X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักลำนำฝูหรงเคียงกระเรียน

ทดลองอ่าน ลำนำฝูหรงเคียงกระเรียน บทที่ 1.3-1.4

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 1.3 นกกระเรียนบาดเจ็บกับดอกฝูหรง

หลังจากหิมะตกในยามค่ำคืน วันถัดมาที่หนานไห่จื่อก็ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน

ผู้ดูแลเอามือป้องตาพลางเปิดประตูห้องยุ้งฉาง เหล่าผู้ถูกตอนอั้นหนักเบาจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่นานแล้ว ต่างเบียดเสียดกันออกมา

ผู้ดูแลอ้าปากหาวยังไม่ทันหุบก็ถูกคนที่รีบร้อนเหล่านี้ผลักจนล้มลงไปในกองหิมะอย่างแรง จมูกกระแทกจนเลือดออก เขาลุกพรวดขึ้นมานั่งพลางกดจมูกแล้วตวาดด่าทอ

“บัดซบ! พวกเจ้าจะรีบไปเกิดใหม่หรือ”

พอพูดจบกำลังจะลุกขึ้นยืน มือกลับสัมผัสอะไรบางอย่างในหิมะ เขาทนต่อแสงอันเจิดจ้าของหิมะหยิบขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นจี้หยกฝูหรง

“นี่…พวกคนยากไร้เหล่านี้ยังมีทรัพย์สินส่วนตัวซ่อนอยู่อีกหรือ…”

พอพูดจบก็รีบเอามือปิดปาก ค้อมกายแล้วมองสำรวจไปรอบๆ ฉวยจังหวะที่รอบด้านกำลังวุ่นวายไม่มีใครเห็นรีบซ่อนจี้หยกไว้ในแขนเสื้อ

แต่ใครจะคิดว่ายังไม่ทันซ่อนดีก็ได้ยินคนถามมาจากด้านหลังว่า “นั่งทำอะไรอยู่”

“ไม่ได้ทำอะไร…”

คนถามคือขันทีน้อยภายใต้บังคับบัญชาของหลี่ซั่น เห็นเขาดูลับๆ ล่อๆ ก็ยกเท้าเตะเขาสองทีจากทางด้านหลังอย่างไม่เกรงใจแล้วเชิดหน้าเอ่ยขึ้น

“รีบลุกขึ้นไปพาคนออกมา วันนี้คนของสำนักกิจการฝ่ายในจะมาแต่เช้า”

ผู้ดูแลลุกขึ้นยืนแล้วปัดๆ หิมะบนร่าง ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ขันทีน้อยแล้วเอ่ยถาม “จะเอาตัวไปตอนนี้เลยหรือ จางหูจื่อผู้นั้นกลับมาที่หนานไห่จื่อแล้วหรือยัง”

ขันทีน้อยปิดปากปิดจมูกแล้วหลบไปข้างหลังก้าวหนึ่ง “ไม่ระมัดระวังเอาเสียเลย ถอยออกไปห่างๆ”

ผู้ดูแลเอามือลูบหน้าแล้วขยับยืนห่างออกไป เอามือวางไว้ที่ข้างลำตัว

เมื่อเขายืนดีแล้วขันทีน้อยผู้นั้นก็เอามือลง ตอบคำถามเมื่อครู่ของเขาอย่างไม่รีบร้อน “ได้ยินว่าเมื่อคืนถูกขันทีหลี่จับตัวกลับมาจากอารามที่ด้านนอกแล้ว ทั้งยังทำให้เขาสร่างเมาในคืนนั้นเลย”

ผู้ดูแลฟังจบก็ร้องออกมาด้วยความดีใจ “อ้อ…ดียิ่ง ข้าจะพาคนออกมาเดี๋ยวนี้ ส่งมอบงานนี้แล้วคืนนี้พวกเราจะได้ฉลองปีใหม่กัน”

พอพูดจบกำลังจะเดินเข้าไปข้างในก็ถูกเรียกจากทางด้านหลังอีกครั้ง

“กลับมาก่อน ในแขนเสื้อของเจ้าซ่อนอะไรไว้”

“นี่…”

“เอามา”

ผู้ดูแลมองมือที่แบออกมาของขันทีน้อย ชั่วขณะนั้นไม่มีหนทางอื่น จำต้องเอาจี้หยกฝูหรงชิ้นนั้นประคองส่งให้พลางแย้มยิ้มบอก

“ข้าเก็บได้”

ขันทีน้อยวางจี้หยกลงบนมือแล้วพิจารณาดูอย่างละเอียด พอเห็นอีกฝ่ายยังยืนอยู่ก็เอ่ยเสียงต่ำ “ยังจะยืนอยู่เพื่ออันใด ไปพาคนมา!”

ผู้ดูแลเห็นอีกฝ่ายไล่ตนก็รู้ว่าต้องเสียของให้คนอื่นเสียแล้ว ถึงแม้จะไม่พอใจ แต่ก็ทำได้เพียงรับคำอย่างไม่ค่อยยินยอมนัก หันกายไปบ่นพึมพำแล้วไปเอาตัวคนมา

เมื่อถูกคนแย่งของไป เวลานี้เขาจึงอารมณ์ไม่ดีและยิ่งปฏิบัติต่อเติ้งอิงด้วยความหงุดหงิด

เพื่อจะเข้ารับโทษทัณฑ์ราชสำนัก เติ้งอิงถูกงดอาหารและน้ำมาสามวันแล้ว เขาเดินช้าๆ พยายามรักษาท่าทางขณะเดินเอาไว้อย่างเต็มที่

ผู้ดูแลเห็นแล้วรำคาญใจ จึงผลักเขาจากด้านหลังพร้อมตวาด “เร็วเข้า! ยังคิดว่าตนเองอับโชคน้อยไปหรือ” จากนั้นผู้ดูแลก็เอามือซุกไว้ในแขนเสื้อก่อนพูดไปด่าไป “ทุกคนต่างพูดกันว่าเจ้าอยู่ที่หนานไห่จื่อได้ไม่นานก็จะต้องฆ่าตัวตาย แต่เจ้ากลับไม่ตาย ทั้งยังมีชีวิตอยู่ต่อมาอีกกว่าครึ่งเดือน กรมอาญากับสำนักกิจการฝ่ายในมาซักถามพวกเราทุกวัน ไม่รู้ว่าอยากให้เจ้าตายหรืออยากให้เจ้าอยู่ วันนี้ผลลัพธ์ออกมาแล้วก็เดินเร็วหน่อยเถิด ถ่วงเวลานานเพียงใดก็ยังต้องประสบชะตากรรมเช่นเดิม หรือตอนนี้เจ้ากลัวแล้วอยากจะหนี หึ อย่าเหนื่อยไปเลย”

เวลานี้ผู้ดูแลพูดจาไม่น่าฟังอย่างยิ่ง

เติ้งอิงก้มหน้า นิ่งเงียบอดทนต่อทุกคำที่อีกฝ่ายพูดออกมา เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็เดินมาถึงหน้าประตูห้องลงทัณฑ์แล้ว

หนานไห่จื่อเดิมไม่มีห้องลงทัณฑ์ ห้องที่ใช้ลงทัณฑ์เติ้งอิงห้องนี้ความจริงแล้วเป็นห้องเล็กที่แขวนมุ้งผ้าฝ้ายห้องหนึ่ง เวลานี้ข้างในกำลังเผาถ่านไฟและจุดโคมไฟอยู่ มีคนจากกรมอาญาสองคนและเจิ้งเยวี่ยจยา ขันทีตรวจฎีกาของสำนักกิจการฝ่ายในกำลังนั่งหันหน้าไปทางทิศใต้ ทั้งยังมีองครักษ์เสื้อแพรในชุดคลุมยาวสีดำสี่คนยืนอยู่ด้านนอกประตู

ผู้ดูแลรู้ว่าหน้าที่ของตนสิ้นสุดลงตรงเบื้องหน้านายท่านเหล่านี้แล้ว หลังจากส่งมอบคนอย่างระมัดระวังแล้วก็เดินจากไปโดยไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา

เติ้งอิงเดินเข้าไปในห้องลงทัณฑ์เพียงผู้เดียว คนที่อยู่ข้างในกำลังสนทนากัน พอเห็นเขาเดินเข้ามาก็เพียงเงยหน้าขึ้นมองเขาคราหนึ่งโดยไม่ได้หยุดพูด

“รองเสนาบดีหยางหลุนก็มาที่หนานไห่จื่อแต่เช้าหรือ”

เจิ้งเยวี่ยจยาพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “อืม สกุลหยางยังตามหาคุณหนูสามของพวกเขาอยู่”

“หายตัวไปครึ่งเดือนกว่าแล้ว คุณหนูสามของพวกเขาเลื่องชื่อว่างดงามยิ่ง ถ้าตายไปแล้วบางทีอาจเป็นกองกระดูกที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ถ้ายังมีชีวิตอยู่…จะเป็นอะไรได้เล่า”

เจิ้งเยวี่ยจยาเป็นขันที เห็นได้ชัดว่าไม่มีความสนใจในเรื่องแปลกใหม่เหล่านี้ เขาเพียงพยักหน้าน้อยๆ ให้คนพูดแล้วเงยหน้ามองมาที่เติ้งอิง แสดงท่าทีให้คนปิดประตูหน้าต่าง ดึงมือกลับมาจากเตาอุ่นมือวางลงบนหัวเข่าแล้วเหยียดแผ่นหลังขึ้นตรง พูดเสียงดังเล็กน้อย

“พระเมตตาของฝ่าบาทเจ้ารู้แล้วกระมัง”

“ขอรับ” คนที่ยืนอยู่ตอบอย่างสงบ

เจิ้งเยวี่ยจยาไม่ได้เพิ่งพูดคุยกับเติ้งอิงเป็นครั้งแรก แม้จะรู้ว่าก่อนหน้านี้อีกฝ่ายเป็นคนที่สุขุมเยือกเย็นมีความรู้มีการศึกษา แต่ไม่เคยคิดว่าการได้พบกันในสภาพเช่นนี้เวลานี้เติ้งอิงยังคงรักษามารยาทไว้ได้

“ดี” เจิ้งเยวี่ยจยาไม่อาจมีอารมณ์ความรู้สึกกับอีกฝ่ายมากเกินไป มิฉะนั้นจะกลายเป็นประเด็นให้ผู้อื่นเอาไปพูดคุย เขาตอบรับเพียงคำเดียวก็ไม่มองเติ้งอิงอีก ก่อนจะยกมือขึ้นบอกคนที่อยู่ด้านข้าง “ปลดเครื่องพันธนาการออกจากร่างเขา”

จากนั้นเจิ้งเยวี่ยจยาก็ฉวยจังหวะนี้พูดคุยกับขุนนางของกรมอาญาต่อ

“วันนี้ตอนใต้เท้ามาที่นี่ได้พบใต้เท้าหยางแล้วหรือ”

“ใช่ พวกเรามาที่หนานไห่จื่อพร้อมกับเขา เขาพาคนไปที่เนินเขาทางทิศตะวันตก แต่ข้าว่าคงหาไม่พบอะไร ปีนี้หนานไห่จื่อเก็บเกี่ยวได้ไม่ดีนัก เนินเขาทางทิศตะวันตกนั่นยิ่งแล้วใหญ่ แม้แต่หญ้าสักต้นก็ไม่งอก”

เจิ้งเยวี่ยจยายิ้มพลางเอ่ยว่า “ใต้เท้าหยางรักน้องสาวผู้นั้นของเขามาก”

“หรือมิใช่เล่า ข้าเห็นสกุลจางยังยอมแพ้ มีเพียงเขาที่ยังตามหา ไม่เพียงตามหา แต่ยังปกป้องน้องสาวของเขาอย่างยิ่ง วันนี้ข้าปากมากพูดออกไปคำหนึ่ง บอกให้เขาไปถามชาวไร่ชาวนาในหนานไห่จื่อที่มีบุรุษฉกรรจ์ในครอบครัวเหล่านั้น ดูว่าจะมีข่าวอะไรหรือไม่ เจิ้งกงกง ลองเดาดูว่าเขาว่าอย่างไร ถ้าไม่มีคนดึงไว้ ข้าว่าเขาคงจะเข้ามาลงไม้ลงมือกับข้าแล้ว”

เจิ้งเยวี่ยจยาไม่ต่อบทสนทนาของอีกฝ่าย เพียงกล่าวยิ้มๆ “ใต้เท้าเองก็ไม่ระวังวาจา”

คนผู้นั้นเอ่ยตอบ “ข้าก็แค่พูดกับท่านเท่านั้น นี่ไม่ใช่เพราะรู้ว่าท่านบรรพชนที่อยู่เบื้องบนของท่านผู้นั้นแต่ไหนแต่ไรก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับหยางหลุนหรือ พวกเขาที่ออกมาจากหกหน่วย เหล่านี้ทุกวันเอาแต่ด่าทอเสนาบดีรองเสนาบดีกรมต่างๆ ด่าทอที่ทำการ ด่าทอสำนักกิจการฝ่ายในและยี่สิบสี่ที่ทำการ ไยต้องทำเช่นนี้ด้วย สมัยนี้ในราชสำนักใครบ้างไม่ลำบาก สิ่งที่หยางหลุนก่อกรรมทำเข็ญไว้อาจไม่ตามสนองไปที่ตัวเขา แต่อาจตามสนองไปที่ครอบครัวของเขาก็เป็นได้”

เจิ้งเยวี่ยจยาแย้มยิ้มแต่ไม่พูด เพียงมองไปที่เติ้งอิง เขากำลังยื่นมือให้คนช่วยปลดเครื่องพันธนาการอยู่

ตรวนกุญแจมือและโซ่เหล็กที่ถูกถอดออกมาส่งเสียงดังกังวานและกองอยู่ที่ข้างเท้าเขา

ขุนนางของกรมอาญารู้สึกว่าเมื่อครู่ตนออกจะพูดเกินเลยไปสักหน่อย เห็นหน้าที่ของตนเองเสร็จสิ้นแล้วจึงลุกขึ้นยืน

“เรียบร้อยแล้ว เจิ้งกงกง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปกรมอาญาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนผู้นี้อีก ต้องขอมอบให้สำนักกิจการฝ่ายในของพวกท่านโดยเด็ดขาดแล้ว”

เจิ้งเยวี่ยจยาเองก็ยืนขึ้นเช่นกัน “ย่อมไม่มีปัญหา”

ขุนนางของกรมอาญามองเติ้งอิงที่สวมเสื้อผ้าบางๆ คราหนึ่ง จากนั้นก็ทอดถอนใจ “เฮ้อ…ดวงชะตาในปีนี้ไม่ดีจริงๆ ตอนต้นปีสังหารคน ปลายปีก็สังหารคน คนในพรรคเติ้งทั้งรังก็ตายหมดแล้ว”

พอพูดจบก็สั่นศีรษะและพาคนเดินออกไป

เจิ้งเยวี่ยจยารอคนเหล่านั้นเดินออกไปแล้วก็เอามือไพล่หลังเดินมาตรงหน้าเติ้งอิง

เติ้งอิงเงยหน้าขึ้นเงียบๆ แววตาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพียงแต่คนดูผ่ายผอมกว่าที่เห็นครั้งก่อนมาก

เจิ้งเยวี่ยจยาอดถอนหายใจไม่ได้ ยื่นมือไปตบบ่าเติ้งอิงเบาๆ “ร่างกายยังดีอยู่หรือไม่”

“ยังดีอยู่”

“ดีแล้ว” เขาพูดจบก็เก็บมือกลับไปและปรับเสียงให้เป็นงานเป็นการมากขึ้น “ตามความเห็นของท่านผู้อาวุโส เขาอยากให้เจ้าเข้าสำนักศึกษาฝ่ายใน** แม้เจ้าจะเป็นขันที แต่ยังสามารถสอนหนังสือในสำนักศึกษาฝ่ายในของเราเช่นเดียวกับพวกหยางหลุนและคนอื่นๆ ได้ ยามว่างก็พูดคุยเกี่ยวกับบทกวีและบทความให้บุตรหลานในสำนักศึกษาฝ่ายในเหล่านั้นฟัง ถ้าเห็นว่ามีต้นกล้าที่ดีก็ให้คำชี้แนะเกี่ยวกับสองศาสตร์ทั้งด้านก่อสร้างและวิชาการ แล้วยังมีเรื่องสามตำหนักของวังหลวง การก่อสร้างที่นั่นเจ้ายังคงเป็นตัวหลัก กรมโยธาจะส่งเจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งมาร่วมงานกับเจ้า แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ต้องรอจนกว่าร่างกายเจ้าจะหายดีก่อน”

“ขอรับ” เติ้งอิงตอบอย่างสงบนิ่ง

เจิ้งเยวี่ยจยาเห็นเขาไม่มีท่าทีจะพูดอะไรมากก็นิ่งเงียบตามไปด้วย ผ่านไปครู่หนึ่งจู่ๆ ก็เอ่ยถาม “ไม่มีอะไรจะพูดหรือ เรื่องที่หลี่ซั่นไม่อาจจัดการได้ ข้าย่อมจัดการได้”

เติ้งอิงเงยหน้า เปิดปากพูดในเรื่องที่ทำให้เจิ้งเยวี่ยจยาคาดไม่ถึง “โปรดบอกใต้เท้าหยางหลุนสักคำ ที่หนานไห่จื่อมีสตรีผู้หนึ่ง อาจเป็นน้องสาวของเขาก็ได้”

เจิ้งเยวี่ยจยานิ่งงันไป “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

เติ้งอิงสั่นศีรษะพลางกล่าวว่า “ข้ามีความผิดติดตัว ไม่สะดวกจะพูดอย่างละเอียด”

เจิ้งเยวี่ยจยาพยักหน้าน้อยๆ และไม่ได้ซักถามเรื่องเดิมอีก “เวลานี้นางอยู่ที่ใด”

“ตอนนี้ข้าไม่ทราบ ร่างกายนางมีบาดแผล บางทีก่อนหน้านี้อาจตกจากเนินเขา สิบกว่าวันมานี้พักอยู่ด้านนอกห้องยุ้งฉางที่ข้าถูกควบคุมตัวอยู่”

เจิ้งเยวี่ยจยาขมวดคิ้ว “เกรงว่าคงไม่ใช่ ครึ่งเดือนมานี้ด้านนอกหนานไห่จื่อตามหานางมาโดยตลอด ทั้งเมืองหลวงโกลาหลกันไปหมด นางไม่มีเหตุผลที่จะไม่รู้ เพราะเหตุใดไม่ไปหาหลี่ซั่นเพื่อขอความช่วยเหลือเล่า”

นี่เป็นคำถามที่อยู่ในใจเติ้งอิงมาโดยตลอด ถ้าไม่ใช่บังเอิญได้ยินเจิ้งเยวี่ยจยากับขุนนางของกรมอาญาสนทนากัน เขาเองก็ยากจะเชื่อ น้องสาวของหยางหลุน สตรีที่หมั้นหมายกับบุตรชายสายตรงคนของสภาขุนนาง พูดออกมาในคืนก่อนที่เขาจะเข้ารับโทษทัณฑ์ว่าชั่วชีวิตนี้จะมีชีวิตอยู่เพื่อเขา

เจิ้งเยวี่ยจยาเห็นเขาไม่พูดก็ถามต่อไปอีก “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางก็คือน้องสาวของหยางหลุน”

เติ้งอิงหลุบตาพลางตอบ “นางมีจี้หยกฝูหรงอยู่สองชิ้น”

สกุลหยางชื่นชอบหยก คนในตระกูลไม่ว่าชายหญิงต่างชอบพกหยกกันทั้งสิ้น

เติ้งอิงพูดมาถึงจุดนี้เจิ้งเยวี่ยจยาก็ตกตะลึง จากนั้นก็ถอนหายใจ “บางทีเจ้าอาจเดาถูกแล้ว” เขาพูดแล้วหันไปกล่าวกับคนด้านนอก “บอกให้หลี่ซั่นมาหาข้า” จากนั้นก็กอดอกแล้วถามเติ้งอิง “นอกจากเรื่องนี้ก็ไม่มีคำพูดอื่นแล้วหรือ”

“ไม่มี”

น้ำเสียงเติ้งอิงเรียบนิ่ง ดูจงใจทำตัวเหินห่าง เจิ้งเยวี่ยจยายอมรับเจตนาของเขา เพียงพยักหน้าบอกว่า “ได้ เช่นนั้นข้าไปก่อน”

คำพูดเยียบเย็น ความหมายก็จืดจาง

บทที่ 1.4 นกกระเรียนบาดเจ็บกับดอกฝูหรง

หลังจากเจิ้งเยวี่ยจยาไปแล้วประตูห้องเล็กก็ถูกใส่กุญแจอย่างแน่นหนา ข้างในทิ้งเตาถ่านที่ไฟเริ่มมอดเอาไว้ สะเก็ดไฟแตกปะทุมาถึงข้างเท้าของเติ้งอิง

เติ้งอิงนั่งยองๆ ลงด้านข้างเตาถ่าน ค่อยๆ ถอดรองเท้าถุงเท้าของตนออก นิ่งเงียบอยู่นาน

จางหูจื่อยังไม่มา ไม่รู้ว่าเป็นการจัดการของเจิ้งเยวี่ยจยาหรือไม่ อีกฝ่ายอาจอยากให้เวลาเขามากขึ้น

ถ้าใช่ เช่นนั้นก็ออกจะเกินความจำเป็นไปแล้ว

ถ่านไฟค่อยๆ เผาไหม้จนหมด ในที่สุดเติ้งอิงก็ลุกขึ้นยืน หันกายมานั่งกึ่งคุกเข่าบนเตียงไม้ ใช้นิ้วมือเลิกกระดาษกรุหน้าต่างขึ้นเล็กน้อย

เขาไม่มีจุดประสงค์อื่นใด เพียงอยากจะดูผู้คนหรือสิ่งต่างๆ ที่อยู่ข้างนอกในเวลานี้สักคราหนึ่งเท่านั้น

เมื่อก่อนเขาไม่เคยมีความคิดที่จะพึ่งพาใคร รวมถึงบิดา พี่ชาย และสหายสนิท แต่เวลานี้กลับต้องการสัมผัสมือกับผู้อื่นอย่างประหลาด แม้จะมีชุดนักโทษขวางอยู่ก็ยังดี ถ้าเป็นไปได้คนที่สัมผัสเขาควรมีร่างกายที่อบอุ่นกว่าเขาสักเล็กน้อย

ยามนี้ข้างนอกมีคนอยู่หรือไม่

มีคนอยู่…

 

หยางหวั่นถือสมุดเล่มเล็กนั่งอยู่บนบันไดหินด้านหลังห้องลงทัณฑ์

บนชายคาหิมะกำลังละลาย บางทีก็ร่วงหล่นลงมาที่ข้างเท้ากองสองกอง

จะบอกว่าทำให้ตกใจก็ไม่ถึงขั้นนั้น แต่เห็นแล้วรู้สึกหนาวเหน็บ นางกอดขาทั้งสองข้างไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว วางคางลงบนหัวเข่า เขี่ยมุมขอบสมุดเล่มเล็กอยู่เงียบๆ เปลือกตาหนักอึ้ง แต่กลับไม่รู้สึกง่วง

เมื่อคืนนางนอนอยู่ตรงหน้าเติ้งอิงจึงหลับไม่สนิทนัก

ยามกลางดึกตื่นขึ้นมาก็เห็นเติ้งอิงเงยหน้ามองทัศนียภาพของหิมะที่นอกหน้าต่างคล้ายไม่ได้นอน

ค่ำคืนไร้แสงสว่าง แต่ในดวงตาของเขามีประกายแวววาวราวกับธารน้ำ แม้ตัวเขาจะสวมเสื้อผ้าเนื้อบางยิ่ง ร่างกายก็ดูหนาวจนแข็งทื่อ แต่ในค่ำคืนก่อนจะถูกลงทัณฑ์ยังสามารถนั่งตรงมุมผนังห้องอย่างนิ่งสงบได้กลับทำให้หยางหวั่นรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาบ้าง

เมื่อเข้าสู่สังคม แม้ได้รับบาดเจ็บก็ไม่อิจฉาริษยา

อุปนิสัยความเป็นมนุษย์เช่นนี้ของเติ้งอิงสามารถเยียวยาผู้คนมากมายในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดได้กว่าครึ่ง

แต่ก่อนเพื่อที่จะทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก่อนและหลังการลงโทษเติ้งอิง หยางหวั่นแทบจะต้องค้นหาไปทั่วห้องสมุดหลายแห่งในประเทศ แต่ไม่พบเอกสารด้านประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องซึ่งเชื่อถือได้ แต่กลับมีข้อมูลซับซ้อนมากมายกระจัดกระจายอยู่ในหนังสือรวมข้อมูลส่วนตัวของปัญญาชนในช่วงปลายราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง

อย่างเช่นปัญญาชนในสมัยราชวงศ์ชิงที่ไม่ค่อยถูกทำนองคลองธรรมผู้หนึ่งได้กุเรื่องขึ้นในหนังสือรวมข้อมูลส่วนตัวของเขาไว้ท่อนหนึ่งดังนี้

เขาบอกว่าหลังจากเติ้งอิงถูกลงทัณฑ์ได้เอา ‘ของรัก’ ของตนเก็บไว้ในโถดินเผาเล็กๆ ใบหนึ่งแล้วพกติดตัวไว้ตลอดเวลา ต่อมาเขาได้เป็นผู้บัญชาการสำนักบูรพา และซื้อคฤหาสน์หลังใหญ่ในเมือง จากนั้นก็นำโถดินเผาฝังไว้ที่รากต้นอวี๋ หน้าห้องโถงใหญ่ด้านนอกและสั่งให้คนรดน้ำทุกวัน กล่าวกันว่าเป็นการ ‘ปลูกแก่นราก’ หากตอนปลูกแก่นรากในใจมีความเลื่อมใสศรัทธาก็อาจหลบพ้นจากการปัดกวาดรากตอในวังได้ และสิ่งที่อยู่ข้างใต้ยังสามารถเจริญเติบโตขึ้นมาได้ น่าเสียดายที่ในเวลาต่อมาเติ้งอิงได้รับโทษประหาร คนหนุ่มสาวจากพรรคตงหลิน ที่โกรธแค้นได้ขุดโถดินเผาออกมาทุบแตก เอาสิ่งเน่าเปื่อยข้างในออกมาแล้วเผาเป็นเถ้าถ่าน

หยางหวั่นอ่านมาถึงตรงนี้ก็ตัดสินใจทิ้งข้อมูลทั้งหมดของปัญญาชนสมัยราชวงศ์ชิงผู้นี้ไปอย่างไม่ลังเล

การศึกษาวิจัยทางด้านประวัติศาสตร์ ไม่ต้องพูดถึงทัศนคติ แม้แต่ความรู้สึกส่วนตัวก็ไม่ควรมี

คนผู้นั้นต้องบิดเบี้ยวเพียงใดถึงได้แต่งเรื่องไร้สาระอย่างเรื่องเติ้งอิง ‘ปลูกแก่นราก’ ออกมาได้

หยางหวั่นยึดติดกับเติ้งอิงอย่างยิ่ง ไม่อาจยอมรับนักวิจัยประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงคนใดที่ลบหลู่ตัวตนของเติ้งอิงไม่ว่าจะด้วยวัตถุประสงค์ใดก็ตาม และสิ่งที่โต้แย้งบันทึกส่วนตัวซึ่งบรรยายอย่างสับสนเหล่านี้ได้ดีที่สุดก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าข้อมูลจริงจากมือตนเอง

จะมีข้อมูลอะไรที่ถูกต้องไปกว่าการอยู่ที่นั่นในเวลานั้นและเห็นทุกอย่างด้วยตาของตนเองอีกเล่า

ในใจของหยางหวั่นเข้าใจทุกอย่าง แต่จะพูดอย่างไรดี

คนในเอกสารด้านประวัติศาสตร์ผู้นั้นคือคนตาย ไม่มีเขตแดนระหว่างเขากับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาไม่มีความเป็นส่วนตัว ชีวิตที่ดับสลายไปแล้วของพวกเขาก็มีไว้ให้ชนรุ่นหลังคอยสอดส่อง

แต่เติ้งอิงที่มีชีวิตอยู่ตรงหน้าหยางหวั่นผู้นี้ไม่เหมือนกัน เขาไม่ใช่กองถ่านที่เผาไม่ติด ไม่ต้องจุดไฟใหม่

หยางหวั่นรู้สึกว่าอย่างน้อยในช่วงเวลาและในที่นี้ เขานอกจากจะเป็นหัวข้องานวิจัยของตนแล้ว ยังเป็นคนที่มีชีวิตอยู่อีกด้วย

นางกับเขาทัดเทียมกัน

ช่างเถิด…

สุดท้ายนางก็ตัดสินใจไม่เอาข้อมูลจริงในยามนี้ ไม่ฟังเสียงร้องที่น่าเวทนาจากในลำคอของเขา

นางยืนขึ้นแล้วปัดเศษหิมะบนผม แต่ยังคงมีท่าทีไม่ยินยอมพร้อมใจ หันหน้ากลับไปมองผนังที่เต็มไปด้วยตะไคร่เขียวอีกครั้ง

ช่างเถิด…

นางเอ่ยคำนี้ในใจอีกครั้ง

รอเขาดีขึ้นแล้วค่อยว่ากัน อย่างไรเสียตอนนี้…ก็ไม่ใช่ส่วนที่สำคัญมาก

 

ทางด้านเนินเขาทางทิศตะวันตก หยางหลุนยืนอยู่ข้างเสาผูกม้า รับกาน้ำมาแล้วเงยหน้าขึ้นดื่มน้ำ

หลี่ซั่นเร่งร้อนมาจากถนนที่เต็มไปด้วยหิมะ ทางหนึ่งพยายามวิ่ง อีกทางหนึ่งก็ทักทายหยางหลุน “ใต้เท้าหยาง ท่านมาที่หนานไห่จื่อก็ไม่บอกให้ข้ารู้สักคำ ข้า…”

เขามีอายุแล้ว วิ่งไปพูดไปอย่างร้อนใจ แต่พูดยังไม่ทันจบก็สำลักลมหิมะเต็มปอดอยู่กลางทาง ซวนเซเล็กน้อยพลางไอออกมา

หยางหลุนโยนกาน้ำให้บ่าวรับใช้ ก่อนจะเดินเข้าไปหาหลี่ซั่นหลายก้าว “หลี่กงกงไม่จำเป็นต้องตั้งใจมาเป็นพิเศษ พวกท่านทำงานให้ฝ่าบาท เรื่องของข้าไม่อาจรบกวนพวกท่านมาดูแล”

เขาพูดจาอย่างระมัดระวังและเหมาะสมยิ่ง

หลี่ซั่นได้รับความเคารพและให้เกียรติ ในใจก็มีความมั่นใจมากขึ้น ทางหนึ่งผ่อนลมหายใจ ทางหนึ่งก็มองประเมินบุรุษที่อยู่ตรงหน้า

หยางหลุนกับเติ้งอิงสอบได้จิ้นซื่อปีเดียวกัน ทั้งยังเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์และเป็นสหายกัน แม้คนหนึ่งจะเข้าไปอยู่ในกรมสำคัญอย่างกรมอากร อีกคนก็ทำงานในกรมโยธาอย่างจริงจัง วิถีในการเป็นขุนนางไม่เหมือนกัน แต่ก็มักจะถูกคนในเมืองหลวงนำมาเปรียบเทียบกัน

หยางหลุนเวลานี้อายุยี่สิบแปดปี โตกว่าเติ้งอิงสี่ปี รูปร่างก็สูงกว่าเติ้งอิงเล็กน้อย คิ้วเข้ม ดวงตางามได้รูป โครงหน้าหมดจดคมสัน วันนี้เขาสวมชุดลำลองเสื้อคลุมยาวสีเขียวอมดำ สายคาดเอวสีดำ และมีหยกประดับรูปดอกทานตะวันสีเขียวห้อยอยู่ตรงสายคาดเอว ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะที่หนาวเย็น สีหน้าอากัปกิริยาเรียบร้อย เรือนร่างสูงตระหง่าน ยิ่งขับเน้นให้กลุ่มผู้ถูกตอนและผู้ที่กำลังทำงานอยู่บนเนินเขาไหล่งอหลังค่อมมากขึ้น

สกุลหยางโอ้อวดว่าเป็นพวกมือสะอาดในแวดวงขุนนาง มีขนบธรรมเนียมในจวนที่เที่ยงธรรม คนในวงศ์ตระกูลชื่นชอบหยก เลื่อมใสในวรรณกรรม แต่ความจริงแล้วคนรุ่นก่อนแทบทั้งหมดล้วนเป็นพวกทำอะไรตามกฎเกณฑ์ระเบียบแบบแผน ไม่ได้สร้างคุณงามความดียิ่งใหญ่มากนัก ทว่าทุกคนก็ทำได้ไม่เลว นายท่านผู้เฒ่าหยางสูงวัยเกษียณแล้ว บำเพ็ญพรตอย่างสงบที่อารามบนภูเขาแห่งหนึ่งในเจ้อเจียง ในอดีตเคยมีตำแหน่งขุนนางเป็นราชบัณฑิตและเคยอยู่ในสภาขุนนางของราชวงศ์ก่อน นับได้ว่าเป็นผู้โดดเด่นในหมู่ผู้ศึกษาเล่าเรียน แต่ชนรุ่นหลังกลับไม่เอาการเอางานสักเท่าใดนัก นอกจากหยางหลุนที่เป็นขุนนางโดยผ่านการสอบเคอจวี่แล้วก็มีเพียงน้องชายต่างมารดาของหยางหลุนและเด็กหนุ่มที่เพิ่งอายุสิบสี่ปีผู้หนึ่งซึ่งมีชื่อว่าหยางชิ่งที่ยังเรียนหนังสืออยู่ ที่เหลือล้วนเป็นบุรุษกางเกงแพร รั้งอยู่เมืองหลวงต่อไม่ได้แล้วก็พากันลงใต้ทำการค้าพวกผ้าไหมผ้าฝ้ายอยู่ที่บ้านเกิดในเจ้อเจียง

ทว่าสกุลหยางตระกูลนี้แต่ไหนแต่ไรก็มีแต่คนงาม ไม่ว่าบุรุษสตรีส่วนใหญ่รูปโฉมโดดเด่นเหนือผู้อื่น พวกหยางหลุนกับหยางชิ่งก็เป็นเช่นนั้น บุตรสาวสองคนของจวนสกุลหยางอย่างหยางสวี่กับหยางหวั่นยิ่งเป็นที่หมายตาของตระกูลขุนนางในเมืองหลวง ต่างแย่งชิงกันมาขอหมั้นหมาย สี่ปีก่อนหยางสวี่เข้าวัง หลังจากให้กำเนิดองค์ชายก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นหนิงเฟยหยางหวั่นก็หมั้นหมายกับจางลั่วผู้กำกับการกองเจิ้นฝู่เหนือ เดิมทีควรจะเข้าพิธีแต่งงานเมื่อปลายปีที่แล้ว แต่ช่วงปลายปีมีคดีใหญ่ของเติ้งอี๋ ในคุกหลวงของกองเจิ้นฝู่เหนือมีคนถูกขังอยู่เต็มไปหมด จางลั่วอยู่ท่ามกลางกองเนื้อกลิ่นคาวโลหิตจึงปลีกตัวออกไปไม่ได้แม้เพียงชั่วขณะ

หลังจากคดีสกุลเติ้งสิ้นสุด เขาก็รับพระบัญชาเดินทางไปทางใต้ เรื่องแต่งงานจึงต้องวางลงชั่วคราว

อย่างไรก็ตามการแต่งงานระหว่างจางหยางสองตระกูลยังคงเป็นเรื่องใหญ่ของเมืองหลวง ทว่าเหตุการณ์ในเวลานี้กลับทำให้คนทอดถอนใจ

นับแต่หยางหวั่นหายตัวไปจากอารามหลิงกู่ ตอนแรกสกุลจางก็ร้อนใจ ให้คนค้นหาไปทั่วทุกแห่ง แต่ค้นหาอยู่หลายวันก็ไม่พบ จากนั้นก็ปิดปากเงียบไม่เอ่ยถึงหยางหวั่นอีกราวกับไม่มีการหมั้นหมายกันเช่นนั้น

เวลาผ่านไปครึ่งเดือนแม้แต่คนของจวนสกุลหยางก็เริ่มหมดกำลังใจ มีเพียงหยางหลุนที่ไม่ยอมล้มเลิกความพยายาม

ปกติต้องจัดการงานของทางการในกรม ทั้งยังต้องค้นหาบริเวณรอบๆ อารามหลิงกู่ เหน็ดเหนื่อยมาครึ่งเดือน คนก็ผ่ายผอมลงกว่าแต่ก่อนมาก

“ใต้เท้าหยางต้องถนอมร่างกายด้วย” หลี่ซั่นอดเอ่ยเตือนเขาไม่ได้

หยางหลุนไม่ได้ตอบรับหลี่ซั่น เพียงพูดออกมาตามตรง “วันนี้ข้ามาตามหาน้องสาวของข้า เมื่อวานได้ยินชาวไร่ชาวนาในหนานไห่จื่อผู้หนึ่งบอกว่าครึ่งเดือนก่อนดูเหมือนจะมีหลายคนตกจากเนินเขา ด้วยเหตุนี้ข้าจึงมาดู รอพระอาทิตย์ตกก็จะไป หลี่กงกงทำงานของท่านไปเถิด”

หลี่ซั่นรีบบอก “ที่ข้ามานี่ก็เพื่อจะบอกเรื่องนี้กับใต้เท้าโดยเฉพาะ” พอพูดจบก็หยิบจี้หยกฝูหรงชิ้นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ “วันนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าเก็บได้ที่นอกห้องยุ้งฉาง ใต้เท้าลองดู ใช่ของจวนท่านหรือไม่”

หยางหลุนมองคราเดียวก็จำจี้หยกชิ้นนี้ได้ นี่เป็นจี้หยกที่ทำมาจากหยกซึ่งเขานำกลับมาจากลั่วหยางเมื่อปีที่แล้ว

เขารับมากำไว้ในมือทันที ก้าวเข้าไปก้าวหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “น้องสาวข้าอยู่ที่ใด”

หลี่ซั่นเอ่ยปลอบโยนเขา “ใต้เท้าหยางอย่าเพิ่งใจร้อน คนที่หนานไห่จื่อกำลังตามหาแล้ว แต่ตอนนี้ยังหาไม่พบ ข้า…” ขณะที่พูดในใจหลี่ซั่นก็ลังเล กลั่นกรองคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง ปลอบใจตนเองแล้วก็เอ่ยถาม “ขอเสียมารยาทถามใต้เท้าสักคำ ใต้เท้ากับเติ้งอิงเป็นสหายเก่ากัน แล้วน้องสาวของใต้เท้ารู้จัก…”

“น้องสาวข้าได้รับการเลี้ยงดูอยู่ข้างกายมารดาข้ามาตั้งแต่เล็ก ไม่เคยพบบุรุษอื่นเป็นการส่วนตัว จะรู้จักเติ้งอิงได้อย่างไร!”

หยางหลุนไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจู่ๆ หลี่ซั่นจึงดึงหยางหวั่นไปเกี่ยวโยงกับเติ้งอิง เมื่อคิดว่ากองเจิ้นฝู่เหนือเพิ่งสั่งปิดสำนักศึกษาถงจยาที่เรียกร้องความเป็นธรรมให้เติ้งอิงไป เขาก็หวาดหวั่นขึ้นมา จึงใช้คำพูดกดดันหลี่ซั่นโดยตรง

“ถ้าเป็นตัวข้าเองก็แล้วไปเถิด แต่นี่น้องสาวข้าเป็นสตรี จะถูกพาดพิงเช่นนี้ได้อย่างไร หลี่กงกงไม่อาจพูดจาเรื่อยเปื่อย ต้นปีที่หนานไห่จื่อของพวกท่านมีเรื่องมากมาย ไม่ค่อยสงบอยู่แล้ว หากเวลานี้ท่านยังจะ…”

“ขอรับ ข้าทราบแล้ว”

หลี่ซั่นค้อมกายตัดบทเขา ไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องที่ตรวจสอบซักถามมาได้จากห้องยุ้งฉางที่ว่าหยางหวั่นไปเยี่ยมเติ้งอิงหลายครั้งหลายหน

“ใต้เท้า พวกเราเป็นบ่าว เห็นจี้หยกนี้แล้วก็ร้อนใจ กลัวว่าใต้เท้าจางลั่วกลับมาเมืองหลวงรู้ว่าพวกเราตาบอดจำไม่ได้ว่าเป็นแม่นางหยาง ปล่อยให้นางได้รับความลำบากอยู่ที่นี่หลายวันแล้วจะพานายท่านองครักษ์เสื้อแพรเหล่านั้นมาถลกหนังบนร่างพวกเรา เวลานี้เจ้าหน้าที่เบื้องล่างกำลังตามหากันอยู่ ใต้เท้าหยางรออีกสักหน่อย ไม่แน่คืนนี้ก็คงจะหาพบแล้ว”

หยางหลุนฟังคำพูดประโยคนี้จบก็เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของหลี่ซั่น แต่คำพูดเมื่อครู่ของอีกฝ่าย เมื่อคิดดูและใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้วเขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

“เมื่อครู่…เพราะเหตุใดท่านถามถึงเติ้งอิงเล่า”

หลี่ซั่นไม่กล้าสบตาหยางหลุน

หยางหลุนปรับน้ำเสียงให้เรียบ “เมื่อครู่ข้าพูดจาหุนหันพลันแล่นเกินไป หลี่กงกงอย่าได้ถือสา”

หลี่ซั่นถอนหายใจคราหนึ่ง ยังคงจับจ้องปลายเท้าของตน “ไม่รู้ว่าพวกผีอ่อนแอ ที่หนานไห่จื่อพูดจาส่งเดชหรือไม่ บอกว่าสิบกว่าวันมานี้มีแม่นางผู้หนึ่งลอบดูแลเติ้งอิงอยู่ตลอด สมุนไพรที่ตากอยู่ในลานเล็กของข้าก็ถูกคนเคลื่อนย้ายไปยังที่คุมขังคนผู้นั้นหลายครา ข้าตรวจสอบดูแล้วหลายอย่างเป็นสมุนไพรที่ใช้รักษาบาดแผลภายนอก” เขาเงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดต่อเสียงเบา “ใต้เท้าหยาง ข้าทราบว่าน้องสาวของใต้เท้าหมั้นหมายกับสกุลจางแล้ว เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชื่อเสียง พูดออกไปย่อมไม่ดีต่อนาง ดังนั้นจึงโบยคนที่สมควรโบยไปแล้ว”

คำพูดเหล่านี้พอกล่าวจบคนที่อยู่ตรงหน้ากลับนิ่งเงียบไม่มีอาการตอบสนอง หลี่ซั่นอดไม่อยู่เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายคราหนึ่งก็เห็นหยางหลุนมีสีหน้าเคร่งเครียด มือกำแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว

“ใต้เท้า…”

“ข้าทราบแล้ว รบกวนหลี่กงกงแล้ว”

น้ำเสียงนี้เป็นการกัดฟันเอ่ยอย่างชัดเจน หลี่ซั่นฟังแล้วกระดูกสันหลังก็เย็นเยียบ รีบพูดว่า “มะ…มิกล้าๆ” จากนั้นก็ประสานมือแล้วบอกอีกว่า “ใต้เท้า พวกเราเดิมทีก็มีความผิด ก่อนหน้านี้เจิ้งกงกงแห่งสำนักกิจการฝ่ายในมาที่นี่ก็ถามถึงเรื่องนี้ พวกเราจึงได้รู้ว่าก่อเรื่องขึ้นแล้ว ไม่กล้าไม่รับผิดชอบ ใต้เท้าต้องการสิ่งใด บอกเรามาได้ทันที”

หยางหลุนฝืนระงับความอับอายและความโกรธในใจเอาไว้ เขามองไปทางด้านหลังหลี่ซั่นคราหนึ่ง

ท่ามกลางหิมะแรกที่ปกคลุมไปทั่วพื้นที่อันกว้างใหญ่ดูขาวโพลนจนสุดลูกหูลูกตา ไม่ว่าสิ่งใดก็เห็นไม่ชัดเจน

“เติ้งอิงยังอยู่ที่หนานไห่จื่อหรือไม่”

“ยังอยู่”

“จะลงทัณฑ์เมื่อใด” ตอนกล่าวคำพูดประโยคนี้เขากำจี้หยกในมือแน่นโดยไม่รู้ตัว

หลี่ซั่นก็หันไปมองข้างหลังคราหนึ่ง “จางหูจื่อไปแล้ว ดูเวลาแล้ว…น่าจะเป็นตอนนี้”

“อืม” หยางหลุนนิ่งเงียบไปชั่วขณะ คล้ายกำลังลังเลว่าควรถามต่อไปอย่างไรเพื่อให้ฟังดูแล้วไม่มีความรู้สึกกับเติ้งอิงมากจนเกินไป “จากนั้นเล่า”

“จากนั้นก็รักษาตัวอยู่กับพวกเราสองสามวัน แล้วก็ส่งไปยังสำนักกิจการฝ่ายในผ่านกรมพิธีการ”

“อ้อ” เขายุติหัวข้อสนทนาลงในเวลานี้ พลิกกายขึ้นหลังม้า “ข้าจะตามพวกท่านเข้าไปที่หนานไห่จื่อ ตามหานางด้วยกัน”

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 4 .. 68

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: