บทนำ
หากวาริศแสร้งทำใจยอมรับความสูญเสียอันใหญ่หลวงได้ เขาคงไม่มานั่งทอดสายตาผ่านหน้าต่างเครื่องบินบนความสูงสามหมื่นฟุต จดจ้องปุยเมฆขาวโพลนเหนือน่านฟ้าไทยเช่นวันนี้
เสียงทุ้มเข้มของกัปตันประกาศพร้อมนำเครื่องร่อนลงสู่สนามบินสุวรรณภูมิ ระยะเวลาเดินทางจากนิวยอร์กร่วมสิบเก้าชั่วโมงชวนเบื่อหน่ายกำลังจะสิ้นสุดลง ทว่าเทียบไม่ได้เลยกับความคับแค้นใจที่สั่งสมมานานตลอดสิบปี
วาริศบอกตัวเองให้อดทนไว้ เขาใกล้จะได้พบใครบางคนเต็มที…คนที่ทำให้ชีวิตครอบครัวเขาต้องเผชิญกับความพินาศ…ฆาตกรผู้ปลิดชีพความจริงไปพร้อมกับลมหายใจอันรวยรินของพ่อ
แม่คัดค้านแผนเดินทางกลับไทยของเขามาโดยตลอด ไม่มีเหตุผลต้องทำอย่างนี้ด้วยซ้ำ อยู่ที่นิวยอร์กก็มีความสุขดีมิใช่หรือ ลูกของแม่ควรมีชีวิตเฉกเช่นหนุ่มไฟแรงวัยยี่สิบแปด ครีเอทีฟดาวรุ่งอย่างเขายังวิ่งไปได้อีกไกลบนถนนสายโฆษณาเหมือนที่พ่อฝันไว้
‘ลูกคือความหวังเดียวของพ่อ’ …แม่เอาแต่ย้ำประโยคนั้นซ้ำๆ นับตั้งแต่วันที่เสียพ่อไป ตอกย้ำว่าเป็นห่วงเขามากเพียงใด ไม่อยากเห็นเขาเบนเข็มทิศพาชีวิตจมปลักอยู่กับหลุมโคลนแห่งความแค้นข้น
แต่แม่จะรู้บ้างไหม เพราะเขาคือความหวังเดียวของพ่ออย่างไรเล่า ถึงต้องกลับมาทวงความยุติธรรมคืน!
วาริศคิดอย่างนั้น แต่ไม่อาจพูดออกมาได้ ทำได้แค่สรรหาเหตุผลมาหว่านล้อมผู้เป็นแม่ว่าเขาแค่อยากกลับไปพักผ่อนที่เมืองไทยสักปีหนึ่ง แล้วค่อยกลับมาเริ่มงานที่เอเจนซี่โฆษณาแห่งใหม่
ทว่าความจริงอีกครึ่งหนึ่งซึ่งวาริศไม่ยอมบอกแม่คือเอเจนซี่ใหม่ที่ว่านั้น…แท้จริงแล้วตั้งอยู่ในไทย เจ้าของหาใช่ใครอื่นไกล คือคุณอาธนาเพื่อนสนิทของพ่อนั่นเอง
คุณอาธนามีลูกชายรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ทำงานเป็นครีเอทีฟในตำแหน่งอาร์ตไดเร็กเตอร์* เหมือนกัน หลังวาริศบอกข่าวแก่คุณอาธนาว่าจะกลับเมืองไทย ไม่กี่วันต่อมาเขาก็ได้รับอีเมลจากกริช บอกว่าจะขับรถมารับถึงสนามบินตามคำสั่งของคนที่เป็นทั้งนายและพ่อ วาริศรู้ดีว่ากริชทำเป็นอ้างไปอย่างนั้น ทั้งที่ใจจริงของหมอนั่นอยากเจอเขาเต็มแก่
“ไอ้ริศ!”
กริชโบกมือหลังแผงรั้วกั้นหน้าทางออกบริเวณผู้โดยสารขาเข้าพลางส่งยิ้มจริงใจให้ “ไม่เจอกันแค่ปีเดียว เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนี่หว่า”
วาริศเห็นสายตากริชเริ่มสำรวจความเปลี่ยนแปลงของแบรนด์เครื่องแต่งกาย โดยเฉพาะแว่นกันแดดแบรนด์ดังจากอิตาลี กริชเคยบอกว่าไม่ว่าเขาจะหยิบจับแว่นตาใดๆ มาใส่ ก็ช่างรับกับดวงตาคมเข้มคู่เหยียดโลก จมูกโด่ง และริมฝีปากหยักบางเฉียบของเขาอย่างร้ายกาจ ดูดียิ่งกว่านายแบบบนหน้านิตยสารเป็นไหนๆ
“ตั้งแต่เป็นครีเอทีฟดังที่นิวยอร์ก มีเงินถุงเงินถังซื้อเสื้อผ้าแพงๆ มาใส่ด้วยเว้ยเฮ้ย”
วาริศนึกขันนิดๆ “แบรนด์เปลี่ยน แต่สไตล์ยังเหมือนเดิม มินิมอลน่ะ รู้จักหรือเปล่า”
“รู้จักดิ แพรพูดกรอกหูฉันทุกวัน”
เวลากริชพูดถึงดีไซเนอร์สาว ‘เพียงแพร’ เพื่อนสนิทอีกคนของเขาทีไร ประกายตามักเปลี่ยนเป็นเด็กหนุ่มตกอยู่ในภวังค์รักทุกครั้ง
ไม่มีคำบรรยายใดๆ ลึกซึ้งไปกว่าคำว่ายินดีจากใจ เมื่อเห็นเพื่อนรักสองคนลงเอยด้วยการคบหากัน วาริศหวังเหลือเกินว่ากริชและเพียงแพรจะรักกันไปตราบนานเท่านาน ไม่ว่ามารผจญตัวไหนย่างกรายเข้ามาขัดขวาง เขานี่แหละ…จะเป็นคนกางแขนปกป้องความรักของทั้งคู่เอง
ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างเพียงแพรจะมีอิทธิพลต่อชีวิตกริชถึงขนาดนี้ เพียงแค่กริชดึงคำบอกกล่าวของเพียงแพรเข้ามาเอี่ยวในบทสนทนานิดเดียว หลังจากนั้นเรื่องราวต่างๆ โดยเฉพาะบทพ่อแง่แม่งอนระหว่างกริชกับเพียงแพรก็ถูกแบ่งปันมาถึงวาริศอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ขณะชายหนุ่มลากกระเป๋าเดินทางใบเขื่องเดินตามกริชไปยังอาคารจอดรถฝั่งตรงข้ามอาคารผู้โดยสารของสนามบิน
ทว่าตลอดระยะเวลาครึ่งชั่วโมงที่รถสปอร์ตสีขาวของกริชแล่นฉิวนำวาริศสู่ใจกลางเมืองนั้น วาริศเห็นชัดว่ากริชมีทีท่าเหมือนอยากจะเล่าอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เงียบไป ราวกับตัดใจเก็บเรื่องนั้นไว้เป็นความลับต่อ วาริศไม่อยากซักไซ้ให้มากความ เขาเลือกนั่งนิ่งๆ ทอดอารมณ์มองข้างทาง ซึมซับความเปลี่ยนแปลงของบ้านเกิดที่จากไปนาน โดยเฉพาะอาคารสูงเสียดฟ้ายืนเด่นเรียงรายตลอดสองข้างทางคล้ายกำลังต้อนรับเขา
“กรุงเทพฯ เปลี่ยนไปมากว่ะ”
“แหงล่ะ แกไม่ได้กลับมานานแล้วนี่หว่า…สิบปีอะไรๆ มันก็เปลี่ยนไป”
“ใช่ อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป” วาริศพึมพำอย่างเห็นด้วย เพราะโลกเรานั้น…ความเปลี่ยนแปลงคือสิ่งที่แน่นอนที่สุดแล้ว
“แกแวะไปหาพ่อฉันก่อนไหม ดูตั้งตาคอยการกลับมาของแกยิ่งกว่าตอนฉันบินกลับหลังเรียนจบที่นิวยอร์กซะอีก ตกลงใครเป็นลูกแท้ๆ กันแน่วะ ชักจะสับสนแล้วสิ”
วาริศก้มมองหน้าปัดนาฬิกาข้อมือแบรนด์หรู “ไว้เจอกันตอนเย็นดีกว่า ยังพอมีเวลา” ก่อนจะเงยหน้าหันไปมองคนขับ “ยังไงแกแวะส่งฉันที่โรงแรมแถวราชประสงค์หน่อยสิ”
“ไปทำอะไรวะ อย่าบอกนะว่าเรื่องงาน พักสักวันก่อนดีกว่าน่า”
“ไม่ได้หรอก นัดลูกค้าสำคัญไว้…สำคัญมากๆ ด้วย”
ลูกค้าคนสำคัญที่ว่านั้น…คือชายวัยห้าสิบห้าเจ้าของนัยน์ตาพญาเหยี่ยว ผมสีดอกเลาถูกจัดแต่งอย่างเรียบง่าย ริ้วรอยบนใบหน้ากร้านคมบ่งบอกถึงประสบการณ์อันสั่งสมมานานบนถนนสายโฆษณา ชื่อของเขาคือศักดา…กำลังดำเนินปาฐกถาบนเวที
ทุกท่วงท่าของศักดาช่างน่ามอง วาริศนึกสงสัยว่าเขาอาจหลงใหลและบูชาในตัวศักดาขึ้นมาจริงๆ หากไม่เคยสัมผัสความเลวระยำที่ซ่อนภายใต้หน้ากากยิ้มแย้มแสนจะเป็นมิตรมาก่อน น้ำเสียงทรงพลังของศักดาร่ายไปเรื่อยถึงความยิ่งใหญ่ของโฆษณาว่าไม่ใช่แค่โทรโข่งเที่ยวโพนทะนาสินค้า แต่เป็นระเบิดเวลาที่ค่อยๆ ทำให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์ใจในตัวมนุษย์ ระเบิดเวลานั้นจะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับการตั้งเวลานับถอยหลัง การปลูกฝังครีเอทีฟถึงบทบาทหน้าที่และความสำคัญของการเข้าไปคลุกคลีสัมผัสเรื่องราวความเป็นมนุษย์เพื่อเข้าถึงความในใจของมนุษย์ให้ได้มากที่สุด คือทางออกสำคัญของการสื่อสารการตลาดในยุคที่โฆษณาควรทำตัวให้เป็นโฆษณาน้อยที่สุด
“โฆษณาที่ดี…ไม่ควรสักแต่ขายสินค้าอย่างเดียว ต้องเปลี่ยนชีวิตผู้คนให้ดีขึ้นด้วย” ศักดาย้ำกับบรรดาผู้ฟังทั้งนักธุรกิจ นักการตลาด และนักศึกษาโฆษณาที่มารวมตัวกันจนห้องบอลรูมแน่นขนัด
ประโยคเมื่อครู่…วาริศขอยกให้เป็นวรรคทองของวัน ได้ยินแล้วนึกขันจนอยากจะอาเจียน รู้สึกสะอิดสะเอียนเต็มกลืน แต่สุดท้ายแล้วต้องฝืนใจฟังศักดาพูดต่อไป พร้อมคำนวณยอดในใจว่าลูกค้ารายนี้ค้างชำระหนี้แค้นเขาอยู่เท่าไร คิดทบต้นทบดอกเรียบร้อย รอวันทวงคืนให้สาแก่ใจ ไม่มีคำว่าประนีประนอมใดๆ สำหรับคนที่ยังกล้าเชิดหน้าชูตาในสังคม หลงลืมว่าเคยทำให้เขากับแม่ต้องเผชิญกับความทุกข์ระทมอย่างแสนสาหัสเมื่อสิบปีก่อน
“…ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงานครบรอบสามทศวรรษเอเจนซี่ ADDICT วันนี้ครับ เหตุผลที่เอเจนซี่เราใช้ชื่อนี้ทุกท่านคงพอจะเดาออกอยู่แล้ว คำว่า AD ตัวแรกย่อมาจากคำว่า Advertising ที่แปลว่าโฆษณา ส่วนคำว่า ADDICT นั้นหมายถึงการเสพติด แปลรวมๆ แล้วเป็นความหมายที่ดีมากครับ พวกเราเสพติดโฆษณาประหนึ่งลมหายใจ ขาดเมื่อไหร่…ลงแดงตายเมื่อนั้นครับ และนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ขอให้มั่นใจได้เลยว่าพวกเรา…เอเจนซี่แอดดิกต์จะไม่หยุดสร้างสรรค์สิ่งใหม่แก่วงการโฆษณาไทยแน่นอน ผมสัญญา”
“และนี่คือเจ้าของฉายาศาสดาโฆษณา…คุณศักดา เจนนุรักษ์ ขอเสียงปรบมือให้คุณศักดาอีกครั้งครับ”
เหล่าผู้หลงผิดบูชาศักดาต่างปรบมือตามคำขอพิธีกรอย่างว่าง่าย วาริศบอกตัวเองให้นิ่งดูดาย ละสายตาจากภาพขัดหูขัดตานั้นเสีย เมื่อไม่รู้จะทำอะไร เขาจึงลองเปิดดูถุงกระดาษที่ได้มาจากการลงทะเบียนหน้างาน ข้างในมีพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มหนึ่งปะปนกับเอกสารประวัติเจ้าของธุรกิจดังที่เป็นลูกค้าเอเจนซี่แอดดิกต์ซึ่งมาร่วมเสวนาในหัวข้อการลงทุนกับกลยุทธ์การทำตลาดในยุค 4.0 และภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองเช่นนี้
วาริศหยิบพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มนั้นขึ้นมา หน้าปกเป็นรูปศักดาอยู่ในชุดวิ่งมาราธอนสีแดงเลือดนกเฉดเดียวกับโลโก้เอเจนซี่แอดดิกต์ ดูเข้ากับชื่อหนังสือ ‘โฆษณามาราธอน’ ก็จริง แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงความสกปรกของเนื้อหา ไม่แน่ใจนักว่าเรื่องเล่าของศักดาบนหน้ากระดาษถนอมสายตาปึกหนาเล่มนี้จะเป็นความจริงสักกี่เปอร์เซ็นต์ ยิ่งพลิกมาดูปกหลัง กวาดสายตาอ่านคำโปรย วาริศยิ่งพบว่าตัวเองแทบสะกดกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่อยู่
‘ตลอดระยะเวลาการทำงานกว่า 20 ปีของ ‘ศาสดาโฆษณาไทย’
‘ศักดา เจนนุรักษ์’ มักให้กำลังใจตัวเองเสมอว่า
ชีวิตคนโฆษณา…ไม่ต่างจากการวิ่งมาราธอน
ออกตัวเร็วใช่ว่าจะชนะเสมอไป
ออกตัวช้าใช่ว่าไม่มีสิทธิ์ชนะเลย
การวิ่งมาราธอนบนถนนสายโฆษณาของเขา…
ต้องล้มลุกคลุกคลานมานับครั้งไม่ถ้วนเพื่อฝ่าฟันโจทย์แสนท้าทาย
“อย่าหยุดวิ่ง!” นี่คือสิ่งที่ศักดาบอกตัวเองอย่างนั้นซ้ำๆ
เพราะหากพลาดพลั้ง คำว่า ‘แพ้’ จะคอยกัดกินหัวใจเขาไปตลอดกาล…’
ให้ตายเถอะ ศักดาไปเอาความกล้าบ้าบิ่นจากไหนมาบรรยายสรรพคุณหนังสือได้ชวนขันขนาดนี้ ไม่เห็นแก่หน้าตัวเอง ก็น่าจะเห็นแก่ความจริงอีกครึ่งหนึ่งซึ่งซ่อนอยู่ใต้พรมบ้างก็ยังดี
เมื่อเห็นว่าเหล่าผู้หลงผิดที่รุมล้อมศักดาเริ่มบางตา วาริศจึงลุกขึ้นเหยียดกายเต็มความสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ก้าวเข้าไปใกล้ๆ ดึงดูดความสนใจจากเจ้าของนัยน์ตาพญาเหยี่ยวคู่นั้น
“ชื่ออะไรน่ะเรา” ศาสดาโฆษณาถามด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง คงเข้าใจว่าเขาเป็นหนึ่งในสาวกที่มาร่วมชุมนุมกันอย่างพร้อมหน้าในวันนี้
“วาริศครับ…วาริศ อิสรา”
“วาริศ อิสรา…ชื่อเท่ดี” ศักดาจรดปลายปากกาบนปกรองพ็อกเก็ตบุ๊กที่เขาเพิ่งยื่นให้เมื่อครู่ “ตอนนี้ทำงานโฆษณาอยู่รึเปล่า”
“ผมยื่นใบสมัครไปหลายๆ เอเจนซี่แล้วครับ หวังว่าจะมีสักที่เรียกสัมภาษณ์”
ศักดาได้ยินเช่นนั้นพลันแย้มริมฝีปากให้กำลังใจ “โฆษณาก็เหมือนกับการวิ่งมาราธอน ถ้าเราไม่หยุดวิ่งเสียก่อน ต้องถึงเส้นชัยเข้าสักวัน”
ตบท้ายเข้าชื่อหนังสือ จบการขายได้อย่างน่าประทับใจจนวาริศนึกหยัน แววตาซ่อนรอยชิงชังมิดชิด
“ยินดีที่ได้พบนะ”
“ยินดีเช่นกันครับ” วาริศยื่นมือกระชับตอบ ขอบคุณศาสดาโฆษณาอีกครั้ง
พร้อมย้ำกับตัวเองว่าจะจดจำคำสอนเมื่อครู่นั้น…ไปจนวันตาย
* อาร์ตไดเร็กเตอร์ (ผู้กำกับศิลป์) มีหน้าที่ออกแบบภาพโฆษณา ทำงานคู่กับก๊อปปี้ไรเตอร์ (ผู้เขียนคำโฆษณา) มีหน้าที่ออกแบบข้อความโฆษณา
บทที่ 1 ของขวัญชิ้นเอก
ร่างระหงในชุดกางเกงยาวขาตรงสีขาวกับเสื้อเชิ้ตตัวหลวมสีกรมท่าทรงไหล่ตกตามเทรนด์แต่งกายแห่งยุคสมัยเร่งฝีเท้ามาถึงหน้าห้องบอลรูมของโรงแรมหรูย่านราชประสงค์ได้ทันเวลาพอดี ใบหน้ารูปไข่ของก๊อปปี้ไรเตอร์สาวช่างเข้ากันดีกับผมเส้นเล็กสีน้ำตาลซึ่งถูกตัดเป็นทรงบ็อบยาวเคลียแก้มใส ดวงตาเรียวสวยคู่หม่นเจือรอยเศร้าจางๆ เฝ้ามองหาเจ้าของงาน หญิงสาวคิดว่าคุณศักดาน่าจะกล่าวปาฐกถาเปิดงานเสร็จเรียบร้อย เพราะแขกเหรื่อเริ่มทยอยออกมาทานอาหารว่างที่โรงแรมจัดเตรียมไว้ในช่วงพักเบรกกันแล้ว
“พริม…รอด้วย”
เสียงเรียกของหนุ่ม อาร์ตไดเร็กเตอร์คู่หูของเธอดังไล่หลัง พริมาหันไปมองสามหนุ่มเพื่อนร่วมทีมขณะเดินตามมาอย่างเชื่องช้าเหมือนหุ่นยนต์ที่แบตเตอรี่อ่อนจัดเหลือเพียงขีดเดียว
“ไม่เห็นต้องมางานนี้เลย พวกเราเพิ่งขายงานเสร็จแท้ๆ น่าจะกลับไปพักที่ออฟฟิศ” วอแว ก๊อปปี้ไรเตอร์เจ้าของแว่นกรอบหนารับทรงผมแสกกลางเริ่มโวยวายนิดๆ พริมาจำได้ว่าเคยเอ่ยกับวอแวว่าถ้าไม่มั่นใจในใบหน้า ก็ต้องบ้าเอามากๆ ถึงกล้าทำผมทรงนี้
“ได้ไง กลับไปออฟฟิศก็ร้าง ไม่มีเออี* อยู่สักคน มาดูแลลูกค้าที่งานกันหมด” ชินทร อาร์ตไดเร็กเตอร์หนุ่มตี๋ สมาชิกอีกคนของทีมพูดขึ้น
วอแวได้ยินอย่างนั้นพลันหันไปมองชินทรด้วยตาเป็นประกาย แล้วเอ่ยกับคู่หูว่า “ไม่น่าเชื่อ วันนี้แกพูดจาดีมีเหตุผลนับตั้งแต่รู้จักกันมาเลยว่ะ”
พริมาได้แต่มองทั้งคู่อย่างอ่อนใจ ครีเอทีฟหนุ่มสองคนนี้ขึ้นชื่อเรื่องตามหลีเออีสาวสวยในเอเจนซี่แอดดิกต์มากที่สุดแล้ว
เมื่อไม่เห็นทีท่าว่าคุณศักดาจะปรากฏตัวหน้าห้องบอลรูม หญิงสาวจึงสอดส่ายสายตาสำรวจบรรยากาศโดยรวม ก่อนจะสะดุดเข้ากับร่างสูงมาดสุขุมของผู้ชายแววตาใจดีคนหนึ่งซึ่งกำลังสนทนากับลูกค้าผู้บริหารค่ายรถจักรยานยนต์จากญี่ปุ่นอย่างออกรส จนพริมาอดสังหรณ์ใจไม่ได้ว่าพี่ตระการ หัวหน้าครีเอทีฟผู้รับผิดชอบดูแลทีม A ที่เธอสังกัดอยู่นั้นน่าจะนำข่าวดีเรื่องการงานไหลมาเทมาให้เธอและผองเพื่อนได้ทำเพิ่มภายในเร็วๆ นี้เป็นแน่
“ฉันเข้าไปดูข้างในก่อนนะ” พริมาหันไปบอกเพื่อนร่วมทีมทั้งสามซึ่งกำลังรุมล้อมสำรวจไลน์อาหารว่างและเครื่องดื่มกับความต้องการของกระเพาะอาหารอย่างจริงจัง ราวกับลืมไปแล้วว่าเธอมาด้วย
“เออ แกเข้าไปก่อนเลยพริม พวกฉันยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าเลยว่ะ” วอแวไม่รอช้า จัดการงับเมนูกุ้งพันอ้อยราดน้ำจิ้มบ๊วยสูตรพิเศษเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ โชว์ บอกให้เธอรู้ว่าหิวมากแค่ไหน
“นั่นอาหารว่างหรือมื้อเที่ยงเนี่ย”
พริมาพยักพเยิดไปที่ปริมาณกุ้งพันอ้อยในจานของวอแวและชินทรก่อนจะส่ายหน้ายิ้มบางอย่างอ่อนใจให้ แล้วหมุนตัวเดินตรงไปที่ประตูทางเข้าออกห้องบอลรูมตามความตั้งใจแรก หยิบพ็อกเก็ตบุ๊ก ‘โฆษณามาราธอน’ ออกจากกระเป๋าเป้หนังแท้สีดำคู่กาย หมายมั่นให้คนที่เธอนับถือยิ่งกว่าคำว่า ‘ครู’ จรดลายเซ็นบนปกพ็อกเก็ตบุ๊กภายในงานนี้ให้จงได้
พริมายังจำได้ดีถึงวันแรกที่ศักดารับเธอเข้าทำงานเมื่อสี่ปีก่อน ครีเอทีฟหลายคนกังขาเกี่ยวกับความสามารถของเธอว่ามีภาษีน้อยกว่าเส้นสาย เกิดมาเป็นลูกสาวคนเดียวของซีอีโอบริษัทอาหารและเครื่องดื่มรายยักษ์ช่างดีเหลือเกิน ไปไหนก็มีคนพร้อมอ้าแขนรับเข้าทำงาน
ในตอนนั้นพริมาทำได้เพียงสะกดกลั้นความไม่พอใจเอาไว้ เธอไม่อยากพูดอะไรให้มากความ ในเมื่อปฏิเสธความเป็นลูกซีอีโอดังไม่ได้ ก็ต้องพิสูจน์ให้พวกนั้นเห็นกับตาว่าฝีมือเธอร้ายกาจไม่เป็นรองใคร ด้วยการคว้ารางวัลโฆษณาจากเวทีต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ จนสามารถลบคำสบประมาทและทำให้ทุกคนยอมรับในตัวเธอได้ในที่สุด
“ว่าไงพริม เพิ่งกลับมาจากพรีเซนต์งานรึ เป็นไงบ้าง ลูกค้าชอบไหม” คุณศักดาหันมาถามถึงผลลัพธ์การขายงานเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ขณะสนทนากับใครบางคน…คนเคยคุ้นที่พริมาไม่ได้เจอมานาน
“ลูกค้าชอบมากๆ เลยค่ะ” เธอยิ้มตอบคุณศักดา ก่อนสายตาจะเลื่อนไปที่ชายหนุ่มเจ้าของร่างสูงคนนั้น เขาหายหน้าหายตาไปนาน ได้ยินข่าวว่าเพิ่งเรียนจบจากอเมริกาและมาทำงานแผนกการตลาดของสายการบินต้นทุนต่ำเจ้าใหญ่ หญิงสาวไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสได้พบเขาอีกครั้งในวันนี้
“หวัดดีพริม ไม่เจอกันนานเลยนะ”
“รู้จักกันด้วยเหรอ” นัยน์ตาพญาเหยี่ยวของคุณศักดามีเค้าประหลาดใจนิดๆ
“รู้จักค่ะ เรียนมหา’ลัยเดียวกัน แต่คนละคณะ” พริมาละรายละเอียดที่เห็นว่าไม่ควรเล่าให้คุณศักดาฟังต่อว่านักการตลาดหนุ่มดาวรุ่งของวงการคนนี้มีดีกรีเป็นถึงเดือนคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี เคยตามจีบเธอสมัยเรียนสถาปัตย์ตอนปีสอง
จริงๆ แล้วเขาก็เป็นผู้ชายที่แสนดีคนหนึ่ง คอยตามติดดูแลเธอไม่ห่าง แต่พริมาไม่ได้ต้องการความปรารถนาดีจากใคร เพราะหัวใจของเธอยังคงมี ‘ใครอีกคน’ จับจองทุกอณูความรู้สึกเรื่อยมานานนับสิบปีตั้งแต่เรียนจบชั้นมัธยมปลาย
พออดีตเดือนคณะบัญชีฯ ปลีกตัวไปสนทนากับนักการตลาดคนอื่นๆ พริมาจึงได้พูดคุยกับคุณศักดาต่อถึงบรรยากาศการขายงานเมื่อเช้าว่าลูกค้าชื่นชอบเรื่องเล่าของสินค้าที่ทีม A นำเสนอมากเพียงใด ไม่นานนัก…เลขาฯ ส่วนตัวของคุณศักดาก็เข้ามาสะกิดคนเป็นนายว่าถึงเวลาให้สัมภาษณ์นักข่าวหน้างานแล้ว และพาเขาออกไปจากบทสนทนาของพริมาทันที แต่กว่าจะถึงวงล้อมของนักข่าวและช่างภาพ คุณศักดากลับติดพันการพูดคุยและหัวเราะร่วนกับบรรดาลูกค้าทั้งเจ้าของและผู้บริหารธุรกิจเครื่องดื่ม อาหาร ค้าปลีก เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ สายการบิน บริษัทประกันภัย และอีกมากมายซึ่งล้วนเป็นเบอร์ต้นๆ ของวงการ
เมื่อเห็นว่าบริเวณหน้างานไม่เหลือพื้นที่สำหรับเธอ พริมาจึงหลบมาสมทบกับพี่ตระการ หนุ่ม วอแว และชินทรที่โต๊ะกลมสูงใกล้ชั้นวางอาหารว่างอีกครั้ง เธอได้ยินหนุ่มพูดกับพี่ตระการเกี่ยวกับจำนวนนักข่าวและช่างภาพที่มาร่วมงานว่าเกินกว่าที่คาดไว้มาก น่าจะร่วมห้าสิบคนได้ พี่ตระการยกถ้วยชาร้อนขึ้นจิบแล้วเล่าว่างานนี้แผนกพีอาร์ของเอเจนซี่แอดดิกต์เตรียมการมาดี คติของแผนกนี้คือทำทุกอย่างให้เป็นข่าว เลยเชิญพวกลูกค้าที่เป็นผู้บริหารระดับสูงขึ้นพูดบนเวที แตะประเด็นการลงทุนนิด แผนการตลาดหน่อย แค่นี้นักข่าวก็ปลื้มใจจะแย่แล้ว
พริมาก้มหน้ามองพ็อกเก็ตบุ๊กในมือที่หยิบจากกระเป๋าออกมาคอยเก้อ แล้วหันไปมองคุณศักดาอีกครั้งอย่างรอคอย พี่ตระการเอ่ยกับเธอด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกว่าอย่ารอเลย ไว้กลับไปให้คุณศักดาเซ็นที่ออฟฟิศดีกว่า เพราะทันทีที่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเสร็จคุณศักดาต้องเข้าไปในงานเพื่อฟังเสวนาบนเวทีต่อ ไม่มีเวลาให้เธอหรอก พริมาเองก็คิดเช่นนั้น จึงทำได้แค่ระบายลมหายใจแล้วเก็บพ็อกเก็ตบุ๊กใส่กระเป๋าเป้ตามเดิม
แต่แล้วสายตาของพริมาพลันสะดุดเข้ากับเหล่าเมสเซนเจอร์ชายชุดดำนับสิบขณะเดินกรูเข้ามาเป็นขบวน ในมือแต่ละคนมีกล่องกระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้ากับขาตั้งไม้สีขาว
ไม่พูดพร่ำทำเพลง ทั้งหมดแกะกล่องกระดาษด้วยท่าทีเร่งรีบ นำสิ่งที่บรรจุอยู่ภายในกล่องวางบนขาตั้งอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่พริมาหรือใครจะตั้งหลักห้ามได้ พวงหรีดสีดำนับสิบจึงปรากฏแก่ทุกสายตา เรียงรายหน้างานฉลองครบรอบสามทศวรรษเอเจนซี่แอดดิกต์!
“ใครตายวะเนี่ย?!”
เสียงพึมพำนั่นเป็นของวอแวไม่ผิดแน่ แต่พริมาตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้าเกินกว่าจะหันไปเอ็ดเพื่อนว่าเผลอหลุดประโยคที่ไม่สมควรเข้าแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่งราวกับถูกแช่แข็ง บรรดาแขกเหรื่อจดจ้องพวงหรีดปริศนาตาไม่กะพริบ ไม่กี่วินาทีต่อมาเสียงซุบซิบนินทาของคนหลายร้อยพลันดังกระหึ่มทั่วทั้งชั้นของโรงแรม
คนที่ไหวตัวเร็วกว่าใครเห็นจะเป็นช่างภาพของสื่อแต่ละสำนัก พริมาเห็นพวกเขาถอนกำลังออกจากวงล้อมสัมภาษณ์คุณศักดาและผู้บริหารบริษัทอื่น แล้วเข้ามาเก็บภาพพวงหรีดซึ่งถูกปิดด้วยป้ายข้อความอันเต็มไปด้วยเจตนาเสียดสีประชดประชันรุนแรง
‘ยินดีกับความสำเร็จจอมปลอม’
‘ขอให้เจริญรุ่งริ่งยิ่งๆ ขึ้นไป’
และอื่นๆ อีกมากมายที่พริมาไม่อาจจดจำได้ทั้งหมด ใจความและประโยคเหล่านั้นผ่านการลับคม ราวกับต้องการประจานและฝังกลบคุณศักดาทั้งที่ยังหายใจ
พริมาหันไปมองเจ้าของผมสีดอกเลา เห็นเขาชะงักค้าง สัมผัสได้ถึงความขุ่นเครียดสะท้อนผ่านนัยน์ตาเหยี่ยวคู่นั้น คุณศักดาคงกำลังคิดว่าใครกันช่างอาจหาญสั่งให้เมสเซนเจอร์ขนพวงหรีดมาทำลายบรรยากาศ กล้าฉีกหน้าเขากลางงานนี้…งานที่เขาควรจะได้รับการยกย่องเชิดชูและโดดเด่นเหนือใคร แต่เรื่องบ้าบอพรรค์นี้กลับเกิดขึ้น!
แสงแฟลชจากกล้องเหล่าช่างภาพสว่างวาบไม่หยุด เพราะนี่ถือเป็นภาพเด็ดของงาน มีคุณค่าข่าวเรื่องความขัดแย้งชวนสงสัย ดีกว่าภาพคุณศักดาพูดปาฐกถาบนเวทีหรือเหล่าผู้บริหารยืนเรียงแถวหน้ากระดานร่วมยินดีเป็นไหนๆ พริมาได้ยินนักข่าวหญิงสองคนคุยกัน คนหนึ่งตั้งสมมติฐานว่าน่าจะเป็นพวกไม่หวังดี เลยส่งพวงหรีดมาก่อกวน แต่อีกคนกลับเห็นแย้งว่าแล้วจะส่งมาทำไมถ้าคุณศักดาไม่ไปเหยียบเท้าใครเขาก่อน
“คุณศักดาใช่ไหมครับ” เมสเซนเจอร์คนนำขบวนเดินเข้ามาถามร่างสูงเจ้าของนัยน์ตาพญาเหยี่ยวที่บัดนี้ยืนตัวแข็งทื่อ ใบหน้าซีดเผือด “รบกวนเซ็นรับของด้วยครับ”
“ใครส่งของพรรค์นี้มาไม่ทราบ” คุณศักดาขบกรามแน่น พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบชวนขนลุก ทำเอาเมสเซนเจอร์คนนั้นชักหวั่น ตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นสู้
“ไม่ทราบครับ ต้องขอโทษด้วย พวกเราแค่ทำตามหน้าที่”
พริมาเห็นชัดว่าคุณศักดาถอนหายใจแรง มือไม้สั่นด้วยความโกรธเพียงใด จนเธอกลัวว่านักข่าวที่ยืนอยู่ข้างๆ จะจับสังเกตเห็นปฏิกิริยาของคุณศักดาเข้า ทันใดนั้นสายตาของเขาเบนทิศมายังพี่ตระการ…คนที่น่าจะพึ่งพิงได้ที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้ พริมาอ่านกระแสคำสั่งที่ส่งผ่านนัยน์ตาพญาเหยี่ยวคู่นั้นออกทุกอย่าง รีบทำอะไรสักอย่างสิ! ทำอะไรก็ได้ให้เหตุการณ์ตรงหน้าจบสวยที่สุด ไร้คำครหาชวนจุดประเด็นสงสัยในภายหลัง
แต่พี่ตระการกลับนิ่งงัน แววตาสะท้อนชัดว่าไม่รู้จะเข้าไปช่วยกู้หน้าอย่างไร
“และนี่คือไฮไลต์สำคัญของงานค่ะ…”
วินาทีนั้นพริมาตัดสินใจประกาศแทรกเรียกความสนใจจากแขกเหรื่อ พร้อมผายมือไปยังพวงหรีดทันที
แม้เบื้องลึกจะไม่มั่นใจนักว่าวิธีที่เธอจะทำต่อไปนี้จะช่วยแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าได้ แต่ช่างปะไร…เธอปลุกใจตัวเองอย่างเด็ดเดี่ยว อย่างน้อยก็ดีกว่าเอาแต่ยืนเฉย ปล่อยให้ผู้ประสงค์ร้ายเป็นฝ่ายเดินเกมอยู่ข้างเดียว
อยากรู้จริงเชียวว่าใครอยู่เบื้องหลังพวงหรีดปริศนาพวกนี้!
วาริศเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่เริ่ม
ชายหนุ่มไม่อาจเมินเฉยต่อความรู้สึกขำคลั่งอก พริมาโกหกต่อหน้าผู้คนมากมายออกไปได้อย่างไรว่าเหตุผลที่นำพวงหรีดนับสิบมาตั้งในงานเป็นเพราะศักดาต้องการแสดงให้ทุกคนเห็นถึงสัจธรรมของการทำโฆษณา
‘ทุกคนน่าจะทราบกันดีอยู่แล้วนะคะว่าจากไอเดียโฆษณาที่ถือกำเนิดมามากมาย มีเพียงไม่กี่ไอเดียเท่านั้นที่อยู่รอด ออกมาโลดแล่นต่อสายตาผู้บริโภค เราจึงขอไว้อาลัยต่อการสูญเสียของไอเดียที่ไม่แข็งแกร่งพอต่อแรงบีบคั้นจากสถานการณ์แข่งขันอันรุนแรงของโลกโฆษณา และแม้ว่าจะต้องเสียไปมากเท่าไหร่ แต่เอเจนซี่แอดดิกต์ก็ไม่เคยเสียใจเลยสักครั้ง เพราะความหวังของลูกค้าคือภารกิจสำคัญ การฆาตกรรมไอเดียอ่อนแอจึงเป็นทางรอดเดียวของคนทำงานสายนี้’
ในตอนนั้นวาริศอยากจะปรบมือเป็นกำลังใจให้ผู้หญิงคนนั้นเสียจริงๆ แต่พริมาจะรู้บ้างไหมว่าฝีมือในการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสของเธอยังอ่อนด้อยนัก
ใครเขาจะเชื่อกันง่ายๆ ว่าพวงหรีดเหล่านั้นเป็นไฮไลต์เด็ดอย่างที่เธอเฉลย ให้ตายเถอะ…วาริศไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าหลงใหลความพยายามอันไร้ค่าของพริมาเข้าแล้ว จนอยากเข้าไปกระซิบข้างหู ฉุดเธอกลับสู่โลกความเป็นจริงเหลือทน วาจาที่เธอตั้งใจลับคมจนแยบคายเห็นแววไร้ความหมายในเชิงผลลัพธ์
แขกเหรื่อและนักข่าวทยอยกลับจนหมดแล้ว วาริศหลบมานั่งอยู่อีกมุมไม่ไกลจากหน้าห้องบอลรูม แว่นกันแดดแบรนด์ดังจากอิตาลียังคงทำหน้าที่ช่วยอำพรางแววเยาะหยันในดวงตาเขาเป็นอย่างดี
พริมายังอยู่ในสายตาเขาตลอด ความรู้สึกกลัดกลุ้มอัดแน่นบนดวงหน้าสวย จนเขาอยากเข้าไปช่วยปลอบ บอกเธอว่าทำดีแล้ว ศักดาโชคดีเหลือเกินที่มีพนักงานดีเด่นอย่างเธอมาช่วยกู้หน้า ยิ้มเข้าไว้พริมา…นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น เธอยังต้องเจออะไรอีกมากมายชนิดไม่มีทางคาดเดาได้เชียวล่ะ
เขาเพลิดเพลินกับการจ้องมองพริมาต่ออีกหลายนาที กระทั่งหญิงสาวปลีกตัวจากวงสนทนาอันเคร่งเครียด มุ่งหน้าไปยังลิฟต์ ไม่ทันสังเกตเห็นเขาเลยแม้แต่นิด
วูบนั้นวาริศคิดอยากเป็นเด็กที่ชอบเรียกร้องความสนใจ เขาตัดสินใจถอดแว่นกันแดด ก้าวยาวตามเธอไป ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดชายหนุ่มนึกอยากตะโกนเรียกพริมา แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างกระซิบบอกเขาว่าอย่า…อย่าเรียกชื่อผู้หญิงคนนี้เป็นอันขาด ยังมีเวลาและจังหวะที่เหมาะกว่านี้อีกมากสำหรับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการต่อหน้าเธอ
แต่กลับกลายเป็นว่าดวงตาสวยหม่นคู่นั้นประสานกับนัยน์ตาหยันโลกของเขาเข้าเสียแล้ว
พริมา…ใบหน้าของเธอแทบไม่เปลี่ยนเลย วาริศพินิจจมูกโด่งรั้นอันเคยคุ้น ต่อด้วยริมฝีปากเล็กเรื่อละมุนอย่างละเอียด จนนึกฉุนตัวเองที่ปล่อยให้เธอฝังตัวในหลุมลึกแห่งความทรงจำ ทั้งที่พยายามลืมมาตลอดสิบปี แต่สุดท้าย…พริมาไม่เคยเลือนหายไปจากห้วงคิดคำนึงของเขาเลยแม้แต่วันเดียว เธอเก่งเหลือเกิน ชายหนุ่มนึกชื่นชมเธอในใจ อาจเป็นเขาเองที่ประเมินความสามารถเธอต่ำไป
แล้วนี่อะไร ในเมื่อเห็นเขาแล้วทำไมพริมาถึงไม่ยอมก้าวออกมาจากลิฟต์ หรือเป็นเพราะเธอลืมเขาไปแล้ว แต่ก็ไม่น่าใช่ ดูเหมือนร่างระหงของเธอจะเปลี่ยนไปเป็นแข็งทื่อมากกว่า แถมดวงตายังเบิกกว้างอย่างตกตะลึงคล้ายคนสติหลุดลอยเกินกว่าจะคว้าไว้ ยังไม่ทันที่พริมาจะเปล่งเสียงฉายความสงสัยปนประหลาดใจใดๆ ประตูลิฟต์พลันปิดสนิท พาเธอไปยังชั้นล่างของโรงแรมทันที
แม้ส่วนลึกของหัวใจเพียรบอกให้ยืนรอเธอ แต่วาริศกลับเลือกข่มความเอาแต่ใจนั้นไว้ เดินไปที่ลิฟต์อีกฝั่งของโรงแรม หวังทิ้งระยะทางให้ห่างจากพริมามากที่สุด เผื่อเธอหวนคืนมายังชั้นนี้
ไม่ถึงสี่สิบนาที รถแท็กซี่พาชายหนุ่มหลบหลีกการจราจรอันวุ่นวายมาถึงหน้าบ้านปูนสองชั้นที่เขาไม่ได้มาเหยียบนานนับสิบปี
ตะวันรอนอ่อนแสงเป็นสีส้มจัด สาดกระทบพุ่มใบสีเหลืองอมเขียวอ่อนของต้นแสงจันทร์ซึ่งบัดนี้เติบใหญ่เคียงรั้ว ได้รับการดูแลตัดแต่งกิ่งจนผลิใบออกเป็นพุ่มสวย วาริศไม่อยากเชื่อเลยว่ามันยังมีชีวิตอยู่ จำได้ว่าตอนอายุเก้าขวบเขาเคยเล่นซนขึ้นปีนป่าย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากิ่งก้านสีขาวออกเทาจะเปราะบางหักง่าย เขาเลยกลายเป็นเด็กสามขาไปร่วมเดือน
“มาถึงแล้วเหรอ” หญิงแก่วัยหกสิบกล่าวต้อนรับด้วยน้ำเสียงสงบเรียบ ทว่าประกายตาฉายชัดถึงความดีใจเมื่อเห็นเขากลับมาเยือนไทยในรอบสิบปี “เปลี่ยนไปเยอะเลย ป้าจำแทบไม่ได้”
“ป้าแหวนสบายดีนะครับ?”
คนเป็นเพื่อนบ้านพยักหน้าแทนคำตอบ ก่อนจะหันไปไขกุญแจรั้วบ้านให้เขา “กระเป๋าเดินทางไปไหนเสียล่ะ อย่าบอกนะว่ากลับมาตัวเปล่า”
เขายิ้มให้ก่อนบอกป้าแหวนว่าไม่ต้องเป็นห่วง “ผมแค่แวะมาดูบ้านครู่เดียว ไม่คิดจะค้างที่นี่อยู่แล้วครับ”
คนสูงวัยกว่าสบตาวาริศอย่างรู้กันถึงเหตุผลที่ไม่ควรแสดงออกถึงการมีตัวตนของสมาชิกอีกสองคนที่เหลืออยู่ของบ้าน
ร่างสูงปล่อยให้ป้าแหวนเดินนำเข้าไปในบริเวณบ้าน ผ่านสนามหญ้าอันรกร้าง ต่างจากต้นแสงจันทร์ที่ได้รับอภิสิทธิ์การดูแลอย่างประคบประหงมจากป้าแหวนเพียงต้นเดียว แม่คงฝากไว้ก่อนพาเขาไปนิวยอร์ก เขาพอจะนึกออกแล้วว่าทำไมแม่ถึงเป็นห่วงไม้ต้นนี้ เพราะมันมีคุณค่าทางจิตใจ พ่อซื้อให้แม่เป็นของขวัญวันครบรอบแต่งงานนั่นเอง
“ทานมื้อค่ำกับป้าก่อนนะ แล้วค่อยกลับคอนโดฯ”
ป้าแหวนพูดพลางไขประตูตัวบ้าน เปิดทางให้วาริศก้าวเข้าไป แล้วทิ้งให้ชายหนุ่มสำรวจความเปลี่ยนแปลงภายในชั้นล่าง โปสเตอร์โฆษณาเก่าๆ สมัยสิบยี่สิบปีก่อนที่เคยปิดตามฝาผนังบัดนี้ถูกม้วนเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัย เหลือเพียงโซฟาตัวเก่าคร่ำครึฝุ่นจับบางๆ ตั้งอยู่ใจกลางห้องนั่งเล่น
ร่างสูงละความสนใจจากเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น ก้าวขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง เขาแวะเปิดประตูห้องนอนเก่าซึ่งอัดแน่นไปด้วยความว่างเปล่า ก่อนจะถอยออกมา แล้วเดินเข้าไปในห้องทำงานของพ่อ
โต๊ะไม้สักยังคงตั้งอยู่ที่เดิม ไม่มีใครกล้าแตะต้องมันเลยแม้แต่นิด แล้ววาริศก็จมหายไปกับกระแสธารแห่งอดีตอันไหลหลาก นึกถึงวันเก่าๆ ที่เขามักจะเข้ามาหาพ่อหลังเล่นซนกับเพื่อนวัยเดียวกันที่สนามเด็กเล่นในหมู่บ้าน และขอให้พ่อวาดรูปแบทแมนให้เหมือนเช่นทุกครั้ง พ่อเคยถามเขาซ้ำๆ ว่าไม่เบื่อหรือ เขาจำได้ว่าตัวเองยิ้มกว้างแล้วส่ายหน้า ขนาดพ่อยังไม่เบื่อหน้ากากเสือ แล้วเขาจะเบื่อแบทแมนได้อย่างไร
รอยยิ้มของพ่อยังคงติดตรึงในความทรงจำราวกับนั่งอยู่ตรงหน้า วาริศบอกตัวเองให้เงยหน้า ขังน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา เตือนตัวเองว่าอย่าปล่อยให้ความอ่อนแอกัดกร่อนหัวใจเชียว จำคำสอนของพ่อไม่ได้หรือ โลกใบนี้…ไม่มีที่ยืนสำหรับคนขี้แพ้
ตะวันลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ชายหนุ่มปล่อยให้ความมืดคืบคลานมาแทนที่อยู่นาน กว่าจะเหยียดกายลุกขึ้นไปเปิดสวิตช์ไฟเรียกความสว่างปรากฏทั่วห้อง
ทว่าไม่กี่อึดใจเสียงกริ่งบ้านพลันดังขึ้น
แทนที่จะปิดไฟให้ความมืดเคลื่อนไหวแทนคำตอบ วาริศกลับนิ่งงัน ขณะที่เสียงกริ่งยังคงดังระรัวไม่หยุด กดดันชายหนุ่มให้ออกไปต้อนรับหน้ารั้ว เขามัวแต่คิดว่าใครเป็นคนกดกริ่ง จนกระทั่งใบหน้าของพริมาผุดขึ้นมาเป็นคำตอบ
ต้องเป็นพริมาแน่ๆ ไม่มีทางเป็นคนอื่นได้เลยนอกจากเธอ เสี้ยวความรู้สึกนั้น…ชายหนุ่มเผลอดีใจ ก่อนจะระงับความพลุ่งพล่านในอกเอาไว้แล้วก้าวไปที่หน้าต่าง เลิกม่านสีทึบเป็นช่องเล็ก สอดส่ายสายตาลงไปยังเบื้องล่าง
เป็นเธอจริงๆ ด้วย…
ไฟจากถนนหน้าบ้านทำให้เขาพอมองเห็นเจ้าของร่างระหงอยู่บ้าง แต่จับสีหน้าและสายตาของพริมาได้ไม่ถนัดนัก ไม่นานนัก…เขาเห็นป้าแหวนเข้ามาขวางเมื่อพริมาเอื้อมมือหมายกดกริ่งอีกครั้ง ทั้งคู่คุยอะไรกันเขาอยากรู้เสียจริง
“ใครมาเหรอครับ” เขาแสร้งถามป้าแหวนทันทีที่คนอาวุโสกว่าเปิดประตูเข้ามาในห้อง ทว่าคำตอบกลับห้วนสั้น สั่นสะเทือนใจวาริศอย่างรุนแรง
“หนูพริม”
เขานิ่งไป แค่มองตาก็อ่านออกว่าป้าแหวนน่าจะรู้เรื่องที่เขาไปงานศักดาจากปากพริมาแล้ว “เธอ…มาทำไมเหรอครับ”
“เราน่าจะรู้คำตอบนั้นดีกว่าป้านะ” ป้าแหวนมองตอบ แววตาอ่อนแสง “ป้าล่ะนับถือเธอจริงๆ มายืนรอคนบางคนที่หน้าบ้านนี้บ่อยๆ ทั้งที่รู้ว่าไม่มีใครอยู่มาเป็นสิบปี ถ้าป้าเป็นหนูพริม…คงถอดใจไปนานแล้ว”
“สร้างภาพ!” นี่น่าจะเป็นงานที่พริมาถนัดที่สุดนับตั้งแต่รู้จักกันมา
“ไม่น่าใช่…”
วาริศไม่เข้าใจ ป้าแหวนจะปกป้องพริมาไปถึงไหน “เรื่องนี้ผมรู้ดีกว่าใคร…บางเหตุการณ์ก็ทำให้เราเห็นธาตุแท้ของผู้หญิงคนหนึ่งมากพอ”
“แล้วก็ทำให้ผู้ชายอีกคนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนตลอดกาล”
แทนที่วาริศจะเฉยชากับประโยคนั้น กลับสะอึกในอกอย่างจังจนรู้สึกเกลียดตัวเอง
“เมื่อกี้ป้าเพิ่งเล่นละครโกหกหนูพริมไปว่าเป็นคนเปิดไฟทิ้งไว้เอง” ป้าแหวนถอนหายใจ มือเหี่ยวย่นเอื้อมไปปิดไฟให้สมจริงตามบทละครที่เพิ่งเขียนขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ “จะเปิดทิ้งได้ยังไง ในเมื่อเราเป็นคนเปิดต่อหน้าหนูพริมแท้ๆ”
“จากนี้ไป…ป้าแหวนอาจต้องเล่นละครบ่อยขึ้น”
ป้าแหวนยิ้มบางคล้ายทำใจกับเรื่องนี้มานานแล้ว หล่อนเล่าเรื่องโกหกที่เพิ่งปั้นแต่งเพิ่มเมื่อครู่ว่าแม่ของเขาขายบ้านหลังนี้ให้หล่อนได้พักใหญ่ เป็นที่แน่นอนแล้วว่าสมาชิกสองคนที่เหลือจะไม่มีวันกลับมาเหยียบเมืองไทยอีก
“จริงๆ เรากับหนูพริมน่าจะมาเจอกันสักครั้ง เคลียร์เรื่องค้างคาใจให้จบๆ ไป ต่างคนจะได้แยกย้ายไปมีชีวิตของตัวเอง ไม่เหนี่ยวรั้งซึ่งกันและกันไว้”
“บางที…อาจเป็นผมเองที่ไม่อยากให้เรื่องของเราจบลง”
“ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องยากด้วย ความสุขที่แท้จริงของคนเรา อยู่ที่เรารู้จักปล่อยวางไม่ใช่เหรอ”
ดวงตาคมฉานฉายแววยอกแสยง ความเศร้าสลดแล่นแฝงตัวจับขั้วหัวใจ เขาจะปล่อยวางได้อย่างไร ในเมื่อคนทำลายชีวิตพ่อ…ยังคงหายใจและใช้ชีวิตอย่างปลอดโปร่งมาจนถึงทุกวันนี้
* AE (Account Executive) คือคนกลางที่มีหน้าที่บริหารงานลูกค้า ทั้งเจรจาและประสานงานระหว่างลูกค้ากับบริษัท
Comments
comments