บทที่ 2 ทิ้งขว้าง
แอนนา โอลิเวียร์ หรืออันน่า โอลิวิเยร์ (Anna Olivier) เป็นแบรนด์เครื่องหนังสุดหรูจากฝรั่งเศสซึ่งตั้งช็อปบริเวณชั้นสองในห้างดังใจกลางเมือง ใกล้กับจุดเชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้า ทำให้ชั้นดังกล่าวมีผู้คนสัญจรไปมาคับคั่ง
ตามปกติแล้วทางร้านมีนโยบายบริการลูกค้าหนึ่งกลุ่มต่อเอสเอ (Sale Associate) หรือพนักงานขายหนึ่งคน เนตรอัปสรคือหนึ่งในเอสเอที่มีลูกค้าแวะเวียนมาหาบ่อยที่สุด เพราะการให้คำแนะนำและบริการที่ไม่เลือกชั้นวรรณะ ใครเข้ามาสอบถามเธอก็ต้อนรับขับสู้อย่างดี ลูกค้าสาววันนี้ก็เช่นเดียวกัน
เท่าที่ประเมินจากการเห็นแวบแรกน่าจะเป็นสาวทำงาน เพราะสวมเสื้อเชิ้ตกับกระโปรงเข้ารูปทรงเอ ไว้ผมยาวประบ่า อายุอานามไม่น่าเกินสามสิบปี สีหน้าท่าทางดูเคอะเขินเล็กน้อยตอนเดินเข้ามาในช็อป เธอเลยเข้าไปทักทายด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร นำทางให้ลูกค้ารู้สึกอุ่นใจ คลายกังวล
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าวันนี้คุณลูกค้าสนใจเป็นสินค้าประเภทไหนดีคะ”
“ดูกระเป๋ารุ่นดูมงต์ สีเบจ อะไหล่สีทองไว้ค่ะ แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกไซส์ไหนดี”
กระเป๋าโอลิวิเยร์ ดูมงต์ (Olivier Dumont) คือกระเป๋าตัวท็อปของแบรนด์แอนนา โอลิเวียร์ที่ขายดีตลอดกาล
“รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวเนตรไปเอามาให้ลองดีกว่า จะได้ลองเทียบดูว่าไซส์ไหนเหมาะกับคุณลูกค้า”
“ขอบคุณมากค่ะ”
เอสเอสาวเดินนำลูกค้าเข้ามาที่เคาน์เตอร์ ก่อนหันไปคว้ากระเป๋าตัวท็อปของแบรนด์ทั้งสามไซส์มาวางเรียงบนตู้กระจก
“กระเป๋าดูมงต์มีสามไซส์นะคะ small medium large ไม่ทราบว่าปกติแล้วคุณลูกค้าใส่ของในกระเป๋าเยอะไหมคะ ถ้าไม่เยอะ เนตรขอแนะนำเป็นไซส์ small ค่ะ น้ำหนักตัวกระเป๋าจะเบากว่าด้วย แต่ถ้าใส่ของเยอะมากๆ เนตรแนะนำเป็น large เลยค่ะ คุณลูกค้าลองใส่ของในกระเป๋าได้เลยนะคะ หรือลองสะพายดูก็ได้ค่ะ จะได้รู้ว่าใบไหนที่คุณลูกค้าชอบมากที่สุด”
“ใส่ของลงไปได้เลยเหรอคะ”
ลูกค้าสาวท่าทางขี้อายเลิกคิ้วถามด้วยไม่แน่ใจ
“ได้ค่ะคุณลูกค้า”
เนตรอัปสรกวาดมองข้าวของจิปาถะที่ลูกค้านำมาเรียงใส่ในกระเป๋ารุ่นดูมงต์แล้ว คิดว่าด้วยปริมาณข้าวของที่ใช้น่าจะเหมาะกับไซส์ medium มากกว่า ยิ่งเห็นลูกค้าสาวลองพลิกกระเป๋าซ้ายทีขวาทีด้วยแววตาชื่นชม เอสเอสาวก็ยิ่งใจชื้น
“สวยจังเลยค่ะ หนังก็นุ่มด้วย”
“คุณลูกค้าจะลองสะพายหรือเดินไปดูที่กระจกก่อนก็ได้นะคะ”
เธอผายมือพาลูกค้าสาวเดินไปที่กระจกบานยาวซึ่งวางติดกับผนัง และปล่อยให้ลูกค้าลองเดินไปกลับบนพรมผืนนุ่ม พอเห็นลูกค้ายิ้ม แววตาเป็นประกายวิบวับ สาวหน้าหวานก็มั่นใจว่าปิดการขายครั้งนี้ได้แน่นอน
“งั้นรับเป็นไซส์ medium แล้วกันค่ะ”
“ยินดีค่ะคุณลูกค้า”
“ขอบคุณนะคะที่ช่วยแนะนำ ตอนแรกคิดว่าจะเอาไซส์ large เพราะกลัวใส่ของไม่พอ แต่ลองสะพายดูแล้วมันใหญ่ไป เราเก็บเงินมาหลายปีเลยกว่าจะตัดสินใจมาซื้อ ตอนแรกจะฝากร้านหิ้ว เพราะกลัวเอสเอไม่บริการ แต่พอลองเข้ามาคุยแล้วเอสเอใจดีกว่าที่คิดอีกค่ะ”
“ด้วยความยินดีค่ะคุณลูกค้า ถ้าสนใจแวะเข้ามาลอง มาพูดคุยกันได้เลยค่ะ ชอบไม่ชอบไม่ว่ากัน เพราะราคากระเป๋าของแอนนาก็ไม่เบาเลยจริงๆ แต่ถ้าซื้อแล้วรับรองคุ้มค่า ใช้ได้นานแน่นอนค่ะ”
“ขอบคุณนะคะ”
“ถ้าในอนาคตคุณลูกค้าสนใจรุ่นอื่น ติดต่อเนตรได้เลยนะคะ”
นอกจากลูกค้ารายนี้ วันนี้เธอยังมีนัดกับหนึ่งในลูกค้าที่เป็นท็อปสเปนเดอร์หรือลูกค้าที่มียอดใช้จ่ายเยอะอันดับต้นๆ ของร้าน ครั้งแรกที่พบกันลูกค้ารายนี้แต่งกายธรรมดา ดูปอนๆ ในสายตาคนอื่น แต่เนตรอัปสรไม่เลือกที่รักมักที่ชังเดินเข้าไปบริการ ให้คำแนะนำด้วยความจริงใจและสุภาพจนสร้างความประทับใจและได้รับใช้เศรษฐินีจากเมืองอุบลฯ ตั้งแต่สองปีก่อนจวบจนกระทั่งปัจจุบัน
วันนี้ลูกค้ากระเป๋าหนักจองกระเป๋าโอลิวิเยร์ ดูมงต์สีเขียวมิ้นต์ซึ่งเป็นสีหายากมาก เพราะเซเลบริตี้จากฮอลลีวูดนิยมถือสีนี้กัน ทำให้สีนี้ขาดตลาด ต้องรอคิวกันนานหลายเดือน ในฐานะเอสเอจึงมีหน้าที่ดูแลและควานหาสินค้ามาให้ลูกค้าให้จงได้
“วันนี้รับแชมเปญไหมคะพี่เอ้ เนตรรู้ว่าพี่เอ้จะมาเลยเตรียมไว้ให้”
เนตรอัปสรเชื้อเชิญลูกค้านั่งบนโซฟาหนังสีแดงเลือดหมูตัวใหญ่ก่อนคุกเข่าลงบนพรมข้างเบาะนั่ง
“หนูเนตรรู้ใจพี่ที่สุดเลย แต่พี่อยู่ในช่วงแก้บน ต้องถือศีลห้า พี่ขอน้ำผลไม้แล้วกันจ้ะ”
“งั้นรับน้ำส้มดีไหมคะ”
“ดีเลยจ้ะ”
“พี่เอ้รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวเนตรไปหยิบน้ำมาให้”
เนตรอัปสรเดินหายไปหยิบน้ำส้มคั้นจากหลังร้านมาเสิร์ฟลูกค้า ก่อนเข้าไปหยิบกระเป๋าออกมาให้ลูกค้าชื่นชม กระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมฐานกว้าง หูคล้องและสายสะพายเป็นโซ่สีทองรมควัน ตัวกระเป๋าทำจากหนังแกะขัดด้านให้ความรู้สึกโก้หรู
“หนังนุ่มจังเลยหนูเนตร”
“หนังแกะของแอนนาจะฟอกนุ่มเป็นพิเศษ ผิวสัมผัสเรียบลื่น นุ่มกว่าหนังแพะค่ะ แต่ต้องระวังค่อนข้างมากเพราะเป็นรอยง่าย แต่ทางช็อปมีบริการดูแลทำความสะอาดและเคลือบเงาให้ตลอดอายุการใช้งาน พี่เอ้วางใจได้ค่ะ ถ้าพี่เอ้อยากส่งน้องมาทำความสะอาดเมื่อไร ติดต่อเนตรได้ตลอดนะคะ เดี๋ยวเนตรลงคิวให้”
“มีหนูเนตรคอยดูแล พี่สบายใจอยู่แล้ว ใบนี้พี่รับจ้ะ มีของผู้ชายไหม พี่ว่าจะซื้อไปฝากลูกชาย พวกกระเป๋าสตางค์ หรือเนกไทก็ได้”
“มีเนกไทรุ่นใหม่ เพิ่งลงจากรันเวย์เลยค่ะพี่เอ้”
“งั้นจัดมาเลยจ้ะ”
เจอลูกค้าดีมีชัยไปทั้งวัน แต่หาใช่ว่าจะเจอลูกค้าแสนดีแบบนี้บ่อยๆ ลูกค้าเรื่องมากชวนปวดใจก็มีไม่น้อย บางรายอ้างว่าเจอตำหนิ อยากคืนสินค้า ทั้งที่ก่อนออกจากร้านก็ตรวจเช็กแล้วว่าไม่มีรอยดังกล่าว
บางรายซื้อกระเป๋าจากร้านหิ้วแล้วไม่แน่ใจว่าเป็นของแท้รึเปล่าก็เอามาให้ทางช็อปตรวจสอบ บางรายเด็ดกว่านั้นคือเข้ามาลองสินค้าแล้วคุยโทรศัพท์กับเพื่อนต่อหน้าเธอว่าจะไปสอยจากร้านหิ้วออนไลน์ มากเรื่องมากความ แต่งานบริการก็ต้องรับมือกับเรื่องเหล่านี้ให้ได้
เนตรอัปสรทำงานหนักจนลืมวันลืมคืน และลืมว่ามีใครบางคนรอเธออยู่ โชคดีที่วันต่อมาเธอเลิกงานเร็ว เลยต้องไปรับ ‘ภาระ’ ออกจากโรงพยาบาลตามที่น้าสาวโทรศัพท์มาบ่น
‘ไม่ไหวแล้วนะเนตร หมอนี่ก่อเรื่องจะเอาโน่นเอานี่ แค่รับมือคนไข้น้าก็แย่แล้ว ไม่มีเวลามาดูแลคนของเราหรอกนะ’
ไม่ใช่คนของเธอสักหน่อย เราไม่ได้รู้จักกัน เธอแค่บังเอิญช่วยเขาจากข้างทางเท่านั้น
หญิงสาวระบายลมหายใจออกมาจากเรียวปาก เค้าลางความยุ่งยากผุดขึ้นมากองในใจเต็มไปหมด แต่ไหนๆ ก็ช่วยแล้ว เธอจะยอมจ่ายแค่ค่ารักษาพยาบาลแล้วกัน ที่เหลือก็แล้วแต่เวรแต่กรรมของหมอนี่แล้วล่ะ
เนตรอัปสรใช้เวลาเป็นชั่วโมงฝ่ารถติดจากห้างใจกลางเมืองมายังโรงพยาบาล ยังไม่ทันเดินเข้าไปด้านในสายตาก็พลันเหลือบเห็นคนไข้ร่างใหญ่นั่งชักสีหน้ามุ่ยตุ้ยอยู่บนเก้าอี้ยาวใกล้ประตูทางเข้าแล้ว
“กว่าจะมารับได้!”
น้ำเสียงประชดประชันทำเอาเรียวคิ้วยาวเลิกขึ้นละม้ายแปลกใจว่าเราสนิทกันตอนไหน เหตุใดถึงคิดว่าเธอจะมารับ เธอแค่มาจ่ายค่ารักษาพยาบาล แล้วก็ทางใครทางมัน…แค่นั้นเอง!
“ทำไมคุณออกมานั่งตรงนี้ล่ะ คุณหมอให้ออกมาได้แล้วเหรอ”
“ใครจะห้ามผมได้ คนไข้ส่งเสียงร้องทั้งวัน น่ารำคาญ แล้วนี่คุณหายไปไหนมา”
ขมับของสาวหวานเต้นตุบๆ พยายามข่มใจร่มๆ ไม่ถือสาคนไร้มารยาท
“ฉันต้องทำงานน่ะสิ คุณเห็นน้าสาวฉันไหม”
“ไม่รู้สิ รีบๆ จ่ายเงินแล้วรีบไปเถอะ ผมร้อน เปิดแอร์ประสาอะไรไม่เห็นเย็นเลย”
หนึ่ง…สิบ…ยี่สิบ…หนึ่งร้อย…สองร้อยห้าสิบ
เธอนับเลขแบบก้าวกระโดดในใจ กดอารมณ์พลุ่งพล่านไม่ให้ยกกระเป๋าขึ้นมาฟาดศีรษะที่มีผ้าก๊อซพันอยู่ ถึงอย่างไรเขาก็ได้รับบาดเจ็บ หากทำอะไรรุนแรงเธออาจตกเป็นจำเลยข้อหาฆาตกรรมคนแปลกหน้าได้
“เอาเป็นว่าคุณรออยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวฉันมา”
ยังไม่ทันถึงหน้าห้องฉุกเฉิน น้าสาวก็เดินสวนออกจากห้องมาก่อนด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ
“ขอโทษนะคะน้าแก้ว อาการเขาเป็นยังไงบ้างคะ จำอะไรได้บ้างไหมคะ”
“อาการดีขึ้น เดินเหินได้มากขึ้น แต่จำอะไรไม่ได้เลย อย่าหาว่านินทาเลยนะ น้าว่าพื้นนิสัยคงแย่มาก ถึงเกเร ก่อกวน เรียกร้องจะเอาอย่างโน้นอย่างนี้ไม่เลิก ทำตัวอย่างกับที่นี่เป็นโรงพยาบาลเอกชนถึงจะมีคนคอยรองมือรองตีนยังงั้นแหละ”
หลานสาวไม่ค่อยเห็นน้าของตนฉุนเฉียวบ่อยนัก หมอนี่คงก่อเรื่องไว้ไม่น้อยทีเดียว
“แล้วเนตรจะเอายังไงกับนายคนนี้”
“ไม่รู้สิคะน้าแก้ว เนตรยังนึกไม่ออก”
“แต่ให้อยู่โรง’บาลต่อไม่ได้แล้วนะเนตร น้าต้องเก็บเตียงไว้ให้คนไข้ นายคนนี้บาดเจ็บก็จริง แต่ออกฤทธิ์ออกเดชปีนลงจากเตียงได้ก็ไม่หนักแล้วล่ะ กลับไปพักฟื้นสักอาทิตย์สองอาทิตย์ก็คงหายเป็นปกติ”
“เนตรไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนน่ะสิคะ น้าแก้วพอจะมี…”
น้าสาวรีบโบกมือด้วยเห็นฤทธิ์เดชหมอนี่มาเยอะ
“น้ามีลูกมีผัว เอามาไว้บ้านน้าไม่ได้นะ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็พาไปส่งวัด”
“เขาไม่ใช่หมาแมวสักหน่อยค่ะน้าแก้ว เอาไปทิ้งแบบนั้นพระท่านคงไม่รับหรอกค่ะ”
“งั้นเนตรก็พาไปอยู่บ้านเนตรสิ”
“คะ?”
“อย่าว่ายังงั้นยังงี้เลยนะ เนตรอยู่กับยายสองคน มีผู้ชายมาอยู่ด้วยสักคน อย่างน้อยจะได้มีคนคอยดูแลช่วยหยิบจับงานหนักไงล่ะ”
ใครดูแลใครกันแน่ ดูจากสีหน้าเหวี่ยงวีนเมื่อครู่แล้ว เธอคงเป็นทาสในเรือนเบี้ยให้หมอนี่จิกหัวใช้ล่ะสิไม่ว่า
“อีกอย่างน้าว่าเขาหน้าตาดี ผิวพรรณขาวผ่องอมชมพู น้าเห็นชุดสูทตอนแม่บ้านซักแล้วเอามาคืนน่าจะแพงอยู่ น้าว่าให้เขาอยู่ด้วยสักพัก เผลอๆ จำได้ขึ้นมา เขาอาจจะตกรางวัลอย่างงามก็ได้”
เนตรอัปสรยิ้มแห้งๆ ถ้าเป็นไปได้เธอไม่ขอรางวัลหรอก แค่เขาเลิกเกาะติดเธอได้ก็ถือว่าแต้มบุญสูงแล้ว
ไอร้อนจากหม้อน้ำแกงลอยคว้างอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ กลิ่นหอมฉุยตลบอบอวลจนชายหนุ่มที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องกลืนน้ำลายยามจับจ้องรถเข็นบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงซึ่งตั้งร้านอยู่ริมถนนใกล้กับร้านสะดวกซื้อ
“คุณอยากกินอะไรไหม เดี๋ยวฉันสั่งให้”
“บะหมี่แห้งก็ได้ สองชามนะ ไม่ใส่กระเทียมเจียว ผมไม่ชอบมันๆ ชูรสก็ไม่เอานะคุณ”
หญิงสาวร่างเล็กอยากถอนสายบัวรับคำพ่อเจ้าประคุณ แต่ที่ทำได้ก็เพียงเดินไปคุยกับอาแปะเจ้าของร้าน ปล่อยให้ ‘ภาระ’ เดินไปนั่งที่โต๊ะเหล็กพับได้ซึ่งยังมีคราบมันหลงเหลืออยู่บนโต๊ะ
“น้องเช็ดโต๊ะหน่อย”
เรียกอยู่หลายทีก็ไม่มีคนสนใจ ชายหนุ่มเลยชักสีหน้า จำใจเทน้ำชาจากเหยือกพลาสติกลงบนทิชชู เช็ดซ้ำสองรอบจนแน่ใจว่าสะอาดแล้วจึงเท้าศอกลงบนโต๊ะ โดยหารู้ไม่ว่ากิริยานี้ตกอยู่ภายใต้สายตาช่างสังเกตของเจ้าภาพอาหารมื้อนี้เสียแล้ว
ไม่นานบะหมี่แห้งพร้อมน้ำซุปก็ถูกยกมาวาง สีหน้าเขาดูไม่ค่อยถูกใจอาหารพื้นๆ นัก แต่สุดท้ายก็คว้าตะเกียบแล้วส่งบะหมี่สีเหลืองเข้าปากกระทั่งหมดสองชามในเวลาอันรวดเร็ว
“เป็นไงคะ อร่อยใช่ไหม ฉันมาโรง’บาลทีไรก็แวะกินเจ้านี้ประจำเลยนะ”
“งั้นๆ แหละ บะหมี่เส้นหนาไป หมูแดงก็แข็ง ส่วนเกี๊ยวกุ้งนี่ก็มีแต่วิญญาณกุ้ง ให้แค่นี้อย่าให้ดีกว่า แค่พอกินกันตาย อย่าเรียกว่าอร่อยเลย”
เนตรอัปสรหุบยิ้มแทบไม่ทัน ปากเสียแบบนี้ปล่อยให้อดตายดีกว่า พูดจาไม่เกรงใจคนฟัง บางทีสาเหตุที่หมอนี่โดนตีจนน่วมอาจเป็นเพราะปากเสียแน่ๆ
“สั่งให้อีกชามสิคุณ ร่างกายผมอ่อนแอ ต้องบำรุงหน่อย”
“คุณกินไปสองชามแล้วนะ”
“ให้มากะจึ๋งเดียว คีบสองสามทีก็หมดชามแล้ว ผมจำได้เมื่อไรจะใช้คืนให้สิบเท่าเลยเอ้า”
“เดี๋ยวฉันไปสั่งให้”
“เอาบะหมี่น้ำสองชามนะ พิเศษเพิ่มเส้น เพิ่มเกี๊ยวกุ้งด้วย”
“เจ้าค่าาา…”
เจ้าภาพสาวลากเสียงยาวพลางถอนสายบัวล้อเลียน แต่หมอนั่นกลับโบกมือเหมือนเห็นเธอเป็นคนรับใช้จริงๆ อีหรอบนี้คงอยู่ร่วมบ้านกันยากแล้ว เธอจึงควักเงินให้คนแปลกหน้าห้าร้อยบาท
“ค่าอะไร”
“เก็บไว้ติดตัวไง หรือจะไม่เอาก็ได้นะ”
ชายหนุ่มคว้าหมับแล้วยัดเงินใส่กางเกงผ้าเนื้อดี
“ขอบใจ อย่าลืมที่สั่งล่ะ อ้อ บะหมี่น้ำไม่เอากากหมูนะ มันเหม็น”
สั่งได้สั่งดี ขอบคุณสักคำก็ไม่มี เวรกรรมอะไรของฉันนะ เอากระดูกมาแขวนคอชัดๆ
หญิงสาวถอนหายใจ เดินฉับๆ ไปสั่งอาหาร แล้ววางเงินให้อาแปะเจ้าของร้าน
“หนูจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยวของผู้ชายโต๊ะโน้นนะคะแปะ”
“อ้าว ลื้ออิ่มแล้วเหรอ มาร้านแปะทีไรต้องเบิ้ลสอง”
“ฝากแปะด้วยนะคะ เงินที่เหลือไม่ต้องทอน ให้เขากินจนพอใจเลย”
“ล่ายๆ ว่าแต่นั่นใครเหรอ”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะแปะ เขาหิวข้าว เลยมาขอให้หนูเลี้ยงข้าว”
“คนอาไร้ใส่สูท หน้าตาดีเสียเปล่า แต่เกาะผู้หญิงกิน”
“เอาเป็นว่าถ้าเขาถามถึงหนู แปะบอกว่าไม่เห็นว่าหนูไปทางไหนนะคะ หนูแค่มาจ่ายเงินแล้วก็ไป”
“ล่ายๆ ลื้อรีบไปเลย ทางนี้แปะดูให้เอง”
“ขอบคุณค่ะแปะ”
เนตรอัปสรเหลือบมองผู้ชายตัวใหญ่นั่งหน้าแดงเหงื่อซ่กอยู่ที่โต๊ะด้วยความกังวล สำนึกในใจกำลังตีกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ใจหนึ่งเธอสงสารเขา แต่อีกใจก็คิดว่าตนให้ความช่วยเหลือเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งพอช่วยกันได้แล้ว หน้าตาดี หุ่นล่ำสันแบบนี้คงมีสาวๆ อยากรับเลี้ยงอยู่หรอกน่า
ปลอบใจตัวเองเสร็จสรรพหญิงสาวก็รีบเผ่นแน่บออกจากร้านก๋วยเตี๋ยว กลับไปขึ้นรถแล้วบึ่งออกไปด้วยความเร็วเท่าที่รถกระป๋องกลางเก่ากลางใหม่จะพาตนเองทะยานหนีไปได้
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 ธ.ค. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.