี้ พระชายาทรงได้กลับตำหนัก ต่อไปภาพงดงามเช่นไรจะไม่ได้เห็นบ้างเล่า”
หยางหวั่นเปลี่ยนเรื่องถามขึ้น “พระชายาพระวรกายยังดีอยู่หรือ”
“ดี” นางกำนัลถอนหายใจคราหนึ่ง “ยอมเสวยพระกระยาหาร บรรทมได้อย่างสงบ และยอมตรัสกับพวกเรา เพียงแต่…น้อยครั้งจะได้เห็นพระชายาทรงยิ้ม ก่อนหน้านี้พวกเราบอกให้ทรงทราบว่าเวลานี้องค์ชายใหญ่ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้ว ฟังแล้วก็เพียงพยักพระพักตร์เท่านั้น”
หยางหวั่นไม่ได้พูดอะไรอีก เดินตามนางกำนัลไปถึงหน้าประตูตำหนัก
หน้าประตูตำหนักมีแม่กุญแจสำริดแขวนห้อยอยู่อย่างโดดเดี่ยว
หยางหวั่นเม้มปากมองแม่กุญแจตัวนั้น นางกำนัลก็รีบก้าวเข้าไปบอกว่า “แม่นางหยาง ท่านรอสักครู่ ข้าจะเปิดเดี๋ยวนี้”
เสียงไขกุญแจดังก้องอยู่ในสวนที่เงียบสงัด ทันทีที่กุญแจเปิดออก โซ่ก็ถูกดึงออกมา นางกำนัลค้อมกายผลักประตูตำหนักให้เปิดออก ลมธรรมชาติพลันพัดผ่านประตูเข้าไปในตำหนัก พัดเสื้อผ้าของหยางหวั่นปลิวขึ้น
นางกำนัลผู้นั้นส่งเสียงเรียกเข้าไปด้านใน “พระชายา แม่นางหยางมาแล้วเพคะ”
ในตำหนักที่เงียบสงัดพลันมีเสียงถ้วยชาพลิกคว่ำดังขึ้น
หยางหวั่นรีบวิ่งเข้าไปหลังกรอบช่องประตูสลักลาย
ในห้องด้านข้างหลังกรอบช่องประตูสลักลายมีถ้วยชาแตกกระจายเต็มพื้น หนิงเฟยกำลังลงมาจากเตียง พับแขนเสื้อขึ้นแล้วนั่งยองๆ จะเก็บเศษกระเบื้องบนพื้น
นางสวมเสื้อตัวกลางผ้าไหมสีเรียบ ผมยาวปล่อยสยายอยู่บนไหล่ ใบหน้าไม่ได้ประทินโฉม แม้ท่าทางจะยังนับว่ากระฉับกระเฉง แต่ก็ผ่ายผอมลงไปมาก
“พี่หญิง ท่านอย่าแตะต้อง ข้าจัดการเอง”
หนิงเฟยเงยหน้าขึ้น ไม่คำนึงถึงนิ้วมือที่ถูกชาร้อนลวกจนเจ็บ คว้ามือหยางหวั่นมากุมไว้ ปากสั่นระริกอย่างควบคุมไม่อยู่
“หวั่นเอ๋อร์…”
หยางหวั่นรีบกุมมือหนิงเฟยพลางขานรับ “ข้าอยู่นี่แล้ว”
ถ่านไฟในห้องด้านข้างเผาไหม้ไม่อุ่นนัก มือของสตรีทั้งสองต่างเย็นเฉียบ ขณะมองหน้ากันอยู่นั้นในใจต่างมีคำพูดนับพันนับหมื่น แต่ไม่ว่าใครก็เอ่ยปากไม่ออก
พวกนางไม่กล้าร้องไห้ เพราะเกรงว่าจะแตะถูกจุดที่เจ็บปวดของกันและกัน
หนิงเฟยฝากฝังองค์ชายอี้หลางไว้กับหยางหวั่น เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปสองสามปีแล้ว
ราชสำนักแปรเปลี่ยนไปมาดุจคลื่นและเมฆยากแก่การคาดเดา แม้นางจะถูกคุมขังอยู่ในอุทยานกล้วย แต่ก็นับว่าอยู่ห่างไกลจากสถานที่ผิดถูก
แต่หยางหวั่นกลับเดินเข้าไปในนั้นเพียงลำพัง
หนิงเฟยไม่รู้ว่าตลอดเส้นทางหยางหวั่นเดินไปเพียงลำพังได้อย่างไร กระทั่งไม่กล้าถามอีกฝ่ายว่าที่ผ่านมาสบายดีหรือไม่ เพราะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเวลานี้ เทียบกับเมื่อก่อนแล้วสีหน้าเปลี่ยนไปมาก
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไม่ใช่การเติบโตของเด็กสาว
หนิงเฟยรับรู้ได้ว่าธาตุแท้ของหยางหวั่นไม่ได้เปลี่ยนไป เพียงแต่ผิวถูกลอกให้บางลง กระดูกถูกตีจนแตก ดูแล้วยิ่งอ่อนไหว ยิ่งเปราะบางมากขึ้น
ทางด้านหยางหวั่นก็ไม่กล้ามองหนิงเฟย
กล่าวไปแล้วสำหรับหยางหวั่น อีกฝ่ายไม่เพียงเป็นพี่สาวของตน แต่ยังเป็นคนที่สูงส่งสง่างามและได้รับความเจ็บปวดที่สุดในอาณาจักรต้าหมิง เฉกเช่นดวงจันทร์ที่หนาวเหน็บ
นางแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ส่วนคนที่เข้าใจและยอมรับนางผู้นั้นได้ตายอย่างน่าอนาถไปแล้ว
พักใหญ่หยางหวั่นจึงพูดออกมาได้ในที่สุด
“พี่หญิง ท่านสวมใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นไปแล้ว ขึ้นไปห่มผ้าบนเตียงก่อนเถิด ข้าเก็บกวาดของที่พื้นเสร็จแล้วค่อยพูดคุยกับท่าน”
นางประคองหนิงเฟยให้นั่งลงบนเตียงช้าๆ ส่วนตนเองก็ยืดตัวขึ้นหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง กลั้นน้ำตาในก้นบึ้งดวงตาอยู่เงียบๆ พับแขนเสื้อขึ้นแล้วยอบกายลงไปเก็บเศษกระเบื้องบนพื้น
หนิงเฟยเกาะขอบเตียง ก้มลงมองหยางหวั่น “หวั่นเอ๋อร์”
“ข้าอยู่”
“เหตุใดสีหน้าของเจ้าถึงดูย่ำแย่เพียงนี้”
หยางหวั่นไม่กล้าเงยหน้า นางเก็บเศษกระเบื้องขึ้นมา พยายามข่มกลั้นอาการไอไว้ “เป็นเพราะปีนี้หนาวเกินไป พอต้องลมหนาวร่างกายจึงไม่ค่อยดีมาโดยตลอด”
หนิงเฟยดึงมือหยางหวั่นเข้ามาไว้ในผ้าห่มของตน น้ำตาคลอกลั้นสะอื้นอยู่นานแล้วเอ่ยว่า “เพื่ออี้หลาง เจ้าต้องได้รับความทุกข์ทรมานมามากมายใช่หรือไม่”
หยางหวั่นสั่นศีรษะ “ไม่ใช่ เขาปกป้องข้ามาโดยตลอด พี่หญิง เขาเติบโตแล้ว ต่อไปเขาก็สามารถปกป้องท่านได้แล้ว”
“ข้าไม่ต้องการให้เขามาปกป้อง”
“พี่หญิง…” หยางหวั่นงุนงง
“และข้าก็ไม่คิดจะเดินไปอยู่ข้างกายเขา” เสียงของหนิงเฟยไร้คลื่นอารมณ์ กระทั่งฟังไม่ออกถึงความเศร้าโศก นางถอนหายใจคราหนึ่ง “ความสัมพันธ์แม่ลูกของข้ากับเขาได้ถูกตัดขาดไปแล้ว เขาเป็นฮ่องเต้แห่งอาณาจักรต้าหมิง ข้าเป็นเพียงสตรีฟั่นเฟือนที่ถูกทอดทิ้ง ทั้งตัวข้าเอง ฮองเฮา และไทเฮาล้วนไม่ปรารถนาให้ข้ากลับไปยอมรับเด็กคนนั้น ดังนั้นปล่อยให้เขาอยู่ที่ตำหนักหยั่งซินอย่างสงบเถิด ไม่ต้องพบเจอข้าอีกแล้ว”
หยางหวั่นนั่งลงที่ขอบเตียงพลางเอ่ยว่า “ฝ่าบาททรงคิดถึงพี่หญิงมาก”
หนิงเฟยกุมมือหยางหวั่น ส่ายหน้าน้อยๆ “ข้ากลับกลัวเขาจะถามข้าว่าเพราะเหตุใดตอนนั้นถึงทอดทิ้งเขา เพราะเหตุใดข้าถึงถูกฝ่าบาทกักขัง หวั่นเอ๋อร์…ข้าไม่อยากโกหกบุตรของตนเอง แต่…ข้าจะบอกคำพูดในใจของข้ากับเขาได้หรือ เขาจะยินดียอมรับหรือ เขาจะยอมให้ข้าไปเซ่นไหว้บ่าวไพร่คนหนึ่งได้หรือ”
หยางหวั่นเงยหน้าขึ้นปาดน้ำตา ลมหายใจในโพรงจมูกร้อนผะผ่าว
“ข้าเข้าใจ” นางพูดพลางก้มหน้าลง “ข้าจะไม่เกลี้ยกล่อมพี่หญิง”
หนิงเฟยก้มหน้ามองนาง กล่าวเสียงเบา “อย่าร้องไห้ หวั่นเอ๋อร์”
“ข้าไม่ได้ร้องไห้”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่เสียงของนางกลับเจือสะอื้น ชั่วขณะนั้นอารมณ์พลุ่งพล่าน นางจำต้องหันหลังไปแล้วก้มหน้าลงกดหว่างคิ้วของตน
นางรู้สึกไม่ยินยอมพร้อมใจ ปีนี้นางร้องไห้น้อยมากแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าหยางหลุนหรือองค์ชายอี้หลาง นางล้วนยืนอย่างมั่นคงในจุดยืนของตน รักเติ้งอิงอย่างกล้าหาญ ดีต่อเขา ทว่าพออยู่ต่อหน้าหนิงเฟย นางจึงจำต้องรับรู้ถึงแก่นของโศกนาฏกรรมที่ซุกซ่อนอยู่ระหว่างนางกับเติ้งอิง
หนิงเฟยโอบไหล่หยางหวั่น ให้นางซุกหน้าลงกับตักตน “ช่างเถิด ร้องเถิดหวั่นเอ๋อร์ อยู่กับข้าร้องไห้ก็ไม่เป็นไร…”
หยางหวั่นซุกหน้าลงไปที่ขาของหนิงเฟย ยื่นมือไปโอบกอดร่างของหนิงเฟยไว้
หนิงเฟยลูบหลังหยางหวั่นเบาๆ ก้มหน้าลงกล่าวเสียงเบา “เจ้ากับผู้บัญชาการเติ้ง เป็นอย่างไรบ้าง”
หยางหวั่นพูดทั้งน้ำตา “ไม่นับว่าดีมาก แต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่”
หนิงเฟยปัดเส้นผมที่เปียกชื้นบนหน้าผากหยางหวั่น “เจ้ากล้าหาญเช่นนี้เสมอมา”
“ไม่ใช่” หยางหวั่นหันหน้าไปทางอื่น หลับตาพลางบอกว่า “พี่หญิง ท่านรู้หรือไม่ ข้าต่างหากที่เป็นคนที่หวาดกลัวมากที่สุดคนนั้น”
หนิงเฟยฟังคำพูดประโยคนี้แล้วก็นิ่งเงียบไปนาน ในที่สุดก็ก้มตัวลงช้าๆ เอาหน้าผากของตนแนบกับใบหน้าของหยางหวั่นแล้วพูดเบาๆ
“ข้ารู้ ข้ายังรู้ว่าหลายปีมานี้เจ้าไม่อนุญาตให้ตนเองหวาดกลัว เจ้ากดข่มความหวาดกลัวในใจเอาไว้ ปกป้องคนมากมายอย่างกล้าหาญ รวมถึงข้าด้วย”
“ข้าไม่ได้ปกป้องพี่หญิงให้ดี”
หนิงเฟยลูบไล้ใบหน้าของหยางหวั่นพลางส่ายหน้า “เป็นเจ้าที่บอกข้าว่าต้องมีสักวันที่เราจะสามารถเดินออกไปจากที่แห่งนี้ได้ ข้าเฝ้ารอมาตลอด เจ้าดูเถิด ข้าไม่ใช่รอจนเจ้ามาแล้วหรือ”
หยางหวั่นรู้สึกเศร้าใจอย่างยิ่ง
“พี่หญิง”
“หืม?”
“ท่านอยากออกจากวังหรือไม่”
“อยาก…”
หนิงเฟยเงยหน้าขึ้น มองออกไปนอกหน้าต่าง ข้างนอกคล้ายเห็นต้นไม้ดอกไม้เป็นช่อๆ ในควันสีขาว ปิดบังอำพรางและขับเน้นซึ่งกันและกันอยู่หลังม่านหิมะที่สะอาดตา
“ข้าหวังว่าจะลบนาม ฐานะ และอดีตของข้าออกไปทั้งหมด จากนั้น…” นางกล้ำกลืนความขมขื่นลงไป “จากนั้นค่อยเอาชื่อของตนเองกับชื่อของเขามาผูกโยงไว้ด้วยกันอย่างสะอาดหมดจด”
“ข้าจะพาพี่หญิงออกไป”
“อะไรนะ…”
“ข้าจะพาท่านออกไปจากที่นี่” หยางหวั่นนั่งตัวตรง มองหนิงเฟยแล้วบอกว่า “ไม่เป็นพระชายาและไม่เป็นไทเฮา เพียงเป็นคนที่พี่หญิงอยากเป็น ท่านสามารถเซ่นไหว้เขา สามารถรำลึกถึงเขาได้อย่างเปิดเผย”
“หวั่นเอ๋อร์…”
“พี่หญิง ข้าไม่รู้ว่าเรื่องที่ข้าทำไปถูกต้องหรือไม่ ข้าไม่ได้โอหังอวดดีเพียงนั้น ข้าไม่กล้าตัดสินใจแทนใคร ข้าเพียงหวังว่าตนเองจะสามารถกลายร่างเป็นสะพาน ไม่ใช่เพื่อให้คนข้าม แต่เพื่อเป็นทางหนีทีไล่ที่อยู่ข้างหลังพวกท่านเท่านั้น พี่หญิง แม้ข้าจะตกอยู่ในความสิ้นหวัง แต่ขณะที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ก็ต้องนำความหวังมาสู่ผู้คน”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 ส.ค. 68
Comments
comments
No tags for this post.