X
    Categories: LOVEทดลองอ่านวงกตลายตะวัน

ทดลองอ่าน วงกตลายตะวัน บทที่12-บทที่13

หน้าที่แล้ว1 of 2

บทที่ 12

เวทีคนคลั่ง

 

ลานกว้างหน้าห้างสรรพสินค้าใจกลางกรุงใกล้กับที่ตั้งของออฟฟิศเอเจนซี่แอดดิกต์ถูกเนรมิตให้เป็นสถานที่จัดงานประกาศผลรางวัลโฆษณายอดเยี่ยมแห่งปี อินทัชได้ยินจากชินทรว่าวอแวรับหน้าที่เป็นพิธีกรของงานในปีนี้ มิน่าเล่า…เจ้าก๊อปปี้ไรเตอร์หนุ่มจอมเพี้ยนถึงได้หายตัวไปนานสองนานช่วงพักกลางวัน ที่แท้ก็ไปซื้อสูทเข้ารูปกับกางเกงสแล็กส์สีเทาที่ร้านขายเสื้อผ้าแนวฟาสต์แฟชั่นแบรนด์ดังในห้าง เตรียมพร้อมสำหรับบทบาทใหม่ในค่ำคืนนี้ แถมท่าทียังดูมั่นอกมั่นใจเหลือเกินว่าจะได้ยืนข้างพิธีกรเออีสาวสวยจากเอเจนซี่ใดเอเจนซี่หนึ่ง

แต่แล้ววอแวเป็นอันต้องผิดหวัง เมื่อรู้ข่าวว่าคนที่เป็นพิธีกรคู่เขานั้นหาใช่คนอื่นคนไกล…

“ทำไม…ทำไมต้องเป็นเจ๊ไก่ด้วย!” วอแวโอดครวญ

“เป็นฉัน แล้วมันยังไงยะ!” ปีย์รกาแหวใส่

วอแวสะบัดหน้าหนี เบ้ปากเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมาจริงๆ อินทัชเห็นภาพนั้นแล้วถึงกับสะกดความรู้สึกขำขันไว้ไม่อยู่ จนวอแวอดเหวี่ยงกลับไม่ได้

“ขำอะไรไอ้แทน”

อินทัชกอดอก ทั้งที่พยายามเม้มปากแน่น แต่กลับปกปิดรอยขันไว้ไม่มิด “ไม่มีอะไร”

“เปลี่ยนพิธีกรชายตอนนี้ทันมั้ยวะ” วอแวหันไปถามคู่หู

“ไม่น่าทันว่ะ” ชินทรทำหน้าเหยเกอย่างเห็นอกเห็นใจ

พอตกช่วงหัวค่ำ เหล่าครีเอทีฟต่างเร่งสะสางงานเป็นการใหญ่ ก่อนจะทยอยเดินเท้าไปร่วมงานตรงลานกว้างหน้าห้าง อินทัชยังคงติดพันกับการแก้ไขเลย์เอาต์โฆษณา จึงปล่อยให้วอแวและชินทรล่วงหน้าไปก่อน

ส่วนพริมา เธอยืนยันว่าจะไปพร้อมกันกับเขา เพียงเท่านั้นหัวใจของอินทัชพลันกระตุกเปลี่ยนไปเป็นเบาหวิว แทบจะปลิดปลิวไปพร้อมกับคำพูดไม่กี่พยางค์ของเธอ เขาเผลอจินตนาการอย่างไม่อาจห้ามได้ว่าหญิงสาวมอบความสนิทสนมให้เขามากขึ้นอีกระดับแล้ว

ห้วงนาทีนั้นอินทัชไม่สามารถละสายตาจากพริมาได้เลย เขาเหลือบมองเธอขณะก้มหน้าก้มตาร่างภาพไอเดียโฆษณาตัวอื่นลงบนสมุดคู่ใจ ลายเส้นของพริมาไม่ธรรมดา สมกับร่ำเรียนมาจากคณะสถาปัตยฯ มุมมองการคิดเป็นภาพของเธอนั้นล้ำเลิศ เขาจึงลองหยั่งเชิงถามเธอว่าทำไมไม่ทำงานเป็นอาร์ตไดเร็กเตอร์ ดูเธอเหมาะกับตำแหน่งนี้ไม่น้อย

แต่พริมากลับนิ่งไปคล้ายครุ่นคิดถึงบางเรื่อง ก่อนจะยอมเล่าให้เขาฟังถึงอดีตที่เคยสัญญากับเพื่อนคนหนึ่งไว้ว่าจะทำงานเป็นครีเอทีฟคู่กันหลังเรียนจบมหาวิทยาลัย เธอเป็นก๊อปปี้ไรเตอร์ ส่วนอีกคนเป็นอาร์ตไดเร็กเตอร์ ทว่าเรื่องเล่านั้นสั้นกุดจนอินทัชอยากซักต่อ แต่ก็ทำได้แค่เก็บงำความสงสัยเอาไว้ว่า ‘เพื่อนคนนั้น’ ของพริมาเป็นใคร และตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ ถึงไม่ได้มาทำงานเป็นคู่หูพริมาอย่างที่เคยให้สัญญากัน

ทั้งคู่มาถึงงานราวสองทุ่ม ซุ้มเครื่องดื่มหลากหลายเจ้าตั้งรับขวัญแขกเหรื่อตรงทางเข้างาน อินทัชกวาดสายตามองไปรอบๆ เห็นผู้คนในวงการโฆษณาแห่แหนมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง บนเวทียังไม่มีพิธีการอันใด ปล่อยให้เป็นพื้นที่ของนักร้องหนุ่มเสียงแหบห้าวและนักดนตรีร่วมวงเจ้าของเพลงดังแห่งยุคขึ้นโชว์เรียกความคึกคักก่อนเริ่มงาน อินทัชหยิบแก้วน้ำเสาวรสให้พริมา แต่เธอกลับยิ้มบางพลางส่ายหน้า ก้าวไปหยิบมาร์ตินี่ประดับด้วยมะกอกดองเสียบไม้มาสองแก้วแล้วยื่นให้เขา

“เรียกน้ำย่อยกันหน่อย” พริมาว่า

อินทัชรู้สึกเสียหน้านิดหน่อย ก่อนจะวางแก้วน้ำเสาวรสที่ถูกเมินบนโต๊ะกลมทรงสูง “ผมคงต้องมองคุณใหม่ซะแล้ว”

“ความจริงแอลกอฮอล์มันก็แค่เครื่องดื่มที่มีรสชาติขม แต่เพราะคนเราชอบเปรียบเปรย เลยคิดว่าเวลาเศร้า เหงา ทุกข์ แอลกอฮอล์คือเพื่อนที่ดีที่สุด อย่างน้อยมันก็ไม่ปล่อยให้เราขมขื่นคนเดียว คุณรู้มั้ย ฉันดื่มแก้วแรกตอนอายุเท่าไหร่”

เสียงดนตรีหนาหูขึ้นเพลงใหม่ดังลั่นทั่วลานกว้าง ร่างสูงอยากได้ยินพริมาพูดทุกคำให้ชัดถนัดหู จึงโน้มใบหน้าเข้าใกล้เธอ “เท่าไหร่”

แม้บรรยากาศโดยรอบจะโอบคลุมไปด้วยความมืด มีเพียงแสงไฟหลากสีบนเวทีและโคมไฟดวงเล็กราวครึ่งร้อยบริเวณนิทรรศการแสดงผลงานโฆษณาเข้ารอบสุดท้ายของการประกวดในแต่ละหมวดหมู่ แต่อินทัชก็รีบเก็บเกี่ยวช่วงเวลาดีๆ แบบนี้ไว้…เวลาที่เขาและเธออยู่ใกล้กันเพียงแค่คืบ

“สิบแปด” เธอเฉลย

“จริงเหรอ ส่วนผมสิบหก”

พริมาหยักยิ้ม “คิดไว้อยู่แล้วว่าต้องเริ่มดื่มตอนประมาณนี้”

“หมายความว่าไง” เขาไม่แน่ใจนักว่านัยของคำพูดเธอคือชื่นชมหรือหลอกต่อว่า แต่อินทัชหาได้ใส่ใจไม่ เพราะนาทีนี้ไม่มีสิ่งใดทดแทนรอยยิ้มละลายใจแต้มใบหน้ารูปไข่ของพริมาได้เลย “แก้วแรกของผมนี่ไม่มีอะไรซับซ้อน แค่อยากรู้รสเฉยๆ ว่ามันเป็นยังไง แล้วคุณล่ะ”

พริมานิ่งไป ดวงตาคู่สวยฉายแววเศร้าประหลาด “จริงๆ แล้วตอนนั้นฉันดื่มเพราะคิดว่ามันจะช่วยให้ฉันลืมความรู้สึกผิดในใจได้” เธอยกแก้วมาร์ตินี่ขึ้นดื่มจนหมด เหลือเพียงมะกอกดองนอนนิ่งก้นแก้ว “แต่สุดท้ายก็รู้ว่าเหล้าไม่สามารถแก้ปัญหาให้เราได้เลย”

ความสงสัยก่อตัวขึ้นในใจอินทัชอีกครั้ง อยากรู้นักว่าความรู้สึกผิดที่เธอว่านั้นคือเรื่องใดกันแน่

“คุณเล่าให้ผมฟังได้นะ”

พริมาก้มหน้าเม้มริมฝีปากแน่นเป็นเส้นตรง เรือนผมเส้นเล็กค่อยๆ เคลื่อนตัวลงมาเป็นแพหนาเคลียบ่าชวนมอง ก่อนจะใช้มือซ้ายเกี่ยวเส้นผมไว้หลังหู “ถ้าฉันพูด ฉันจะยิ่งรู้สึกถึงมัน ดังนั้นฉันขอไม่พูดดีกว่า”

จบประโยคได้คม ทิ้งปมชวนสงสัยไว้อย่างยอดเยี่ยม สมกับเป็นก๊อปปี้ไรเตอร์มือรางวัลของเอเจนซี่ เธอปิดประตูไว้แน่นหนาเสียขนาดนี้ ไม่มีเหตุผลที่อินทัชต้องซักต่อ

“ว่าแต่…น้องสาวคุณไม่มาด้วยเหรอ” พริมาเสเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นบ้าง เขาเห็นชัดว่าเธอพยายามลบร่องรอยความเศร้าให้หายไปจากดวงตาคู่เรียวสวย ชายหนุ่มจึงค่อยๆ ถอนใบหน้าให้พ้นจากรัศมีระยะประชิด

“แก้วติดถ่ายหนังโฆษณาที่เชียงใหม่น่ะ”

หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ เธอชวนเขาเดินชมนิทรรศการแสดงผลงานโฆษณาที่เข้ารอบสุดท้าย ในตอนนั้น อินทัชเหลือบเห็นศักดากำลังให้สัมภาษณ์นักข่าวสายการตลาดตรงแบ็กดร็อปหน้าทางเข้างาน ประเด็นที่ให้สัมภาษณ์คงหนีไม่พ้นทิศทางหรือแนวโน้มธุรกิจโฆษณาในปีหน้า และการปรับตัวของเอเจนซี่โฆษณาที่ต้องแข่งขันกันอย่างดุเดือดรับกระแสโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

“แทน คุณดูนี่สิ” พริมาหันขวับมาทางเขาพลางกวักมือเรียกให้ไปสมทบหน้าบอร์ดแสดงผลงานโฆษณาชิ้นหนึ่งในหมวดสิ่งพิมพ์โดยเร็ว พอก้าวยาวเข้าไปใกล้เขาจึงเห็นว่ามันคือโฆษณาร้านไบรเทนของลูกค้าที่ชื่อแสงวิทย์นั่นเอง “ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเข้ารอบด้วย ถ้าได้รางวัลจากตัวนี้จริงๆ ก็ดีสิ อย่างน้อยก็ไม่เสียแรงทำให้ฟรีๆ”

รอยยิ้มอย่างคนไม่คิดอะไรมากของเธอทำอินทัชสะอึก จากนั้นร่างระหงพลันเดินนำไปดูผลงานในหมวดอื่นๆ ต่อ นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่ผลงานของเขาและเธอเข้ารอบทั้งหมดห้าแคมเปญ ดูเหมือนพริมาจะภูมิใจกับผลงานโฆษณาทางวิทยุของหน่วยงานส่งเสริมสุขภาพมากที่สุด เพราะได้โอกาสฉายเดี่ยวละเลงไอเดียอย่างเต็มที่

ขณะที่อินทัชกับพริมาเดินชมนิทรรศการจนทั่ว ต่างสังเกตเห็นว่าผลงานของเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ตหลายๆ ชิ้นช่างโดดเด่น และล้วนมีชื่อ ‘วาริศ อิสรา’ ขึ้นหราข้างผลงาน จะว่าไปแล้ว…วาริศเริ่มอาชีพอาร์ตไดเร็กเตอร์ในไทยพร้อมๆ กับอินทัช แต่พอนับจำนวนผลงานที่เข้ารอบสุดท้าย หมอนั่นกลับทำผลงานเข้าตากรรมการได้ถึงสิบแคมเปญ

มากกว่าอินทัชเป็นเท่าตัว

วูบนั้นอินทัชรู้สึกทึ่งในความสามารถของอดีตเพื่อนรัก…คนที่ขยับตัวเพียงนิด ตะแคงหัวคิดเพียงหน่อย ก็สามารถตกผลึกไอเดียดีๆ ผิดกับเขาที่กว่าจะเค้นแต่ละไอเดียออกมาได้ต้องใช้ความพยายามมากกว่าหลายร้อยหลายพันเท่า

“เหนื่อยหน่อยนะที่ต้องแข่งกับฉัน…”

อินทัชได้ยินชัดถึงเสียงทุ้มลึกของคนรู้ทัน ตระหนักได้ในฉับพลันว่าหมอนั่นยืนห่างจากเขาเพียงไม่กี่ก้าว และรู้ดีกว่าใครว่าประโยคเมื่อครู่นั้นวาริศจงใจเอ่ยกับเขา…หาใช่ใครอื่น

“คุณ…” เสียงพริมาแผ่วเบาจนแทบหายไปในลำคอเมื่อเห็นวาริศยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาเธอเบิกกว้าง ร่างกายเปลี่ยนไปเป็นแข็งทื่อ

“ครับ ผมเอง เราเคยเจอกันหลายครั้ง คุณน่าจะจำได้” สำเนียงนั้นแฝงเลศนัยไม่น่าไว้ใจ

“ค่ะ ฉันจำได้” ริมฝีปากเล็กของเธอไหวระริกข่มความรู้สึกบางอย่างที่อินทัชไม่อาจคาดเดาได้

“แต่รวมๆ แกก็ทำได้ดีนะ…” วาริศหันมาเอ่ยกับอินทัชต่อด้วยน้ำเสียงเคลือบความเป็นมิตร แต่ไม่วายเผยยิ้มเหยียดดุจของกำนัล “ต่างจากเมื่อก่อนเยอะเลย”

อินทัชเกลียดแก่นเย้ยหยันซ่อนใต้เปลือกหนาของคำชมนั่น หากที่ลานกว้างแห่งนี้ไม่มีพ่อและคนในวงการอยู่ภายในงาน…ไม่มีพริมายืนอยู่ข้างๆ…เขาคงปล่อยหมัดเสยปลายคางวาริศไปเรียบร้อยแล้ว ให้ตายเถอะ…สิ่งเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้คือการข่มโทสะไว้ใต้กำปั้นทั้งสองข้างจริงๆ น่ะหรือ

“ขอตัวก่อนนะคะ” พริมาตัดสินใจก้าวออกจากวงสนทนาเป็นคนแรก ปล่อยให้เขายืนเผชิญหน้ากับวาริศ ราวกับไม่อยากอยู่ร่วมวงความขัดแย้งใดๆ อีกต่อไป

“เดี๋ยวสิคุณ” อินทัชเข้าไปรั้งข้อมือเธอไว้ “จะไปไหน”

“ฉันจะไปนั่งรอหน้าเวที”

“งั้นผมไปด้วย” อินทัชดึงดันกุมมือเธอไว้แน่นแล้วพาไปรวมกลุ่มกับเพื่อนร่วมออฟฟิศหน้าเวทีทันที

ไม่ทันสังเกตเห็นดวงตาหยันโลกของวาริศที่จดจ้องมือของเขาขณะกุมมือพริมาแน่นอย่างไม่วางตา

 

“คุณเป็นอะไรรึเปล่า”

อินทัชอดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้เมื่อเห็นพริมานั่งนิ่งคล้ายตกอยู่ในภวังค์ หญิงสาวกะพริบตาเรียกสติคืนสู่คำถามเขาอยู่หลายครั้งกว่าจะเอ่ยตอบมาในที่สุดว่า

“เปล่า ฉันไม่ได้เป็นอะไร”

ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าต้องมีอะไรแน่ๆ แววตาเธอฟ้องชัดเสียขนาดนั้น แต่พริมายังดึงดันปกปิดมันไว้อย่างเงียบงัน อินทัชจึงไม่อาจดันทุรังทู่ซี้ถามเธอต่อไปได้

“ไม่ซิลเวอร์ก็โกลด์ล่ะวะงานนี้” ชินทรซึ่งนั่งอยู่ข้างอินทัชหน้าเวทีออกอาการลุ้นตัวโก่งไม่แพ้คู่หูผู้รับบทเป็นพิธีกรของงาน เพราะตั้งแต่เริ่มประกาศรางวัลมา ยังไม่มีชื่อแคมเปญโฆษณาที่ชินทรทำร่วมกับวอแวเลย

“หรือไม่ก็แค่เข้ารอบสุดท้าย ชวดทั้งบรอนซ์…ซิลเวอร์…โกลด์ ส่วนกรังด์ปรีซ์น่ะหรือ ไม่ต้องพูดถึง” บารมีว่า

ชินทรแยกเขี้ยวตั้งท่าจะกินเลือดกินเนื้อบารมี ราวกับอยากรู้นักว่าตกลงแล้วเขากับหัวหน้าแผนกวางแผนกลยุทธ์คนนี้ทำงานที่เอเจนซี่เดียวกันหรือเปล่า ทว่ายังไม่ทันได้ทำอะไรบารมี ชินทรเป็นอันต้องกระโดดโหยงทันทีที่ได้ยินชื่อผลงานตัวเองคว้าซิลเวอร์อะวอร์ด ผละจากเพื่อนร่วมวงก้าวยาวขึ้นไปกอดวอแวและรับรางวัลร่วมกันบนเวที ในตอนนั้น…อินทัชรู้สึกได้ถึงนิ้วของใครบางคนสะกิดตรงหัวไหล่

“เหลือคู่เราแล้วสินะ” พี่ตระการว่า

“ครับ” เขารับคำสั้นๆ ก่อนยกเครื่องดื่มขึ้นจิบดับความกังวลปนกระวนกระวายใจ

“และนี่คืออีกผลงานเจ้าของซิลเวอร์อะวอร์ดหมวดสิ่งพิมพ์ในค่ำคืนนี้” วอแวกลับมาประกาศผลรางวัลต่อ “ขอแสดงความยินดีกับ…”

อินทัชภาวนาขอให้ชื่อที่กำลังจะประกาศต่อไปนี้…ไม่ใช่ผลงานของเขากับพริมา เพราะนั่นหมายความว่าเขาและเธอจะหมดสิทธิ์คว้าโกลด์อะวอร์ดทันที

“ขอแสดงความยินดีกับ…แคมเปญยัวร์เดย์ของร้านไบรเทน จากเอเจนซี่แอดดิกต์ครับ!”

แทนที่จะดีใจ อินทัชกลับรู้สึกเสียดาย ชายหนุ่มทำอะไรไม่ได้มากนอกจากเหยียดกายลุกขึ้นเต็มความสูง เดินนำพริมาขึ้นรับรางวัลบนเวที ทั้งเขาและเธอต่างพร้อมใจฉีกยิ้มแห้งแล้งพอเป็นพิธี

เมื่อมองจากมุมบน อินทัชเห็นวาริศนั่งรวมกลุ่มกับกริชและเพื่อนร่วมเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ตใกล้บันไดฝั่งซ้ายของเวที หมอนั่นปรบมือแสดงความยินดีอย่างเนิบช้า อินทัชมั่นใจอย่างมากว่ารอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าวาริศนั้น…หาใช่รอยยิ้มจริงใจ แต่กินนัยเหยียดหยันว่าคนอย่างอินทัชก็ได้แค่เท่านี้…ไม่มีวันเอาชนะวาริศได้แน่นอน

“ต่อไปเป็นโกลด์อะวอร์ดของหมวดสิ่งพิมพ์ปีนี้ค่ะ” ปีย์รกาเริ่มประกาศผลต่อ “…ซึ่งปีนี้มีแคมเปญที่ได้รับรางวัลเพียงแคมเปญเดียว!” ไม่น่าเชื่อว่าจะเรียกเสียงฮือฮาจากผู้ร่วมงานได้เป็นอย่างมาก

“แสดงว่าผลงานต้องเข้าตาคณะกรรมการอย่างมากเลยนะครับ” วอแวเสริม “คุณวิรัชแห่งเอเจนซี่คิวบ์ ในฐานะประธานกรรมการตัดสินหมวดสิ่งพิมพ์ถึงกับบอกว่าเป็นปีที่กรรมการเคี่ยวสุดๆ คัดเลือกผลงานกันอย่างเข้มข้นมากๆ ทำให้ปีนี้มีเพียงแคมเปญเดียวที่คว้าโกลด์อะวอร์ดไป สดใหม่ทั้งคอนเซ็ปต์และวิธีเล่า และผู้คว้ารางวัลโกลด์อะวอร์ดหมวดสิ่งพิมพ์ปีนี้ไปครอง ได้แก่…”

อินทัชหลับตา พร่ำภาวนาขออย่าให้เป็นอย่างที่คิด

“…แคมเปญทูมอร์โรว์เนเวอร์คัมส์ ของแอคต์แพลเน็ตครับ!!!”

เสียงเชียร์จากฝั่งเอเจนซี่เจ้าของผลงานเฮลั่นสนั่นลานกว้าง ครีเอทีฟคนอื่นๆ กระโดดโหยงร่วมยินดีราวกับเป็นเจ้าของไอเดียเอง

ผลงานของวาริศเล่าด้วยภาพทั้งหมด ไม่มีข้อความโฆษณาแม้แต่ประโยคเดียว นั่นเป็นเพราะหมอนั่นกับก๊อปปี้ไรเตอร์ตกลงร่วมกันแล้วว่าสมควรให้ภาพยึดบทพระเอก เพื่อสร้างพื้นที่จินตนาการกระทบใจผู้บริโภคแบบเบ็ดเสร็จ

วาริศขึ้นรับรางวัลพร้อมก๊อปปี้ไรเตอร์คู่หู แววตาของหมอนั่นไม่แสดงถึงความรู้สึกยินดียินร้าย ผิดวิสัยคนเป็นอาร์ตไดเร็กเตอร์ที่ควรดีใจกับรางวัลในหมวดนี้ เพราะได้ปล่อยของอย่างเต็มที่ เฉกเช่นเดียวกับหมวดวิทยุที่คนเป็นก๊อปปี้ไรเตอร์พึงยินดี อินทัชแน่ใจว่าวาริศคงสังเกตเห็นนัยน์ตาของเขาสะท้อนความร้อนรุ่มในอกเข้าให้แล้ว หมอนั่นถึงได้ขยับยิ้มมุมปาก ตอกย้ำชัยชนะเหนือคนอย่างเขาในยกนี้

การประกาศผลรางวัลในหมวดอื่นๆ ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง อินทัชกับพริมาขึ้นรับบรอนซ์อะวอร์ดอีกสองรางวัลจากหมวดโฆษณาทางโทรทัศน์ ส่วนหมวดวิทยุ แทนที่พริมาจะตื่นเต้นกับซิลเวอร์อะวอร์ดในมือ สีหน้าของเธอกลับดูว่างเปล่าจนเขาไม่อาจคาดเดาใจเธอได้เลยว่ากำลังครุ่นคิดถึงสิ่งใด

ฟากคนที่หน้าบานกว่าใครเห็นจะเป็นธนา เพราะนอกจากหมวดสิ่งพิมพ์แล้ว วาริศยังซิวโกลด์อะวอร์ดมาได้เพิ่มจากหมวดโทรทัศน์ ดิจิตอล สื่อนอกบ้าน และกิจกรรมส่งเสริมการขายซึ่งได้รับการกล่าวขวัญมากที่สุดอย่างแคมเปญโปรโมตรถไฟฟ้าคอนเนคต์แอนด์ลิงก์…แหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ใจกลางกรุง

ยิ่งอินทัชได้ยินครีเอทีฟหลายคนลองทายผลเล่นๆ ว่าแคมเปญไหนจะซิวรางวัลกรังด์ปรีซ์ยอดเยี่ยมที่สุดของทุกหมวดไปครอง ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกได้ถึงความชาฉาบทั่วใบหน้า เมื่อใครต่อใครต่างเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า แคมเปญของคอนเนคต์แอนด์ลิงก์มาแรงแซงทุกโค้ง จนอินทัชไม่อาจปกปิดความรู้สึกหงุดหงิดบนดวงตา ทำได้เพียงขบฟันปิดกั้นเสียงสรรเสริญเยินยอที่มีต่อฝีมือของวาริศ

“และในช่วงสุดท้ายของค่ำคืนนี้ ก่อนจะทราบว่าเอเจนซี่ไหนคว้ารางวัลกรังด์ปรีซ์ไปครอง แน่นอนค่ะว่า…ตามธรรมเนียมของเวทีประกาศผลรางวัลโฆษณายอดเยี่ยมในทุกๆ ปี จะต้องประกาศรางวัลอันทรงเกียรติต่อไปนี้ก่อนค่ะ” ปีย์รกาเกริ่นนำ

วอแวรับลูกขยายความต่อ “ใช่แล้วล่ะครับ รางวัลที่ว่านี้ก็คือรางวัลสุดยอดคนโฆษณาแห่งปี ซึ่งจะมอบให้ผู้ที่ทำคุณประโยชน์แก่วงการโฆษณา อุทิศแรงกายแรงใจ ผลักดันโฆษณาไทยก้าวไปยืนในระดับโลกครับ”

“สำหรับผู้ที่เหมาะสมกับรางวัลสุดยอดคนโฆษณาแห่งปีในปีนี้จะเป็นใครนั้น ติดตามชมได้จากวีทีอาร์กันเลยค่ะ”

ปีย์รกาและวอแวเลี่ยงไปหลบด้านหลังเวที แสงไฟจากสปอตไลต์มืดลง เหล่าผู้ร่วมงานต่างจดจ่อจอแอลอีดีสามจอยักษ์ทั้งที่ตั้งตรงกลางและขนาบข้างเวทีอีกสองจุด

ทันใดนั้นแสงสีขาวพลันสว่างวาบ ภาพถ่ายสีตุ่นกรุ่นอดีตผุดฉายชัด พ่อของอินทัชในวัยหนุ่มกำลังยืนกอดอกพิงขอบโต๊ะทำงานในโฮมออฟฟิศแห่งหนึ่ง เรียกเสียงปรบมือสนั่นงาน ทุกคนต่างรู้ทันทีว่าสุดยอดคนโฆษณาปีนี้มิใช่ใคร…คือ ‘ศักดา’ ศาสดาโฆษณาไทยนั่นเอง

อินทัชหันไปมองพ่อซึ่งกำลังสนทนากับผู้บริหารเอเจนซี่อื่นขณะจ้องจอแอลอีดีไปพลาง ภาพถ่ายภาพแรกผ่านไป ภาพที่สองและสามตามมา พ่อในวัยหนุ่มอยู่ในอิริยาบถแตกต่างกัน ทั้งขณะกำลังประจำที่กองถ่ายโฆษณาและประชุมหารือกับเพื่อนร่วมทีม

ทว่าภาพที่สี่กลับเรียกเสียงฮือฮาจากแขกเหรื่อบางกลุ่ม โดยเฉพาะระดับหัวหน้าทีมครีเอทีฟขึ้นไป รวมถึงพี่ตระการที่ชะงักค้างเมื่อเห็นภาพตรงหน้า…

พ่อยืนคู่กับคนหนุ่มรุ่นเดียวกัน ใบหน้าของผู้ชายคนนั้นสะท้อนจัดว่าเป็นคนเฉลียวฉลาดและเปี่ยมด้วยไหวพริบเพียงใด กรอบแว่นหนาสีดำทรงสี่เหลี่ยมคางหมูหาได้ลดทอนประกายตาแห่งความมุ่งมั่นลงไม่ กลับช่วยขับบุคลิกผู้ชายที่ยืนข้างพ่อให้น่ามองมากยิ่งขึ้น

เขาคนนั้นอาจเป็นเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งของพ่อ…อินทัชคิดเช่นนั้น แต่เหตุใดพี่ตระการและหัวหน้าทีมครีเอทีฟของเอเจนซี่อื่นๆ กลับค่อยๆ ยืนขึ้นคล้ายตกตะลึง แววตาฉายชัดถึงความรู้สึกอึ้งระคนพิศวงที่ครีเอทีฟรุ่นใหม่อย่างเขาไม่มีวันเข้าใจ

ภาพนั้นถูกแช่ไว้นานค่อนนาที ก่อนจะมีข้อความภาษาอังกฤษสีแดงฉานคล้ายเลือดปรากฏใต้ภาพปลุกความรู้สึกขนลุกไปทั่วร่าง

 

‘CHAT NEVER DIES’

 

ทันใดนั้นเหมือนมีสายฟ้าฟาดผ่าลงกลางเวที ความเงียบงันแผ่ปกคลุมได้ไม่กี่อึดใจ เสียงคนร่วมงานนับพันพลันแตกฮือราวกับฝนห่าใหญ่เทกระหน่ำ

คนที่ช็อกมากกว่าใครเห็นจะเป็นพ่อ ทั้งที่กำลังจะขึ้นรับรางวัลสุดยอดคนโฆษณาแห่งปีแท้ๆ แต่ดูเหมือนจะมีคนจงเกลียดจงชังถึงขั้นวางแผนฉีกหน้าเจ้าของฉายาศาสดากลางงานใหญ่ระดับประเทศเช่นนี้!

 

วาริศเห็นหมดทุกอย่าง ทั้งใบหน้าซีดเผือดจากภัยคุกคามรวมถึงนัยน์ตาพญาเหยี่ยวอัดแน่นด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นคู่นั้นของศักดา

โชคดีที่ตระการความรู้สึกไวเหนือใคร วาริศเห็นคนเป็นมือขวาของศักดารีบวิ่งไปด้านหลังเวที เห็นทีคงไม่แคล้วไปสั่งเจ้าหน้าที่ควบคุมระบบภาพและเสียงให้รีบปิดวีทีอาร์ปริศนานั่นทันที ไม่เช่นนั้น…คนในงานคงได้เห็นเรื่องราวน่าตื่นเต้นชวนขบคิดดุจปริศนากว่านี้เป็นแน่!

ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มแห้งแล้งของศักดาด้วยแล้ว วาริศเดาว่าศาสดาโฆษณาไทยคงอยากลงจากเวทีเสียเต็มประดา ก่อนตกเป็นเป้าสายตาไปมากกว่านี้ วาริศโค้งศีรษะเป็นนัยขอบคุณเจ้าของรางวัลสุดยอดคนโฆษณาแห่งปีที่ยังหน้าด้านยืนอยู่บนเวทีเพื่อมอบถ้วยรางวัลกรังด์ปรีซ์แก่เขาตามธรรมเนียมของเวที หลังชื่อผลงานโฆษณารถไฟฟ้าบริษัทคอนเนคต์แอนด์ลิงก์ที่แอคต์แพลเน็ตสามารถเอาชนะการแข่งขันนำเสนองานตัดหน้าแอดดิกต์มาได้เมื่อสองเดือนก่อนได้รับการประกาศอย่างยิ่งใหญ่ภายใต้บรรยากาศอิหลักอิเหลื่อของทุกคนภายในงาน

แสงแฟลชจากด้านล่างเวทียังคงสว่างวาบ ช่างภาพนับสิบรุมเก็บชอตอันน่าประทับใจในค่ำคืนที่วาริศจะไม่มีวันลืมได้ลง ดวงตาคมเฉียบของวาริศเฝ้าเก็บรายละเอียดภาพศักดาแยกยิ้มอย่างยากลำบาก โทสะและความอับอายกดกล้ามเนื้อใบหน้าเหนือมุมปากกระตุกเป็นระยะ จนวาริศเกือบหลุดขำออกมาหลายต่อหลายครั้ง ชายหนุ่มได้แต่ฝืนสีหน้าและแววตาเอาไว้พลางลอบแสยะยิ้มในใจ แสร้งทำเป็นไม่เห็นปฏิกิริยาชวนหัวนั่น ขณะที่พิธีกรคู่ชายหญิงพยายามปรับบรรยากาศในช่วงท้ายของงานให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ก่อนกล่าวคำล่ำลาส่งแขกเหรื่อคนโฆษณาให้กลับไปดื่มฉลองชัยอย่างปลอดภัยที่ร้านใครร้านมันกันต่อ

แต่ใครเล่าจะลืมภาพถ่ายสีซีดและข้อความปริศนาเมื่อครู่ได้ลง วาริศเชื่อเช่นนั้นสุดหัวใจ

“ขอคุยอะไรหน่อยได้ไหม”

วาริศหันไปมองตามเสียง พริมายืนเชิดหน้าเอ่ยความต้องการว่าอยากสนทนา ‘บางเรื่อง’ กับเขาเต็มที

“เรื่องอะไร”

“คุณรู้ดีอยู่แก่ใจ”

“ผมไม่รู้อะไรเลยต่างหาก”

“โกหก” กระแสเสียงของเธอเย็นเยียบ

วาริศหรี่ตามองพริมา นี่อาจเป็นครั้งแรกที่เธอตำหนิเขาอย่างตรงไปตรงมา นับตั้งแต่วันแรกที่กลับมาพบกันอีกครั้ง

“ผมไม่เข้าใจอยู่ดีว่าคุณหมายถึงเรื่องอะไร”

น้ำเสียงยอกย้อนบั่นทอนความพยายามของก๊อปปี้ไรเตอร์สาว เขารู้สึกยินดีเมื่อเห็นพริมาจำได้ว่าผู้ชายที่ยืนข้างศักดาในภาพถ่ายสีซีเปียบนจอแอลอีดีนั้นเป็นใคร…เจ้าของใบหน้าคร้านคมกร้านแดด รอยยับย่นบนหน้าผากกว้าง ดวงตาฉายฉานความมุ่งมั่น บ่งชัดว่าเขาคนนั้นคือคนที่พริมาเองก็รู้จักเป็นอย่างดี แถมยังได้พบและพูดคุยมาแล้วเมื่อสิบปีก่อน

“เฮ้ย! ไอ้ริศ ไปต่อกันได้ยังวะ” กริชตะโกนขัดขึ้นขณะยืนรวมกลุ่มกับเพื่อนร่วมงาน ไม่ทันสังเกตเห็นว่าร่างระหงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคือพริมา “ทุกคนรอแกอยู่คนเดียวเลยเนี่ย ให้ไวๆ”

“ผมคงต้องไปแล้ว” เขาหันมาเอ่ยลา

พริมาเผลอเลียริมฝีปากอย่างนึกเสียดายโอกาส เมื่อตระหนักว่าไม่อาจฉุดรั้งให้เขาอยู่ต่อจึงทำได้เพียงตะโกนไล่หลัง

“คุณรู้ใช่มั้ยว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันหลังจากนี้”

 

 

13

อีเมลเปลี่ยนโลก

 

วาริศหัวเราะหึด้วยความสะใจ เมื่อเจ้าของสายที่เขาเพิ่งวางหูโทรศัพท์ไปบรรยายความเคลื่อนไหวและปฏิกิริยาของอินทัชกับตระการขณะอยู่หลังเวทีงานประกาศผลรางวัลโฆษณาที่เพิ่งผ่านไปเมื่อชั่วโมงก่อนได้อย่างเห็นภาพ

‘ผู้ชายคนหลังที่ชื่ออินทัชดูงงๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นเขาคงเข้ามาหาผมเร็วกว่านี้…’

วาริศคาดไม่ผิด ไหวพริบของอินทัชมักเคลื่อนตัวช้าเสมออย่างที่เขาประเมินมาตลอด

‘ส่วนคุณตระการที่คุณเคยเอารูปให้ผมดู…เขาตามมาดูดไฟล์ไปแล้วจัดการลบทิ้งอย่างที่คุณบอกเลยครับ แถมขู่ผมด้วยนะว่าจะเอาเรื่องผมแน่ถ้าไฟล์นี่เล็ดลอดไป ว่าแต่…คุณไม่กลัวคุณศักดาเลยเหรอครับ’

จะกลัวทำไมกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง

พ่อเขาสอนไว้เช่นนั้น!

กระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น วาริศซื้อหนังสือพิมพ์ฉบับวันเสาร์มาพลิกดูว่ามีการนำเสนอข่าวฉาวจากเหตุการณ์เมื่อคืนหรือไม่ แต่แล้วชายหนุ่มเป็นอันต้องผิดหวังไปเมื่อไม่เห็นพาดหัวข่าวเกี่ยวข้องกับศักดาเลยแม้แต่บรรทัดเดียว

อาจเป็นเพราะช่วงเวลาเกิดเหตุของคืนวานอยู่ราวๆ ห้าทุ่มซึ่งล่วงเลยช่วงปิดหน้าข่าวของหนังสือพิมพ์รายวันไปแล้ว ชายหนุ่มจึงทำได้แค่ถอนหายใจยาวยืด ปลอบตัวเองให้อดใจรอ ไว้พรุ่งนี้เขาจะเปิดดูหนังสือพิมพ์ฉบับวันอาทิตย์อีกที แต่ถ้ายังไม่มีข่าวก็ไม่เป็นไร บรรณาธิการข่าวอาจมองว่าระดับความขัดแย้งของเนื้อหาและภาพนั้น ‘น่าสนใจ’ จนขยับไปตีพิมพ์ลงฉบับวันจันทร์ก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้นจริงนับว่าเป็นเรื่องดี อย่างน้อยก็มีคนอ่านมากกว่าฉบับวันหยุดสุดสัปดาห์ และยังเป็นการเปิดสัปดาห์อันไม่น่าพิสมัยของศักดาอีกด้วย

ขณะที่วาริศปล่อยความคิดจินตนาการถึงพาดหัวข่าวเชิงลบบนหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับวันจันทร์หลากหัวอย่างอารมณ์ดีในคอนโดมิเนียม เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือพลันดังขัดจังหวะ เมื่อเห็นชื่อปรากฏบนจอว่าเจ้าของสายคือป้าแหวน ชายหนุ่มจึงกดรับสายทันที

“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว มีคนบุกรุกบ้านเรา!”

“อะไรนะครับป้าแหวน?!”

แม้จะตกใจ แต่ก็ไม่ผิดจากที่วาริศคาดไว้นัก ศักดาต้องส่งคนมารื้อค้นบ้านเขาแน่นอน

“ป้าว่าพวกมันน่าจะเข้ามาช่วงเช้ามืด มันเล่นรื้อค้นข้าวของไปเสียทุกห้อง โดยเฉพาะห้องทำงานพ่อเรา”

ไม่รอช้า วาริศรีบลุกจากโซฟาเข้าไปหยิบแท็บเลตที่โต๊ะทำงานซึ่งตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้องชุด เปิดแอพพลิเคชั่นของกล้องวงจรปิดซึ่งเพิ่งติดตั้งในที่ลับตาโจรภายในบ้านหลังเก่าได้ไม่นาน ใช้นิ้วเลื่อนหาเวลาที่กล้องวงจรปิดจับภาพไว้ได้ในช่วงเช้ามืด

“พวกมันเข้ามาตอนตีสี่ครึ่งครับ”

ภาพของชายร่างกำยำสามสี่คนอำพรางตัวด้วยเสื้อผ้า หมวก และแว่นตาสีดำ ถือวิสาสะบุกเข้ามาค้นข้าวของบ้านเขาราวกับโจรห้าร้อย พวกมันคงเห็นว่าสภาพบ้านหลังนี้เก่าซอมซ่อ ไม่มีใครอยู่เฝ้าบ้านแม้แต่คนเดียวจึงย่ามใจ…ไม่คิดว่าเจ้าของบ้านตัวจริงจะแอบติดกล้องวงจรปิดไว้

“ดูเหมือนพวกมันอยากได้ของสำคัญบางอย่าง”

“เรารู้ว่าจะเกิดเรื่องนี้?” ป้าแหวนจับน้ำเสียงวาริศได้ชัดว่าไร้ความรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจแฝงอยู่

“ครับ” เขายอมรับกับผู้อาวุโสกว่าอย่างตรงไปตรงมา

“ทำไมเราไม่บอกป้าสักคำ”

“ผมแค่ไม่อยากให้ป้าแหวนเป็นห่วง”

ป้าแหวนได้ยินอย่างนั้นจึงทำได้แค่ถอนหายใจ “แล้ว…ของสำคัญที่พวกมันเอาไปคืออะไร”

“ผมต้องขอดูภาพกล้องวงจรปิดอีกสักรอบ แต่คิดว่าไม่น่าเอาอะไรไปได้” โชคดีเหลือเกินที่เขาเก็บ ‘ของสำคัญ’ ออกมาจากบ้านหลังนั้นหมดแล้ว

ก่อนวางหูวาริศขอโทษป้าแหวนอีกครั้งที่ไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้รู้ล่วงหน้า เพราะเกรงว่าคนสูงวัยกว่าอาจเป็นกังวลและตกอยู่ในอันตรายหากเข้าไปยุ่งหรือแอบจับสังเกตพวกหัวขโมยนั่น ป้าแหวนขอร้องให้เขาไม่ต้องกลับบ้านในช่วงสองสามเดือนนับจากนี้ วาริศจึงรับปาก เพราะคิดอยู่เหมือนกันว่าศักดาคงไม่ปล่อยเจ้าของบ้านผู้ซ่อนตัวอยู่อีกมุมที่คาดไม่ถึงอย่างเขาลอบทำร้ายอีกฝ่ายอยู่ฝ่ายเดียวแน่

กระทั่งเช้าวันจันทร์เดินทางมาถึง วาริศรีบบึ่งรถจากคอนโดฯ ไปถึงเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ตตั้งแต่แปดโมงเช้า แต่ละย่างก้าวของเขาขณะตรงไปยังล็อบบี้ผ่านประตูกระจกใสแผ่นหนาของอาคารปูนเปลือยเต็มไปด้วยความรู้สึกค้างคา สงสัยเหลือเกินว่าพาดหัวหนังสือพิมพ์ฉบับวันแรกของการทำงานจะมีเนื้อหาพาดพิงถึงเจ้าของฉายาศาสดาโฆษณาไทยหรือไม่

แต่สิ่งที่เขาพบกลับมีเพียงความว่างเปล่า

หน้าหนึ่ง…ไม่มี!

หน้าข่าวการตลาด…ไม่มี!

ไม่มี…ไม่มีเลยสักหน้า…ดวงตาหยันโลกของวาริศแทบถลนออกจากเบ้า หนังสือพิมพ์ฉบับแล้วฉบับเล่าถูกพลิกไปมาอย่างรุนแรงปนร้อนรน เขาฉงนเหลือทนเมื่อเห็นพาดหัวข่าวกรอบใหญ่ไล่ไปจนถึงกรอบเล็กไร้ใจความทำนอง ‘เจ้าพ่อเอเจนซี่ดังถูกแฉกลางเวทีประกาศผลรางวัลโฆษณาระดับชาติ… CHAT คือใคร?! เหตุใดถึงยังไม่ตาย!’

เป็นไปได้อย่างไร นาทีนี้วาริศควรรู้สึกยินดีอย่างเต็มตื้นกับหายนะย่อมๆ ของศักดาในคืนวันศุกร์สุดสยองมิใช่หรือ แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมสิ่งที่เขาจินตนาการถึงไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ชายหนุ่มแทบจะโยนหนังสือพิมพ์ในมือปลิวว่อนพ้นขอบโต๊ะกลางล็อบบี้ ก่อนจะเอื้อมมือหยิบฉบับแรกที่เพิ่งเปิดไป กวาดสายตาพิจารณาอย่างถ้วนถี่อีกรอบ บ้าชะมัด ข่าวมือดีแอบสับเปลี่ยนวีทีอาร์มีระดับความขัดแย้งสูงกว่าข่าวธุรกิจทั่วๆ ไปด้วยซ้ำ 

ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ…ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ

“มาแต่เช้าแฮะวันนี้” กริชเอ่ยแซวตามวิสัยทันทีที่มาถึง แต่พอเห็นสีหน้าขุ่นขวางด้วยโทสะของวาริศกับกองหนังสือพิมพ์ที่กระจัดกระจายทั้งบนโต๊ะและพื้นก็นึกสงสัยปนประหลาดใจ “อ่านโหดจังวะ”

“ไม่มีอะไร ก็แค่เช็กข่าวลูกค้า”

“งั้นเหรอ” แววตากริชบ่งชัดว่าไม่อยากเชื่อเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมาก “เออ มีสาวสวยมาหาแกน่ะ ยืนรออยู่ข้างนอกได้สักพักแล้ว”

“ใคร”

กริชไม่ตอบ เลือกชี้นิ้วโป้งไปยังทิศหน้าประตูรั้วโฮมออฟฟิศของเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ตแทน วาริศเบนสายตาไปยังร่างระหงของเธอคนนั้น…คนที่บอกเขาชัดว่ามีเรื่องต้องคุยกันหลังเหตุการณ์วีทีอาร์ฉาวผ่านพ้นไปสดๆ ร้อนๆ

“ดูเหมือนคุณกำลังยุ่งอยู่” พริมาเอ่ยขึ้นเมื่อวาริศก้าวเข้ามาใกล้ ประกายตาสวยคู่หม่นเปลี่ยนไปเป็นแรงกล้า พยายามแสดงให้เห็นว่าเธออ่านใจเขาออกทุกอย่าง และรู้ทันด้วยว่าเขากำลังผิดหวังเรื่องอะไร

“สงสัยจะมีธุระด่วนจนต้องถ่อมาถึงที่นี่”

“ฉันบอกคุณไปแล้วนี่ว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน”

“เจอกันกี่ครั้งๆ ผมก็เห็นคุณมีเรื่องอยากคุยกับผมตลอด ว่าแต่คราวนี้มีอะไรแปลกใหม่จากครั้งก่อนๆ รึเปล่า ถ้าไม่มีก็เชิญกลับไปชื่นชมรางวัลที่คุณได้มาเมื่อคืนก่อนเถอะ ยินดีด้วย” พูดจบก็หันหลังให้พริมาทันที

“C-H-A-T” พริมาบรรจงออกเสียงตัวสะกดชื่อคนในวีทีอาร์แต่ละตัวอย่างชัดถ้อยชัดคำ

วาริศนิ่งงัน เท้าทั้งสองข้างชะงักไปราวกับถูกใครบางคนตอกตะปูตรึงไว้

“คุณรู้จักผู้ชายคนนั้นดี”

ชายหนุ่มค่อยๆ หันไปมองพริมา ยืนกรานด้วยสายตาแข็งกระด้าง “ถ้าผมบอกว่าไม่ใช่ล่ะ”

“คุณโกหก มีแค่คุณเท่านั้นที่รู้ว่าแท้จริงแล้ว…ชื่อผู้ชายคนนั้นออกเสียงว่ายังไง!”

วาริศอดกระตุกยิ้มเยาะเหนือมุมปากไม่ได้ “ดูเหมือนว่านอกจากเรื่องโฆษณาแล้ว คุณยังเก่งเรื่องกล่าวหาคนซะด้วย”

“…”

“แต่กลับไปเถอะพริมา ผมไม่มีอะไรต้องคุยกับคุณแล้ว!”

 

เมื่อวาริศเปล่งวาจากินนัยไล่เธอไปจากรั้วเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ตถึงเพียงนี้ พริมาก็ไม่มีเหตุผลต้องทนอยู่ให้เขาหยามหน้าต่อ

ในตอนนั้นหญิงสาวอยากตะโกนใส่เจ้าของใบหน้าคมสันเสียเหลือเกิน เธอไม่มีวันเชื่อเด็ดขาดว่าเขาจะไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับวีทีอาร์เนื้อหาจงใจฉีกหน้าศักดากลางเวที

นาทีนั้น…จู่ๆ พริมาก็นึกถึงคำพูดและปฏิกิริยาของภาสกรที่ร้านอาหารไทยซึ่งรบกวนจิตใจเธอมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา ใบหน้าของพ่ออัดแน่นด้วยความรู้สึกกลัดกลุ้ม ริมฝีปากสั่นระริกเหมือนกำลังกลัวอะไรบางอย่าง พ่อบอกเธอเพียงว่ามีจดหมายส่งมาถึงพ่อ…จดหมายจากคนที่ตายไปแล้ว แถมยังขอให้เธอลาออกจากแอดดิกต์โดยเร็วที่สุด เพราะไม่อยากให้เธอต้องมาเดือดร้อนเพราะเรื่องนี้ พ่อพูดเพียงแค่นั้นแล้วเงียบไป ไม่ยอมพูดอะไรต่ออีกเลย แม้เธอจะพยายามคาดคั้นสักเพียงใดก็ดูจะไร้ประโยชน์ไปเสียหมด

เป็นไปได้ไหมว่า ‘คนที่ตายไปแล้ว’ กับ ‘CHAT ผู้ไม่เคยตาย’ จะเป็นคนคนเดียวกัน

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงแสดงว่าคนที่อยู่เบื้องหลังจดหมายและวีทีอาร์บ้าบอนั่น…กำลังจ้องจะเล่นงานพ่อเธอกับคุณศักดาอย่างพร้อมเพรียง

ฉับพลันนั้นภาพของชายหนุ่มที่เธอเพิ่งจากมากลับผุดขึ้นในหัวอย่างแจ่มชัด พริมาชะงักค้างไปในทันใด ไม่อยากเชื่อเลยว่าวาริศจะอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดนี้จริงๆ

“ผู้ชายที่ยืนข้างพ่อในวีทีอาร์เป็นใครเหรอครับพี่ตระการ”

น้ำเสียงห้าวลึกของอินทัชฉุดความสนใจพริมาทันทีที่มาถึงสวนลอยฟ้าของอาคารให้เช่าสำนักงาน หลังหญิงสาวแวะเข้าออฟฟิศไปวางกระเป๋าที่โต๊ะทำงานก่อนขึ้นมาสูดอากาศบนนี้

เธอเห็นพี่ตระการยืนนิ่งขณะสูดหายใจลึกมองลูกชายเจ้านาย แววตาฉายชัดว่ากำลังครุ่นคิดอย่างหนักราวกับชั่งใจว่าควรตอบคำถามของอินทัชดีหรือไม่

เพราะในคืนวันนั้น…พริมาเห็นพี่ตระการที่ก้าวเร็วไปด้านหลังเวทีในคืนงานประกาศผลรางวัลโฆษณาว่ามีสีหน้าตื่นตระหนกปนตึงเครียดเพียงใด เขาใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบวินาทีเท่านั้น ภาพวีทีอาร์บนจอยักษ์พลันดับลงเหลือเพียงความมืดและว่างเปล่า

“พี่ไม่รู้จัก”

พี่ตระการเป็นอีกคนที่พยายามยืนกรานว่าไม่รู้จักผู้ชายคนนั้น ทั้งที่ความเป็นไปได้แทบจะน้อยมาก แต่ถึงกระนั้นพริมาก็ไม่คิดจะเข้าไปคั่นกลางบทสนทนา เธอเลือกหลบมุมยืนพิงผนังในมุมอับของสวนลอยฟ้า แอบมองอินทัชกับพี่ตระการด้วยความอยากรู้

“ถ้าพี่ไม่รู้จัก ก็เอาไฟล์วีทีอาร์นั่นมาให้ผมซะ”

“แทนก็เห็นนี่ว่าพี่สั่งให้คนคุมภาพหลังเวทีลบไฟล์นั่นไปแล้ว”

“ไม่จริง ผมเห็นพี่เอาแฟลชไดรฟ์อันเล็กออกจากกระเป๋าสตางค์ไปเซฟมันไว้ก่อนลบ”

“แทน!” พี่ตระการระบายลมหายใจอย่างคนพยายามสงบอารมณ์ “พี่จะพูดเป็นครั้งสุดท้ายนะว่าพี่ไม่มีไฟล์นั่น ถ้าแทนอยากได้มัน ก็ไปตามหาจากคนทำเองละกัน”

พูดจบพี่ตระการก็ผละจากอินทัชจนพ้นอาณาเขตสวนลอยฟ้าเขียวชอุ่มตา พริมายืนรออยู่ตรงนั้นจนกระทั่งมั่นใจว่าพี่ตระการไม่กลับขึ้นมา จึงก้าวจากมุมอับแล้วตรงไปหาร่างสูงของคู่หูหนุ่มทันที

“พริม…” อินทัชสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นเธอปรากฏตัวต่อหน้าโดยไม่ให้สัญญาณบอกกล่าวล่วงหน้า

“คุณคิดเหมือนฉันไหมว่าพี่ตระการกำลังปิดบังอะไรบางอย่างอยู่”

“นี่คุณ…แอบฟังเหรอ”

“อืม อันที่จริงก็ไม่ได้ตั้งใจหรอก แต่บังเอิญเข้ามาได้ยินพอดี”

“คุณเช็กข่าวหนังสือพิมพ์บ้างรึยัง” อินทัชเอ่ยถามเช่นนั้น แสดงว่าเขาเริ่มเปิดใจเรื่องนี้กับเธอบ้างแล้ว

“เช็กแล้ว เช็กทั้งหนังสือพิมพ์แล้วก็ออนไลน์ ไม่มีภาพข่าวหรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับวีทีอาร์นั่นเลย มีแต่รายงานผลว่าเอเจนซี่ไหนได้รับรางวัลมากที่สุดเท่านั้น…”

…กับบทสัมภาษณ์คุณศักดาซึ่งเป็นเจ้าของเอเจนซี่ที่ได้รับรางวัลมากที่สุด และสกู๊ปชวนจับตามองเอเจนซี่ม้ามืดอย่างแอคต์แพลเน็ตหลังปีนี้คว้าไปได้มากถึงสิบหกรางวัล ชิงส่วนแบ่งรางวัลจากแอดดิกต์ไป ทำให้ยอดรางวัลที่คาดว่าจะกวาดมาได้สี่สิบรางวัลลดลงเหลือสามสิบรางวัลเท่านั้น

“เป็นไปได้ไหมว่าพ่อผมส่งคนไปปิดข่าวเรียบร้อยแล้ว”

“เป็นไปได้” พริมาเห็นด้วย

คราวนี้ร่างสูงถึงกับฉวยโอกาสถอนหายใจด้วยความรู้สึกกลัดกลุ้ม “เมื่อคืนผมนั่งเปิดคอมฯ ค้นรูปภาพคนที่ชื่อชาติทั้งคืน แต่ภาพที่ผมเจอมีแต่ภาพคุณชาติ…ผู้บริหารบริษัทประกันที่เป็นลูกค้าเอเจนซี่เรา ใบหน้าไม่มีเค้าเหมือนคนในวีทีอาร์เลยสักนิด ผมเลยลองโทรขอให้แม่ช่วยหารูปเก่าๆ ที่พ่อถ่ายกับเพื่อนเมื่อสักสิบปีก่อนให้ แต่แม่บอกว่าพ่อเป็นคนไม่ชอบถ่ายรูปเท่าไหร่ เลยไม่ค่อยมีรูปเก็บไว้ทั้งสมัยเรียนแล้วก็ทำงาน”

“ทำไม…คุณไม่ลองถามพ่อคุณตรงๆ ล่ะ”

พริมาเอ่ยขึ้นอย่างไม่อาจห้ามความอยากรู้ที่อัดแน่นภายในอกได้ กระทั่งเธอเห็นอินทัชนิ่งไปหลายอึดใจใหญ่ จึงตระหนักได้ว่าตัวเองเพิ่งทำพลาดในสิ่งที่ไม่น่าพลาดไปแล้ว

“ฉันขอโทษ”

“ไม่เป็นไร” เขาระบายยิ้มฝืดเฝื่อน “ผมกลัวพ่อมาแต่ไหนแต่ไร ถึงอยากรู้มากแค่ไหนก็ไม่กล้าถามอยู่ดี เพราะผมรู้ดีกว่าใครยังไงล่ะว่าไม่มีทางได้คำตอบจากปากพ่ออยู่แล้ว ยิ่งเรื่องที่ทำให้พ่อต้องอับอายขายหน้ายิ่งแล้วใหญ่ แถมคนชื่อชาติอะไรนั่นยังเป็นคนเดียวกับที่ส่งหลอดไส้แตกบ้าๆ มาให้ผมกับพ่อด้วย”

อินทัชจะรู้ตัวบ้างไหมว่าเขาเผลอถอนหายใจยาวลึกไปกี่สิบครั้งแล้ว

“ที่ผมอยากได้วีทีอาร์จากพี่ตระการ เพราะผมคิดว่ามันน่าจะมีจิ๊กซอว์สักชิ้นที่เราเอามาเป็นตัวตั้งต้นสำหรับปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้”

“แต่พี่ตระการก็ไม่ให้ น่าจะเอาไปเก็บไว้ที่ไหนสักแห่งแล้ว ไม่มีทางอยู่ในออฟฟิศแน่นอน คุณว่า…ถ้าเราไปถามเรื่องนี้กับเจ๊ไก่แล้วก็พี่หมี สองคนนั้นจะยอมเล่าให้เราฟังไหม”

“ไม่” เขาส่ายหน้าอย่างมั่นใจ “เมื่อเช้าผมลองถามแล้ว ไม่มีใครยอมตอบอะไร เอาแต่บอกว่าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น แถมยังขอให้ผมหยุดถามทุกคนที่อยากถาม แล้วก็รีบๆ ลืมๆ มันไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นซะ”

ยิ่งพริมาได้ยินอย่างนั้นยิ่งอดสงสัยในตัวอินทัชไม่ได้ว่าเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องเมื่อสิบปีก่อนจริงๆ น่ะหรือ “นี่คุณ…ไม่รู้อะไรจริงๆ เหรอ”

“ผมต้องรู้อะไรด้วยเหรอ”

“เมื่อสิบปีก่อน…”

“ทำไม”

“สิบปีก่อน คุณอยู่ที่ไทยหรืออเมริกา”

“ผมเรียนที่อเมริกาตั้งแต่เกรดสิบ นับคร่าวๆ ก็สิบสามปี” อินทัชนิ่วหน้าสงสัย “คุณพูดเหมือนคุณรู้อะไร”

“ไม่…ฉันไม่รู้อะไรเลย”

พริมาสัมผัสได้ชัดจากแววตาอินทัชว่าเขาไม่เชื่อในคำตอบเธอ

เพราะแม้แต่เธอเองยังสงสัยสิ่งที่เห็นและรับรู้มาตลอดเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อสิบปีก่อนเลย

 

มีอีเมลฉบับใหม่ถูกส่งเข้ามา

วาริศละมือหนาจากแป้นพิมพ์แม็กบุ๊กขณะออกแบบงานโฆษณาอย่างขะมักเขม้นบนโซฟากลางห้องรับแขกในคอนโดมิเนียม หันไปเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์เปิดอ่าน ไม่คิดเลยว่า ‘ทางนั้น’ จะเป็นฝ่ายติดต่อมาหาเขารวดเร็วถึงเพียงนี้

 

‘เรียน คุณวาริศ อิสรา อาร์ตไดเร็กเตอร์แห่งเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ต

 

ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัว ผมชื่อ ‘ตระการ ปราณเมธา’ Executive Creative Director ของเอเจนซี่แอดดิกต์

เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ผมเห็นคุณขึ้นรับรางวัลโฆษณายอดเยี่ยมบนเวทีหลายๆ รางวัล ขอแสดงความยินดีอีกครั้งครับ ฝีมือการทำโฆษณาของคุณคู่ควรกับรางวัลเหล่านั้นจริงๆ

คุณคงแปลกใจที่จู่ๆ ผมซึ่งทำงานโฆษณาให้กับอีกเอเจนซี่ตัดสินใจเขียนอีเมลถึงคุณในวันนี้

เหตุผลก็คือ เอเจนซี่ ‘แอดดิกต์’ ต้องการให้คุณมาร่วมงานด้วยกันครับ พวกเราได้ประจักษ์ในฝีมือของคุณมาครั้งหนึ่งแล้วตั้งแต่เคยแข่งขันพิตช์งานโฆษณาของบริษัทคอนเนคต์แอนด์ลิงก์ เจ้าของธุรกิจรถไฟฟ้า และงานประกาศผลรางวัลเมื่อคืนก็เป็นอีกบทพิสูจน์ความสามารถของคุณที่แอดดิกต์ไม่อาจลืมได้ลง

หากคุณสนใจร่วมงานกับเราหรือต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม อย่าลังเลที่จะติดต่อกลับมาทางอีเมลนี้ของผม หรือเบอร์โทรศัพท์ 089-xxx-xxxx ได้ทุกเมื่อ

 

แล้วโลกโฆษณาของคุณจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป!!!

 

ตระการ

ECD, ADDICT ADVERTISING AGENCY

 

วาริศเอนตัวใช้ต้นคอพาดพนักพิงโซฟา ยกปลายเท้าไขว้กันเหนือขอบโต๊ะกลาง สามวันที่ผ่านมาเขามัวแต่คิดมากเรื่องข่าวศักดาถูกแฉกลางงานหายไปจากหน้าหนังสือพิมพ์อย่างไร้ร่องรอย กว่าจะรวบรวมสติกลับมาได้ต้องใช้พลังงานมากเอาการทีเดียว

แต่ตอนนี้เหยื่อที่เขาเล็งไว้เริ่มจะติดกับแล้ว เห็นได้จากอีเมลที่คนเป็นมือขวาของศักดาส่งมา เขาควรทำอย่างไรต่อไปดี ควรตอบกลับไปในทันทีหรือทิ้งไว้อย่างนั้น พอคิดอย่างถี่ถ้วนจบกระบวนการภายในระยะเวลาไม่ถึงห้านาที วาริศก็จัดการลบอีเมลนั้นลงถังขยะไปราวกับไม่เคยได้รับมาก่อน

หลังจากนั้นวาริศเลือกเงียบหายไปนานกว่าหนึ่งสัปดาห์ ไม่มีการตอบรับหรือปฏิเสธคำเชิญชวนเรื่องย้ายไปทำงานที่เอเจนซี่แอดดิกต์ ตระการคงร้อนรนน่าดู ถึงได้เป็นฝ่ายโทรศัพท์มาหาเขาในช่วงเที่ยงของวัน

“ขออนุญาตถามตรงๆ นะครับคุณวาริศ ไม่ทราบว่าสนใจร่วมงานกับแอดดิกต์รึเปล่า”

“อืม ผมควรพูดยังไงดี…” เขาแสร้งทำทีคิด ทั้งที่มีคำตอบในใจแล้ว “ความจริงมันค่อนข้างฉุกละหุกไปสักนิด เพราะผมเพิ่งเริ่มงานที่แอคต์แพลเน็ตได้ไม่ถึงปีด้วยซ้ำ”

“คุณเองก็ไม่ใช่พวกเด็กจบใหม่เสียหน่อย การเปลี่ยนงานในวงการนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดา สามเดือนหกเดือนก็ไม่ใช่ปัญหา ถ้าวันนี้คุณพอมีเวลาว่างหลังเลิกงาน ลองเข้ามาคุยสิ่งที่คุณต้องการหน่อยเป็นไง”

“ผมไม่แน่ใจ เพราะต้องเร่งทำงานจนถึงดึก”

“ไม่เป็นไร ถ้างั้น…ค่ำวันศุกร์ที่จะถึงนี้ เราน่าจะออกมาเจอกันที่ร้านไวน์ดีๆ สักร้านแถวทองหล่อ”

“ผมไม่แน่ใจว่าตอนนั้นจะมีงานด่วนเข้ามาหรือเปล่า”

ตระการคงจับสังเกตได้ถึงความพยายามแบ่งรับแบ่งสู้ หรือเรียกให้ถูกคืออาการเล่นตัว จึงบอกว่าจะโทรมาถามเขาอีกครั้งในเช้าวันศุกร์เพื่อยืนยันนัดหมาย เปิดช่องให้วาริศเห็นชัดว่าเอเจนซี่แอดดิกต์…ไม่ใช่สิ…เจ้าของฉายาศาสดาโฆษณาต้องการตัวเขามากแค่ไหน

แล้วเช้าวันศุกร์ก็เดินทางมาถึงอย่างรวดเร็ว วาริศสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของตระการเจือด้วยรอยยินดีเพียงใดหลังจากเขาตอบตกลงว่าจะไปพบที่ร้านไวน์ย่านทองหล่อในค่ำคืนนี้ ก่อนวาริศจะวุ่นกับการประชุมแคมเปญโฆษณาเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ของค่ายรถญี่ปุ่นจนถึงเวลาบ่ายสอง ทันทีที่ก้าวพ้นห้องประชุมลงมายังชั้นล่างของอาคารปูนเปลือย ชายหนุ่มเหลือบไปเห็นอินทร์แก้วกำลังนั่งรอบนโซฟาตัวเก่าใต้ร่มไม้ใหญ่หน้าอาคาร วาริศพลันล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูหน้าจอ พบว่าเจ้าของดวงตากลมโตโทรหาเขานับสิบครั้งขณะติดประชุมเห็นจะได้

“คุณแก้ว!” กระแสเสียงของเขาแปรเปลี่ยนเป็นคนโหยรัก อินทร์แก้วเห็นเขายืนพิงขอบประตูกระจกบานหนา โปรยสายตาเว้าวอนพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นกระชากวิญญาณ

ไม่กี่อึดใจ…วาริศก้าวเข้าไปใกล้จนอยู่ตรงหน้าเธอ

“มาทำอะไรที่นี่ครับ”

“เอ่อ…แก้วแวะมาหาคุณริศน่ะค่ะ”

“แวะมาหาผม? มีเรื่องอะไรด่วนรึเปล่า”

“ไม่ได้มีเรื่องด่วนอะไรหรอกค่ะ แก้วแค่อยากมาเจอคุณเฉยๆ”

คนตัวเล็กกว่าเผยรอยยิ้มหวานชวนให้รู้สึกบาดใจ หากเขาเป็นผู้ชายทั่วไปคงหลงเสน่ห์เธอเข้าแล้ว

“พอดีแก้วโทรเข้าเครื่องคุณริศ แต่คุณริศไม่ว่างรับสาย ก็เลยลองโทรเข้าเบอร์ตรงออฟฟิศ เห็นเพื่อนร่วมงานคุณบอกว่ามีประชุมตั้งแต่เช้า ยังไม่ได้ออกจากห้องประชุมเลย แก้วเป็นห่วง…ก็เลยซื้อข้าวกล่องมาให้น่ะค่ะ” เธอพูดพลางยื่นถุงกล่องอาหารญี่ปุ่นเซ็ตใหญ่สองกล่องให้

“สองกล่องเลยเหรอครับ”

“ค่ะ แก้วกลัวคุณไม่อิ่ม”

วาริศจงใจระบายยิ้มเย้ายวน “คุณแก้วทานกับผมนะครับ”

“คะ?” อินทร์แก้วขมวดคิ้วมองอย่างงุนงง

“เรานั่งคุยไปด้วยทานไปด้วยที่สวนสาธารณะใกล้ๆ ออฟฟิศดีมั้ยครับ” เขายิ้มให้อินทร์แก้ว เป็นยิ้มพิฆาตรสหวานบาดทรวง จนอินทร์แก้วต้องหลบตาเสมองทางอื่นราวกับพยายามสงบจิตสงบใจอย่างเต็มกำลัง ก่อนจะตอบรับในที่สุด

แนวร่มไม้ใหญ่เหนือม้านั่งยาวสีขาวในสวนสาธารณะช่วยปกป้องเขาและเธอจากแดดร้อนยามบ่ายได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มจัดการเปิดกล่องข้าวญี่ปุ่นแล้วยื่นให้อินทร์แก้ว จากนั้นค่อยเปิดอีกกล่องแล้ววางบนตักตัวเอง ใช้ตะเกียบไม้คีบซูชิคำโตแตะรสวาซาบิและโชยุเข้าปาก

อินทร์แก้วลอบมองเขาอยู่ สงสัยจะไม่รู้ตัวว่ากำลังหลงใหลเขาเต็มขั้นแล้ว พอชายหนุ่มหันไปเชื้อเชิญให้เธอทานบ้าง นัยน์ตาคมเฉียบพราวระยับพลันประสานกับดวงตากลมโตสุกใสจนอินทร์แก้วนิ่งไปเหมือนหยุดหายใจ แก้มแดงระเรื่อชวนมองทั้งสองข้างเผยชัดว่าเธอกำลังเขินอายเพียงใด

“คุณแก้วครับ”

“คะ?”

“ผมมีเรื่องอยากจะขอร้อง”

มือเรียวของอินทร์แก้วเคลื่อนขึ้นเก็บผมดำยาวเส้นเล็กละเอียดหลังใบหู หันมาสบตาอย่างรอคอย ไม่บอกก็รู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าเริ่มกลัวใจตัวเองว่าจะเก็บอาการขวยเขินไว้ไม่ไหวในวินาทีที่เขาร่ายมนตร์สะกดใจเธอ

“ต่อจากนี้ไป คุณแก้วเรียกผมว่าพี่ริศได้มั้ยครับ”

“…”

“ได้ยินคุณแก้วเรียกผมว่าคุณริศแล้ว รู้สึกห่างเหินยังไงก็ไม่รู้”

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Editor Jamsai: