X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักลำนำฝูหรงเคียงกระเรียน

ทดลองอ่าน ลำนำฝูหรงเคียงกระเรียน บทที่ 1.5-1.6

หน้าที่แล้ว1 of 10

บทที่ 1.5 นกกระเรียนบาดเจ็บกับดอกฝูหรง

ยามนี้ในห้องลงทัณฑ์เงียบสงัดราวกับไร้คนมีชีวิต

ความเจ็บปวดแสนสาหัสที่ยากจะทานทนเมื่อครู่เริ่มสงบลงแล้ว เติ้งอิงนอนหงายอยู่บนเตียง จางหูจื่อยืนอยู่ข้างเท้าเขา กำลังแก้เชือกที่มัดเขาไว้ออก ขณะแก้เชือกก็พูดขึ้น

“ข้าเป็นช่างมีดมานานปีเพียงนี้ เจ้าคือคนที่โชคร้ายที่สุด พูดให้น่าฟังก็เป็นงานของราชสำนัก พูดอย่างไม่น่าฟังก็คือไม่มีเงินค่าคมมีดแม้แต่น้อย นี่ก็แล้วไปเถิด ปกติยามข้าจัดการของรักให้คนเหล่านั้นแล้วพวกเขาต้องมอบหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรให้ข้าแผ่นหนึ่งว่า ‘เป็นตายไม่กล่าวโทษ’ แต่เจ้าไม่ต้องเขียน ดังนั้นข้าจึงต้องพูดกับเจ้าสักประโยค หลังจากนี้สามวันถ้าตรงส่วนล่างของเจ้าไม่ดี ถูกเฮยไป๋อู๋ฉาง พาตัวไปยังใต้พื้นดิน เจ้าไม่อาจลากข้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยต่อหน้าท่านพญายม”

เติ้งอิงคิดจะเปิดปากเอ่ย แต่กลับไอออกมาทีหนึ่ง

จางหูจื่อแก้เชือกที่ข้อเท้าเขาออก “อย่าไอ อดทนไว้ ยิ่งไอยิ่งเจ็บ”

เติ้งอิงคล้ายได้ยินคำพูดของเขา จึงเอามือกดหน้าอก อดทนไว้ไม่ไอออกมา

จางหูจื่อปาดเหงื่อที่หน้าผาก หัวเราะอย่างหยาบคายหลายครา “แต่เจ้าก็เป็นคนหนุ่มที่มีความอดทนยิ่ง ก่อนหน้านี้มีคนเหล่านั้นรูปร่างสูงใหญ่ล่ำสันกว่าเจ้าไม่น้อย แต่ไม่มีคนใดใบหน้าไม่บิดเบี้ยวไม่ร้องคราง ขณะที่เจ้ากลับไม่ส่งเสียงสักนิด ทำเอาข้าตกใจคิดว่าเจ้าตายคามือข้าแล้ว” พอพูดจบก็ยื่นมือไปแก้เชือกที่ข้อมือเติ้งอิง คล้องไว้บนหัวไหล่ของตนแล้วก้มลงพูดอีก “เอาล่ะ อดทนต่อไปเถิด สามวันนี้เป็นเส้นบางๆ ระหว่างความเป็นความตาย อดทนผ่านไปได้ก็ก้าวข้ามประตูนรกกลายเป็นคนใหม่อีกคนหนึ่ง”

 

ผ่านสามวันไปก็จะกลายเป็นคนใหม่อีกคนหนึ่ง

แต่สามวันนี้ผ่านไปได้ยากยิ่ง เติ้งอิงทำได้เพียงอดทนต่อความเจ็บปวด สติเขาเลอะเลือน พอหลับก็ฝันร้าย

เมื่อได้สติอีกครั้งก็เข้าใจว่าเวลาผ่านไปนานแล้ว แต่พอลืมตาขึ้นท้องฟ้าภายนอกยังคงสว่างอยู่

ยังคงเป็นวันเดียวกัน เพียงแต่ใกล้พลบค่ำจึงเงียบสงัดไร้สุ้มเสียงใดๆ

ด้านนอกหน้าต่างหิมะใกล้จะหยุดตกแล้ว ท้องฟ้าทางทิศตะวันตกปลอดโปร่ง แลเห็นแสงอาทิตย์ยามสายัณห์อยู่รำไร

เติ้งอิงรู้สึกว่าร่างกายของตนนอกจากตรงบาดแผลที่ร้อนลวกดุจไฟเผาแล้ว บริเวณอื่นที่เหลือล้วนแข็งทื่อเย็นเฉียบดุจก้อนน้ำแข็ง

ภายในห้องอุดอู้อย่างยิ่ง ในโพรงจมูกมีแต่กลิ่นคาวโลหิต

เขาอยากจะเปิดหน้าต่าง แต่แขนไม่มีเรี่ยวแรง ทำได้เพียงเกาะขอบหน้าต่างขึ้นไป พยายามเลื่อนกลอนหน้าต่าง

“ตอนนี้ท่านยังไม่อาจต้องลม”

เสียงพูดดังมาจากหัวเตียงพร้อมกับเสียงวักน้ำ จากนั้นก็มีเสียงเสื้อผ้าเสียดสีกันยามเดิน

เติ้งอิงพยายามเงยหน้ามองไปทางหัวเตียง

บนโต๊ะไม้หัวเตียงมีตะเกียงจุดสว่างอยู่ดวงหนึ่ง มีคนกำลังก้มลงไปชุบผ้าเช็ดหน้าในอ่างน้ำ

“หยาง…หวั่น”

คนที่อยู่ภายใต้แสงตะเกียงอึ้งงัน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นทันที

นี่นับเป็นครั้งแรกที่เติ้งอิงเปิดปากพูดกับนาง

“อืม เป็นข้าอีกแล้ว” นางปัดเส้นผมยุ่งเหยิงตรงหน้าผาก ยิ้มอย่างเยาะหยันตนเอง “ท่านไม่สบายใจที่เห็นข้าหรือไม่”

หยางหวั่นพูดพลางลูบใบหน้าที่น้ำกระเซ็นใส่ บิดผ้าให้หมาดแล้วเดินมาที่เติ้งอิง

“อย่าเข้ามา” ตอนพูดร่างของเขาก็แข็งทื่อยิ่ง เส้นเลือดที่ลำคอปูดโปนขึ้นมา ไม่รู้เพราะเจ็บหรือร้อน เหงื่อซึมออกมาทั่วร่าง

ถ้าบอกว่าก่อนหน้านี้อยู่ในห้องยุ้งฉางเขายังสามารถหลบเลี่ยงหยางหวั่นได้ เช่นนั้นเวลานี้แม้แต่จะหลบเลี่ยงนางเขาก็ไม่สามารถทำได้

“ข้าไม่มีเจตนาเช่นนั้น” นางพูดพลางเอาผ้าเช็ดหน้าวางไว้ที่หน้าผากของเขา จากนั้นก็ยอบกายลงนั่งหันหลังให้เติ้งอิงแล้วหยิบเหล็กเขี่ยถ่านในเตา “ข้าไม่มีเจตนาจะล่วงเกินท่าน ข้าจะนั่งอยู่เช่นนี้ ไม่หันหลังไปถ้าไม่มีเรื่องอะไร”

เติ้งอิงยันกายขึ้นมามองร่างกายส่วนล่างของตนคราหนึ่ง ตรงจุดที่มีบาดแผลของเขามีผ้าฝ้ายสีขาวผืนหนึ่งปิดคลุมอยู่ นอกจากนี้แล้วบนร่างกายก็ไม่มีสิ่งใดปกปิดอีก ความสิ้นหวังซึ่งเกิดจากร่างกายที่แตกสลายและว่างเปล่าทำให้ปราการจิตใจที่เปราะบางของเขาแตกออกเป็นช่อง ทั้งยังดูเหมือนจะพลิกคว่ำอยู่ทุกเมื่อ มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งถึงกับมีคำว่า ‘ตาย’ ผุดขึ้นมาในสมองเขา

ทว่าในเวลานี้เองหยางหวั่นก็พลันเปิดปากขึ้น

“ยังหนาวหรือไม่ ข้างนอกมีถ่านกองอยู่มาก หรือไม่ข้าจะไปหอบเข้ามาเพิ่มอีกหน่อย”

มือของนางยื่นไปที่หน้ากองไฟ ผิวพรรณเนียนละเอียดชวนมองยิ่ง เส้นผมของนางถูกเปลวไฟขับเน้นทำให้เห็นความยุ่งเหยิงชัดเจน แผ่สยายอยู่บนหัวไหล่อย่างไม่เป็นทรง ผิวพรรณที่เปลือยเปล่าตรงไหล่หลังขาวหมดจดไร้จุดด่างพร้อย เมื่อได้เห็นผิวพรรณของสตรีในเวลานี้ เติ้งอิงพลันรู้สึกว่าการสัมผัสมือผู้อื่นที่เขาปรารถนาก่อนจะถูกลงทัณฑ์ ในเวลานี้พอคิดขึ้นมาแล้วดูเลวทรามต่ำช้ายิ่ง

“ออกไป”

เติ้งอิงได้แต่เอ่ยคำนี้ออกมา ทว่าเขาเคร่งครัดในสิ่งที่ตนถูกอบรมปลูกฝังมาอย่างยิ่ง แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่น่าอับอายและเคียดแค้น น้ำเสียงของเขาก็ไม่แข็งกระด้างเย็นชา ทั้งยังไม่นับว่าห่างเหิน เพียงคิดจะแยกสตรีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้กับสภาพที่น่าอเนจอนาถของตนเองออกจากกันอย่างเร่งด่วนเท่านั้น

หยางหวั่นไม่รู้สึกเหนือความคาดหมาย นางยกมือข้างหนึ่งขึ้นยันปลายคาง มองเงาที่พื้น ยิ้มพลางเอ่ย…

“อย่าไล่ข้าไปเลย เดิมทีข้าตั้งใจว่าจะไม่มาหาท่านในช่วงเวลานี้ แต่เมื่อครู่ข้าอดใจไม่ไหวจึงเข้ามาดูสักครา ท่าน…” นางอยากบอกว่าเติ้งอิงน่าเวทนาเกินไปแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าการแสดงความเห็นอกเห็นใจในเวลานี้เท่ากับสบประมาทเขา จึงกระแอมกระไอกลบเกลื่อน “ข้ารู้สึกหนาวมาก เห็นท่านมีเตาถ่านจึงเข้ามาผิงไฟ”

“…”

พื้นกระดานเตียงส่งเสียงดังขึ้นคราหนึ่ง ฝ่ามือของเติ้งอิงยันไม่อยู่จึงไถลลงไปที่พื้น มือแตะถูกแผ่นหลังของหยางหวั่น

หยางหวั่นมองไปที่ด้านข้างคราหนึ่ง ไม่ได้หันหน้ามา เพียงยื่นมือมากุมข้อมือของเขาแล้วดันร่างเขากลับขึ้นไป

“ท่านอย่ายันกายขึ้นมาเช่นนี้ ตอนนี้ท่านไม่ใช่นักโทษของกรมอาญาแล้ว ประตูไม่ได้ใส่กุญแจ พวกเขาเพียงแต่ไม่กล้าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับท่าน”

เติ้งอิงกดข้อมือที่ถูกนางจับไว้ เอียงหน้ามองไปที่แผ่นหลังของหยางหวั่น

“เจ้ารู้ได้อย่างไร” เขาถามนางอย่างอ่อนแรง

หยางหวั่นยิ้มๆ “รัชศกเจินหนิงปีที่สิบสอง สกุลเติ้งมีความผิด เข้ามายุ่งเกี่ยวกับท่านก็ต้องไปพบองครักษ์เสื้อแพร แม้แต่หยางหลุนยังรู้จักหลีกเลี่ยง ใครจะไม่รู้จักหลบบ้างเล่า”

คำพูดนี้พูดได้ชัดเจนกว่าใครหลายคนเสียอีก

“แล้ว…เจ้าไม่กลัวหรือ”

“ข้าหรือ”

นางพูดพลางยิ้ม ยื่นมือไปนวดหัวไหล่ จากนั้นก็เขี่ยถ่านที่ข้างเท้าต่อ บางครั้งก็สูดจมูก ไหล่หลังก็พลอยยกขึ้นตามไปด้วย ท่าทางพูดไม่ได้ว่างดงามชวนมอง ทว่าเป็นธรรมชาติเสียจนทำให้คนเกือบลืมไปแล้วว่านางนั่งอยู่ในห้องลงทัณฑ์ของขันที

“อย่าคิดมาก”

นางกล่าวเช่นนี้ ฟังแล้วคล้ายไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอะไรมากนัก แต่เติ้งอิงกลับอยากได้ยินอีกสักครั้ง

“เจ้าพูดอะไรนะ” เขาจงใจถามซ้ำ

“ข้าบอกว่าอย่าคิดมาก แม้กำแพงล้มฝูงชนร่วมผลัก ต้นไม้ล้มลิงค่างแตกกระเจิง แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่คิดจะฉวยโอกาสตอนท่านล้มเหยียบย่ำท่าน แต่เพราะเป็นท่านข้าถึงลงมือไม่ลง”

หยางหวั่นรู้ว่าเติ้งอิงไม่อาจฟังเข้าใจทั้งหมด พอพูดจบก็ยิ้ม นางเป็นห่วงอารมณ์ความรู้สึกของคนที่อยู่ด้านหลังจึงข่มกลั้นไว้ไม่ได้หัวเราะออกมา แต่ทั่วทั้งร่างดูผ่อนคลายลง นางโยนเหล็กเขี่ยถ่านในมือทิ้ง สะบัดขาทั้งสองข้างเบาๆ ยื่นมือไปผิงไฟต่อพลางถามเขาไปเรื่อยเปื่อย

“ผ้าเช็ดหน้ายังเย็นอยู่หรือไม่”

คนที่อยู่ด้านหลังไม่ส่งเสียงแล้ว

หยางหวั่นอับจนปัญญายิ่ง กำลังจะลุกขึ้นไปเปลี่ยนผ้าเช็ดหน้า เขาพลันเปิดปากขึ้นก่อนแล้ว

“ยังเย็นอยู่”

“อ้อ”

พอเติ้งอิงเปิดปาก นางก็ไม่ได้ถามอะไรอีก เพียงกอดขาตนเองไว้ “เช่นนั้นท่านก็นอนสักตื่น ข้าผิงไฟอีกสักพักก็จะออกไปแล้ว”

ห้องไม่ใหญ่นัก เปลวไฟจากถ่านส่องสว่างจนทั้งห้องมีสีเหลืองอบอุ่น ทั้งสองคนนั่งอยู่ด้วยกันแต่ไม่ได้พูดจา คนหนึ่งตั้งใจรักษาระยะห่างระหว่างร่างกาย อีกคนก็พยายามรักษาระยะห่างระหว่างจิตใจ แต่เพราะต่างคนต่างไม่มีเจตนาร้ายอะไร ดังนั้นบรรยากาศจึงไม่อึดอัด หยางหวั่นอารมณ์ดีถึงขั้นพึมพำเพลง ‘ซันหูไห่’ ของโจวเจี๋ยหลุนออกมาท่อนหนึ่ง

เติ้งอิงคิดจะลองขยับขา แต่ความเจ็บปวดราวกับหัวใจถูกคว้านกลับทำให้เขาหมดสิ้นเรี่ยวแรง เขาทนเจ็บแทบไม่ไหว จึงสูดลมหายใจด้วยความหนาวเหน็บไปทีหนึ่ง

“เป็นอะไรไปหรือ”

“ไม่ได้เป็นอะไร แม่นางอย่าหันหน้ามา”

หยางหวั่นส่งเสียงตอบรับออกมาคำหนึ่ง ยื่นมือไปหยิบเหล็กเขี่ยถ่านแล้วพลิกเขี่ยถ่านไปมา ทำตามความปรารถนาของเขา ช่วยเขาปกปิดสภาพน่าอเนจอนาถที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน

“แม่นางหยาง”

“มีอะไรหรือ”

“ออกไปแล้วอย่าบอกใครว่าเจ้าเคยเห็นข้าในสภาพเช่นนี้”

“ท่านคิดว่าข้าเป็นคนปากพล่อยหรือ” น้ำเสียงของหยางหวั่นคล้ายไม่ค่อยพอใจนัก

เติ้งอิงรีบหันหน้ามาบอก “ไม่ใช่”

“แล้วเพราะอะไร”

เติ้งอิงอธิบายคำถามที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ไม่ได้

ตัวเขาเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่มีชื่อเสียงอะไรให้ต้องคำนึงอีก แต่คนที่อยู่ตรงหน้าคือน้องสาวของหยางหลุน ไม่ว่านางจะมาดูแลเขาด้วยสาเหตุใด เขาก็ไม่อาจคำนึงถึงแต่ตนเองแล้วทำให้นางได้รับความอัปยศอดสู ทว่าเขาไม่กล้าพูดตรงๆ ดังนั้นจึงตกอยู่ในความนิ่งเงียบอีกครั้ง

หยางหวั่นขยับขาไปข้างหนึ่ง เอียงหน้าไปทางเติ้งอิงเล็กน้อย แต่สายตายังคงมองดูประกายไฟที่เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างในเตาถ่าน

“ท่านไม่ชอบพูดความจริง ทำให้ข้ารู้สึกไม่ดี”

นางพูดจบก็ก้มหน้าไม่ส่งเสียงอีกและไม่พึมพำเพลงเหมือนเมื่อครู่แล้ว

เติ้งอิงไม่ได้ยินเสียงนางอยู่นาน จึงอดทนต่อความเจ็บปวดหันไปมองนาง

หยางหวั่นนั่งอยู่ที่นั่น กอดขาตนเองไว้ไม่ขยับเขยื้อน ใบหน้าถูกความร้อนของเปลวไฟจนแดงก่ำ

เติ้งอิงเข้าใจว่านางโกรธแล้ว ชั่วขณะนั้นออกจะนึกเสียใจภายหลัง

“เติ้งอิง…ไม่มีเจตนาจะเสียมารยาทต่อแม่นาง” เขาพยายามจะอธิบาย

“ข้าทราบ” นางตอบสั้นๆ อารมณ์ความรู้สึกชัดเจนยิ่ง แต่เติ้งอิงยังคงไม่แน่ใจ เขาเผยอปากทำท่าจะพูด แต่แล้วก็เงียบไป

ที่ผ่านมาเขาใช้เวลามากมายไปกับงานซ่อมแซมและก่อสร้างในวังหลวง ถ่วงเวลาการแต่งภรรยาให้กำเนิดบุตรไป จนกระทั่งถึงตอนนี้เขาก็ยังคงไม่ค่อยเข้าใจความหมายในคำพูดของสตรี ทางหนึ่งไม่อยากเห็นหยางหวั่นเศร้าเสียใจ อีกทางหนึ่งก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับนาง

เขาเพิ่งจะถูกลงทัณฑ์ที่ทำให้อัปยศอดสูเสร็จ นอนอยู่อย่างแทบจะไม่มีผ้าพันกาย จะขยับตัวก็ขยับไม่ไหว ทั้งยังไม่รู้จะปลอบโยนนางอย่างไร หลังลังเลอยู่นานสุดท้ายก็ลองเผยเจตนาที่แท้จริงในใจออกมา

“ขออภัย ที่ข้าไม่พูดกับแม่นางเพราะเห็นว่าสภาพของข้าในยามนี้ช่างน่าละอายที่จะต้องอยู่ห้องเดียวกับแม่นาง”

หยางหวั่นพลันตกตะลึง

เบื้องหลังวาจานี้คือการเผยความต้องการที่จะทำร้ายตนเองของเติ้งอิง ซึ่งความรู้สึกนี้เพียงเรียกคำเดียวก็จะปรากฏตัวออกมา

“ท่านอย่าคิดเช่นนี้” นางตอบเขาอย่างไม่ต้องครุ่นคิด “ท่านไม่จำเป็นต้องรู้สึกอับอายเมื่อเผชิญหน้ากับใคร ควรเป็นราชสำนักที่ต้องอับอายเมื่อเผชิญหน้ากับท่าน ความผิดของคนเพียงผู้เดียวประหารทั้งวงศ์ตระกูล เดิมทีก็ไม่ใช่การกระทำที่มีคุณธรรมมีเมตตา ทั้งยังไม่ยุติธรรมอีกด้วย”

เติ้งอิงสั่นศีรษะ “พ่อลูกมีความผิดร่วมกัน พูดไม่ได้ว่าไม่ยุติธรรม ข้าเพียงแต่คิดแล้วไม่เข้าใจ…”

เขานิ่งเงียบไปชั่วขณะ ระหว่างนั้นหยางหวั่นได้ยินเสียงกัดฟัน

“ข้าเพียงแต่คิดแล้วไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดข้าต้องมาอยู่ที่นี่ ได้รับโทษทัณฑ์เช่นนี้”

คำพูดนี้เมื่อเปรียบเทียบกับคำพูดทุกคำในช่วงก่อนหน้านี้แล้วตรงไปตรงมาและจริงใจที่สุด เป็นคำพูดเปิดใจจากผู้เป็นหัวข้องานวิจัยผู้หนึ่ง แต่หยางหวั่นกลับรู้สึกว่าตนเองทนฟังต่อไปไม่ไหว

“หรือท่านคิดว่ายอมตายดีกว่า”

“ไม่ใช่ ถ้ายอมตายดีกว่า เช่นนั้นตอนแรกก็คงอดอาหารไปแล้ว ข้าเพียงรู้สึกว่าราชสำนักออกจะปฏิบัติต่อข้าเกิน…”

ท้ายที่สุดเขาก็ไม่อนุญาตให้ตนเองเอ่ยคำพูดที่ผิดทำนองคลองธรรมออกมา

ท่ามกลางความอบอุ่นอ่อนโยนและสุขุมเยือกเย็นของเติ้งอิง หยางหวั่นรู้สึกหายใจไม่ออกไปชั่วขณะ

นางมองเงาที่ทอดอยู่บนพื้นของตน “ท่านทราบหรือไม่ว่าราชสำนักทำเช่นนี้กับท่านเพื่อจะใช้ประโยชน์จากท่าน”

“ทราบ”

หยางหวั่นนัยน์ตาแดงก่ำทันที นางรีบเงยหน้าขึ้น กระแอมกระไอให้ลำคอที่เริ่มตีบตันโล่งขึ้น “แล้วท่านคิดเช่นไร”

“วังชั้นในของวังหลวงเป็นหยาดเหงื่อและโลหิตทั้งชีวิตที่ท่านอาจารย์ของข้าทุ่มเทลงไป ทั้งยังมีวันเวลาสี่สิบกว่าปีของช่างฝีมือหลายรุ่น ข้าโชคดีที่ได้มีส่วนร่วมกับงานก่อสร้างนี้ อยากทำให้สำเร็จอย่างเริ่มต้นด้วยดีและจบลงด้วยดี…”

“ข้าถึงได้บอกว่า ‘ประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง’ มีข้อผิดพลาด” หยางหวั่นพลันตัดบทเขา “ล้วนเขียนอะไรส่งเดช”

“แม่นางพูดเรื่องอะไรหรือ”

“เอ่อ ไม่มีอะไร” หยางหวั่นบังคับตนเองให้สงบใจลง “ข้าเพียงรู้สึกว่าท่านควรทำใจให้กว้าง ต่อให้ท่านเป็นคนดีเพียงใดแล้วจะทำอะไรได้เล่า พวกเขายังคงเป็นเช่นเดิม ที่ควรพูดส่งเดชก็พูดส่งเดช ที่ควรเขียนส่งเดชก็เขียนส่งเดช”

เติ้งอิงไม่ได้ตอบรับคำพูดนี้ของหยางหวั่น เพียงย้อนถามนาง “แม่นางไม่โกรธแล้วหรือ”

“หา?” หยางหวั่นงงงัน ที่แท้ที่เขาตั้งใจพูดอะไรมากมายเพียงนี้เพราะเข้าใจว่านางโกรธหรือ “เดิมทีข้าก็ไม่ได้โกรธ”

“เติ้งอิงขอถามคำถามแม่นางสักหนึ่งคำถามจะได้หรือไม่”

“ท่านถามมาเถิด ท่านถามอะไรข้าก็จะตอบตามความจริง”

“เพราะเหตุใดแม่นางถึงรั้งอยู่ที่นี่”

“ข้ามาผิงไฟ…”

“แม่นางบอกว่าจะตอบตามความจริง”

บทที่ 1.6 นกกระเรียนบาดเจ็บกับดอกฝูหรง

ความจริงแล้วเขาเป็นคนที่ผลาญชีวิตในวัยสาวของนางไปสิบปี เปรียบเทียบกับคนรักแล้วยังสำคัญยิ่งกว่าด้วยซ้ำ

แน่นอน เวลานี้นางไม่อาจพูดออกมาตามตรงเช่นนั้นได้ แต่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจตอบอย่างตรงไปตรงมาและจริงใจสักหน่อย ความสำเร็จในการเดินทางข้ามกาลเวลาเหล่านี้ไม่ได้มีความหมายอะไรมากนัก อย่างไรเสียนางก็ไม่ได้เฝ้ารอคอย และเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดอะไรขึ้นระหว่างนางกับเติ้งอิง

“ข้าก็ไม่รู้จะพูดกับท่านอย่างไร ท่านก็คิดเสียว่าข้ามีชีวิตอยู่เพื่อท่านก็แล้วกัน…” พอพูดจบก็เงยหน้ามองหยดน้ำที่เกาะตัวอยู่บนขื่อ “ท่านอยากจะนอนสักครู่หรือไม่ ถ้าไม่อยากนอนข้าก็จะอยู่พูดคุยกับท่าน”

“ข้าไม่อยากนอน”

คำตอบนี้ของเขาทำให้หยางหวั่นเบิกบานใจอย่างยิ่ง

หยางหวั่นกระแอมกระไอให้คอโล่ง “เอาล่ะ เช่นนั้นท่านฟังให้ดี ข้า…เมื่อก่อนก็มีชีวิตอยู่เพื่อท่าน บิดามารดาของข้าพูดอยู่เสมอว่าข้าถึงวัยที่ควรออกเรือนแล้ว วันๆ ไม่ควรเอาแต่คิดเรื่องของท่าน เป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะรู้ว่าข้าเป็นใครและเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะอยู่กับข้าไปตลอดชีวิต บิดามารดาของข้าแนะนำบุรุษผู้หนึ่งให้ข้ารู้จัก ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติประจำตัวหรือรูปโฉมล้วนไม่เลว แต่ข้าไม่ยินดี” นางพูดมาถึงตรงนี้ก็ทัดผมไว้ที่ข้างหูเบาๆ “ปีที่แล้วในวันคล้ายวันเกิดของข้าคืนนั้น ข้าอ่านงานที่ท่านเขียนตอนอายุสิบเจ็ดสิบแปด ‘จดหมายถึงจื่อซีช่วงท้ายปีกุ่ยโฉ่ว’ อย่างไรเล่า ท่านยังจำได้กระมัง เป็นจดหมายที่ท่านเขียนให้หยางหลุนฉบับนั้น จริงด้วย จดหมายฉบับนั้นท่านเขียนตอนอายุเท่าไรกันแน่”

“เขียนตอนรัชศกเจินหนิงปีที่สี่ อายุสิบหกปี”

“อืม ข้าอ่านมาไม่ต่ำกว่าร้อยรอบ ในนั้นท่านเขียนไว้ประโยคหนึ่งว่า ‘ตั้งปณิธานด้วยหัวใจของความเป็นปราชญ์ ชั่วชีวิตไม่เปลี่ยนแปลง ส่งให้จื่อซีเพื่อให้กำลังใจซึ่งกันและกัน’ ข้าชอบเป็นพิเศษ ทุกครั้งที่อ่านข้าก็จะมั่นใจว่าข้อคิดเห็นแรกสุดที่ข้ามีต่อท่านไม่ผิด ถ้าให้ข้าทอดทิ้งท่าน ข้าก็จะรู้สึกว่าเวลาสิบปีก่อนหน้านี้ของข้าก็จะไม่มีความหมายใดๆ ดังนั้นไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไรข้าก็ไม่สนใจทั้งสิ้น”

การบอกเล่าถึงความตั้งใจแรกเริ่มทางวิชาการแก่ผู้เป็นหัวข้อในการทำวิจัยของตน นี่น่าจะเป็นสิ่งที่ไม่มีดุษฎีบัณฑิตสาขาวิชาประวัติศาสตร์คนใดสามารถทำได้ หยางหวั่นยิ่งพูดก็ยิ่งมีท่าทีจริงจัง จมอยู่ในความปรารถนาที่จะบอกเล่าอย่างบริสุทธิ์

ทว่าสิ่งที่เติ้งอิงเข้าใจกลับเป็นความหมายที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง นั่นเป็นความรักอย่างที่เขาไม่อาจแบกรับได้ในเวลานี้ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่โหดร้ายในคำพูดเหล่านี้ ประหนึ่งมีดเผาไฟที่เชือดเฉือนเนื้อหนังทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด แต่นอกเหนือจากนั้นแล้วข้างกายก็ไม่มีของสิ่งใดที่มีความอบอุ่นเช่นนี้อีก

“ดังนั้น…เจ้าจึงไม่ยินดีจะแต่งให้จางลั่วหรือ”

“จางลั่ว” ชื่อนี้หยางหวั่นคุ้นเคยยิ่ง “จางลั่ว ผู้กำกับการกองเจิ้นฝู่เหนือหรือ ข้า…”

นางยังพูดไม่ทันจบเสียงดังกังวานก็พลันทะลุช่องกระดาษที่เติ้งอิงเลิกขึ้นเข้ามา หยางหวั่นยกมือขึ้นปิดหูทันที

เสียงของหลี่ซั่นดังขึ้นมาจากด้านนอก “ใต้เท้าหยาง มีที่แห่งนี้ที่ยังไม่ได้หาดู”

หยางหลุนยืนอยู่บนพื้นหิมะ มองห้องลงทัณฑ์ที่อยู่เบื้องหน้า ส่วนลึกในใจมีความหนาวเหน็บผุดขึ้นมา

ผู้ที่เคยเป็นสหายสนิทของเขาก็อยู่ข้างใน ถ้าหยางหวั่นไม่ได้อยู่ข้างใน เขาก็คงไม่มายืนอยู่ที่นี่

หยางหลุนไม่ได้ตอบหลี่ซั่น เงยหน้าขึ้นร้องเรียกเสียงดังไปทางประตู “หยางหวั่น!”

หยางหวั่นถูกเสียงนี้เรียกก็ลุกพรวดขึ้นมา นางเคยบอกชื่อของตนกับเติ้งอิงเท่านั้น เหตุใดคนที่อยู่ข้างนอกผู้นี้ถึงรู้ได้

“หยางหวั่น ฟังให้ดี เจ้าต้องเดินออกมาเอง ถ้าให้ข้าเข้าไปพาเจ้าออกมา ข้าจะตีขาเจ้าให้หัก!”

ครานี้หยางหวั่นสับสนว้าวุ่นอย่างถึงที่สุดแล้ว รู้ชื่อนางก็รู้ไปเถิด แต่อยู่ดีๆ เหตุใดจะตีขานางให้หักด้วย

นางมองไปที่เติ้งอิงอย่างไม่รู้ตัว “ทะ…ทะ…ท่านรู้หรือไม่ว่าคนที่อยู่ข้างนอกคือใคร”

เติ้งอิงจำเสียงหยางหลุนได้ แม้จะไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดหยางหวั่นถึงจำไม่ได้ แต่ยังคงตอบนาง “พี่ชายของเจ้า หยางหลุน”

“อะไรนะ หยางหลุน พี่ชายของข้าหรือ” หยางหวั่นมองไปที่หน้าต่าง รีบตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในประวัติศาสตร์ช่วงนี้อยู่ในใจอย่างรวดเร็ว

หยางหลุนเป็นผู้ช่วยราชเลขาธิการสภาขุนนางในรัชสมัยจิ้งเหอ ตอนรัชศกเจินหนิงปีที่สิบสองยังดำรงตำแหน่งในกรมอากร มีน้องสาวร่วมมารดาผู้หนึ่ง ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ไม่ได้บันทึกชื่อนางไว้ ทราบเพียงว่าหยางหลุนให้นางรับหมั้นจางลั่ว ผู้กำกับการกองเจิ้นฝู่เหนือ แต่ยังไม่ทันได้แต่งงานก็พลัดตกน้ำเสียชีวิต

น้องสาวร่วมอุทรของหยางหลุนมีชื่อว่าหยางหวั่น เช่นนั้นร่างของนางในเวลานี้…

ไม่จริงกระมัง

หยางหวั่นเอามือกุมท้ายทอย ชั่วขณะนั้นไม่รู้ควรหัวเราะหรือควรร้องไห้ดี

“หยางหวั่น ข้าจะพูดอีกครั้งหนึ่ง เจ้าต้องออกมาเอง!”

เสียงของหยางหลุนราวกับเพลิงโทสะลุกโชนขึ้นมาแล้ว

หยางหวั่นขยับก้าวไปทางประตูหลายก้าว เดิมทีคิดจะลอบมองคนผู้นั้นสักคราหนึ่ง ปรากฏว่าเพิ่งเปิดประตูแง้มเป็นช่องเล็กก็ถูกหยางหลุนดึงตัวออกไปแล้ว

หยางหลุนโกรธจัด ไม่รู้ว่าบนร่างนางมีบาดแผล ใช้กำลังดึงนางไปหลายก้าว หยางหวั่นจับคอตนเอง เจ็บจนนางสั่นไปทั้งร่าง คิดจะดิ้นให้หลุดแต่ก็ไม่กล้าขยับส่งเดช จึงถูกหยางหลุนแทบจะลากไปกับพื้นหิมะเช่นนี้

หลี่ซั่นเห็นภาพนี้แล้วก็รีบให้คนที่อยู่รอบด้านแยกย้ายกันไปแล้วเข้ามาไกล่เกลี่ยด้วยตนเอง “ใต้เท้าหยาง รีบให้คุณหนูเข้าไปข้างในตรวจดูว่าได้รับบาดเจ็บตรงที่ใดหรือไม่เถิด”

หยางหลุนมองหยางหวั่นที่ฟุบอยู่กับพื้นลุกไม่ขึ้น มวยผมของนางหลุดไปนานแล้ว เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ร่างกายดูแล้วมีแต่รอยถลอก

เขาคิดจะอุ้มนางขึ้นมา แต่ก็จำต้องอดทนข่มกลั้นไว้

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่อยู่ข้างในคือใคร! หา?!”

หยางหวั่นแข็งใจลุกขึ้นนั่ง เอามือที่หนาวแข็งจนแดงก่ำซุกไว้ในอกเสื้อของตน ระหว่างนั้นก็กวาดตามองหยางหลุนเร็วๆ คราหนึ่ง

คนผู้นี้รูปร่างสูงตระหง่าน สันกรามเฉียบคม มองอย่างผิวเผินดูเป็นคนสำรวมไม่ค่อยยิ้มไม่ค่อยพูด แต่ความจริงแล้วเป็นดังเช่นข้อมูลประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ รูปโฉมงดงาม ท่าทีสง่าผ่าเผย มีความสามารถ

“พูด!”

หยางหวั่นถูกทำให้ตกใจจนสั่นเทาไปทั้งร่าง

เอาเถิด รูปงามก็รูปงามอยู่ แต่อารมณ์ฉุนเฉียวไปหน่อย

“ข้ารู้อยู่…”

“ในเมื่อรู้ เพราะเหตุใดต้องทำให้ตนเองเสื่อมเสียเกียรติ!”

แม้หยางหวั่นจะกระจ่างแจ้งแก่ใจดี เติ้งอิงในรัชศกเจินหนิงปีที่สิบสองเป็นบุคคลต้องห้าม แต่นั่นก็เป็นเพียงการบรรยายในเอกสารทางประวัติศาสตร์ ผู้คนในอีกยุคสมัยหนึ่งเพียงรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวังทางการเมืองเท่านั้น ยากที่จะรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวในจิตใจโดยธรรมชาติของมนุษย์

แต่คำพูดที่ออกจากปากหยางหลุน ‘ทำให้ตนเองเสื่อมเสียเกียรติ’ ประโยคนี้กลับทำให้หยางหวั่นตกตะลึง

คนผู้นี้เคยเป็นสหายสนิทของเติ้งอิง หยางหวั่นมองประตูของห้องลงทัณฑ์ ยามนี้แม้แต่เสียงลมเสียงหิมะยังนับว่าดัง พัดบานประตูตอนที่หยางหวั่นออกมาแล้วยังไม่ทันได้ปิดดังปึงปัง คำว่า ‘ทำให้ตนเองเสื่อมเสียเกียรติ’ นี้ไม่รู้ว่าคนที่อยู่ข้างในจะได้ยินหรือไม่

หยางหลุนโมโหนางที่ตอนนี้ยังกล้าเหม่อลอย จึงตวาดขึ้นมาด้วยความโกรธเคือง “คนในสำนักศึกษาถงจยาถูกจับตัวไปเพราะเขากี่คนเจ้ารู้หรือไม่! แม้แต่โจวฉงซานอาจารย์ของท่านพ่อที่อายุแปดสิบกว่าปีแล้วก็ยังถูกขังอยู่ในคุกหลวง ทั้งยังถูกทรมาน เมื่อจางลั่วกลับมาจากทางใต้ คนเหล่านี้ต่อให้ไม่ถูกนำตัวขึ้นแท่นประหาร แต่เส้นทางการเป็นขุนนางของพวกเขาก็ต้องสูญสิ้นลงทั้งหมด เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด เพราะในหมู่พวกเขามีคนเขียนบทกวีบทหนึ่งขอความเมตตาให้เติ้งอิง! เจ้าลองมองดูตัวเจ้าเอง เอาชื่อเสียงความบริสุทธิ์ผุดผ่องในฐานะบุตรสาวสกุลหยางมามอบให้เขาโดยไม่คำนึงถึงชีวิตของคนทั้งครอบครัว ก่อนหน้านี้ข้ายังไม่เชื่อว่าเจ้าจะทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ ตอนนี้ข้านึกเสียใจภายหลังยิ่งนักที่มาตามหาเจ้า ควรจะให้เจ้าตายอยู่ที่…”

หยางหลุนโกรธจัดจนพลั้งปาก กว่าจะรู้ตัวว่าคำพูดของตนฟังดูรุนแรงก็ออกจากปากไปแล้ว ในสมองมีเสียงดังอึงอล นึกเสียใจภายหลังก็ไม่รู้จะกู้คืนสถานการณ์อย่างไร

เขาพยายามจะหาคำพูดมาอธิบาย แต่กลับเห็นหยางหวั่นส่งยิ้มอย่างอับจนปัญญามาให้

“ไม่ช่วยก็ไม่ต้องช่วย” นางอดใจไม่อยู่ต่อว่าออกมา “ไยต้องแช่งน้องสาวท่านให้ตายด้วย”

หลังจากพูดจบนางยังนึกอยากจะบอกเขาด้วยซ้ำว่าน้องสาวของเขาน่าจะตายไปแล้วจริงๆ

หลี่ซั่นฉวยจังหวะที่หยางหลุนถูกโต้กลับจนไร้คำพูดรีบเข้ามาประคองแขนหยางหวั่น พยุงนางลุกขึ้นมาจากพื้นแล้วค้อมกายช่วยปัดเศษหิมะให้นางด้วยตนเอง

“ข้าต้อง…ข้าต้องไปเอาเสื้อคลุมมาให้คุณหนูสาม ดูมือของคุณหนูสามแข็งเสียจน…ถ้าหนิงเฟยทรงทราบว่าคุณหนูสามอยู่ที่นี่ได้รับความลำบากมากมายเพียงนี้ เราคงขึ้นฟ้าไม่ได้ แล้ว”

หยางหลุนเห็นหยางหวั่นกดคออยู่ตลอดเวลา ครานี้ถึงได้สังเกตเห็นว่าร่างกายของนางเต็มไปด้วยรอยถลอก

“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้” เขาพูดพลางคว้าแขนหยางหวั่นขึ้นมาดู

หยางหวั่นย้อนนึกถึงตอนที่ตนเพิ่งฟื้นคืนสติ ดูเหมือนนางจะนอนอยู่บนกองหญ้าแห้งกองหนึ่ง เหนือศีรษะเป็นเนินเขาที่ไม่นับว่าสูงมากนัก พรรณไม้บนเนินเขามีร่องรอยของการถูกกดทับ สตรีที่ชื่อ ‘หยางหวั่น’ ผู้นี้น่าจะก้าวพลาดเสียหลักร่วงลงมาจากบนนั้น

“ตกลงมาจากเนินเขาได้รับบาดเจ็บ” นางบอกไปตามความจริง ออกแรงดึงมือกลับมา ดึงเสื้อมาปิดผิวหนังบนท่อนแขน “ขออภัย ล้มจนคอเจ็บ ถ้าล้มแรงกว่านี้อีกหน่อยก็คงตายไปแล้ว”

หยางหลุนถูกจี้ใจดำ สีหน้าก็ตกตะลึง “เจ้าพูดจาอะไรกัน!”

หยางหวั่นไม่ได้ส่งเสียงพูด

คนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เป็นพี่ชายของ ‘หยางหวั่น’ ไม่ใช่พี่ชายของนาง พี่ชายของนางเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด แม้ยามว่างจะพยายามแนะนำนางให้รู้จักกับบุรุษศีรษะล้าน แต่ถึงอย่างไรก็อยู่ด้วยกันรักกันทะเลาะกันมาเกือบสามสิบปีแล้ว อยู่ต่อหน้าพี่ชายนางอยากจะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้น

หยางหลุนเป็นเพียงตัวอักษรในข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าถึงประวัติส่วนตัวและผลงานทางการเมืองเท่านั้น ไม่มีความสัมพันธ์ที่อบอุ่นระหว่างมนุษย์กับนางโดยสิ้นเชิง

ยามนี้หยางหวั่นยังไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้ากับเขาอย่างไร แต่ถึงอย่างไรสำหรับผู้อื่นระหว่างพี่ชายน้องสาวเดิมทีย่อมมีความรักใคร่กันของพวกเขาเอง ไม่มีเหตุผลหากนางผู้ที่ข้ามกาลเวลามาอย่างแปลกประหลาดมหัศจรรย์ตัดสินใจโดยพลการตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา

นางก็ได้แต่ทำเหมือนเติ้งอิงในช่วงก่อนหน้านี้ นิ่งเงียบไปชั่วคราว รวบเสื้อผ้าบนร่างไว้แน่น นวดคลึงตรงตำแหน่งที่ถูกหยางหลุนดึงจนเจ็บเบาๆ ทันใดนั้นก็สำลักอากาศที่เต็มไปด้วยหิมะและไอออกมาจนร่างงอ

หยางหลุนเดิมทีก็รู้สึกว่าเมื่อครู่เพราะตนโกรธมากเกินไป จึงออกจะพูดจาเกินเลยไปแล้ว มาบัดนี้ได้ยินว่านางตกลงมาจากเนินเขา ทั้งยังได้รับบาดเจ็บที่คอ ในใจก็เริ่มนึกเสียใจ

เมื่อก่อนเขาเป็นเทพผู้คุ้มครองของหยางหวั่น

พี่สาวน้องสาวในจวนแม้จะมีไม่น้อย แต่คนที่เขารักและเอ็นดูที่สุดแต่ไหนแต่ไรก็คือหยางหวั่น

อุปนิสัยของน้องสาวผู้นี้ดีมากมาโดยตลอด สมัยเด็กก็ไม่เคยทะเลาะกับพี่สาวน้องสาวคนอื่นๆ เล่นกับเขาอย่างเงียบๆ ยามกลางวันก็คอยส่งเขาไปเรียนหนังสือยังสำนักศึกษาที่เปิดสอนที่จวน บางครั้งยังเอาขนมอบที่มารดาทำมารอเขาอยู่นอกสำนักศึกษา เมื่อเติบโตขึ้นก็เชื่อฟังคำพูดของเขาอย่างยิ่ง ตอนแรกที่นายท่านผู้เฒ่าหยางจะให้นางหมั้นหมายกับจางลั่วนางไม่เต็มใจนัก แต่หยางหลุนพูดคุยกับนางครู่หนึ่งนางก็ยอมเชื่อฟัง

ครั้งนี้นางหายตัวไปจากอารามหลิงกู่นานครึ่งเดือน แม้แต่มารดาของพวกเขาก็รู้สึกว่าไร้ซึ่งความหวัง มีเพียงหยางหลุนที่มีความคิดว่าอยู่ต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ เที่ยวค้นหาไปทั่วบริเวณรอบนอกของอารามหลิงกู่ ทว่าเวลานี้พอพบตัวแล้ว นางกลับคล้าย…เปลี่ยนไปเป็นคนละคน

ในใจหยางหลุนอดฉงนสงสัยไม่ได้ อย่างไรก็ตามเวลานี้นางยังมีชีวิตอยู่ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว

หยางหลุนบังคับตนเองให้เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลง “มานี่ เอาเสื้อคลุมไป”

หยางหวั่นเงยหน้าขึ้นมองเขาคราหนึ่ง ยืนนิ่งไม่ได้ขยับ

หยางหลุนไร้หนทาง จำต้องถอดเสื้อคลุมของตนไปคลุมให้นาง “กลับไปกับข้า”

“รอก่อน”

นางถึงกับกล้าขัดขืน เส้นเลือดที่หน้าผากหยางหลุนปูดโปนขึ้นมา พยายามข่มเพลิงโทสะกดเสียงต่ำลง “ท่านแม่อยู่ที่จวนร้องไห้จนตาแทบบอดเพราะเรื่องของเจ้า เจ้ายังจะทำอะไรอีก”

หยางหวั่นหันไปมองทางห้องลงทัณฑ์ “ข้าอยากจะพูดกับเขาสักคำ”

หยางหลุนบีบข้อมือนางแล้วดึงกลับมา “ห้ามไป!”

หยางหวั่นร่างซวนเซ พยายามสุดชีวิตที่จะดิ้นให้หลุด “พูดคำเดียว พูดจบข้าจะตามท่านไป”

หยางหลุนบีบข้อมือของนางจนเกือบจะหักแล้ว “ไม่ได้!”

“เขาไม่ใช่สหายสนิทของท่านหรือ”

หยางหลุนชะงักฝีเท้า คนก็ราวกับเป็นใบ้ไปทันที

ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ที่พอเห็นคนตกบ่อก็เอาหินโยนซ้ำ ตั้งแต่เติ้งอี๋ถูกประหารทั้งครอบครัวจนถึงวันนี้ หยางหลุนไม่กล้าที่จะคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับสถานการณ์ในเวลานี้ของเติ้งอิง ด้านหนึ่งก็เพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นผู้ต้องสงสัย อีกด้านหนึ่งก็เป็นความละอายใจส่วนตัว เติ้งอิงไม่มีความผิด โทษทัณฑ์ที่อีกฝ่ายได้รับนั้นโหดร้ายเกินไป เรื่องเหล่านี้เขากระจ่างแจ้งแก่ใจดี แต่สิ่งที่ทำได้กลับมีเพียงยัดเงินแท่งหนึ่งให้หลี่ซั่น กระทั่งให้ด้วยสาเหตุใดก็ยังไม่กล้าพูดด้วยซ้ำ

มิตรภาพในการคบหาต้องอาศัยขันทีคาดเดา หยางหลุนรู้สึกว่าเขาเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนที่เห็นคนตกบ่อก็เอาหินโยนซ้ำเหล่านั้นสักเท่าใด

ตอนนี้เขาอยู่บนพื้นหิมะห่างจากเติ้งอิงเพียงประตูกั้น ทันใดนั้นก็ต้องตกใจที่ถูกหยางหวั่นถามเช่นนี้ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอับอายและโกรธเคืองจนยากจะทนไหว นิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว

หยางหวั่นมองแววตาของเขาที่ค่อยๆ อ่อนลง จึงกดเสียงต่ำเอ่ยว่า “ข้าไม่เข้าไป จะพูดกับเขาอยู่นอกหน้าต่าง เช่นนี้คงได้กระมัง”

หยางหลุนไม่ได้ตอบนาง

หยางหวั่นถือว่าเขาอนุญาตแล้ว จึงฉวยโอกาสที่เขายังนิ่งงันอยู่ออกแรงดิ้นจนหลุดจากมือเขา กระชับเสื้อคลุมหันกายวิ่งไปที่ห้องลงทัณฑ์

ประตูห้องลงทัณฑ์ถูกหลี่ซั่นปิดไปแล้ว หยางหวั่นจำต้องเข้าไปใกล้หน้าต่าง เขย่งเท้าเกาะขอบหน้าต่างที่อยู่ข้างเตียงที่เติ้งอิงนอนอยู่

“เติ้งอิง” นางร้องเรียกเข้าไปด้านใน

เติ้งอิงเงยหน้าขึ้น บนกระดาษกรุหน้าต่างมีเพียงเงารางๆ เงาหนึ่ง

“เมื่อครู่คำพูดที่หยางหลุน…เอ่อ…พี่ชายของข้าพูดอยู่ข้างนอกท่านได้ยินหรือไม่”

ความจริงแล้วคำพูดส่วนใหญ่เขาได้ยิน แต่ยังคงกล่าวกับหยางหวั่นว่า “ไม่ได้ยิน”

หยางหวั่นเขย่งเท้าให้สูงขึ้นอีกหน่อย “ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับท่าน ทว่าท่านอย่าลืมสิ่งที่ข้าพูดไว้ เป็นราชสำนักที่ต้องอับอายเมื่อเผชิญหน้ากับท่าน ท่านไม่ได้ผิดต่อผู้ใด”

เติ้งอิงพยายามเงยหน้าตอบรับนาง “ได้”

หยางหวั่นก้มลงไปยกก้อนหินสองก้อนมารองใต้ฝ่าเท้า เหยียบขึ้นไปเกาะขอบหน้าต่าง “มือของท่านยกขึ้นมาได้หรือไม่”

เติ้งอิงมองมือของตน รู้สึกชาเล็กน้อย ร่องรอยที่ถูกมัดในช่วงก่อนหน้านี้ก็ยังคงอยู่

เขาลองกำมือ ความรู้สึกชาไร้กำลังแผ่ลามไปทั้งแขน ทว่าประสาทสัมผัสกลับมาแล้ว

เติ้งอิงทำตามคำพูดหยางหวั่น ค่อยๆ เอื้อมมือขึ้นเกาะไปตามผนัง จากนั้นก็ยื่นมือไปที่ขอบหน้าต่าง

นิ้วมืองดงามนิ้วหนึ่งยื่นเข้ามาจากช่องกระดาษที่ถูกเขาเลิกขึ้นแล้วเกี่ยวกับนิ้วชี้ของเขาเบาๆ เติ้งอิงตกตะลึง คิดจะดึงมือกลับมา แต่หยางหวั่นกลับออกแรงดึงนิ้วเขาไว้เบาๆ

“เติ้งอิง ข้าจะไปแล้ว แต่ข้าจะมาหาท่านอีก ข้ายังมีคำถามบางอย่างอยากจะถามท่าน เกี่ยวก้อยกันเถิด ครั้งหน้าเมื่อพบข้าท่านอย่าเปลี่ยนเป็นใบ้ไปอีกเข้าใจหรือไม่”

ดูเอาเถิด

เมื่อประสบภัยพิบัติ ส่วนใหญ่ความปรารถนาของคนจะสมหวังโดยไม่ได้คาดคิด

ความปรารถนาของเขาก่อนถูกลงทัณฑ์กลายเป็นจริงแล้ว คนที่มีร่างกายอบอุ่นกว่าเขาปรากฏตัวแล้ว

หยางหวั่นสัมผัสเติ้งอิงผ่านหน้าต่างที่มีลมลอดเข้ามา ในขณะที่เขาตกอยู่ในชะตากรรมที่คิดไม่ตก กระทั่งเกือบจะท้อแท้และทอดทิ้งตนเองอยู่แล้ว

หยางหวั่นถูกหยางหลุนพากลับไปที่จวนสกุลหยางทันที

กลางดึกเมืองหลวงมีหิมะตกหนัก บนถนนสำหรับรถม้าวิ่งมีหิมะทับถมสูงถึงครึ่งขาม้า เหล่าบ่าวรับใช้ที่กวาดหิมะอยู่หน้าประตูจวนสกุลหยางเห็นหยางหลุนพาหยางหวั่นขี่ม้ากลับมาก็โยนไม้กวาดลงด้วยความตื่นเต้นดีใจ วิ่งล้มลุกคลุกคลานกลับไปรายงานโดยพลัน ลมหนาวบนถนนเฉิงเหมินสายยาวได้พัดพาเสียงปีติยินดีดังขจรขจายไปไกล ก้องกังวานเป็นระลอกในค่ำคืนอันเงียบสงบของเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยหิมะ

หยางหลุนลงจากหลังม้า หันกายยื่นมือคิดจะอุ้มหยางหวั่นลงมา

“ข้าลงเองได้”

หยางหลุนไม่ตอบรับ เขาเอามือของหยางหวั่นมาจับไว้บนลำคอของตนแล้วอุ้มนางลงมา จากนั้นก็กล่าวกับคนในจวนที่อยู่หน้าประตู

“ให้อิ๋นเอ๋อร์ออกมาประคองคุณหนู พวกเจ้าเอาเทียบของข้าไปเชิญหมอหลวงหลิวที่สำนักเจิ้งเจวี๋ยมา”

เขาเพิ่งจะพูดจบประตูข้างทางทิศตะวันออกก็เปิดออกครึ่งหนึ่ง เสื้อผ้าบางเบาของเหล่าสตรีพลิ้วไหวดุจเมฆ โคมกันลมสี่แถวเคลื่อนมาอย่างรีบร้อน

เมื่อเฉินซื่อ ได้รับรายงานก็เดินฝ่าหิมะออกมาโดยมีคนในครอบครัวที่เป็นสตรีกลุ่มหนึ่งช่วยประคอง พอเห็นหยางหวั่นก็คว้าร่างนางมากอดไว้ในอ้อมแขน

“บุตรสาวของข้า เหตุใดถึงอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้ เจ้าทำให้ข้าเป็นห่วงจนใจสลายแล้ว”

หยางหวั่นเงยหน้าขึ้น ไม่ขยับเขยื้อน เพียงปล่อยให้เฉินซื่อโอบกอดตน

จู่ๆ ก็กลายเป็นเป้าหมายทางอารมณ์ความรู้สึกของคนมากมายเพียงนี้ นางจึงทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง

เซียวเหวินภรรยาของหยางหลุนรีบก้าวเข้ามาประคองเฉินซื่อไว้ “ท่านแม่ พวกเราอย่าพูดคุยกันที่นี่ เข้าไปก่อนเถิด ให้น้องสามได้อาบน้ำแต่งตัวผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ก่อน จากนั้นท่านค่อยๆ ซักถามนาง”

เฉินซื่อปล่อยหยางหวั่นด้วยความปวดใจ นางกวาดตามองขึ้นๆ ลงๆ “ใช่แล้วๆ ดูเถิด เจ้าคงหนาวแล้ว รีบตามข้าเข้าไป อิ๋นเอ๋อร์ ยกน้ำชาร้อนๆ ไปที่เรือนข้า คืนนี้คุณหนูจะอยู่กับข้า พวกเจ้าตามมาปรนนิบัติด้วย”

เซียวเหวินรอจนเฉินซื่อและคนอื่นๆ พาตัวหยางหวั่นเข้าไปแล้วจึงคารวะหยางหลุน “ตลอดทางปลอดภัยดีหรือไม่”

เดิมทีหยางหลุนสีหน้าบึ้งตึงไม่ค่อยอยากพูด พอได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนของเซียวเหวินก็ฝืนโบกมือยิ้มๆ “อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย เข้าไปข้างในกันเถิด”

เซียวเหวินเดินตามหลังหยางหลุนเข้าไปข้างในพลางกล่าวเสียงเบา “วันนี้มืดค่ำแล้ว เดิมทีคิดว่าพรุ่งนี้ค่อยบอกท่าน แต่เรื่องนี้ข้ายังคงไม่อาจวางลงได้”

หยางหลุนเดินไปพร้อมส่งเสียงตอบรับ แสดงเจตนาให้นางพูดต่อไป

“วันนี้ท่านไม่อยู่จวน คนสกุลจางมาที่นี่ คำพูดเหล่านั้นจนถึงตอนนี้ข้าคิดแล้วก็ไม่อาจวางลงได้”

หยางหลุนหันไปประคองเซียวเหวินก้าวข้ามธรณีประตู เห็นความไม่พอใจรางๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของนางคราหนึ่งแล้วก็เลือนหายไป จึงอดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้

“พวกเขาไม่เคารพเจ้าหรือไร”

เซียวเหวินยิ้มพลางกล่าวเสียงเรียบ “กับข้าก็แล้วไปเถิด ข้าอยู่กับท่านมานานเพียงนี้ ยังจะมีคำพูดอะไรทำให้ข้าเจ็บช้ำได้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูดเหล่านั้นส่วนใหญ่ล้วนพุ่งเป้าไปที่หวั่นเอ๋อร์”

หยางหลุนหยุดฝีเท้า ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “สกุลจางให้ใครมาหรือ”

“ยังจะเป็นใครได้ เจียงซื่อสะใภ้ใหญ่”

“นางพูดอะไรบ้าง”

เซียวเหวินถอนหายใจคราหนึ่ง “ข้าก็ไม่อยากเป็นนกแก้วเลียนคำพูดเหล่านั้นให้ท่านฟัง ท่านรู้เพียงว่าพวกเขาได้ยินคำพูดไม่ดีบางอย่างจากภายนอก บอกว่าถึงจะพบหวั่นเอ๋อร์และพากลับมาได้แล้ว เกรงว่านางคงได้รับความตกใจ ต้องใช้เวลาพักรักษาตัวสักระยะ พวกเขาสกุลจางแต่งสะใภ้เป็นเรื่องใหญ่ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนจัดพิธีมงคลในเวลานี้”

หยางหลุนก้าวเข้าไปในห้องด้านนอก ไอร้อนในห้องพุ่งขึ้นสู่เบื้องบน รมใบหน้าเขาจนแดงขึ้น

เขาถอดเสื้อคลุมออกแล้วโยนไปบนเก้าอี้ที่มีเท้าแขนและพนักพิงหลังทรงกลม เรียกคนให้ยกน้ำชามา

“นี่เป็นปริศนาอะไรระหว่างพวกสตรี”

เซียวเหวินก้มลงเก็บเสื้อของหยางหลุนมาแขวนไว้บนราวไม้ที่อยู่ด้านใน เดินออกมาพร้อมบอกว่า “ไม่นับว่าเป็นปริศนา ข้าฟังคำพูดนั้นก็รู้สึกว่าพวกเขาคงคิดว่าหวั่นเอ๋อร์ของเราไม่อาจเป็นภรรยาเอกของจางลั่วได้ แต่ก็ไม่สะดวกจะพูดตามตรง ถึงได้มาโดยไม่มีสาเหตุแล้วกล่าวคำพูดจอมปลอมพวกนั้น”

หยางหลุนฟังจบก็ตบโต๊ะด้วยความโมโห “คนสารเลวพวกนี้!”

เซียวเหวินมองถ้วยชาบนโต๊ะที่สั่นสะเทือน หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดให้สะอาด จากนั้นก็จับมือของหยางหลุนขึ้นมาช่วยเช็ดให้เขา

“ท่านโกรธก็ส่วนโกรธ แต่การกระทำต้องอดกลั้นไว้สักหน่อย ทางด้านท่านแม่ข้ายังไม่ได้บอกให้ทราบ”

“มีอะไรไม่อาจบอกให้ทราบกัน” หยางหลุนดึงมือออกมาจากผ้าเช็ดหน้าของเซียวเหวิน พูดอย่างรำคาญว่า “พอแล้ว ไม่ต้องทำแล้ว”

เซียวเหวินรู้ว่าเขาไม่พอใจ จึงไม่ได้ใส่ใจน้ำเสียงที่ไม่ดีของเขา นางเก็บผ้าเช็ดหน้าพลางยืนขึ้น “ข้าเป็นคนเลอะเลือน คิดว่ารอท่านกลับมาค่อยปรึกษาหาหนทางกัน ข้ารู้ว่าท่านอยู่ที่กรมมีงานยุ่ง ต้นปีงานก็มาก แต่สกุลจางวางท่าใหญ่โตเช่นนั้น ที่เจียงซื่อมาพูดคุยกับข้าในฐานะสะใภ้คนโตก็เป็นเพียงการหยั่งเชิงเท่านั้น เรื่องนี้ล้วนไม่ใช่สิ่งที่พวกสตรีจะมาเจรจากันเองได้”

คำพูดนี้พูดได้อย่างแจ่มแจ้งยิ่ง หยางหลุนเงยหน้าขึ้นครุ่นคิดเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง

“จางลั่วยังอยู่ที่เจ้อเจียง เรื่องนี้อาจไม่ใช่ความคิดของเขา รอเขากลับมาจากทางใต้ ข้าจะไปพบเขาที่นอกราชสำนัก เจ้ากับท่านแม่อย่าเพิ่งร้อนใจ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่มีเพียงจวนเราที่เป็นเช่นนี้” หยางหลุนพูดจบก็จับมือเซียวเหวิน “นั่งเถิด”

เซียวเหวินนั่งลงข้างกายเขา “ท่านมีหนทางข้าก็วางใจแล้ว จริงด้วย ข้ายังไม่ได้ถาม เหตุใดหวั่นเอ๋อร์ถึงเป็นเช่นนี้ไปได้”

หยางหลุนยกมือขึ้นตบหัวเข่าตนเองแรงๆ สองที ลมหายใจติดขัดขึ้นมาทันใด

เพียงหายตัวไปสิบกว่าวัน สกุลจางก็เริ่มสงสัยในความบริสุทธิ์ผุดผ่องของหยางหวั่นแล้ว ถ้าเรื่องที่นางอยู่กับเติ้งอิงที่หนานไห่จื่อแพร่งพรายออกไป เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรไปพบหน้าจางลั่วอย่างไรแล้ว

“บาดแผลเป็นเพราะตกลงมาจากเนินเขา”

“อะไรนะ! หวั่นเอ๋อร์ตกลงมาจากเนินเขา” เซียวเหวินสูดลมหายใจเข้าทีหนึ่ง “มิน่าเล่าข้าเห็นนางมีแต่บาดแผล ขอบคุณฟ้าขอบคุณดินที่นางไม่เป็นอะไรมาก แต่เหตุใดนางถึงไม่กลับมาเล่า”

หยางหลุนโบกมือ “วันนี้ข้าไม่พูดเพราะไม่อยากทำให้ท่านแม่เสียใจ หาไม่แล้วข้าต้องตีนางสักยก”

“ท่านจะไม่สนใจไม่ดูแลนางแล้วหรือ”

“ไม่สนใจไม่ดูแลอะไรเล่า” เสียงของหยางหลุนพลันสูงขึ้น “ครั้งนี้ไม่ว่าสกุลจางจะเคลื่อนไหวหรือไม่นางก็ทำความผิดใหญ่หลวง ท่านแม่ปกป้องนางก็แล้วไปเถิด แต่เจ้ากับข้าไม่อาจให้ท้ายนางเด็ดขาด”

เซียวเหวินเห็นเขาโกรธไม่น้อยจึงผ่อนน้ำเสียงลง “ท่านจะทำอะไร”

หยางหลุนมองถ้วยชาข้างมือตนพลางเอ่ยเสียงสูง “ข้าจะรู้ได้อย่างไร!”

 

(ติดตามต่อได้ในรูปแบบฉบับเต็มวันที่ 8 เดือนกรกฎาคม 2568)

หน้าที่แล้ว1 of 10

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: