บทที่ 18 ทรายเงินหยกเจียระไน
วันนี้ร้านชิงปอก่วนปิดประตูห้องโถงด้านนอก เฉินฮว่าพาสหายร่วมงานจัดเก็บลานที่โรงพิมพ์ด้านหลังให้มีพื้นที่ว่างเพื่อจัดวางโต๊ะเก้าอี้
ซ่งอวิ๋นชิงถืออ่างล้างผักออกมาจากห้องครัว “ทุกอย่างพร้อมแล้วหรือ”
“พร้อมแล้ว”
ซ่งอวิ๋นชิงหันกายเดินเข้าไปข้างใน “เช่นนั้นท่านก็สาดน้ำทิ้งเสียแล้วเข้ามาช่วยข้าดูไฟ”
เฉินฮว่าเทน้ำทิ้ง สะบัดมือไปพลางเอ่ยไปพลาง “ไม่ใช่จะกินหม้อไฟหรือ ยังจะทำอะไร”
ซ่งอวิ๋นชิงเปิดฝาหม้อบนเตา “ตอนหยางหวั่นออกไปได้สั่งกำชับให้ต้มไว้โดยเฉพาะ”
เฉินฮว่าขยับเข้าไปดูใกล้ๆ “เอ็นกีบเท้าวัว ดีต่อขา แม่นางหยางคิดได้ทุกอย่างจริงๆ”
ซ่งอวิ๋นชิงหัวเราะออกมา
เฉินฮว่าหน้าแดงขึ้นมาทันที “เจ้าหัวเราะอะไร”
ซ่งอวิ๋นชิงชี้ไปที่ข้างเตา “ข้าก็หมักเนื้อไว้ วางอยู่ตรงนั้น”
เฉินฮว่าฟังแล้วก็วิ่งเข้าไปดูด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เปิดฝาชามสูดดมคราหนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าบอกว่า “ขอบคุณเจ้า!”
“ไม่ต้อง” ซ่งอวิ๋นชิงล้างมือ “ท่านอยู่ในวังลำบากกว่าข้า ดูแลตนเองให้ดี”
“เฮ้อ” เฉินฮว่าโบกมือ “ข้านับเป็นอะไร ไฉนเลยจะคู่ควรให้เจ้าสิ้นเปลืองสมอง”
มือที่เปิดฝาหม้อของซ่งอวิ๋นชิงชะงักเล็กน้อย กล่าวเสียงเบา “พูดอะไร”
เฉินฮว่ารีบบอก “ไม่มีอะไรๆ ข้าจะช่วยดูไฟให้เจ้า”
น้ำแกงในหม้อกำลังเดือด ทั้งสองคนต่างไม่ได้พูดจา ดวงตาของเฉินฮว่าถูกไฟในเตารมจนแดงก่ำ เขาเอามือลูบดวงตาคราหนึ่ง มองไฟในเตาพลางเอ่ยขึ้น
“เดินออกมาได้ช่างดียิ่งนัก อยู่กับแม่นางหยางได้ใช้ชีวิตอย่างมีอิสระ ต่อไปไม่แน่ยัง…”
“ยังอะไรหรือ”
“ยัง…” เฉินฮว่าพูดไม่ออก
ซ่งอวิ๋นชิงก้มหน้าบอก “ข้าไม่คิดจะแต่งงานแล้ว”
เฉินฮว่าลุกขึ้นมาทันที “จะไม่แต่งงานได้อย่างไร”
ซ่งอวิ๋นชิงเงยหน้ามองเฉินฮว่ายิ้มพลางบอกว่า “หยางหวั่นไม่ได้แต่งงาน หัวหน้าเจียงก็ไม่ได้แต่งงาน ไม่ใช่ก็มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายดีหรือ”
เฉินฮว่าอดยกมุมปากขึ้นไม่ได้ แต่กลับไม่กล้าให้ซ่งอวิ๋นชิงเห็น รีบหันหลังไป “ใช่…ใช่ ต่างมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายดี”
ซ่งอวิ๋นชิงตบบ่าเขาเบาๆ “ดูไฟ ข้าจะออกไปดูว่าหยางหวั่นกับผู้บัญชาการเติ้งกลับมาแล้วหรือยัง”
นางพูดพลางปล่อยแขนเสื้อที่พับไว้ตรงหัวไหล่ลงมา เดินเข้าไปในลานกว้าง ถือโอกาสนับจำนวนโต๊ะเก้าอี้ นับได้อยู่ครู่หนึ่งก็หันไปร้องเรียกเฉินฮว่า
“เหตุใดถึงขาดเก้าอี้ไปตัวหนึ่ง”
เฉินฮว่ารีบตามออกมานับไปรอบหนึ่ง “หืม? ไม่ขาดนี่” พูดจบก็หันกายมากล่าวเสียงเบา “หรือว่าพระชายาก็จะนั่งร่วมกับพวกเราด้วย”
ขณะที่พูดอยู่นั้นก็มีคนงานคนหนึ่งจับประตูร้องถามว่า “เถ้าแก่กลับมาแล้ว แม่นางซ่ง น้ำต้มเสร็จแล้วหรือยัง”
ซ่งอวิ๋นชิงตอบว่า “เสร็จแล้ว พวกเจ้ายกไปเถิด”
หลังจากหยางหวั่นซื้อร้านชิงปอก่วนมา นี่เป็นครั้งแรกที่เติ้งอิงมาที่นี่
หยางหวั่นไม่ได้เปลี่ยนแปลงการตกแต่งจัดวางข้าวของในร้านมากนัก ห้องโถงด้านนอกใช้สำหรับจัดวางหนังสือต่างๆ ตามหมวดหมู่ เมื่อเดินผ่านห้องโถงด้านนอกจะเป็นระเบียงทางเดินเชื่อม บนระเบียงมีอ่างน้ำเครื่องลายครามสีฟ้าขาววางอยู่สองใบ ในอ่างปลูกดอกบัวไว้ ต่อจากหน้าระเบียงมีประตูกั้นอยู่บานหนึ่ง เดินเข้าไปก็จะเป็นลานของโรงพิมพ์ด้านใน
หยางหวั่นผลักประตูห้องหนึ่งออก ก้มลงจุดตะเกียงน้ำมันที่หน้าประตู ยอบกายลงไปเปลี่ยนรองเท้าคู่หนึ่งแล้วหยิบอีกคู่หนึ่งวางไว้ข้างเท้าเติ้งอิง
“เปลี่ยนรองเท้า”
เติ้งอิงก้มหน้าลงมอง นั่นเป็นรองเท้าแตะที่ทำจากผ้าคู่หนึ่ง คล้ายรองเท้าอู๋ชวน* ข้างในบุด้วยปุยฝ้าย ด้านหลังตรงส้นเท้าไม่ได้เย็บปิด
“ข้าก็ไม่รู้ว่าเรียกรองเท้าอะไร แต่ใส่อยู่ในเรือนสบายอย่างยิ่ง แผลที่ข้อเท้าท่านนับวันยิ่งย่ำแย่ลง ข้าเห็นเมื่อครู่ท่านเดินตามข้าอย่างยากลำบาก ต่อไปถ้าไม่ได้ออกไปที่ใด ท่านก็สวมรองเท้านี้เถิด”
“ได้”
หยางหวั่นก้มหน้ามองไปที่เท้าของเติ้งอิง ยิ้มพลางบอกว่า “ขอบอกก่อน รองเท้าของท่านคู่นี้ข้าไม่ได้เป็นคนทำ ฝีมือข้าไม่ดีเพียงนั้น”
เติ้งอิงถามขึ้น “แม่นางซ่งเป็นคนทำหรือ”
หยางหวั่นสั่นศีรษะ “ไม่ใช่ เป็นพี่หญิงทำให้ท่าน”
“พระชายาหรือ” เติ้งอิงตกตะลึง พูดจบก็รีบถอดออก
“อย่าถอด”
มีเสียงสตรีผู้หนึ่งดังมาจากนอกประตู เติ้งอิงหันกายไปก็เห็นหยางสวี่ นางผูกแขนเสื้อขึ้น ถือตะกร้าเย็บปักใบหนึ่งยืนอยู่
“พระชายา” เติ้งอิงคุกเข่า หมอบลงโขกศีรษะ
หยางสวี่ส่งตะกร้าเย็บปักให้หยางหวั่น ก้มตัวลงประคองเติ้งอิง “รีบลุกขึ้นเถิด”
เติ้งอิงไม่กล้าลุกขึ้น
หยางหวั่นก้มหน้าบอกว่า “ถ้าท่านไม่ลุกขึ้นมาก็อย่าให้พี่หญิงต้องก้มอยู่เช่นนั้น”
“พ่ะย่ะค่ะ…บ่าว…”
“บ่าวอะไรกัน” หยางหวั่นตัดบทเขา “นี่เป็นเรือนของข้า นางเป็นพี่สาวข้า ท่านยังไม่ยอมถอดหนังที่คลุมอยู่บนร่างท่านออกหรือ”
“ข้า…”
หยางสวี่เหยียดกายขึ้นตรง มองท่าทางทำอะไรไม่ถูกของเติ้งอิงก็อมยิ้มกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หวั่นเอ๋อร์ ผู้บัญชาการเติ้งเพิ่งกลับมา เจ้าอย่าพูดจารุนแรงเกินไป”
“เจ้าค่ะ” หยางหวั่นรับคำแล้วหันมากล่าวกับเติ้งอิง “พี่สาวปกป้องท่าน ข้ายอมแล้ว”
เติ้งอิงไม่กล้ามองหยางสวี่ ก้มหน้าถามว่า “เหตุใดพระชายาถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
หยางสวี่ยิ้มอย่างอบอุ่น “หวั่นเอ๋อร์พาข้ามา” พอพูดจบก็ยอบกายคารวะเติ้งอิงตามมารยาทสตรี “หนิงเฟยป่วยตายไปแล้ว ผู้บัญชาการเติ้งไม่ต้องเรียกบรรดาศักดิ์แล้ว ถ้าท่านเต็มใจก็เรียกชื่อเถิด ข้ามีนามว่า ‘สวี่’ ”
เติ้งอิงประสานมือบอกว่า “เติ้งอิงมิกล้า”
หยางหวั่นยิ้ม “ช่างเถิด แม้แต่อวิ๋นชิงบางครั้งยังเปลี่ยนคำเรียกไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขา”
หยางสวี่ตบหลังมือหยางหวั่นแล้วพยักหน้า “ก็จริง” พอพูดจบนางก็เดินเข้ามาหาเติ้งอิงหลายก้าว “ไม่ว่าผู้บัญชาการเติ้งจะปฏิบัติต่อข้าเช่นไร ท่านก็เป็นผู้มีพระคุณของข้ากับฝ่าบาท หากไม่ใช่เพราะท่าน เกรงว่าข้ากับอี้หลางคงไม่มีวันได้เห็นท้องฟ้าเห็นตะวัน ข้ารู้ว่าท่านไม่ยอมรับของกำนัลจากข้า ดังนั้นหวั่นเอ๋อร์จะทำรองเท้าให้ท่าน ข้าเห็นนางทำได้ไม่ดีจึงช่วยนางทำ นี่เป็นการขอบคุณในบุญคุณส่วนหนึ่งของท่าน หวังว่าท่านจะรับไว้”
เติ้งอิงก้มหน้าบอก “ข้าจะนำสิ่งของที่ทำด้วยมือของท่านมาเหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้าได้อย่างไร”
“แล้วถ้า…” หยางสวี่ชะงักไปเล็กน้อย “แล้วถ้าท่านเห็นข้าเป็นพี่สาวเช่นเดียวกันกับหวั่นเอ๋อร์เล่า” นางกล่าวจบก็มองไปที่เติ้งอิง “ท่านเป็นคนที่ออกจากบ้านมาตั้งแต่เด็ก ติดตามท่านอาจารย์จางเติบโตมา เมื่อก่อนน่าจะดูแลตนเองมาโดยตลอด ได้ยินว่าท่านก็เคยมีพี่สาวอยู่คนหนึ่ง นางแต่งไปอยู่สกุลซ่ง ภายหลังสกุลซ่งย้ายไปรับตำแหน่งขุนนางที่หลิ่งหนาน นางก็ตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้จึงรอดพ้นจากความตายไปได้ แต่ก็ยากที่จะได้พบหน้าท่านอีก”
“ขอรับ…”
หยางสวี่มองเท้าของเติ้งอิง “สกุลหยางเราในรุ่นนี้มีคนไม่มาก หยางหลุนเป็นพี่ชายของข้ากับหวั่นเอ๋อร์ ถัดจากเราก็มีน้องชายเพียงคนเดียวคือหยางจิง น่าเสียดายที่ต้องแยกจากกันตั้งแต่เด็ก นานปียากจะได้พบหน้ากันสักครั้ง หลังจากข้าเข้าวังก็ไม่เคยเย็บปักอะไรให้คนในครอบครัว นี่นับเป็นครั้งแรก…” นางพูดพลางหัวเราะ “ถ้าผู้บัญชาการเติ้งไม่ยินดีจะเห็นของสิ่งนี้เป็นการขอบคุณจากข้าก็ถือว่าเป็นน้ำใจเล็กน้อยเถิด”
พอกล่าวจบก็ไม่รอคำตอบจากเติ้งอิงอีก หันไปกล่าวกับหยางหวั่นต่อ
“เข็มด้ายที่เจ้าต้องการเอามาให้เจ้าแล้ว เจ้าเก็บไว้ก่อน อย่าเพิ่งทำอะไร รอวันใดอวิ๋นชิงว่างแล้วค่อยให้มาสอนเจ้าด้วยกัน”
หยางหวั่นหัวไหล่ลู่ลง “ได้…ข้าจะเรียน”
หยางสวี่อมยิ้มพยักหน้าน้อยๆ “ข้าจะไปห้องครัวดูอวิ๋นชิง”
หยางหวั่นมองเงาด้านหลังของหยางสวี่แล้วพิงแขนเติ้งอิงเบาๆ “มีพี่สาวคนหนึ่งก็ดีมากกระมัง”
เติ้งอิงหันหน้ามาบอก “หลังจากข้าเป็นขุนนางที่มีความผิด สำมะโนครัวของครอบครัวก็ถูกลบทิ้งไปแล้ว ข้าไม่มีครอบครัว”
“ข้ารู้” หยางหวั่นคล้องแขนเขา หลับตาแล้วเอ่ยว่า “ท่านอยากอยู่ร่วมกับพวกเราเช่นไรก็ได้ทั้งนั้น”
ลมจากระเบียงประตูพัดโชยมาเบาๆ พัดเสื้อกระโปรงเนื้อนุ่มของหยางหวั่นปลิวไสว นางแต่งตัวเช่นหญิงชาวบ้าน มวยผมของนางคลายออก พอลมพัดมาก็ปลิวจนยุ่งเหยิง นางเอื้อมมือไปจับไว้ นิ้วมือปัดผ่านแก้ม เผยความงามเปี่ยมเสน่ห์ที่เจือด้วยความซีดเซียวออกมาให้เห็นรางๆ
“นั่งสักครู่เถิด”
“ได้”
เติ้งอิงนั่งลงเหยียดขาออกไป ยกมือขึ้นประคองหยางหวั่นให้นั่งลงด้วย
หยางหวั่นยื่นเท้าตนเองออกไปวางอยู่ข้างเท้าของเติ้งอิง รองเท้าอ่อนนุ่มสองคู่วางอยู่ข้างกัน แสงโคมไฟด้านหลังประตูแผ่ปกคลุมแผ่นหลังของคนทั้งสองดูอบอุ่นยิ่ง ควันไฟในลานกว้างค่อยๆ ลอยขึ้น น้ำแกงเนื้อต้มเดือด ในสายลมเริ่มมีกลิ่นหอมของน้ำมันและไขมันปะปนมา
หยางหวั่นพิงหัวไหล่เติ้งอิง “เติ้งอิง”
“ข้าอยู่”
“ถ้าให้ท่านเลือกอีกครั้ง ท่านยังจะเป็นผู้บัญชาการสำนักบูรพาหรือไม่”
“เป็น” เติ้งอิงตอบพลางมองต้นไม้ใบหญ้าในลานกว้าง จากนั้นก็หลุบตาลง “แต่ถ้าข้ารู้ว่าจะได้พบเจอเจ้า ตลอดเส้นทางนี้ข้าจะเดินอย่างรอบคอบระมัดระวังมากขึ้น อย่างน้อยก็ไม่อาจหว่านเงินออกไปจนหมด กลายเป็นบุรุษขยะเช่นนี้”
“กลายเป็นอะไรนะ”
“บุรุษขยะ”
“ฮ่าๆๆ” หยางหวั่นหลับตาหัวเราะออกมา “ท่านยังจำได้หรือ”
“คำพูดที่เจ้าพูดข้าล้วนจำได้”
“เช่นนั้นก่อนหน้านี้ที่ข้าบอกว่าวันเวลายังอีกยาวนาน ท่านจะจำไว้หรือไม่”
เติ้งอิงไม่ได้พูดอะไร แต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือหยางหวั่นถึงกับไม่ได้บังคับให้เขาตอบ
“ข้าเห็นคนในครอบครัวที่เหลืออยู่ของปัญญาชนสำนักศึกษาถงจยาเข้ามาเมืองหลวงแล้ว”
“ใช่ ยังมีบุตรชายของท่านอาจารย์ เขาก็มาแล้ว”
หยางหวั่นไอออกมาทีหนึ่ง “สองคดีนี้จะไต่สวนใหม่แล้ว”
“ใช่”
“สองคดีนี้จะเอาชีวิตท่านหรือไม่”
“ไม่” เติ้งอิงสั่นศีรษะ พูดจบก็เอามือแตะปลายคางหยางหวั่น “หวั่นหวั่น แม้ข้าจะเป็นคนต่ำต้อย แต่สำหรับข้าเป็นตายล้วนอยู่ที่ใจ ชีวิตนี้ของข้าเพียงยินยอมมอบโซ่ตรวนไว้ในมือเจ้า เจ้าจูงข้าไปก็พอ ไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นจะมองข้าอย่างไร และไม่ต้องไปสร้างความลำบากใจให้จื่อซีเพื่อข้า”
“ข้ารู้” หยางหวั่นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง “ท่านหาได้ต่ำต้อยกว่าคนในสภาขุนนางเหล่านั้น ตรงกันข้ามเมื่อเทียบกับพวกเขาแล้วท่านยังสูงส่งกว่า ท่านวางใจเถิด ข้าจะไม่เหยียบย่ำเกียรติศักดิ์ศรีของท่านอย่างแน่นอน คนของสภาขุนนางจะปฏิบัติต่อท่านอย่างไรข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยว ให้พวกเขาเคี่ยวกรำไป ข้าเพียงเดิมพันความเข้าใจที่ข้ามีต่อท่าน”
“หวั่นหวั่น เจ้าเพิ่งรู้จักข้าเพียงสี่ปีเท่านั้น”
ไม่เพียงแค่นั้น ไม่ใช่เพียงแค่นั้น
หยางหวั่นได้แต่กล่าวคำพูดหลายคำนี้อยู่ในใจ
นางก้มหน้าก้มตาอยู่กับกองกระดาษเก่ามาสิบปี เขียน ‘ชีวประวัติเติ้งอิง’ ขึ้นมาเล่มหนึ่ง เวลานี้เมื่อมองย้อนกลับไป บทความนั้นดูเป็นงานเป็นการและแข็งกระด้างเพียงนั้น ทั้งชีวิตของเขาขึ้นๆ ลงๆ แต่กลับไม่มีความดีใจโกรธเศร้าและความสุข
และบุรุษในบันทึกนั้นดุจหยกที่แตกหัก ดุจดวงจันทร์ที่บุบสลาย ดุจต้นสนที่ถูกลมพัดทำลาย ดุจนกกระเรียนที่เกาะอยู่ในโคลนทะเลสาบเพราะได้รับบาดเจ็บ
ด้วยโอกาสและเหตุบังเอิญ เขามาหมอบอยู่เบื้องหน้าหยางหวั่น สองมือประคองความเจ็บปวดรวดร้าวและความสุขทั้งชีวิตมามอบให้นางทั้งหมด
สมุดบันทึกในมือหยางหวั่นเล่มนี้ได้บันทึกอาการเจ็บป่วยและการต่อสู้ดิ้นรนภายในใจของเขาเอาไว้ รวมทั้งการใช้ประโยชน์และการกดขี่บีบคั้นเขาของอาณาจักรต้าหมิง เขาเป็นหัวข้อสำคัญสำหรับการศึกษาวิจัยประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด และเป็นคนที่มีชีวิตคนหนึ่งในรัชสมัยเจินหนิง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือการอุทิศตนที่ผู้เป็นหัวข้อการวิจัยมีต่อผู้วิจัย
เหมือนเป็นการขอบคุณในการมาของหยางหวั่น เขาได้ตอบทุกข้อสงสัยในการทำงานด้านวิชาการของหยางหวั่น ทำให้นางประสบความสำเร็จ แต่เขาก็ทำให้นางเป็นชนรุ่นหลังผู้โดดเดี่ยวเดียวดายที่ได้รู้แจ้งเห็นจริงในทุกสิ่งทุกอย่างเพียงคนเดียว
ด้วยเหตุนี้หยางหวั่นจึงไม่อาจตัดใจละทิ้งเติ้งอิงได้
(ติดตามต่อได้ในรูปแบบฉบับเต็มได้ในเดือนกันยายน 2568)
Comments
comments
No tags for this post.