บทที่ 10.1 สายลมเย็นที่เฮาหลี่
สำหรับผู้เฝ้าดูประวัติศาสตร์อยู่ด้านข้างคนหนึ่ง จะถอดเสื้อคลุมนักวิชาการที่อยู่ด้านนอกชั้นนั้นออกมาสวมเสื้อผ้าของคนในราชวงศ์หมิง จรดพู่กันเอ่ยปากพูดในรัชศกเจินหนิงไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนที่คิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางเป็นเพียงสตรีคนหนึ่งที่ไม่มีใครรู้จักในประวัติศาสตร์ แต่ไม่ว่าจะอยู่ในยุคสมัยใด สำหรับในสังคมแล้วทัศนะที่ดีมักจะเดินนำอยู่ข้างหน้าเสมอ ทุกคนต่างพยายามต่อสู้อย่างหนัก เติ้งอิงเป็นเช่นนั้น หยางหลุนเป็นเช่นนั้น แม้แต่องค์ชายอี้หลางก็เป็นเช่นนั้น
นับแต่หนิงเฟยถูกกักตัวอยู่ในอุทยานกล้วย องค์ชายอี้หลางก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเงียบขรึมลง แต่ในด้านการเรียนกลับยิ่งขยันหมั่นเพียร ทุกวันยังไม่ถึงยามเหม่าก็ออกจากตำหนักไปเรียนหนังสือ เป็นไข้ตัวร้อนก็ไม่เคยหยุดเรียน ถึงจะกลับมายังตำหนักเฉิงเฉียนแล้วก็มักจะทบทวนหนังสือจนดึกดื่น หยางหวั่นบอกให้เขาพักผ่อนสักครู่ เขาฟังมากเข้าก็จะตำหนิหยางหวั่น ทำให้นางรู้สึกอับจนปัญญา
ฮ่องเต้ไม่อนุญาตให้ฮองเฮากับสนมชายาคนอื่นๆ เลี้ยงดูองค์ชายอี้หลาง หยางหวั่นจึงเริ่มเลียนแบบพฤติกรรมของหนิงเฟยในสมัยก่อน เริ่มดูแลอาหารการกินและชีวิตความเป็นอยู่ขององค์ชายอี้หลางอย่างทึ่มทื่อ ตอนแรกนางเข้าใจว่าให้เด็กคนนี้ได้กินอิ่ม ไม่ให้เขาต้องความหนาวเย็นก็เพียงพอแล้ว ทว่าพอทำขึ้นมาจริงๆ กลับพบว่าเรื่องนี้หาได้ง่ายดายเพียงนั้น
เมื่อก่อนหนิงเฟยเป็นประมุขของตำหนักเฉิงเฉียน ควบคุมดูแลทั้งตำหนัก มาบัดนี้อีกฝ่ายไม่อยู่แล้ว ในขณะที่หยางหวั่นต้องดูแลองค์ชายอี้หลางและต้องดูแลตำหนักเฉิงเฉียนไปด้วย
ถึงอย่างไรเรื่องในตำหนักย่อมแตกต่างจากเรื่องในกองงานพิธีการ หยางหวั่นไม่ใช่สนมชายาและไม่ค่อยรู้เรื่องกิจการในวัง อีกทั้งนอกจากองค์ชายอี้หลางแล้ว ในตำหนักเฉิงเฉียนยังมีเหม่ยเหริน อีกสองคนที่ไม่ค่อยรู้สึกถึงการมีตัวตนของพวกนางพำนักอยู่ด้วย แม้พวกนางจะไม่ได้รับความโปรดปราน แต่ก็เป็นคนคนหนึ่ง ถ้าปวดศีรษะตัวร้อนก็ต้องตามหมอหลวง ทุกเทศกาลก็ต้องกินต้องดื่ม มีความต้องการอยู่ตลอดเวลา ตอนหยางหวั่นเผชิญหน้ากับคนสองคนนี้ นางรู้สึกว่าฐานะของตนน่ากระอักกระอ่วนยิ่ง เมื่อต้องรับมือครั้งแรกก็ย่ำแย่อึดอัดไปหมด
ส่วนเติ้งอิงจะมาหานางอยู่เป็นนิจ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร เพียงนั่งมองหยางหวั่นอยู่สักครู่หนึ่งแล้วก็ไป
ทว่าท่าทีที่เขามีต่อตำหนักเฉิงเฉียนกลับกลายเป็นท่าทีของยี่สิบสี่ที่ทำการของราชสำนักฝ่ายในที่มีต่อตำหนักเฉิงเฉียน ขันทีหัวหน้ากองงานต่างรู้ว่าหยางหวั่นยังทำงานได้ไม่เข้าที่เข้าทาง จึงพากันตั้งอกตั้งใจช่วยคิดแทนตำหนักเฉิงเฉียนมากขึ้น
หยางหวั่นไม่ใช่คนโง่เขลา หลังจากผ่านไปครึ่งเดือนงานการต่างๆ ก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง พวกเหออวี้และคนอื่นๆ ก็พลอยวางใจลงแล้วเช่นกัน
ทว่าพวกนางก็มีความคิดที่เห็นแก่ตัวอยู่เช่นกัน เหออวี้เคยพูดกับหยางหวั่นไม่ใช่เพียงแค่ครั้งเดียวว่า ‘ผู้บัญชาการเติ้งปกป้องตำหนักเฉิงเฉียนเรา ทางตำหนักเหยียนสี่ก็ไม่กล้ามีคำพูดอะไรแล้ว บ่าวเห็นทางยี่สิบสี่ที่ทำการก็ปฏิบัติต่อเราอย่างเกรงใจมากขึ้น ไม่เหมือนช่วงที่พระชายาเพิ่งล้มป่วย วางอำนาจอย่างกับอะไรดี’
หยางหวั่นไม่ชอบฟังเหออวี้กับคนอื่นๆ พูดคำพูดเช่นนี้
นางเข้าใจดีว่าที่เติ้งอิงทำเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับสำนักกิจการฝ่ายใน
เทียบกับเหออี๋เสียนที่สลัดองค์ชายอี้หลางซึ่งถูกตำหนักเหวินหวาอบรมสั่งสอนจน ‘ใช้การไม่ได้’ ทิ้งแล้วหันไปหาตำหนักเหยียนสี่ เติ้งอิงกลับดีต่อองค์ชายที่เกลียดขันทีมากที่สุดพระองค์หนึ่ง และสิ่งที่เติ้งอิงต้องการก็ไม่ใช่การปกป้องจากองค์ชายในรัชสมัยของฮ่องเต้พระองค์ถัดไป
ทว่าในความเป็นจริงอีกไม่กี่ปีเด็กที่อยู่ภายใต้การปกป้องของเขาผู้นี้จะเขียน ‘บันทึกหนึ่งร้อยความผิด’ ส่งตัวเขาเข้าคุกหลวง ขึ้นสู่ลานประหารด้วยตนเอง
ตอนหยางหวั่นมองดูเติ้งอิงกับองค์ชายอี้หลางก็มักจะนึกถึงเรื่อง ‘ชาวนากับงู’ แต่ในขณะเดียวกันนางก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม รู้สึกว่าเป็นการพิจารณาใคร่ครวญที่หยาบกระด้างเรียบง่ายเกินไป ระหว่างองค์ชายอี้หลางกับเติ้งอิง ระหว่างฮ่องเต้กับขันที ระหว่างน้ำใจของมนุษย์ที่มีต่อกัน ความสัมพันธ์เหล่านี้ในทางการเมืองแล้วมีความซับซ้อนอย่างยิ่ง ไม่อาจสรุปได้ด้วยคำว่า ‘ชาวนากับงู’ ซึ่งเป็นการแยกผิดถูกออกจากกันอย่างชัดเจน
แม้แต่ในตอนนี้ความซับซ้อนก็ยังคงมีอยู่
องค์ชายอี้หลางเริ่มไม่รังเกียจที่จะพบเจอเติ้งอิงมากเพียงนั้นแล้ว แต่ท่าทีที่เขามีต่อเติ้งอิงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
เขาจะให้เติ้งอิงทำความเคารพเขา หลังจากรับการทำความเคารพแล้วจึงจะสั่งให้เติ้งอิงลุกขึ้นมา
บางครั้งเขาทบทวนหนังสืออยู่ในห้องหนังสือ หยางหวั่นนั่งอยู่ด้านข้างเป็นเพื่อนเขา เขากลับยอมให้เติ้งอิงเข้ามาในห้องหนังสือ แต่ไม่อนุญาตให้เติ้งอิงนั่ง เพียงอนุญาตให้ยืนคอยรับใช้อยู่หน้ากรอบช่องประตูสลักลายเหมือนกับขันทีฝ่ายในคนอื่นๆ ทุกครั้งที่หยางหวั่นเห็นเติ้งอิงยืนคอยรับใช้ นางก็จะลุกขึ้นแล้วไปยืนข้างเติ้งอิง เติ้งอิงเห็นนางทำเช่นนี้ แต่ต่อหน้าองค์ชายอี้หลางก็ไม่สะดวกจะพูดอะไร จึงได้แต่โบกมือห้ามนาง
บางครั้งองค์ชายอี้หลางก็ซักถามเติ้งอิงถึงเนื้อหาในหนังสือที่ไม่เข้าใจ
หยางหวั่นจำได้ว่าครั้งหนึ่งเขาถามความเห็นของเติ้งอิงเกี่ยวกับข้อมูลประวัติศาสตร์เรื่อง ‘สี่ฮ่องเต้สามยุคของสกุลหลิวแห่งราชวงศ์ฮั่นใต้’
หยางหวั่นจำได้รางๆ ว่า ‘สี่ฮ่องเต้สามยุคของสกุลหลิวแห่งราชวงศ์ฮั่นใต้’ พูดถึงภัยพิบัติจากขันทีที่โด่งดังในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ฮั่นใต้ ทำให้ราชวงศ์ฮั่นใต้ที่เจริญรุ่งเรืองเป็นมหาอำนาจก้าวไปสู่การเสื่อมถอยและล่มสลายลงในที่สุด
เติ้งอิงคุกเข่าลงกับพื้นแล้วตอบ เขาพูดอะไรบางอย่างต่อหน้าองค์ชายอี้หลางที่ทำให้ร่างกายและจิตวิญญาณของหยางหวั่นสั่นสะท้านไปหมด
เขาสอนให้องค์ชายอี้หลางยึดปฐมฮ่องเต้เป็นแบบอย่าง ตั้งป้ายเหล็กปฏิบัติตาม ‘โอวาทฝ่ายในของปฐมฮ่องเต้’ หากมีขันทีก้าวก่ายเรื่องการเมืองก็ให้ลงโทษด้วยวิธีที่รุนแรงที่สุดเพื่อสร้างความสั่นสะเทือนสยบราชสำนักฝ่ายใน
องค์ชายอี้หลางถามเขาว่า “ในฐานะฮ่องเต้จะให้อภัยได้หรือไม่”
เติ้งอิงตอบเขา “ไม่อาจให้อภัยพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายอี้หลางเงยหน้าขึ้นมองหยางหวั่นคราหนึ่ง ในดวงตามีแววสงสัยอยู่รางๆ
แต่เขาไม่ได้สอบถามหยางหวั่น ทว่าเลือกที่จะถามเติ้งอิงโดยตรง “ท่านเป็นขันที แต่คำพูดที่พูดกับข้าคล้ายกับคำพูดที่เหล่าขุนนางอรรถาธิบายพูดกับข้ายิ่ง แต่คำพูดและการกระทำของท่านไม่สอดคล้องกัน ในสายตาของข้า ท่านยังคงเป็นคนที่ไม่อาจให้อภัยได้ใน ‘โอวาทฝ่ายในของปฐมฮ่องเต้’ ”
พูดจบก็ลงมาจากม้านั่งสูง วางพู่กันลงเดินไปทางห้องด้านนอกแล้ว
หยางหวั่นก้มลงไปประคองเติ้งอิง
เติ้งอิงคุกเข่าตอบอยู่นาน ตอนยืนขึ้นจึงยืนได้ไม่มั่นคงนัก
“องค์ชายทรงอ่านประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฮั่นใต้ตั้งแต่เมื่อใด”
หยางหวั่นไม่สนใจคำพูดของเติ้งอิง มองข้อเท้าของเขาแล้วบอกว่า “หลายวันนี้ท่านไม่มีเวลาต้มยาแช่เท้าใช่หรือไม่”
“ใช่” เขาตอบหยางหวั่นตามตรง
หยางหวั่นบอกว่า “ต่อไปเมื่อข้าย้ายออกจากเรือนอู่ก็สามารถจับตาดูท่านได้แล้ว”
เติ้งอิงถามหยางหวั่น “เจ้าจะย้ายออกจากเรือนอู่แล้วหรือ”
“อืม” หยางหวั่นพยักหน้า “ดียิ่ง เมื่อก่อนอยู่เรือนอู่ห่างจากท่านไกลเพียงนั้น บัดนี้ได้อยู่ใกล้แล้ว”
“นี่เป็นความต้องการของใคร”
หยางหวั่นตอบ “เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท”
เติ้งอิงฟังจบก็พยักหน้า “หวั่นหวั่น รอเจ้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ข้าจะพาเจ้าไปดูเรือนที่ข้าซื้อไว้”
พูดถึงเรือนของเติ้งอิง หยางหวั่นก็แย้มยิ้มเบิกบานทันที “ได้หรือ แต่เวลานี้พระชายาไม่อยู่แล้ว ข้าจะออกจากวังได้อย่างไร”
เติ้งอิงยิ้มๆ “มีข้าย่อมทำได้”
หยางหวั่นย้ายออกจากเรือนอู่และปลดจากฐานะนางข้าหลวงอย่างเป็นทางการ
ในวันที่กองงานพิธีการลบชื่อนางออก ซ่งอวิ๋นชิงรู้สึกเสียดายแทนนางอย่างยิ่ง
“หลังจากนี้ก็ออกไปไม่ได้จริงๆ แล้ว”
หยางหวั่นอยู่ในเรือนอู่เก็บเสื้อผ้าข้าวของ ถานเหวินเต๋อพาเจ้าหน้าที่สำนักบูรพามาเฝ้าอยู่หน้าประตูเตรียมเป็นผู้ใช้แรงงาน เมื่อได้ยินคำพูดของซ่งอวิ๋นชิง ชั่วขณะนั้นก็อดไม่ได้ที่จะโต้นางกลับไป
“ท่านผู้บัญชาการของพวกเราอยู่ที่นี่ ยังต้องกลัวว่าต่อไปจะไม่อาจพาแม่นางหยางออกไปได้หรือ ท่านผู้บัญชาการซื้อเรือนแล้ว รอฤดูหนาวมาถึงพวกเราก็จะไปซื้อเครื่องเรือนนั่งนอนให้ท่านผู้บัญชาการ”
ซ่งอวิ๋นชิงเอามือเท้าเอวเดินไปที่หน้าประตู ตวาดใส่พวกเขาทันที “พวกเจ้าจะเข้าใจอะไร!”
พูดจบก็ปิดประตูเสียงดังแล้วเดินไปยังข้างกายหยางหวั่นช่วยเก็บเสื้อผ้าที่กองอยู่บนเตียงพลางเอ่ยขึ้น
“เจ้าอย่าได้ใส่ใจ เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นคนพูดอะไรตรงๆ ข้าไม่มีความหมายอื่นใด และไม่ได้บอกว่าผู้บัญชาการเติ้งไม่ดี ข้าก็แค่รู้สึกว่านี่ไม่คู่ควรสำหรับเจ้า”
หยางหวั่นหอบเสื้อผ้าที่พับซ้อนกันขึ้นมาใส่ไว้ในหีบไม้ หันไปยิ้มแล้วรับคำ “ข้ารู้”
ซ่งอวิ๋นชิงนั่งอยู่บนเตียง มองดูห้องที่ว่างเปล่าไปแล้วครึ่งหนึ่งพลางบอกว่า “อยู่กับเจ้ามาเกือบสองปีแล้ว ตอนเห็นเจ้าเข้ามาครั้งแรกข้ายังนึกอิจฉาเจ้า คิดอยู่ว่าเจ้าเป็นน้องสาวแท้ๆ ของหนิงเฟย พอเข้าวังมาก็เข้ากองงานพิธีการเสียแล้ว หัวหน้าเจียงกับหัวหน้ากองงานพระราชวังเหลียงก็ให้ความสำคัญกับเจ้า แน่นอนย่อมไม่เหมือนข้า วันหน้าเพียงรอพระเมตตาก็สามารถออกจากวังไปอยู่พร้อมหน้ากับคนในครอบครัว…เจ้าเองก็รู้ สตรีในวังมีเพียงเป็นนางข้าหลวงเท่านั้นจึงจะรอวันเช่นนั้นได้ บัดนี้เจ้าจะไปตำหนักเฉิงเฉียนแล้ว ฐานะนางข้าหลวงก็ไม่มีแล้ว คิดจะออกไปเกรงว่าคงต้องรอให้ฝ่าบาท…”
ประโยคหลังถือเป็นคำต้องห้าม คนของกองงานพิธีการรู้ธรรมเนียมมารยาท ย่อมไม่พูดออกจากปากง่ายๆ เป็นอันขาด
ซ่งอวิ๋นชิงเม้มปาก ช่วยหยางหวั่นพับเสื้อผ้าต่อไป
หยางหวั่นเดินไปข้างกายนางแล้วนั่งลง “เจ้ายังมีขี้ผึ้งทามืออยู่หรือไม่”
“ยังมีอยู่ เจ้าจะเอาหรือ”
“เอา”
ซ่งอวิ๋นชิงเอาขี้ผึ้งมา หยางหวั่นควักมาก้อนหนึ่งแล้วทาที่ข้อมือ จากนั้นก็ถอดกำไลหยกของตนออกมายื่นให้ซ่งอวิ๋นชิง
“ให้เจ้า”
ซ่งอวิ๋นชิงรีบบอกว่า “ไม่ได้ๆ หยกสกุลหยางของพวกเจ้าล้วนเป็นของล้ำค่าหายาก ข้าไม่อาจรับไว้ได้”
หยางหวั่นดึงมือนางมา “เช่นนั้นเจ้าก็คิดเสียว่าช่วยข้าเก็บเอาไว้ ถ้าวันหน้าข้าตกอับ ไม่แน่นี่อาจจะเป็นเงินช่วยชีวิตก้อนหนึ่ง”
ซ่งอวิ๋นชิงรับกำไลหยกมาอย่างลังเล “เจ้า…จะตกอับหรือ”
หยางหวั่นยิ้มๆ “เรื่องเช่นนี้ใครจะรู้ได้”
นางพูดจบก็ช่วยขยับปิ่นเงินบนมวยผมของซ่งอวิ๋นชิงให้ดีแล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง…
“อวิ๋นชิง อยู่ในวังเป็นนางข้าหลวงแม้จะมีหน้ามีตา แต่เจ้ากับข้าต่างรู้ว่าทำงานเหน็ดเหนื่อยเพียงไร เวลามีงานยุ่งข้าไม่อาจช่วยเจ้าได้แล้ว เจ้าต้องดูแลตนเองให้ดี”
ซ่งอวิ๋นชิงฟังจบก็โอบกอดหยางหวั่น “เจ้าก็เช่นกัน นับตั้งแต่ถูกทรมานที่คุกหลวง สีหน้าของเจ้าก็ไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน ผู้บัญชาการเติ้งมีอำนาจมีเงินทองแล้ว เจ้าก็อย่าปฏิบัติต่อตนเองอย่างขาดตกบกพร่อง เทียบกับเฉินฮว่าแล้วทุกวันนี้เขาเข้าออกราชสำนักฝ่ายในอย่างเป็นอิสระยิ่งกว่า โสมคนกบหิมะข้างนอก เจ้าอยากกินเท่าไรก็มีเท่านั้น ให้เขาซื้อให้เจ้าเสีย”
หยางหวั่นได้ยินซ่งอวิ๋นชิงพูดเช่นนี้ก็รู้ว่าซ่งอวิ๋นชิงยังไม่รู้เรื่องที่เติ้งอิงยืมเงินเฉินฮว่าซื้อเรือน
“โสมคนกบหิมะอะไรกัน เขาไม่มีเงิน เกรงว่ายังสู้ข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ซ่งอวิ๋นชิงปล่อยหยางหวั่นแล้วเลิกคิ้วบอกว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าได้ยินเฉินฮว่าบอกว่าสำนักบูรพาเริ่มลงมือก่อสร้างคุกบนที่ดินทางทิศเหนือของประตูเจิ้งหยางแล้ว เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง ลำพังแค่ที่ดิน ไม้ อิฐ หินก็เป็นเงินหลายหมื่นตำลึงแล้ว”
ที่ซ่งอวิ๋นชิงพูดเป็นเรื่องจริง หลังคดีเรือนเฮ่อจวี ท่าทีของฮ่องเต้ที่มีต่อกองเจิ้นฝู่เหนือก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้ง
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ละครั้งระดับก็แตกต่างกันไป กระทั่งเป็นเพราะสถานการณ์ที่แตกต่างกันและพลิกเปลี่ยนโดยพลัน ดังนั้นจึงไม่มีบันทึกอย่างชัดเจนในประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตามนักวิจัยประวัติศาสตร์แต่ละยุคในอดีตได้ระบุช่วงระยะเวลาหลายช่วงคร่าวๆ ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลทางประวัติศาสตร์จำนวนมาก หนึ่งในนั้นมีอยู่ช่วงหนึ่งซึ่งก็คือช่วงฤดูใบไม้ร่วงรัชศกเจินหนิงปีที่สิบสาม ฮ่องเต้เจินหนิงมีพระราชโองการอนุญาตให้สำนักบูรพาสร้างคุกของตนเองที่ประตูเจิ้งหยาง ภายหลังคุกแห่งนี้ถูกเรียกขานว่า ‘คุกสำนัก’
การก่อสร้างคุกแห่งนี้ค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนการพิจารณาไต่สวนคดีให้อยู่นอกเหนือสามตุลาการ อำนาจของสำนักบูรพาค่อยๆ เทียบเท่ากองเจิ้นฝู่เหนือ เหล่านักวิจัยประวัติศาสตร์ต่างวิเคราะห์ว่าหลังจากคดีเรือนเฮ่อจวี ฮ่องเต้เจินหนิงเกิดความคลางแคลงเกี่ยวกับความปลอดภัยของตน เห็นว่าแม้องครักษ์เสื้อแพรจะขึ้นตรงต่ออำนาจฮ่องเต้ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นขุนนางฝ่ายนอก ในช่วงเวลาสำคัญก็มีหลักการของตนเอง ยากที่จะเข้าใจถึงเจตนาของเขาได้อย่างถ่องแท้ ทั้งยังยากที่จะมุ่งมั่นรักษาชีวิตของเขา ดังนั้นเขาจึงค่อยๆ มอบอำนาจให้สำนักบูรพา อนุญาตให้สำนักบูรพาแทรกแซงเข้าไปในหน่วยองครักษ์เสื้อแพร การก่อสร้างคุกสำนักก็คือสัญลักษณ์ในครั้งนี้
การเข้ามาเกี่ยวข้องกับการลงโทษตามกฎหมายผ่านคุกสำนัก ชีวิตของเติ้งอิงก็พลิกเปิดมาที่บทของการมีส่วนร่วมพัวพันทางการเมือง
นอกจากหยางหวั่น นักวิจัยประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่มีทัศนคติเชิงลบต่อการก่อสร้างคุกแห่งนี้ กระทั่งมีหลายคนเห็นว่านี่เป็นสถานที่ที่เลวร้ายยิ่งกว่าคุกหลวงขององครักษ์เสื้อแพร
เกี่ยวกับประเด็นนี้ แม้แต่หยางหวั่นก็ไม่อาจโต้แย้ง
เพราะหลังจากองค์ชายอี้หลางกับเติ้งอิงตายไปแล้ว ต่อมาภายใต้การปรับเปลี่ยนและความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องของเหล่าขันที คุกของสำนักบูรพาได้กลายเป็นนรกในแดนมนุษย์แห่งหนึ่งที่มีข้อมูลทางประวัติศาสตร์ให้ตรวจสอบได้ เมื่อเหล่าปัญญาชนหวนนึกถึงความเป็นมาของคุกแห่งนี้ย่อมต้องหยิบเศษเนื้อของผู้ก่อสร้างขึ้นมาโบยตีอีกครั้ง
“หยางหวั่น เหตุใดเจ้าถึงไม่พูดจา”
หยางหวั่นยังคงจมจ่อมอยู่ในภวังค์ของตนเอง ซ่งอวิ๋นชิงกลับพบว่าขอบตาของนางดูเหมือนจะแดงเล็กน้อย
“คิดอะไรอยู่ คิดเสียจนทั่วทั้งร่างนิ่งขึงไปแล้ว”
“อ้อ…” หยางหวั่นกดหว่างคิ้ว “ไม่มีอะไร อาจเป็นเพราะยามกลางคืนนอนหลับได้ไม่ค่อยดี ตอนนี้จึงคิดฟุ้งซ่าน”
ซ่งอวิ๋นชิงยืนขึ้นแล้วบอกว่า “เช่นนั้นเจ้าก็นั่งพักเถิด ที่เหลือข้าจะช่วยจัดการให้เจ้าเอง เรียกคนที่อยู่ข้างนอกเหล่านั้นยกไปทีเดียว จะได้ไม่ต้องมาขนอีกรอบ” นางพูดจบก็ปิดหีบอย่างคล่องแคล่ว ผูกห่อสัมภาระให้เรียบร้อยแล้วเปิดประตูพูดกับถานเหวินเต๋อ “เอาล่ะ พวกเจ้าเข้ามาขนเถิด ข้าขอพูดไว้ก่อน ของของแม่นางหยางล้วนประณีตล้ำค่า ถ้าพวกเจ้าไม่ระวังเพียงนิดเดียว ผู้บัญชาการของพวกเจ้าไม่ละเว้นพวกเจ้าแน่”
“ทราบแล้วๆ ท่านผู้บัญชาการของพวกเราก็รออยู่ที่ตำหนักเฉิงเฉียนเช่นกัน”
บทที่ 10.2 สายลมเย็นที่เฮาหลี่
ถานเหวินเต๋อแบกหีบเดินตามหยางหวั่นไปยังตำหนักเฉิงเฉียน
เขาเป็นคนตรงไปตรงมา ปกติก็พูดมาก คราวนี้จึงถือโอกาสพูดจาตลกขบขัน ยั่วเย้าหยางหวั่นให้หัวเราะไปตลอดทาง
ถานเหวินเต๋อฉวยโอกาสที่หยางหวั่นเบิกบานใจ คิดจะเอ่ยถ้อยคำดีๆ แทนเติ้งอิงสักหลายคำ
“แม่นางหยาง”
“หืม?”
ถานเหวินเต๋อขยับหีบบนไหล่ตน “ท่านเคยไปดูเรือนของท่านผู้บัญชาการเราแล้วหรือยัง”
หยางหวั่นเดินไปพลางบอกไปพลาง “ยัง ได้ยินว่าท่านเป็นคนไปจัดการให้หรือ”
ถานเหวินเต๋อยิ้มแล้วบอกว่า “หรือมิใช่เล่า สถานที่แห่งนั้นทิศทางด้านหน้าก็ไม่เลว เพียงแต่รู้สึกว่าเล็กไปสักหน่อย คิดอยู่ว่าไม่ว่าอย่างไรท่านผู้บัญชาการก็ควรหาเรือนคั่นสองให้ตนเองสักหลัง เรือนคั่นเดียวนี่…ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่ออกจะคับแคบไปสักหน่อย”
หยางหวั่นยิ้มแล้วบอกว่า “เรือนคั่นเดียวก็ดี ปลอดโปร่ง ยามเก็บกวาดก็ไม่เปลืองแรงมาก”
ถานเหวินเต๋อรีบบอกว่า “จะให้แม่นางเก็บกวาดได้อย่างไร วันหน้าเมื่อท่านกับท่านผู้บัญชาการของเราเข้าไปอยู่แล้ว มิใช่ต้องซื้อคนมาช่วยงานสักหลายคนหรือ”
หยางหวั่นหันหน้ามากล่าวยิ้มๆ “พวกท่านให้เขาซื้อคน เวลานี้ซื้อคนคนหนึ่งต้องใช้เงินเท่าไรหรือ”
“ต้องใช้เงินสิบกว่าตำลึง ทั้งยังต้องดูรูปร่างลักษณะอีกว่าเป็นอย่างไร”
หยางหวั่นยิ้มแล้วบอกว่า “แล้วผู้บัญชาการของพวกท่านเดือนหนึ่งได้เบี้ยหวัดเท่าไร”
“เอ่อ เรื่องนี้…” ถานเหวินเต๋อเกือบสะดุดล้มเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ เขาเอ่ยลากเสียง ลังเลอยู่ว่าควรเปิดเผยข้อเสียของเติ้งอิงต่อหน้าหยางหวั่นหรือไม่
กฎเกณฑ์ข้อห้ามที่เติ้งอิงมีต่อคนเหล่านี้มีเพียงขีดต่ำสุดอย่างเดียวคือไม่อาจทำร้ายชีวิตผู้คนตามใจชอบ ปกติแล้วจะไม่ขัดขวางเจ้าหน้าที่ในบังคับบัญชาเก็บ ‘เงินค่าดำเนินการ’ จากขุนนางกับราษฎร แต่ดูเหมือนว่าตัวเขาเองไม่เคยเรียกร้อง แม้จะรับมา แต่หลังจากนั้นก็จะเอาให้เจ้าหน้าที่สำนักบูรพาไปแบ่งกัน ผู้คนต่างบอกว่าสำนักกิจการฝ่ายในได้รับสิ่งของและเงินปูนบำเหน็จไม่น้อย แต่เมื่อถานเหวินเต๋อดูจากค่าใช้จ่ายการกินอยู่ของเติ้งอิงในยามปกติก็ดูท่าทางไม่เหมือนคนมีเงิน หลายวันที่ผ่านมาถานเหวินเต๋อกับเจ้าหน้าที่สำนักบูรพาหลายคนคิดจะช่วยเขาซื้อเครื่องเรือนและเครื่องตกแต่ง แต่พอเหล่าเจ้าหน้าที่เห็นว่าเติ้งอิงต้องการจะจ่ายเงินเอง มือไม้ก็ขยับไม่ค่อยออก
“เอ่อ…เบี้ยหวัดของท่านผู้บัญชาการราชสำนักฝ่ายในเป็นผู้จ่าย พวกเราไม่ค่อยรู้…”
หยางหวั่นกล่าวต่อ “เขาไม่มีเงินเท่าไร อีกทั้งเขาก็ไม่มีทางไปซื้อคนมาเป็นบ่าวให้เรียกใช้สอย”
“ใช่ ข้าไม่มีเงิน”
หยางหวั่นกับถานเหวินเต๋อได้ยินคำพูดประโยคนี้ต่างก็ตกตะลึง พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเติ้งอิงกำลังเดินมาทางพวกเขา
วันนี้เขาไม่ได้สวมชุดขุนนาง เพียงสวมเสื้อหลันซานสีหยกเหมือนบัณฑิตทั่วไป เกล้าผมไว้บนศีรษะ ไม่ได้สวมหมวกผ้า
ถานเหวินเต๋อกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเล็กน้อย กัดฟันพลางเอ่ยขึ้น “ผู้น้อยไม่ได้บอกว่าท่านผู้บัญชาการยากจน เพียงแต่…”
“ไม่ผิด ข้าในเวลานี้ยากจนยิ่ง”
“ไม่ใช่ ท่านพูดเช่นนี้…” ถานเหวินเต๋อถูกความจริงใจของเติ้งอิงทำเอาทึ่มทื่อไป จำต้องฝืนเปลี่ยนเรื่องพูด “ท่านไม่ใช่อยู่ที่ตำหนักเฉิงเฉียนหรือขอรับ เหตุใดถึงมาที่นี่แล้ว”
“อ้อ” เติ้งอิงรับคำแล้วม้วนแขนเสื้อขึ้น “ข้ามาดูว่าพอจะช่วยยกอะไรได้บ้างหรือไม่”
เจ้าหน้าที่ที่อยู่ด้านหลังถานเหวินเต๋อต่างส่งเสียงขึ้นมาพร้อมกัน “จะใช้แรงงานท่านได้อย่างไร”
หยางหวั่นยิ้มพลางบอกว่า “วันนี้ท่านสวมใส่เสื้อผ้าไม่เหมือนมาทำงาน”
เติ้งอิงกระชับชายแขนเสื้อ ยิ้มพลางมองหยางหวั่น “แล้วเหมือนอะไร”
หยางหวั่นบอก “เหมือนจะเข้าสนามสอบเคอจวี่ในฤดูใบไม้ร่วง”
เติ้งอิงหัวเราะออกมา “สำนักซุ่นเทียน* กำลังตั้งกระโจมสอบในระดับมณฑล อยากไปดูหรือไม่”
“กระโจมสอบหรือ” หยางหวั่นกล่าวอย่างสงสัย “เหตุใดเพียงตั้งกระโจมสอบ หรือว่าไม่ได้สร้างเฮ่าจื่อ”
เติ้งอิงฟังแล้วพยักหน้า “เดิมทีควรจะสร้าง แต่เมืองหลวงและกำแพงเมืองโดยรอบยังสร้างไม่เสร็จ เงินทองมีจำกัด ตอนนี้เราทำได้เพียงใช้ไม้กระดานกับเสื่อกกตั้งกระโจมสอบ ล้อมรอบด้วยพุ่มไม้เตี้ยที่มีหนาม ผู้คนต่างบอกว่าสนามสอบในเมืองหลวงสร้างดีสู้ร้านหนังสือที่อยู่โดยรอบยังไม่ได้”
นี่กลับทำให้หยางหวั่นเกิดความสนใจขึ้นมา “ร้านหนังสือที่อยู่บริเวณนั้นมีร้านอะไรบ้าง วันนี้ไปดูได้หรือไม่”
เติ้งอิงรับคำ “ข้าเอาป้ายงาช้างมาแล้ว พาเจ้าออกไปได้”
หยางหวั่นหันไปมองข้าวของของตนคราหนึ่ง ใบหน้าแฝงแววลังเล
ถานเหวินเต๋อเห็นเช่นนี้ก็รีบบอกว่า “ท่านออกไปกับท่านผู้บัญชาการของเราเถิด ของเหล่านี้ข้าจะมอบให้แม่นางเหออวี้ รับรองไม่เสียหาย”
หยางหวั่นคลี่ยิ้มแล้วบอกว่า “เช่นนั้นก็ได้…พวกท่านระวังหน่อยเล่า” พูดจบก็เดินไปถึงด้านข้างเติ้งอิงแล้วใช้ศอกสะกิดเขา “รีบไปๆ”
เติ้งอิงหันมามองหยางหวั่นคราหนึ่ง นางมีสีหน้าสดใส ดวงตาเป็นประกายแวววาว
พูดไปแล้วตั้งแต่คดีเรือนเฮ่อจวีจนถึงวันนี้ เขาไม่ได้เห็นหยางหวั่นยิ้มแย้มเช่นนี้นานมากแล้ว
ที่ทำการสำนักซุ่นเทียนตั้งอยู่ที่หอกลองทางทิศเหนือของเมืองในถนนตงกงของถนนตงต้า ในละแวกหอกลองมีร้านหนังสือที่จัดพิมพ์หนังสืออยู่หลายแห่ง ในบรรดาร้านหนังสือเหล่านี้ร้านที่มีชื่อเสียงที่สุดคือร้านควนฉินถังของสกุลโจวและร้านชิงปอก่วนของสกุลฉี ร้านหนังสือทั้งสองแห่งนี้ดำเนินกิจการสืบต่อกันมานับร้อยปีแล้ว ไม่เพียงใหญ่โต แต่ขอบข่ายในการจัดพิมพ์ก็กว้างขวางมากอีกด้วย
การพิมพ์ในสมัยราชวงศ์หมิงเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก แม้จะมีช่องโหว่ด้านการบริหารจัดการมากมาย แต่ขณะเดียวกันก็มีอิสรเสรี การพิมพ์จะแบ่งเป็นการพิมพ์ของทางการ การพิมพ์ส่วนตัว และการพิมพ์ของร้านหนังสือ เติ้งอิงเป็นคนที่ชอบซื้อหนังสือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาชอบซื้อหนังสือฉบับพิมพ์ส่วนตัวของบัณฑิตนิรนามในร้านหนังสือเป็นพิเศษ
แต่หยางหวั่นกลับไม่เคยไปร้านหนังสือเหล่านี้ หลังลงจากรถม้าก็ดึงเติ้งอิงตรงไปที่ร้านชิงปอก่วน สองวันก่อนอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าของเติ้งอิงเพิ่งกำเริบครั้งหนึ่ง เวลานี้ยามเดินออกจะไม่ค่อยคล่อง แต่ก็ไม่อยากบอกหยางหวั่นว่า ‘ช้าลงหน่อยเถิด’ ได้แต่มองเงาด้านหลังนางพลางยิ้มเจื่อนอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี ผู้คนที่เดินผ่านร้านหนังสือเห็นภาพนี้เข้าต่างก็หัวเราะแล้วพากันวิพากษ์วิจารณ์
“นายท่านผู้นี้นิสัยดียิ่ง ยอมตามใจแม่นางน้อย”
เติ้งอิงได้ยินคำพูดนี้แล้วใบหูก็ร้อนผ่าวเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะเรียกหยางหวั่น
“หวั่นหวั่น”
“หืม?” หยางหวั่นหันกลับมาเห็นเขาใบหน้าซีดขาวเล็กน้อยก็รีบบอกว่า “ข้อเท้าเจ็บอีกแล้วใช่หรือไม่”
“ก็เจ็บอยู่บ้าง”
หยางหวั่นหยุดเดิน “เหตุใดถึงไม่บอกเล่า”
เติ้งอิงบอกว่า “เห็นเจ้าตื่นเต้นเพียงนั้น”
หยางหวั่นประคองแขนเติ้งอิง “เดินเช่นนี้เถิด ท่านเอนพิงข้า”
“เจ้าไม่เหนื่อยหรือ”
หยางหวั่นสั่นศีรษะ “ไม่เหนื่อย ท่านไม่ต้องสนใจข้า พิงมาเถิด ท่านผ่ายผอมเพียงนี้ ข้าประคองท่านไหว”
เติ้งอิงก้มหน้ามองใบหน้าด้านข้างของหยางหวั่น “หวั่นหวั่น”
“ท่านพูดมาเถิด”
“เหตุใดเจ้าถึงสนใจร้านชิงปอก่วนเพียงนี้”
หยางหวั่นไม่ได้ตอบคำถามเติ้งอิงในทันที แต่นางหวนนึกถึงคำพูดที่นางเคยพูดกับตนเองไว้ว่า ‘จะคิดเล็กคิดน้อยเพื่อเขา จะต่อสู้ด้วยพู่กันหมึกเพื่อเขา’
พู่กันหมึกคืออะไร
ในราชสำนักต้าหมิง พู่กันหมึกก็เหมือนกับกองกำลังทหาร ล้วนเป็นอาวุธที่แหลมคม เป็นปากเสียงของปัญญาชน เป็นข้อวิพากษ์วิจารณ์ของราษฎรในใต้หล้า เป็นสิ่งที่อำนาจฮ่องเต้พยายามเค้นคอให้ตาย แต่ทำอย่างไรก็สังหารไม่หมด
“ร้านชิงปอก่วนเคยแกะแม่พิมพ์ตีพิมพ์บทความของท่านหรือไม่”
เติ้งอิงพยักหน้า “เคย เมื่อก่อนนี้”
“บทความใดหรือ”
“ ‘จดหมายถึงจื่อซีช่วงท้ายปีกุ่ยโฉ่ว’ ” เขาพูดจบก็เงยหน้ามองไปที่แผ่นป้ายเหนือประตูร้านชิงปอก่วน “ตอนนั้นข้ากับจื่อซีคบหากันอย่างสนิทสนม แลกเปลี่ยนบทกวีและบทความกันมากมาย ทว่าต่อมาข้าเข้าคุกใหญ่ของกรมอาญา บทความของข้าไม่อาจเผยแพร่ได้อีกต่อไป แม่พิมพ์ที่แกะไว้ช่วงก่อนหน้านี้เวลานี้อาจถูกเผาทิ้งไปแล้ว”
หยางหวั่นตกตะลึง
ความจริงแล้วร้านชิงปอก่วนได้เก็บรักษาแม่พิมพ์ ‘จดหมายถึงจื่อซีช่วงท้ายปีกุ่ยโฉ่ว’ ไว้ ภายหลังร้านชิงปอก่วนได้ย้ายไปยังก่วงโจวและเอาแม่พิมพ์ไปที่ก่วงโจวด้วย ต่อมาแม่พิมพ์นี้ได้เปลี่ยนมือหลายครั้งแล้วหลุดรอดออกไปนอกประเทศ แต่หยางหวั่นเคยเห็นภาพถ่ายของแม่พิมพ์นี้ในพิพิธภัณฑ์ที่ก่วงโจว
“อาจไม่ได้เผาทิ้งก็เป็นได้” หยางหวั่นประคองแขนเติ้งอิง คลี่ยิ้มสดใสให้เขา “ไปดูกัน”
เติ้งอิงพยักหน้า ยิ้มพลางตอบรับ “ได้”
ด้านหน้าร้านชิงปอก่วนเป็นร้านค้า ส่วนด้านหลังเป็นโรงพิมพ์ หน้าร้านมีแผงขายตัวอย่างข้อสอบช่วงก่อนการสอบเคอจวี่ บรรยากาศดูคึกคักอย่างยิ่ง เติ้งอิงหยุดฝีเท้ากวาดตามองหนังสือบนแผง ขณะที่หยางหวั่นเงยหน้าถามเขา
“ท่านกับพี่ชายข้าใครเรียนหนังสือเก่งกว่ากัน”
เติ้งอิงยิ้มแต่ไม่ตอบ
ขณะพูดคุยกันอยู่นั้น หลงจู๊ในร้านด้านหน้าก็ออกมาต้อนรับ เห็นหยางหวั่นกับเติ้งอิงยืนอยู่ไม่ห่างจากแผงขายตัวอย่างข้อสอบจึงเอ่ยขึ้น
“ทั้งสองท่านคงมาดูหนังสือสอบเคอจวี่กระมัง”
เติ้งอิงตอบว่า “ใช่ จะพา…”
ชั่วขณะนั้นเขาไม่รู้จะเรียกหยางหวั่นว่าอย่างไร แต่กลับไม่คาดคิดว่าหยางหวั่นจะกล่าวต่อไปว่า “ท่านพี่จะพาข้าเข้ามาเดินดู”
หลงจู๊เพียงเห็นว่าคนทั้งสองเป็นสามีภรรยาที่มีการศึกษาท่าทางสุภาพสง่างามจึงเอ่ยว่า “ฮูหยินก็เรียนหนังสือด้วยหรือ”
“ใช่แล้ว พอรู้จักตัวอักษรไม่กี่ตัวเท่านั้น”
“ท่านพูดเช่นนี้เป็นการถ่อมตนแล้ว เชิญพวกท่านเข้ามาดูเถิด”
หยางหวั่นประคองแขนเติ้งอิงเดินเข้าไปในห้องโถง เห็นหนังสือที่ร้านชิงปอก่วนตีพิมพ์ทั้ง ‘ซีโหยวจี้’ ‘บันทึกประวัตินครรัฐ’ ‘รวมความคิดเห็นพงศาวดารสามก๊ก’ ‘รวมความคิดเห็นพงศาวดารสุ่ยหู่จ้วน’ ‘พงศาวดารแคว้นจิ้นตะวันออกและจิ้นตะวันตก’ ‘พงศาวดารฮั่นตะวันตก’ ซึ่งฉบับที่ตีพิมพ์บางเรื่องยังคงเก็บรักษามาจนถึงยุคปัจจุบัน
หยางหวั่นหยิบ ‘ซีโหยวจี้’ เล่มหนึ่งมาพลิกเปิดดูแล้วเอ่ยถามไปเรื่อยเปื่อย “ในโรงพิมพ์ของพวกท่านยังมีแม่พิมพ์ของหนังสือเล่มนี้หรือไม่”
หลงจู๊บอกว่า “ฮูหยินถามเช่นนี้จะทำการค้ากับพวกเรากระมัง”
หยางหวั่นจับเส้นผมไปทัดไว้ที่หู มองเติ้งอิงคราหนึ่งยิ้มๆ แต่ไม่ได้พูด
หลงจู๊เข้าใจว่าหยางหวั่นสุขุมรอบคอบ รอให้ตนแสดงท่าทีก่อน จึงรีบบอกว่า “เถ้าแก่ของเราทำลายแม่พิมพ์ของหนังสือเล่มนี้ไปแล้ว ทว่ายังมีที่ตีพิมพ์อีกฉบับหนึ่ง ตอนนี้ยังเก็บแม่พิมพ์ไว้อยู่ เถ้าแก่ของเราจะเก็บแม่พิมพ์ก็ต้องดูว่าเขาชอบหรือไม่ชอบแม่พิมพ์นั้น หนังสือบางเล่มแม้จะขายดี แต่ก็จนใจที่เถ้าแก่ของเราไม่ชอบแม่พิมพ์ สุดท้ายก็ต้องเผาทิ้ง”
“อ้อ เช่นนั้นเถ้าแก่ของพวกท่านจะต้องเป็นคนพิถีพิถันคนหนึ่ง”
“หรือมิใช่เล่า” หลงจู๊บอกอย่างภาคภูมิใจ “ที่ร้านชิงปอก่วนเราสามารถเทียบเคียงกับร้านควนฉินถังได้ไม่ใช่เพราะเถ้าแก่ของเราเป็นจวี่เหรินปัญญาชนที่แท้จริงหรือ”
หยางหวั่นปิดหนังสือ “แล้วแม่พิมพ์ ‘จดหมายถึงจื่อซีช่วงท้ายปีกุ่ยโฉ่ว’ ยังอยู่หรือไม่”
หลงจู๊บอกว่า “ท่านถามถึงแม่พิมพ์ของบทความนี้ ข้าก็รู้แล้วว่าท่านมีความรู้ เถ้าแก่ของเราชอบบทความนี้มาก แม่พิมพ์นั่นเขาควบคุมการแกะแม่พิมพ์ด้วยตนเอง แม้ผู้เขียนบทความนี้จะเป็นผู้มีความผิดและเวลานี้บทความนี้ก็ไม่อาจพิมพ์ได้แล้ว แต่เถ้าแก่เก็บแม่พิมพ์นั่นมาโดยตลอด”
“พวกเราขอดูจะได้หรือไม่”
“เรื่องนี้…” หลงจู๊มีท่าทีลังเล
หยางหวั่นบอกว่า “ท่านอย่าเข้าใจผิด ในเมื่อเถ้าแก่ของพวกท่านควบคุมการแกะแม่พิมพ์ด้วยตนเอง นั่นย่อมเป็นแม่พิมพ์ที่ดีที่สุด ข้าก็แค่อยากดูแม่พิมพ์ที่ดีที่สุดของร้านหนังสือของพวกท่านว่าเป็นอย่างไร”
หลงจู๊ได้ยินนางกล่าวเช่นนี้สีหน้าก็ผ่อนคลายลง
“ได้ ท่านนั่งก่อน ในโรงพิมพ์ของเรากำลังรับรองแขกสำคัญ เกรงว่าจะล่วงเกิน ข้าจะเข้าไปดูให้ท่าน ถ้าไม่ติดขัดอะไรข้าค่อยมาพาท่านเข้าไป”
“ได้”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 ก.ค. 68
Comments
comments
No tags for this post.