บทนำ
บนโลกนี้มีการเดินทางข้ามกาลเวลาที่สมบูรณ์แบบอยู่หรือไม่
น่าจะมีอยู่
หยางหวั่นก็คือคนโชคดีที่ได้เดินทางข้ามกาลเวลาครั้งนี้
หลายคนต่างบอกว่าร่ำเรียนวิชาการสิบปีทุ่มเทด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตาสิบปี หยางหวั่นเลือกเส้นทางที่ยากลำบากเกินว่าคนธรรมดาทั่วไป ทั้งมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเดินไปจนสุดทาง ต่อสู้รบรากับกองกระดาษเก่าที่บันทึกเรื่องราวของขันทีคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงที่ชื่อ ‘เติ้งอิง’ อยู่ฝ่ายเดียวเป็นเวลาสิบปี
เติ้งอิงเป็นบุคคลที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์มากคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง ว่ากันว่าเขามีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา แต่มีจุดบกพร่องอยู่อย่างหนึ่งคือเขาเคยได้รับบาดเจ็บจากการถูกลงโทษ ส่งผลให้เขามีอาการบาดเจ็บเรื้อรังที่ขา เวลาอาการกำเริบจะเดินเหินไม่ค่อยสะดวก
ทว่านอกจากด้านรูปร่างหน้าตาที่ได้รับคำชมแล้ว ในด้านอื่นโดยพื้นฐานแล้วคนผู้นี้จะถูกบรรยายอย่างด้อยค่ายิ่งกว่าสุนัข
ในตอนนั้นคนสมัยราชวงศ์ชิงปรับปรุงเรียบเรียง ‘ประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง’ ก็แทบจะเอาคำพูดชั่วร้ายที่คว้านเนื้อแทะกระดูกทุกคำที่มีอยู่ในโลกมาตัดสินเขา
อย่างไรก็ตามภายหลังในหนังสือรวมผลงานด้านวรรณกรรมที่หยางหลุนซึ่งเป็นผู้ช่วยราชเลขาธิการสภาขุนนางในรัชสมัยเจินหนิงแห่งราชวงศ์หมิงประพันธ์ขึ้นกลับยกย่องเติ้งอิงว่าเป็น ‘สหายสนิท’ ของตน
เป็นความจริงที่ว่าข้อมูลทางประวัติศาสตร์มีมากมายมหาศาล แต่ผู้คนในอดีตที่จากไปแล้วถึงอย่างไรก็เป็นดั่งภาพมายา
ชีวิตนักวิชาการของหยางหวั่นเรียกได้ว่าต้องทุ่มเทสมองและชีวิตจิตใจ ในที่สุดเธอก็สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกในปีที่อายุครบยี่สิบแปด ทั้งยังเขียนงานวิจัยเชิงวิชาการของตนเรื่อง ‘ชีวประวัติเติ้งอิง’ เสร็จสิ้นพอดี
ทว่าในขั้นตอนการทำงานวิจัยมีความยากลำบากเป็นอย่างมาก
เติ้งอิงถูกจัดให้อยู่พวกเดียวกับหวังเจิ้น และเว่ยจงเสียนมาโดยตลอด เป็นขันทีกังฉินของราชวงศ์หมิง
คำจำกัดความที่วงการการศึกษามีต่อคนผู้นี้ได้กำหนดขึ้นตั้งแต่ช่วงการศึกษาประวัติศาสตร์ในสมัยสาธารณรัฐแล้ว นักวิชาการรุ่นหลังส่วนใหญ่คล้อยตามมุมมองนี้ และต่างก็ขยายมุมมองของตนออกไปไม่หยุด
แต่หยางหวั่นกลับไม่เห็นด้วย
เธอใช้คำวิจารณ์ที่หยางหลุนมีต่อเติ้งอิงเป็นจุดสำคัญ และพยายามค้นหาร่องรอยชีวิตที่แท้จริงของคนผู้นี้จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์และข้อคิดเห็นต่างๆ อย่างรอบคอบและจริงจัง
ความรู้ทางด้านสถาปัตยกรรมอย่างลึกซึ้งของเขา ชีวิตในวังของเขา ความเชื่อมั่นศรัทธาในชีวิตของเขา…ทุกแง่ทุกมุม เพื่อเพิ่มเติมข้อมูลให้กับคนรุ่นก่อน แต่ที่มากยิ่งกว่าคือการล้มล้างทฤษฎีที่ไม่ถูกต้อง
ทำงานวิจัยทางวิชาการมาสิบกว่าปี เธอตัวคนเดียวทำให้รู้สึกโดดเดี่ยวอย่างมาก
ตอนเขียน ‘ชีวประวัติเติ้งอิง’ หยางหวั่นแทบจะอาศัยกำลังของตนเองคนเดียวต่อสู้กับทัศนะที่ต่อต้านของวงการการศึกษาทั้งหมด
ต้นฉบับงานวิจัยถูกตีกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งก่อนและหลังการส่งต้นฉบับงานวิจัยเข้ารับการพิจารณาก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคไม่น้อย
โชคดีที่ในที่สุดเธอก็สำเร็จการศึกษาด้วยความเข้มแข็งของตนเอง
เช่นเดียวกับดุษฎีบัณฑิตหญิงหลายคนที่นอนตายอยู่ในอ้อมแขนของวิชาการ ช่วงเวลาที่โหดร้ายต่อตนเองนี้ทำให้หยางหวั่นได้ลิ้มรสความสนุกสนานในการสื่อสารกับผู้คนบนกระดาษในอีกโลกหนึ่ง และชีวิตของเติ้งอิงก็ถูกเธอพลิกเปลี่ยนไปเพราะเหตุนี้
หยางหวั่นยังเห็นว่าชีวิตขึ้นๆ ลงๆ ในแวดวงขุนนางและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลของคนผู้นี้ในงานวิจัยนี้น่าจะเขียนไว้อย่างครอบคลุมหมดแล้ว เพียงแต่เสียดายที่ขาดเรื่องความรัก แม้ในข้อมูลเอกสารด้านประวัติศาสตร์ที่ไม่น่าเชื่อถือต่างๆ จะพูดถึงอย่างคลุมเครือ แต่ก็ไม่มีข้อเท็จจริงให้ยืนยันได้
หยางหวั่นรู้สึกเสียใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ สวรรค์ก็ดูเหมือนจะเสียใจเช่นกัน
ครั้นแล้วในวันที่ ‘ชีวประวัติเติ้งอิง’ ตีพิมพ์ออกมา หยางหวั่นที่อยู่ในงานประชุมเชิงวิชาการงานหนึ่งก็เดินทางข้ามกาลเวลาไปอย่างเรียบง่าย
รัชศกเจินหนิงปีที่สิบสองเป็นปีที่ ‘ชีวประวัติเติ้งอิง’ เริ่มต้นขึ้นพอดี
หยางหวั่นเขียนไว้ในบทแรกของ ‘ชีวประวัติเติ้งอิง’ ดังนี้
‘รัชศกเจินหนิงปีที่สิบสองเป็นปีที่มีความพลิกผันอย่างมากในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง เติ้งอี๋ ราชเลขาธิการสภาขุนนางถูกประหาร คล้ายว่าในที่สุดราชวงศ์หมิงที่ตกอยู่ในค่ำคืนอันแสนยาวนานได้เห็นแสงสว่างรำไรแล้ว ยากที่จะบอกได้ว่าชีวิตของเติ้งอิงจบสิ้นลงในปีนี้หรือเริ่มต้นขึ้นในปีนี้’
แต่ถ้าหากหยางหวั่นได้รับโอกาสอีกครั้ง เธอจะไม่มีวันเขียนบทแรกที่ดูดีและน่าเบื่อเช่นนี้แน่นอน
เธอจะต้องเปลี่ยนถ้อยคำสำนวนเป็นอีกแบบหนึ่ง เธอจะต้องขยับปากกาเขียนดังนี้…
‘รัชศกเจินหนิงปีที่สิบสอง ในที่คุมขังนักโทษที่หนานไห่จื่อ เติ้งอิงเข้าใจผิดในตัวฉันไปมาก เขาเข้าใจว่าฉันเป็นผู้หญิงคนเดียวในโลกที่ไม่ยอมแพ้ต่อชีวิตที่เหลืออยู่ของเขา แต่ความจริงแล้วฉันเป็นเพียงผู้หญิงประหลาดในแวดวงวิชาการคนหนึ่งที่พยายามจะฉกฉวยข้อมูลจากตัวเขาเท่านั้น’
บทที่ 1.1 นกกระเรียนบาดเจ็บกับดอกฝูหรง
รัชศกเจินหนิงปีที่สิบสอง ช่วงหนาวที่สุดของฤดูหนาว
ปีนี้หิมะตกช้ากว่าปีที่แล้วไปเกือบเดือน ความหนาวเย็นในใต้หล้าหลอมรวมกับลมหนาวและความแห้งแล้ง ทำให้หนาวยะเยือกจนผู้คนยกหัวไหล่งอแผ่นหลัง ณ หนานไห่จื่อ ลานล่าสัตว์ของราชวงศ์ที่ครอบคลุมพื้นที่เกือบสามแสนหมู่ ซึ่งอยู่ด้านนอกกำแพงวังทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวง ชาวไร่ชาวนาทั้งหมดที่นั่นต่างกำลังเฝ้ารอคอยหิมะแรกของปีนี้
เติ้งอิงพิงอยู่ที่ผนังหิน เบื้องหน้าเป็นคนน่าสงสารกลุ่มใหญ่ที่สวมเสื้อผ้าเนื้อบางเช่นเดียวกับเขา
คนเหล่านั้นรวมตัวกันเป็นกลุ่มสามถึงห้าคนซุกตัวอยู่ตามมุมต่างๆ จ้องมองเติ้งอิงอยู่เงียบๆ ส่วนใหญ่อารมณ์ความรู้สึกบนใบหน้าออกจะซับซ้อน เติ้งอิงขยับขาที่สวมเครื่องพันธนาการไปข้างหลังสองสามชุ่นขากางเกงผ้าเนื้อหยาบก็คลายลงมา พอจะปกปิดบาดแผลที่เกิดจากการเสียดสีที่ข้อเท้าของเขาไปได้บ้าง เขาเพียงขมวดคิ้วแต่ไม่ได้พูดอะไร
บุรุษผู้หนึ่งเหยียดขาที่ขดงอของเขาออกแล้วยืนขึ้น ฉีกผ้าชิ้นหนึ่งออกมาจากเสื้อผ้าของตนท่ามกลางสายตาทุกคน ยื่นให้เติ้งอิงอย่างไม่ค่อยมั่นใจแล้วพูดกับเขาอย่างขลาดกลัว
“ท่านใช้มัน…พันข้อเท้าของท่านเถิด”
เติ้งอิงก้มหน้ามองผ้าขาดสีเทาขาวผืนนั้น ทันใดนั้นก็รู้สึกราวกับว่าได้ร่วมชะตากรรมกับคนเหล่านี้
สถานที่ที่พวกเขาอยู่คือห้องยุ้งฉางของหนานไห่จื่อ ปกติจะใช้เก็บธัญพืชและเนื้อสัตว์ที่เตรียมจะส่งเข้าวังหลวง แต่ตอนนี้ในห้องแทบจะว่างเปล่า มีเนื้อแห้งเพียงไม่กี่ชิ้นแขวนอยู่บนขื่อคานอย่างโดดเดี่ยว
การเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงไม่ค่อยได้ผลดีนัก ดังนั้นหลังผลัดเปลี่ยนฤดู สำนักกิจการฝ่ายในจึงเปลี่ยนสถานที่แห่งนี้ให้เป็นค่ายกักกันชั่วคราว
ผู้คนที่อาศัยอยู่ในห้องยุ้งฉางล้วนเป็นบุรุษผู้ถูกตอนซึ่งไม่มีที่พำนักอาศัยแน่นอน
ในช่วงต้นรัชศกเจินหนิง ราชสำนักห้ามมิให้บุรุษกระทำการตอนโดยพลการ และยังกำหนดบทลงโทษรุนแรงต่อบุรุษที่หลบหนีการเกณฑ์แรงงานและหลบหนีภาษีที่นา ภาษีต่างๆ จากวังหลวง แต่ภายหลังเนื่องจากทายาทของราชวงศ์เพิ่มมากขึ้น การงานของทั้งยี่สิบสี่ที่ทำการ เริ่มซับซ้อนยุ่งยาก ความต้องการขันทีก็มีมากขึ้นทุกที ด้วยเหตุนี้คำสั่งห้ามในช่วงต้นรัชศกนั้นเวลานี้จึงกลายเป็นหนังสือคำสั่งที่ว่างเปล่าไปเสียแล้ว
คนที่หนานไห่จื่อใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ทั้งยังถูกตอน บางคนมีอายุมากแล้ว แต่บางคนยังเป็นเด็กอายุสิบสองสิบสามปี ยามกลางวันทำงานใช้แรงงาน ยามกลางคืนก็นอนแออัดกันอยู่ในห้องยุ้งฉางตามมีตามเกิด ทุกคนต่างรอคอยด้วยความหวังว่าจะมีคนของสำนักกิจการฝ่ายในและยี่สิบสี่ที่ทำการงานมาคัดเลือกตัว
เติ้งอิงเป็น ‘บุรุษ’ เพียงหนึ่งเดียวในหมู่คนเหล่านี้
ไม่รู้ว่าคนที่จัดการจงใจหรือไม่ ให้มดแมลง ห้อมล้อมนกกระเรียนที่บาดเจ็บ ถือเป็นความอัปยศอดสูที่โหดร้ายที่สุดก่อนการลงทัณฑ์
“อันนี้ไม่…ว้าย!”
โคมกันลมที่หน้าประตูส่องสะท้อนเงาร่างคนอย่างชัดเจนจนเห็นไรขนอ่อนบางๆ
เติ้งอิงเงยหน้าขึ้น หยางหวั่นลอดเข้ามาทางซอกประตูพร้อมกับสมุนไพรหอบใหญ่ในอ้อมแขน ยังพูดไม่ทันจบก็ล้มลงตรงหน้าเขา
บนพื้นมีแต่หญ้าแห้งและรำข้าวสาลี เมื่อเสียดสีกับผิวหนังก็ได้เลือดทันที
หยางหวั่นเจ็บจนตาหยี พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นมานั่งมองฝ่ามือที่ถูกเสียดสี ก่อนจะเป่าไปที่บาดแผลหลายครั้งอย่างอับจนปัญญา
ครึ่งเดือนแล้วนางยังคงไม่เคยชินกับร่างกายนี้
คนในห้องยุ้งฉางล้วนไม่ส่งเสียง เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาเห็นหยางหวั่น
หลังจากหันไปมองนางโดยพร้อมเพรียงกันคราหนึ่งแล้ว ต่างก็ถอนสายตากลับไป
หยางหวั่นไอออกมาทีหนึ่ง จากนั้นก็คายรากหญ้าแห้งที่อยู่ในปากออกมา กำลังเตรียมจะลุกขึ้น แต่หน้าผากกลับชนเข้ากับนิ้วมือที่เย็นเฉียบของเติ้งอิง
นางรีบเงยหน้า แต่คนตรงหน้ายังคงนั่งพิงผนังเงียบๆ มือที่ยื่นมาตรงหน้านางแบออกมา บนข้อมือมีตรวนพันธนาการอยู่ เวลานี้แขนเสื้อบางๆ ของชุดนักโทษเลื่อนลงมาถึงข้อศอก เผยให้เห็นรอยแผลทั้งเก่าและใหม่บนแขนสลับกันไป
ช่างเป็นคนรูปงามเลิศล้ำยิ่ง…หยางหวั่นรำพึงรำพันอยู่ในใจ
ความรู้สึกแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ อย่างสมบูรณ์หลังจากถูกลงโทษย่ำยี เบื้องบนเป็นความเจ็บปวดจากการที่ครอบครัวถูกทำลาย คนในครอบครัวสูญสิ้น เบื้องล่างต้องอดทนต่อความอัปยศอดสูไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ แต่เขายังคงควบคุมความรู้สึกของตนเองไว้ได้ เรื่องนี้หากยกมาอยู่ในยุคปัจจุบันคงทำให้สตรีหลายคนหัวใจสลาย ทว่าเขากลับยังคงนิ่งเงียบ มีสีหน้าสงบนิ่งอยู่ตลอดเวลา อากัปกิริยาสุภาพเหมาะสม ในขณะที่ยังคงรักษาความสงบนิ่งอยู่นั้นก็ไม่สูญเสียลักษณะท่าทางของผู้มีความรู้ความสามารถแม้แต่น้อย
“ไม่เป็นไรๆ ข้าลุกขึ้นยืนเองได้” นางพูดพลางลุกขึ้นมาปัดเศษหญ้าแห้งบนร่างออกแล้วค่อยๆ เอาสมุนไพรบนพื้นไปกองไว้ข้างเท้าเติ้งอิง ม้วนแขนเสื้อขึ้น นั่งยองๆ ก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “บาดแผลที่ข้อเท้าท่านถ้าปล่อยให้เสียดสีต่อไปก็จะเห็นกระดูกแล้ว ต่อไปภายหน้าอาจขาพิการเพราะเหตุนี้ ข้าไม่ได้เป็นหมอที่มีฝีมืออะไร ตำรายาสมุนไพรนี้ท่านยายเคยสอนข้าตอนเด็ก ไม่รู้ว่าจำได้ครบถ้วนหรือไม่ ถ้าหายท่านไม่ต้องขอบคุณ แต่ถ้าไม่หาย…” นางพูดพร้อมยื่นมือไปจะม้วนขากางเกงของเติ้งอิงขึ้น “แต่ถ้าไม่หายท่านก็อย่าตำหนิ…”
ตอนที่มือของหยางหวั่นจับกางเกง เติ้งอิงพลันขยับขาไปด้านข้าง นางไม่ทันได้ระวังจึงถูกแรงเหวี่ยงไปด้านข้างอย่างฉับพลันนี้ทำให้เซล้มลงไปอีกครั้ง
“ข้าว่าท่าน…”
เติ้งอิงยังคงไม่พูดไม่จา ในแววตาไม่มีความระแวดระวัง มีเพียงความไม่เข้าใจเล็กน้อยเท่านั้น
หยางหวั่นล้มคว่ำอยู่กับพื้น นางลูบหน้าตนเอง ดิ้นรนหยัดกายขึ้นมาแล้วนั่งขัดสมาธิตรงหน้าเขา ก่อนจะรวบเส้นผมที่ยุ่งเหยิงให้เรียบร้อยอย่างใจเย็น แบมือทั้งสองข้างออก พยายามทำให้เสียงของตนฟังดูจริงใจมากขึ้น
“ข้าขอบอกท่านตามตรง ข้าอยากจะทายาให้ท่าน ท่านเองก็พูดกับข้าตามตรง นี่ก็ครึ่งเดือนแล้ว ต้องทำอย่างไรท่านถึงจะยอมให้ข้าแตะต้องท่าน”
เติ้งอิงจับโซ่ตรวนบนมือไว้ ก้มลงดึงขากางเกงที่หยางหวั่นถลกขึ้นมาครึ่งหนึ่งลง จากนั้นวางมือบนหัวเข่าและหลับตาลงเงียบๆ
เขาทำเหมือนก่อนหน้านี้ที่โยนความอดทนทั้งหมดให้กับเจ้าของงานวิจัยด้านประวัติศาสตร์ผู้นี้ ขณะที่หยางหวั่นคิดว่าเวลานี้นางใจเย็นจนแม้แต่ตนเองก็ยังรู้สึกว่าเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง
นางมองหน้าเติ้งอิง ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกแล้วเรียกชื่อของเขาออกมาคำหนึ่ง “เติ้งอิง”
คนตรงหน้าเพียงขยับเปลือกตา
ผู้ถูกตอนที่ค่อนข้างมีอายุผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ข้างเติ้งอิงทนดูต่อไปไม่ไหว ส่งเสียงโน้มน้าวหยางหวั่นว่า “แม่นาง ตั้งแต่เขาถูกพาตัวมาที่นี่ก็ไม่เคยเปิดปากสักครา บางที…” เขาหยุดพูดพลางชี้ไปที่ลำคอ
หยางหวั่นฟังจบก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ฮ่าๆ ท่านลุงไม่รู้ว่าเขาพูดเก่งเพียงใด วันหน้าสามารถทำให้ผู้คนมากมายโมโหแทบตายเชียว”
ผู้สูงวัยฟังเสียงใสกังวานของนางแล้วก็ยิ้ม “แม่นางผู้นี้พูดจาได้น่าสนใจจริงๆ”
ไม่ว่าอยู่ในยุคสมัยใด การมีคนชมย่อมทำให้เบิกบานใจ
หยางหวั่นแบ่งสมุนไพรในมือส่วนหนึ่งยื่นให้ผู้สูงวัย “ท่านลุง ข้าเห็นที่มือท่านก็มีบาดแผล เอาสมุนไพรนี้บดละเอียดแล้วพอกไว้ มีประโยชน์ยิ่ง”
ผู้สูงวัยไม่กล้ารับ เขากลับย้อนถาม “สมุนไพรเหล่านี้แม่นางเอามาจากที่ใดหรือ”
“อ้อ” หยางหวั่นยกมือชี้ไปข้างนอก “เก็บมาจากลานเล็กในเรือนของขันทีหลี่”
พอได้ยินนางพูดเช่นนี้ แม้แต่เติ้งอิงก็ลืมตาขึ้นมาแล้ว
ผู้สูงวัยกดเสียงลงต่ำ ขยับตัวเข้าซอกมุมไปอีกเล็กน้อย “ขะ…ขโมยของของขันทีหลี่มาหรือ”
“อืม ข้าเองก็รู้ว่าทำเช่นนี้ไม่ถูก…” นางพูดอย่างร้อนตัวขึ้นมาพลางมองไปที่เติ้งอิงโดยไม่รู้ตัว “วันหน้าท่านก็ช่วยใช้คืนแทนข้า…”
ผู้สูงวัยแววตาตื่นตระหนก ถามหยางหวั่นอย่างไม่สบายใจ “แม่นาง ขโมยของของขันทีหลี่เช่นนี้ เจ้าไม่กลัวถูกโบยหรือ”
หยางหวั่นถอนสายตากลับมาอย่างขัดเขิน “ไม่เป็นไร ข้าหลบหนีได้เร็ว”
เพิ่งจะพูดจบก็มีเสียงหญ้าแห้งถูกเหยียบย่ำดังมาจากพื้นโคลนที่หน้าประตู
หยางหวั่นรีบขดตัวไปนั่งยองๆ ที่ข้างกายเติ้งอิง ส่วนเติ้งอิงเบี่ยงไหล่ไปด้านข้างแล้วเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง
คนเจ็ดแปดคนสวมเสื้อคลุมสักหลาดไม่มีแขนถือโคมกันลมเดินฝ่าหิมะเข้ามา คนที่อยู่หน้าสุดคือหลี่ซั่น ขันทีผู้ควบคุมกองงานควบคุมสวน
หิมะตกติดต่อกันมาหลายวันแล้ว อากาศแห้งและหนาวมาก แม้แต่คนที่ดูแลตนเองอย่างพิถีพิถันก็ยังมือแตกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลี่ซั่นถอดปลอกอุ่นมือออก รับขี้ผึ้งทามือมาจากคนด้านข้างแล้วควักออกมาก้อนหนึ่ง ทาไปพลางถามผู้ดูแลที่หน้าประตูไปพลาง
“เหตุใดถึงไม่ใส่กุญแจประตู”
ผู้ดูแลรีบบอก “ท่านหลี่ ต้องเหลือประตูไว้ให้พวกเขาออกไปปลดทุกข์ในยามค่ำคืน หาไม่ที่นี่จะมีกลิ่นไม่ดีขอรับ”
หลี่ซั่นนวดข้อมือ “คนผู้นั้นเล่า”
“คนผู้นั้นหรือ งดอาหารและน้ำเขามาสองวัน เวลานี้ไม่มีเรี่ยวแรงแล้วขอรับ น่ากลัวว่ากระทั่งขยับตัวก็ยังยาก”
หลี่ซั่นฟังจบก็พยักหน้าน้อยๆ “เขาได้พูดอะไรหรือไม่”
“ไม่ได้พูดขอรับ หลังจากกรมอาญาคุมตัวคนผู้นี้มาก็อยู่ในความดูแลของเรา จนถึงวันนี้ยังไม่เคยได้ยินเขาเปิดปากพูดสักครา ขันทีหลี่กลัวว่าเขาจะคิดสั้นหรือ”
หลี่ซั่นหัวเราะออกมา “ถ้าคิดสั้นก็ยิ่งดี ท่านบรรพชนจะได้ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้” เมื่อเขาพูดจบก็เขี่ยขี้ผึ้งที่ติดอยู่ในซอกเล็บออกพลางบอกอีกว่า “พวกเจ้าคิดว่าเขาเหมือนคนคิดจะฆ่าตัวตายหรือ ถ้าคิดจะฆ่าตัวตาย ตอนมาก็คงจะอดอาหารฆ่าตัวตายเช่นเดียวกับพวกเจียงหมิงและกัวติ่งไปแล้ว”
หยางหวั่นที่อยู่ข้างกายเติ้งอิงฟังคำพูดประโยคนี้จบก็อดไม่ได้ที่จะหันไปถามเขา “ท่านไม่เคยอดอาหารหรือ”
คำตอบที่นางได้ย่อมเป็นความนิ่งเงียบเช่นเดิม
แต่หยางหวั่นกลับไม่หมดกำลังใจ นางนั่งอยู่ข้างเติ้งอิงได้ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบสมุดเล่มเล็กออกมาจากอกเสื้อแล้วเก็บก้านหญ้าแห้งก้านหนึ่งบนพื้น จิ้มปลายคางตนเองด้วยท่าทางจริงจังแล้วพูดขึ้น
“กลุ่มคนที่เรียบเรียง ‘ประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง’ มีเจตนาร้ายต่อท่านมากจริงๆ พวกเขาเขียนว่าขณะที่ท่านอยู่ที่หนานไห่จื่อได้อดอาหารอย่างต่อเนื่อง ภายหลังก็กระดิกหางขออาหาร จะต้องวิพากษ์วิจารณ์ท่านอย่างเสียหายให้ได้จึงจะพอใจ” พอพูดจบก็กัดก้านหญ้าแห้งเบาๆ “อืม…เช่นนั้นตรงนี้ก็ควรต้องแก้ไข”
เติ้งอิงก้มหน้าลงมองสมุดที่กางอยู่บนหัวเข่าของหยางหวั่นคราหนึ่ง ในนั้นมีตัวอักษรที่เขาอ่านไม่ออกเขียนไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
สิบกว่าวันมานี้สตรีผู้นี้จะขีดเขียนอะไรลงไปบนนั้นอยู่เสมอ
เป็นเช่นที่นางพูด จู่ๆ นางก็มาปรากฏตัวที่หนานไห่จื่อเป็นเวลากว่าครึ่งเดือนแล้ว ไม่มีใครรู้ว่านางเป็นใคร ตอนแรกผู้คนเห็นลายปักบนเสื้อผ้าแพรของนางดูประณีตงดงามล้ำค่าก็คาดคะเนว่านางมีความเป็นมาที่ไม่ธรรมดา คนส่วนใหญ่จึงไม่กล้าพูดคุยกับนาง เกรงว่าจะเป็นการหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว พอนางอยู่ที่หนานไห่จื่อหลบซ้ายซ่อนขวา อดทนต่อความยากลำบากมาสิบกว่าวัน คลุกคลีอยู่กับพวกชาวไร่ชาวนาในหนานไห่จื่อที่ทำงานอยู่ทุกวัน เสื้อผ้าบนร่างนางก็มองไม่ออกถึงเนื้อผ้าเดิม ขาดกะรุ่งกะริ่งห้อยปะปนอยู่กับเส้นผมที่แผ่สยาย ท่าทางดูไม่ต่างจากคนทุกข์ยากลำบากที่หนานไห่จื่อ ผู้ถูกตอนเหล่านี้จึงปล่อยวางความระแวดระวังที่มีต่อนางลง
นอกจากนี้พวกเขายังค่อยๆ พบว่าความสนใจของสตรีผู้นี้ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนอยู่ที่บุรุษผู้ซึ่งได้รับโทษหนักผู้นั้น
เพียงแต่น่าเสียดายที่เติ้งอิงไม่อนุญาตให้นางเข้าใกล้
ไม่ใช่ภรรยาไม่ใช่อนุ แต่กลับกระตือรือร้นที่จะแสดงมิตรไมตรีต่อนักโทษที่กำลังจะไร้บุตรหลานผู้หนึ่ง
นักโทษผู้นั้นก็เฉยเมยเกินไป ทำให้สตรีผู้นี้ดูน่าสงสารยิ่ง
ระหว่างที่มีคนกำลังทอดถอนใจแทนนางก็มีเสียงฝีเท้าจากด้านนอกตรงมาที่หน้าประตู หยางหวั่นได้ยินเสียงแล้วก็รีบเก็บสมุดและหลบไปซ่อนตัวที่หลังกองฟางกองหนึ่ง
หลี่ซั่นกับขันทีหลายคนเดินเข้ามาในห้องยุ้งฉาง เดินพลางพูดเรื่องที่สนทนาค้างกันอยู่จากข้างนอกต่อ
“ยังต้องงดน้ำงดอาหารเขาอีกกี่วัน”
ขันทีที่อยู่ด้านหลังผู้หนึ่งกล่าวตอบ “อีกสองวันขอรับ”
หลี่ซั่นยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเติ้งอิง มองเขาอย่างรังเกียจคราหนึ่ง “เอาล่ะ งดอีกวันหนึ่งก็ให้ไปรับโทษเสีย” พอพูดจบก็กดต้นคอ “รีบจัดการให้เรียบร้อยโดยเร็วแล้วมอบคนให้สำนักกิจการฝ่ายในก่อนสิ้นปี เราจะได้ไม่ต้องปวดศีรษะ อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ ในใจมีเรื่องดุจก้อนน้ำแข็งซุกอยู่ก้อนหนึ่ง มากน้อยย่อมไม่สบายใจ เจ้าไปบอกจางหูจื่อ เตรียมมีดให้พร้อม นี่เป็นงานของสำนักกิจการฝ่ายใน บอกเขาว่าสองวันนี้รักษาสติให้ปลอดโปร่งเข้าไว้ อย่าดื่มสุรา”
คนตอบมีสีหน้าลำบากใจ “ตอนนี้จางหูจื่อกำลังอยู่ในอารามข้างนอก ก่อนหน้านี้ข้าเห็นเขาหาคนปรนนิบัติขัดแผ่นหลังในหนานไห่จื่ออยู่เลย”
“ถุย!” หลี่ซั่นถ่มน้ำลาย “จะโอ้อวดข้าว่าส่วนล่างของเขามีของดีอยู่หรือ! รีบไปบอกเขาให้กลับมาเตรียมมีด!”
ประโยคนี้ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ล้วนสะเทือนใจยกเว้นเติ้งอิง
หลี่ซั่นไม่พอใจนัก เขาจึงเปลี่ยนเรื่องพูด “ยังมีโซ่ตรวนอยู่บนร่างของเขา พวกเราไม่อาจทำอะไรได้ พรุ่งนี้เช้าเจ้าไปขอข้อคิดเห็นที่กรมอาญา ดูว่าจะทำอย่างไร ให้เขาสวมโซ่ตรวนนี้ไปรับโทษหรือจะปลดออก”
คนตอบสีหน้าบึ้งตึง “ท่านหลี่ ยังต้องขอข้อคิดเห็นจากกรมอาญาด้วยหรือ”
“อืม” หลี่ซั่นตอบอย่างรำคาญ มองไปที่เติ้งอิงพลางแค่นเสียงเยาะหยันออกมาทางจมูก “ครอบครัวราชเลขาธิการเติ้งถูกประหารหมดแล้ว เหลือแค่คนผู้นี้เท่านั้น เรื่องของเขาซับซ้อนยิ่ง”
หลี่ซั่นพูดประโยคนี้จบก็พบว่าเติ้งอิงกำลังมองตนอยู่ จึงอดชะงักไปครู่หนึ่งไม่ได้ ชั่วขณะนั้นถึงกับยากจะบอกได้ชัดเจนถึงความรู้สึกที่ถูกดวงตาคู่นั้นจับจ้องอยู่
บทที่ 1.2 นกกระเรียนบาดเจ็บกับดอกฝูหรง
ถ้าบอกว่าเขาเวทนาสงสารเติ้งอิง ดูเหมือนเขาก็ไม่ได้มีจิตใจอ่อนไหวเพียงนั้น แต่ถ้าบอกว่ารังเกียจกลับไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม ถึงอย่างไรในช่วงสามปีที่เติ้งอี๋ทุจริตต่อหน้าที่ยึดอำนาจในสภาขุนนางและสังหารขุนนางนั้น เติ้งอิงได้รับช่วงต่อจากจางจั่นชุนผู้เป็นอาจารย์ของเขา จดจ่ออยู่กับการควบคุมเรื่องการออกแบบและก่อสร้างตำหนักสามแห่งของวังหลวง ช่วงหนึ่งเค่อก่อนที่กรมอาญาจะปฏิบัติตามคำสั่งไปจับตัวเขาไว้ เขายังอยู่บนหลังคาลาดเอียงของตำหนักโซ่วหวงแก้ไขตะเข้สัน ของหลังคากับช่างฝีมือทั้งหลายอยู่ด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนเช่นไร เติ้งอิงกับความผิดของบิดาก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ทว่าในฐานะบุตรชายคนโตของเติ้งอี๋ เติ้งอิงยังคงถูกจับเข้าคุก
ตอนที่สามตุลาการ กำหนดโทษของเขาจึงมีความลำบากใจอย่างแท้จริง
การก่อสร้างในวังหลวงยังไม่แล้วเสร็จ จางจั่นชุนผู้ดูแลรับผิดชอบเรื่องนี้ในช่วงแรกก็แก่ชราไร้ความสามารถ ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ เติ้งอิงเป็นศิษย์เพียงผู้เดียวของจางจั่นชุน คนผู้นี้สอบได้จิ้นซื่อในปีเดียวกันกับหยางหลุนรองเสนาบดีกรมอากร เขาเป็นคนทำงานจริงจังที่หายากในหมู่ขุนนางรุ่นเยาว์ ไม่เพียงเชี่ยวชาญบทกวีวรรณกรรม ทว่ายังศึกษาเรียนรู้จนชำนาญงานด้านการก่อสร้าง หากยามนี้ตัดสินลงโทษประหารเขาเหมือนกับบุรุษคนอื่นๆ ในสกุลเติ้ง ในชั่วเวลาอันสั้นกรมโยธาไม่อาจหาคนเช่นเขามาทดแทนได้ ดังนั้นสามตุลาการและสำนักกิจการฝ่ายในจึงหารือเกี่ยวกับคนผู้นี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ไม่อาจตกลงกันได้ว่าจะจัดการกับเขาอย่างไรดี
ในที่สุดเหออี๋เสียน หัวหน้าขันทีผู้ควบคุมสำนักกิจการฝ่ายในก็เสนอวิธีหนึ่ง
‘ฝ่าบาททรงลงโทษประหารเติ้งอี๋ทั้งครอบครัว เพราะถูกเติ้งอี๋ปิดบังอำพรางมานานปี เมื่อความจริงปรากฏ ความเคียดแค้นจึงเพิ่มพูน ทรงทำไปด้วยความกริ้ว แต่วังหลวงเป็นที่ประทับของราชวงศ์ งานก่อสร้างซ่อมแซมเกี่ยวพันถึงรากฐานของบ้านเมือง ไม่อาจละทิ้งได้ การจะขจัดความโกรธแค้นในพระทัยของฝ่าบาท นอกจากโทษประหารชีวิตแล้ว…’
เขาพูดมาถึงตรงนี้ก็วางหนังสือที่แยกเสนอข้อคิดเห็นเป็นข้อๆ ซึ่งสามตุลาการร่างมาหลายครั้งแต่ก็ยังคงเป็นฉบับร่างอยู่แล้วพลิกมือเคาะลงไปบนนั้น หัวเราะหึๆ พลางบอก
‘ไม่ใช่ยังมีโทษทัณฑ์ราชสำนัก อยู่อีกข้อหนึ่งหรือ’
เรื่องนี้พูดไม่ถูกว่าเป็นวิธีที่อำมหิตหรือเมตตากันแน่ ให้ทางรอดทางหนึ่งแก่เติ้งอิง แต่ขณะเดียวกันก็ยุติชีวิตที่เคยสง่าผ่าเผยของเขาลง ด้วยเหตุนี้หยางหวั่นจึงได้เขียนไว้ในบทแรกของ ‘ชีวประวัติเติ้งอิง’
‘ยากจะบอกได้ว่าชีวิตของเติ้งอิงจบสิ้นลงในปีนี้หรือเริ่มต้นขึ้นในปีนี้กันแน่’
แน่นอน หลี่ซั่นและคนเหล่านี้ย่อมไม่มีมุมมองพระเจ้า เช่นหยางหวั่น พวกเขาไม่รู้ว่าจะปฏิบัติต่อบุตรหลานของขุนนางชั่วที่ไม่มีความผิดอย่างชัดเจนผู้นี้อย่างไร
“เจ้ามองข้าไปก็ไม่มีประโยชน์” หลี่ซั่นไม่อาจสบตาเติ้งอิงต่อไปได้ จึงเดินไปที่ข้างกายเขาแล้วเป่ามือที่แห้งกร้านของตนเอง “แม้ข้าจะรู้สึกว่าการที่ชีวิตเจ้าต้องจบลงเช่นนี้ออกจะน่าเสียดาย แต่บิดาเจ้าทำความผิดร้ายแรง เวลานี้เจ้าไม่ต่างอะไรกับหนูขาหักข้ามถนนใครแตะต้องก็โชคร้าย ไม่มีใครกล้าสงสารเจ้า เจ้ายอมรับชะตากรรมเถิด ถือเสียว่าแบกรับความผิดแทนบิดา แสดงความกตัญญูสั่งสมบุญกุศลให้เขา แม้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่ แต่เขาอาจสามารถบำเพ็ญเพียรเป็นร่างมนุษย์ ไม่ต้องตกอยู่ในภพภูมิเดรัจฉานก็เป็นได้”
คำพูดนี้ของหลี่ซั่นก็พูดได้ไม่ผิด ถ้าเติ้งอิงตายแล้วก็แล้วไป แต่การมีชีวิตอยู่กลับมีนัยทางการเมืองแฝงอยู่ ชีวิตของเขาต้องถูกราชสำนักนำมาทดสอบจุดยืนของผู้คนอยู่ตลอดเวลา
แม้แต่ก่อนเติ้งอิงจะไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่เลวร้ายกับใคร แต่สถานการณ์ในเวลานี้พูดได้ว่าช่างมืดมนอย่างแท้จริง
สหายสนิทในสมัยก่อนของเขาต่างปิดปากเงียบไม่พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา ส่วนผู้ที่เป็นศัตรูกับสกุลเติ้งต่างก็แทบอยากจะเหยียบเขาซ้ำ
นับตั้งแต่ถูกคุมขังจนถูกพาตัวมาที่หนานไห่จื่อ เวลาก็ผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนแล้ว พอคิดดูแล้วก็มีเพียงหยางหลุนเท่านั้นที่ลอบมอบเงินแท่งหนึ่งให้หลี่ซั่น ขอให้อีกฝ่ายช่วยดูแลเขาบ้าง
หลังจากหลี่ซั่นกล่าวคำพูดเหล่านี้จบในใจก็นึกถึงเงินแท่งนั้นแล้วมองบาดแผลทั่วร่างเติ้งอิง รู้สึกว่าเขาก็น่าสงสารไม่น้อย จึงกระแอมกระไอไปสองสามที อ้าปากคิดจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อคลี่คลายบรรยากาศ แต่ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นว่ามีสมุนไพรกองใหญ่กองอยู่ข้างเท้าของเติ้งอิง เมื่อพิจารณาดูอย่างละเอียดก็รู้สึกคุ้นตายิ่ง ทันใดนั้นเพลิงโทสะพลันลุกโชนขึ้น
“หืม?” หลี่ซั่นยกชายเสื้อคลุมยาวนั่งยองๆ ลงไปหยิบขึ้นมาดูกำหนึ่ง “หนูถูกตอนตัวใดไปขนมากัน”
ขันทีในห้องยุ้งฉางต่างก้มหน้าตัวสั่นเทาไม่กล้าพูดจา หลายคนที่นั่งอยู่ใกล้เติ้งอิงกลัวหลี่ซั่นจะจับจ้องตนก็ค่อยๆ ขยับไปนั่งที่อื่น
หลี่ซั่นกวาดตามองคนที่มีสีหน้าหวาดหวั่นเหล่านี้คราหนึ่ง โยนสมุนไพรในมือทิ้งแล้วยืนขึ้น ปัดมือพลางมองเติ้งอิง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจู่ๆ ก็หัวเราะเสียงดังออกมา
“ดูเหมือนข้าจะพูดผิดไปแล้ว ไม่ใช่ไม่มีใครกล้าสงสารเจ้า” เขาพูดพลางใช้เท้าเขี่ยสมุนไพรกองนั้น “ถึงกับกล้าขโมยสมุนไพรในลานเล็กของข้ามารักษาบาดแผลให้เจ้า” ทางหนึ่งพูด ทางหนึ่งก็หันกายไปชี้เหล่าผู้ถูกตอนในห้องยุ้งฉาง “ในหมู่พวกเจ้ามีคนที่ไม่กลัวตาย ข้าหลี่ซั่นนับถือพวกเจ้าที่ขวัญกล้าอย่างยิ่ง วันนี้จะไม่สืบสาวราวเรื่องสมุนไพรเหล่านี้ แต่ถ้ายังมีครั้งหน้าแล้วข้ารู้เข้าก็อย่าได้คิดที่จะออกไปจากหนานไห่จื่อแห่งนี้” เขาไม่สืบสาวราวเรื่องต่อจริงๆ เพียงปัดมือแล้วกล่าวกับผู้ดูแลว่า “เฝ้าดูให้ดี”
พูดจบก็พาคนสาวเท้าก้าวยาวเดินออกไป
หยางหวั่นรอจนเสียงฝีเท้าห่างไปไกลแล้วจึงมุดออกมาจากด้านหลังกองฟาง เกาะอยู่ที่ขอบผนังพลางตรวจสอบอย่างรอบคอบระมัดระวัง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงใส่กุญแจประตูที่อยู่ด้านหลังนาง หยางหวั่นหน้าเสีย ตบคอตนเองอย่างอับจนปัญญาแล้วลงนั่งขัดสมาธิ
“เฮ้อ คืนนี้ออกไปไม่ได้แล้ว”
ไม่คิดว่าพอนางพูดประโยคนี้จบสายตาของคนรอบข้างที่มองนางกับเติ้งอิงพลันเปลี่ยนเป็นซับซ้อนขึ้น
หยางหวั่นหันกลับมาและมองคนในห้องยุ้งฉางด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะก้มลงมองเติ้งอิง พลันนึกไปถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของหลี่ซั่นแล้วก็ได้สติกลับมาทันที
เวลานี้ในห้องนี้คุมขังคนอยู่สามจำพวกคือบุรุษหนึ่งคน สตรีหนึ่งคน ทั้งยังมีผู้ถูกตอนอีกกลุ่มหนึ่ง
แน่นอน ตามคำพูดของหลี่ซั่น บุรุษผู้นี้พอผ่านคืนนี้ไปก็จะไม่ใช่บุรุษอีกต่อไปแล้ว
ดังนั้นคืนนี้ก็ควรจะมีอะไรเกิดขึ้นสักหน่อยหรือไม่
ถ้าหยางหวั่นเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ผู้หนึ่ง คิดว่าเวลานี้นางคงจะนั่งลงแล้วแยกใคร่ครวญสภาพแวดล้อมในยามนี้อย่างละเอียดลึกซึ้งทั้งในระดับวรรณกรรมและสังคมวิทยา ทว่าขณะนี้นางถูกสายตาของคนรอบข้างจ้องมองจนรู้สึกร้อนรนเล็กน้อย ร่างกายของนางในตอนนี้เป็นใครนางก็ยังไม่รู้ และไม่รู้ว่าเจ้าของร่างนี้ชมชอบใครอยู่หรือไม่ แม้หยางหวั่นจะเห็นว่าตนเองเป็นเพียงจิตวิญญาณที่มาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด จุดประสงค์ของการเดินทางข้ามกาลเวลามาคือเพื่อสังเกตการณ์ประวัติศาสตร์และบันทึกประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเติ้งอิง แต่ในเมื่อเดินทางข้ามกาลเวลามาอยู่ในร่างคนอื่น ดูเหมือนว่านางต้องรับผิดชอบปกป้องดูแลร่างที่ช่วยประคับประคองจิตวิญญาณของนางร่างนี้ด้วย
ครั้นแล้วนางก็กลับมามีท่าทีเป็นปกติ แต่ในสมองเต็มไปด้วยความคิดมากมาย ทันใดนั้นก็อดที่จะยกมือขึ้นมาทาบอกด้วยความตกใจไม่ได้ ลืมไปว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือบุรุษที่ไม่อนุญาตให้นางแตะต้องเนื้อตัวผู้หนึ่ง
เติ้งอิงมองใบหน้าที่ดูตื่นตระหนกของนางแล้วขยับตัวนั่งหลังตรง
หยางหวั่นเห็นเขาเคลื่อนไหวก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ก่อนจะถามอย่างเป็นไปเอง “ท่านจะทำอะไร”
เติ้งอิงไอออกมาทีหนึ่ง ฟังดูคล้ายจงใจ
ทว่าหลังจากอาศัยสิ่งนี้ขัดจังหวะการพูดของหยางหวั่นแล้วเขากลับไม่มีอาการตอบสนองอื่นใด ทั้งยังสำรวมการกระทำของตนที่ดูเป็นการ ‘ล่วงเกิน’ ไว้ไม่มองหยางหวั่นอีก เพียงก้มลงหยิบสมุนไพรบนพื้นขึ้นมา วางไว้บนหัวเข่าแล้วม้วนเล่น
หลังจากจางจั่นชุนเกษียณ เติ้งอิงก็เป็นจุดสูงสุดของงานด้านการก่อสร้างในช่วงต้นราชวงศ์หมิงแล้ว ดังนั้นแม้แต่การถักหญ้าในมือก็ทำได้อย่างประณีตคล่องแคล่ว
หยางหวั่นรู้สึกว่ามือของเติ้งอิงไม่นับว่าชวนมอง เนื่องจากสัมผัสไม้อิฐกระเบื้องมานาน มือจึงดูหยาบกร้าน แต่ดีที่ข้อต่อกระดูกชัดเจน เส้นเลือดเส้นเอ็นมีขนาดที่พอเหมาะพอดี ไม่ถึงกับน่าเกลียด แต่ก็แตกต่างจากบุรุษทั่วไปตรงที่บนหลังมือมีรอยแผลเก่าเล็กๆ สีแดงจางๆ รอยหนึ่ง ลักษณะคล้ายจันทร์เสี้ยว
นางมองเขาเอาสมุนไพรที่ตนหอบมามาสานเป็นหมอนหญ้าใบหนึ่งแล้วก็พบว่าเมื่อครู่ตนเองคิดมากเกินไปแล้ว ดูจากที่อยู่ด้วยกันมาหลายวันนี้เติ้งอิงเป็นบุรุษที่มีคุณธรรม เป็นนางเองที่มีความคิดไม่บริสุทธิ์ เป็นอันธพาลหญิงที่เอาแต่คิดจะแตะเนื้อต้องตัวเขา เมื่อคิดเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเมื่อครู่ตนเองออกจะไร้เหตุผลไปสักหน่อย จึงยกมือขึ้นเกาศีรษะด้วยความขวยเขิน
ก่อนหน้านี้เติ้งอิงอยู่ในคุกต้องความเย็นเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ไม่ได้รักษาตัว ตอนนี้ยังคงไออยู่บ้าง
เขายกมือขึ้นมากดหน้าอก เห็นได้ชัดว่ากำลังฝืนทน
หยางหวั่นคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เห็นเขาขยับตัวไปนั่งอยู่บนพื้นที่ไม่มีหญ้าแห้งรอง ยื่นมือเอาหมอนหญ้ามาวางไว้ข้างกายตน จากนั้นก็ยืดหลังตรงเอามือกุมหัวเข่าอีกครั้ง มองมาที่นางเงียบๆ
หยางหวั่นไปนั่งยองๆ ลงข้างกายเติ้งอิง มองหมอนหญ้าใบนั้นแล้วพูดว่า “ให้…ข้าหรือ”
เติ้งอิงพยักหน้า
“เช่นนั้นขาของท่านจะทำอย่างไร”
เติ้งอิงก้มลงมองบาดแผลบนข้อเท้าที่แทบจะเห็นกระดูกของตน ลูกกระเดือกขยับเคลื่อนขึ้นลงเล็กน้อย
ตั้งแต่เข้าคุกจนถึงวันนี้เขาไม่ยอมเปิดปากพูดมาโดยตลอด ประการแรกกลัวจะชักนำเภทภัยมาสู่ผู้อื่น ประการที่สองเขาต้องการความเงียบสงบเพื่อทำความเข้าใจกับความจริงที่ว่าบิดาและคนทั้งตระกูลถูกลงโทษประหารชีวิต เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าเขาก็ยอมรับว่าตนตกอยู่ในสภาพเช่นที่หลี่ซั่นกล่าวไว้ เป็นหนูขาหักข้ามถนน ทุกคนร้องไล่ตี ดังนั้นเวลานี้เขาจึงไม่คุ้นเคยกับการมีคนมาซักถามสารทุกข์สุกดิบนัก
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าจะไม่แตะต้องตัวท่าน แค่จะช่วยทุบสมุนไพรที่เหลืออยู่ให้แหลก ท่านพอกเอง”
หยางหวั่นพูดจบก็ม้วนแขนเสื้อขึ้น
เติ้งอิงมองจี้หยกที่นางใช้ทุบยาชิ้นนั้นคราหนึ่ง นั่นเป็นหยกฝูหรง เนื้อดีชั้นหนึ่ง คนธรรมดาทั่วไปเป็นไปไม่ได้ที่จะมี แต่นางกลับมีผูกอยู่ที่เอวสองชิ้น
“รับไป” นางเห็นเติ้งอิงไม่รับก็เอื้อมไปปลดผ้าผูกผมที่ด้านหลังศีรษะออกมา “เอาสิ่งนี้พันไว้”
เติ้งอิงยังคงไม่ขยับ
หยางหวั่นยื่นมือไปจนเมื่อยแล้ว นางค้อมกายเอามือวางลงบนพื้นแล้วเงยหน้ามองเขา “ความจริงแล้วท่านเป็นคนดีมาก ในสภาพความเป็นอยู่เช่นนี้ยังทำหมอนให้ข้าใบหนึ่ง ข้าเองก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ท่านไม่อยากพูดกับข้าก็แล้วไปเถิด แต่อย่าทำให้ตนเองต้องลำบาก ท่านคงไม่อยากให้วันหน้าตนเองเดินไม่ได้กระมัง”
เขายังคงใช้ความนิ่งเงียบปฏิเสธ
แต่สำหรับหยางหวั่นแล้วเรื่องนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก
ในประวัติศาสตร์โรคที่ขาของเขาเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ แต่ถึงหยางหวั่นจะรู้ ทั้งยังพยายามช่วยเขาเปลี่ยนชะตากรรมเล็กน้อย แต่ก็ทำไม่ได้ ทว่านางกลับไม่เสียใจ เพียงใช้แขนเสื้อเช็ดมือของตนให้แห้ง ล้มเลิกการโน้มน้าวเติ้งอิงอย่างใจเย็น
คนในห้องยุ้งฉางเห็นเติ้งอิงกับหยางหวั่นไม่ได้มีพฤติกรรมเช่นที่พวกเขาคิดภาพเอาไว้ก็ค่อยๆ หมดความอดทน อากาศหนาวคนจึงง่วงนอนง่าย ครู่เดียวต่างก็นอนลงขดตัวเป็นก้อน
หยางหวั่นนั่งอยู่ตรงข้ามเติ้งอิง รอจนเติ้งอิงหลับตาลงจึงขดตัวลงข้างกายเขาแล้วนอนหนุนหมอนหญ้าอย่างระมัดระวัง
ยามนี้ในห้องยุ้งฉางเหลือเพียงเสียงกรนกับเสียงพลิกกายเป็นครั้งคราว หยางหวั่นนอนนิ่ง หยิบสมุดในแขนเสื้อออกมา พลิกเปิดไปทางหน้าต่างซึ่งเป็นจุดเดียวที่มีแสงโคมส่องสว่างเล็กน้อย งอนิ้วแตะที่ใต้คางตนเองพลางพึมพำเสียงเบา
“พรุ่งนี้เป็นวันที่สิบสามเดือนหนึ่งรัชศกเจินหนิงปีที่สิบสอง…ในบันทึก ‘ประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง’ คือเดือนสาม ดูไปแล้วเวลามีความคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง…”
พอพูดไปพูดมาก็เริ่มง่วง นางพลิกกายไปทางผนังหิน กอดเข่านอนขดตัวเป็นก้อนเหมือนกับคนอื่นๆ
“เติ้งอิง ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ท่านยังไม่เคยแต่งภรรยา แล้วท่าน…มีสตรีของตนเองหรือไม่”
เติ้งอิงที่นอนอยู่ด้านหลังหยางหวั่นสั่นศีรษะ
หยางหวั่นคล้ายมองเห็นอย่างไรอย่างนั้น นางพูดอย่างเลอะเลือนว่า “ถ้าร่างนี้เป็นของข้าเองล่ะก็…”
แล้วอย่างไรเล่า ความจริงแล้วจะทำอย่างไรได้เล่า
แม้นางจะเป็นผู้วิจัย แต่นางยังไม่ได้เสียสติพอที่จะใช้ร่างของตนตรวจสอบทัศนคติเรื่องเพศของผู้เป็นหัวข้อวิจัย นี่เป็นจรรยาบรรณทางวิชาการ ดังนั้นนางจึงไม่พูดอะไรอีก เพียงเม้มปากและหลับตาลง
เติ้งอิงไม่เข้าใจคำพูดประโยคนี้ทั้งหมด หลังจากรออยู่ครู่หนึ่งแล้วไม่ได้ยินนางพูดอะไรจึงค่อยๆ หลับตาลง
ใครจะคาดคิดว่าหลังจากนางหลับสนิทก็พึมพำออกมาประโยคหนึ่ง “อย่างไรเสีย…ชั่วชีวิตนี้ของหยางหวั่นก็มีชีวิตอยู่เพื่อเติ้งอิง…”
ที่มาพร้อมกับคำพูดประโยคนี้ยังมีหิมะที่ตกหนักเป็นครั้งแรกในปีที่สิบสองของรัชศกเจินหนิง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 ก.ค. 68
Comments
comments
No tags for this post.