X
    Categories: Jamsaiทดลองอ่านล่ารักเกมอันตราย ชุด Red Eyeเรื่องเด่นวันนี้

ทดลองอ่าน ล่ารักเกมอันตราย ตอนที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 6

 

วันวานในฤดูร้อนล่วงคล้อย ชั่วพริบตาแปรเปลี่ยนเป็นใบไม้ร่วง

ทุกวันที่เธอไปทำงานก็จะเห็นแสงอาทิตย์ตกกระทบลงบนบานหน้าต่าง จากการโคจรรอบตัวเองของโลกและความเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล แสงค่อยๆ เบี่ยงไปทางทิศใต้และทอดเงายาวขึ้นทางทิศเหนือ

ใบไม้สีเขียวแก่นอกหน้าต่างแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแล้วร่วงโรยสู่พื้น

เวลาพลบค่ำมาเยือนเร็วขึ้นเรื่อยๆ เธอมักจะรู้ตัวตอนอยู่ในห้องหนังสือว่าเป็นเวลากลางคืนแล้ว

ในวันนี้ทุกอย่างยังเป็นดังเดิม

นาฬิกาปลุกในแท็บเลตสั่นขึ้นเบาๆ กว่าเธอจะรู้สึกตัวมันก็สั่นมาได้สามสิบนาทีแล้ว

เสี่ยวหม่านไต่จากบันไดชั้นหนังสือลงมาปิดนาฬิกา แล้วก็เข็นกองหนังสือ เอกสาร และแท็บเลตในรถเข็นกลับไปยังห้องทำงานของตัวเอง

แม้ว่าห้องหนังสือของพิพิธภัณฑ์ส่วนบุคคลที่เธอทำงานอยู่จะมีการควบคุมอุณหภูมิและความชื้น แต่หนังสือเก่าแก่พวกนี้ก็ยังคงมีกลิ่นเชื้อรา

พอถึงห้องทำงานก่อนอื่นเธอก็เอาหนังสือเก่าแก่เหล่านั้นเก็บไว้ในตู้กันความชื้นที่มีเครื่องวัดค่าอยู่ แล้วค่อยถอดถุงมือออก

ที่เธอใส่ถุงมือเนื่องจากหนังสือโบราณเหล่านี้ล้ำค่ามาก หากเอามือสัมผัสโดยตรงจะทำให้เหงื่อและความชื้นบนมือสร้างความเสียหายให้กับหนังสือได้

ตู้กันความชื้นในห้องทำงานเธอมีไว้เพื่อเก็บรักษาหนังสือที่เอาออกมาจากห้องหนังสือ จะได้รักษาสภาพหนังสือให้ดีพร้อม ไม่ให้ติดเชื้อราจากอากาศที่อับชื้น

เวลาที่เธอต้องการค้นคว้าวิจัยถึงค่อยนำหนังสือออกมาอ่าน

หนังสือเหล่านี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับศิลปะป้องกันตัวในวัฒนธรรมของยุโรปยุคกลาง เป็นข้อมูลที่ช่วงไม่กี่วันมานี้เธอกำลังเรียบเรียง

แม้เธอจะคิดว่าการสอนนักศึกษาเป็นเรื่องน่าสนใจ แต่ว่าเธอก็ชอบที่จะอ่านหนังสือโบราณ เอกสารทางประวัติศาสตร์ นำมาเรียบเรียง แบ่งประเภท จดบันทึกด้วยตัวเอง

พิพิธภัณฑ์ส่วนบุคคลที่ว่าจ้างเธอมีหนังสือโบราณเกี่ยวกับวรรณคดีและประวัติศาสตร์อันล้ำค่าจำนวนมหาศาล ใช้ปกและกระดาษสารพัดชนิด บันทึกเรื่องราวชีวิตของผู้คนในแต่ละยุคสมัยตั้งแต่ชนชั้นใต้ปกครองถึงชนชั้นสูง ตั้งแต่หนังสือภาพศิลปะถึงแนวคิดทางปรัชญา ทั้งของชาติตะวันตกและชาติตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นบันทึกไม้ไผ่ของจีน ภาพวาดบนผืนผ้าของอินเดีย หรือจะเป็นคัมภีร์อัลกุรอานเขียนด้วยสีทองของตุรกี กระทั่งต้นฉบับบันทึกลายมือของนักปรัชญาชาวกรีก มีทั้งดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์ หนังสือที่ข้างนอกหายากทั้งหมดล้วนรวมไว้ในที่นี้

ตอนที่เธอได้รับเชิญให้มาสัมภาษณ์ที่นี่ ได้เห็นเอกสารโบราณมากมายขนาดนี้ก็ตื่นตะลึงปากอ้าตาค้างจนคางแทบจะร่วงมาอยู่บนพื้น

หลังจากนั้นพอผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์เชิญเธอมาทำงาน เธอก็ตอบรับทันทีทั้งที่ยังไม่ทันได้ฟังค่าจ้างด้วยซ้ำ เธอรู้ดีว่าการได้สัมผัสเอกสารโบราณเหล่านี้ด้วยตัวเองช่างเป็นโอกาสที่เลอค่าเพียงใด

เธอปิดตู้กันความชื้นอย่างระมัดระวัง เก็บข้าวของบนโต๊ะแล้วคว้ากระเป๋ากับเสื้อนอกเดินออกไป

บนทางเดินยาวยังมีห้องทำงานบางห้องเปิดไฟสว่างอยู่ เธอมองเห็นคนที่กำลังค้นคว้าอย่างขะมักเขม้นได้จากหน้าต่างห้องซึ่งได้แก่บุคลากรของพิพิธภัณฑ์ นักประวัติศาสตร์ และนักโบราณคดี ประเภทหลังจะเป็นกลุ่มที่ไม่ค่อยได้นั่งประจำที่ แต่จะใช้เวลาส่วนใหญ่ในปีหนึ่งไปกับการออกภาคสนามตามโบราณสถานต่างๆ ของโลก

เพื่อนร่วมงานของเธอต่างก็เป็นคนที่โดดเด่นในสายงานของตัวเอง

ว่าง่ายๆ ก็คือทุกคนต่างก็เป็นคนที่ชอบทำงานอยู่กับตัวเองและมักจะทำงานจนลืมเวลาอยู่บ่อยๆ

เธอก็เช่นกัน แต่เธอตั้งนาฬิกาปลุกในแท็บเลตไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองลืมเวลากินข้าว

เมื่อเดินผ่านป้อมยาม เจ้าหน้าที่ก็ผงกศีรษะทักทายเธอ เธอวางกระเป๋าบนเครื่องสแกนและยื่นบัตรพนักงานให้เขา

แม้พิพิธภัณฑ์ส่วนบุคคลแห่งนี้จะไม่เปิดเป็นที่สาธารณะ แต่ว่าหนังสือที่นี่ล้ำค่าหากยากจริงๆ ถึงจะเป็นนักวิจัยทว่าก็ไม่สามารถนำหนังสือออกไปได้ การตรวจสอบที่เข้มงวดนี้จึงมีขึ้นเพื่อป้องกันการเกิดเหตุ

พอตรวจเสร็จเธอก็กล่าวราตรีสวัสดิ์กับเขาอย่างสุภาพ ค่อยเดินออกประตูใหญ่ของพิพิธภัณฑ์

ด้านนอก ลมแรงปะทะใบหน้า เธอห่อตัวด้วยความหนาวก่อนจะรีบหยิบเสื้อนอกขึ้นมาสวม

ภาพถนนในฤดูใบไม้ร่วงดูแล้วช่างหม่นหมอง ใบไม้ปลิวตามแรงลมแล้วก็ร่วงลงบนพื้นอีกครั้ง ปกคลุมทั่วทั้งท้องถนน

เธอย่ำผ่านใบไม้ไปยังลานจอดรถ กดปุ่มบนกุญแจรถแล้วเสียงรถก็ดังขึ้น ไฟกะพริบ เธอเดินเข้าไปนั่งในรถ สตาร์ตเครื่อง เปิดเครื่องทำความร้อน แล้วขับออกจากลานจอดรถ

บ้านที่เธออาศัยอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ตอนแรกอีกฝ่ายเสนอคฤหาสน์ในเมืองให้เธออยู่ แต่เธอชอบอยู่ชานเมืองมากกว่า อากาศก็ดีกว่า ทัศนียภาพกว้างไกลกว่า แม้จะต้องเสียเวลาเดินทาง แต่เธอก็คิดว่ามันคุ้มค่า

เธอชอบบ้านเก่าที่ทำจากหินหลังนี้ ทั้งน่ารักและเงียบสงบ เวลาเธอหยุดอยู่บ้านยังสามารถทำกิจกรรมยืดเส้นยืดสายอย่างจัดสวนได้

ในเวลาไม่นานเธอก็ขับออกจากเส้นทางสายหลัก อ้อมวงเวียนเล็กมาไม่กี่นาทีก็จะมองเห็นตัวบ้าน

เธอเห็นไฟเปิดอยู่ ทีแรกก็คิดว่าตัวเองตาฝาดมองเห็นไฟถนนหรือไฟของเพื่อนบ้าน

แต่ไม่ใช่เลย นั่นเป็นไฟจากบ้านเธอ

เธอชะงัก สงสัยว่าตัวเองจะลืมปิดไฟ

หรือว่าจะเป็นขโมย?

เสี่ยวหม่านจอดรถข้างทาง ถือกระเป๋าลงมาแล้วอ้อมไปหยิบไม้กอล์ฟออกจากหลังรถ ผ่านพุ่มไม้ทะลุไปยังสวนหลังบ้าน แอบมองลอดหน้าต่างครัว

เธอมองไม่เห็นใคร แต่ว่าบนเตามีหม้อเหล็กสีแดงที่กำลังมีควันกรุ่นตั้งอยู่

ขโมยใช้หม้อของเธอต้มอะไรบางอย่างงั้นหรือ

เธอชะงัก ใจเต้นขึ้นมา

หรือว่าจะเป็น…

เป็น…เป็นไปไม่ได้

เธอระงับความแตกตื่น กุมไม้กอล์ฟแน่นมุ่งไปยังประตูหลัง แล้วก็เห็นว่าประตูหลังกำลังแง้มอยู่

เธอลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไป ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงมาจากด้านหลัง เธอตกใจหันไปมอง ออกแรงฟาดไม้กอล์ฟในมือใส่เงาดำนั้น

“เฮ้ย!” ผู้มาเยือนหลบหลีกการโจมตีของเธอได้อย่างว่องไว ชูมือขึ้นเอ่ยยิ้มๆ “นี่ผมเอง!”

เธอมองเขาอย่างเหลือเชื่อ พูดไม่ออกไปชั่วขณะ

“จริงๆ นะ สัตว์ประหลาดน้อย ถ้าหากคุณเจอคนบุกรุกอย่างผิดกฎหมาย คุณควรจะแจ้งตำรวจ ไม่ใช่ถือไม้กอล์ฟมาทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ที่ประตูหลัง”

เมื่อเห็นเธอไม่ได้แกว่งไม้อีกเป็นรอบที่สองเขาก็ลดมือลง คลี่ยิ้มมองเธอ

“ไฮ ไม่เจอกันตั้งนาน”

“ไม่เจอกันตั้งนาน? ไม่เจอกันตั้งนาน!” เธอตวาดใส่คนบ้าตรงหน้าด้วยความตระหนกและโกรธเคือง “คุณเกือบทำให้ฉันกลายเป็นผู้ต้องหาฆ่าคน คุณกลับพูดแค่ไม่เจอกันตั้งนาน? คุณเป็นบ้ารึเปล่า ฉันอาจฟาดถูกคุณนะ!”

เกิ่งเนี่ยนถังก้มหน้ามองดูผู้หญิงตรงหน้าที่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟยิ้มพลางกล่าว “ที่จริงแล้วผมเป็นห่วงว่าคุณจะออกแรงเหวี่ยงไม้กอล์ฟมากไปจนทำให้ตัวเองหงายหลังแล้วทำให้ไม้กอล์ฟหันมาฟาดใส่ตัวเอง เพราะงั้นเพื่อผม เพื่อตัวคุณและเพื่อความสงบสุขของทุกคน คุณช่วยวางไม้ลงก่อนได้มั้ย ผมขอเถอะ ผมชอบแว่นกรอบดำของคุณนะ ใส่แล้วน่ารักดี คุณสายตาสั้นตั้งแต่เมื่อไหร่”

“คุณอย่ามาทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง! ฉันจะสายตาสั้นตั้งแต่เมื่อไหร่มันก็เรื่องของฉัน!” เธอเดือดจนอยากเอาไม้กอล์ฟเขวี้ยงใส่เขา แต่ที่เขาพูดก็มีความเป็นไปได้อยู่ เธอจึงโยนไม้กอล์ฟลงบนพื้น เข้าบ้านไปด้วยความเดือดจัด

“คุณจะมาหาฉันแบบไม่ให้ตั้งตัวอย่างนี้ทุกทีไม่ได้นะ”

ทันใดนั้นความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา เธอนิ่งอึ้งไปก่อนจะหันมาหา ถามเขาว่า “บ้าจริง คุณบาดเจ็บมาอีกแล้วหรือ”

“เปล่า” พอเขาได้ยิน รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งกว้างขึ้น “ผมเปล่าบาดเจ็บ”

เธอถอนใจโล่งอก ก่อนความโกรธจะปะทุขึ้นมาอีกครั้งและเดินเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว

“แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่”

เพราะกำลังโกรธและสติแตกกระเจิง เธอหันมาโวยวายใส่เขาขณะเดิน

“มองทางข้างหน้าสิ” เขาไม่ตอบคำถามเธอ เพียงยิ้มแล้วเดินตามก้นที่ส่ายอาดๆ ของเธอเข้ามาแล้วปิดประตูตามหลัง

คำเตือนนี้ทำให้เธอหยุดเดินด้วยความโมโห หันไปผลักหน้าอกเขา พูดอย่างเคืองๆ ว่า “สามเดือน! ครั้งก่อนที่คุณมาแบบปุบปับคือเมื่อสามเดือนก่อน! ภายในสามเดือนนี้ฉันอาจจะมีแฟนแล้วก็ได้! เขาอาจเป็นตำรวจ! แล้วถ้าเขามีปืน เขาอาจจะยิงคุณตาย!”

แววตาเขาเครียดขึ้ง แต่มุมปากยังประดับยิ้มอยู่ ก้มมองหญิงสาวที่สวมแว่นตากรอบดำตรงหน้า

“คุณมีแล้ว?”

เธอมองเขา เม้มปากนิ่ง

“คุณมีแล้วหรือ” สายตาเขาตึงเครียด สบตาเธอตรงๆ รุกถาม “แฟนน่ะ”

“ไม่มี” เธอพูดอย่างไม่สบอารมณ์ พูดต่ออย่างโกรธเคือง “ฉันไม่มี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณ…คุณจะทำอะไร”

อยู่ๆ เขาก็เข้ามาใกล้จนเธอตกใจถอยหลังเพื่อรักษาระยะห่าง แต่เขาสืบเท้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนหลังเธอชิดผนัง

นัยน์ตาไหวระริกของเขามองมา ทำให้ใจเธอเต้นรัว รู้สึกร้อนซ่านไปทั่ว เธอเอามือยันอกเขาไว้แต่ไม่มีแรงที่จะผลักออก ทำได้แค่มองเขาด้วยความเขินอาย หน้าแดงจรดใบหู

“เกิ่งเนี่ยนถังคุณจะทำอะไร”

เขาคลี่ยิ้มมองเธอ แล้วก็ค่อยๆ พาดมือข้างหนึ่งขึ้นข้างหัวเธอ เสี่ยวหม่านเบิกตาโพลง หายใจถี่รัว ชั่วขณะหนึ่งเสี่ยวหม่านคิดว่าเธอควรหลบ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเวลาที่เขาจับจ้องอยู่อย่างนี้ เธอไม่สามารถขยับตัวได้เลยและแทบจะหยุดหายใจ เหลือเพียงหัวใจที่เต้นรัวแรง

“ตกลงคุณยังไม่มีแฟนใช่มั้ย”

เธอเงยหน้ามองชายที่โน้มเข้ามาใกล้เธอ ริมฝีปากสีชมพูสั่นระริก

“…”

บ้าจริง เธอพูดไม่ออก เขาไม่ได้ปิดทางหนีเธอ แล้วก็ไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวเธอด้วยซ้ำ

เธอควรจะผลักเขาออก

แต่ในเวลานี้ร่างกายเธอเสียการควบคุม สติสัมปชัญญะทั้งหมดที่หลงเหลืออยู่ทั่วทุกตารางนิ้วล้วนสัมผัสถึงการมีอยู่ของคนตรงหน้า

เขาจ้องเธอ ค่อยๆ ก้มหัวลงช้าๆ ทีละนิดๆ ริมฝีปากแนบข้างหูเธอแล้วเอ่ยปากกระซิบเบาๆ

“เสี่ยวหม่าน…”

ความรู้สึกอ่อนแรงแผ่ซ่านมาจากใบหูขวา ทำให้ใจและร่างที่อ่อนปวกเปียกสั่นสะท้าน เธอหันหน้าหนี อยากจะถอยไปให้ไกลจากลมหายใจและเสียงของเขา แต่เธอกลับยังปรารถนาให้เขาเข้าใกล้

“คุณอยากคบกับผมมั้ย”

อะไรนะ เขาถามว่าอะไรนะ

เมื่อเธอเข้าใจในที่สุดว่าเขาถามว่าอะไร เสี่ยวหม่านก็หน้าแดงฉาน เธอควรจะตอบเขา หากแต่ก็พูดไม่ออก สวรรค์รู้ดีว่าเธอรู้สึกปั่นป่วนจนคิดอะไรไม่ออกแล้ว

เห็นเธอเงียบไป แต่เขายังก้มหน้าอยู่เหมือนเดิม ริมฝีปากร้อนผ่าวแทบจะแนบชิดกับหูเธอ เขาพูด

“สัตว์ประหลาดน้อย?”

“ฉันไม่ใช่…”

เมื่อเธอหาเสียงเจอแล้วก็ส่งเสียงท้วง แต่เพราะต่อมาเขาเอามือโอบเอว เธอก็เลยหยุดกลางคัน

“เฮ้อ คุณน่ะเป็น” เขาเป่าลมรดหูเธอ พูดเสียงแหบพร่า “คนที่วนเวียนอยู่ในหัวผมตลอดทั้งวัน เต้นรำจับมือกับสัตว์ประหลาดพวกนั้นหัวเราะเฮฮา แล้วก็จู้จี้ขี้บ่น”

เขาพูดขึ้นมาแบบนี้ทำให้เธอหน้าแดงถึงใบหู

“ไม่เกี่ยวกับฉัน…”

เขาหยิกเอวเธอเบาๆ เธอก็ร้องเบาๆ

“ผมอยากคบกับคุณ” เขาพูด

เธอใจเต้นอีกครั้ง เอ่ยคำว่า

“ไม่…”

“เพราะอะไร”

เธอไม่อยากจะเชื่อว่าเขายังมีหน้ามาถามเธอ

“สามเดือน” เสี่ยวหม่านหน้าแดงถึงใบหู จับมือใหญ่ของเขาที่โอบเอวเธอไว้ พูดอย่างแง่งอนว่า “คุณหายตัวไปตั้งสามเดือน หายไปโดยไม่บอกกล่าวอะไร แม้แต่เงาก็ไม่โผล่มาให้เห็น ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าคุณจะไม่อยู่ๆ ก็หายตัวไปนานสามปี”

เขาหัวเราะเสียงเบา “เรื่องแค่นี้เอง”

เสียงหัวเราะของตาทึ่มทำให้เธอโมโหจริง

“ฉันไม่อยากคบกับไอ้งั่งที่สามารถหายตัวไปได้ทุกเมื่อ!”

“เป็นเพื่อนกับเป็นแฟนน่ะไม่เหมือนกันอยู่แล้ว” เขาบอกเธอ “ถ้าหากว่าคุณเป็นแฟนผม ผมไม่มีทางหายหัวไปโดยไม่บอกไม่กล่าว”

เธอยันอกเขา เอ่ยเสียงเบา “คุณเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า เป็นเพื่อนกันก็ไม่ควรจะหายหัวไปไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้ ไม่รู้หรือว่าคนเป็นเพื่อนก็เป็นห่วงกันได้เหมือนกัน”

“คบเพื่อนอย่างวิญญูชนให้จืดเหมือนน้ำ สามปีไม่ติดต่อกันเป็นเรื่องปกติ อีกอย่างผมไปทำงาน เพื่อนกันต้องรู้ว่าผมดูแลตัวเองได้”

เธอเม้มปาก สักพักก็อดไม่อยู่

“แล้วมันไม่เหมือนกันตรงไหน”

เธอเพิ่งกล่าวจบก็รู้สึกได้ถึงแรงกระเพื่อมจากการที่เขาหัวเราะ

“ไม่เหมือนกันตั้งหลายเรื่อง” เขายันผนังไว้ ยิ้มแล้วพูดที่ข้างหูเธอว่า “เป็นเพื่อนจับมือกันไม่ได้ เอาเปรียบไม่ได้ มาหาโดยไม่มีเหตุผลไม่ได้ อาจจะนอนเตียงเดียวกันได้แต่ก็แตะต้องตัวกันไม่ได้…”

“เพ้ออะไรของคุณ” มุมปากเธอเริ่มหยักยิ้มจึงกัดปากไว้

“เพ้อเจ้อตรงไหน ก็เพราะเป็นเพื่อนไง ไม่บอกอะไรให้รู้ก็ไม่เห็นเป็นไร” เขาเลิกคิ้ว กล่าวอย่างจริงจังว่า “แต่เป็นแฟนจะไม่เหมือนกันแล้ว แฟนต้องทนอารมณ์กับกลิ่นเท้ากลิ่นเหงื่อของผมได้ ทนฟังผมบ่นเจ้านายกับลูกค้าได้ รับฟังความคิดอันยอดเยี่ยมของผม ถึงจะไม่ได้วิเศษวิโสอะไรแต่ก็ต้องคอยชื่นชมผม ปรบมือให้ผมดังๆ เติมเต็มความเชื่อในตัวเองของผมและทำให้ผมมีความมั่นใจ บางครั้งก็ต้องยอมให้ผมอวดกล้ามเนื้อเป็นมัดและความเป็นชายในตัว…”

สุดท้ายเธอก็กลั้นไม่อยู่ หัวเราะคิกคัก

เสียงหัวเราะจากเธอให้กำลังใจเขา เกิ่งเนี่ยนถังยิ้มและพูดต่อ “คุณนึกดู หลังจากที่ทนกับนิสัยบ้าบอและพฤติกรรมไม่ดีของผมมากขนาดนี้ได้ จะให้ผมคอยรายงานว่าผมไปอยู่ไหนมาก็เป็นอะไรที่สมเหตุสมผลและควรจะทำอยู่แล้ว ไม่อย่างงั้นเดี๋ยวผมจะโดนบอกเลิก เรื่องนี้ผมเข้าใจดี”

“เป็นแฟนคุณต้องทนรับเรื่องแค่นี้แน่หรือ”

เธอถามกลับขำๆ แต่พอพูดออกไปเธอก็รู้สึกว่าตัวเองถามผิดคำถาม หัวใจเธอสูบฉีดขึ้นมา จังหวะหัวใจของชายตรงหน้าก็เปลี่ยนเป็นเต้นรัวแรง

“แน่นอนว่าไม่ใช่แค่นี้”

เสียงที่ริมหูเธออยู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นยิ่งทุ้มต่ำแหบพร่า เธอรู้สึกใบหูร้อนผ่าว ทั้งร่างสั่นสะท้าน

อีกครั้งที่เธอหยุดหายใจโดยอัตโนมัติ ณ ตอนนั้นเธอรู้ว่าสิ่งที่เธอพูดต่อจากนี้จะเป็นการตัดสินเส้นแบ่งของคำว่า ‘เพื่อน’

เธอควรจะคิดให้ดีก่อน ไปคิดให้ดีกว่านี้ แต่ผู้ชายคนนี้ทั้งน่ารักทั้งมีเสน่ห์ดึงดูดใจ ตอนนั้นเวลานั้นราวกับนอกจากความอบอุ่นจากร่างเขา จังหวะหัวใจของเขา ลมหายใจของเขาที่ข้างหูและเสียงของเขา เธอก็ไม่รับรู้ถึงสิ่งใดอีก

เธอเลียริมฝีปากตั้งท่าพูด ได้ยินตัวเองถาม

“แล้วมี…อะไรอีก”

“คุณหันหน้ามา แล้วผมจะบอก”

เธอตื่นตัวและลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่เขาไม่ได้คาดคั้น เพียงรักษาท่วงท่าตามเดิม แล้วเธอก็หันไปมองเขา

เขาอยู่ใกล้เธอขนาดนี้ ใบหน้าอยู่เหนือหัวไหล่เธอไม่ถึงสามเซนติเมตร ศีรษะที่มีผมดำชี้ตั้งเอียงเข้าหาผนัง สายตาร้อนแรงจ้องจับอยู่ที่เธอ

เขายื่นหน้ามาใกล้เธอ ทำลายระยะห่างที่เหลือให้หมดไป

สัมผัสถึงริมฝีปากร้อนผ่าวของเขา แล้วเธอก็ส่งเสียงครางออกมา เขาใช้ริมฝีปากตัวเองบดเบียดกับริมฝีปากเธอ

แล้วก็จูบอีกครั้ง

ค่อยๆ ไล้ไปมา ลิ้มลอง ดูดกลืนอย่างแผ่วเบา

ความอบอุ่นดุจกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้ามาจากริมฝีปาก ทำให้ใจเธอสั่นระรัว

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอวิตก ขาดอากาศ หรือว่าเพราะอะไร เสี่ยวหม่านคว้าจับเสื้อเขาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ เผยอริมฝีปากออก

จากนั้นเขาก็รุกจูบเธอ

เธอรู้สึกถึงกลิ่นอายและจังหวะหัวใจที่แข็งแกร่งเปี่ยมพลังของเขา สัมผัสถูกเหงื่อและความร้อนจากร่างกายเขา เมื่อเขาโอบเธอเข้าในอ้อมแขน เธอก็รู้สึกได้ถึงความปรารถนารุนแรงของเขาที่สัมผัสกับเธอผ่านเนื้อผ้า ทำให้เธอร้อนซ่านไปทั้งตัว

เธอสั่นสะท้าน หายใจหอบข้างริมฝีปากเขา

เขายังคงจ้องมองเธอ ดวงตาดำขลับราวกับกำลังแผดเผา

เขาจูบเธออีกครั้งแล้วก็อีกครั้ง มือหนึ่งคลึงสะโพกเธอ อีกมือโอบเอวเธอไว้

ทั่วร่างเธอร้อนรุ่มจนไม่อาจคิดอะไรได้อีก เมื่อเธอรับรู้ได้ว่าเขากำลังจะอุ้มเธอ เธอค่อยพบว่าตัวเองเอามือเกาะรอบคอเขาและสองขาเกี่ยวกระหวัดรอบเอวเขาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

แย่มาก

ความคิดของเธอเลอะเลือน แต่เธอกลับไม่สามารถ และไม่อยากที่จะควบคุมตัวเอง

บ้าจริง เขาแข็งแกร่งมาก

เมื่อเขาอุ้มเธอขึ้นมาอย่างง่ายดาย ความเป็นหญิงในตัวเธอก็ยิ่งเดือดพล่าน เสี่ยวหม่านสั่นสะท้านพร้อมกับพบว่าตัวเองทั้งไม่สามารถและไม่อยากจะถอนมือออกจากต้นคอของเขา ตัวเธอแนบชิดกับร่างที่ร้อนลวกของเขา ริมฝีปากประกบกับเขา

คนบ้านี่ทำให้เธอฝันอะไรวาบหวิวนานถึงสามเดือน

สามเดือน…

มีหลายครั้งที่เธอตื่นขึ้นกลางดึก รู้สึกว่าปากคอแห้งผากด้วยแรงปรารถนา

มีหลายครั้งที่เธอคิดว่าเธอควรจะมีแฟนสักที เธอเคยออกไปกินข้าวกับผู้ชายที่เพื่อนแนะนำมาให้อยู่สองสามคน แต่พวกเขาให้ความรู้สึกที่ไม่ใช่ ผู้ชายพวกนั้นไม่มีเสน่ห์ ขาดความแข็งแกร่ง และความดึงดูดใจน่าหลงใหลอย่างเขา

มีหลายครั้งที่เธอตื่นขึ้นจากฝันร้ายที่เห็นเขาใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดหรือเกิดเรื่องขึ้นกับเขาอย่างถูกฟันหรือถูกไฟคลอกตายในต่างบ้านต่างเมืองที่เธอไม่รู้จัก

เขาเป็นผู้ชายแบบที่เธอไม่ควรจะคบหาด้วย

มีหลายครั้งหลายหนที่เธอสาบานว่าได้เจอเขาอีกเมื่อไรเธอจะต้องตบเขาแรงๆ สักที

แต่พอเขาปรากฏตัวมาอยู่ตรงหน้าเธอกลับรู้สึกโล่งอกดีใจ และตอนนี้เธอแค่อยากลูบคลำร่างเขา ทำตามความฝันวาบหวิวชั่วร้ายเหล่านั้น

ที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือเธอรู้ว่าเขาจะต้องเห็นดีเห็นงามไปกับมันด้วย

เขาอุ้มเธอเข้าไปในห้อง ไม่ต้องเปิดไฟดูก็หาเตียงเธอเจอได้อย่างเหมาะเจาะ แล้วก็วางเธอลงบนเตียง

เขาถอดเสื้อนอกกับผ้าพันคอเธอออกตั้งแต่ตอนอยู่ที่ทางเดิน รองเท้าพื้นเรียบร่วงลงที่ข้างเตียง

เขาถอดเสื้อตัวเองออกก่อนที่จะถอดของเธอ

ขณะที่เธอไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ริมฝีปากร้อนลวกของเขาก็พรมจูบลงบนเรือนร่างของเธอ ปลุกเร้าการตอบสนองอย่างต่อเนื่อง

อยู่ๆ หน้าอกก็รู้สึกเย็น เธอเพิ่งจะรู้ว่าเขาถอดกระดุมเสื้อเชิ้ตเธอออก ถัดมาริมฝีปากเปียกชื้นก็จูบลงบนปลายยอดที่ไวต่อความรู้สึกของเธอ

เสี่ยวหม่านเขินหน้าแดง สูดหายใจแล้วครางก่อนจะรีบห้ามตัวเองไว้

เสื้อชั้นในยังอยู่บนร่างเธอ แสดงว่าเขาเป็นคนใช้ปากดึงมันลงมา

ในห้องเงียบมาก แต่เกิ่งเนี่ยนถังก็ได้ยินอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเสียงเธอร้องครวญ เสียงหายใจ หรือเสียงครางเบาๆ

เขารู้สึกได้ว่าเธอสั่นสะท้านเพราะปากเขา ทั้งปรารถนาและเอียงอาย น่ารักเหลือเกิน

เขาใช้ปลายลิ้นจูบ ขบยอดอกของเธอให้ตั้งชัน ได้ยินเธอพยายามอดกลั้นท่ามกลางความมืด แต่ก็ยังครางเสียงแหลมเล็กออกมาทุกครั้ง

สวรรค์ กลิ่นเธอหอมหวานมาก ยิ่งได้ลิ้มลองยิ่งหอมหวาน

ตอนที่อยู่ที่ทางเดิน ขณะหนึ่งเขานึกกลัวขึ้นมาจริงๆ ว่าเธอจะปฏิเสธเขาอีก

ถ้าหากเธอพูดว่าไม่ เขาก็สงสัยว่าตัวเองจะมีสติสัมปชัญญะควบคุมตนเองได้ไหม

เธอใส่แว่นตากรอบดำดูเป็นทางการดี

พอเธอพูดถึงความเป็นไปได้ที่เธอจะมีแฟนแล้ว เขาก็รู้สึกสับสนโดยไม่มีสาเหตุ ต่อมาถึงได้เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงมาที่นี่

สวรรค์ก็รู้ เขาพยายามลบภาพเธอออกไปจากหัว ซ่อนไว้ในเสี้ยวมุมเล็กๆ ให้เวลาทำงานไปตามกลไกของมัน

แต่ทุกครั้งที่เขากำลังเผชิญกับความยากลำบาก หญิงร่างเล็กคนนี้มักจะวิ่งออกมาจากเสี้ยวมุมเล็กๆ นั้นมาทะเลาะกับเขา ล่อลวงเขา ให้กำลังใจเขา บ่นว่าเขา…

และร่วมรักกับเขา

เขารู้ว่านั่นเป็นแค่ภาพในหัว

ผู้หญิงคนนี้ฉลาดมากและรู้ว่าควรจะหลีกเลี่ยงอันตรายยังไง กรณีศาสตราจารย์สารเลวนั่นเป็นแค่เรื่องนอกเหนือการควบคุม

เขาเรียนรู้อะไรมากมาย พบเห็นผู้คนมามาก เขารู้ว่าคนที่ชาญฉลาดอย่างเธอในชีวิตคงไม่ค่อยได้เจอเรื่องนอกเหนือการควบคุม แม้มือเท้าจะงุ่มง่าม แต่สมองกลับปราดเปรียว เขารู้ดีว่าเธอจะได้รับบทเรียนจากประสบการณ์ ที่เธอศึกษาประวัติศาสตร์ก็เพราะตรรกะและเหตุผลเดียวกันนี้

เธอเป็นนักประวัติศาสตร์ที่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาเอก เธอชอบชีวิตที่มั่นคงปลอดภัย แล้วเธอก็รู้ว่าควรทำอย่างไรเพื่อรักษาวันเวลาอันสงบสุข

ขอให้ปลอดภัย…

ถ้าหากว่าเขาไม่คอยแหย่เธอ เธอคงอยู่อย่างสมบูรณ์พูนสุขไปอีกร้อยปี

เขาเคยพยายามที่จะลืมเธอ

แต่เขาลืมไม่ได้ ผู้คนหญิงคนนี้มักปรากฏออกมาในเวลาที่เขาไม่ทันตั้งตัว

แล้วพอเกิดเรื่องนั้นขึ้น เมื่อพี่อู่บอกกับเขาว่า…

กว่าเขาจะได้สติ เขาก็ขี่มอเตอร์ไซค์คันใหญ่มาจอดที่ประตูหน้าบ้านเธอแล้ว

เขาควรจะหันหัวจากไป แต่ว่าเขาอยากรู้ใจแทบขาด ต้องพิสูจน์ให้แน่ใจว่าเป็นความจริง

ว่าที่เขารู้สึกเมื่อสามเดือนที่แล้วทั้งหมดเป็นความจริงหรือเปล่า

เธอจะน่ารักขนาดนั้น ชอบทะเลาะกับเขาขนาดนั้น ชอบหัวเราะดังๆ กับเรื่องที่เขาพูดขนาดนั้นจริงหรือเปล่า เฉลียวฉลาดและมีเสน่ห์เหมือนในความทรงจำเขาจริงหรือเปล่า หอมขนาดนั้น หวานขนาดนั้น จริงขนาดนั้นหรือเปล่า

แล้วเธอก็เป็นอย่างนั้นจริง

เขาถอดเสื้อเชิ้ตและเสื้อชั้นในของเธอออก จูบผิวนุ่มนิ่มของเธอ ฟังเสียงเธอครวญครางแล้วสูดหายใจ พอเขาจูบมาถึงสะดือ เธอก็ยื่นมือเล็กบางยึดผมเขาไว้

เขาถอดกระโปรงผ้าขนแกะ กางเกงซับในสีดำ ตามด้วยกางเกงชั้นในผ้าฝ้ายของเธอ

เขารู้สึกได้ถึงความเขินอายและวิตกกังวล รับรู้ว่าเธอพยายามที่จะหลบ แต่รู้ว่าเธอก็ยังสงสัย เขาจูบท้องน้อยของเธอ เธอพยายามจะหุบขาทั้งสอง แต่เขาคั่นอยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว

เธอหอบ เขาจับขาที่เกร็งของเธอขึ้นมาแล้วก้มลงจูบผิวอุ่นๆ

เขารู้สึกถึงร่างที่สะท้านขึ้นเบาๆ ทำให้เขาพลอยสั่นสะท้านไปด้วย

เธอไวต่อความรู้สึกมาก ตอบสนองการสัมผัสจากเขาได้ดีเยี่ยม

เขาใช้นิ้วเคล้นคลึงเธอแบบที่เขาก็เคยทำในความฝัน ค่อยๆ ลูบไล้ส่วนที่อ่อนไหวที่สุดของเธอไปมาอย่างอ่อนโยน เธอร้องครางออกมา ขาสองข้างเกร็งเข้าหากัน

เขาสะกดความปรารถนา ก้มลงจูบเธอไล่ต่ำลงไปเรื่อยๆ…

อา! สวรรค์!

เสี่ยวหม่านแตกตื่น ความรู้สึกที่ชายคนนี้มอบให้ช่างท่วมท้นอะไรอย่างนี้ เมื่อเขาดึงเธอขึ้นมาจูบ ความคิดสับสนและต่อต้านใดๆ ล้วนปลาสนาการไปสิ้น

ทั้งหัวและตัวเธอร้อนไปหมด หัวใจเต้นรัวราวกับวิ่งมาหนึ่งร้อยเมตร

ท่ามกลางความมืด มือของเขาราวกับอยู่ในทุกที่ แต่ริมฝีปากและลิ้นอันชั่วร้ายของเขา…สวรรค์ สวรรค์! เธอเผยอริมฝีปาก ทั้งร่างร้อนรุ่ม หอบหายใจไม่ทันโดยสิ้นเชิง

ความรู้สึกที่ได้รับจากเขามากเกินกว่าที่เธอจะจินตนาการ

ความร้อนแผ่ซ่านขึ้นอีกครั้ง ความวาบหวิวมาเป็นระลอก เธอทั้งเขินและกระดากอาย ความร้อนระอุรุนแรงพลุ่งพล่านไปทั้งร่าง เธอครางเสียงเบา ยึดศีรษะเขาไว้โดยไม่ตั้งใจ จิกผมดำของเขาให้ลุกขึ้นมา

เวลานั้นเธอหอบหายใจอยู่บนเตียง ในหัวขาวโพลน แล้วเขาก็ชันเข่าขึ้นนั่ง

ไฟริบหรี่ข้างทางส่องลอดหน้าต่างเข้ามาทาบทับเป็นเงาบนร่างกายแข็งแกร่งของเขา

ท่ามกลางความสับสน เธอเห็นเขาเหงื่อโทรมร่างจนเป็นประกายล้อกับแสงไฟ

เธอมองดูชายตรงหน้าอย่างลุ่มหลง ผมสีดำปอยหนึ่งปรกลงบนหน้าผาก ชีพจรแข็งแกร่งและทรงพลังบนคอหยาบหนาเต้นเป็นจังหวะ

เธอรู้ว่าเขาแข็งแกร่งมาก เธอเห็นแล้ว แต่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน

โดยไม่รู้ตัวเธอก็ลูบคลำเอวและหน้าท้องเขา

เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จนแผ่นอกนูนยกตัวสูงขึ้น กล้ามมัดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเหงื่อสั่นกระเพื่อมใต้ปลายนิ้วเธอ

ความตื่นเต้นและใคร่รู้ผุดขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล เธอทาบฝ่ามือลงไป

ดวงตาดำขลับคู่นั้นจ้องมองเธอ ร่างกายของเขาให้สัมผัสที่ร้อนมาก แผ่ซ่านความร้อนสุดเปรียบปาน

รอยขรุขระบนเอวและหน้าท้องของเขาดึงดูดเธอ นั่นเป็นแผลเป็นของคราวที่แล้ว

รอยจระเข้กัด

ตอนนั้นเขาพันผ้าไว้เธอเลยไม่เคยได้เห็นจนมาถึงตอนนี้

มันสมานตัวเป็นอย่างดี แม้จะเห็นแล้วน่าหวาดหวั่นอยู่ แต่ก็ดีกว่าที่เธอคิดไว้มาก

เธอลูบคลำหน้าท้องแข็งแกร่งของเขา สัมผัสได้ถึงกล้ามที่ขึ้นเป็นมัด รู้สึกได้ถึงร่างกายที่สะท้อนขึ้นลงกับบ่ากว้างแข็งแรง ยอดอกสีเข้มของเขาตั้งชันขึ้น พอเธอลูบไล้ผ่านเขาก็กลั้นหายใจ มือใหญ่คว้าจับขาเธอแน่น

เธอรู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อร้อนลวกใต้ฝ่ามือกระเพื่อมไหว ทั้งร้อนรุ่มและเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิต

แต่ที่ดึงดูดสายตาเธอมากที่สุดก็คือสิ่งที่อยู่ตรงหว่างขาเขา

ไม่รู้ว่าเขาปลดกระดุมและซิปถอดกางเกงยีนออกตั้งแต่เมื่อไร

ความเป็นชายที่ชูชันซ่อนอยู่ในความมืดแต่ก็ทำให้คนไม่อาจเมินมองได้

เธอเอื้อมมือลงไป แต่เขาคว้ามือเธอไว้

เสี่ยวหม่านเงยใบหน้าแดงฉานขึ้นมา เห็นเขายิ้มให้

“ไม่ได้…” เสียงเขาแหบพร่ายิ่งกว่าอะไร “สัตว์ประหลาดน้อย คุณจะทำให้ผมคลั่งไม่มีสติสัมปชัญญะหลงเหลือตั้งแต่ครั้งแรกไม่ได้นะ…”

ได้ยินแล้วความร้อนในตัวเธอก็แผ่ซ่านขึ้นมาอีก เธอยังไม่ทันว่าอะไรเขาก็หยิบถุงยางสวมตัวเองต่อหน้าเธอ จากนั้นก็ก้มลงมา ถอดแว่นตากรอบดำออกแล้วจูบเธอ

นิ้วมือหยาบหนาของเขากลับมาไล้ที่หว่างขาเธออีกครั้งทำให้เธอสะท้าน

เวลานั้นเธอรู้สึกเปลือยเปล่าและไร้เรี่ยวแรง ร่างกายไม่อาจควบคุม เธอเผยอปากหอบหายใจเบาๆ มือเล็กโอบรอบไหล่ของเขา เอาเท้าจิกเตียงแล้วยกตัวขึ้น

เธอรู้สึกถึงด้านหน้าของเขาที่แนบสนิทกับเธอ ร้อนรุ่มและแข็งแรง ทันใดนั้นเธอก็นึกกลัวขึ้นมา แต่ริมฝีปากและมือใหญ่ที่ร้อนลวกของเขาเบี่ยงเบนความสนใจเธอไป

ถัดมาเขาก็ยกเอวและสะโพกเธอขึ้นแล้วแทรกเข้ามา

ความเจ็บปวดจากการฉีกขาดแผ่ไปทั่ว เธอกรีดร้องพร้อมกับรับรู้ถึงความแข็งขึ้งของเขาที่อยู่ในร่าง

“สวรรค์…” เขาพึมพำขณะแนบปากกับเธอ แล้วก็หัวเราะแผ่วเบาพูดอีกว่า “สวรรค์…”

เธอเกาะเขาแน่นและหอบหายใจ กัดไหล่เขาหนึ่งที

เขาตอบสนองด้วยการก้มลงมาจูบหน้าอกเธอ ใช้นิ้วลูบไล้ส่วนที่ไวต่อความรู้สึกที่หว่างขาเธอ ทำให้เธอครางกระเส่า

“เดี๋ยว…เดี๋ยวก่อน…”

แต่เขาไม่หยุด แล้วรุกมาข้างหน้าอีกครั้ง

“เกิ่ง…เกิ่งเนี่ยนถัง…” เธอเอามือยันเขาออก

ทว่าเขาก็รุกเข้ามาอีก

“เรียกอาถัง”

เขาพูดเสียงพร่า จากนั้นก็เริ่มอีกครั้ง

เธอพ่นลมหายใจ เปลี่ยนคำพูดอย่างเชื่อฟัง “อาถัง…เดี๋ยว…คุณ…อ๊า…”

สิ่งที่เธอสัมผัสจากเขาทั้งมากและเร็วเกินไป เธออยากให้เขาช้าลงอีกหน่อย แต่ชายคนนี้กลับหัวเราะอย่างเบิกบานใจแล้วก็ทำอีกรอบ การไปมาแต่ละครั้งทำให้เธอไม่หลงเหลือสติจะคิด ลืมว่าตัวเองจะพูดอะไร

ความเจ็บความวาบหวามและความสั่นสะท้านแผ่ซ่านเข้ามาเป็นระลอก แต่ไม่รู้ทำไมความเจ็บค่อยๆ ถูกความรู้สึกอื่นหันเหไป สัญชาตญาณดิบเอาชนะทุกสิ่ง

ท่ามกลางความพร่าเลือน เสี่ยวหม่านร้องครวญคราง แอ่นร่างขึ้นหาเขา

ทำให้เขายิ่งได้ใจ ออกแรงมากขึ้น

ระหว่างที่เขารุกอย่างแข็งขัน เธอเกาะเขาไว้แน่นและร้องออกมา ถูกผลักขึ้นสู่จุดสูงสุดของความร้อนรุ่ม

แต่เขายังไม่สมใจอยาก ยังคงไปต่อ ทั้งเร็วและรุนแรง

สวรรค์…สวรรค์…เธอจะไม่ไหวแล้ว…

เสี่ยวหม่านถูกผลักขึ้นสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง ความรู้สึกเช่นนั้นหลั่งไหลซ้ำๆ รวดเร็วสุดเปรียบปาน แต่ละครั้งท่วมบ่าไปทั่วร่าง การโรมรันที่รุนแรงเกิน กับประสาทสัมผัสที่ถูกปลุกเร้า ทำให้เธอใกล้จะทานทนไม่ไหว

ตอนที่เธอถูกโยนขึ้นไปถึงยอดคลื่นอีกครั้งก็ใกล้จะทนไม่ไหวอยู่รอมร่อ เขาเองก็ครางเสียงหนัก โก่งร่างแทรกเข้าไปในร่างเธอ ปลดปล่อยทุกอย่างออกมา

เธอทิ้งตัวอ่อนยวบลงบนเตียง เวลานั้นรู้สึกหัวสมองขาวโพลนนึกคิดอะไรไม่ออก ทั่วทั้งตัวไร้เรี่ยวแรงและอ่อนปวกเปียก ได้แต่พยายามสูดหายใจสุดชีวิต

จากนั้นเธอค่อยรู้สึกถึงเขา

ชายตรงหน้ายังคงอยู่เหนือร่างเธอ ใช้ศอกยันร่างตัวเองไว้ เขาจ้องมองเธอ มือใหญ่แตะชีพจรที่ต้นคอ

“คุณโอเคมั้ย”

เธอไม่รู้ แววตาเธอสั่นสะท้าน ริมฝีปากชมพูเผยอแต่กลับพูดอะไรไม่ออก หาคำพูดไม่เจอ รับรู้เพียงริมฝีปากที่ด้านชาเล็กน้อย

เธอหลับตาและรู้ว่าเขายังคาอยู่ในร่างเธอ เธอรู้สึกได้ว่าสองขาโอบล้อมเขาไว้ รู้สึกถึงแม้แต่ชีพจรของเขา

“มองผม นี่ สัตว์ประหลาดน้อย คุณช่วยมองผมได้มั้ย”

เสียงของเขาแตกซ่าน มือใหญ่ลูบไล้ใบหน้าชุ่มเหงื่อของเธอด้วยความอ่อนโยนที่สุด ห่างไกลจากความแข็งขันและหยาบกระด้างเมื่อครู่นี้มาก

เธอลืมตา มองเห็นแววห่วงใยในสายตาเขา

เธอสูดหายใจลึกๆ เลียริมฝีปาก พยายามพูดว่า

“คุณนี่มัน…น่ากลัวจริง…”

เขาหัวเราะ กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “ผมก็ว่างั้น”

เธออดยิ้มไม่ได้

“ให้ตายสิ ผมอยากจะจูบคุณ แต่ก็คิดว่าคุณต้องการอากาศหายใจ”

คำพูดนี้ทำให้เธอยิ้มอีกครั้ง

“พูดแบบนี้…ไม่ช่วย…เลย…สักนิด…”

เขายิ้มก่อนที่จะค่อยๆ ผละออกไปแล้วพลิกตัวเธอขึ้นมาอยู่บนตัวเขา

“อย่างนี้ล่ะ” เขาถาม

น่าแปลกมาก ท่านี้ดีขึ้นมากเลย บางทีอาจเป็นเพราะได้แนบชิดกับตัวเขา ทำให้เธอรู้สึกถึงอุณหภูมิจากผิวกายและจังหวะหัวใจที่แข็งแกร่งและทรงพลัง

หรืออาจเป็นเพราะเธอรู้ว่าถ้าเธอขาดอากาศเป็นลมไปจริงๆ เขาคนนี้จะดูแลเธอ

เธอนอนอย่างผ่อนคลาย หลับตาลงช้าๆ ให้หัวใจเต้นเป็นจังหวะเดียวกับของเขา

“สัตว์ประหลาดน้อย?”

เธอไม่ค่อยอยากจะตอบคำเขา แต่เขาถามซักต่อ

“คุณจะนอนแล้วหรือว่ากำลังจะเป็นลม”

“นอน…”เธอพูดด้วยเสียงงัวเงีย

“เฮ้อ คุณควรจะออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอมากๆ หน่อยนะ ให้หัวใจกับปอดแข็งแรง”

เธอทั้งเขินทั้งโมโห อ้าปากงับเขาหนึ่งที

เขายิ้มแล้วอุ้มเธอขึ้นมา เธอสะดุ้งรีบจับเขาไว้

“คุณจะทำอะไร”

เขาอุ้มเธอเดินทะลุไปยังห้องน้ำ เปิดน้ำร้อนพลางกล่าว “ผมว่าก่อนคุณจะนอนคงอยากอาบน้ำ”

บ้าจริง

เสี่ยวหม่านทั้งเขินทั้งอาย แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อต้าน เมื่อเขาถ่ายทอดความอบอุ่นให้ร่างกายเธอ มือใหญ่ลูบไล้บนหลังเธอไปมา เธอก็โกรธเขาไม่ลงจริงๆ

อีกอย่างเขาไม่ได้เปิดไฟแล้วก็ไม่คิดจะเปิด ในความมืดมิดได้ยินเสียงน้ำไหลซู่

หัวใจเต้นเป็นจังหวะของเขาและน้ำอุ่นๆ ต่างก็ทำให้เธอคลายความกังวลลง

เสี่ยวหม่านถอนหายใจออกมา เอนศีรษะซบอกเขา หาวช้าๆ อีกทีหนึ่ง

เขาลูบไล้ศีรษะเธอและประทับจูบหนึ่งที

จากนั้น ขณะฟังเสียงหัวใจเขาเต้น เธอก็หลับไปทั้งอย่างนี้

 

เธอหลับสนิทแล้ว เขาเองก็อยากหลับบ้าง

แต่ตอนที่เขาอุ้มเธอออกมาจากห้องน้ำแล้วเช็ดตัวให้ เธอพึมพำไม่ได้ศัพท์อยู่สองสามคำ

เมื่อวางลงบนเตียงเธอก็เข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์ในทันที

กลางดึก เมื่ออารมณ์คึกค่อยๆ หมดไป เขาได้ยินเสียงหม้อเหล็กบนเตาเดือดและได้กลิ่นหอมโชยมาจากในนั้น

เขาไม่ได้ใช้ไฟแรงแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะวางทิ้งไว้ได้ถึงเช้า

ถ้าหากเขาเผาบ้านเธอไหม้เป็นจุณ เธอตื่นมาคงไม่ชอบใจเท่าไร

ดังนั้นเขาจึงรอให้เธอหลับสนิท ค่อยๆ ลุกจากเตียงลงมาปิดเตา

กลิ่นหอมของซุปไก่อบอวลไปทั่วห้อง เขาไม่ได้เปิดหม้อซุปไก่ที่ยังไม่พร้อมเสิร์ฟ แค่เดินไปปิดแก๊ส

ว่าไปแล้วเขาก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่าอยู่ดีๆ ทำไมถึงอยากต้มซุปไก่

แต่พอเขากลับเข้าห้องนอนเธอไปเห็นเธอนอนอยู่บนเตียงหลังนั้น เขาก็นึกออกว่าทำไม

เมื่อสามเดือนก่อนตอนที่เขาอยู่กับเธอที่นี่ได้คุยกับเธอระหว่างดูรายการทำอาหาร เธอบอกว่าเธอคิดถึงซุปไก่ที่เธอเคยกินในสมัยเด็กมากเลย น้ำซุปนั้นสีออกเข้ม เป็นน้ำซุปเคี่ยวสมุนไพร แต่หลังจากมาเรียนหนังสือที่อเมริกาก็ไม่เคยได้กินอีก

ทีแรกเขาคิดว่าเป็นซุปสี่สมุนไพร แต่เธอบอกว่าไม่ใช่ ซุปสี่สมุนไพรไม่ได้สีเข้มขนาดนั้นและกินแล้วจะมีรสชาติหวานอ่อนๆ

เขากลับบ้านไปถามแม่กับน้าเถาฮวา ถึงได้รู้ว่าที่เธอพูดอาจหมายถึงซุปไก่ตุ๋นเซียนเฉ่า

ก่อนออกมาเขาเลยขอใบเซียนเฉ่าแห้งจากน้าเถาฮวา

พืชชนิดนี้ปรุงไม่ง่าย ต้องใช้เวลากว่าหลายชั่วโมงในการต้ม แต่ว่าเขาอยากจะขอโทษเธอ

เขาไม่ควรจะมาหาเธอ ทว่าก็ห้ามใจไม่อยู่

เดินมาถึงข้างเตียงก็ปีนขึ้นมานอนอยู่ข้างตัวเธอ ค่อยๆ รั้งเธอเข้ามาในอ้อมแขน เธอไม่ขัดขืนที่จะอยู่ในอ้อมกอดเขา ราวกับว่าตรงนี้เป็นที่ของเธอตั้งแต่แรก

เขาหอมใบหน้าเล็กนุ่มนิ่มของเธออย่างอดเสียไม่ได้

เธอไม่ได้รู้สึกตัวตื่น แต่ว่าขมวดคิ้วเล็กน้อยทั้งที่หลับอยู่

เขาหัวเราะเงียบๆ และไม่รบกวนเธออีก

เขาไม่ควรจะมาหาเธอ แต่หลายปีที่ผ่านมาที่เขาออกเผชิญโลกภายนอก ไม่ง่ายเลยที่เขาจะได้เจอกับผู้หญิงที่จะหัวเราะไปกับเขา น่ารักและเฉลียวฉลาด กล้าหาญและจิตใจดีงาม หัวเราะเฮฮาไปกับมุกฝืดของเขา

เขาจะไม่กลับมาได้อย่างไร

อย่างน้อยเขาก็แน่ใจว่าผู้หญิงคนนี้ใส่ใจเขา เป็นห่วงเขา แล้วยังคิดถึงเขา

เขาควรจะทำเหมือนอย่างอาวั่น หาผู้หญิงที่สามารถปกป้องตัวเองและแกว่งมีดสามสิบหกเล่มฟาดฟันมือดีอันดับต้นๆ ของโลกไปพร้อมๆ กันได้

อย่างเช่นฮั่วเซียง

แต่ว่าผู้หญิงคนนั้นหัวเราะไม่เป็น เสี่ยวหม่านหัวเราะเป็น

แถมยังหัวเราะเฮฮาเสียงดังซะด้วย

แม้ว่าเธอจะหลับอยู่ แต่เขาก็ยังนึกถึงเวลาเธอหัวเราะเสียงดังตอนที่เขาพูดจาไร้สาระ แล้วก็ยิ้มขึ้น

เขาลูบใบหน้าเล็กของเธออย่างแผ่วเบา ลูบไล้คางและใบหูกลมมน

เธอละเมอบ่นพึมพำ เขาเห็นแล้วก็ยิ้มอีกครั้ง แต่ทีนี้เขาเก็บมือกลับมา ถอนใจเบาๆ กอดอกแล้วหลับตาลง

เอาเถอะ ชีวิตคนเราออกจะสั้น สั้นเกินไป

หลังจากผ่านวันคืนที่นอนหลับได้ไม่สนิทมาหลายวัน เขาก็หวงแหนช่วงเวลานี้มาก

เมื่อเธอเป็นฝ่ายเอามือโอบรอบเอวของเขา เขาก็นำเอารอยยิ้มพึงพอใจเข้าสู่ห้วงหลับลึก

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

sangdow Marcom: