X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักลำนำฝูหรงเคียงกระเรียน

ทดลองอ่าน ลำนำฝูหรงเคียงกระเรียน บทที่ 17.5

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 17.5 ตกปลาตามลำพังท่ามกลางสายลมและหิมะ

ต้นฤดูใบไม้ผลิ รัชศกจิ้งเหอปีที่หนึ่ง เหออี๋เสียนและคนอื่นๆ ถูกย้ายมาไต่สวนและตัดสินโทษที่กองเจิ้นฝู่เหนือ พอข่าวนี้แพร่ออกไปนอกเมืองหลวง กระแสคลื่นแห่งการพลิกคดีที่ไม่เป็นธรรมก็เริ่มเกิดขึ้นในที่ต่างๆ เหออี๋เสียนควบคุมดูแลสำนักกิจการฝ่ายในมากว่าสิบสี่ปี เงินทองและที่นาที่ทุจริตยักยอกไปมีจำนวนนับไม่ถ้วน มีส่วนพัวพันในคดีอาญามากมายจนทำให้เจ้าหน้าที่ของกรมอาญาต้องอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ ฉีไหวหยางต้องยืมเจ้าหน้าที่จากสำนักศึกษาหลวงและสำนักตรวจการมาที่ศาลเพื่อร่วมกันพิจารณาคดี ทว่าเหออี๋เสียนได้รับบาดเจ็บจากทัณฑ์ทรมานมากเกินไป ทนทรมานอยู่ไม่ทันพ้นเดือนสองก็ป่วยตายในคุกหลวง

ทว่าการตายของเหออี๋เสียนหาได้ทำให้ความโกรธแค้นของราชสำนักและราษฎรสงบลง

คนของสำนักศึกษาตงหลินเปิดปากดุจชักกระบี่ ลงพู่กันดุจลงดาบ รื้อคดีเก่าในรัชกาลก่อนขึ้นมาทีละคดี โจมตีทั้งทางวาจาและลายลักษณ์อักษร ในบรรดาคดีเหล่านี้คดีที่ทำให้คนปวดใจที่สุดไม่มีคดีใดจะเกินไปกว่าคดีสังหารโหดถงจยาและคดีจางจั่นชุน

ต้นเดือนสอง กรมอาญาทูลขอให้พิจารณาคดีสังหารโหดถงจยาและคดีจางจั่นชุนสองคดีนี้ใหม่ ญาติของปัญญาชนในสำนักศึกษากับบุตรชายของจางจั่นชุนเดินทางจากที่ต่างๆ เข้ามาเมืองหลวง ผ่านไปสามปีคนที่เป็นบิดามารดาจอนผมสองข้างเป็นสีขาวแล้ว คนที่เป็นบุตรสาวบุตรชายก็ยังเยาว์วัยอยู่ จับจูงประคับประคองกันมากับเหล่าสตรีที่ออกเรือนเดินมาตามถนนในเมือง คนบนท้องถนนเห็นแล้วไม่มีใครไม่หลั่งน้ำตา

ชั่วขณะนั้นการศึกษาท้องถิ่นกับข้อคิดเห็นของราษฎรเชื่อมโยงกัน ทำให้อารมณ์ของราษฎรเร่าร้อนด้วยความคั่งแค้น กองเจิ้นฝู่เหนือจำต้องมีคำสั่งให้เก็บศพของเหออี๋เสียนไว้ในคุกหลวงชั่วคราว

ขันทีคนอื่นๆ ของสำนักกิจการฝ่ายในที่รอการลงโทษเห็นเหออี๋เสียนป่วยตาย ทั้งยังไม่มีคนเก็บศพ จึงนึกถึงจุดจบของตนเองขึ้นมา ต่างหวาดผวานอนไม่หลับ ส่วนเติ้งอิงแม้จะถูกคุมขังเหมือนกับทุกคน แต่หนังสือปล่อยตัวนักโทษที่สามตุลาการลงชื่อร่วมกันได้ส่งมาถึงกองเจิ้นฝู่เหนือแล้ว เติ้งอิงจึงไม่ถูกนำตัวมาสอบปากคำอีก และไม่ถูกจำกัดน้ำและอาหารเหมือนนักโทษคนอื่นๆ

“ผู้บัญชาการเติ้ง มีเพียงท่านคนเดียวที่โชคดีหนีรอดไปได้…”

ขันทีตรวจฎีกาหลายคนของสำนักกิจการฝ่ายในหอบโซ่ตรวนไว้ในมือพลางหลั่งน้ำตาต่อหน้าเติ้งอิง

“หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็จะไม่ติดตามท่านบรรพชน”

เติ้งอิงก้มลงมองคนทั้งสอง “ล้วนไม่แตกต่างกัน”

“จะไม่แตกต่างกันได้อย่างไร” คนผู้นั้นพูดไปก็น้ำตาร่วงไป “กรมอาญากับสำนักตรวจการเริ่มรื้อคดีเก่าแล้ว พวกเราติดตามท่านบรรพชน ต้องรับผิดชอบชีวิตคนหรือไม่ก็ยังไม่รู้ ตอนนี้คงไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะตามผู้บัญชาการเติ้งออกไป แม้แต่จะรักษาชีวิตไว้ก็ทำไม่ได้แล้ว ข้านึกเสียใจยิ่งนัก…”

คำนี้พอกล่าวจบคนอื่นๆ ก็พลอยหลั่งน้ำตาไปด้วย

เติ้งอิงมองออกไปนอกห้องคุมขัง

ฤดูใบไม้ผลิความชื้นสูง ผนังสีเขียวอมดำเต็มไปด้วยหยดน้ำเกาะอยู่เป็นวงกว้าง

อาจเพราะดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิสว่างไสว บางครั้งก็เห็นแสงสว่างอบอุ่นจางๆ ลอดผ่านตรงช่องว่างของผนัง แต่ก็ไม่อาจอยู่ในสายตาเขาได้นานนัก

“คร่ำครวญอะไรกัน รอโทษกระทำความผิดตัดสินลงมา ถึงตอนนั้นยังมีเวลาให้พวกเจ้าได้ร้องไห้กันอีกนาน!”

มีเสียงตวาดของพัศดีดังมาจากนอกห้องคุมขัง ทุกคนเงียบเสียงลงทันที

“เติ้งอิง” พัศดีเปิดประตูห้องขัง ยืนอยู่หน้าประตูเรียกชื่อเขา

“ข้าอยู่”

“ลุกขึ้นเดินออกมา”

เติ้งอิงลุกขึ้นยืน ขันทีที่อยู่ด้านข้างคนหนึ่งพลันคว้าโซ่ที่แขนเขาไว้

“ผู้บัญชาการเติ้ง…” คนผู้นั้นเสียงแหบแห้ง

เติ้งอิงประคองตัวยืนให้มั่นคง หันหน้ากลับไปแล้วยอบกายประคองเขาไว้ กล่าวเสียงเรียบ “เจ้าปล่อยมือเถิด”

คนผู้นั้นส่ายหน้าพลางร้องไห้ “ท่านคือท่านบรรพชนของพวกเรา ท่านโปรดช่วยชีวิตพวกเราด้วยเถิด ข้าขอโขกศีรษะให้ท่าน…ขอโขกศีรษะให้ท่าน…”

พอคนผู้นั้นกล่าวออกมาเช่นนี้คนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็คุกเข่าหมอบลง ขันทีตรวจฎีกาสูงวัยหลายคนผมเป็นสีดอกเลาหมดแล้ว แต่ละคนต่างเรียกเติ้งอิงอย่างนอบน้อม เอาหน้าผากโขกกับพื้นอย่างแรง

“หิ้วตัวขึ้นมาให้หมด!”

เหล่าผู้คุมได้ยินคำสั่งก็เข้ามา ดึงคนเหล่านี้ขึ้นมาแล้วกดร่างไว้กับผนัง

เติ้งอิงฟังเสียงร่ำไห้ภายในห้องคุมขังก็หันกายเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วพูดขึ้น “ชีวิตคนล้วนมีคุณค่า ถ้ากฎหมายอาญาเปิดทางรอดให้เพราะความสัมพันธ์ส่วนตัวได้ แล้วดวงวิญญาณของอาจารย์ข้ากับเหล่าปัญญาชนของสำนักศึกษาถงจยาจะสงบสุขได้อย่างไร พวกเจ้าอยากมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็ไม่ได้อยากตาย ยิ่งไปกว่านั้นปีนี้ข้าอายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว เป็นบุตรชายของขุนนางที่กระทำความผิด สำมะโนครัวของทั้งครอบครัวถูกลบทิ้งไปแล้ว ข้ามองตนเองด้วยความละอายใจ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนไม่ยินดีจะเอ่ยถึง”

“ผู้บัญชาการเติ้ง…”

เติ้งอิงไม่ได้พูดอีก เพียงหันกายเดินออกจากห้องคุมขัง

 

เติ้งอิงถูกพาตัวมาที่ห้องโถงของกองเจิ้นฝู่เหนือ

จางลั่วนั่งรอเขาอยู่ในห้องโถง เห็นเขาถูกพาตัวเข้ามาก็หาอะไรทับหนังสือของทางการไว้แล้วบอกว่า “ไม่ต้องคุกเข่า วันนี้ไม่ใช่การพิจารณาคดีของศาล” พอเขาพูดจบก็ยืนขึ้น เดินออกมาจากด้านหลังโต๊ะ กล่าวกับผู้คุมว่า “ปลดของบนร่างเขาออกมา”

เติ้งอิงยกมือขึ้นอย่างให้ความร่วมมือ หันกายมองไปนอกห้องโถง

ฤดูใบไม้ผลิอากาศสดใส ปุยสีขาวของเมล็ดหลิวนุ่มละเอียดปลิวปรายมาตามสายลม ลมยังคงหนาวเย็น แต่กลับพัดโชยอย่างละมุนละไมยิ่ง ลมพรูเข้ามาในแขนเสื้อของเขา ทว่าไม่รู้สึกหนาวแม้แต่น้อย

“ไม่ต้องมองแล้ว” จางลั่วเอาหนังสือปล่อยตัวนักโทษวางลงตรงหน้าเติ้งอิง “หลังจากอ่านและลงชื่อแล้ว เจ้าก็ออกไปจากที่นี่ได้แล้ว”

เติ้งอิงถอนสายตากลับมา หันไปผงกศีรษะน้อยๆ ให้จางลั่ว

“เอาเสื้อผ้าให้เขา”

เติ้งอิงรับเสื้อผ้ามา จากนั้นก็ได้ยินจางลั่วเอ่ยถาม

“ชื่อรองของเจ้าชื่อว่ากระไร”

“ฝูหลิง”

“ใครตั้งให้เจ้า”

เติ้งอิงนิ่งเงียบไปชั่วขณะแล้วบอกว่า “ท่านอาจารย์จางตั้งให้”

“จางจั่นชุนหรือ”

“ใช่”

จางลั่วก้มหน้านิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมองเติ้งอิง “กรมอาญาทูลขอให้ไต่สวนคดีสังหารโหดถงจยากับคดีจางจั่นชุนเสียใหม่ ข้ากำลังตรวจสอบเอกสารในตอนนั้น คดีจางพัวพันถึงเจ้า เจ้ามีอะไรจะชี้แจงหรือไม่”

เติ้งอิงประสานมือค้อมกายคารวะจางลั่วแทบจรดพื้น “ขอใต้เท้าช่วยสะสางคดีที่ไม่เป็นธรรมให้อาจารย์ของข้าด้วย”

“หากสะสางคดีที่ไม่เป็นธรรมให้เขา เช่นนั้นคนผิดในคดีโรงกระเบื้องก็ต้องเป็นเจ้า” จางลั่วมองเขาแล้วกล่าวต่อด้วยเสียงเยียบเย็น “เติ้งฝูหลิง เจ้าเป็นคนเดียวของสำนักกิจการฝ่ายในที่ได้เดินออกไปจากคุกหลวงอย่างมีชีวิตและได้กลับเข้าทำงานตามเดิม เหออี๋เสียนตายแล้ว เจ้าก็คือเป้าหมายที่ราษฎรทั่วไปจะโจมตี ตอนนี้ความผิดแม้เพียงเล็กน้อยก็จะทำให้เจ้าตกอยู่ในอันตรายทันที”

เติ้งอิงกดข้อมือ ก้มหน้าบอกว่า “ข้ามีความผิดติดตัวมากมาย คดีโรงกระเบื้องไม่เพียงพอให้สภาขุนนางพิจารณา”

“ดังนั้นเจ้าไม่ใส่ใจหรือ”

“ใส่ใจ”

“ใส่ใจอะไร”

“ใส่ใจว่าจะมีชีวิตอยู่ข้างนอกได้สักกี่วัน”

“ได้” จางลั่วยกชายชุดคลุมยาวก้าวเข้าไปด้านหลังโต๊ะ “ข้าไม่ถ่วงเวลาเจ้าแล้ว”

ประตูข้างทางทิศตะวันตกของกองเจิ้นฝู่เหนือถูกเปิดออก กลิ่นหอมของเกาลัดคั่วน้ำตาลพุ่งเข้ามาปะทะใบหน้าเติ้งอิง

เจ้าของแผงเกาลัดกล่าวกับสตรีที่เขย่งเท้ามองมาในกระทะด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “แม่นางใจร้อนยิ่ง รออีกสักประเดี๋ยวเถิด กำลังไฟไม่พอ ข้างในยังไม่หวาน”

“ยังอีกนานเพียงใด”

สตรีที่พูดแต่งกายเรียบง่าย ใส่เสื้อฤดูหนาวคอไขว้ สวมกระโปรงหม่าเมี่ยน* ใช้แถบผ้าสีน้ำเงินผูกผม

“หวั่นหวั่น”

“หืม?” หยางหวั่นเงยหน้ามองเติ้งอิงด้วยท่าทีแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มเหมือนยิ้มเยาะตนเอง “คิดจะซื้อเกาลัดให้ท่าน แต่คั่วอยู่นานแล้วก็ยังไม่เสร็จ”

“เจ้าชอบซื้อของกินให้ข้าอยู่เรื่อย”

“เหตุใดข้าต้องไม่ทำเช่นนั้นเล่า” หยางหวั่นพูดพลางเดินไปหาเขา “ข้าชอบเห็นท่านกิน เวลากินท่านจะตั้งอกตั้งใจยิ่ง บางครั้งยังยิ้มด้วย”

ขณะที่นางพูดอยู่นั้นเจ้าของแผงที่อยู่ด้านหลังก็ร้องเรียก “แม่นาง เกาลัดคั่วเสร็จแล้ว”

หยางหวั่นรีบหันกายไปบอก “จะไปเดี๋ยวนี้” พอพูดจบก็คว้ามือเติ้งอิงมากุมไว้ “จูงท่านเช่นนี้ ข้อมือของท่านเจ็บหรือไม่”

“ไม่เจ็บ”

“เช่นนั้นท่านก็ตามข้ามา”

นางไม่ได้กุมข้อมือของเติ้งอิงเหมือนเมื่อก่อน แต่เกาะกุมนิ้วมือของเขาไว้อย่างเป็นธรรมชาติ

เทียบกับเติ้งอิงแล้วมือของหยางหวั่นอบอุ่นยิ่ง ความรู้สึกในการสัมผัสทำให้เติ้งอิงย้อนนึกถึงคืนก่อนที่เขาจะถูกลงทัณฑ์ เขาเคยผลักหน้าต่างห้องลงทัณฑ์ออกไป เฝ้ารอคอยคนที่ร่างกายอบอุ่นกว่าเขาปรากฏตัวขึ้น และนางก็ปรากฏตัวขึ้นจริงๆ เพราะนางผู้นี้ ความน่าสังเวชในชีวิตของเขาแทบจะมลายหายไป

“สองห่อเป็นเงินเท่าไร” หยางหวั่นถามเสียงใส

เจ้าของแผงมองเติ้งอิงคราหนึ่ง ยิ้มแล้วบอกว่า “เหตุใดท่านถึงไม่ถามเองเล่า”

“อ้อ…” เติ้งอิงขัดเขินเล็กน้อย “เท่าไร…”

“เขาไม่มีเงิน”

“อะไรนะ”

เจ้าของแผงเงยหน้าขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ แต่บุรุษที่อยู่ตรงหน้ากลับยิ้มอย่างเขินอายแล้วบอกตามตรง

“ใช่ ข้าไม่มีเงิน”

หยางหวั่นก้มหน้าลงหยิบเงินครึ่งพวงออกมาจากในแขนเสื้อ

“เท่านี้พอหรือไม่”

“พอแล้วๆ”

หยางหวั่นจูงมือเติ้งอิง “ท่านดู ท่านอยากได้ห่อใด”

เติ้งอิงก้มหน้าบอก “ห่อใดก็ได้”

“ได้” หยางหวั่นค้อมกายลงไปหยิบขึ้นมาสองห่อแล้วยื่นส่งให้ถึงมือเติ้งอิง “ถือให้ดี ข้าจะจ่ายเงิน”

เจ้าของแผงมองคนทั้งสอง ยิ้มแต่ไม่ได้พูด

“ไป เติ้งอิง พวกเรากลับกันเถิด” หยางหวั่นพูดจบก็รับเกาลัดมาจากมือเติ้งอิง

“หวั่นหวั่น เจ้าแกะกินไปเถิด ข้าจะเป็นคนถือ”

“ท่านถือไว้มือไม่เจ็บหรือ” นางกล่าวจบก็หันหลังไป “ท่านเดินตามข้ามาเถิด”

“ไปที่ใดหรือ”

“กลับเรือน”

เติ้งอิงหยุดเดิน “ใกล้จะถึงเวลาห้ามเข้าวังแล้ว”

หยางหวั่นหอบห่อเกาลัดไว้แล้วหันกายมามองเติ้งอิงแล้วบอกว่า “มีเรื่องหนึ่ง ข้าลืมบอกท่านไป”

“อะไรหรือ”

“ข้าออกจากวังแล้ว”

“ออกจากวังหรือ”

“ใช่”

“เจ้ากลับจวนสกุลหยางแล้วหรือ”

หยางหวั่นยิ้มพลางสั่นศีรษะ “ในเมื่อพวกเราเคยให้คำมั่นสัญญากันไว้ เพราะเหตุใดข้ายังต้องกลับไปจวนสกุลหยางเล่า เรือนนอกวังของท่านตอนนี้ถูกปิดตายอยู่ ข้าจึงไปอยู่ที่ร้านชิงปอก่วนชั่วคราว อืม…ทว่า…ระยะนี้ร่างกายข้าไม่ค่อยดี หลายเรื่องดูแลไม่ทั่วถึง อีกทั้งในร้านยังมีผู้คนอยู่มาก ถ้าจะพักฟื้นอาจเสียงดังไปสักหน่อย ข้าต้องกลับไปบอกพวกเขาสักคำว่าอย่ารบกวนท่าน”

เติ้งอิงมองหยางหวั่น “เจ้าเป็นอะไร”

“ก็เหมือนกับเมื่อก่อน” หยางหวั่นบอก “ป่วยแล้วไม่กินยา ถ่วงเวลาไปมาก็เป็นหนักแล้ว”

“ข้า…” เติ้งอิงลำคอตีบตันหายใจไม่ออก “เพราะอะไรเจ้าถึงไม่กินยา”

หยางหวั่นเงยหน้าขึ้นยิ้ม “วางใจได้ ข้าไม่เหมือนท่าน ข้าไม่ได้ป่วยเพราะลงโทษตนเอง ข้าเพียงแต่ไม่อยากทิ้งความผิดอะไรไว้ก่อนออกจากวัง ฝ่าบาทดีต่อข้าเกินไป ข้าย่อมมีความผิด” นางกล่าวจบก็หยุดไปชั่วขณะ จากนั้นก็กดเสียงลงต่ำเล็กน้อย “ท่านก็เช่นกัน”

“อืม”

“อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้ กลับเรือนไปกับข้าเถิด คืนนี้ไม่กินบะหมี่ที่ข้าต้มแล้ว อวิ๋นชิงลงครัวทำหม้อไฟ หัวหน้าเฉินก็อยู่ที่นั่น ทั้งยังหิ้วกระต่ายมาตัวหนึ่ง อ้วนท้วนเชียว ท่านกลับไปอาบน้ำก่อน อาบน้ำเสร็จก็กินได้พอดี”

เติ้งอิงถาม “ซ่งจั่งปินสบายดีหรือ”

“ซ่งจั่งปินอะไร ท่านยังคิดว่านางอยู่ในวังหรือ เวลานี้นางช่วยข้าดูแลจัดการโรงพิมพ์ที่อยู่ด้านหลังร้านชิงปอก่วน ไม่ต้องพูดถึงว่าทำให้ข้าเบาใจมากเพียงใด” นางพูดพลางยิ้มจนคิ้วและนัยน์ตาโค้ง “เติ้งเสี่ยวอิง ท่านว่าข้าร้ายกาจหรือไม่ ข้าสามารถซื้อของกินให้ท่าน รักษาอาการป่วยให้ท่าน ทั้งยังทำให้ทุกคนมีงานทำ มีเนื้อกิน”

เติ้งอิงอมยิ้มพลางพยักหน้า “ใช่ หวั่นหวั่น เจ้าดีมากจริงๆ”

“เช่นนั้นประเดี๋ยวท่านต้องกินเนื้อกระต่ายให้มากหน่อย”

“เกาลัดไม่กินแล้วหรือ”

“ใครบอกไม่กินเล่า ต้องกินด้วย”

เติ้งอิงก้มหน้าหัวเราะออกมา “หวั่นหวั่น ข้ากินมากมายเพียงนั้นไม่ไหว”

หยางหวั่นนิ่งอึ้ง “ข้าก็เหลือเกิน พอดีใจขึ้นมาก็ทำอะไรวุ่นวายไปหมด” นางกล่าวจบก็เอาเส้นผมทัดหู “กินไม่ไหวพรุ่งนี้ก็ค่อยกินอีก ไม่ต้องกลัว วันเวลายังอีกยาวนาน”

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 2 .. 68

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: