บทที่ 8
คนประเภทไหนน่าสงสารที่สุดในโลก
แขกเหรื่อนับร้อยดูจะชื่นชอบสไตล์การตกแต่งงานมงคลสมรสภายในห้องจัดเลี้ยงโรงแรมอย่างมาก เพราะสามารถสะท้อนตัวตนของบ่าวสาวซึ่งทำงานในวงการออกแบบด้วยกันทั้งคู่
โดยเฉพาะมุมถ่ายภาพหน้าทางเข้าห้องจัดเลี้ยง พริมารู้มาว่ากริชทุ่มสุดตัวกับการสร้างสรรค์งานกราฟิกและตัวอักษรให้ดูสนุกสนาน ผิดแปลกไปจากงานแต่งของคู่อื่นๆ ที่เน้นฉากหลังเรียบสวยประดับด้วยดอกไม้สีหวานชวนฝัน ส่วนของที่ระลึกอย่างตุ๊กตากระดาษรูปคู่บ่าวสาวพร้อมด้วยเครื่องแต่งกายสวยหล่อหลากหลายแบบที่บรรดาสาวๆ ในงานดูจะชอบเป็นอย่างมากนั้น เพียงแพรเป็นคนจัดการอย่างไม่ต้องสงสัย
คืนนี้ก๊อปปี้ไรเตอร์สาวได้รับคำชมจากเพื่อนสมัยเรียนว่าดูสวยสง่าเป็นพิเศษ ชุดเพื่อนเจ้าสาวแบบเกาะอกสีน้ำเงินขับผิวขาวเนียนเปล่งประกาย ใบหน้ารูปไข่ถูกระบายด้วยเครื่องสำอางอ่อนใสดูเป็นธรรมชาติ ผมบ็อบยาวประบ่าถูกดัดเป็นลอนบางๆ ทุกอย่างช่างลงตัวในร่างระหงของเธอ
แต่แทนที่พริมาต้องวิ่งรอกประสานงานทั่วทุกส่วนเพียงอย่างเดียว เธอกลับต้องคอยตามประกบแฟนเก่าของเพียงแพรไม่ให้คลาดสายตาด้วย เพราะไม่ค่อยเชื่อใจนักว่าอินทัชจะทำใจได้แล้วอย่างที่ปากว่า แม้ตลอดหนึ่งเดือนก่อนถึงฤกษ์จัดงานเขาดูสงบ ไม่แสดงอาการร้อนรนให้คนอื่นเห็น ผิดจากที่เคยประกาศกร้าวไว้ชัดว่าจะทำทุกอย่างให้เพียงแพรกลับมารักเขาเหมือนเดิม
“แทน…คุณเมามากแล้วนะ” พริมาเข้าไปปรามทันทีที่เห็นเขากรอกไวน์ลงคอไม่ยั้ง ใบหน้าคมคายเปลี่ยนไปเป็นแดงเรื่อเหมือนสีแอลกอฮอล์ก้นแก้ว
“ผมเนี่ยนะเมา” อินทัชหรี่ตามองพริมาแล้วหัวเราะเยาะ
“หน้าคุณแดงขนาดนี้ จะไม่เมาได้ยังไง”
“คุณจะกลัวอะไรกันนักกันหนา”
หญิงสาวรู้สึกได้ว่าคิ้วทั้งสองข้างของเธอกำลังขมวดมุ่น
“กลัวว่าผมจะพังงานแต่งเพื่อนคุณเหรอ” พูดจบ…อินทัชพลันยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มจนหมดราวกับซดน้ำเปล่า
“นี่ หยุดความคิดบ้าๆ เดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่อย่างงั้นฉันจะให้พนักงานลากคุณออกไปจากงาน”
“หึ ผมไม่ทำหรอกน่า”
ยิ่งเห็นอินทัชลอบยิ้มพราย นัยน์ตาแฝงประกายบางอย่าง ยิ่งทำให้พริมาไม่อาจวางใจ
“ไอ้พริม…ไอ้พริม…”
พริมาหันไปมองตามเสียงเรียกของใครคนหนึ่ง เธอเห็นก้องภพกวักมืออยู่ไหวๆ ให้ไปถ่ายภาพหมู่กับเพื่อนร่วมห้องและคู่บ่าวสาวหน้างาน พริมาชำเลืองมองอินทัชด้วยหางตาอีกครั้ง เพราะต้องการแน่ใจว่าเขาจะไม่เมาอาละวาดอย่างที่เธอกลัว แต่ชายหนุ่มกลับหยิบไวน์แก้วใหม่จากบริกรพลางมองไปที่เพียงแพรซึ่งกำลังส่งสายตาหวานฉ่ำให้กริชด้วยแววตาชวนให้พริมารู้สึกหวาดหวั่นว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นภายในงาน
ทว่างานวิวาห์ของเพียงแพรกับกริชกลับดำเนินไปด้วยดีจนถึงช่วงที่แขกหลายๆ คนรอคอย นั่นคือช่วงตอบคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคู่บ่าวสาวก่อนตัดสินใจแต่งงานใช้ชีวิตร่วมกัน
“มาถึงคำถามสำคัญของค่ำคืนนี้ครับ บ่าวสาวคู่นี้…บอกมาซะดีๆ ว่าไปปิ๊งปั๊งกันตอนไหน” ก้องภพในฐานะพิธีกรของงานยิงคำถามเข้าประเด็นทันทีหลังวิดีโอพรีเซนเทชั่นจบลงด้วยความประทับใจ
“อืม พูดยังไงดี” ประกายตาของกริชเต็มไปด้วยความเขินอายเสียยิ่งกว่าเด็กหนุ่ม ม.ปลาย “…จริงๆ แล้วผมแอบชอบแพรมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้วครับ ตอนนั้นผมเรียนสถาปัตย์ ส่วนแพรเรียนศิลปกรรม ผมพยายามจีบแพรแล้วครับ แต่แพรไม่เคยสนใจมองเพื่อนต่างคณะอย่างผมเลย”
กริชเริ่มต้นเล่าด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร ทำเอาคนข้างล่างเวทีโดยเฉพาะเพื่อนร่วมคณะอย่างพริมาและคนอื่นๆ ถึงกับโห่แซว
“เราสองคนพบกันอีกครั้งตอนไปเรียนต่อที่นิวยอร์ก ตอนนั้น…แพรกำลังคบหากับผู้ชายอีกคนค่ะ”
สุ้มเสียงของเพียงแพรเล่าเหมือนเป็นเรื่องปกติของคนทั่วไปที่เคยผิดหวังในรักครั้งเก่าก่อนเจอรักครั้งสุดท้าย ทว่าเรื่องจริงของเพื่อนรักกลับเชือดเฉือนหัวใจคนฟังอีกคนอย่างแสนสาหัส พริมาสัมผัสได้ว่าอินทัชกำลังเจ็บปวดรวดร้าวเพียงใด
“ทุกอย่างกำลังไปได้สวย แต่สุดท้าย…ผู้ชายคนนั้นกลับทำให้แพรผิดหวังในความรักอย่างมาก จนไม่สามารถให้อภัยเขาได้ ในตอนนั้น…แพรคิดว่าทำไมชีวิตรักของเราถึงได้แย่อย่างนี้ แพรคิดว่าตัวเองไม่เหลือใครแล้ว แต่พอมองไปรอบๆ แพรเห็นแต่ใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่งที่คอยยืนเคียงข้างแพรตลอดเวลา และกริช…คือผู้ชายคนนั้นค่ะ” เพียงแพรหันไปสบตาคนข้างๆ “นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้แพรมั่นใจว่าคนที่แพรจะรักตลอดไปนับจากนี้มีแค่กริชคนเดียวเท่านั้น”
กริชดึงเพียงแพรมากอดอย่างแนบแน่น ก่อนจรดริมฝีปากบนหน้าผากเจ้าสาวอย่างอ่อนโยน เรื่องราวน่าประทับใจของทั้งคู่เรียกรอยยิ้มและเสียงปรบมือลั่นห้อง นาทีนั้น…พริมาไม่แน่ใจนักว่าอะไรดลใจให้เธอหันไปมองผู้ชายซึ่งกลายเป็นอดีตของเพียงแพร เธอเห็นเขานิ่งงัน พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ข่มความรู้สึกร้าวรานอย่างถึงที่สุด
ทันใดนั้นบานประตูห้องจัดเลี้ยงกลับถูกเปิดกว้าง ตามด้วยเสียงปรบมือเนิบช้าคล้ายประชดประชันของผู้มาใหม่
“รักกันหวานชื่นจังเลยนะคะ…”
ผู้หญิงแปลกหน้าในชุดเดรสยาวสีแดงเลือดนกก้าวเข้ามาใกล้เวทีมากขึ้นเรื่อยๆ สายตาของแขกเหรื่อเบนความสนใจจากคู่บ่าวสาวมาจับจ้องยังร่างบางเป็นทางเดียว
“เจน”
เสียงของกริชแม้แผ่วเบาแต่พริมาได้ยินชัดและเข้าใจในทันทีว่าน่าจะเป็นชื่อของผู้หญิงคนนั้น สังหรณ์บางอย่างดึงพริมาหันไปมองอินทัชอีกครั้ง เขาพักแก้วไวน์ลงบนโต๊ะแล้วเอนกายพิงพนักเก้าอี้ เผยรอยยิ้มประหลาดเหนือมุมปาก ราวกับตั้งตารอชมสิ่งที่น่าสนใจนับจากนี้
“ที่คู่บ่าวสาวพูดนั้น ถูกต้องทุกอย่างค่ะ แต่มีอีกเรื่องที่ดูเหมือนเจ้าสาวจะยังไม่ทราบ…”
ผู้หญิงชื่อเจนก้าวไปยังหน้าเวทีที่เพียงแพรกับกริชยืนเคียงคู่
“รู้ไหมคะว่าเรื่องอะไร…” เจนเว้นวรรคให้เรื่องที่กำลังจะเล่าดูน่าสนใจยิ่งขึ้น “เบื้องลึกเบื้องหลังที่ทำให้คุณเพียงแพรกับแฟนเก่าต้องเลิกกัน จริงๆ แล้วไม่ใช่ฉันอย่างที่คุณเพียงแพรเข้าใจหรอกนะคะ แต่เป็น…”
“หยุดพูดได้แล้ว!”
เสียงคุ้นหูของร่างสูงเจ้าของแว่นกันแดดในชุดสูทเทาเรียบเท่ตรงเข้ามาขัดจังหวะ พร้อมฉวยข้อมือข้างหนึ่งของผู้หญิงที่ชื่อเจนไว้ทันที แม้เขาจะแค่นเสียงปรามร่างบางให้เบาสักเพียงใด แต่พริมาซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลกลับได้ยินสุ้มเสียงทุ้มลึกของเขาชัดเจน
“ว้าว มาพอดีเลย” เจนยิ้มเหมือนเยาะ เมื่อร่างสูงตรงหน้าพยายามขัดขวางเธอ “มองหาตั้งนาน นึกว่าจะไม่มาร่วมงานซะแล้ว”
“ออกไปเดี๋ยวนี้!”
“ริศอย่ามาสั่งเราเหมือนที่เคยทำเมื่อปีก่อนหน่อยเลย”
“จะหยุดหรือไม่หยุด” วาริศเค้นเสียงลอดไรฟัน
“ไม่หยุด!” ร่างบางในชุดเดรสสีแดงเลือดนกตอบได้เพียงเท่านั้นก็ถูกเขากระชากตรงไปที่ประตูห้องจัดเลี้ยงอย่างรวดเร็ว พริมาเห็นชัดว่าเจนพยายามสะบัดข้อมือให้หลุดจากมือหนา แต่กลับสู้แรงต้านของวาริศไม่ไหว
ทว่าจังหวะนั้นร่างสูงของอินทัชกลับลุกพรวดเข้าไปขวางวาริศไว้ได้ทัน
“ถอยไป” วาริศเอ่ยเตือนด้วยเสียงเย็นเยียบ แต่อินทัชกลับเชิดหน้าท้าทาย ประกายตาลุกวาว
“ฉันไม่มีวันถอยให้แกอีกแล้ว”
วาริศถอนใจเหมือนระอา ราวกับเห็นคำพูดของคนตรงหน้าเป็นเรื่องไร้สาระ “ฉันไม่อยากเสียเวลากับแก…ถอยไป”
“แกต่างหากที่อย่ามายุ่งกับเรื่องนี้!”
“ออกไปให้หมดทั้งสามคนนั่นแหละ!”
คราวนี้เสียงของคนบนเวทีดังลั่นห้อง ทั้งวาริศ อินทัช และเจนต่างชะงักงันก่อนค่อยๆ หันไปมองเจ้าของเสียง
“ออกไป!” เพียงแพรย้ำความต้องการทั้งหมดอีกครั้ง
วาริศอาศัยจังหวะนั้นกระตุกข้อมือเจนออกไปนอกงานทันที เหลือเพียงอินทัชที่ยังคงเป็นตัวป่วนในสายตาแขกเหรื่อนับร้อย
“แพร…แพรควรจะรู้นะว่าหมอนั่นเป็นคนทำให้เราสองคน…”
“ต้องเลิกกัน” เพียงแพรต่อประโยคของอินทัชจนจบ ทำเอาเขาตะลึงค้าง
“แพรรู้?”
“ใช่…เรารู้”
“แต่แพรกลับทำเฉย คนที่ยืนอยู่ข้างแพรบนเวทีตอนนี้ต้องเป็นเราสิถึงจะถูก ไม่ใช่ไอ้กริช เราต่างหากที่รักแพรมากกว่ามัน!”
“หยุดโทษคนอื่นเสียทีได้ไหมแทน”
อินทัชได้ยินเช่นนั้นถึงกับอึ้งงัน “แพร…พูดอะไรออกมา”
“ยอมรับเสียทีว่าเราไม่ได้รักกันแล้ว ถึงจะรื้อฟื้นทุกอย่าง เราก็ไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิม ต่างคนต่างมีชีวิตของตัวเองเถอะ”
“…”
“เราขอร้องนะแทน ถ้าแทนอยากเห็นเรามีความสุข ได้โปรด…ทำตามที่เราขอได้ไหม”
อินทัชนิ่งไป นัยน์ตาคมกริบสั่นไหวคล้ายคนไม่มีทางเลือก เขายืนนิ่งอยู่เช่นนั้นหลายอึดใจ ก่อนเดินออกไปจากห้องจัดเลี้ยงอย่างเงียบงัน พริมาทำได้แค่มองตามอินทัชไปเช่นนั้น กระทั่งแผ่นหลังของเขาหายลับไปจากสายตา
“คนที่ลากผู้หญิงชุดแดงออกไปใช่ไอ้ฌานรึเปล่า”
ก้องภพถามขึ้นทันทีที่อยู่กับพริมาสองต่อสอง พลางสอดส่ายสายตาไปทั่วงานมองหาร่างสูงผู้ยุติเหตุวิวาห์ล่มด้วยการลากหญิงสาวปริศนาออกไป
“พวกเพื่อนๆ ในห้องเราสงสัยกันใหญ่เลยว่าใช่มั้ย แต่ฉันว่าใช่ว่ะ เหมือนซะขนาดนั้น จะไม่ใช่ได้ไงวะ แล้วนี่มันหายไปไหนแล้วเนี่ย แทนที่จะมาทักทายเพื่อนฝูง”
พริมาเห็นด้วยกับการตั้งข้อสังเกตของก้องภพทุกอย่าง อันที่จริงเธอแน่ใจด้วยซ้ำว่าไม่มีทางจำผิดแน่
“แกตาฝาดไปแล้วไอ้ก้อง นั่นวาริศ…เพื่อนสนิทของกริชต่างหาก” เพียงแพรก้าวเข้ามาสมทบวงสนทนาในชุดเดรสสั้นแซมลูกไม้สีขาวนวลสุดเซ็กซี่สำหรับงานอาฟเตอร์ปาร์ตี้ หลังทำหน้าที่ส่งแขกและญาติผู้ใหญ่กลับไปพักผ่อนเรียบร้อย
“เป็นไปได้ไงวะ” ก้องภพทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ
“เป็นไปได้สิ คนหน้าคล้ายกันมีถมไป” น้ำเสียงยืนยันของเพียงแพรหนักแน่นจนพริมาไม่อยากเชื่อ เมื่อเห็นเพื่อนรักพยายามช่วยเหลือวาริศอย่างสุดกำลังอีกครั้ง
“ไม่อยากเชื่อเลยว่ะ ไอ้พริม ถ้าเป็นแก…ต้องจำได้แน่ๆ”
ทว่าคำตอบของพริมากลับห้วนจัดและราบเรียบ
“คนละคน”
หญิงสาวยืนกรานไปเช่นนั้น ทั้งที่ความเคลือบแคลงสงสัยยังคงปกคลุมทั่วทุกสำนึก ป่วยการเปล่าๆ เพียงแพรกับวาริศคงทำข้อตกลงบางอย่างร่วมกันไว้แล้วว่าจะไม่เปิดเผยตัวตนของฌานนท์ แม้คนรอบกายจะออกแรงคาดคั้นความจริงสักเพียงใดก็ตาม
“ฉันขอตัวกลับก่อนนะ”
“พริม…อยู่ด้วยกันก่อน” เพียงแพรเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาหวังรั้งเธอไว้ แต่พริมากลับรู้สึกไม่สะดวกใจจะร่วมงานอาฟเตอร์ปาร์ตี้ต่อ
ลึกๆ แล้วเธอนึกน้อยใจเพียงแพรค่อนข้างมาก ในเมื่อเธอก็เป็นเพื่อนเพียงแพรเหมือนกัน ทำไมเพียงแพรถึงไม่ยอมพูดความจริงเรื่องฌานนท์กับเธอบ้าง ทว่าสุดท้าย…พริมาทำได้แค่ยิ้มบางให้คนตรงหน้า
“ปาร์ตี้ให้สนุกนะแก”
พริมาบอกลาเพื่อนคนอื่นๆ แล้วปลีกตัวออกจากห้องจัดเลี้ยงทันที เธอเดินลงบันไดโค้งสู่ล็อบบี้ชั้นกว้างอย่างคนหมดแรง แสงไฟนวลตาเหนือเคาน์เตอร์บาร์โรงแรมดึงความสนใจพริมาให้หยุดที่ร่างคุ้นตาท่ามกลางการจับคู่สนทนาของนักธุรกิจชาวต่างชาติ ยิ่งสองเท้าของพริมาก้าวเข้าไปใกล้ยิ่งพบว่าใบหน้าของอาร์ตไดเร็กเตอร์หนุ่มคู่หูนั้นหมองหม่นระคนหดหู่เพียงใด นิ้วเรียวยาวของเขาลูบวนขอบแก้วอย่างคนใจลอย แววตาเลื่อนลอยจนพริมาไม่อาจจับทางได้ว่าเขากำลังหมดหวังในการได้เพียงแพรกลับคืนหรือครุ่นคิดถึงสิ่งใดกันแน่
ไหนๆ คืนนี้ก็ไม่มีที่ไป พริมาจึงตัดสินใจเข้าไปนั่งข้างๆ เขา ยกมือเรียกบาร์เทนเดอร์เพื่อสั่งเครื่องดื่มตัวโปรด “โมฮีโต้แก้วนึงค่ะ”
อินทัชหันขวับมามองเธอราวกับไม่เคยเห็น “คุณ…มาทำอะไรที่นี่”
“ก็แค่อยากดื่ม”
“ไม่จริง คุณมาที่นี่เพราะอยากเย้ยผมมากกว่า” สุ้มเสียงของเขาฉายแววสมเพชตัวเอง “สะใจคุณล่ะสิที่เห็นผมเป็นแบบนี้”
“ฉันควรตอบว่าใช่ แต่จริงๆ แล้วฉันเข้าใจความรู้สึกคุณนะ”
เขายกมุมปากคล้ายหยันคำพูดย้อนแย้งในตัวของเธอ อยากจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเต็มทน “แพรส่งคุณมาปลอบใจผมเหรอ”
“เปล่า ฉันเข้าใจคุณจริงๆ” เธอสบตาอินทัชอย่างเปิดเผย ยืนยันความรู้สึกข้างใน ไม่ได้พูดเพื่อเอาใจเขาแต่อย่างใด กระทั่งแววตาเขาอ่อนลงราวกับสัมผัสได้ว่าเธอไม่ได้โกหกเขาจริงๆ
“คุณเคยถูกทิ้งเหมือนผมเหรอ”
คำถามของอินทัชเสียดแทงใจพริมาชนิดไม่ทันตั้งตัว ภาพของฌานนท์ผุดขึ้นระรัวในหัวอย่างไม่อาจห้ามได้ หญิงสาวระบายลมหายใจด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง จะว่าฌานนท์เป็นคนทิ้งเธอก็ดูไม่ยุติธรรม เพราะคนที่เป็นฝ่ายถูกกระทำคือฌานนท์ต่างหาก เธอนั่นแหละที่เป็นคนทิ้งเขา ไม่ใช่เขาทิ้งเธอ
พริมาปล่อยให้ความเงียบสวมบทเกลอยามยาก เคลื่อนเข้ามาคั่นบทสนทนาอย่างรู้งาน อาจเป็นเพราะอินทัชไม่ได้ตั้งใจคาดคั้นคำตอบตั้งแต่แรก เธอจึงไม่จำเป็นต้องแบกคำบอกเล่าแสนแสลงใจ รีบกลืนอดีตหายไปในอก แล้วแสร้งทำเป็นแนะนำเขาแทน
“ฉันหวังว่านับจากนี้คุณจะลืมแพรแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใครสักคนที่รักและเข้าใจคุณจริงๆ ถึงวันนั้นแล้ว คุณต้องถนอมเธอไว้ให้ดีล่ะ อย่าปล่อยให้เธอหลุดมือไปอีก”
“พูดง่าย แต่ทำยาก” เขายกแก้ววิสกี้ขึ้นดื่มจนหมดเหลือเพียงน้ำแข็งก้อนกลม
“ไม่มีใครรู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นยังไง”
“คุณพูดเหมือนรู้ดี”
“จริงๆ แล้วฉันไม่รู้อะไรเลยต่างหาก”
คำตอบยอกย้อนเรียกดวงตาคมกริบของเขาหันมาจ้องลึกลงในตาเธอ “ที่คุณบอกว่าเข้าใจความรู้สึกผม อาจเป็นเพราะคุณเคยตกหลุมรักใครสักคนเอามากๆ”
หญิงสาวนิ่งงัน พยายามหัวเราะกลบเกลื่อนความรู้สึกร้อนผ่าวเหนือขอบตา “ฉันเล่าไป คุณอาจจะหัวเราะ” โชคดีที่บาร์เทนเดอร์เสิร์ฟเครื่องดื่มให้พอดี พริมาจึงใช้โมฮีโต้เป็นข้ออ้างหลีกเลี่ยงการตอบคำถาม ค่อยๆ ละเลียดรสชาติเปรี้ยวอมหวานผสานว้อดก้ารัสเซียบาดคอ
“อะไรกัน ทีคุณยังรู้เรื่องผมเยอะเลย”
เขาพูดเหมือนน้อยใจเมื่อเห็นเธอเงียบไป ไม่ยอมเล่าความหลังให้ฟัง ก่อนจะหันไปขอวิสกี้อีกแก้วจากบาร์เทนเดอร์แล้วดื่มจนหมดรวดเดียว
“พริม…” จู่ๆ เขาก็เอ่ยชื่อเธอด้วยสุ้มเสียงแฝงรอยเว้าวอน
“ฮึ?”
“คืนนี้…คุณอยู่เป็นเพื่อนผมก่อนได้ไหม” แววตาวูบไหวร้าวรานปานจะขาดใจ
“…”
“ผมไม่เหลือใครแล้วจริงๆ”
อินทัชรู้สึกหนักศีรษะอย่างรุนแรงราวกับมีหินก้อนโตถ่วงไว้ไม่ให้ไปจากหมอน เขาค่อยๆ เปิดเปลือกตาอันเหนื่อยล้ามองไปรอบๆ ก็พอประมวลผลได้ว่ากำลังนอนอยู่บนเตียงหนานุ่มในคอนโดมิเนียมของตัวเอง แม้เมื่อคืนเขาจะดื่มหนักมากชนิดไม่สามารถควบคุมขีดจำกัดของตัวเองได้ แต่ในความทรงจำอันเลือนรางกลับมีผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัวอย่างแจ่มชัด
ในตอนนั้นเขาไม่ได้คาดหวังกับคำขอร้องกึ่งวิงวอนของตัวเองนัก แต่พริมากลับอยู่เป็นเพื่อนเขาตลอดทั้งคืน ในสายตาเธอคงกำลังเวทนาผู้ชายคนหนึ่งซึ่งพยายามกล้ำกลืนความขมขื่นลงคอไปพร้อมๆ กับวิสกี้รสหวานเฝื่อนลิ้น เขาหมดสิ้นทางสู้เรื่องเพียงแพร และอ่อนแอเกินกว่าจะดูแลตัวเอง การยอมรับความพ่ายแพ้และตัดใจให้ได้คงเป็นหนทางเดียวที่เขาควรเดิน
ทว่าพอมองเข้าไปในดวงตาคนตรงหน้า เขากลับรู้สึกได้ถึงความสลดหดหู่พล่านไปทั่วอกพริมา เมื่อเห็นเขาจ้องเธอนานเข้า ริมฝีปากเล็กจึงค่อยๆ เผยรอยยิ้มบางเบาราวกับปฏิเสธว่าเธอไม่ได้เป็นอะไร อย่าใส่ใจการแสดงออกทางสีหน้าและแววตาของเธอนักเลย
ลึกๆ แล้วอินทัชอยากฟังเธอเฉลยเรื่องราวที่อัดอั้นอยู่ภายใน แต่พริมาไม่ยอมระบายความทุกข์ใจใดๆ ให้ฟังทั้งที่เขาหาใช่คนอื่นคนไกล เป็นถึงอาร์ตไดเร็กเตอร์คู่หูเธอ บางที…อาจเป็นเพราะเขาและเธอเพิ่งรู้จักกันได้เพียงเดือนกว่า ความสนิทสนมที่มีให้กันคงยังไม่มากพอสำหรับการทลายกำแพงความเป็นส่วนตัว เขาจึงเลือกถามเธอเรื่องเพียงแพรเพื่อทำลายความเงียบ
‘ที่แพรบอกให้ผมยอมรับเสียทีว่าผมกับแพรไม่ได้รักกันแล้ว มันหมายความว่ายังไงกันแน่’ แม้สติสัมปชัญญะจะเลือนหายไปพร้อมวิสกี้หลายแก้ว แต่สิ่งหนึ่งที่เขาจดจำได้แม่นคือแววตาสวยหม่นของพริมาขณะประสานกับสายตาเขา
‘คำตอบก็ออกจะตรงตัวอยู่แล้ว แพรไม่ได้รักคุณ คุณไม่ได้รักแพร’
‘ถ้าไม่รัก ผมจะตามง้อขอคืนดีทำไม ผมจะทำขนาดนั้นไปเพื่ออะไร’
‘ความรู้สึกผิดไง’ พริมาเฉลย ทั้งที่ผ่านมาเขาไม่เคยนึกถึงคำนี้เลยด้วยซ้ำ แต่กลับรู้สึกชาวาบไปทั้งร่าง
‘ความรู้สึกผิดงั้นเหรอ’ เขาพึมพำราวกับไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะหมดรักเพียงแพร และที่ทำทุกอย่างลงไปจะเป็นเพราะความรู้สึกนั้นจริงๆ
‘ใช่ ความรู้สึกผิด…คุณรู้สึกผิดกับแพรที่ทำเรื่องแย่ๆ ไว้ จนแพรให้อภัยคุณไม่ได้’
‘แต่เรื่องนั้น วาริศเป็นคนวางแผน…’ โชคดีที่ตอนนั้นเขายั้งปากไว้แม้จะเริ่มเมามากแล้ว ไม่อยากพูดชื่อหรือแม้แต่นึกถึงหน้าหมอนั่นเลยด้วยซ้ำ
แต่แทนที่พริมาจะถามกลับว่าวาริศวางแผนอะไร หรือเคยทำอะไรกับเขาไว้บ้าง เธอกลับนั่งนิ่ง ระบายลมหายใจอย่างสงบเหมือนไม่อยากรู้เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างเขากับวาริศ…คนที่เธอเคยพยายามเค้นคำตอบจากเขาว่าไปเจอกันที่ไหน และรู้จักกันได้อย่างไร ราวกับเธอและวาริศเคยมีอดีตร่วมกันมาก่อน
ยิ่งคิดถึงใบหน้าเศร้าหมองของพริมาขณะนั่งข้างๆ ที่เคาน์เตอร์บาร์โรงแรมเมื่อคืน อินทัชยิ่งสงสัยว่าทำไมพริมาถึงไม่ไปถามเพียงแพรให้รู้เรื่องว่าวาริศเป็นใครกันแน่ เพราะเพียงแพรก็รู้จักวาริศเหมือนกัน จะไม่รู้จักได้อย่างไร ในเมื่อเขาเป็นคนแนะนำให้หมอนั่นได้พบปะเพียงแพรในฐานะคนรักของเขาสมัยเรียนโฆษณาด้วยกันที่นิวยอร์ก แต่ถึงเขาจะรู้จักวาริศมาก่อน ก็ใช่ว่าอยากจะพูดถึงอดีตเพื่อนรักเท่าไหร่นัก
อินทัชหลับตาถอนหายใจอย่างหัวเสียนิดๆ แล้วยันกายพ้นจากเตียงตรงไปเปิดตู้เย็น หยิบเครื่องดื่มแก้เมาค้าง สำรวจตัวเองในสภาพชุดสูทตัวเดิมตั้งแต่คืนวาน ชายหนุ่มพยายามทบทวนว่าฟุบหลับตรงเคาน์เตอร์บาร์ไปตอนไหน เพราะก๊อปปี้ไรเตอร์สาวไม่มีทางแบกร่างหนักๆ ของเขามาที่คอนโดมิเนียมด้วยตัวคนเดียวได้แน่ บางทีเธออาจจะโทรหาวอแวกับชินทรให้มาช่วย สองคนนั้นคงไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร และก่นด่าเขาในใจที่เมาเละเทะจนดูแลตัวเองไม่ได้แบบนี้
เราสองคนจะเป็นเพื่อนกันได้ไหมนะ…จู่ๆ ความคิดนั้นก็โผล่ขึ้นมาในหัว พริมาน่ะหรือจะอยากเป็นเพื่อนกับเขา แค่ประคองตำแหน่งคู่หูให้รอดไปวันๆ ก็ยากเอาการแล้ว
แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นี่…อีกหนึ่งความคิดแย้งขึ้นมาทันควันจนไม่อยากเชื่อตัวเอง แค่เธอมานั่งดื่มเป็นเพื่อนเขาเมื่อคืน กลับทำให้ความคิดหลายๆ อย่างของเขาเปลี่ยนไปจนไม่สามารถหักห้ามได้
ให้ตายเถอะ…ดูเหมือนเขาจะอยากเป็นเพื่อนกับเธอมากจริงๆ จนเผลอหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงตัวเดียวกับเมื่อคืนและปลดล็อกหน้าจอค้นหาเบอร์โทรศัพท์ของพริมา จ้องตัวเลขทั้งสิบหลักนานหลายวินาทีจนจำได้ขึ้นใจ บางทีเขาควรจะโทรขอบคุณเธอสักหน่อยสำหรับมิตรภาพเล็กๆ เมื่อคืน และชวนเธอออกไปดื่มกาแฟรสเยี่ยมบรรยากาศดีๆ พร้อมสานสัมพันธ์ในฐานะคู่หูครีเอทีฟที่ดี ไหนๆ ก็ต้องทำงานด้วยกันอยู่แล้วนี่
นิ้วของเขาค้างเหนือเบอร์มือถือพริมาอยู่นาน ตัดสินใจไม่ได้สักทีว่าควรโทรหาเธอตอนนี้เลยหรือไม่ พริมาเองคงงุนงงไม่น้อยและสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เขาถึงอยากทำดีกับเธอในชั่วข้ามคืน
ทว่า ‘พ่อ’ กลับขัดจังหวะความคิดถึงที่มีต่อเธอ อินทัชปล่อยให้โทรศัพท์มือถือสั่นอยู่นาน กว่าจะตัดสินใจกดรับได้
“มาหาฉันที่บ้านเดี๋ยวนี้” พ่อกรอกคำสั่งสั้นๆ ด้วยเสียงเข้มปนขุ่นจัดแล้ววางสายทันที ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ถามไถ่ด้วยซ้ำ อินทัชจำต้องพับแผนนัดพริมาออกมาดื่มกาแฟ และมุ่งหน้าไปหาพ่อแทนอย่างช่วยไม่ได้
ไม่ถึงสองชั่วโมง ชายหนุ่มก็ขับรถมาถึงบ้านเดี่ยวใจกลางเมือง และเดินขึ้นไปหาพ่อที่ห้องทำงานทันที ทุกอย่างเป็นไปตามคาด พ่อสาดเสียงด่าทอรุนแรงใส่เขาไม่ยั้ง ราวกับเขาไปฆ่าใครตายอย่างไรอย่างนั้น
“แกขายงานโฆษณาแพ้ ฉันยังไม่โกรธเท่าที่แกไปหลงลูกสะใภ้ไอ้ธนาหัวปักหัวปำ!”
“เรื่องงาน ผมยอมให้พ่อด่า แต่เรื่องผู้หญิง พ่อไม่มีสิทธิ์มาว่าผม”
“เพราะแกเป็นแบบนี้ไง แล้วฉันจะมั่นใจให้แกก้าวขึ้นมาแทนฉันได้ยังไง ใครๆ เขาก็คอยจับตาดูกันทั้งนั้นว่าแกจะวัดรอยเท้าฉันสำเร็จมั้ย?!”
“ผมไม่เคยคิดจะวัดรอยเท้าพ่อเลยสักนิด!” พอเขาตวัดเสียงห้วนจัดสาดกลับบ้าง คนเป็นพ่อก็เริ่มฉุน
“วะ…ว่าไงนะ?!”
“ผมจะไปในที่ที่พ่อไม่เคยไป!”
“อินทัช!” ประกายตาพญาเหยี่ยวแข็งกร้าวอย่างน่ากลัว พ่อขว้างแฟ้มสะสมผลงานของเขาตกบนพื้นใกล้เท้าเขาพอดี แฟ้มสะสมผลงานโฆษณาเล่มนี้…อินทัชตั้งใจทำเป็นเดือนๆ เพื่อนำมาให้พ่อดูก่อนหน้านี้ หวังเพียงพ่อจะเอ่ยปากชื่นชมเขาสักครั้ง
แต่ดูเหมือนเขาจะฝันมากเกินไป
“น่าผิดหวังจริงๆ”
อินทัชเชิดคาง เม้มริมฝีปากสั่นระริก สะกดความเจ็บปวดที่แล่นพล่านไปทั่วอก “ถ้าไม่รู้จะด่าอะไรที่มันใหม่กว่านี้…ผมขอตัว”
ชายหนุ่มทั้งโกรธทั้งน้อยใจ เขาก้าวออกจากห้องไป ไม่ยอมสบตาคนเป็นพ่อแม้แต่นิด ความสัมพันธ์ของเขากับพ่อเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ทว่าอินทัชไม่อาจทำใจให้ชาชินได้เลยสักครั้ง…สักครั้งเดียวก็ไม่เคย
สราลีเดินวนไปวนมาตรงห้องรับแขกของบ้านได้พักหนึ่งแล้ว พอเห็นลูกชายคนโตกระแทกเท้าปึงปังลงบันไดและตั้งท่าจะขับรถกลับไปทั้งที่เพิ่งมาเยือนได้ไม่ถึงห้านาทีดีหล่อนเป็นอันต้องร้อนใจ รีบเข้ามาคว้ามือลูกชายไว้
“แทน…”
“ผมอยากอยู่คนเดียว”
สิ้นประโยคราบเรียบเพียงอึดใจ เหมือนมีบางอย่างสะกิดให้อินทัชหันไปมองสราลีอีกครั้ง เขาเห็นแม่นิ่งงัน วินาทีนั้นทำให้อินทัชตระหนักว่าตัวเองเป็นลูกที่แย่มากแค่ไหน กลับมาถึงกรุงเทพฯ ได้เดือนกว่าแต่ไม่ยอมกลับมาเหยียบบ้านหาแม่เลย
“ผมขอโทษครับแม่” อินทัชโผเข้ากอดแม่ด้วยความรู้สึกผิด ตลอดเวลาที่ผ่านมาแม่เป็นคนเดียวที่คอยเฝ้าดูความสัมพันธ์อันเลวร้ายระหว่างเขากับพ่อ
“ไม่เป็นไรลูก ไม่เป็นไร…” แม่ยกนิ้วขึ้นกรีดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ “เมื่อไหร่พ่อเขาจะเลิกกดดันแทนเสียที แม่ไม่เข้าใจเลยจริงๆ”
“ผมเองก็ไม่รู้” แววตาอินทัชว่างเปล่า เพราะสิ่งที่แม่ถาม…เป็นสิ่งเดียวกับที่เขาตามหาคำตอบมานานจนรู้สึกเหนื่อยล้า ที่ผ่านมาเขาทำตามที่พ่อบอกและขีดเส้นไว้ทุกอย่าง ทั้งเรื่องเรียนและเรื่องงาน เพราะเห็นว่าสิ่งเดียวที่เขาเหมือนพ่อคือใจอันรักมั่นในงานโฆษณา แต่ไม่นึกเลยว่าเขาเป็นเด็กดีขนาดนี้ พ่อกลับไม่เห็นค่าในตัวเขาเลย
“แล้วแทนเป็นไงบ้างลูก”
นัยน์ตาคู่สวยของแม่มักถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเขาเสมอ อินทัชอยากจะตอบกลับว่า ‘สบายดี’ เหลือเกิน อย่างน้อยเพื่อให้แม่สบายใจ แต่กลับเอื้อนเอ่ยคำนั้นออกไปไม่ได้ ในเมื่อความเศร้ามันฟ้องชัดในดวงตาเสียขนาดนั้น
“ไม่เป็นไรนะลูก แล้วมันจะผ่านไป” น้ำเสียงอ่อนหวานและอบอุ่นชโลมลงดวงใจอันปวดร้าว แม่พูดราวกับหยั่งรู้เหตุการณ์ว่าเขาพบพานอะไรมาบ้าง “แทนของแม่เก่งขนาดนี้ ต้องผ่านมันไปได้อยู่แล้ว”
“ผมต้องทำยังไง พ่อถึงจะยอมรับในตัวผมเสียที” เขาระบายความรู้สึกร้าวลึกออกมาในที่สุด
แต่แม่กลับเงียบไป อาจเป็นเพราะไม่รู้จะตอบเขาอย่างไร ทำได้แค่กระชับอ้อมแขนแน่นแทนคำปลอบประโลม
“เมื่อกี้ยายแก้วเพิ่งติดต่อมาหาแม่ด้วยล่ะ”
การเปลี่ยนเรื่องคุยของแม่ได้ผล อินทัชได้ยินข่าวน้องสาวก็พอจะยิ้มออก “แล้วแก้วว่าไงบ้างครับ”
“สอบธีสิสผ่านเรียบร้อยแล้วล่ะ เห็นว่าอยากไปเที่ยวที่รัฐอื่นต่อ”
อินทร์แก้วถูกพ่อบังคับให้เรียนด้านสื่อสารการตลาดที่สหรัฐอเมริกา จบมาจะได้ทำงานแผนกวางแผนกลยุทธ์ ช่วยเหลือเขาที่เตรียมขึ้นมาคุมแผนกครีเอทีฟในอนาคต แต่ความสนใจของอินทร์แก้วไม่ใช่เรื่องโฆษณาเลยสักนิด เธออยากเป็นคนเขียนบทและกำกับหนังมากที่สุด อินทัชเคยดูหนังสั้นของอินทร์แก้วสมัยเรียนปริญญาตรีแล้ว ‘ดีทีเดียว’ เขาเอ่ยปากชมผลงานของเธอ โดยเฉพาะการตีแผ่ความคิดของเหล่า ‘ลูเซอร์’ หรือผู้แพ้ในวงการกีฬา ศิลปะ และอื่นๆ อินทร์แก้วเล่าเรื่องสะท้อนตะกอนความรู้สึกของคนขี้แพ้พวกนี้ออกมาได้ดีมาก ถ้อยคำของทุกตัวละครล้วนส่งแรงกระเพื่อมต่อจิตใจเขาเกินทน
‘รู้มั้ย คนประเภทไหนน่าสงสารที่สุดในโลก’
จู่ๆ คำพูดของวาริศก็ผุดขึ้นในหัว มันเป็นคำพูดที่เกิดขึ้นหลังอินทัชถูกหัวหน้าทีมครีเอทีฟที่เอเจนซี่ในนิวยอร์กตำหนิผลงานของเขาอย่างรุนแรงต่อหน้าเพื่อนร่วมงานกว่าสิบชีวิต
‘ก็คนประเภทที่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่…ก็ไม่มีทางทำสำเร็จยังไงล่ะ’
น้ำเสียงดูแคลนของหมอนั่นยังคงแจ่มชัดในโสตสัมผัสราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานทั้งที่ผ่านไปกว่าครึ่งปี
‘แกนี่มัน…น่าสงสารจริงๆ เลยว่ะไอ้แทน ฉันไม่รู้จะช่วยแกยังไงจริงๆ’
บทที่ 9
บทเพลงแห่งวงกต
ก๊อปปี้ไรเตอร์สาวก้าวพ้นจากสถานีรถไฟฟ้าได้ไม่ทันไรก็เห็นรูปปั้นสีเทาเหมือนจริงตั้งอยู่ตรงทางเชื่อมหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร แต่งกายด้วยกระโปรงสุ่มสวมหมวกปีกกว้างเหมือนหญิงสาวในภาพเขียนของโมเนต์ แต่พอรูปปั้นขยับกายกางร่มเท่านั้น นักท่องเที่ยวที่เดินไปมาบนสกายวอล์กทางเดินเชื่อมห้างสรรพสินค้าละแวกนั้นถึงกับออกอาการประหลาดใจไม่ต่างจากเธอ เมื่อรู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นนักศึกษาหญิงเพ้นต์ตัวเองด้วยสีเทาทั่วตัว ยืนนิ่งเหมือนหุ่นดึงความสนใจคนย่านนี้
สัปดาห์นี้มีนิทรรศการดีๆ เรียงคิวมาจัดที่หอศิลป์ฯ มากมาย ตอนแรกพริมาตั้งใจจะนั่งฟังบรรยายของนักเขียนชื่อดังที่ได้รับรางวัลวรรณกรรมยอดเยี่ยมจากฝรั่งเศส แต่ดันชนกับเวลาที่แสงวิทย์เจ้าของร้านโคมไฟไบรเทนนัดหมายเอาไว้
ตอนแรกเธอกะชวนอินทัชมาด้วย เพราะตั้งแต่เริ่มทำงานมาเขายังไม่ได้พบหน้าแสงวิทย์เลยสักครั้ง แต่พอเห็นสภาพอินทัชเมื่อคืน พริมาจึงตัดสินใจมาที่นี่คนเดียว เธอมาถึงก่อนเวลานัดเกือบหนึ่งชั่วโมง จึงเดินชมนิทรรศการภาพเขียนของศิลปินไทยมีชื่อ และเดินชมไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสะดุดกับภาพเขียนสีน้ำมันภาพหนึ่งเข้า
“คุณคิดยังไงกับภาพนี้”
หญิงสาวสะดุ้งโหยง ดวงตาเบิกโพลงเมื่อตระหนักได้ว่านี่คือเสียงของวาริศไม่ผิดแน่
ว่าแต่…เขามาที่นี่ได้อย่างไร
“ไม่ได้ยินที่ผมถามเหรอ”
พริมาถอนหายใจ รวบรวมความกล้าหันไปสบตาเขาซึ่งยืนอยู่ข้างหลังเธอ แต่กลับพบว่าใบหน้าคมสันโน้มเข้าใกล้อยู่ห่างเพียงคืบ
“ว่าไง…คุณคิดยังไงกันแน่” คำถามของวาริศกำกวมจนเธอไม่กล้าตีความ
“ถ้าคุณหมายถึงภาพวาด คำจำกัดความสำหรับฉันก็คือ สั่นคลอน…ซ่อนเร้น…”
“สั่นคลอน? ซ่อนเร้น?” เขาทวนคำอย่างกินนัย “เป็นสิ่งที่ผมคิดไว้ แต่กลับนึกคำคำนี้ไม่ออก คุณนี่เก่งจริงๆ สมแล้วที่เป็นก๊อปปี้ไรเตอร์”
พริมาสัมผัสได้ว่าเขาแสร้งชื่นชมเธอเพื่อซื้อใบเบิกทางสู่บทสนทนา หาใช่รู้สึกเช่นนั้นจากใจจริง หญิงสาวจ้องลึกลงไปในดวงตาคมฉายแววระยับอย่างท้าทาย ราวกับต้องการหยั่งถึงก้นบึ้งจิตใจคนตรงหน้า แต่กระบวนการนั้นกลับต้องสะดุดลงด้วยประโยคคำถามที่ยากแก่การรับมือ
“แล้วถ้าเป็นผมล่ะ คำจำกัดความของผมคืออะไรสำหรับคุณ” วาริศเผยรอยยิ้มฉาบเลศนัย “สั่นคลอน…หรือว่าซ่อนเร้น…เหมือนภาพนี้รึเปล่า”
คำตอบของพริมามีเพียงความเงียบงัน ริมฝีปากเม้มหนักสะกดความรู้สึกหลากหลาย เขาน่าจะรู้ดีว่าเธอรู้สึกเช่นไร คำสองคำนั้นอธิบายตัวตนอันน่าพิศวงของเขาได้ครอบคลุมที่สุดแล้ว
เมื่อรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ตรงนี้ต่อ พริมาจึงตัดสินใจผละหนี ไม่มีคำถามชวนว้าวุ่น เพราะถึงถามไป วาริศก็ไม่มีทางตอบตามความจริงอยู่ดี
“คุณนี่เดายากจริงๆ…” เขารั้งข้อมือเธอไว้ แรงดึงนั้นทำให้พริมาหันมาเผชิญหน้าวาริศอีกครั้ง “ผมเข้ามาทัก เพราะนึกว่าคุณจะรัวคำถามเก่าๆ ใส่ผมเหมือนครั้งก่อนเสียอีก ทำไมผมต้องปิดบังตัวตนที่แท้จริงด้วย ถ้าผมไม่ใช่เพื่อนเก่าของคุณที่ชื่อฌานนท์อะไรนั่น ทำไมผมถึงไปโผล่ที่งานแต่งเพียงแพรเมื่อคืน”
“เพราะฉันไม่อยากถามแล้วน่ะสิ”
“…”
“ถึงถามไป คุณก็คงพูดแต่คำตอบเดิมๆ อยู่ดี ต่อจากนี้ฉันจะเรียกคุณว่าวาริศตามที่คุณต้องการ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังเชื่ออยู่ดีว่าคุณคือฌานนท์”
“…”
“ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าคุณปิดบังตัวตนที่แท้จริงเพื่ออะไรกันแน่”
“ถ้าสุดท้ายแล้ว ผมไม่ใช่ผู้ชายคนนั้นของคุณ…คุณจะทำยังไง”
“ฉันจะเลิกยุ่งกับคุณ เราสองคนจะไม่ได้เจอกันอีก”
หากมองไม่ผิด แววตาของเขาไหวระริกราวกับขบขันคำพูดของเธอเสียเต็มประดา “ได้ยินแล้วใจหายเหมือนกันแฮะ”
“…”
“ผมชักอยากจะเป็นผู้ชายคนนั้นขึ้นมาซะแล้วสิ”
พริมานิ่งงัน เกลียดคำพูดของเขาและความรู้สึกร้อนผ่าวเหนือขอบตา เพียรบอกตัวเองว่าร่างสูงตรงหน้าเป็นเพียงภาพมายา
หาใช่ฌานนท์คนที่เธอเคยอยากให้เขาเป็น
วาริศจำใจปล่อยพริมาเดินลงทางลาดเอียงไปยังชั้นล่างของหอศิลป์ฯ จนลับสายตา เมื่อหญิงสาวเอ่ยขอตัวว่าต้องไปธุระต่อ เขาเองก็หมดเหตุผลรั้งไว้ ทั้งที่ใจหนึ่งกำลังสนุกกับการปั่นหัวเธอ แต่อีกใจกลับแย้งว่าพอแค่นี้ก่อน…
เขากับเธอยังต้องเจอกันอีกนาน
ชายหนุ่มเดินขึ้นไปชมงานศิลปะราวครึ่งชั่วโมงก็พบว่าถึงเวลานัดหมาย จึงมุ่งหน้าไปยังบันไดเลื่อน เคลื่อนตัวลงไปชั้นหนึ่งอย่างไม่เร่งรีบ วาริศนัดกับรุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งเรียนด้านการออกแบบที่นิวยอร์กเช่นกัน เขาคนนั้นน่าจะนั่งรอที่ร้านกาแฟดังบรรยากาศเรียบง่ายภายในหอศิลป์ฯ เรียบร้อยแล้ว
“วาริศ!”
รุ่นพี่คนนั้นลุกจากเก้าอี้ไม้โบกมือให้ทันทีที่เห็นเขาปรากฏตัวตรงทางเข้าหน้าเคาน์เตอร์ชงกาแฟดริป แสงวิทย์ไม่ได้นั่งภายในร้านเพียงลำพัง แต่มีหญิงสาวอีกคนนั่งอยู่ข้างๆ…คนเดียวกับที่เพิ่งอธิบายความหมายภาพเขียนสีน้ำมันว่ากำลังสั่นคลอนและซ่อนเร้นความนัยแก่ผู้ชมอย่างเธอเพียงใด
“อึ้งไปเลยล่ะสิ คิดว่าฉันควงสาวที่ไหนมาด้วยสิท่า”
ไม่ใช่เขาหรอกที่อึ้ง คนที่ตะลึงจนตัวชาทันควันดูเหมือนจะเป็นพริมามากกว่า
“นั่งก่อนๆ” แสงวิทย์ตบมือลงบนเก้าอี้ไม้ตัวข้างๆ ให้เขานั่ง วาริศจำต้องหย่อนกายลงบนนั้น ทำให้องศาการเผชิญหน้าระหว่างเขากับเธอนั้นตรงกันราวกับสวรรค์จัดเรียง ทว่าพริมากลับเบือนหน้าหนี เธอคงไม่คิดว่าจะได้พบกับเขาอีกครั้งที่ร้านกาแฟแห่งนี้
“คุณพริมครับ นี่รุ่นน้องผมเอง รู้จักกันสมัยเรียนที่นิวยอร์ก ชื่อวาริศ…เป็นครีเอทีฟเหมือนคุณพริมเลย”
พริมาผงกศีรษะส่งยิ้มนิดๆ คงเยือกเย็นให้เขาเห็นตามมารยาท ก่อนจะยกถ้วยกาแฟดริปขึ้นจิบข่มอารมณ์หลากหลาย เธอคงสงสัยและเคลือบแคลงใจมากมายว่าทำไมจังหวะการปรากฏตัวของเขาถึงได้พกพาความรู้สึกไม่มั่นคงมาเยือนเธอเสมอ
“ส่วนนี่คุณพริมาจากแอดดิกต์ ที่รับทำโฆษณาให้ร้านฉันเอง” แสงวิทย์หันมาแนะนำความเป็นมาของเธอให้เขารับทราบบ้าง “ว่าแต่ทั้งสองคนเคยเห็นหน้าค่าตากันบ้างรึเปล่า เป็นคนวงการเดียวกัน น่าจะเคยเห็นกันมาบ้าง”
นาทีนั้น…เขาอยากรู้เสียจริงว่าเธอจะตอบอย่างไร
“ก็คุ้นๆ เหมือนกันนะคะ แต่ไม่ได้รู้จักหรือสนิทสนมเป็นพิเศษ”
พริมา…เธอเปลี่ยนไปมากจริงๆ นอกจากทักษะยอดเยี่ยมเรื่องการทอดทิ้งคนที่รักและไว้ใจเธอแล้ว ดูเหมือนพริมาสามารถเอาดีด้านการโกหกได้อีกด้วย ช่างเป็นผู้หญิงครบเครื่อง สร้างความประหลาดใจให้กับเขาได้ตลอดเวลา แต่ช่างเถอะ จริงๆ แล้วเขาเข้าใจเธอนะ ขืนเธอบอกแสงวิทย์ไปว่าเคยรู้จักเขาดีแค่ไหน คงลำบากใจในการตอบคำถามต่างๆ นานาเป็นแน่
“ว่าแต่อาร์ตไดเร็กเตอร์คนใหม่ที่มาแทนคุณหนุ่มไม่มาด้วยเหรอครับ” แสงวิทย์ถามพริมาด้วยคำถามที่วาริศมั่นใจว่าตัวเขารู้คำตอบเป็นอย่างดี
“คือ…พอดีอินทัชเขาติดธุระด่วนน่ะค่ะ พริมเลยมาคนเดียว”
ติดธุระงั้นหรือ วาริศได้ยินแล้วอยากจะหัวเราะ เขาต้องสะกดกลั้นความรู้สึกขำขันไว้ในอกอย่างถึงที่สุด ลอบมองพริมาด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ คนอย่างอินทัชเนี่ยนะติดธุระ ติดเหล้าจนโงหัวไม่ขึ้นมากกว่า
“ชื่ออินทัชเหรอครับ ใช่คนคนเดียวกับที่เป็นลูกชายของคุณศักดารึเปล่า”
“ค่ะ คนเดียวกัน”
“โอเคครับ งั้นเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า พอดีผมต้องบินไปดูงานที่ญี่ปุ่นวันอังคารนี้ ยังไงขอเลื่อนนัดพรีเซนต์งานจากที่เคยนัดไว้อาทิตย์หน้ามาเป็นวันจันทร์นี้ตอนเที่ยงแทนนะครับ”
พริมาได้ยินอย่างนั้นดูเหมือนจะตกใจกับคำบอกกล่าวกึ่งบังคับของแสงวิทย์อย่างมาก “ทำไมถึงได้กะทันหันแบบนี้ล่ะคะ”
“ก็ครั้งก่อนคุณพริมเคยบอกผมว่าคิดคอนเซ็ปต์ได้ระดับหนึ่งแล้วนี่ครับ นี่ก็ผ่านมาจะเดือนนึงแล้ว น่าจะคืบหน้าพอสมควร ยังไงพรุ่งนี้รบกวนมาพรีเซนต์ที่ร้านเลยนะครับ ผมจะได้เคาะเลยว่าเอาไอเดียไหน อ้อ อีกเรื่อง…ผมฝากขอโทษคุณไก่ด้วยที่ไม่ได้ติดต่อคุณพริมผ่านเธอกับเออีในทีมโดยตรง”
พริมาไม่อาจฝืนความต้องการของแสงวิทย์ได้ สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวลจัด ในใจเธอคงคิดว่ามีเวลาสะสางงานเพียงแค่คืนนี้คืนเดียวเท่านั้น ช่างบีบคั้นหัวใจคนเป็นครีเอทีฟเหลือเกิน เอาเถอะน่าพริมา แม้แสงวิทย์จะไม่ใช่ลูกค้ารายใหญ่ แต่ก็ควรถนอมความสัมพันธ์ไว้มิใช่หรือ
“ไม่แรงไปหน่อยเหรอวะ” แสงวิทย์เอ่ยขึ้นกับวาริศทันทีที่พริมาเดินออกจากร้านขอตัวกลับไปเคลียร์งานด่วน
“ไม่หรอกพี่วิทย์” เขายิ้มพราย
“นี่ฉันกลายเป็นลูกค้าจอมโหดไปแล้วเหรอเนี่ย เอาจริง…ใครหน้าไหนมันจะไปทำทันวะ”
“จะเละหรือรุ่ง เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้”
“นี่ถ้าไม่เห็นว่าแกเป็นน้องสนิท ฉันคงไม่ช่วยขนาดนี้ ถามจริง…ตกลงเหยื่อที่แกฝากฉันแกล้งจริงๆ แล้วเป็นใครกันแน่วะ ผู้หญิง…ผู้ชาย…หรือว่าทั้งสอง”
วาริศไม่เอ่ยว่าเป็นหญิงหรือชาย
แต่เลือกระบายยิ้มเยียบแทน
“คุณหายไปไหนมา ทำไมไม่ยอมรับโทรศัพท์ฉันเลย?!”
อินทัชประหลาดใจเมื่อพริมาลุกพรวดจากโซฟาในโซนล็อบบี้ของคอนโดมิเนียมตรงมาหาเขาที่เพิ่งก้าวพ้นประตูกระจกบานหนา สายตาของเขาพุ่งไปที่หน้าปัดนาฬิกาแขวนเรือนใหญ่ตรงผนังทันที พริมามาทำอะไรที่นี่ตอนสามทุ่มครึ่ง
“คุณมาทำอะไร แล้วรู้ได้ไงว่าผมอยู่ที่นี่” เขางุนงงกับการปรากฏตัวแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยของเธอ
“งานเข้าเราสองคนแล้วล่ะ” พริมาไม่ตอบ รีบจั่วหัวเข้าประเด็นแทน “คุณแสงวิทย์ต้องการให้เราพรีเซนต์งานพรุ่งนี้เที่ยง”
“ว่าไงนะ?!”
พริมาเม้มริมฝีปากแน่นหลายอึดใจคล้ายกังวลว่าควรบอกเขาดีหรือไม่ แต่สุดท้ายเธอก็เอ่ยออกมาในที่สุดว่า “เมื่อตอนบ่ายฉันไปพบคุณแสงวิทย์มา ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกคุณ ฉันเห็นว่าคุณกำลังทุกข์ใจเรื่อง…”
ประโยคนั้นขาดหายไป อินทัชรู้ดีว่าหมายถึงเรื่องเพื่อนรักของเธอ
“คุณเห็นผมเป็นคนยังไงพริม?!” น้ำเสียงของเขาแสดงความขัดข้องเต็มอารมณ์
“อย่าเพิ่งทะเลาะกันได้มั้ย เราสองคนไม่ได้มีเวลาขนาดนั้น”
อินทัชระบายลมหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ที่ผ่านมาเขากับพริมาพูดถึงแบรนด์ร้านขายโคมไฟไบรเทนเพียงน้อยครั้ง รูปร่างหน้าตาของลูกค้าที่ชื่อแสงวิทย์เป็นอย่างไรอินทัชยังไม่รู้ด้วยซ้ำ
“เอางี้ละกัน…ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ขึ้นไปเคลียร์งานบนห้องผมก่อน”
“หา?!” พริมาอุทานเสียงหลงจนอินทัชต้องหรี่ตามอง
“ผมไม่มีอารมณ์ทำอะไรคุณหรอกน่า”
เธอเชิดหน้ายืนกรานว่าไม่ได้คิดมาก “ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”
ไม่ถึงสามนาทีบานประตูห้องชุดของอินทัชก็ถูกเปิดกว้าง ร่างสูงหลีกทางให้พริมาก้าวเข้าไปข้างใน เปิดทางให้เธอได้สำรวจบรรยากาศโดยรอบ เห็นที่เขี่ยบุหรี่บนโต๊ะอาหาร ข้างๆ มีขวดวิสกี้กับแก้วเปล่าที่หลงเหลือร่องรอยการมีอยู่ของน้ำสีอำพันชัดเจน
“รู้อะไรมั้ย คุณเป็นผู้หญิงคนแรกที่เข้ามาเหยียบห้องนี้เลยนะ”
คำพูดไม่ได้คิดอะไรมากของเขาทำเธอชะงัก หันขวับมามองด้วยสายตาตั้งคำถามว่าควรภูมิใจกับเกียรติที่ได้รับครั้งนี้หรือไม่
“นั่งก่อนสิ” อินทัชผายมือไปที่โซฟาหนังสีดำ
“ความจริงฉันคิดไอเดียไว้คร่าวๆ แล้วล่ะ” พริมาทิ้งตัวนั่งบนโซฟาตามคำเชิญ แล้วจัดการหยิบสมุดสเก็ตช์คู่ใจออกจากกระเป๋าสะพาย พลิกหาหน้ากระดาษที่จดไอเดียโฆษณาของร้านขายโคมไฟไบรเทนยื่นให้อินทัชดู ชายหนุ่มรับมาพินิจใกล้ๆ อ่านลายมือไม่มีหัวของพริมา ดีทีเดียว…อินทัชยอมรับในใจ แต่กลับเอ่ยออกไปอีกอย่างว่า
“ผมว่าไอเดียคุณมันยังไปไม่สุดเท่าไหร่”
พริมาถอนหายใจ “แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่า ‘สุด’ สำหรับคุณ”
อินทัชไม่อาจตอบคำถามเธอได้ เขาจึงเสมองออกไปนอกหน้าต่างดูแสงไฟจากตึกรามบ้านช่องยามค่ำคืน “ความจริง…เอามาต่อยอดสักหน่อยก็น่าจะช่วยให้งานเสร็จเร็วขึ้น”
พอเห็นเธอขยับยิ้มอย่างเป็นต่อราวกับผู้มีชัย ชายหนุ่มก็พอจะเดาออกว่าเธอคิดอะไร “ไม่ต้องมายิ้มเลย”
พริมาหุบยิ้มพลัน แต่ยังหลงเหลือแววขบขันในดวงตา ราวกับรู้ตัวว่าคนที่น่าจะพึ่งพาได้มากที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่เขา…แต่เป็นเธอ
วินาทีนั้นอินทัชลืมไปเลยด้วยซ้ำว่าเมื่อวานกับวันนี้เขาเจอเรื่องแย่ๆ อะไรมาบ้าง เพียงเพราะรอยยิ้มน่ามองของก๊อปปี้ไรเตอร์สาวตรงหน้า พริมาเป็นคนยิ้มสวยและมีเสน่ห์อย่างมาก เขาอยากบอกความจริงข้อนี้ให้เธอรู้ เผื่อเธอจะได้ยิ้มบ่อยๆ อย่างน้อยก็ช่วยกลบความเศร้าในดวงตาสวยคู่หม่นได้บ้าง แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างห้ามเขาไว้ไม่ให้พูดคำนั้นออกไป เขาเองก็ไม่เข้าใจ ทั้งที่เมื่อเช้ายังคิดถึงเรื่องอยากเป็นเพื่อนกับเธออยู่เลย
ชายหนุ่มจมอยู่กับความคิดเรื่องอยากผูกมิตรจนเผลอยืนนิ่งไปหลายอึดใจ กระทั่งพริมาสะกิดเรียกเขาด้วยน้ำเสียงสงสัยว่าเป็นอะไรไปอีก เขาถึงรู้สึกตัว เดินไปหยิบแม็กบุ๊กในห้องนอนออกมาวางบนโต๊ะกลางหน้าโซฟา เปิดโปรแกรมสำหรับวาดและตกแต่งภาพ พร้อมแล้วสำหรับการทำแบบร่างโฆษณาเพื่อนำไปเสนอแสงวิทย์พรุ่งนี้
ขณะที่ทั้งเขาและเธอนั่งสุมไฟเผางานจนลืมเวลา เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของพริมาพลันดังขึ้นเหมือนระฆังบอกเวลาเที่ยงคืนในนิทานเรื่องซินเดอเรลล่า แม่ของพริมาเป็นคนโทรมา อินทัชฟังเธอตอบคำถามก็พอจะเดาออกได้ว่าปลายสายถามไถ่ถึงเรื่องใด เหตุใดพริมายังไม่กลับบ้าน ต้องให้แม่โทรตามเหมือนเด็กๆ แบบนี้ หญิงสาวจึงรีบขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ บอกไปว่าตอนนี้กำลังเร่งเคลียร์งานด่วนที่บ้านเพื่อนอยู่ ประโยคถัดมาเธอเอ่ยตอบว่า ‘ผู้หญิง’ สงสัยแม่พริมาคงถามว่าเพื่อนที่ว่านั้นเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงแน่นอน
พอพริมาวางสาย อินทัชจึงชวนเธอออกไปทานข้าวต้มมื้อดึกไม่ใกล้ไม่ไกลจากคอนโดฯ เขาและเธอเดินเคียงกันไปบนทางเดินริมถนนใหญ่ ไม่พูดไม่จาอะไรจนถึงร้าน อินทัชไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะเขาไม่มีเรื่องจะคุยกับพริมาจริงๆ หรือเป็นเพราะอย่างอื่นกันแน่ นี่เขากำลังเขินพริมาอยู่งั้นหรือ ไม่น่าใช่มั้ง อินทัชพยายามยืนยันกับตัวเองว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ
เนื่องจากที่ร้านมีลูกค้าเยอะทุกคืน ทั้งแม่ครัวและพนักงานเสิร์ฟต่างทำงานมือเป็นระวิง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครว่างมาเก็บจานชามของลูกค้ากลุ่มที่เพิ่งลุกออกไปเสียที อินทัชจึงยกมือเรียกพนักงานเสิร์ฟให้มาเก็บกวาดความเสียหายโดยด่วนพร้อมขอเมนูอาหารให้พริมาเปิดดูไปพลางๆ ระหว่างรอ เมื่อพบเมนูถูกใจ คู่หูสาวของเขาจึงจัดแจงสั่งผัดผักบุ้งไฟแดง ไชโป๊ผัดไข่ ยำไข่เค็ม ไข่เจียวหมูสับใส่ใบโหระพา ไส้ตันทอดกระเทียมพริกไทย พอเธอตั้งท่าจะสั่งอีกเมนู อินทัชจึงรีบร้องห้าม
“หิวโซมาจากไหนเนี่ย”
“ก็คืนนี้เราต้องโต้รุ่งทำงานกันนี่ เสร็จจากนี้คุณต้องพาฉันแวะซื้อกาแฟที่ร้านสะดวกซื้อด้วยนะ”
อินทัชไม่อยากเชื่อเลยว่าตลอดมื้ออาหารยามดึก ท่าทีกระด้างกระเดื่องที่เขาและเธอเคยมีให้กันก่อนหน้านี้จะค่อยๆ มลายหายไป พริมาเองก็รักษาน้ำใจเขาด้วยการหลีกเลี่ยงบทสนทนาเกี่ยวกับเพียงแพร
กาแฟสดจากร้านสะดวกซื้อใกล้คอนโดฯ ทำเอาเขาและเธอตาสว่างพร้อมลุยงานต่อ กระทั่งเวลาล่วงเลยเข้าตีสี่ อินทัชจัดการร่างแบบโฆษณาจนแล้วเสร็จ ทันทีที่กดบันทึกงานชายหนุ่มวางเม้าส์ปากกาลงบนแท่นวาด ชูแขนยาวทั้งสองข้างบิดไล่ความเมื่อยล้า ทว่าสายตากลับหยุดที่พริมาซึ่งบัดนี้ฟุบหลับสนิทไปแล้วบนโซฟาข้างๆ เขา
อินทัชหัวเราะหึในใจ ไหนเธอบอกจะลุยงานโต้รุ่งกับเขาไง แล้วนี่อะไร กำลังฝันร้ายอยู่สิท่า หัวคิ้วทั้งสองข้างถึงได้ขมวดมุ่นขนาดนี้
“So I start a revolution from my bed
’Cos you said the brains I had went to my head
Step outside, summertime’s in bloom
Stand up beside the fireplace
Take that look from off your face
You ain’t ever gonna burn my heart out”
พริมาไม่แน่ใจนักว่าตัวเองหูแว่วหรือเปล่าขณะก้าวไปตามทางเดินแคบๆ โอบล้อมด้วยผนังสูงฉาบด้วยปูนเปลือยทั้งสองข้าง เธอเลี้ยวซ้ายขวาตามเหลี่ยมมุมและทางแยกบังคับเดินอันซับซ้อนคล้ายติดอยู่ในวงกต ตามหาต้นตอของเพลงคุ้นหูก่อนดวงตะวันอ่อนแสงจะลาลับขอบฟ้า
แต่แล้วหญิงสาวพลันสะดุดที่แผ่นหลังของร่างสูงอันคุ้นตา
…ฌานนท์ปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร
เขาส่งยิ้มเยียบเย็นให้เธอเพียงนิด ก่อนจะย่างเท้าไปยังซอกมุมอันเร้นลึกของวงกต ความรู้สึกสลดหดหู่สั่นคลอนหัวใจของพริมา เธออยากตามเขาไป แม้เส้นทางข้างหน้าจะดูน่ากลัวสักเพียงใด แต่เท้าทั้งสองข้างกลับนิ่งค้างราวกับถูกใครตอกตะปูตรึงไว้
“ฌาน…เดี๋ยวก่อน…รอเราด้วย…ฌาน…ฌาน!”
พริมาสะดุ้งตื่นจากฝัน หายใจหนักหน่วงคล้ายหอบ ยกมือขึ้นลูบหน้าเรียกสติ แล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนบนโซฟาหนังตัวเดิมกลางห้องรับแขกในห้องชุดของอินทัช เครื่องเสียงสเตอริโอยี่ห้อดังกำลังเล่นเพลงเดียวกับที่เธอได้ยินในฝัน
“ตื่นแล้วเหรอ”
พริมาหันขวับไปมองร่างสูงที่เพิ่งก้าวออกมาจากห้องนอนพลางใช้ผ้าขนหนูเช็ดเส้นผมเปียกชุ่มหลังการอาบน้ำ
“เพลงนี้…”
“Don’t Look Back in Anger ของโอเอซิสไง” อินทัชเอ่ย “คนรุ่นเราโตมากับยุคบริตป็อปนี่”
หญิงสาวอึ้งงัน ไม่อยากเชื่อเลยว่าวาจาของอินทัชจะกระตุ้นสำนึกให้หวนระลึกถึงคำพูดของฌานนท์เมื่อสิบปีก่อน
‘นี่พริมไม่รู้จักเพลงของโอเอซิสจริงๆ เหรอ ยุคบริตป็อปออกจะรุ่งเรือง’
“ความจริงแล้วเนื้อหามันเศร้ามากเลยล่ะ แต่ผมกลับรู้สึกว่า…เพลงมันสว่างอย่างบอกไม่ถูก” อาร์ตไดเร็กเตอร์หนุ่มดึงพริมากลับสู่บทสนทนาปัจจุบัน “ว่าแต่เมื่อคืนเหอะ ไหนว่าจะโต้รุ่งด้วยกัน ชิงหลับไปก่อนซะงั้น”
“ฉันขอโทษ”
“ช่างเหอะ ยังไงงานก็เสร็จเรียบร้อยดี ขอเวลาผมแต่งตัวแป๊บนึง เดี๋ยวจะขับรถไปส่งที่บ้านให้คุณได้อาบน้ำ แล้วค่อยเข้าออฟฟิศพร้อมกัน ให้พี่ตระการช่วยดูไอเดียก่อนไปเสนอลูกค้า”
อินทัชว่าเป็นฉากๆ ก่อนเข้าไปแต่งตัวต่อ เขาใช้เวลาเพียงสิบนาทีก็ก้าวออกมาในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวปกดำรับกับกางเกงยีนเนื้อดี พร้อมกลิ่นน้ำหอมลอยมาจางๆ ขณะนิ้วยาวทั้งสองข้างเซ็ตผมสั้นดำหนาแบบลวกๆ
รถยนต์มาดเยอรมันของอินทัชใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงในการเคลื่อนตัวมาถึงหน้าบ้านพริมา หญิงสาวรีบลงจากรถเข้าไปในตัวบ้านทันที อินทัชร้องถามไล่หลังว่าใจคอเธอจะไม่ให้เขาเข้าไปนั่งรอในบ้านเลยหรือ พริมาจึงหันมาบอกให้เขานั่งรอในรถแค่สิบห้านาทีเท่านั้น เธอออกมาแน่นอน อินทัชเบ้ปากเหมือนไม่อยากเชื่อ ผู้หญิงอย่างเธอน่ะหรือจะใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวแค่สิบห้านาที แต่แล้วพริมาก็พิสูจน์ให้เขาเห็นว่าเธอเป็นคนตรงต่อเวลามากแค่ไหน
ทั้งสองมาถึงออฟฟิศแอดดิกต์ก่อนแปดโมงเช้า พี่ตระการยังคงสงสัยไอเดียโฆษณาในหลายๆ จุด ก่อนจะช่วยตบให้แน่นขึ้น พริมากับอินทัชต่างเร่งมือแก้ไขชิ้นงานตัวอย่างให้ทันก่อนเที่ยง โดยไม่ทันสังเกตเห็นคุณศักดาก้าวเข้ามาในห้องเพื่อคุยกับหัวหน้าครีเอทีฟทีมอื่นเกี่ยวกับแผนโฆษณาคอนโดมิเนียมของบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่
“ไอ้แทน ไอ้พริม มาดูอะไรนี่เร็ว” วอแวเรียกทั้งคู่ลั่นห้องทำงานแผนกครีเอทีฟ พลางกวักมือไหวๆ ให้หันมาสนใจข่าวในโทรทัศน์
และทั้งสองคนเป็นอันต้องชะงักไปเมื่อเห็นภาพข่าวบนจอ
“ตอนนี้เรากำลังอยู่ที่สถานีรถไฟฟ้าของบริษัทคอนเนคต์แอนด์ลิงก์ค่ะ หลังจากประสบปัญหาขาดทุนสะสมมานานหลายปี วันนี้คอนเนคต์แอนด์ลิงก์ได้สรรหากลยุทธ์ใหม่เพื่อเพิ่มยอดผู้ใช้บริการ ด้วยการเนรมิตสถานีรถไฟฟ้าต้นทางกับปลายทางให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่อันน่าตื่นตาตื่นใจของกรุงเทพฯ ตอนนี้เรากำลังอยู่กับคุณวิวัฒน์ อรรถพร กรรมการผู้จัดการคอนเนคต์แอนด์ลิงก์ และคุณธนา พิชิตผล ประธานเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ต ผู้อยู่เบื้องหลังไอเดียแปลงโฉมสถานีรถไฟฟ้าแห่งนี้ สวัสดีทั้งสองท่านค่ะ…” ผู้สื่อข่าวหญิงผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงของสถานีโทรทัศน์ช่องดังรายงานเสียงเจื้อยแจ้ว ก่อนจะยื่นไมโครโฟนไปที่วิวัฒน์
“ก่อนอื่น ผมต้องขอขอบคุณทางแอคต์แพลเน็ตอย่างยิ่งที่ทุ่มเทให้กับงานนี้อย่างมาก ถ้าไม่ได้คุณธนากับลูกทีม บรรยากาศของที่นี่คงเงียบเหงาเหมือนเดิม ผิดกับตอนนี้ที่ดูคึกคักมาก เป็นภาพที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นครับ”
คราวนี้ผู้สื่อข่าวหญิงขยับไมโครโฟนไปที่ธนาบ้าง “สำหรับความตั้งใจของแอคต์แพลเน็ต เราอยากเห็นสถานีรถไฟฟ้าคอนเนคต์แอนด์ลิงก์เป็นสถานีแห่งความสุขครับ รถไฟฟ้าทุกขบวนจะต้องทำให้ผู้โดยสารรู้สึกเซอร์ไพรส์ ตื่นเต้น และสนุกสนานเหมือนได้ออกเดินทางไปยังสถานที่แปลกใหม่ทุกครั้ง”
พริมาค่อยๆ หันไปมองอินทัช เขาตัวแข็งทื่อเหมือนวันนั้น…วันที่เขาแพ้อย่างราบคาบ…วันที่เขาคิดว่าไอเดียที่ตระเตรียมมาดีแล้วกลับห่างชั้นจากวาริศชนิดเทียบไม่ติด หญิงสาวจึงสะกิดให้เขาหันมาสนใจแก้ไขร่างงานโฆษณาตรงหน้าต่อ เพราะรู้ดีว่าหากปล่อยให้เขาจมอยู่กับความดีความชอบของวาริศไปมากกว่านี้ สมาธิของอาร์ตไดเร็กเตอร์คู่หูอาจหลุดจากสิ่งที่ต้องโฟกัสได้
ร้านขายโคมไฟแบรนด์ ‘ไบรเทน’ ของลูกค้าหน้าใหม่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองไม่ไกลจากออฟฟิศเอเจนซี่แอดดิกต์นัก อินทัชดันประตูบานใหญ่ก้าวนำพริมาเข้าไปในร้าน แล้วพบว่าโคมไฟหลากดีไซน์ถูกจัดวางอย่างลงตัว ว่าชิ้นไหนควรเป็นพระเอก ชิ้นไหนควรเป็นตัวประกอบ ดูเหมือนการจัดหน้าร้านของที่นี่จะดูดีและมีรสนิยมกว่าที่อินทัชคาดไว้มาก พริมาเห็นแววชื่นชมในตาเขา
“เราสองคน…มาทำงานชิ้นนี้ให้เต็มที่กันเถอะ” พริมาเอ่ยขึ้น หลังพนักงานร้านคนหนึ่งเข้ามาทักทายและเชื้อเชิญเขากับเธอให้ขึ้นไปนั่งรอในห้องประชุมขนาดเล็กบนชั้นสองของร้าน
“ผมเต็มที่มาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
พริมาเปล่งเสียงหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้ามั่นอกมั่นใจของเขา “ผิดกับเมื่อตอนเห็นข่าวคอนเนคต์แอนด์ลิงก์เลยเนอะ”
“จะพูดถึงเรื่องนั้นให้เสียอารมณ์ทำไม”
“ก็เผื่อวาริศจะเป็นแรงผลักดันที่ดีให้คุณได้”
ทว่าอินทัชกลับหัวเราะคล้ายเยาะความคิดของเธอ “ผมไม่อยากยึดหมอนั่นเป็นแรงกระตุ้นเลยสักนิด”
“ไม่ว่ายังไง ฉันเชื่อว่าคุณทำได้” น้ำเสียงของเธอจริงจังจนเขาประหลาดใจ
“คุณเชื่อในตัวผมด้วยเหรอ”
พริมาส่งยิ้มบางแทนคำตอบ อินทัชเองก็คงไม่อยากเชื่อว่าเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงของคืนวานจะช่วยร้อยรัดความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอให้ชิดเชื้อมากขึ้นถึงเพียงนี้
ทว่าสัญญาณการงอกเงยของมิตรภาพระหว่างทั้งคู่หาได้มีส่วนกู้คืนความเชื่อมั่นของลูกค้าหน้าใหม่ให้เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาและเธอกำลังนำเสนอเลยสักนิด
“บอกผมทีว่านี่เป็นไอเดียที่ผ่านการคิดมาแล้ว?!”
พริมาสัมผัสได้ว่าอินทัชพยายามนิ่งเงียบข่มกลั้นอารมณ์ไว้หลังได้ยินถ้อยปรามาสของแสงวิทย์อย่างถึงที่สุด ส่วนเธอน่ะหรือ…จะทำอะไรได้นอกจากแสร้งตีหน้ายิ้ม ในใจครุ่นคิดหาวิธีรับมือ
“พริมคิดว่าทั้งสองคอนเซ็ปต์ที่เราคิดมาไม่ว่าจะเป็น Spark Your Day…Spark Your Way หรือ Turn on Your Dream สามารถตอบโจทย์แบรนด์ไบรเทนที่ช่วยจุดประกายเรื่องดีๆ ให้เกิดขึ้นกับลูกค้าได้แน่นอนค่ะ”
“บอกตามตรง ผมคาดหวังว่าจะเห็นสักสี่ห้าคอนเซ็ปต์ แต่นี่อะไร ให้เวลาไปทำตั้งนาน ได้มาแค่สองคอนเซ็ปต์เองรึ น่าผิดหวังจริงๆ แอดดิกต์คงเห็นผมเป็นแค่ลูกค้ารายเล็กๆ เท่านั้น สู้เอาเวลาไปทุ่มให้ลูกค้ารายใหญ่ยังจะคุ้มซะกว่า”
“คุณแสงวิทย์คะ” พริมาขัดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะคะ”
“ไม่ต้องแก้ตัวให้เหนื่อย พวกคุณกลับไปได้แล้ว ผมไม่ชอบสักไอเดีย ถ้าคิดมาให้ดีกว่านี้ไม่ได้ ก็อย่ามาคุยกันเลยดีกว่า ปล่อยให้ครีเอทีฟทีมอื่นมาทำแทนเถอะ” แสงวิทย์มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างขุ่นเคือง
“ไม่ครับ พวกเราจะทำจนกว่าคุณจะพอใจ และเห็นค่าในความตั้งใจของพวกเรา”
พริมาเห็นชัดถึงสายตาของแสงวิทย์ขณะชำเลืองมายังเจ้าของเสียงห้าวลึก
“ได้โปรด…เชื่อมั่นในตัวผมกับพริมเถอะครับ” อินทัชขอโอกาส
“คุณจะเอาอะไรมารับประกัน ถ้าการพรีเซนต์ครั้งหน้าพวกคุณยังเอาไอเดียห่วยแตกมาขายอีก”
“ผมไม่มีอะไรมารับประกัน นอกจากว่าจะทำจนกว่าคุณจะพอใจ”
“นั่นเป็นเรื่องธรรมดาที่ครีเอทีฟต้องทำให้ลูกค้าอยู่แล้ว ไม่เห็นมีอะไรใหม่”
“ถ้าอย่างงั้น…คุณแสงวิทย์ต้องการอะไรครับ”
“ถ้าคุณทำให้ผมพอใจไม่ได้ ผมจะยอมเป็นฝ่ายผิดสัญญากับแอดดิกต์ เปลี่ยนไปใช้บริการเอเจนซี่อื่นแทน แถมตอนนี้ผมก็มีเอเจนซี่ในใจแล้วด้วย พวกเขาไม่มีทางทำให้ผมผิดหวังเหมือนที่คุณทำกับผมแน่!”
มีคนเคยพูดว่า…หากอยากรู้ว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่ ให้ลองมาทำงานโฆษณาดู
อินทัชรู้ซึ้งถึงประโยค ‘ลูกค้าคือพระเจ้า’ ดีกว่าครั้งไหนๆ แถมยังเป็นลูกค้าที่แสนเอาแต่ใจ อยากได้อะไรก็ต้องได้เสียด้วย
“แล้วคุณแสงวิทย์ต้องการให้เราเข้าไปพรีเซนต์อีกทีวันไหน” พี่ตระการถามรายละเอียดต่อ หลังเขากับพริมาเล่าถึงเหตุการณ์แสงวิทย์ฆาตกรรมไอเดียพวกเขาแบบตายทั้งเป็นที่ร้านไบรเทน
“พรุ่งนี้ครับ”
“พรุ่งนี้?!” หางเสียงของพี่ตระการขึ้นสูง “ไหนคุณแสงวิทย์บอกจะไปดูงานที่ญี่ปุ่นพรุ่งนี้ไง”
“เห็นบอกว่าจะไปไฟลต์ค่ำน่ะค่ะ ให้เราเข้าไปพบตอนเที่ยง” พริมาขยายความด้วยน้ำเสียงซ่อนความเหนื่อยอ่อนไว้ไม่มิด
“พรุ่งนี้พี่มีงานด่วนต้องบินไปสิงคโปร์ตั้งแต่เช้าซะด้วย ขอโทษด้วยจริงๆ ไม่มีโอกาสได้ปกป้องเราสองคนเลย” คนเป็นหัวหน้าทีมพูดด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจอย่างยิ่ง
“อย่าคิดมากเลยค่ะพี่ตระการ พวกเราเอาตัวรอดได้” พริมาตอบไปอย่างนั้นทั้งที่เธอเองก็ไม่มั่นใจนัก อินทัชสัมผัสได้
“เอาเป็นว่าคืนนี้พริมกับแทนนั่งเคลียร์งานที่ออฟฟิศนะ พี่จะอยู่เป็นเพื่อนเอง”
อินทัชพยักหน้ารับทราบ รู้ดีว่าไม่อาจหลีกหนีวิถีครีเอทีฟที่ใช้ชีวิตไม่ต่างจากมนุษย์ค้างคาวได้ เขาเหลียวมองพริมา อยากรู้ว่าเธอมีสีหน้าเช่นไรเมื่อต้องอยู่ทำงานโต้รุ่งกับเขาอีกคืน พอเห็นหญิงสาวไม่ได้แสดงความรู้สึกยินดียินร้ายใดๆ ออกมา อินทัชไม่เข้าใจตัวเองนักว่าทำไมถึงได้รู้สึกพึงใจอย่างประหลาดถึงเพียงนี้ ทั้งที่เขากับเธอก็แค่ทำงานด้วยกันในฐานะคู่หูเท่านั้น
“ผมว่าจะไปสูดอากาศที่สวนข้างบนสักหน่อย”
อินทัชพูดขึ้นหลังพี่ตระการเดินออกไปจากห้องทำงานแผนกครีเอทีฟ พริมาจำต้องละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์หันมามองเขาอย่างงุนงงว่าตกลงแล้วประโยคที่เขาเปรยเมื่อครู่นั้นเป็นประโยคบอกเล่าหรือขออนุญาตกันแน่
โชคดีที่วอแวกับชินทรไม่อยู่ในห้องนี้พอดี อินทัชเดาว่าคู่หูคู่เพี้ยนน่าจะหลบอยู่ใน ‘ห้องรีแลกซ์’ คลายเครียดจากเรื่องงานด้วยการสวมบทเป็นนักสอยคิวมือทองที่โต๊ะผ้าสักหลาดเขียวกลางห้อง ไม่เช่นนั้นอินทัชคงได้เห็นภาพการตวัดนัยน์ตาของสองคนนั้นเค้นความในใจจากเขาอย่างพร้อมเพรียง
“ขึ้นไปสวนลอยฟ้าด้วยกันไหม” อินทัชตัดสินใจรวบรวมความกล้าเอ่ยกับพริมาไปในที่สุด อึดใจนั้นอาร์ตไดเร็กเตอร์หนุ่มกลัวเหลือเกินว่าดวงตาคมปลาบของเขาอาจเผยความรู้สึกลุ้นจัดให้เธอรู้
ว่าแต่ทำไมเขาต้องลุ้นด้วย…ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยสักนิด ก็แค่ชวนเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งขึ้นไปนั่งพักผ่อนรับลมใต้เงาไม้เลื้อยด้วยกันบนชั้นดาดฟ้าของตึกรวมเท่านั้น
“เอาสิ”
อินทัชไม่เข้าใจ แค่พริมาตอบรับน้ำใจทั่วไป ทำไมต้องดีใจขนาดนี้ด้วย
“คุณนี่…ง่ายกว่าที่ผมคิดแฮะ”
พริมาขมวดคิ้วก่อนจะเผยยิ้มบาง ราวกับสัมผัสได้ว่าเจตนาของเขาหาใช่จงใจขัดอารมณ์เธอให้ขุ่นมัว แต่เป็นเพราะอยากเห็นเธอปล่อยวางความกังวลเป็นการชั่วคราวมากกว่า “อะไรของคุณเนี่ย เป็นคนชวนขึ้นไปด้วยแท้ๆ พูดให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้รึไง” หญิงสาวแขวะตอบพอเป็นพิธี แล้วเดินนำเขาออกไปจากห้องทำงานแผนกครีเอทีฟทันที
ขณะที่เขาและเธอก้าวตรงไปยังประตูทางออกของออฟฟิศแอดดิกต์ ก็พบว่ามีเมสเซนเจอร์หนุ่มวัยฉกรรจ์คนหนึ่งก้าวฉับผ่านหน้าทั้งคู่มุ่งไปที่เคาน์เตอร์พนักงานต้อนรับอย่างรวดเร็ว
“ขอโทษนะครับ คือผมนำพัสดุมาส่ง ถึงคุณ…เอ่อ…อินทัช เจนนุรักษ์”
จังหวะก้าวของอินทัชชะงักเมื่อได้ยินเมสเซนเจอร์เอ่ยชื่อตัวเอง
“อ้อ คุณอินทัชคะ มีพัสดุส่งถึงคุณค่ะ” เสียงใสหลังเคาน์เตอร์ร้องบอกเขาโดยพลัน พริมาจึงพยักพเยิดเป็นนัยให้เขาเดินไปรับของที่เคาน์เตอร์
“พัสดุถึงผม? ใครส่งมาเหรอครับ”
“นี่ครับ” นิ้วชี้ของเมสเซนเจอร์เลื่อนมาหยุดที่หน้ากล่องตรงตัวอักษรภาษาอังกฤษสี่ตัว
‘C H A T’
“ชาติ?”
“อ้อ มีพัสดุจากรายนี้ส่งถึงคุณศักดาด้วยครับ นามสกุลเหมือนคุณเลย ไม่ทราบว่าเป็นญาติกันรึเปล่า”
“พ่อผมเอง”
“ดีเลยครับ รบกวนคุณอินทัชเซ็นรับของแทนคุณศักดาด้วยครับ”
อินทัชจำต้องรับพัสดุเพิ่มอีกกล่อง ทั้งขนาดและน้ำหนักไม่ต่างจากของเขานัก น่าจะหนักประมาณสองกิโลกรัมเห็นจะได้ พริมาก้าวเข้ามาใกล้ เธออาสาช่วยเขาถือพัสดุอีกกล่องของพ่อขึ้นไปยังห้องทำงานบนชั้นสอง
“มีอะไร” น้ำเสียงของพ่อต้อนรับอย่างแข็งกระด้าง เมื่อเห็นเขากับพริมายืนอยู่หน้าประตูเข้ามาขัดจังหวะการสนทนากับพี่ตระการพอดี สีหน้าของพ่อและพี่ตระการดูเคร่งเครียดไม่น้อย จนเขาอยากรู้ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ว่าทั้งคู่คุยกันเรื่องอะไร
“มีคนส่งพัสดุมาให้ครับ” อินทัชรายงาน
“จากใคร” สุ้มเสียงของพ่อฉายชัดถึงความแปลกใจ
“เห็นว่าชื่อชาติครับ”
“ชาติ?” คิ้วทั้งสองข้างของพ่อแทบจะผูกเข้าหากัน หันไปขอความเห็นจากพี่ตระการว่ารู้จักหรือไม่
“เท่าที่รู้จักก็มีแต่คุณชาติผู้บริหารบริษัทประกันลูกค้าเราครับ” พี่ตระการตอบ
พ่อพินิจลายมือตรงกรอบรายละเอียดผู้ฝากส่งที่เขียนคำว่า CHAT ด้วยหมึกดำไว้หนาชัด ฉับพลันนั้นนัยน์ตาพญาเหยี่ยวพลันเบิกกว้างอย่างตกตะลึงเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก ดวงหน้ากร้านเปลี่ยนไปเป็นเครียดขึง เห็นได้ชัดว่าพยายามควบคุมอารมณ์แตกกระเจิงเอาไว้อย่างถึงที่สุด
“พริม…ออกไปก่อน” พริมาเป็นคนเดียวที่ไม่ได้รับอนุญาตให้รับรู้เหตุการณ์ต่อจากนี้ เธอจำต้องรับคำสั่งคนเป็นนายและก้าวออกไปอย่างว่าง่าย แม้สายตาของเธอจะบ่งบอกถึงความอยากรู้อยากเห็นมากแค่ไหนก็ตาม
ทันทีที่พริมาปิดประตู พ่อจัดการเปิดกล่องพัสดุนั้นทันควัน มือไม้สั่นด้วยความลนลาน ราวกับไม่คาดคิดว่าจะได้เจอสิ่งนี้…
หลอดไส้ถูกทุบแตกบรรจุอยู่เต็มกล่อง!
อินทัชเห็นอย่างนั้นจึงรีบเปิดกล่องตามทันที คนชื่อชาติเป็นใครกันแน่ถึงได้ส่งของพรรค์นี้มาให้เขากับพ่อ
เขาเห็นพ่อดึงซองจดหมายที่ถูกติดแนบมากับฝากล่องด้านใน จัดการฉีกซองทิ้งหยิบแผ่นกระดาษแข็งขนาดเท่าโปสการ์ดออกมาอ่าน ดวงตาของพ่อเบิกกว้าง ขยำกระดาษราวกับต้องการบดขยี้ให้แหลกคามือแล้วปาลงพื้นอย่างคนเจ้าโทโส อินทัชสงสัยว่าเป็นข้อความอะไรกันแน่จึงก้มลงไปหยิบขึ้นมาคลี่อ่านเต็มสองตา แล้วรีบหยิบแผ่นกระดาษออกจากอีกซองที่แนบมากับฝากล่องซึ่งระบุชื่อเขา ถึงรู้ว่าเป็นข้อความเดียวกัน
‘ครีเอทีฟหมดไฟ
ความบรรลัยบังเกิด’
ข้อความนั้นคล้ายจงใจยั่วยุโทสะของพ่อให้เดือดปุด รังสีแห่งความโกรธเกรี้ยวพลุ่งพล่านทั่วห้องยากเกินกว่าจะควบคุม พ่อปากล่องนั้นลงบนพื้นเต็มแรงจนเศษหลอดไส้กระจายเกลื่อนทั่วพื้น อาจเป็นเพราะหลอดไฟเปรียบเสมือนหัวคิดของครีเอทีฟซึ่งต้องพร้อมจุดประกายไอเดียตลอดเวลา หลอดไฟถูกทุบแตกจึงเปรียบเสมือนสารลับที่บุรุษนิรนามต้องการสื่อสารถึงพ่อกับเขาว่าโง่เขลาเบาปัญญา ไม่ต่างจากครีเอทีฟหัวแตก!
ทว่าสำหรับอินทัชแล้ว…มากกว่าความโกรธคือความพิศวงงุนงง
เขาอยากรู้เหลือทนว่าคนชื่อชาติเป็นใครกันแน่ ถึงได้ส่งของบ้าบอนี่มาให้เขากับพ่อ!
Comments
comments
No tags for this post.