X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักลำนำฝูหรงเคียงกระเรียน

ทดลองอ่าน ลำนำฝูหรงเคียงกระเรียน บทที่ 10.3-10.4

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่ 10.3 สายลมเย็นที่เฮาหลี่

หยางหวั่นประคองเติ้งอิงนั่งลง ส่วนตนเองกลับรวบชายกระโปรงนั่งยองๆ ลงไป

เติ้งอิงรีบบอกว่า “ทำอะไร”

หยางหวั่นยื่นมือไปเลิกชายเสื้อของเขาขึ้น “ฉวยโอกาสในช่วงนี้ช่วยท่านอังข้อเท้าให้อุ่น”

เติ้งอิงรีบก้มลงไปปิดข้อเท้าของตน หยางหวั่นบิดหลังมือเขา ดึงดันจะให้เขาเอามือออกไป

“เชื่อฟังข้า เติ้งอิง”

เติ้งอิงชะงัก “ข้าไม่อาจ…”

“แสร้งเป็นสามีภรรยากันก็แสร้งให้แนบเนียนสักหน่อย”

นางพูดตัดบท พอพูดจบก็ใช้สองมือกุมข้อเท้าของเติ้งอิงไว้ ใช้ความอบอุ่นจากอุ้งมือช่วยเขาต่อต้านความเจ็บปวดพลางกล่าวยิ้มๆ

“วันนี้มาที่นี่มีผลให้เก็บเกี่ยวจริงๆ”

เติ้งอิงมองมือที่กุมข้อเท้าตนอยู่เบาๆ เม้มปากแล้วเอ่ยว่า “เพราะเหตุใด…จะต้องดูแม่พิมพ์นั่น”

หยางหวั่นก้มหน้ากล่าวเสียงอ่อนโยน “อยากให้ท่านรู้ว่าแม้ท่านไม่อาจเขียนบทความได้อีก แต่อดีตที่ผ่านมาของท่านหาได้ถูกลบทิ้งไป ท่านมีร่องรอยให้ติดตาม อีกทั้งในยุคสมัยหลังก็มีคนติดตามร่องรอย” นางพูดจบก็เงยหน้า “เติ้งอิง ต่อไปถ้าท่านอยากเขียนบทความก็เขียนเถิด เขียนแล้วข้าจะคัดลอกให้เอง”

เติ้งอิงยิ้มแล้วบอกว่า “เจ้าคัดลอกแล้วก็มีแต่เจ้าที่อ่าน”

หยางหวั่นกำลังจะตอบ แต่พลันได้ยินเสียงคุ้นหูดังมาจากหลังฉากบังลมที่อยู่ด้านหลัง

“เถ้าแก่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เรื่องนี้เราก็เจรจากันได้เพียงเท่านี้ ที่เหลือรอเถ้าแก่ของพวกเจ้ากลับมาแล้วข้าจะมาอีกครั้งเพื่อคุยรายละเอียดกับเขา”

หยางหวั่นลุกขึ้น เอียงกายหลบอยู่ด้านหลังฉากบังลมแล้วมองไปยังประตูที่เชื่อมต่อกับเรือนด้านหลัง

เติ้งอิงถามเสียงเบา “ใครหรือ”

หยางหวั่นบอก “ผางหลิง ขันทีข้างกายเจี่ยงเสียนเฟย”

นางเพิ่งพูดจบก็ได้ยินคนของร้านหนังสือบอกว่า “เรื่องนี้ความจริงแล้วหลงจู๊ของเราก็ตัดสินใจได้ แค่เพิ่มผู้มีคุณธรรมเข้าไปตรงท้ายหนังสือ ‘ชีวประวัติห้าผู้มีคุณธรรม’ อีกคน หนังสือเล่มนี้ร้านชิงปอก่วนเรายังไม่ได้กำหนดแบบพิมพ์แน่นอน ไม่ใช่เรื่องยาก”

หยางหวั่นได้ยิน ‘ชีวประวัติห้าผู้มีคุณธรรม’ ก็อดตกตะลึงไม่ได้

หนังสือเล่มนี้เขียนโดยบัณฑิตชื่อตู้เหิงในสมัยราชวงศ์หมิง เป็นบันทึกสนมชายาผู้มีคุณธรรมทั้งห้าคนในประวัติศาสตร์ ไม่ใช่หนังสือที่มีชื่อเสียงมากนักและไม่ได้รับการสืบทอดต่อมา สาเหตุไม่รู้แน่ชัด หยางหวั่นเคยเห็นชื่อหนังสือเล่มนี้ในข้อมูลปลีกย่อยทางประวัติศาสตร์

“เติ้งอิง”

“หืม?”

“ผางหลิงผู้นี้ ท่านให้เจ้าหน้าที่สำนักบูรพาจับตาดูเขาไว้”

“เพราะเหตุใด”

หยางหวั่นเม้มปาก “ข้ายังพูดได้ไม่แน่ชัด รอข้ารู้ให้แน่ชัดเสียก่อน อาจเป็นเหมือนเรื่องของขันทีตรวจฎีกาเจิ้งที่สายเกินไปเสียแล้ว”

เติ้งอิงยืนขึ้นแล้วเดินไปยังด้านหลังหยางหวั่น มองตามสายตาของนางไปที่ด้านหลังฉากบังลม “คนที่เขียน ‘ชีวประวัติห้าผู้มีคุณธรรม’ ข้ารู้จัก”

หยางหวั่นหันหน้ามา “ใครหรือ”

เติ้งอิงก้มหน้าลงมองนาง “เจ้าก็รู้จัก น้องชายของเจ้า หยางจิง”

“อะไรนะ!” หยางหวั่นได้ยินชื่อหยางจิงก็เกือบควบคุมเสียงของตนไม่อยู่ “ไม่ใช่ตู้เหิงเขียนหรือ”

เติ้งอิงก้มหน้าลงมองนาง “เจ้าหมายถึงตู้เหิงฝ่ายเรียบเรียงตรวจสอบของกองอาลักษณ์หรือ”

หยางหวั่นกล่าวด้วยความสงสัย “ยังมีตู้เหิงอื่นอีกหรือ”

เติ้งอิงสั่นศีรษะ “คนผู้นี้ป่วยหนัก ไม่ได้อยู่ที่กองอาลักษณ์มากว่าหนึ่งเดือนแล้ว แต่ ‘ชีวประวัติห้าผู้มีคุณธรรม’ เขียนเมื่อปลายเดือนที่แล้ว เนื้อหาทั้งหมดไม่ยาว ผู้เขียนน่าจะใช้เวลาเขียนราวสิบวัน เพราะเหตุใดเอ่ยถึงตู้เหิงผู้นี้”

จะตอบอย่างไรดี

จะบอกเขาว่าข้อมูลประวัติศาสตร์กับความเป็นจริงไม่สอดคล้องกันหรือ

หยางหวั่นอกสั่นขวัญแขวน จับขอบฉากบังลมไว้แน่นด้วยจิตสำนึก

การวิจัยประวัติศาสตร์ที่แท้ยากเย็นเพียงใด นางจมจ่อมอยู่กับสิ่งนั้นมาสิบปี ได้ลิ้มรสความยากลำบากมาอย่างเต็มที่

ตอนเริ่มเขียนบันทึกเรื่องราวในรัชศกเจินหนิง นางเคยสร้างกรอบของการบันทึกเอาไว้ ทว่าในเวลาสั้นๆ เพียงสองปีในกรอบของงานกลับมีช่องโหว่ปรากฏขึ้นมากมาย ถูกผู้อยู่เบื้องบนในตอนนั้นลบทิ้งอย่างฉับพลันทันที และจุดที่ถูกชนรุ่นหลังแก้ไขก็มีมากมายนับไม่ถ้วน จากมุมมองนี้เห็นได้ชัดว่าเอกสารด้านประวัติศาสตร์ที่ส่งต่อมาถึงยุคปัจจุบัน แม้จะมีคุณค่าอย่างยิ่ง แต่ตัวอักษรที่น่าเชื่อถือกลับมีไม่มากนัก

“เอ่อ…ฮูหยินท่านนี้” หลงจู๊ไปส่งคนกลับมา เห็นหยางหวั่นยืนเหม่อลอยอยู่หน้าฉากบังลม กำลังจะก้าวเข้าไปเรียกนาง แต่กลับถูกเติ้งอิงขวางไว้

“มีคำพูดอะไรก็พูดกับข้า”

“อ้อ…ขอรับ พูดกับนายท่านก็เหมือนกัน ข้าไปหาแม่พิมพ์ที่ฮูหยินพูดถึงเมื่อครู่ ยังอยู่ ข้าจะให้คนไปเอามาให้ฮูหยินดูเดี๋ยวนี้”

“ดี” เติ้งอิงมองไปที่หน้าประตูคราหนึ่ง ถือโอกาสเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เมื่อครู่ข้าคล้ายได้ยินว่าร้านชิงปอก่วนของพวกเจ้าจะพิมพ์ ‘ชีวประวัติห้าผู้มีคุณธรรม’ หรือ”

หลงจู๊ได้ยินเขาถามเช่นนี้ก็มีท่าทีลังเลเล็กน้อย “เรื่องนี้…”

หยางหวั่นที่อยู่ด้านข้างกล่าวต่อคำพูดของเติ้งอิง “ร้านควนฉินถังก็พิมพ์ ‘ชีวประวัติห้าผู้มีคุณธรรม’ แม้พวกท่านจะพิมพ์ต่างฉบับกัน แต่ก็ออกจำหน่ายในเวลาเดียวกัน จะได้กำไรอะไร”

หลงจู๊เห็นนางถามเช่นนี้ก็ไม่กล้าตอบอีก ถอยไปหลายก้าว มองประเมินคนทั้งสองอย่างรอบคอบระมัดระวัง

“พวกท่าน…เป็นใคร…กันแน่”

หยางหวั่นเอามือกอดอก เลิกคิ้วบอกว่า “คนของกองเจิ้นฝู่เหนือ”

“อะ…อะไรนะ” ใบหน้าของหลงจู๊ซีดเผือดทันที

หยางหวั่นไม่ใส่ใจคำพูดเหลวไหลของตนโดยสิ้นเชิง “ท่านไม่เชื่อใช่หรือไม่” นางพูดพลางยกมือชี้ไปที่ด้านนอก “ตอนนี้ท่านสามารถก้าวออกไปได้ ทว่าเมื่อท่านออกจากประตูนี้ไปแล้วก็ต้องเปลี่ยนสถานที่ไต่สวนเท่านั้นเอง”

หลงจู๊ฟังคำพูดของนางจบก็มองไปที่ด้านนอกอย่างเงอะงะ

ตลาดหนังสือในการสอบเคอจวี่ฤดูใบไม้ร่วงของสำนักซุ่นเทียนยามนี้กำลังคึกคักอย่างยิ่ง หยางหวั่นเคาะหน้าฉากบังลม หัวเราะเยาะหยันออกมาแล้วก้าวเท้าเดินออกไปทางด้านนอก

หลงจู๊รีบคุกเข่าลงทันที “ใต้เท้าทั้งสองได้โปรดมอบทางรอดสักทาง เถ้าแก่ของเราลงใต้ไปเยี่ยมญาติยังไม่กลับมา ข้า…ประหวั่นใจยิ่ง”

หยางหวั่นหยุดฝีเท้า เติ้งอิงพูดไปตามสถานการณ์ “พาพวกเราไปพูดคุยข้างใน”

“ขอรับ…ข้าจะพาใต้เท้าทั้งสองท่านเข้าไปเดี๋ยวนี้”

ด้านหลังร้านชิงปอก่วนคือโรงพิมพ์ หลงจู๊พาหยางหวั่นกับเติ้งอิงเข้าไปที่ห้องโถงด้านหลังในโรงพิมพ์ ปิดประตูห้องโถงด้วยตนเอง ไม่กล้ายืนอยู่อีก ได้แต่คุกเข่าลงบนพื้นพลางกล่าวเสียงสั่น

“ใต้เท้าทั้งสองเชิญถามมาได้”

หยางหวั่นถามว่า “เมื่อครู่คนที่ออกไปผู้นั้นคือใคร”

“อ้อ ข้าได้เห็นป้ายงาช้างของเขา เขาเป็นคนในวังขอรับ”

“ตำหนักใดหรือ”

“บอกว่าเป็นตำหนักเฉิงเฉียน”

หยางหวั่นขมวดคิ้ว “ตำหนักเฉิงเฉียนหรือ”

หลงจู๊ตกใจจนหัวไหล่สั่นสะท้าน “ใช่ขอรับ…ขะ…เขาบอกเช่นนี้”

เติ้งอิงถามขึ้น “เขามาปรึกษาเจ้าเรื่องอะไร”

หลงจู๊รีบบอกว่า “ข้าไม่กล้าปิดบัง เขาบอกว่าระยะนี้พระชายาแห่งตำหนักเฉิงเฉียนสุขภาพไม่ค่อยดี พักรักษาตัวอยู่ที่อุทยานกล้วย ตั้งใจจะสร้างคุณงามความดี สั่งสอนกล่อมเกลาสตรีในใต้หล้า ดังนั้นจึงต้องการเขียนคำนิยมใน ‘ชีวประวัติห้าผู้มีคุณธรรม’ ใต้เท้า เมื่อครู่พวกท่านบอกว่าร้านชิงปอก่วนเราจะได้กำไรอะไรไม่ใช่หรือ นี่เป็นคำนิยมที่เขียนโดยพระชายาผู้สูงศักดิ์ในวัง เช่นนี้ร้านควนฉินถังจะเทียบกับฉบับนี้ของร้านชิงปอก่วนเราได้อย่างไร มีคำนิยมของพระชายาย่อมเป็น ‘ชีวประวัติหกผู้มีคุณธรรม’ ของสนมชายาผู้มีคุณธรรมทั้งหกคนแล้ว เรายังต้องกลัวว่าจะขายสู้ร้านควนฉินถังไม่ได้หรือ!”

เติ้งอิงบอก “เอาคำนิยมนั้นออกมา”

หลงจู๊ไม่กล้าเมินเฉยแม้แต่ครู่เดียว รีบไปหยิบคำนิยมนั้นมาให้ทันที

เติ้งอิงรับมาแล้วก็คลี่ออกพลางกล่าวกับหยางหวั่นเสียงต่ำ “ดูลายมือ”

หยางหวั่นกวาดตามองคำนิยมในมือเติ้งอิงรอบหนึ่ง ตัวอักษรประณีตบรรจง แต่ไม่ใช่ลายมือของหนิงเฟย

นางถอนสายตากลับมา เม้มปากพลางกดมือตนเองแล้วถอยเข้าไปในเงามืดก้าวหนึ่ง พยายามใคร่ครวญเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบอยู่ในใจ

หากดูอย่างผิวเผินหยางจิงเพียงเขียน ‘ชีวประวัติห้าผู้มีคุณธรรม’ เพื่อยกย่องคุณธรรมความดีของสนมชายาฝ่ายใน ส่วนหนิงเฟยเขียนคำนิยมในที่คุมขัง แต่เมื่อใดที่ ‘ชีวประวัติห้าผู้มีคุณธรรม’ ฉบับนี้แพร่หลายไปในเมืองหลวง คำวิพากษ์วิจารณ์ที่มีต่อราชสำนักจะเป็นไปในทิศทางใด

หยางหวั่นนึกถึงเรื่องที่ขุนนางใหญ่สกุลหูในแผ่นดินก่อนยื่นหนังสือฎีกาขอให้อดีตฮ่องเต้ดีต่ออดีตฮองเฮาที่ประชวรและถูกเมินเฉยในเวลานั้น นางก็อดเย็นวาบที่แผ่นหลังไม่ได้

แต่ความจริงแล้วเรื่องนี้กับเรื่องอดีตฮองเฮาประชวรพระองค์นั้นไม่เหมือนกัน

แม้อุทยานกล้วยจะได้ชื่อว่าเป็นสถานที่พักรักษาตัวของหนิงเฟย แต่ความจริงแล้วเป็นสถานที่ที่ฮ่องเต้เจินหนิงใช้คุมขังสนมชายาที่ทรงทอดทิ้ง ในเมื่อเป็นที่คุมขัง หนิงเฟยย่อมไม่อาจส่งคำนิยมนี้ออกจากวังได้เด็ดขาด เรื่องนี้คนอื่นอาจไม่รู้ แต่ฮ่องเต้เจินหนิงย่อมกระจ่างแก่ใจ

ดังนั้นในสายตาของฮ่องเต้เจินหนิง นี่คือคำนิยมที่ปลอมแปลงขึ้นมา

ใครกันที่สามารถเขียนคำนิยมเช่นนี้แทนระหว่างที่หนิงเฟยถูกคุมขังอยู่ ทั้งยังตีพิมพ์ร่วมกับ ‘ชีวประวัติห้าผู้มีคุณธรรม’ ได้

คนผู้นี้มีเพียงหยางหลุนเท่านั้น

ความตั้งใจอันชั่วร้ายและการใคร่ครวญอย่างละเอียดรอบคอบของแผนการนี้ ทำให้หยางหวั่นขบคิดเท่าไรก็ไม่เข้าใจ เจี่ยงเสียนเฟยผู้นั้นมีความคิดเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน

หลงจู๊เห็นหยางหวั่นไม่พูดไม่จาก็เริ่มหวาดกลัว รีบคลานเข่าเข้าไปทันที

“ที่ควรพูดข้าก็พูดหมดแล้ว ขอใต้เท้าทั้งสองได้โปรดอย่าพาข้าไปที่กองเจิ้นฝู่เหนือ…เบื้องบนข้ามีบิดามารดา เบื้องล่างมีบุตรที่ต้องดูแล ในครอบครัวสิบกว่าคนล้วนต้องพึ่งพาข้าเลี้ยงดู”

หยางหวั่นผ่อนคลายริมฝีปากแล้วหัวเราะ ยื่นมือไปประคองหลงจู๊ขึ้นมา “หลงจู๊ไม่ต้องร้อนใจ นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน สนมชายาในตำหนักฝ่ายในมีจิตใจเปี่ยมคุณธรรมเช่นนี้นับเป็นเรื่องดี ท่านไปหาแม่พิมพ์ที่พูดกันเมื่อครู่ออกมาให้พวกเราดู จากนั้นก็ทำการค้าต่อไปอย่างสบายใจเถิด”

หลงจู๊ยังไม่คลายจากความตื่นตระหนก ได้ยินคำพูดประโยคนี้ก็รู้สึกราวกับว่าได้รับการอภัยโทษ จึงตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา รีบไปหาแม่พิมพ์มาให้หยางหวั่น

หยางหวั่นประคองเติ้งอิงเดินออกจากร้านชิงปอก่วน บาดแผลบนข้อเท้าเติ้งอิงยามนี้ทำให้เขายืนหยัดไม่ไหวแล้ว

ขณะที่หยางหวั่นประคองเติ้งอิงขึ้นรถม้า เขาเจ็บจนใบหน้าซีดขาวแล้ว

หยางหวั่นใช้แขนเสื้อของตนเช็ดเหงื่อให้เติ้งอิง “ขออภัย ข้าเอาแต่คิดจะทำความเข้าใจเรื่องนั้นให้กระจ่าง ไม่คิดว่าท่านจะเจ็บมากเพียงนี้”

เติ้งอิงส่ายหน้าพลางบอกว่า “หวั่นหวั่น เจ้าขวัญกล้ายิ่งนัก”

“อะไรหรือ”

เติ้งอิงยิ้มๆ “สวมรอยเป็นองครักษ์เสื้อแพร เรื่องเช่นนี้ก็ช่างกล้าทำ”

หยางหวั่นก็ก้มหน้ายิ้มแล้วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “เติ้งอิง ข้าพอจะเข้าใจแล้ว”

เติ้งอิงพยักหน้า “ข้าก็เช่นกัน”

หยางหวั่นบอกว่า “แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ยังอยากจะถามท่าน”

“เจ้าถามมาเถิด”

“เพราะเหตุใดน้องชายข้าถึงเขียน ‘ชีวประวัติห้าผู้มีคุณธรรม’ ในเวลานี้”

เติ้งอิงก้มหน้านิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบหยางหวั่น “เขาเป็นสหายร่วมเรียนขององค์ชาย เรื่องพัวพันถึงตำหนักเหวินหวา ข้าจำเป็นต้องเริ่มตรวจสอบจากรองราชเลขาธิการจาง”

หยางหวั่นเอ่ยขึ้น “จางฉงหรือ”

เติ้งอิงไม่ได้ปฏิเสธ “จางฉงเป็นอาจารย์ขององค์ชายน้อย จื่อซีเป็นท่านลุงขององค์ชายน้อย ความเห็นทางการเมืองของคนทั้งสองแตกต่างกัน วันข้างหน้าองค์ชายจำเป็นต้องเลือกคนใดคนหนึ่ง”

คำพูดนี้ช่วยเตือนสติหยางหวั่นไม่น้อย

“ถ้าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับรองราชเลขาธิการจาง เช่นนั้นข้าก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดแผนการของเจี่ยงเสียนเฟยถึงก้าวหน้าเช่นนี้”

“หมายความว่าอย่างไร”

“จางฉงกับเจี่ยงเสียนเฟยสมคบคิดกันวางแผนใส่ความพี่หญิง แต่ความจริงแล้วจางฉงใช้ประโยชน์จากเจี่ยงเสียนเฟยใส่ความหยางหลุน”

“น่าจะไม่ใช่เพียงแค่นั้น” เติ้งอิงเงยหน้าขึ้นหันไปมองร้านชิงปอก่วนคราหนึ่ง “นี่ก็เป็นความผิดของเจี่ยงเสียนเฟยด้วย ถ้าจื่อซีถูกฝ่าบาทเนรเทศ เขาก็สามารถกล่าวหาและเปิดโปงเจี่ยงเสียนเฟย ช่วยองค์ชายน้อยกำจัดองค์ชายรองอุปสรรคนี้ไปได้”

หยางหวั่นหลุบตาบอกว่า “ข้าคิดจะใช้ประโยชน์จากจางลั่ว”

“หวั่นหวั่น…”

“ข้ารู้ว่าอันตราย” หยางหวั่นตัดบทเขา “แต่เมื่อครู่ตอนอยู่ในร้านชิงปอก่วนข้าคิดไว้เรียบร้อยแล้ว” นางพูดแล้วก็เงยหน้าขึ้น “เติ้งอิง ท่านเพียงต้องให้คนจับตาดูผางหลิงไว้ ปกป้องเขาเมื่อจำเป็น อย่าปล่อยให้เขาถูกสังหารปิดปากเด็ดขาด นอกจากนี้อย่าให้สำนักบูรพาเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”

“เจ้าจะทำอะไร”

หยางหวั่นบอกว่า “พยายามโต้กลับ ข้าไม่ต้องการให้บุตรของพี่หญิงอยู่ในมือของจางฉงตลอดไป”

นางกล่าวคำพูดประโยคนี้จบร่างก็สั่นสะท้านขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ

หยางหวั่นไม่อาจบอกเติ้งอิงได้ว่านางต้องการหาทางรอดให้คนตรงหน้าผู้นี้ผ่านทางองค์ชายอี้หลาง ปราการจิตใจของเด็กคนนั้นถูกจางฉงปั้นแต่งขึ้นมาได้สมบูรณ์ยิ่ง นางจึงยังไม่รู้ว่าจะเปิดช่องทางจากจุดใดดี

ครั้งนี้นับเป็นโอกาสหนึ่ง หยางหวั่นยังคงไม่มีความมั่นใจ กระทั่งอาจทำให้จางลั่วเดือดดาลอย่างถึงที่สุด แม้แต่ตนเองก็อาจต้องเดือดร้อนไปด้วย แต่นางก็อยากลองดู

“ข้าจะช่วยเจ้าได้อย่างไร”

คำถามนี้ของเติ้งอิงทำให้หยางหวั่นประหลาดใจ นางรีบบอกว่า “ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่จะพูดคุยกัน อาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าของท่านกำเริบรุนแรง พวกเรากลับไปค่อยคุยกันอย่างละเอียดเถิด”

บทที่ 10.4 สายลมเย็นที่เฮาหลี่

ปลายฤดูใบไม้ร่วงอากาศเปลี่ยนแปลงเร็วยิ่ง ตอนหยางหวั่นกับเติ้งอิงเดินเข้าประตูเสวียนอู่ลมก็พัดกระโชกเมฆลอยต่ำ ดูท่าฝนใกล้จะตกแล้ว

หลี่อวี๋หอบผ้าที่จะซักนั่งยองๆ อยู่ที่หน้าประตูเรือนพักของเติ้งอิง ดูเหมือนจะรออยู่นานแล้ว ใบหน้าถูกลมพัดจนซีดขาว พอเห็นเติ้งอิงกับหยางหวั่นเดินมาด้วยกันก็มองค้อนทันที

“ผู้บัญชาการเติ้ง ไม่ใช่พูดกันแล้วหรือว่าวันนี้จะไปหน่วยโรงอาบด้วยกัน ข้านั่งอยู่หน้าประตูห้องพักของท่านถึงตอนนี้…แต่ปรากฏว่า…” เขามองหยางหวั่นคราหนึ่ง “ต่อไปคำพูดของพวกท่านทั้งสองคนข้าจะไม่เชื่อแล้ว”

หยางหวั่นยิ้มพลางบอกว่า “เจ้าไม่เชื่อเขายังพอเข้าใจได้ แต่ไม่เชื่อข้าหมายความว่าอย่างไร”

หลี่อวี๋ยืนขึ้นทันที “พี่สาวข้าบอกว่าวันนี้ท่านย้ายออกจากเรือนอู่ นางไปรอท่านที่ตำหนักเฉิงเฉียนแต่ไม่เห็นท่านกลับไปเสียที บ่าวรับใช้ในตำหนักเฉิงเฉียนเวลานี้คนไม่พอ เจ้าหน้าที่สำนักบูรพาเหล่านั้นก็เป็นคนหยาบกระด้าง วางข้าวของระเกะระกะวุ่นวายไปหมด พี่สาวข้าเห็นแล้วทนไม่ไหว จึงออกเวรแล้วไปตำหนักเฉิงเฉียนอีกคราช่วยดูแลให้ท่าน นางให้ข้าบอกท่านว่าห้องท่านที่ตำหนักเฉิงเฉียนวันนี้อยู่ไม่ได้แล้ว!”

“อ้อ” หยางหวั่นยิ้มพลางขานรับ

หลี่อวี๋โพล่งออกมาโดยพลัน “ท่าน ‘อ้อ’ อะไร ท่านกลับเรือนอู่ไม่ได้ ข้าจะดูว่าคืนนี้ท่านจะนอนที่ใด”

เมื่อครู่เขาหงุดหงิดกับการรอคอยมาก จึงระบายอารมณ์ใส่หยางหวั่น ตอนนี้ระบายเสร็จดีแล้วจึงหันไปพูดกับเติ้งอิง

“ไปกันเถิด”

“ได้ ข้าจะไปหยิบเสื้อผ้า”

เติ้งอิงพูดจบก็ข่มกลั้นความเจ็บปวดเดินเข้าไปข้างใน ทว่าบาดแผลที่ข้อเท้าเจ็บมากเกินไป เขาเพิ่งเดินได้ก้าวเดียวก็จำต้องหยุดแล้วเกาะขอบประตูไว้

หลี่อวี๋มองออกว่าเติ้งอิงเดินเหินผิดปกติ จึงรีบเดินตามไปถึงหน้าประตูพลางถามหยางหวั่น “อาการเจ็บข้อเท้าของเขากำเริบอีกแล้วหรือ”

หยางหวั่นเข้าไปช่วยประคองแขนเติ้งอิงพลางตอบรับหลี่อวี๋แล้วกล่าวกับเติ้งอิงว่า “วันนี้อย่าไปเลยดีหรือไม่”

เติ้งอิงสั่นศีรษะ “ไม่เป็นไร”

หลี่อวี๋บอกว่า “ท่านอย่าห้ามเขา เขาสอนพวกเราว่าเป็นคนต้องรักษาความสะอาด ข้ารู้ว่าแต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยพลาดวันอาบน้ำ ถึงได้นั่งรออยู่หน้าประตูมาโดยตลอด” เขาพูดจบก็หอบเสื้อผ้านั่งยองๆ ลงไป เบ้ปากบอกอีกว่า “ผู้บัญชาการเติ้ง ท่านเร็วหน่อยเถิด”

เติ้งอิงยังรับคำว่า “ได้”

หยางหวั่นประคองเติ้งอิงเดินเข้าไปในห้องพัก

เติ้งอิงปล่อยมือหยางหวั่น “เจ้านั่งเถิด ประเดี๋ยวข้าจะให้เจ้าหน้าที่สำนักบูรพาส่งเจ้ากลับไป”

“คำพูดก่อนหน้านี้ของข้ายังพูดไม่จบ”

เติ้งอิงเปิดตู้ไม้ “เช่นนั้นเจ้ารอข้ากลับมาก่อนก็แล้วกัน”

หยางหวั่นมองเติ้งอิงหยิบเสื้อตัวกลางที่ทำจากผ้าแพรสีขาวออกมาจากตู้ไม้ จู่ๆ ก็เอ่ยเสียงเบา “ตำหนักเฉิงเฉียนวันนี้อยู่ไม่ได้ ท่านจะให้ข้านอนกับท่านสักคืนได้หรือไม่”

“ได้…” ตอนเขาเอ่ยคำนี้ หัวไหล่สั่นไหวเล็กน้อยอย่างไม่เป็นที่สังเกต

หยางหวั่นมองเงาด้านหลังของเติ้งอิงที่อยู่ระหว่างตู้ไม้โบราณเรียบง่ายสะอาดสะอ้าน

ในตู้มีเสื้อผ้าชุดชั้นในของเขา เสื้อตัวกลางที่ซักและลงแป้งบางๆ หลายตัวพับซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ด้วยกัน แทบทั้งหมดทำจากผ้าแพร สาดประกายเยียบเย็นแต่ไม่นับว่าแห้งแล้งเกินไปคล้ายผิวพรรณของเขา

ก่อนหน้านี้เติ้งอิงบอกว่าเขาอยากซื้อเรือนที่นอกวังหลังหนึ่ง หยางหวั่นเองก็รู้สึกว่าดีมาก

แต่เทียบกับเรือนที่นอกวังแล้ว เรือนพักข้างคูน้ำป้องกันวังแห่งนี้ต่างหากจึงจะเป็นสถานที่ที่ทำให้หยางหวั่นสบายใจที่สุด

สถานที่นี้เหมือนกับเติ้งอิงผู้นี้ สะอาดสะอ้านไร้มลทิน ยามไร้ผู้คนแม้จะหันหลังให้แสงจากท้องฟ้า บนพื้นเต็มไปด้วยเงาสิ่งของ แต่กลับไม่ทำให้คนรู้สึกมืดมนแม้แต่น้อย

เมื่อเขาพำนักอยู่ที่นี่ จิตวิญญาณของหยางหวั่นก็สามารถพักอาศัยอยู่ในโลกเมื่อหกร้อยปีก่อนแห่งนี้ได้

แม้ผู้คนและสิ่งของนอกพื้นที่แห่งนี้จะขัดต่อสามทัศนะในช่วงเกือบสามสิบปีก่อนหน้าของนาง แต่ขอเพียงเติ้งอิงยังสามารถหยิบเสื้อที่ไม่มีคราบโลหิตออกจากตู้ ยังสามารถจุดตะเกียงในคืนฤดูใบไม้ร่วง ยังสามารถนั่งกินบะหมี่หยางชุนกับนางได้ นางก็ไม่นับว่าเป็นฝุ่นในปรัชญาอัตถิภาวนิยม ที่ถูดพัดพามาโดยบังเอิญเม็ดนั้น

“แล้ว…ข้าใส่เสื้อตัวในของท่านได้หรือไม่”

จู่ๆ นางก็เอ่ยปากร้องขอเช่นนี้

เติ้งอิงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง

“ใส่ได้หรือไม่” นางถามอีกครั้ง

“ได้…” เขากล่าวคำนี้จบก็รีบนั่งยองๆ หยิบเสื้อตัวในที่ทำจากผ้าแพรอีกตัวหนึ่งออกมาจากในหีบแล้ววางไว้ข้างมือหยางหวั่น

หลี่อวี๋ที่อยู่นอกประตูส่งเสียงเร่งอีก เติ้งอิงไม่กล้ามองหยางหวั่น หอบเสื้อผ้าของตนขึ้นมาแล้วผลักประตูเดินออกไป

หยางหวั่นก้มหน้าสะบัดเสื้อตัวในที่เติ้งอิงทิ้งไว้ให้นาง เสื้อตัวบนมีเชือกผูกเอวด้านข้างและกางเกง ล้วนใหญ่และหลวม

นางก้มลงถอดรองเท้าของตน ขดตัวนั่งกอดเข่าอยู่มุมเตียง

ในห้องเงียบเหงาอย่างยิ่ง ตรงร่องผนังมีความหนาวเย็นบางเบาลอดเข้ามา

หยางหวั่นแทบจะสัมผัสได้ถึงไอหนาวจากคูน้ำป้องกันวังแทรกซึมเข้ามาจากสี่ทิศแปดทาง

นางกลั้นไม่อยู่ไอออกมาสองที ใช้มือเอื้อมไปยังแผ่นหลังของตนแล้วค่อยๆ ปลดแถบผูกเสื้อชั้นในตัวเล็กออก

นี่เป็นครั้งแรกที่นางถอดเสื้อผ้าปกปิดร่างกายในที่พำนักของเติ้งอิง ตอนยกแขนออกมาจากแขนเสื้อ ลมฤดูใบไม้ร่วงที่หนาวเย็นก็พัดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา ทำให้ขนอ่อนบนผิวกายลุกชัน นางถอดเสื้อชั้นในตัวเล็กต่อ จากนั้นก็งอขาทั้งสองข้าง ปลดกระโปรงผ้าแพรและดึงขาออกจากกางเกงลายปัก

บั้นท้ายแนบอยู่บนที่นอนของเติ้งอิง ที่นอนปูด้วยผ้าฝ้าย ตอนสัมผัสถูกผิวกายทำให้รู้สึกเย็นเล็กน้อย

แต่หยางหวั่นรู้สึกสบายยิ่ง คล้ายช่วงสุดสัปดาห์ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จแล้วซุกเข้าไปในผ้าห่มนอนเปลือยกายอย่างไรอย่างนั้น

ลมพัดม่านขยับ มีเสียงฝนตกพรำๆ ดังมาจากข้างหน้าต่าง

หยางหวั่นนั่งรับลม สองมือกอดอก นางไม่ได้รีบร้อนสวมเสื้อตัวในของเติ้งอิงและไม่ได้เข้าไปอยู่ในผ้าห่มของเติ้งอิง เพียงนั่งอยู่เงียบๆ อาศัยแสงเทียนในตะเกียงมองร่างกายตนเอง

นี่เป็นร่างที่เดิมทีเสียชีวิตไปในฤดูหนาวของรัชศกเจินหนิงปีที่สิบสอง เคยเยาว์วัย ขาวผุดผ่อง เกลี้ยงเกลาไร้จุดด่างพร้อยดุจหยก ทว่ายามนี้กลับมีรอยแผลเป็นจากทัณฑ์ทรมานสีน้ำตาลอ่อนหลายแนวอยู่ที่เอว หน้าท้อง และต้นขา รอยแผลเป็นเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งเดียวบนร่างกายนี้ที่เป็นของหยางหวั่น

หยางหวั่นเอื้อมมือไปลูบไล้รอยแผลเป็นบนขา แม้จะผ่านไปนานแล้ว แต่ยามแตะต้องความรู้สึกเจ็บก็ยังคงอยู่

ตายแล้วทุกอย่างก็จบสิ้น มีชีวิตอยู่ทั่วร่างเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นราวกับเกล็ดปลา น่าอัปยศอดสูยิ่ง

สตรีในราชสำนักต้าหมิงยอมรับร่างกายของตนเองได้อย่างไรกัน

ในยุคสมัยที่จิตสำนึกที่มีต่อร่างกายของสตรียังไม่ตื่นตัว การประเมินความงามของสังคมยุคศักดินาจะยอมรับ รอยแผลเป็นจากความผิด ที่หลงเหลือจากคุกหลวงเหล่านี้หรือไม่

นี่จะเหมือนกับบาดแผลบนร่างกายของเติ้งอิงหรือไม่

นางพลันนึกถึงเนื้อความที่ฟูโกต์ เขียนใน ‘กฎระเบียบและการลงโทษ’ ขึ้นมาว่า ‘ในสายตาของผู้คน การลงโทษที่โหดร้ายนั้นป่าเถื่อนพอๆ กัน หรือกระทั่งมากกว่าตัวผู้กระทำความผิดเองด้วยซ้ำ มันทำให้ผู้ที่เห็นเคยชินกับการกระทำที่รุนแรงซึ่งเดิมทีต้องการให้พวกเขาสะอิดสะเอียน มันมักแสดงให้พวกเขาเห็นถึงการทำผิดกฎหมาย ทำให้เพชฌฆาตเปลี่ยนไปเป็นผู้กระทำความผิด ทำให้ผู้พิพากษาเปลี่ยนไปเป็นฆาตกร ครั้นแล้วในนาทีสุดท้ายก็สับเปลี่ยนบทบาทกันไปหมด ทำให้ผู้กระทำความผิดที่ถูกลงโทษกลายเป็นคนที่น่าเวทนาสงสารหรือน่ายกย่องสรรเสริญ’

จิตใจของมนุษย์เช่นนี้ในสมัยราชวงศ์หมิงก็มีอยู่

บนลานประหารชีวิตที่ศิษย์อาจารย์ของสำนักศึกษาถงจยาต้องจบชีวิตอย่างอนาถมีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนแสดงความเวทนาสงสารและยกย่องสรรเสริญปัญญาชนเหล่านี้

ทว่าความเวทนาสงสารเช่นนี้ไม่มีให้กับขันทีและสตรี

ด้วยเหตุนี้หยางหวั่นจึงคิดที่จะตอบโต้ยุคสมัยนี้

แต่ความจริงแล้วก็พูดไม่ได้ว่าตอบโต้ นางเป็นเพียงคนในยุคสมัยปัจจุบันคนหนึ่งที่ต้องการเปิดช่องทางอย่างถ่อมตนเพื่อให้ประวัติในช่วงที่น่าสังเวชใจของคนคนหนึ่งสิ้นสุดอยู่ในสมุดบันทึกของนางด้วยดี ตอนจบไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์มากนัก ขอเพียงเติ้งอิงยังสามารถเป็นเช่นเมื่อครู่ หยิบเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนในห้องเล็กๆ แล้วไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าตามช่วงเวลาที่กำหนด จากนั้นก็กลับมาดื่มน้ำอุ่นสักถ้วยหนึ่ง อังข้อเท้าให้อบอุ่นแล้วเข้านอนโดยไม่ต้องกังวลเรื่องของวันพรุ่งนี้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

แต่หยางหวั่นไม่รู้ว่าเพื่อตอนจบเช่นนี้ ตัวนางเองต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยอะไรบ้าง

ถ้าบอกว่านางเป็นผู้รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า เช่นนั้นก่อนจะเปลี่ยนแปลงตอนจบ สิ่งที่นางต้องทำเป็นอันดับแรกก็คือกำจัดความเป็นผู้รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าของตนเอง

นางหวาดกลัว ดังนั้นนางจึงต้องการห้องพักห้องหนึ่งที่ให้ความรู้สึกปกปิดอย่างนุ่มนวลดุจผ้าแพรต่วนที่ห่อหุ้มร่างกาย

แสงสว่างบนท้องฟ้าใกล้จะลาลับ วาดเงาร่างจางๆ ของนางไว้ที่พื้น

หยางหวั่นยื่นมือไปคลำหาเสื้อผ้าของเติ้งอิง สวมเสื้อตัวบนเรียบร้อยแล้วก็สอดกางเกงเข้ามาที่ขาทั้งสองข้าง

ผ้าแพรที่นุ่มลื่นเสียดสีผ่านบั้นท้ายของนาง สุดท้ายก็บดบังรอยแผลเป็นที่เอวและหน้าท้องไว้

หยางหวั่นผูกสายผูกทุกจุด กอดหัวไหล่แล้วค่อยๆ ขดตัวเข้าไปในผ้าห่ม

เสื้อผ้าของเติ้งอิงแนบติดกับผิวหนังของนาง เนิ่นนานก็ยังไม่อบอุ่น

นอกหน้าต่างมีเสียงฝนตกพรำๆ แสงยามสายัณห์ค่อยๆ โรยตัวลงมา เงาของใบไม้จำนวนนับไม่ถ้วนไหวเอนไปมาบนหน้าต่าง

เสียงฤดูใบไม้ร่วงหลายเสียงสอดแทรกเข้ามาในห้วงฝันอันสั้น

หยางหวั่นหลับตาลง ไม่รู้อย่างไรจู่ๆ ก็นึกประโยคถัดไปออก เม็ดฝนหยดต้องใบกล้วยใต้ชายคา…

 

ตอนเติ้งอิงกลับมาจากหน่วยโรงอาบ ตะเกียงในห้องพักยังคงสว่างอยู่

หลี่อวี๋เปิดประตูห้องของตน เห็นเติ้งอิงถือร่มยืนอยู่หน้าประตูเป็นนานไม่เข้าไป จึงขยับเข้ามาถาม “นางยังไม่ไปหรือ”

เติ้งอิงพยักหน้า

หลี่อวี๋สูดจมูกทีหนึ่ง “นางกับพี่สาวข้าไม่เหมือนกันจริงๆ”

เติ้งอิงไม่อยากกล่าวต่อคำพูดประโยคนี้ แต่ตอนมือสัมผัสถูกกลอนประตูก็ถามขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ไม่เหมือนกันอย่างไรหรือ”

หลี่อวี๋บอกว่า “แม้พี่สาวข้าจะเป็นคนนั่งกินข้าวเป็นเพื่อนกับหัวหน้าเฉิน แต่นางไม่เคยเข้าไปในห้องของเขา และไม่ให้เขาเข้าห้องของนางกับหยางหวั่น พี่สาวเคยพูดกับข้าว่าคนเราต้องคิดหาหนทางใช้ชีวิตต่อไป แต่จุดใดที่ปล่อยผ่านไปไม่ได้ก็ไม่อาจหลับตาข้ามไป”

สามารถกล่าวคำพูดนี้กับน้องชายแท้ๆ ที่เป็นบ่าวรับใช้ฝ่ายในได้ ความแกร่งกร้าวและหยิ่งในศักดิ์ศรีของซ่งอวิ๋นชิงก็แฝงไปด้วยความเด็ดขาดไม่น้อย

“แต่นางดียิ่งนัก” หลี่อวี๋พยักพเยิดปลายคางไปทางแสงไฟที่หน้าต่างแล้วพูดอย่างจริงใจ “บางครั้งนางเหมือนยังดีกว่าพี่สาวข้า ดูเหมือนนาง…จะไม่ได้มองพวกเราเป็นทาส แต่ก็เหมือนที่พี่สาวข้าพูด นางไม่ควรทำเช่นนี้ พวกเราเป็นใครกัน ใช่หรือไม่”

พูดจบหลี่อวี๋ก็ผลักประตูห้องเดินเข้าห้องไป เสียงกลอนประตูที่ดังขึ้นแทบจะกระแทกเข้าที่แผ่นหลังของเติ้งอิง

‘พวกเราเป็นใครกัน ใช่หรือไม่’ คำพูดประโยคนี้ในตอนนี้ไม่ใช่การสบประมาทเหยียดหยาม และไม่ใช่การเยาะหยันตนเอง แต่เป็นการไถ่ถอนชดใช้

เขาเป็นใครกันเล่า เขาสามารถทำอะไรให้หยางหวั่นได้บ้าง

หยางหวั่นเคยถามเขาซึ่งๆ หน้าว่าเขาให้ตนเองใช้ชีวิตอย่างคนที่มีความผิดเช่นนี้ ในใจเขารู้สึกดีขึ้นหรือไม่

ตอนนั้นเขาตอบว่าใช่

และในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้น

รักคนคนหนึ่งก็เหมือนการกักขังตนเอง ทว่านับแต่นี้ไปกายใจล้วนมีที่พึ่งพิง เพราะถึงอย่างไร…นางก็ช่างแสนดีเหลือเกิน

เติ้งอิงคิดพลางค่อยๆ ผลักประตูห้อง

หยางหวั่นนอนนิ่งเงียบอยู่บนเตียงของเขา มวยผมคลายออกแล้ว เส้นผมยาวดุจผ้าต่วนสีดำแผ่สยายอยู่ที่หัวไหล่

นางนอนหันหน้าออกมา มือข้างหนึ่งวางทับผ้าห่มอยู่ด้านนอก มองออกว่าได้เปลี่ยนมาสวมเสื้อตัวในของเขาแล้ว

เติ้งอิงเดินเข้าไปเบาๆ ยกชายเสื้อคลุมนั่งลงที่ขอบเตียง ถอดรองเท้าของตนออกแล้วก้มลงหยิบรองเท้าปักของหยางหวั่นวางให้เรียบร้อยที่ข้างเตียง จากนั้นเขาก็ลังเลอยู่

เพียงนอนอยู่ข้างกายนาง ไม่สัมผัสแตะต้องนาง คงไม่นับว่าล่วงเกินกระมัง เขาคิด ในที่สุดก็เอนกายลงนอนตะแคงติดขอบเตียงหันหลังให้หยางหวั่น แม้คนทั้งสองไม่อาจใกล้ชิดกันจนเกินไป และถึงจะนอนโดยมีผ้าห่มคั่นอยู่ แต่ไอร้อนที่ร่างนางยังคงรมแผ่นหลังของเติ้งอิงราวกับถ่านร้อนปานนั้น

“เติ้งอิง” คนที่อยู่ด้านหลังเรียกเขาเบาๆ

“ข้าอยู่”

“ขยับเข้ามาเถิด”

ประโยคนี้ฟังดูแล้วทำให้เติ้งอิงสั่นสะท้านไปทั้งร่าง

“หวั่นหวั่น เจ้าให้ข้านอนเช่นนี้เถิด”

หยางหวั่นระบายลมหายใจออกมาทีหนึ่ง ลมหายใจบางเบานั่นพุ่งมาถูกแผ่นหลังของเติ้งอิง

“ท่านเคยบอกข้าว่าท่านเป็นคนที่มีความผิดคนหนึ่งไม่ใช่หรือ”

อุณหภูมิที่แฝงอยู่ในคำพูดนี้ไม่ต่างอะไรกับลมหายใจของนาง

แท้จริงแล้วไม่มีใครในโลกนี้ที่สามารถค้นหามูลเหตุของ ‘ความโศกเศร้าอาดูร’ ของเขาได้อย่างแม่นยำ

แต่หยางหวั่นสามารถค้นหาพบ อีกทั้งนางไม่เคยคิดที่จะไปทำร้าย ‘ความโศกเศร้าอาดูร’ ของเขา เพียงประคองออกมายังเบื้องหน้านางกับเขาอย่างอ่อนโยน หยางหวั่นให้เขาแสดงออกมา จากนั้นนางก็คอยแบกรับ คอยสลาย และคอยปลอบประโลมความเจ็บปวดในอารมณ์ความรู้สึกของเขาทั้งหมด

“ข้าเป็นเช่นนั้นมาโดยตลอด”

“ใช่แล้ว” หยางหวั่นเสริมคำพูดของเขาแล้วยกมือเลิกผ้าห่ม “ดังนั้นเติ้งอิง ขยับเข้ามาเถิด ท่านไม่ต้องกลัว นี่ไม่ใช่คนอื่น เป็นข้าเอง”

ในโพรงจมูกเติ้งอิงมีความแสบร้อนพุ่งขึ้นมา

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ากลัว”

“มือของท่าน…บิดเส้นผมข้าจนจะขาดแล้ว”

คราวนี้เติ้งอิงจึงได้พบว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ตนกำเส้นผมของหยางหวั่นไว้ จึงรีบปล่อยมือทันที

หยางหวั่นยันกายท่อนบนขึ้นมา รวบเส้นผมทั้งศีรษะไปไว้ที่ด้านหลัง เงาจางๆ ทาบทับอยู่บนผนัง ปรากฏเป็นภาพที่พร่าเลือนแต่งดงามลึกซึ้งเบื้องหน้าเติ้งอิง

“เติ้งอิง ท่านเชื่อฟังข้าเถิด” ตอนนางกล่าวประโยคนี้บนใบหน้าคล้ายมีรอยยิ้ม “เชื่อฟังคำพูดของข้าตลอดไป ยามท่านอยู่ต่อหน้าข้าก็จะไม่ทุกข์ทรมานมากเพียงนั้นแล้ว”

คนที่มีความผิดสมควรต้องเชื่อฟังผู้อื่น

นางรู้เสมอว่าจะเกลี้ยกล่อมเขาอย่างไร

เติ้งอิงเม้มปาก จับมุมหนึ่งของผ้าห่มมาคลุมหัวไหล่ของตนไว้

หยางหวั่นใช้ข้อศอกยันพื้นเตียงยกตัวขึ้นอีก ดึงผ้าห่มที่ด้านหลังตนคลุมไปบนร่างเติ้งอิง จากนั้นก็ดึงมุมผ้าห่มช่วยเหน็บให้เขาเบาๆ

เมื่อเป็นเช่นนี้แขนของนางก็โอบข้ามหัวไหล่เติ้งอิงไป ทั้งสองอยู่ใกล้ชิดกันมาก ใต้รักแร้ของนางอยู่ตรงหน้าผากของเติ้งอิง แม้เติ้งอิงจะมองไม่เห็น แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิจากร่างกายอีกร่างหนึ่งซึ่งอบอุ่นและซื่อสัตย์ยิ่งกว่าเขา

“เช่นนี้ไม่หนาวกระมัง”

“ข้าไม่หนาว…”

“ไม่หนาวก็ดีแล้ว” หยางหวั่นเอาข้อศอกลงแล้วเอนกายลงนอน นางนอนตะแคงหันไปทางเติ้งอิงพลางกล่าวเสียงเบา “การเป็นสามีภรรยาในวันนี้เราเสแสร้งครบถ้วนแล้ว”

นางเอ่ยความคิดเพ้อฝันที่อยู่ในใจเติ้งอิงออกมา แต่เขากลับจำต้องหันไปปฏิเสธนาง

“หวั่นหวั่น อย่าพูดเช่นนี้ พวกเราไม่ใช่สามีภรรยากัน”

“เชื่อฟังข้า”

นางพูดพลางยื่นมือไปลูบหน้าผากของเติ้งอิง ลูบจากด้านบนสุดมาถึงกระดูกคิ้ว

เติ้งอิงสั่นสะท้านไปทั้งร่างอย่างควบคุมไม่อยู่ แต่มือของหยางหวั่นกลับไม่หยุด นางปรับเสียงให้ราบเรียบพูดที่ข้างหูของเขา

“อย่ากลัวไปเลย ท่านเพียงคิดว่าคนที่ลูบไล้ท่านคือข้าก็พอ” นางพูดพลางหัวเราะเบาๆ “ความจริงแล้วข้าเองก็กลัว”

เติ้งอิงกล่าวเสียงสั่นพร่า “หวั่นหวั่นกลัวอะไรหรือ”

“กลัวพ่ายแพ้” นางพูดจบก็กล่าวเสริม “กลัวว่าหลังจากพ่ายแพ้แล้วก็จะไม่ได้ลูบไล้ท่านอีก”

ความไม่สบายใจของนาง เติ้งอิงฟังดูแล้วรู้สึกเหมือนลูกปัดหยกเม็ดหนึ่งที่กำลังจะแตก ถ้าเขามีกำลังเก็บรักษาจะต้องซื้อตลับมาเก็บไว้ แต่เวลานี้เขาไม่มีกำลังมากพอ ได้แต่พูดจากใจจริง พยายามปลอบโยนหยางหวั่นเช่นเดียวกับที่นางปลอบโยนตน

“หวั่นหวั่น”

“ข้าอยู่นี่”

“อยู่กับเจ้าข้ารู้สึกว่าตนเองมีความผิด แต่เจ้าไม่เคยลงโทษข้ามาก่อน ดังนั้นหวั่นหวั่น ขอเพียงข้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าก็สามารถทำอะไรกับข้าได้ทุกอย่าง แต่เจ้าได้โปรดอย่าเรียกร้องความเป็นธรรมให้ข้าและไม่ต้องคิดอะไรเพื่อข้า”

เขาพูดพลางขยับตัวให้ต่ำลงเล็กน้อย วางศีรษะตนไว้ตรงปลายคางของหยางหวั่น

“ข้าไม่มีครอบครัวแล้วก็ไม่กล้ามีครอบครัว หวั่นหวั่น เจ้าสามารถพาข้าไปได้ตลอดเวลาและสามารถเรียกข้ากลับไปได้ตลอดเวลา”

เขายังคงเหมือนเมื่อก่อน ปรารถนาจะได้รับการสัมผัสแตะต้อง แต่กลับไม่รักร่างกายของตนเอง

หยางหวั่นฟังคำพูดของเติ้งอิง มือก็ค่อยๆ เลื่อนต่ำลงไปที่เอวของเขา

เสื้อตัวกลางบนร่างเขาก็ทำจากผ้าแพร เพราะซักจนเก่า ตอนฝ่ามือสัมผัสก็รู้สึกได้ถึงความสากของเนื้อผ้า

“ขยับตัวเข้ามาอีกหน่อย” หยางหวั่นกล่าวเสียงเบา

เติ้งอิงแผ่นหลังแข็งทื่อ ไม่กล้าขยับเขยื้อน

นิ้วมือของหยางหวั่นอยู่บนเอวของเขา พยายามออกแรงที่ข้อศอกขยับตัวเข้าไปใกล้เติ้งอิงอีกหลายชุ่น

“ข้าต่างหากที่เป็นคนไม่มีครอบครัว” นางพูดจบก็ค่อยๆ ขดตัวซุกเข้าไปในอ้อมอกของเติ้งอิง

แม้ฝนที่หนาวเหน็บช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงจะไร้ความปรานี แต่เรือนพักหลังเก่าแห่งนี้ยังคงปิดกั้นให้อยู่

ในห้องม่านมุ้งปล่อยลงมา ผ้าห่มบนเตียงหลังม่านมุ้งส่งกลิ่นหอมของเจ่าโต้ว* กำจายออกมาจางๆ

หลังจากหยางหวั่นหลับสนิทก็งอขาทั้งสองขึ้นโดยไม่รู้ตัว หัวเข่าอิงอยู่ใต้ท้องเติ้งอิงเบาๆ ถ้าขยับต่ำลงไปอีกสักนิดก็เป็นจุดที่ทำให้เติ้งอิงยากจะเอ่ยปาก

ตอนเขาถูกลงทัณฑ์เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว ตามกฎระเบียบของราชวงศ์หมิง ยามราชสำนักฝ่ายในตอนบุรุษที่เป็นผู้ใหญ่ เพื่อลดการเสียชีวิตของขันทีจึงสามารถเหลือแก่นกายบางส่วนไว้ได้

ทว่าตอนเติ้งอิงถูกลงทัณฑ์ เขาเป็นนักโทษคนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ราชสำนักฝ่ายในจึงไม่ได้มอบความเมตตานี้ให้แก่เขา

จนถึงวันนี้เติ้งอิงยังคงจำได้ หลังจากบาดแผลหายดีแล้วกรมพิธีการมารับคนไป เขากับขันทีคนอื่นๆ ต้องเข้ารับการตรวจสอบร่างกายก่อนเข้าวังจากกรมพิธีการด้วยกัน

ผู้ตรวจสอบร่างกายแสดงความเห็นต่อบาดแผลของขันทีทุกคนที่อยู่ในที่นั้นอย่างเฉยเมย

‘เขาลงมีดน้อยไปครึ่งชุ่น ท่านมาดูสักคราว่าต่อไปกระดูกอ่อนข้างในจะนูนออกมาหรือไม่’

‘พูดยาก’ พูดจบก็เงยหน้าขึ้นมองสมุดรายชื่อคราหนึ่งแล้วบอกว่า ‘อ้อ เขาอายุไม่น้อยแล้ว คนลงมีดกลัวต้องรับผิดชอบชีวิตคน ลงมีดเช่นนี้ก็มีอยู่บ้าง’

‘จุ๊ๆ…นี่จัดการยากแล้ว’

‘ว่าอย่างไร ยังจะให้เขาไปปาด ‘ตอ’ อีกครั้งหรือ’

คำพูดเหล่านี้พวกเขาพูดให้เติ้งอิงฟัง แต่เขาไม่อยากฟัง ทว่าไม่อาจหลบเลี่ยงได้ ได้แต่พยายามปล่อยความคิดของตนให้ล่องลอยไป

ในตอนนั้นเจิ้งเยวี่ยจยาเป็นคนที่สำนักกิจการฝ่ายในส่งมาจับตาดูกรมพิธีการทำงาน เดิมทีเจิ้งเยวี่ยจยาไม่ได้เข้ามา แต่พอได้ยินข้างในสนทนากันจึงมองเติ้งอิงอยู่ที่หน้าประตูคราหนึ่ง เห็นเติ้งอิงกำมือก้มหน้า จึงส่งเสียงถามขึ้น

‘ข้างในตรวจสอบเสร็จหรือยัง’

‘อ้อ เกือบเสร็จแล้ว แต่คนผู้นี้ยังต้องให้ท่านมาดูหน่อย เราตัดสินใจไม่ได้’ คนผู้นั้นพูดพลางมองสมุดบัญชีในมือคราหนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นเรียกชื่อเติ้งอิงออกมา ‘เติ้งอิง’

‘ขอรับ’

คนผู้นั้นชี้ไปยังจุดที่เจิ้งเยวี่ยจยายืนอยู่ ‘เดินเข้าไปใกล้อีกหน่อย ให้ท่านบรรพชนของสำนักกิจการฝ่ายในตรวจดูคราหนึ่ง’

เติ้งอิงหันกายมองไปที่เจิ้งเยวี่ยจยา เจิ้งเยวี่ยจยากลับไม่ได้มองเติ้งอิง

เขารับสมุดรายชื่อมาพลิกดูสองหน้า ปากก็พูดว่า ‘ครั้งนี้ข้าไม่ดูแล้ว รอปีหน้าค่อยว่ากันเถิด ถ้าไม่ดีค่อยลงมีดอีกครั้ง ถ้าดีก็ไม่มีความจำเป็นต้องให้คนได้รับความทุกข์ทรมานเสียตั้งแต่ตอนนี้’

เติ้งอิงยืนสองมือแนบลำตัวอยู่เบื้องหน้าเจิ้งเยวี่ยจยา ผิวกายทั่วร่างเปิดโล่งอยู่ในความหนาวเย็นบางเบาของยามต้นฤดูใบไม้ผลิ

เจิ้งเยวี่ยจยาปิดสมุดรายชื่อ ตบมือแล้วกล่าวกับทุกคนที่เข้ารับการตรวจสอบร่างกายในห้องโถงว่า ‘พวกเจ้าสวมเสื้อผ้าเถิด’ พอพูดจบก็หันกายเดินออกไป

เติ้งอิงสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย เดินออกจากห้องโถงด้านหลังของกรมพิธีการไปพร้อมกับผู้เข้ารับการตรวจสอบร่างกายคนอื่นๆ

ผู้คนพูดคุยกันเบาๆ ถึงวิธีพักฟื้นหลังถูกลงมีด…ทั้งกินอาหารรสเผ็ดให้น้อยลง หมั่นทำความสะอาด ฝึกฝนบ่มเพาะตนเอง อย่าคิดเพ้อฝันว่ายังจะสามารถอยู่ร่วมกับสตรีได้อีก วันหน้าเมื่อมีเงินแล้วค่อยซื้อคนมาคอยดูแลปรนนิบัติเรื่องการกินการอยู่ เพียงเท่านี้ก็สามารถมีชีวิตที่ดีได้เช่นกัน

ทุกคนต่างเข้าใจเหตุผล แต่ความต้องการด้านอินหยางกลับไม่มี ‘เหตุผล’

ความต้องการเช่นนี้ไม่ได้คงอยู่เพื่อ ‘สร้าง’ แต่มีไว้เพื่อ ‘ทำลาย’

ยามนี้หัวเข่าทั้งสองข้างของหยางหวั่นยันอยู่ตรงส่วนท้องของเติ้งอิง แม้ไม่มีความปรารถนา แต่กลับทำให้เขานึกถึงภาพลักษณ์ร่างกายส่วนล่างที่พังทลายของตนอีกครั้ง บางที ‘ความน้อยเนื้อต่ำใจ’ และ ‘ความรังเกียจตนเอง’ เดิมทีก็เป็นเพียงกรอบที่บิดเบี้ยวอย่างหนึ่ง เติ้งอิงนอนอยู่ข้างๆ หยางหวั่น แผ่นหลังค่อยๆ มีเหงื่อซึมออกมา

หลังจากถูกลงทัณฑ์เขาก็เป็นคนกลัวความหนาวเย็นมาโดยตลอด นอกจากความเจ็บปวดแล้ว ปกติก็แทบไม่มีเหงื่อไหล อีกทั้งตัวเขาเองก็ไม่ชอบความเหนียวเหนอะหนะบนร่างกายเพราะรู้สึกไม่สะอาด แต่เวลานี้ประสาทสัมผัสทั้งห้าได้ทำลายความปกติของเขาไปอย่างไร้สุ้มเสียงแล้ว

เติ้งอิงหลับตาลงอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร หวนนึกถึงคำสาบานที่เขาให้ไว้กับหยางหลุนครั้งแล้วครั้งเล่า

ทว่าตรงบริเวณที่มืดสลัวในผ้าห่ม หัวเข่าคู่นั้นกลับเสียดสีถูกผ้าแพรที่อยู่ตรงร่างกายท่อนล่างของเขา เติ้งอิงระบายลมหายใจออกมาจากในปอดทันที ทั้งร่างคล้ายถูกสูบโลหิตออกไปจนแห้งเหือด ร่างแข็งทื่อราวกับไม้ฟืนที่เปียกชุ่ม

เขาบอกไม่ถูกว่าเจ็บปวดที่ใด แต่ก็เจ็บปวดจนไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย

“หวั่นหวั่น…” เขาเรียกหยางหวั่นด้วยจิตสำนึก

มือที่เดิมทีวางอยู่บนเอวของเขาค่อยๆ เคลื่อนไปวางตรงหว่างขาทั้งสองข้าง สัมผัสบาดแผลเก่าของเขาไว้อย่างอบอุ่นโดยมีกางเกงตัวในที่ทำจากผ้าแพรขวางกั้นอยู่

โลหิตที่ถูก ‘สูบจนแห้งเหือด’ เหล่านั้นไหลกลับเข้าสู่แขนขาและกระดูกทั้งหมดอย่างรวดเร็ว เขาร่างสั่นสะท้าน แต่ความเจ็บปวดในร่างกายกลับค่อยๆ ลดลง

“เติ้งอิง แล้วท่านจะค่อยๆ ดีขึ้น” หยางหวั่นกล่าวคำนี้จบก็เม้มปากหลับตาลง

โชคดีที่เสียงฝนนอกหน้าต่างยังไม่หยุด ความหนาวเย็นดับแรงปรารถนาของคน นางจึงไม่ถึงกับหน้าแดงจมูกร้อน

ความจริงแล้วนางไม่จำเป็นต้องให้เติ้งอิงอดทน แต่ตัวนางเองกลับต้องอดทน

นี่เป็นขอบเขตที่นางมีต่อเติ้งอิง ทั้งยังเป็นขอบเขตที่นางมีต่อยุคสมัยนี้ด้วย

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 31 .. 68

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: