บทที่หนึ่ง
‘คุณหนูรองสกุลหลี่แห่งอำเภอเฉิงเป่ยปัญญาอ่อนไปแล้ว!’
ข่าวที่ไม่คาดคิดเช่นนี้ราวกับหญ้าแห้งฤดูใบไม้ร่วงถูกไฟป่าเผา ไม่จำเป็นต้องอาศัยแรงลมก็ลามไปเข้าหูชาวเมืองทั่วเมืองเหลียวเฉิงในทันที
เมืองเหลียวเฉิงเป็นเมืองเล็กแถบเจียงหนานของแคว้นฉู่ที่วุ่นวาย ถึงแม้ทางเหนือจะมีศึกและไฟสงครามไม่ขาดช่วง แต่ในเมืองเล็กแถบเจียงหนานแห่งนี้กลับสงบสุขและไม่ถูกสงครามรบกวน ผู้คนยังคงใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและอบอุ่นเรื่อยมา
บางครั้งก็มีคลื่นเล็กๆ เกิดขึ้นในน้ำนิ่งบ่อนี้ เป็นข่าวที่ขบวนสินค้าสกุลหลี่แห่งเมืองเหลียวเฉิงที่ทำการค้ามานานหลายปีนำกลับมา แต่ไม่ว่าจะเป็นเมื่อวานสกุลไป๋พระญาติห่างๆ ของฮ่องเต้ต้าฉู่ควบคุมราชสำนักได้ หรือวันนี้หยวนซู่ที่ก่อกบฏทางเหนือโจมตียึดแผ่นดินทางเหนือได้กว่าครึ่ง เรื่องใหญ่ราวคลื่นลมแรงเหล่านี้ แท้จริงแล้วกลับไม่เกี่ยวอะไรกับผู้คนในเมืองเหลียวเฉิงเลย
อย่างไรเสียไม่ว่าผู้ใดจะเป็นฮ่องเต้ แตงดองกินแกล้มข้าวที่ใส่ในชามกระเบื้องทุกวันยังคงเปรี้ยวอร่อย ใบชาที่ชงในกาดินยังคงหอมสดชื่น แค่ได้ฟังดนตรีหนึ่งเพลงหลังกินอาหารดื่มชา เวลาสบายอารมณ์หนึ่งวันก็จะผ่านไปภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง
ทว่าการเกิดเรื่องขึ้นกับคุณหนูรองสกุลหลี่แห่งอำเภอเฉิงเป่ย สำหรับชาวเมืองเหลียวเฉิงแล้ว น่าตกใจหวาดหวั่นยิ่งกว่าฮ่องเต้ต้าฉู่ถูกสกุลไป๋พระญาติห่างๆ ยึดอำนาจไปจนสิ้นเสียอีก!
คุณหนูรองหลี่เป็นผู้ใดน่ะหรือ นางมิใช่หญิงชราที่รัดเท้าเล็ก ใช้ชีวิตด้วยการเย็บปักในครอบครัวคนทั่วไปแน่นอน
อาศัยความสามารถในการต่อเรือชั้นสูงและประสบการณ์การเดินเรือที่มีมากมาย ขบวนสินค้าสกุลหลี่ก็คุมแถบแม่น้ำต้าเจียงเหนือจรดใต้แล้ว ถึงขั้นเคยขนสัมภาระการทหารให้เรือทหารราชสำนักต้าฉู่ด้วยซ้ำ
หลังจากนายท่านหลี่ป่วยตายไปเมื่อปีที่แล้ว ผู้ที่รับภาระหนักของสกุลหลี่จึงตกไปอยู่ที่คุณหนูรองสกุลหลี่ หลี่รั่วอวี๋
สกุลหลี่มาถึงรุ่นนี้ มีบุรุษสืบสกุลน้อยลง บุตรชายภรรยาเอกเพียงคนเดียวอายุแค่เจ็ดขวบ บุตรสาวที่เหลืออีกสองคน ก็คือพี่สาวคนโตที่แต่งงานไปแล้ว และพี่สาวคนรองอายุสิบเจ็ดปีที่มีชื่อว่าหลี่รั่วอวี๋
หลี่รั่วอวี๋ผู้นี้แม้จะเป็นสตรีตัวเล็กๆ ผู้หนึ่ง แต่มีความฉลาดเหนือผู้ใดมาตั้งแต่เด็ก ด้วยชอบเข้าออกห้องหนังสือของบิดา ได้ยินได้เห็นมามาก จึงได้ออกแบบเรือเล็กความเร็วสูงที่เดินทางได้วันละพันลี้* ปกปิดชื่อเข้าร่วมการแข่งขันต่อเรือในตอนนั้นและได้รางวัลชนะเลิศ มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว
นับจากตอนนั้น หลังจากนายท่านหลี่ครุ่นคิดอย่างหนักก็ทำการที่น่าตกใจอย่างการส่งต่อเคล็ดวิชาการต่อเรือสกุลหลี่ที่ไม่เคยถ่ายทอดให้สตรีชื่อว่า ‘ตำราเรือย่ำคลื่น’ ให้กับหลี่รั่วอวี๋บุตรสาวคนที่สองของตนเอง คุณหนูรองหลี่ผู้นี้ก็ไม่ทำให้ท่านพ่อเสียทีที่รักใคร่ ทำให้วิชาการต่อเรือของสกุลหลี่กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
เรือของสกุลหลี่ใช้เงินหมื่นตำลึงทองก็ยังหาได้ยาก คุณหนูรองหลี่ยิ่งเป็นเสมือนของล้ำค่าที่ประเมินค่าไม่ได้ คนที่มาทาบทามสู่ขอถึงบ้านมีไม่ขาดสาย รองเท้าปักที่แม่สื่อขจัดทิ้งสามารถเติมเต็มแม่น้ำอวิ้นเหอนอกเมืองเหลียวเฉิงได้เลยทีเดียว
คุณหนูรองหลี่อายุยังน้อย แต่มีความคิดมาก ประกาศกับคนภายนอกว่าวิชาสกุลหลี่ไม่ถ่ายทอดให้คนนอก หากมีใจให้นางจริง ก็ต้องแต่งเข้าสกุลหลี่ มาเป็นลูกเขยที่แต่งเข้าสกุล
แต่แม้จะยื่นเงื่อนไขโหดร้ายเช่นนี้ออกไป คนที่เข้ามาขอแต่งงานก็ยังไม่ขาดสาย สุดท้าย เสิ่นหรูป๋อคุณชายรองสกุลเสิ่น ตระกูลใหญ่แห่งเจียงหนานผู้งามสง่า ความรู้ความสามารถเกินผู้ใดก็เอาชนะใจของหลี่รั่วอวี๋ได้ หลายปีก่อนได้ทำการหมั้นหมายกัน เดิมทีจะจัดงานแต่งในเดือนหน้า…
ทว่าหญิงสาวที่สุขุมฉลาดเกินผู้ใดเช่นนี้ หลังจากเกิดอุบัติเหตุตกจากหลังม้า บาดเจ็บที่หัวและกลายเป็นคนปัญญาอ่อนไป… ช่างทำให้คนเห็นต้องทอดถอนใจ สวรรค์อิจฉาคนงามจริงๆ!
นอกจากทอดถอนใจแล้ว ความอยากรู้อยากเห็นของชาวเมืองเหลียวเฉิงก็ยังอดกลั้นไว้ไม่อยู่ ล้วนพูดกันว่าเมื่อตกทุกข์จะเห็นความจริงใจ ตอนนี้หญิงที่มีความสามารถมากกลายเป็นคนปัญญาอ่อน เช่นนั้นคุณชายรองสกุลเสิ่นยังจะยอมแต่งเข้าสกุลหลี่อีกหรือไม่
“แน่นอนว่าจะแต่งงานแบบนี้ไม่ได้แล้ว!” ผู้ที่พูดคือเสิ่นเฉียวซื่อ* ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเสิ่น
หลังวางกระบอกยาเส้นกระดองเต่าในมือลงแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเสิ่นที่กึ่งเอนนอนอยู่บนตั่งนิ่มก็เลิกคิ้วพูดเสียงยานคาง “ป๋อเอ๋อร์ เจ้าต้องคิดให้ดีก่อนทำนะ สกุลหลี่ของนางต่อให้ร่ำรวยล้นฟ้าเพียงใด ก็เป็นแค่พ่อค้า เดิมทีก็ไม่คู่ควรกับครอบครัวขุนนางของพวกเราอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะรุ่นท่านพ่อของเจ้า ดวงการเป็นขุนนางของสกุลเสิ่นไม่สู้ดี พี่ใหญ่เจ้าอยู่ในราชสำนักได้รับความเดือดร้อนจากคดีก่อความวุ่นวายของหวังฉี ถูกเนรเทศไปที่หลิ่งหนานถิ่นทุรกันดาร แม่คงไม่ยอมให้เจ้าลดตัวเอง แต่งเข้าไปในบ้านหญิงร้ายกาจผู้นั้นหรอก…”
พูดถึงตรงนี้ นางก็ผ่อนลมหายใจ ก่อนจะสูบกระบอกยาเส้นอีกหนึ่งที แล้วพูดต่อท่ามกลางไอควัน “เดิมคิดว่าหลี่รั่วอวี๋นั่นแม้จะไม่ใช่หญิงที่เพียบพร้อม อย่างไรเสียก็ได้รับวิชาของสกุลหลี่เพียงผู้เดียว และมีความสัมพันธ์อันดีกับสกุลไป๋พระญาติห่างๆ ของราชสำนัก สามารถช่วยสกุลเสิ่นของพวกเราได้ แต่ตอนนี้ตกม้าทำให้สมองซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่มีค่าเสียไป เจ้ายังจะเอานางมาทำอะไรอีกเล่า”
ในขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเสิ่นกำลังพูดอยู่ เสิ่นหรูป๋อยังคงก้มหน้าอยู่หน้าโต๊ะ จัดการสมุดบัญชีไร่นาหลายเล่มในมือ รอจนฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเสิ่นพักหายใจ เริ่มสูบยาเส้นอีกครั้ง เขาจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น หรี่ดวงตางามแล้วพูดว่า “ท่านแม่ คำพูดเช่นนี้ขออย่าได้มาพูดในห้องหนังสือของลูก ระวังจะเข้าหูผู้อื่น ลูกกับรั่วอวี๋ตัดสินใจแต่งงานด้วยความเต็มใจทั้งสองฝ่าย เพียงเพราะนางได้รับอุบัติเหตุ จะให้ลูกหันหลังให้สัญญาทิ้งคุณธรรม ถูกผู้คนเหยียดหยามได้อย่างไร”
ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเสิ่นฟังแล้วก็ไม่สนใจสูบยาเส้นอีก รีบดีดตัวลุกนั่ง เคาะขอบตั่งอย่างโกรธเกรี้ยวแล้วพูดว่า “นางกรอกยากล่อมประสาทอะไรให้เจ้า ทำให้หลงใหลไม่ตื่นเช่นนี้ หรือว่าเจ้าจะยอม ‘แต่ง’ เข้าสกุลหลี่นั่น ปรนนิบัติหญิงปัญญาอ่อนผู้นั้นไปชั่วชีวิตจริงๆ หรือ!”
เสิ่นหรูป๋อลงบัญชีตัวสุดท้ายแล้วก็วางพู่กันในมือลง ก่อนจะลุกขึ้นยืน ตะโกนเรียกบ่าวร่วมเรียนหน้าห้องหนังสือให้เตรียมม้าเพื่อออกไปข้างนอก
แม้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเสิ่นจะรู้ว่าบุตรชายคนรองของตนเองผู้นี้จิตใจยากจะคาดเดา แต่พอมาเห็นเขาหลงใหลไม่ตื่น ไม่สนใจคำเตือนของนางเช่นนี้ก็โกรธจนหายใจไม่ออก ลุกขึ้นยืนตรง เตรียมจะพูดอบรมบุตรชายยกใหญ่
ทว่ายังไม่ทันรอให้นางเอ่ยปาก เสิ่นหรูป๋อก็เบือนหน้าหนี พูดเสียงเย็นชาว่า “เดือนก่อนในคฤหาสน์มีเงินสามร้อยตำลึงไม่ตรงบัญชี ได้ยินพ่อบ้านบอกว่าท่านแม่โยกย้ายเงินจากหอซั่นฉือไปให้บ้านท่านลุง…”
ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเสิ่นคิดไม่ถึงว่าบุตรชายจะถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมากะทันหันจึงชะงักไปชั่วครู่ ได้ยินเพียงเสิ่นหรูป๋อพูดต่อไปว่า “ท่านก็บอกแล้วว่าตอนนี้สกุลเสิ่นของพวกเรากำลังตกต่ำ พี่ใหญ่ไม่อยู่ สกุลเสิ่นต้องอาศัยลูกคอยค้ำจุนเอาไว้ สกุลเสิ่นของพวกเรามีรายรับน้อยกว่ารายจ่ายมาหลายปี ถึงตอนนี้ยังพอมีเงินเหลืออยู่ เสื้อผ้าอาหารของท่านแม่ไม่เสียหายแม้แต่น้อย แม้แต่ยาเส้นเตียนหนานในมือท่านที่ราคาชั่งละห้าสิบตำลึงเงินก็ยังมีให้ไม่ขาดแม้แต่วันเดียว ลูกไม่ขออย่างอื่น แต่ขอให้ท่านแม่ดูแลคลังเงินสกุลเสิ่นให้ดีก็นับเป็นวาสนาของลูก เป็นโชคดีของสกุลเสิ่นแล้ว สำหรับเรื่องอื่น หวังว่าท่านแม่อย่ากลัดกลุ้มกังวลใจเลย…”
คำพูดเสียดแทงใจเช่นนี้ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเสิ่นมีสีหน้าเคืองโกรธ นางเป็นคุณหนูที่มาจากตระกูลร่ำรวย มีเสื้อผ้าดีอาหารดีมาตั้งแต่เด็ก มีความราบรื่นทุกอย่าง สามีที่ล่วงลับกับบุตรชายคนโตล้วนทำตามนางทุกอย่าง มีเพียงบุตรชายคนรอง ไม่รู้ว่าได้นิสัยมาจากผู้ใด ทำลายชื่อเสียงมารดาตนเองแล้วยังไม่ละอาย ช่างน่าโมโหเสียจริง
ระหว่างที่พูด เสิ่นหรูป๋อก็ทิ้งท่านแม่ที่ยังคงตกตะลึงเดินมาถึงหน้าประตูคฤหาสน์แล้ว ก่อนที่เขาจะพลิกตัวขึ้นหลังม้า สะบัดแส้ในมือ และรีบรุดไปที่คฤหาสน์สกุลหลี่ในอำเภอเฉิงเป่ย…
ตอนเสิ่นหรูป๋อไปถึงคฤหาสน์สกุลหลี่ คนเฝ้าประตูก็รายงานว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ออกไปตามหาท่านหมอชื่อดัง ตกเย็นจึงจะกลับคฤหาสน์
เสิ่นหรูป๋อได้ฟังแล้วเพียงแค่พยักหน้า ไม่ได้หมุนตัวเดินจากไป แต่มอบแส้ม้าให้กับคนเฝ้าประตู จากนั้นก็เดินตรงไปเรือนด้านหลังคฤหาสน์สกุลหลี่อย่างคุ้นเคย
บ่าวไพร่ของคฤหาสน์สกุลหลี่เหมือนจะเห็นเป็นเรื่องปกติ จึงไม่ได้ขัดขวางแต่อย่างใด
เพราะบ่าวไพร่ล้วนรู้ว่า คุณหนูรองของตนเองไม่ใช่หญิงสาวที่ถูกเลี้ยงอยู่แต่ในเรือน นางกับคุณชายรองเสิ่นแม้จะยังไม่ได้แต่งงานกัน แต่มีความรักลึกซึ้งต่อกัน หลังจากทำการหมั้นหมายเมื่อสามปีก่อน เสิ่นหลี่สองสกุลก็ร่วมมือกันเปิดสาขาการค้าหลายแห่ง ดังนั้นคุณชายรองเสิ่นจึงมาพบคุณหนูปรึกษาเรื่องสำคัญทางการค้าอยู่บ่อยครั้ง ในสายตาของบ่าวไพร่ คุณชายรองเสิ่นที่ยังไม่แต่งเข้าบ้านผู้นี้ก็สนิทเหมือนกับคนในบ้านเดียวกัน หากไม่ใช่เพราะนายท่านล่วงลับไปเมื่อหนึ่งปีก่อน คุณหนูรองอยากไว้ทุกข์ให้ท่านพ่อ ทั้งสองคงจะแต่งงานกันไปแล้ว จะดึงเวลามาถึงวันนี้ได้อย่างไร… ส่วนคุณหนูรองอาจจะหลบผ่านเคราะห์กรรมครั้งนี้ไปได้ ไม่ตกจากหลังม้า… เฮ้อ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นชะตาจากสวรรค์จริงๆ!
ตอนที่เงาร่างสูงใหญ่ของเสิ่นหรูป๋อปรากฏขึ้นตรงประตูวงเดือนในสวนดอกไม้ด้านหลัง เสียงดังสนั่นที่ดังมาจากในศาลาพักร้อนบนสระน้ำของสวนดอกไม้ก็ทำให้เขาชะงักฝีเท้า ก่อนจะช้อนตามองไป ท่ามกลางดอกเข็มที่เบ่งบาน ทำให้เงาร่างบอบบางในศาลาพักร้อนนั้นยิ่งดูหงอยเหงากว่าเดิม
เห็นหญิงผู้นั้นหันหลังให้เขาคุกเข่าอยู่บนพื้นหิน ผมยาวราวเส้นไหมไม่ได้มวยขึ้น ปล่อยให้เส้นผมปลิวสะบัด คลอเคลียไปบนแผ่นไหล่บาง
เสิ่นหรูป๋อหรี่สองตาเรียวยาวลงเล็กน้อย แล้วก้าวเท้าเดินไปบนศาลายาวอย่างช้าๆ มาถึงด้านหลังร่างบางนั่น พอก้มหน้าลงดูจึงพบว่านางเหมือนจะทำถ้วยชาหยกขาวถ้วยหนึ่งตกแตก กำลังวุ่นวายเช็ดคราบชาที่กระเด็นถูกคอเสื้ออยู่ท่ามกลางเศษหยกที่แตกกระจาย… เนื้อผ้าบางเปียกชื้นนั้นแนบไปกับแผ่นอกเนียนของหญิงสาว เผยให้เห็นลายดอกบนบังทรงสีบานเย็นที่อยู่ข้างใน เมื่อลมหายใจเข้าออก ส่วนโค้งที่งดงามก็ทำให้คนหายใจไม่ทั่วท้อง…
ดูเหมือนจะเหลือบเห็นรองเท้าใหญ่ข้างกาย หญิงสาวเงยหน้าขึ้นอย่างลังเล ใต้หน้าผากงดงามนั้นคือดวงตาโตที่เปล่งประกายงดงาม แต่ดวงตาคู่งามนี้เหมือนจะขาดความฉลาดเฉลียวเหมือนที่ผ่านมา ดูเหม่อลอย มองชายหนุ่มสูงใหญ่งามสง่าข้างกายนี้อย่างหวาดหวั่น
เสิ่นหรูป๋อไม่ได้ส่งเสียงพูด ราวกับกำลังปรับลมหายใจอยู่ แม้จะผ่านไปสองเดือนเต็มแล้ว แต่ทุกครั้งที่เห็นนาง นางที่ปกติจะสงบนิ่งงามสง่ามีท่าทางหวาดหวั่นเช่นนี้ เขาก็รู้สึกลังเลใจอยู่บ้าง…
หลังจากล้มหัวฟาด หญิงสาวที่ฉลาดเฉลียวผู้นี้ก็พูดจาไม่เป็นคำ ได้ยินท่านหมอชื่อดังที่เชิญมาจากเมืองหลวงพูดว่า คงเพราะมีก้อนเลือดคั่ง กระทบถึงสมองส่วนความคิดของนาง ทำให้นางเหมือนเด็กอายุสามขวบ การสวมใส่เสื้อผ้า การกินอาหาร การดำเนินชีวิตล้วนต้องค่อยๆ สอนกันไป
วันนี้ไม่รู้เพราะเหตุใด ข้างกายนางจึงไม่มีผู้ใดเลย ปล่อยให้นางอยู่ในศาลาพักร้อนแห่งนี้ตามลำพัง
เพราะช่วงเวลานี้นอนติดเตียง ผิวพรรณที่ก่อนหน้าเคยผ่านการเข้าออกอู่เรือและตากแดดจนคล้ำเพราะไม่ได้เจอแสงแดดมานาน จึงค่อยๆ เปลี่ยนกลับเป็นผิวขาวราวหิมะดังเดิม ริมฝีปากสีชมพูทั้งสองกลีบราวกับย้อมด้วยน้ำผึ้ง ปลายคางที่งดงามแต่เดิม ในวันนี้ยิ่งดูเรียวแหลมมากกว่าเดิม เมื่ออยู่ภายใต้ผมงามดำขลับแล้ว ใบหน้านั้นยิ่งดูเล็กน่ารัก…
ความสามารถของคุณหนูรองสกุลหลี่ดังไปทั่วเหนือจรดใต้ ความห้าวหาญที่ฝึกฝนมาจากครอบครัวพ่อค้าทำให้ศัตรูคู่อริของสกุลหลี่ต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ลมพัดแดดส่องมานาน และไม่ชอบการแต่งหน้าแต่งตัว มีความสามารถที่มีชื่อเสียงไปทั่วหล้าซึ่งทำให้คนมองข้ามรูปโฉมแต่เดิมของนางไป…
แต่ในวันนี้ เพราะตกจากม้าจนกระเทือนถึงสมอง สาวน้อยที่อยู่ในวัยแรกแย้มนี้จึงถอดพิษร้ายหนามแหลมในอดีตทิ้งไป เปิดเผยความงามนิ่มนวลที่ซ่อนเอาไว้ใต้เปลือกแข็งอย่างไม่ปิดบัง…
เสิ่นหรูป๋อย่อตัวที่สูงใหญ่ลงอย่างช้าๆ ภายใต้สายตาหวาดหวั่นของหญิงสาว แล้วยื่นนิ้วมือยาวออกไป ลูบเบาๆ บนแก้มนวลเนียนของหญิงสาว นิ้วยาวลูบสัมผัสสักครู่ก็เลื่อนลงมากลางริมฝีปากสองกลีบนั้นอย่างง่ายดาย วนเวียนอยู่สักครู่ก็เลื่อนเข้าไปในปากของนางอย่างช้าๆ ราวกับอสรพิษที่ตั้งท่ารอมานาน ความเย็นวนเวียนอยู่ที่ปลายลิ้นนุ่มลื่นของนาง…
หลี่รั่วอวี๋ถูกนิ้วยาวนั้นหยอกเย้าจนรู้สึกไม่สบายตัวจึงขัดขืนจะหลบหลีก แต่ปลายคางเล็กน่ารักกลับถูกมือใหญ่ทรงพลังอีกข้างหนึ่งของชายหนุ่มยึดไว้ทำให้สลัดไม่หลุด ปากที่ไม่อาจหุบลงได้ตามใจ มีน้ำหวานไหลออกมาจากมุมปากช้าๆ ในดวงตาคู่งามมีน้ำตาแห่งความกล้ำกลืนคลอหน่วย
เสิ่นหรูป๋อดวงตาน่ากลัวขึ้นหลายส่วน ก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะโน้มลงต่ำเข้าหาคนที่ตัวสั่นเทาตรงหน้าอีกนิด
แต่ในตอนนี้เอง ข้างประตูวงเดือนนั้นก็มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังลอยมา “คุณหนูรอง! คุณหนูรอง ท่านอยู่ที่ใดเจ้าคะ”
หล่งเซียงสาวใช้ประจำตัวหลี่รั่วอวี๋วิ่งเข้ามาทางประตูวงเดือนของสวนดอกไม้อย่างร้อนใจ พอช้อนตาขึ้นก็เห็นเงาร่างสูงใหญ่ของเสิ่นหรูป๋อนั่งย่อตัวอยู่ในศาลาพักร้อน แต่เพราะร่างของเขาใหญ่มาก จึงทำให้มองเห็นภาพตรงหน้าตัวเขาไม่ชัด พอเดินเข้าไปอีกไม่กี่ก้าวจึงเห็นคุณชายรองเสิ่นประคองคุณหนูรองที่นั่งอยู่บนพื้นขึ้นมาแล้ว
เมื่อครู่โจวอี๋เหนียง* ในคฤหาสน์พาบุตรสาวคุณหนูสามหลี่เสวียนเอ๋อร์มาดื่มชาที่นี่ แม้ตัวคนจะกลับเรือนไปแล้ว แต่เครื่องชาเต็มโต๊ะยังไม่ทันเก็บ ตนเองก็ประมาท เพิ่งไปดูยาหม้อในห้องครัวเพียงชั่วครู่ ป้าหลิ่วบ่าวหญิงอาวุโสที่เฝ้าประตูไปสุขา คุณหนูรองก็เดินมาถึงที่นี่คนเดียวอย่างเงียบๆ ดูจากสถานการณ์แล้วน่าจะไม่ระวังจนทำถ้วยชาตกแตก ไม่รู้ว่ามือเท้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่
รอจนหล่งเซียงเดินเข้ามาใกล้ จึงเห็นว่ามุมปากของคุณหนูรองยังมีคราบน้ำลายติดอยู่ก็รู้สึกปวดใจ เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่เดือน คุณหนูรองที่เฉลียวฉลาดเหนือผู้ใดของนางกลับปัญญาอ่อนถึงขั้นนี้ น้ำลายไหลก็ยังเช็ดให้ตนเองไม่เป็น ยังจะมีโอกาสกลับมาดีเหมือนเดิมได้หรือ
ยังไม่ทันที่นางจะส่งเสียงพูดอีกครั้ง เสิ่นหรูป๋อก็พูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เหตุใดข้างกายคุณหนูรองจึงไม่มีคนคอยปรนนิบัติ เมื่อครู่ตอนข้ามานางก็ล้มลงพื้นแล้ว ถ้าถูกเศษถ้วยบาดเจ็บไปจะทำอย่างไร”
หล่งเซียงมีสีหน้าละอายใจ รีบโค้งคำนับแล้วพูดว่า “บ่าวสมควรตาย ประมาทไปชั่วครู่ ปล่อยให้คุณหนูออกจากเรือนมาคนเดียว” นางกล่าวพลางจะยื่นมือไปประคองตัวหลี่รั่วอวี๋
แต่เสิ่นหรูป๋อกลับกางแขนช้อนอุ้มหลี่รั่วอวี๋ขึ้นมา จากนั้นก็เดินไปทางเรือนชั้นในของนาง หลี่รั่วอวี๋ก็ไม่รู้ว่าโมโหอะไร บิดตัวไม่ยอมให้เสิ่นหรูป๋อเข้าใกล้ ถูกแขนเหล็กนั้นอุ้มไว้แน่นไม่อาจเป็นอิสระได้ แต่ปากกลับส่งเสียงอ้อแอ้ ยื่นสองมืองามแล้วใช้เล็บยาวข่วนใบหน้าหล่อเหลาของเสิ่นหรูป๋อจนเป็นรอยเลือดหลายรอย
ทว่าข่วนจนเป็นเช่นนี้เสิ่นหรูป๋อกลับไม่ขุ่นไม่เคือง เพียงขยับแขนเล็กน้อย ไม่ได้หลบหลีก ปล่อยให้หลี่รั่วอวี๋ข่วน ปากก็พูดอย่างอ่อนโยน “รั่วอวี๋เด็กดี เมื่อครู่เพิ่งหกล้ม ไม่รู้ว่าบาดเจ็บถึงเอ็นถึงกระดูกหรือไม่ รอข้าอุ้มเจ้าเข้าห้อง ตามท่านหมอมาตรวจอาการสักหน่อย เด็กดี อีกครู่จะปล่อยเจ้าลงนะ…”
ว่ากันว่าเมื่อตกทุกข์จะเห็นความจริงใจ สองเดือนมานี้ ไม่ว่าหลี่รั่วอวี๋จะหมดสติไม่ยอมฟื้นหลังตกจากหลังม้า หรือเมื่อฟื้นแล้วก็กระเทือนถึงสมอง ทั้งจำคนไม่ได้และไม่พูดจา เสิ่นหรูป๋อผู้นี้ล้วนไม่ทอดทิ้ง และไม่แสดงท่าทางรังเกียจแต่อย่างใด
ผู้ใดบ้างจะไม่รู้ว่าเสิ่นหรูป๋อผู้นี้มีความสามารถทั้งบุ๋นบู๊ และมีความสง่างาม รูปโฉมหล่อเหลาเรียกได้ว่าเป็นชายงาม หากไม่ใช่เพราะหลายปีมานี้สกุลเสิ่นตกต่ำลงมาก บุตรชายสกุลเสิ่นที่บรรพบุรุษเคยเป็นขุนนางถึงขั้นอัครเสนาบดีคงไม่ยอมแต่งเข้าสกุลหลี่แน่นอน
เดิมทีบ่าวไพร่ในคฤหาสน์ก็เป็นเหมือนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ ตอนแรกที่ได้ยินว่าคุณชายรองเสิ่นยอมรับเงื่อนไขสุดโหดของคุณหนูก็ล้วนติดใจสงสัยว่าคุณชายรองเสิ่นหรูป๋อที่ชะตากำหนดให้ไม่อาจสืบทอดสกุลเสิ่นอันรุ่งเรือง ซ้ำยังไม่ติดอันดับในการสอบที่เมืองหลวงจะพุ่งเป้ามาที่ทรัพย์สมบัติสกุลหลี่จึงยอมแต่งเข้าสกุลหลี่
แต่หลายปีมานี้ เห็นคุณชายลูกขุนนางผู้นี้ที่เดิมทีไม่รู้เรื่องการค้าขายเลย ทำกิจการสาขาร้านหลายแห่งได้รุ่งเรืองภายใต้การชี้แนะของคุณหนูของตน พลิกสภาพเลวร้ายของสกุลเสิ่นที่มีรายได้ไม่พอรายจ่ายจนต้องขายทรัพย์สินของบรรพบุรุษได้อย่างสิ้นเชิง เพียงพอจะทำให้เห็นว่าคุณชายรองผู้นี้ไม่ใช่ลูกเศรษฐีที่ทำอะไรไม่เป็น
ได้ยินว่าคุณชายใหญ่สกุลเสิ่นที่ถูกลดตำแหน่งจะฟื้นตัวได้แล้ว เพราะได้รับความรักชื่นชมจากสกุลไป๋ จึงขึ้นตำแหน่งกลับเข้าเมืองหลวงตามเดิม
สกุลเสิ่นใกล้จะฟื้นคืนอำนาจดังเดิมแล้ว ในตอนนี้คุณหนูรองกลับป่วยร้ายแรง หากคุณชายรองเสิ่นล้มเลิกการแต่งงาน ถอนการหมั้นหมายที่เดิมไม่ค่อยเหมาะสมกันอยู่แล้ว คนรอบข้างก็ไม่อาจพูดอะไรได้
แต่คุณชายรองเสิ่นกลับมาดูอาการป่วยของคุณหนูรองแทบทุกวัน มีความรักลึกซึ้งไม่คิดทอดทิ้ง ทำให้คนรู้สึกซาบซึ้งใจ แม้คุณหนูรองจะโชคร้าย แต่กลับได้ว่าที่สามีที่มีน้ำใจและคุณธรรมเช่นนี้ ก็นับว่ามีครึ่งชีวิตที่เหลือนั้นมั่นคงแล้ว…
คิดถึงตรงนี้ หล่งเซียงก็ขอบตาแดงขึ้นมาอีกครั้ง ทนไม่ไหวจนน้ำตาไหลแทนคุณหนูรองไปหลายหยด
รอจนเสิ่นหรูป๋ออุ้มหลี่รั่วอวี๋เข้าเรือนชั้นใน วางตัวนางลงบนเตียงแล้ว ดวงตาโตของหลี่รั่วอวี๋ก็แดงก่ำ คว้าหมอนนุ่มปักลายบนเตียงทุ่มใส่เสิ่นหรูป๋ออย่างไม่ไยดี
เสิ่นหรูป๋อไม่ได้หลบหลีก ปล่อยให้นางทุบตีไม่หยุด ในใจกลับคิดว่า… นิสัยนี้ยังคงไม่เปลี่ยนไปเลย ยังคงแข็งกร้าวไม่ยอมถูกทำร้ายแม้แต่น้อยเช่นเดียวกับตอนก่อนจะได้รับบาดเจ็บ
หล่งเซียงทนดูไม่ไหวจึงรีบไปขวางหน้าเสิ่นหรูป๋อ พูดปลอบเสียงอ่อนโยนอยู่ครู่ใหญ่ จึงทำให้หลี่รั่วอวี๋สงบอารมณ์ลงได้ ม้วนผ้าห่มแพรบนเตียง ปล่อยให้ผมยาวคลอเคลียผืนผ้า ขดตัวอยู่ตรงมุมเตียง
ในตอนนี้เอง บ่าวก็มารายงานเสิ่นหรูป๋อว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กลับคฤหาสน์มาแล้ว
ดังนั้นเสิ่นหรูป๋อจึงเดินตามบ่าวผู้นั้นไปพบฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่โถงด้านหน้า
หลายวันมานี้ด้วยอารมณ์ขึ้นลงและทำงานเหน็ดเหนื่อย ทำให้จอนผมของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ขาวขึ้นมาก เดิมทีนางเป็นคนที่ไม่ชอบทำงานวุ่นวาย หลังจากแต่งเข้าสกุลหลี่ ได้สามีคอยดูแลจัดการเรื่องทุกอย่างในร้าน ภายหลังสามีตายจากไปก็ได้บุตรสาวคนรองรับหน้าเพียงผู้เดียว จัดการเรื่องทุกอย่างทั้งในนอกคฤหาสน์ นางจึงมีชีวิตอย่างเงียบสงบมีอิสระเช่นกัน
แต่ผู้ใดจะคิดว่าการออกนอกบ้านตามปกติครั้งหนึ่ง ทำให้บุตรสาวตกม้ากลายเป็นปัญญาอ่อนไป นางคลอดลูกคนสุดท้องตอนอายุเกือบห้าสิบ เดิมทีก็เหนื่อยล้ามากแล้ว ตอนนี้ภารกิจใหญ่น้อยในคฤหาสน์ยังทะลักเข้ามาหานางราวน้ำหลากอีก โชคดีมีเสิ่นหรูป๋อว่าที่ลูกเขยผู้เพียบพร้อมคอยช่วยนางดูแลจัดการงานในร้านค้าขบวนเรือเป็นอย่างดี และมีพ่อบ้านและคนงานในสกุลหลี่คอยช่วยดูแล ไม่เช่นนั้นกิจการของสกุลหลี่คงจะเสียหายไปในมือของแม่บ้านแม่เรือนเช่นนางแน่นอน
ตอนนี้ในสายตาของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ เสิ่นหรูป๋อผู้นี้ก็เปรียบเสมือนบุตรชายในไส้ของนาง พอเห็นใบหน้าของเสิ่นหรูป๋อมีรอยข่วนสดๆ นางก็หน้าเสีย พูดทอดถอนใจว่า “รั่วอวี๋เป็นคนข่วนหรือ”
เสิ่นหรูป๋อนั้นไม่ใส่ใจ เพียงฉีกยิ้มกล่าว “เมื่อครู่ข้าไม่ระวัง ตอนเดินผ่านลานบ้านถูกกิ่งไม้เกี่ยวเอา ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ต้องเป็นห่วง”
แต่เสิ่นหรูป๋อยิ่งสุภาพเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็ยิ่งไม่สบายใจ “เดิมทีไม่รู้ว่าเจ้าละเอียดอ่อนจิตใจหนักแน่นเช่นนี้ ลูกของข้ายังไม่รู้จักพอ ก่อนเกิดเรื่องยังหาเรื่องจะล้มเลิกการแต่งงานกับเจ้า ตอนนี้นางกลายเป็นแบบนี้แล้ว เห็นทีคงกลับเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ แม้ข้าที่เป็นแม่จะสงสารนาง แต่ก็ไม่อาจขัดต่อด้านดีในใจทำร้ายคุณชายบ้านอื่น ด้วยหน้าตานิสัยของเจ้าควรจะมีคู่ครองที่ดีกว่านี้ หนังสือยกเลิกการหมั้นหมายที่รั่วอวี๋เขียนไว้ก่อนหน้านี้ยังอยู่ แต่ตอนนั้นเกิดเรื่องกับนางอย่างกะทันหัน ไม่ทันส่งไปที่คฤหาสน์ของเจ้า… ตอนนี้คิดว่าคงเป็นกรรมตามสนอง เดิมทีบุตรสาวของข้าทำผิดต่อเจ้า ตอนนี้ข้าจะยกเลิกการแต่งงานแทนนางเอง วันที่บนหนังสือนั่นปลอมแปลงไม่ได้ ถ้าคนรอบข้างคิดจะนินทาอะไรเจ้า หนังสือนี้ก็คือหลักฐาน… ไม่ว่าวันข้างหน้าเจ้าจะแต่งกับคุณหนูสกุลใด ข้าจะยังเห็นเจ้าเป็นลูกเขย ไม่กล่าวโทษเจ้าแม้แต่น้อย…”
พูดพลางฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็สั่งสาวใช้ข้างๆ ให้เอาซองจดหมายที่ปิดผนึกขี้ผึ้งเอาไว้มาฉบับหนึ่ง อักษรอ่อนช้อยแต่ทรงพลังบนนั้นมาจากฝีมือของลูกสาวตนเอง
ตอนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่พูด เสิ่นหรูป๋อก็อดทนฟังด้วยความเคารพ แต่ตอนที่ได้ยินว่าหลี่รั่วอวี๋จะล้มเลิกการแต่งงาน ก็ขมวดคิ้วเหมือนเสียใจ เมื่อจดหมายยื่นมาที่มือของเขาแล้ว เขาก็ดึงกระดาษออกมาอย่างเบามือ หลังจากอ่านอย่างคร่าวๆ แล้วก็เอ่ยปากถาม “ฮูหยินผู้เฒ่ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดรั่วอวี๋จึงอยากล้มเลิกการแต่งงานกับข้า”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ชะงักไปเพราะความละอายใจครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าก็รู้ดี ความคิดของนางนางตัดสินใจเองมาตลอด นับจากขนสัมภาระการทหารกลับจากเมืองหลวงครั้งก่อน จู่ๆ ก็มาบอกข้าเรื่องจะล้มเลิกการแต่งงาน ซักต่ออีกนางก็ปิดปากไม่ยอมพูด… สรุปก็คือ สกุลหลี่ของพวกเราเลี้ยงบุตรสาวไม่ดี ขอให้คุณชายรองเสิ่นอย่าถือโทษรั่วอวี๋เลย…”
เสิ่นหรูป๋อฟังถึงตรงนี้ นิ้วยาวออกแรงเพียงนิด กระดาษแผ่นนั้นก็กลายเป็นผุยผง จากนั้นเขาจึงเอ่ยปาก “ถ้ารั่วอวี๋ไม่เป็นอะไร ในใจนางมีคู่หมายปองที่ดี ข้าคงไม่กล้าขัดความประสงค์ของนาง แต่ตอนนี้นางกลายเป็นเช่นนี้ แม้สกุลหลี่จะไม่ทุกข์ร้อนเรื่องเสื้อผ้าอาหารการกิน ภายหน้าถ้าท่านไม่อยู่แล้ว… จะมีผู้ใดคอยดูแลรั่วอวี๋เล่า ข้าไร้ความสามารถ ยินดีจะดูแลรั่วอวี๋ทั้งใจไปชั่วชีวิต ขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าอุ้มสมข้าด้วย”
คำพูดนี้ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่น้ำตาไหลจนควบคุมไม่อยู่ บุตรสาวกลายเป็นแบบนี้ เรื่องการแต่งงานจะไม่ทำให้รู้สึกกังวลได้อย่างไร หากเป็นคนอื่น นางย่อมไม่วางใจ แต่เสิ่นหรูป๋อเป็นคนรักษาคำพูดมาแต่ไหนแต่ไร เขายอมพูดเช่นนี้ ย่อมตัดสินใจมาแน่วแน่แล้ว ไม่มีทางรังเกียจบุตรสาวตนเองเด็ดขาด นางน้ำตาไหลราวสายฝนในทันที “คุณชายเสิ่น… ท่านเป็นคนมีน้ำใจมีคุณธรรมเช่นนี้… รั่วอวี๋นาง… นับว่ามีวาสนา…”
เสิ่นหรูป๋อพลิกชายเสื้อคุกเข่าลงตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ “อีกไม่กี่วันพี่ชายข้าจะเข้าไปรับตำแหน่งที่เมืองหลวง เขาเขียนจดหมายถึงข้า เพราะสกุลไป๋ในเมืองหลวงจะก่อตั้งทัพเรือ ต้องการมีกองเรือรบที่มั่นคง ภาพผังเรือรบใบนั้น รั่วอวี๋มอบให้ข้าไว้แล้ว เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงแผ่นดิน ดังนั้นจึงต้องพักอยู่ในเมืองหลวงหลายปี รั่วอวี๋อายุไม่น้อยแล้ว ถ้าไม่ทำพิธีเสียทีจะกลายเป็นที่ครหาของคนอื่นได้ ดังนั้นข้าคิดว่าจะรีบแต่งรั่วอวี๋เข้าบ้าน พานางเข้าเมืองหลวงพร้อมกัน แต่ตอนแรกนางพูดอย่างชัดเจนว่าอยากให้ข้าแต่งเข้าบ้านสกุลหลี่ แต่ตอนนี้จะต้องไปไกลบ้าน…”
ยังไม่รอให้เสิ่นหรูป๋อพูดจบ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็รีบพูดตัดบทคำพูดของเขา “บุตรสาวของข้าเดิมทีก็ทำอะไรตามอำเภอใจ นิสัยผิดแปลกจนน่าตกใจ ข้อเสนอของนางตอนนั้น ถ้าได้ลูกหลานชาวนาหรือพ่อค้าทั่วไปก็ดี สกุลเสิ่นของพวกเจ้าเป็นขุนนางมาทุกรุ่น เดิมทีก็ไม่เหมาะสม เสียทีที่เจ้าเอาใจนาง ตอบตกลงโดยไม่คำนึงอะไรเลย เดิมทีรั่วอวี๋จะแต่งสามีเข้ามาก็เพราะวิชาการต่อเรือของสกุลหลี่ไม่อาจถ่ายทอดให้คนนอก ตอนนี้นาง… เป็นเช่นนี้แล้ว แม้จะมีเคล็ดวิชาตกทอดของสกุลก็จำไม่ได้แม้แต่น้อย หมดเรื่องถ่ายทอดให้คนนอกแล้ว ถ้าเจ้ายอมแต่งงาน จะมาพูดเรื่องแต่งเข้าสกุลอีก พวกเราสกุลหลี่ไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล ย่อมไม่อาจให้ลูกเขยของตัวเองลำบากใจได้… แต่ว่าตอนนี้นิสัยของรั่วอวี๋เหมือนเด็กสามขวบ คงจะทำหน้าที่ภรรยาที่ดีไม่ได้ ถ้าแต่งงานกับเจ้า… เรื่อง… เรื่องเข้าห้องหอ เกรงว่าคงจะทำให้นางตกใจ…”
เสิ่นหรูป๋อเหมือนจะเดาถึงความกังวลของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้จึงผ่อนเสียงเอ่ยปากพูด “ฮูหยินผู้เฒ่าคิดมากไปแล้ว ข้ารักและเคารพรั่วอวี๋มาตลอด แต่งนางมาอยู่ข้างกายก็เพื่อสะดวกในการดูแล จะทำให้รั่วอวี๋ตกใจเหมือนเด็กหนุ่มป่าเถื่อนบ้ากามได้อย่างไร ถ้านางไม่ยินยอม ข้าจะเคารพนางอย่างดี จะไม่ให้นางได้รับความลำบากใจแม้แต่น้อย…”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เป็นคนหูเบามาแต่ไหนแต่ไร หลายวันก่อน ไม่รู้ว่าหลี่รั่วอวี๋ไปสร้างอริทางการค้าที่ยากจะรับมืออะไร ตอนที่นางหมดสติอยู่ ร้านค้าสิบแห่งในทุกพื้นที่ถูกคนตรวจค้น แม้แต่หลงจู๊และคนงานที่คอยดูแลก็ถูกจับส่งทางการ โชคดีที่เสิ่นหรูป๋อลงแรงจัดการ จึงได้รักษาชีวิตของหลงจู๊และคนงานที่ซื่อสัตย์สิบกว่าคนเอาไว้ได้ แต่ร้านค้าสิบแห่งนั้นกลับเรียกคืนมาไม่ได้ พอไปสืบความก็ได้ยินว่าก่อนหน้านี้บุตรสาวไปล่วงเกินซือหม่า* แซ่ฉู่ผู้หนึ่ง เขาจึงคอยหาเรื่อง ทำให้ร้านค้าสกุลหลี่ได้รับความเสียหาย
ในบ้านเสียหายอย่างหนัก กอปรกับเหนื่อยใจต่อกันหลายวัน ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เชื่อฟังเสิ่นหรูป๋อผู้นี้ยิ่ง
ตอนนี้เสิ่นหรูป๋อคุกเข่าอยู่ตรงหน้าตนเอง ขอร้องให้นางยกบุตรสาวปัญญาอ่อนให้แต่งงานกับเขา นางยังมีอะไรจะปฏิเสธได้อีก
ด้วยสภาพของบุตรสาวในตอนนี้ แม้ว่าจะยังมีคนอยากมาขอดองด้วย คงต้องหวังในกิจการของสกุลหลี่แน่นอน จะมีความบริสุทธิ์ใจเหมือนเสิ่นหรูป๋อได้อย่างไร คิดได้ดังนั้นนางจึงยิ่งมีน้ำตาไหลลงมามากขึ้นอีก
หลังจากเสิ่นหรูป๋อลากลับไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็ลุกขึ้นเดินไปเยี่ยมบุตรสาว หลายวันมานี้นางไปพบท่านหมอชื่อดังมาหลายคน แต่หลังจากฟังอาการของบุตรสาวแล้ว ท่านหมอยอดฝีมือเหล่านี้ล้วนพากันส่ายหน้า เกรงว่ารักษาไม่สำเร็จจะเสียชื่อเสียงตนเอง จึงไม่ยอมลงมือช่วย
รอจนเข้าห้องบุตรสาวแล้ว เห็นหลี่รั่วอวี๋เปลี่ยนไปใส่เสื้อนวมปิดคอสีขาวนวล กำลังก้มหน้าเล่นชุดห่วงเชื่อมที่ทำจากไม้จันทน์ชิ้นหนึ่ง นี่เดิมทีเป็นของเล่นของเสียนเอ๋อร์บุตรชายอายุเจ็ดขวบของนาง ตอนนี้เอาเข้ามาในห้องของหลี่รั่วอวี๋ ในจำนวนของเล่นมากมาย มีเพียงชิ้นเดียวนี้ที่หลี่รั่วอวี๋ชื่นชอบ เล่นตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ยอมหยุด
บุตรสาวหมดสติไปหนึ่งเดือนเต็ม และเพราะมีไข้สูงต่อกันหลายวัน หลังจากฟื้นขึ้นมาก็สูญเสียความทรงจำและจำผู้ใดไม่ได้ หลายวันแรกไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้อีกด้วย เอาแต่ขว้างปาของ ภายหลังคนในบ้านปลอบใจอย่างดีจึงทำให้นางสงบสติอารมณ์ลงได้ แต่หญิงผู้มีความสามารถเลื่องชื่อไปทั่วเจียงหนานกลับไม่เหลือความสง่าไว้เลย การกระทำนิสัยล้วนเป็นเหมือนเด็กเล็ก แม้จะไม่เข้าใกล้คนอื่นนัก แต่นางสนิทสนมกับน้องชายเจ็ดขวบของนางมาก พอวางของเล่นที่เอามาจากเสียนเอ๋อร์เหล่านั้นไว้ให้ นางก็จะเล่นมันอย่างสนุกสนานได้เป็นครึ่งค่อนวัน
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มองดูบุตรสาวที่ท่าทางไร้เดียงสาของตนเองแล้วก็เกิดความเศร้าใจขึ้นมาอีกครั้ง แต่น้ำตายังไม่ทันไหลก็เห็นบุตรสาวเงยหน้าขึ้นทันใด ดวงตาโตฉายประกายยินดี ชูห่วงชุดในมือที่เพิ่งปลดออกมาได้แล้วส่งเสียงอ้อแอ้ ทำให้บุตรชายคนเล็กนอนเปิดท้องกลิ้งไปหา “พี่รอง พี่จะทำให้เสียนเอ๋อร์โกรธจนตายอยู่แล้ว ข้าเล่นมาหลายวันก็ยังปลดไม่ได้ เหตุใดพี่เล่นไม่ถึงสองวันปลดออกได้แล้วล่ะ”
เขาพูดพลางดึงกางเกงที่เกือบหลุดขึ้นแล้วรีบโผเข้าไปในอ้อมกอดของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ “ท่านแม่ พวกลิ่วฝูในสำนักศึกษาล้วนพูดว่าพี่ปัญญาอ่อนไปแล้ว เสียนเอ๋อร์โกรธมาก ต่อยตีกับพวกเขาด้วย พี่ไม่ยอมพูดกับเสียนเอ๋อร์เลย แต่เหตุใดนางยังเก่งกว่าเสียนเอ๋อร์อีก นางกำลังแกล้งป่วยอยู่หรือ”
ฟังคำพูดเด็กอย่างไม่ซ่อนเร้นของบุตรชายแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็ลูบใบหน้าเล็กอวบอิ่มของเขา มองดูบุตรสาวโยนห่วงชุดทิ้ง แล้วหยิบของเล่นข้างๆ ขึ้นมาเล่นอีก ก่อนจะพูดเสียงอ่อนโยนว่า “ห่วงชุดนั่นเดิมทีก็เป็นของเล่นตอนเด็กของพี่รองเจ้า ภายหลังเก็บเอาไว้ให้เจ้า นางฉลาดเกินผู้ใดมาตั้งแต่เด็ก ตอนสี่ขวบก็ปลดห่วงชุดนั่นได้แล้ว ทำให้ท่านพ่อเจ้าดีใจอย่างมาก ชื่อของนางเดิมชื่อว่ารั่วซี แต่ภายหลังท่านพ่อเจ้าเปลี่ยนชื่อให้นางเป็น ‘รั่วอวี๋’ จุดประสงค์เพราะกลัวว่านางฉลาดเกินไปจนบดบังวาสนา…” พูดถึงตรงนี้ ในดวงตาก็รู้สึกเจ็บปวด พูดในใจว่า… นายท่าน ตอนนั้นที่ท่านเปลี่ยนชื่อ คิดเอาไว้แล้วหรือว่าบุตรสาวจะมีสภาพเหมือนเช่นวันนี้
หลี่รั่วเสียนได้ยินคำพูดของมารดาแล้วก็มีความสงสัยในทันที จึงหันกลับไปมองพี่รอง ในใจคิดว่า… คนถ้าฉลาด ไม่ใช่เรื่องดีหรือ อาจารย์ในสำนักศึกษามักจะด่าว่าเสียนเอ๋อร์โง่ เหตุใดพอไปถึงพี่รอง กลับกลายเป็นภัยร้ายไปได้
พี่รองที่ปกติจะดูน่าเกรงขามแม้จะไม่โมโห ตอนนี้ล้มนอนบนพรมนุ่มจากซีอวี้อย่างไม่เหลือความสง่าเลย สะบัดเท้างามที่ไม่ได้สวมถุงเท้า ท่าทางไร้เดียงสามีความสุข ไม่เหมือนกับเขา ต้องไปทนอยู่ในสำนักศึกษาทุกวัน… เช่นนี้ดูไปแล้ว นับว่าเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง…
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เองยามนี้ก็มีน้ำตารื้นขอบตาอีกครั้ง จึงปล่อยมือบุตรชาย เดินไปข้างกายบุตรสาวที่นอนอยู่บนพรมนุ่ม ลูบหน้าผากนวลเนียนของนางอย่างเต็มไปด้วยความรัก เห็นนางสูญเสียความฉลาดไปหมด แต่กลับมีสายตาที่ไร้เดียงสา จึงพูดเสียงเบาว่า “พี่รองของเจ้าไม่มีทางแกล้งป่วยหรอก นางกตัญญูที่สุด จะทำให้คนอื่นเป็นห่วงแบบนี้ได้อย่างไร แต่นางก็ไม่ได้ปัญญาอ่อนเหมือนที่คนนอกพูดกัน นางก็แค่อยากเล่นกับเสียนเอ๋อร์ เติบโตใหม่อีกครั้งเท่านั้น”
หลี่รั่วอวี๋ปล่อยให้หญิงข้างกายลูบเบาๆ ปากก็พ่นเสียงไม่เป็นคำ นิ้วเรียวยาวขยับเล่นกลองป๋องแป๋งสีรุ้งในมืออย่างมีความสุข เสียงกลองดังตุงๆๆๆ
ตอนที่เสิ่นหรูป๋อเดินเข้ามาในคฤหาสน์สกุลหลี่ ไม่รู้ว่าเสิ่นโม่พ่อบ้านของตนเองมายืนรออยู่ที่ประตูตั้งแต่เมื่อใด เมื่ออีกฝ่ายเห็นเขาออกมาก็เดินตามเขาออกจากคฤหาสน์สกุลหลี่แล้วรายงานเสียงเบา “คุณชายรอง เมื่อครู่คนในเมืองหลวงวิ่งมาให้คำตอบแล้ว ทางฉู่ซือหม่าจนหนทาง สินค้าชุดที่ขนส่งทางน้ำไปทางเหนือ ถือว่าเป็นการเอาซาลาเปาไส้เนื้อไปปาสุนัข* เอ่อ เอากลับมาไม่ได้แล้วขอรับ… เรื่องที่คุณหนูรองหลี่ก่อครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ ในโลกนี้มีผู้ใดบ้างไม่รู้นิสัยฉู่จิ้งเฟิงที่ ‘ผีเห็นยังหวั่น’ ว่าเป็นคนที่มีแค้นต้องชำระ เขาเป็นคนเย็นชาไม่ไว้หน้าผู้ใดมาแต่ไหนแต่ไร คุณหนูรองกลับกล้าถ่วงเวลาขนสัมภาระการทหารของฉู่ซือหม่า ทำให้ทหารสกุลฉู่เกือบจะถูกหยวนซู่ที่ทางเหนือทำลายสิ้นซากในสงครามฮุ่ยชาง ได้ยินว่าฉู่จิ้งเฟิงได้รับบาดเจ็บอีกด้วย เรื่องใหญ่เช่นนี้ นอกจากนางหลี่รั่วอวี๋แล้ว ผู้ใดคงไม่มีปัญญาแก้ไขได้”
เสิ่นหรูป๋อหมุนแหวนหยกบนนิ้วโป้งเบาๆ นิ่งเงียบสักครู่จึงพูดว่า “รั่วอวี๋นางไม่ทำเรื่องโง่ที่ตกเป็นขี้ปากของคนอื่นเช่นนี้ เหตุใดครั้งนี้กลับ… หลงจู๊และคนงานที่ถูกคุมตัวไว้ก่อนหน้าเหล่านั้นถูกปล่อยกลับมาหมดแล้วไม่ใช่หรือ ฉู่ซือหม่าคิดจะเปลี่ยนใจหรือ”
เสิ่นโม่ส่ายหน้าพลางพูดเสียงเบาว่า “โชคดีที่พระมาตุลาไป๋ชวนซีต้องอาศัยคุณหนูรองหลี่ต่อเรือ และเห็นแก่จดหมายที่ท่านเขียนด้วยตัวเอง จึงสั่งให้ทางการปล่อยคน แต่ฉู่จิ้งเฟิงกับพระมาตุลาไป๋เป็นศัตรูกัน คนแซ่ฉู่ไม่ไว้หน้าพระมาตุลา ภายหน้าจะมาหาเรื่องอีกหรือไม่ก็ยังพูดได้ยาก ไม่แน่ว่าการตกม้าของคุณหนูรองครั้งนี้ฉู่จิ้งเฟิงอาจจะเป็นคนสั่งการก็ได้ ท่านว่าเขาจะส่งคน…”
เสิ่นหรูป๋อได้ฟังถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้ว สงบนิ่งลงอีกครั้ง ก่อนจะพูดด้วยเสียงเครียดว่า “เมืองเหลียวเฉิงไม่ใช่เมืองโม่เหอของฉู่จิ้งเฟิง ที่นี่มีค่ายทหารของสกุลไป๋อยู่ตลอด จะปล่อยให้เขาทำอะไรส่งเดชได้อย่างไร เจ้าไปที่ค่ายทหารนอกเมือง นำจดหมายของข้าไป ให้พวกเขาส่งคนมีฝีมือจำนวนหนึ่งมาเฝ้าคฤหาสน์สกุลหลี่ไว้ ในระหว่างที่จัดพิธี จะให้รั่วอวี๋เป็นอะไรไปแม้เพียงขนเส้นเดียวไม่ได้”
พูดจบเขาก็ลอยตัวขึ้นม้า และลงแส้ควบม้าไปอย่างรวดเร็ว
เสิ่นโม่ตะลึงอยู่กับที่ ทนไม่ไหวถอนหายใจยาว คุณหนูรองหลี่สั่งการคุณชายของเขาจนชิน คุณชายรองที่มาจากครอบครัวขุนนาง กลับต้องมาคอยตามดูแลบุตรสาวพ่อค้าผู้หนึ่ง ดีที่คุณชายรองยังคอยคิดทุกอย่างเพื่อนางเช่นนี้!
แต่ตอนนี้ก่อเรื่องใหญ่โตแบบนี้ นางยังโชคดีเป็นปัญญาอ่อนไป ทิ้งเรื่องยุ่งเอาไว้ยังต้องให้คุณชายรองของเขามาเก็บกวาดอีกหรือ หลี่รั่วอวี๋ เจ้าเป็นดาวพิฆาตในชีวิตคุณชายรองของพวกเราจริงๆ!
คิดถึงข่าวลือช่วงก่อนที่ฉู่จิ้งเฟิงพ่ายศึกและได้รับบาดเจ็บ เดิมคิดว่าฉู่ซือหม่าผู้นี้จะลำบากอับจนต่อไป แต่ผู้ใดจะรู้ว่าในคืนเดียวกันกลับนำยอดฝีมือกองหนึ่งลอบเข้าไปในเมืองศัตรู ฉวยโอกาสที่ศัตรูเฉลิมฉลอง ลอบฆ่าจอมทัพของอีกฝ่าย แล้วเปิดประตูเมืองฆ่าทหารทั้งเมืองภายในคืนเดียวเพื่อล้างความอับอาย! เสิ่นโม่ก็อดไม่ได้ที่จะขนลุก ‘มัจจุราชฉู่’ ไม่ใช่ฉายาที่ได้มาลอยๆ คติพจน์ของเขาก็คือ ‘ผู้ใดขวางข้า ตาย’ คนเลวร้ายขึ้นชื่อในต้าฉู่ผู้นี้ วิญญาณบริสุทธิ์ที่ตายด้วยฝีมือของเขาไม่ได้มีแค่เป็นพันเป็นหมื่นเท่านั้น
หลี่รั่วอวี๋ไปยั่วโมโหผู้ใดก็ไม่ไป ต้องเป็นปีศาจที่ผีเห็นยังหวั่นผู้นั้นด้วย ถูกหมายตาเช่นนี้ สู้ล้มหัวฟาดไม่รู้เรื่องราวอะไรดีกว่า!
ในชั่วขณะนั้น เสิ่นโม่รู้สึกอิจฉาคุณหนูรองสกุลหลี่ที่เป็นปัญญาอ่อนไปแล้วอย่างมาก
ข่าวที่คุณหนูรองจะออกเรือนกระจายไปทั่วคฤหาสน์สกุลหลี่อย่างรวดเร็ว
ทุกคนต่างพูดกันว่าเป็นภรรยาพ่อค้านั้นอยู่ยาก แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กับสามีที่ล่วงลับสองสามีภรรยารักใคร่ปรองดองกันมาก
ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่คลอดหลี่รั่วอวี๋ก็มีอายุมากอยู่แล้ว และเพราะคลอดยาก ทำให้ร่างกายทรุดโทรมไปบ้าง ตอนนั้นท่านหมอวินิจฉัยว่าคงตั้งครรภ์อีกได้ยาก นางกังวลว่าจะไม่สามารถมีผู้สืบสกุลให้สกุลหลี่ได้ จึงได้ขอร้องให้สามีรับโจวซื่อที่เป็นบุตรสาวชาวนามาเป็นอนุ หลังจากรับโจวซื่อเข้าบ้าน สามีก็ไม่ได้ละเลยหมางเมินนางที่เป็นภรรยาเอก เทียบกับโจวซื่อที่มีกำเนิดมาจากครอบครัวชาวนาแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่มีกำเนิดมาจากครอบครัวบัณฑิตจึงได้รับความเคารพรักจากนายท่านหลี่มากกว่า คงเพราะความรักลึกซึ้งของสามีภรรยาทำให้สวรรค์ซาบซึ้งใจ หลังจากโจวซื่อเข้าบ้านมาก็ให้กำเนิดบุตรสาวหลี่เสวียนเอ๋อร์เพียงคนเดียว ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่เป็นภรรยาเอกกลับได้บุตรชายตอนอายุมากถึงสี่สิบหกปี ให้กำเนิดคุณชายน้อยหลี่รั่วเสียน
น่าเสียดายที่สามีป่วยและตายจากโลกนี้ไป โชคดีที่บุตรสาวคนรองหลี่รั่วอวี๋มีความสามารถจึงประคองกิจการคฤหาสน์สกุลหลี่ได้ แม้จะทำงานดูแลสกุลหลี่ได้เพียงสองเดือน แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่เสพสุขมาตลอดกลับหมดกำลังใจ รู้สึกว่าใจจะขาด บุตรสาวคนรองของตนเองที่อายุยังน้อยหลายปีมานี้ทนผ่านมาได้อย่างไร คงเพราะสวรรค์ทนเห็นไม่ไหว จึงได้ส่งเคราะห์ร้ายนี้มา ให้บุตรสาวตนเองได้พักผ่อนบ้างกระมัง
ในใจมีความสงสารละอายใจต่อบุตรสาวคนรอง ดังนั้นการจัดงานแต่งงานย่อมต้องทำอย่างเต็มที่ สกุลหลี่ไม่ขัดสนเงินทอง ของล้ำค่าหายากจากเหนือจรดใต้ล้วนมีนับไม่ถ้วน ขนเข้ามาในคฤหาสน์เหมือนไม่ต้องใช้เงินซื้อ ภายในคฤหาสน์สองวันนี้จึงคึกคักเป็นอย่างมาก
วันนี้โจวอี๋เหนียงพาบุตรสาวตนเองหลี่เสวียนเอ๋อร์ไปทักทายยามเช้าที่ห้องฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ และเอาหมอนมังกรหงส์คู่หนึ่งที่ตนเองเพิ่งเย็บใหม่มาให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ดู ตามประเพณีท้องที่เมืองเหลียวเฉิง บุตรสาวออกเรือน คนเป็นแม่ต้องลงมือเย็บปักหมอนมงคลเอง
“หลายวันมานี้พี่ร้องไห้ตาแดง ไม่เหมาะจะลงมือเย็บปักที่เป็นผลเสียต่อดวงตา ถ้าไม่รังเกียจที่น้องฝีมือหยาบ ก็เอาหมอนปักคู่นี้ให้คุณหนูรองใช้เถิด” โจวอี๋เหนียงหน้าตาหมดจด พูดจาก็อ่อนโยนยิ่ง ตอนแรกแม่สื่อหาหญิงสาวจากหลายบ้านมาให้นายท่านหลี่เลือก เขาก็ชอบในนิสัยอ่อนโยนของโจวซื่อ ไม่มีทางเข้าบ้านแล้วจะก่อเรื่องแย่งชิงความรัก จึงได้เลือกโจวซื่อแต่งเข้าบ้าน
หลายปีมานี้ โจวอี๋เหนียงผู้นี้ก็เอาใจนายท่านและฮูหยินทุกอย่าง ภรรยาเอกกับอนุนับว่าปรองดองกันดี สงบสุขไม่มีเรื่องอะไร นายท่านตายไปเร็ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่บางครั้งก็รู้สึกว่าตนเองกล่อมให้นายท่านรับอนุเข้ามาเป็นเรื่องที่ถูกต้อง อย่างน้อยในคฤหาสน์ที่มีแต่แม่ม่ายลูกกำพร้าก็ยังมีพี่น้องที่พูดคุยกันได้ ฆ่าเวลาครึ่งชีวิตที่เหลืออันเงียบเหงาได้
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รับหมอนปักคู่นั้นมา ลูบฝีเข็มที่ประณีตนั้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “น้องหญิงช่างเอาใจใส่จริง งานเย็บปักของข้าไม่ดีมาแต่ไหนแต่ไร แม้จะลงมือปักเองก็คงประณีตสู้เจ้าไม่ได้ เจ้ามีน้ำใจ ทำงานที่ข้าควรจะทำโดยไม่ต้องพูด แต่เรื่องใหญ่อันดับแรกของรั่วอวี๋ในชาตินี้ ข้าที่เป็นแม่จะปล่อยปละได้อย่างไร แม้จะเชิดหน้าชูตาไม่ได้แต่ก็ต้องปักเอง รบกวนน้องหญิงช่วยวาดภาพตัวอย่างให้ที ถึงตอนนั้นก็ใช้พร้อมกับหมอนของเจ้าคู่นี้ด้วยก็แล้วกัน”
โจวอี๋เหนียงได้ฟังก็ยิ้มอ่อนโยน หลังจากช่วยฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เลือกกำไลคู่ลงทองฝังมุกที่บ่าวส่งมาให้ดูแล้วก็เอ่ยปากอย่างไม่รีบไม่ร้อน “การแต่งงานเสริมมงคลนี้เป็นเรื่องดี คุณหนูรองได้สามีที่เอาใจใส่ดูแล เห็นได้ว่าสวรรค์ก็เห็นใจ หลังจากแต่งงานไปแล้วก็เพียงพักฟื้น ผ่านไปสักระยะ ต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน”
ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่พอจะรับสภาพบุตรสาวตนเองในตอนนี้ได้บ้างแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของโจวอี๋เหนียงก็ถอนหายใจยาวพลางกล่าว “หวังว่าจะเป็นอย่างที่น้องหญิงว่า…”
โจวอี๋เหนียงหยุดไปชั่วครู่แล้วจึงเอ่ยขึ้น “แต่ว่าตอนนี้คุณหนูรองสติไม่ครบถ้วน คุณชายรองเสิ่นแม้จะเอาใจใส่ดูแลดี แต่เมืองหลวงอยู่ไกลจากเมืองเหลียวเฉิงมาก แม้จะมีสาวใช้บ่าวอาวุโสตามไปปรนนิบัติข้างกายก็อย่าวางใจ ถ้าข้างกายคุณหนูรองไม่มีคนที่ใกล้ชิดเชื่อใจได้ ฮูหยินไม่เป็นห่วงอยู่ตลอดเวลาหรือ”
คำพูดของโจวอี๋เหนียงนี้เป็นสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กังวลมาตลอด ตอนนี้ถูกพูดจี้ใจดำจึงร้อนใจขึ้นมาในทันที “แล้วตามความคิดของน้องหญิง ควรจะทำเช่นไรดี”
โจวอี๋เหนียงมองดูบุตรสาวข้างกายที่ก้มหน้าไม่พูดจา หลี่เสวียนเอ๋อร์ปีนี้อายุสิบสี่สิบห้าปี หน้าตางดงามมาก
เมื่อเลื่อนสายตากลับอย่างช้าๆ แล้ว โจวอี๋เหนียงจึงพูดอย่างอ่อนโยนว่า “สกุลเสิ่นยังคงเป็นตระกูลขุนนางใหญ่ แม้คุณชายรองเสิ่นจะรักษาสัญญาแต่งคุณหนูรองเข้าบ้าน แต่ถ้าคุณหนูรองไม่หายเสียที รับรองได้ยากว่าคุณชายรองเสิ่นจะไม่รับอนุเข้ามาเพิ่ม ถ้าอนุมีนิสัยดีก็พอว่า คงไม่ร้ายกาจต่อคุณหนูรอง แต่ถ้าเป็นคนมีนิสัยโหดร้าย…เรื่องสกปรกในเรือนหลังบ้านคนอื่นมีน้อยเสียเมื่อใด อย่างไรเสียใช่ว่าตระกูลใหญ่ทุกบ้านจะเป็นเหมือนสกุลหลี่ของเราที่รักใคร่ปรองดองกัน…”
บทที่สอง
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ฟังคำพูดของโจวอี๋เหนียงก็รู้สึกว่าร่างทั้งร่างพลันเย็นเยือก นางเคยได้ยินเรื่องราวเหลือเชื่อของพวกเรือนหลังในงานเลี้ยงบรรดาฮูหยินมาบ้าง ภาพเหตุการณ์นั้นลอยผ่านหน้าเหมือนโคมม้าวิ่ง* เมื่อคิดถึงบุตรสาวตนเองถูกคนรังแก จิตใจก็ให้ประหวั่นยิ่ง
นางเป็นคนที่ไม่มีความคิดเป็นของตนเอง แค่ได้ยินเสียงลมก็คิดว่าฝนจะตก เกิดความคิดจะล้มเลิกการแต่งงานทันที แต่ตอนนี้กำหนดวันเวลาไว้แล้ว เทียบเชิญก็ส่งไปทั่วทุกคฤหาสน์ในเมืองเหลียวเฉิงแล้ว ได้ยินว่าคุณชายรองเสิ่นเป็นคนกว้างขวาง คบค้ากับขุนนางนับไม่ถ้วน แม้แต่จวนสิ่งทอที่ตั้งอยู่ในเจียงหนาน รับผิดชอบจัดซื้อเครื่องบรรณาการราชสำนักยังส่งเว่ยกงกงที่เป็นผู้ดูแลมาร่วมงานอีกด้วย
หากล้มเลิกการแต่งงานในตอนนี้ อย่าว่าแต่ไม่มีเหตุผลที่หนักแน่นเพียงพอเลย ต่อให้มีหน้าตาของสกุลเสิ่นก็คงถูกการที่สกุลหลี่เปลี่ยนใจไม่แต่งงานฉีกจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแน่นอน
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เดิมทีเป็นคนที่ถือธรรมเนียมประเพณีรักศักดิ์ศรีหน้าตาอยู่แล้ว เพียงแค่คิดถึงความวุ่นวายในการล้มเลิกการแต่งงาน ครึ่งร่างก็รู้สึกเหมือนแช่อยู่ในหลุมน้ำแข็งเช่นกัน
โจวอี๋เหนียงเห็นท่าทางฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ดูทำอะไรไม่ถูกแล้วก็รีบกุมมือนางแล้วพูดปลอบ “พี่หญิงอย่าร้อนใจไป ทุกอย่างล้วนมีทางแก้ไข พูดไปแล้ว อะไรก็เทียบไม่ได้กับสายเลือดเดียวกัน ถ้าหวังจะให้ในอนาคตลูกเขยสกุลเสิ่นแต่งอนุที่เพียบพร้อม สู้ให้เสวียนเอ๋อร์แต่งเข้าไปพร้อมกับคุณหนูรองยังจะดีกว่า เป็นพี่น้องบ้านเดียวกัน อนาคตไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร ล้วนมีเสวียนเอ๋อร์คอยดูแลคุณหนูรอง แบบนี้พี่กับข้าแม้ตัวจะอยู่เมืองเหลียวเฉิง ก็สามารถคลายความกังวลในใจได้ไม่ใช่หรือ”
ข้อเสนอเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่เคยคิดมาก่อนเลย เอ๋อหวงหนี่ว์อิง** มีสามีคนเดียวกัน แม้จะเป็นเรื่องราวอันดีที่เล่าขานกันมานาน แต่พอมาเป็นเรื่องของบุตรสาวคนรองที่พิเศษไม่เหมือนผู้ใดของตนเองแล้วกลับเป็นนิทานโบราณที่เหลวไหลและไม่อาจเป็นจริงได้
หญิงสาวที่ท่องไปทั่วเหนือใต้ตั้งแต่อายุยังน้อย จะยอมใช้สามีร่วมกับหญิงอื่นได้อย่างไร ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อดไม่ได้ที่จะคิดถึงว่าทุกครั้งที่ตนเองเกลี้ยกล่อมให้สามีรับอนุนั้น หลี่รั่วอวี๋ก็ปั้นหน้าเย็นชาใส่ ดวงตาโตของคนผ่านโลกมามากที่มองดูนางแสดงอารมณ์ขุ่นเคืองเวลาไม่ได้ดั่งใจออกมา คนเป็นแม่ที่ถูกบุตรสาวมองเหยียดเช่นนี้ก็เพียงพอจะทำให้ละอายใจได้แล้ว
“เรื่องนี้…เรื่องนี้จะได้อย่างไร มันไม่ยุติธรรมกับเสวียนเอ๋อร์เช่นกัน” ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เอ่ยตอบปฏิเสธออกไปในที่สุด
ทว่าหลี่เสวียนเอ๋อร์กลับเงยหน้าขึ้น พูดเสียงเบาว่า “แม่ใหญ่…ถ้าเพื่อพี่รองแล้ว เสวียนเอ๋อร์ยินดีจะเป็นอนุ ขอเพียงได้ดูแลข้างกายพี่รอง เสวียนเอ๋อร์ก็นับว่าได้แสดงความกตัญญูต่อแม่ใหญ่บ้างแล้ว ขอแม่ใหญ่อนุญาตด้วยเถิด”
“ถึงแบบนั้นก็ไม่ได้ นิสัยของรั่วอวี๋พวกเจ้าใช่จะไม่รู้ ถ้านางหายดีแล้ว รู้ว่าข้าที่เป็นแม่จัดการเช่นนี้ นางต้องโกรธแน่นอน…” ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่แม้จะไม่มีความคิดเป็นของตนเอง แต่ก็รู้ด้วยจิตใต้สำนึกว่าวิธีนี้ไม่เหมาะสม ควรจะปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
โจวอี๋เหนียงเห็นฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่ยอมจึงถอนใจเบาๆ แล้วตำหนิบุตรสาวเสียงเข้ม “บอกเจ้าแต่แรกแล้วว่า แม้เจ้าจะเป็นห่วงพี่รอง ไปพร้อมสินสอดเช่นนี้ไม่เหมาะสม แม้แม่ใหญ่เจ้าจะยินยอม คุณชายรองเสิ่นนั่นดูจากอนาคตของเขาแล้ว ต่อไปแม้จะแต่งอนุจริงก็ไม่ใช่บุตรสาวอนุในบ้านคนธรรมดาทั่วไป อย่างน้อยต้องเลือกคุณหนูลูกขุนนางที่มีความสง่า เหตุใดเจ้าต้องทำให้แม่ใหญ่ของเจ้าลำบากใจในตอนนี้ด้วยนะ”
คำพูดที่เหมือนกับตำหนิบุตรสาวนี้เมื่อเข้าหูของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่แล้วก็ทำให้หัวใจนางเหมือนมีคลื่นถาโถมในทันที ข้อเสนอของโจวอี๋เหนียงแม้จะน่าตกใจมาก แต่กลับมีเหตุผลและน้ำใจ ตอนนี้สกุลเสิ่นค่อยๆ รุ่งเรืองขึ้น อนาคตหากคุณชายรองสกุลเสิ่นมีตำแหน่งสูงขึ้นจริง หญิงสาวที่เข้ามาพะเน้าพะนอจะมีน้อยได้อย่างไร บุตรสาวของตนเองหากไม่หายดี แล้ว…แล้วจะทำอย่างไร
หลี่เสวียนเอ๋อร์ช่างเป็นห่วงพี่รองจริงๆ จึงเตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว…
เมื่อคิดเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็ไม่ยอมให้โจวอี๋เหนียงตำหนิหลี่เสวียนเอ๋อร์อีก ปากก็พูดอย่างลังเลขึ้นว่า “อันที่จริงน้องก็พูดมีเหตุผล… แต่อย่างไรเรื่องนี้ไม่เป็นธรรมต่อเสวียนเอ๋อร์จริงๆ…”
หลี่เสวียนเอ๋อร์รู้ความหมายในคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จึงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดเสียงเบา “สามารถอยู่ที่เดียวกับพี่รองได้จะมีความคับข้องใจอะไร แม่ใหญ่วางใจได้เลย หลังจากแต่งเข้าไปแล้วเสวียนเอ๋อร์จะพยายามดูแลพี่รองเต็มที่ จะไม่ให้นางมีความเสียใจแม้แต่น้อย…”
เห็นปัญหาใหญ่เทียมฟ้าแก้ไขได้อย่างสวยงามแล้ว เหล่าหญิงสาวสกุลหลี่ยังไม่ทันได้ยิ้มเบิกบานก็ได้ยินเสียงพูดเย็นชาดังฟังชัดลอดเข้ามาจากนอกประตู “น้องรองยังไม่ทันออกเรือน สามีของตัวเองก็ถูกเตรียมการแบ่งเอาไว้อย่างดีแล้ว อี๋เหนียงช่างดีดลูกคิดได้ดีจริงๆ!”
คำพูดนี้แทงใจดำอย่างมาก ทุกคนพากันหันไปตามเสียง เห็นเพียงหญิงสาวผู้หนึ่งในชุดขี่ม้าท่าทางสง่างามองอาจยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูโถงรับแขก
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ช้อนตาขึ้นมอง ความยินดีที่ได้พบกันหลังจากกันไปนานจางลงไปบ้าง นางถลึงตาแล้วพูดว่า “รั่วฮุ่ย เจ้าพูดเหลวไหลอะไร!”
ที่แท้คนที่พูดก็คือหลี่รั่วฮุ่ยบุตรสาวคนโตสกุลหลี่ที่ออกเรือนไปแล้ว นางโตกว่าหลี่รั่วอวี๋สิบสามปี แต่งเป็นภรรยาของขุนนางฝ่ายบู๊หลิวจ้ง ภายหลังย้ายตามสามีไปประจำการที่เมืองฉางโจว
ฉางโจวไม่ไกลจากเมืองเหลียวเฉิงนัก หลี่รั่วฮุ่ยได้รับจดหมายของท่านแม่ หลังจากรู้ว่าน้องรองของตนเองเกิดเรื่องก็รีบเดินทางรอนแรมกลับมาบ้านทันที
เมืองเหลียวเฉิงไม่ใหญ่ ผู้คนในเมืองคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ดังนั้นตอนที่นางขี่ม้าเข้าเมืองก็มีคนเข้ามาแสดงความยินดีที่งานมงคลคฤหาสน์สกุลหลี่ใกล้เข้ามาแล้ว
เดิมทีรู้สึกซาบซึ้งที่คุณชายรองสกุลเสิ่นผู้นี้มีทั้งน้ำใจและคุณธรรมพร้อมสรรพ ไม่ได้ปฏิเสธการแต่งงานเพราะอาการป่วยเลวร้ายของน้องสาว รอจนมาถึงคฤหาสน์สกุลหลี่ นิสัยร้อนใจของนางไม่รอให้พ่อบ้านมารายงาน ตนเองก็รีบเดินมาถึงประตูโถงรับแขกจะมาพบท่านแม่ ไม่คิดว่ากลับได้ยินโจวอี๋เหนียงพูดคำนี้กับท่านแม่ จะยกน้องสาวลูกภรรยารองให้เป็นอนุของคุณชายรองสกุลเสิ่น จึงรีบชะงักฝีเท้าเอาไว้
เดิมคิดว่าข้อเสนอเหลวไหลเช่นนี้ท่านแม่คงจะปฏิเสธ คิดไม่ถึงว่าท่านแม่ที่หูเบามาแต่ไหนแต่ไรกลับเปลี่ยนใจรวดเร็วจนคิดจะตอบตกลง หลี่รั่วฮุ่ยจึงพูดโพล่งออกมาตัดบทคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ทันที
หลี่รั่วฮุ่ยแม้จะเป็นหญิง แต่ชอบรำดาบควงกระบองมาตั้งแต่เด็ก นิสัยก็ไม่เหมือนหญิงสาวในเรือนทั่วไป ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มักจะทอดถอนใจ เหตุใดบุตรสาวสองคนที่นางให้กำเนิดเลี้ยงดูล้วนไม่เหมือนผู้ใดแบบนี้ หากเกิดมาอ่อนโยนสงบเสงี่ยมเหมือนหลี่เสวียนเอ๋อร์คงจะดีมาก
นี่อย่างไรล่ะ เมื่อครู่เพิ่งจะพูดตำหนิมารดาเสียงดัง หลี่รั่วฮุ่ยก็ปั้นหน้านิ่งนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง สองตาจ้องตรงไปทางหลี่เสวียนเอ๋อร์พลางพูดด้วยเสียงเย็นชา “น้องสามช่างเห็นอกเห็นใจคนจริง แต่เหตุใดข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าสนิทกับน้องรองถึงขั้นนี้ ยอมเสียสละตัวเองเป็นอนุเพื่อจะติดตามข้างกายน้องรองหรือ”
หลี่เสวียนเอ๋อร์ก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าพี่ใหญ่สกุลหลี่จะกลับคฤหาสน์มาในเวลานี้ นางกลัวเกรงพี่ใหญ่ผู้นี้มาแต่ไหนแต่ไร จึงพูดอย่างหวาดหวั่นว่า “พี่ใหญ่คงไม่รู้อาการป่วยของพี่รองตอนนี้ ถ้าพี่เห็นท่าทางของนางตอนนี้กับตาตัวเอง เกรงว่าคงจะเป็นเหมือนเสวียนเอ๋อร์ วางใจไม่ลงที่จะให้นางแต่งเข้าสกุลเสิ่นผู้เดียว”
เห็นบุตรสาวคนโตยังจะเลิกคิ้วพูดอีก ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็รีบยับยั้งคำพูดนางเอาไว้ เอ่ยปากพูดว่า “เรื่องนี้ใหญ่นัก ต้องวางแผนระยะยาว เสวียนเอ๋อร์ แม่ใหญ่รู้ว่าเจ้ามีจิตใจดี ตามท่านแม่เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้ายังต้องพาพี่ใหญ่เจ้าไปเยี่ยมรั่วอวี๋อีก”
ดังนั้นเรื่อง ‘เอ๋อหวงหนี่ว์อิง’ ฉากนี้ จึงจบด้วยการแยกย้ายไปอย่างไม่มีความสุข
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รอจนโจวอี๋เหนียงพาบุตรสาวจากไปแล้ว จึงได้เอ่ยปากตำหนิบุตรสาวคนโต “จากบ้านไปนานเช่นนี้ ยิ่งไม่รู้ธรรมเนียมมากขึ้นอีกแล้ว!”
หลี่รั่วฮุ่ยเข้ามาประคองมารดา ทนไม่ไหวพูดขึ้นอีกว่า “ท่านแม่ ถ้าข้าไม่เป็นตัวร้าย ท่านจะยอมไม่ไว้หน้าปฏิเสธแม่ลูกคู่นี้หรือ ปีที่แล้วข้ากลับมาตอนวันปีใหม่ ก็เห็นหลี่เสวียนเอ๋อร์นั่นจ้องคุณชายรองสกุลเสิ่นตาไม่กะพริบ โจวอี๋เหนียงดีดลูกคิดเก่งเหลือเกิน รั่วอวี๋ยังไม่ทันแต่งไปก็คิดวางแผนให้อนาคตของบุตรสาวตัวเองแล้ว!”
ในตอนนี้เอง พวกเขาก็เข้าไปในเรือน เห็นหลี่รั่วอวี๋สวมชุดผ้าไหมยาว กำลังหมอบอยู่บนพื้นขุดรังมดอย่างสนุกสนาน
การละเล่นเด็กแบบนี้หลี่รั่วอวี๋ไม่ได้แตะต้องมาตั้งแต่ห้าขวบแล้ว หญิงสาวที่ตอนนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยดินโคลนมีรอยยิ้มไร้เดียงสาเห็นแล้วก็ให้รู้สึกปวดใจยิ่ง
หลี่รั่วฮุ่ยแม้จะรู้สภาพการณ์คร่าวๆ จากในจดหมายแล้ว แต่พอเห็นด้วยตาว่าน้องรองเป็นเช่นนี้ ความปวดในใจก็ยากจะอธิบายด้วยคำพูดได้ นางเดินเข้าไปหลายก้าว แย่งกิ่งไม้ที่มีมดเกาะเต็มจากมือของหลี่รั่วอวี๋ แล้วโอบไหล่ของนาง “น้องรอง เหตุใดเจ้าเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้…” พูดจบหญิงสาวที่แข็งแกร่งมาโดยตลอดผู้นี้ก็ทนไม่ไหวน้ำตาเอ่อล้นขอบตา
หลี่รั่วอวี๋มองหญิงคิ้วเข้มตาคมตรงหน้าอย่างทำอะไรไม่ถูก เมื่อคิดสักครู่แล้วจึงใช้นิ้วมือที่เปื้อนดินโคลนแตะน้ำตาบนแก้มของนางเบาๆ หลังจากริมฝีปากแดงขยับอยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็พ่นคำออกมาอย่างยากลำบาก “ยี้ๆ…”
หลายวันมานี้ หลังจากหลี่รั่วอวี๋ลงเดินได้ก็ขลุกอยู่กับน้องชายคนเล็กของตนเองมาตลอด บางครั้งไปดูเขากับบุตรสาวตัวน้อยของบ่าวในเรือนเล่นกัน ทุกครั้งที่น้องชายแกล้งเด็กหญิงร้องไห้โฮ เขาจะทำหน้าล้อเลียน “ฝนตกหนักซ่าๆๆๆ หน้าไม่อายยี้ๆๆๆ…”
ตอนนี้เห็นหญิงผู้นี้มาร้องไห้ต่อหน้าตนเอง นางจึงพ่นคำพูดออกมาว่า “ยี้ๆ”
แต่แค่เพียงคำพูดนี้ก็ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่อยู่ข้างๆ ตื่นเต้นดีใจ หลังจากหลี่รั่วอวี๋ตื่นจากการนอนหมดสติก็พูดอ้อแอ้ไม่เป็นประโยคเหมือนคนใบ้ วันนี้จู่ๆ ก็เอ่ยปากพูด เห็นได้ว่าบุตรสาวมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ช่างเป็นเรื่องดีตกลงมาจากฟ้า แต่พอฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จับมือนาง ล่อให้นางเอ่ยปากพูดอีกครั้ง นางกลับไม่พูด เอาแต่ปั้นดินเป็นลูกกลม
ในตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ยิ่งมั่นใจว่าการกำหนดวันแต่งงานก่อนหน้านี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ล้วนพูดกันว่าการแต่งงานเสริมมงคลนี้เหมาะกับโรคที่หายได้ยาก เห็นงานแต่งงานใกล้เข้ามา ในที่สุดหลี่รั่วอวี๋ก็เอ่ยปากพูดได้ นี่มิใช่ลางดีหรอกหรือไร
ข่าวดีนี้ย่อมต้องแจ้งเสิ่นหรูป๋อ เมื่อเขาได้ยินว่าในที่สุดหลี่รั่วอวี๋พูดได้จึงรีบมาที่คฤหาสน์สกุลหลี่ทันที
ตอนเขามายังเอากล่องอาหารใบใหญ่มาใบหนึ่ง เป็นแป้งย่างเป็ดเคี่ยวที่สั่งจากร้านเป่ายาไจในตรอกเก่าเมืองเหลียวเฉิง ยังมีเปาะเปี๊ยะเป็ดที่หอมกรอบอีกด้วย เหล่านี้ล้วนเป็นของที่หลี่รั่วอวี๋ชอบกิน
แต่ไม่รู้เพราะอะไร หลี่รั่วอวี๋เหมือนไม่ยินดีที่เห็นเสิ่นหรูป๋อ แม้เขาจะมาพร้อมกับกล่องอาหารที่เต็มไปด้วยของหอมอร่อยก็ยังเบือนหน้าหนีไม่มองเขาด้วยความโกรธ จนกระทั่งเสิ่นหรูป๋อหยิบเรือเล็กจำลองที่ทำจากไม้ชุดหนึ่งออกมา หลี่รั่วอวี๋จึงหมุนตัวมาด้วยดวงตาโตเปล่งประกายแล้วเอนตัวเข้ามาอย่างสงสัย มองดูเรือเล็กถูกไขลาน แล่นไปอย่างอิสระในอ่างน้ำที่มีปลาทองว่ายอยู่หลายตัว
ส่วนเสิ่นหรูป๋อนั้นมองดูหลี่รั่วอวี๋หัวเราะเอิ๊กอ๊ากเหมือนเด็กอย่างรักใคร่ สายตาที่เขามองหลี่รั่วอวี๋ยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
หลี่รั่วฮุ่ยเห็นภาพเหตุการณ์นี้แล้วก็รู้สึกสบายใจลงได้บ้าง แต่ความสงสัยในใจควรจะพูดให้เร็ว จึงฉวยโอกาสตอนนี้ถามขึ้น “คุณชายรองเสิ่น น้องสาวข้าตอนนี้กลายเป็นเหมือนเด็กที่ไม่รู้ความ แม้คุณชายจะไม่รังเกียจ แต่เสิ่นฮูหยินในคฤหาสน์เจ้าย่อมมีความลำบากใจในฐานะเป็นผู้ใหญ่… คิดว่าภายหน้าคงต้องแต่งอนุ ไม่รู้ว่าเจ้า…”
เสิ่นหรูป๋อเงยหน้าขึ้นมองหลี่รั่วฮุ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อย่างประหลาดใจแล้วถามว่า “ข้าไม่เคยคิดเรื่องจะแต่งอนุ พี่ใหญ่เหตุใดจึงพูดเช่นนี้”
หลี่รั่วฮุ่ยทำเป็นมองไม่เห็นสายตายับยั้งของมารดา พูดคำของโจวอี๋เหนียงออกมาอย่างเปิดเผยตามตรง
เสิ่นหรูป๋อฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว จากนั้นพูดเสียงเครียดว่า “ความรู้สึกไม่วางใจในตัวรั่วอวี๋ของคุณหนูสามข้าเข้าใจดี แต่การที่พี่น้องแต่งงานร่วมกันเช่นนี้ไม่เหมาะสมจริงๆ หรูป๋อชาตินี้ยินดีแต่งกับรั่วอวี๋เพียงคนเดียว”
ได้ฟังเสิ่นหรูป๋อพูดอย่างหนักแน่นเช่นนี้ ความสงสัยในใจหลี่รั่วฮุ่ยก็หายไปจนสิ้น คุณชายรองเสิ่นเป็นคนสุขุมมีความรับผิดชอบ หวังเพียงว่าน้องสาวอยู่ในคฤหาสน์สกุลเสิ่นจะมีชีวิตภายหน้าที่ราบรื่น
วันนั้นตอนที่เสิ่นหรูป๋อออกจากคฤหาสน์ บังเอิญเจอกับหลี่เสวียนเอ๋อร์ที่เดินออกมาจากประตูด้านข้างของสวนดอกไม้ หลี่เสวียนเอ๋อร์เห็นเสิ่นหรูป๋อแล้ว แก้มก็แดงระเรื่อ พยักหน้าทักทายเสิ่นหรูป๋อ
แต่เสิ่นหรูป๋อสายตากลับไม่ลอกแลก ไม่ได้มองหลี่เสวียนเอ๋อร์เลย หลี่เสวียนเอ๋อร์ทำได้เพียงก้มหน้าลง เม้มมุมปากแน่น มองดูรอบด้านไม่มีผู้ใดก็หมุนตัวเดินไปที่ประตูสุดมุมด้านข้างและออกจากคฤหาสน์ไป
นอกประตูสุดมุมของคฤหาสน์สกุลหลี่เป็นตรอกเล็กพื้นหินที่สงบเงียบ นอกจากบางครั้งจะมีช่างลับมีดหรือพ่อค้าขายงานฝีมือสตรีแล้วก็ไม่มีผู้ใดผ่านมาอีก หลี่เสวียนเอ๋อร์ออกจากประตูไปแล้วก็เดินตามทางหินไปสักระยะ ก่อนจะเดินเลี้ยวไปถึงท้ายตรอกแห่งหนึ่ง ไม่นานก็เห็นร่างสูงใหญ่ของเสิ่นหรูป๋อปรากฏขึ้นบนถนนเล็กนอกตรอกนั้น เขาไม่ได้ขี่ม้า แต่เดินเท้าออกจากคฤหาสน์
หลี่เสวียนเอ๋อร์อาศัยตอนที่เขาเดินมาถึงปากตรอก หาโอกาสทิ้งผ้าเช็ดหน้าในมือลง
เสิ่นหรูป๋อหางตาเหลือบเห็นผ้าเช็ดหน้านั้นแล้ว แต่ไม่ได้ก้มลงเก็บ ทว่าค่อยๆ เดินเลี้ยวเข้าไปในตรอก
เขาร่างสูงใหญ่ ตรงนี้เป็นมุมเลี้ยว เป็นจุดมืดอับที่ไม่มีแสงแดดทะลุผ่าน แม้จะมีคนนอกเดินผ่านก็ไม่มีทางเห็นว่าตรงมุมเลี้ยวนี้มีคนอยู่
หลี่เสวียนเอ๋อร์ดวงตาแฝงความรัก แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ชายหนุ่มตรงหน้าก็โบกมือมาปะทะบนแก้มของนาง
“ผู้ใดให้เจ้าคิดเองเออเอง” เสิ่นหรูป๋อเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ฝ่ามือนั้นแท้จริงแล้วไม่หนักมาก แต่หลี่เสวียนเอ๋อร์จะเคยถูกตบเช่นนี้เมื่อใด ในตอนนี้จึงมีน้ำตาเอ่อล้นขอบตา พูดเสียงเบาอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ข้ารอคอยและไม่ได้รับคำตอบจากท่านเสียที ข้า…ข้ารอไม่ไหวแล้ว…” พูดพลางมือคู่งามก็กุมไปที่ท้องน้อยของตนเอง
การกระทำเล็กน้อยนี้ย่อมอยู่ในสายตาของเสิ่นหรูป๋อ เขาขมวดคิ้วหนา ในแววตาฉายความรังเกียจ แต่ผ่อนเสียงพูดว่า “ข้าย่อมเตรียมการอย่างเหมาะสมแน่นอน แต่อย่าทำเหมือนเมื่อวานอีก ที่วิ่งไปหน้าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่…”
ยังไม่ทันพูดจบ เขาก็รีบหยุดปาก เพราะด้านหลังหลี่เสวียนเอ๋อร์มีคนผู้หนึ่งยืนอยู่
หลี่เสวียนเอ๋อร์เห็นเสิ่นหรูป๋อมีสีหน้าผิดปกติ จึงหันมองตามไป จากนั้นสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป เห็นเพียงหลี่รั่วอวี๋ที่เดิมควรจะเล่นซ่อนแอบกับน้องชายในสวนดอกไม้ กำลังยืนหน้านิ่งอยู่ด้านหลังพวกเขา
สีหน้าท่าทางนั้นคนในคฤหาสน์สกุลหลี่เห็นจนชินตาแล้ว แม้จะมีอายุเพียงสิบเจ็ดปี แต่ทุกครั้งที่หลี่รั่วอวี๋มีท่าทางเรียบเฉย มักจะทำให้เหล่าสาวใช้และพ่อบ้านในคฤหาสน์อดจะกระวนกระวายใจไม่ได้
ตอนนี้หลี่รั่วอวี๋ที่ดูแลคฤหาสน์สกุลหลี่มองคนทั้งสองพูดคุยกันด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นนี้ หลี่เสวียนเอ๋อร์ก็หัวใจเต้นแรง ชั่วขณะนั้นนางรู้สึกราวกับว่าอีกฝ่ายหายดีแล้ว หลี่เสวียนเอ๋อร์ก็ตกใจจนเอ่ยปากอธิบาย “พี่รอง พี่ฟังข้าพูดก่อน…”
แต่ยังไม่ทันพูดอธิบายเหตุผล หญิงสาวร่างบางตรงหน้ากลับเดินเข้ามาหนึ่งก้าว นิ้วขาวแตะไปบนใบหน้ามีคราบน้ำตาของหลี่เสวียนเอ๋อร์เบาๆ ทันใดนั้นก็เปิดปากเผยให้เห็นฟันขาวสะอาดและกะพริบดวงตาโตพลางพูดว่า “ยี้ๆ…”
จุดที่ถูกสัมผัสเหมือนถูกไฟลน หลี่เสวียนเอ๋อร์รีบถอยไปสองก้าว หัวใจที่ลอยสูงขึ้นกลับร่วงลงมาอีกครั้ง
พี่รองปัญญาอ่อนไปแล้วจริงๆ ไม่เช่นนั้นนางที่ไม่ชอบความไร้เหตุผลไม่ยุติธรรมตอนนี้จะยิ้มแย้มอย่างไร้เดียงสาแบบนี้ได้อย่างไร คิดว่าเมื่อครู่ตอนที่เล่นอยู่ในสวนดอกไม้ นางคงจะเดินออกมาจากประตูสุดมุมตรงนี้ผู้เดียวกระมัง
หลี่เสวียนเอ๋อร์เหงื่อยังไม่ทันหายเปียกหันกลับไปมองเสิ่นหรูป๋อที่แววตาเคร่งเครียด ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เสิ่นหรูป๋อจ้องหลี่รั่วอวี๋ครู่หนึ่ง แล้วควักผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดดินโคลนที่ติดหน้าหลี่รั่วอวี๋พลางกล่าว “เจ้าพารั่วอวี๋กลับไปเถอะ” พูดจบก็รีบหมุนตัวเดินจากไป
หลี่เสวียนเอ๋อร์รีบจูงมือหลี่รั่วอวี๋ที่หัวเราะคิกคักเดินตามตรอกเล็กเข้าประตูสุดมุม เพิ่งเดินเข้าประตูสวนดอกไม้ก็เห็นหล่งเซียงรีบร้อนวิ่งมาทางนี้ พออีกฝ่ายเห็นหลี่เสวียนเอ๋อร์จูงหลี่รั่วอวี๋มาจึงพูดอย่างโล่งอก “คุณหนูรองหลบเก่งจริง นายน้อย คุณหนูรองอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ!”
บรรดาสาวใช้ล้วนพากันโล่งอก ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่าบนแก้มคุณหนูสามมีรอยแดงจางๆ อยู่…
ในเมืองเหลียวเฉิงมีของดีสามอย่าง แตงกรอบดอง เรือท้องแบน น้ำพุร้อนในหิน!
สองสิ่งแรกยังอธิบายได้ง่าย แตงกรอบดองก็คือการเอาผลแตงขนาดเท่านิ้วมือมาแช่ในน้ำเกลือที่มีแต่ในพื้นที่จนผิวเขียวมันเป็นประกาย กัดเพียงหนึ่งคำก็สามารถกินข้าวได้ถึงครึ่งชาม
และเรือท้องแบนก็คือผลงานของคุณหนูรองสกุลหลี่ ไม่เพียงมีตัวเรือที่เบา แต่ไม่ว่าจะเป็นน้ำตื้นหรือมีคลื่นใหญ่ก็สามารถล่องไปได้อย่างอิสระ เป็นของล้ำค่าในการตักตวงผลประโยชน์ของชาวประมงจริงๆ
ส่วนน้ำพุร้อนในหิน ก็คือข้อดีอีกอย่างของเมืองเหลียวเฉิง บนภูเขาเหล่าจวินเมืองเหลียวเฉิงมีน้ำพุร้อนธรรมชาติอยู่แห่งหนึ่ง ในหลุมหินธรรมชาติก้อนใหญ่สองก้อนมีน้ำพุร้อนที่ผุดออกมาจากใต้ดินมารวมตัวกัน น้ำพุร้อนนี้มีประสิทธิภาพในการรักษาอาการบาดเจ็บ เคยมีคนนอกพื้นที่มาตามคำเล่าลือว่าขอเพียงจ่ายเงินค่าธูปจำนวนมหาศาลให้แก่วัดหานเฟิงบนภูเขาเหล่าจวินก็สามารถไปแช่น้ำพุร้อนได้ครึ่งวันแล้ว
ตอนแรกที่หลี่รั่วอวี๋ตกจากหลังม้าได้รับบาดเจ็บ ไม่เพียงกระเทือนถึงสมอง แผ่นหลังก็ถูกหินคมบาดจนเป็นแผล แม้จะถูกส่งกลับคฤหาสน์มารักษาทันที แต่บาดแผลก็ยังบวมแดง ผิวขาวแต่เดิมมีบาดแผลนั้นอยู่คงไม่งาม น้ำพุร้อนในหินเหมาะกับการสมานแผลเป็นที่สุด ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จึงตั้งใจรีบพาหลี่รั่วอวี๋ไปแช่น้ำพุร้อนที่นี่ก่อนถึงกำหนดแต่งงาน
เสิ่นหรูป๋อจัดการทุกอย่างพร้อมสรรพ เขาไปติดต่อกับเจ้าอาวาสไว้ก่อน จองทั้งวัดเอาไว้ ถึงวันนั้นไม่รับแขกนอก จะได้ไม่มีผู้ใดมารบกวนหญิงสาวคฤหาสน์สกุลหลี่
หลี่รั่วฮุ่ยเพราะไม่อาจอยู่เมืองเหลียวเฉิงได้นาน หลังจากเยี่ยมน้องสาวและพูดกำชับมารดาแล้ว เมื่อวานก็รีบกลับไปแต่เช้า
ก่อนออกเดินทาง นางได้กำชับมารดาอีกครั้งว่าอย่าทำตามความต้องการของโจวอี๋เหนียงเด็ดขาด ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่แม้จะไม่คิดว่าโจวอี๋เหนียงคิดร้ายอะไร แต่คำพูดของบุตรสาวคนโตนางก็เก็บใส่ใจไว้แล้ว
ดังนั้นครั้งนี้จึงไม่ได้เรียกโจวอี๋เหนียงสองแม่ลูก เพียงแค่พาบุตรชายคนเล็กกับบุตรสาวคนรองมาแช่น้ำพุร้อนที่นี่ด้วยกัน
เพราะออกจากคฤหาสน์ ในคฤหาสน์นอกจากพ่อบ้านและบ่าวไพร่แล้ว ไม่มีเจ้านายที่เป็นบุรุษสักคน เสิ่นหรูป๋อจึงจงใจวางงานทุกอย่างแล้วคุ้มกันรถม้าของสกุลหลี่ไปที่วัดหานเฟิงเอง
บนเขานี้ไม่เหมือนที่อื่น แม้จะเป็นช่วงต้นฤดูร้อน แต่ความหนาวยังคงมีอยู่บ้าง รอจนหลี่รั่วอวี๋ลงจากรถ เสิ่นหรูป๋อก็เอาผ้าคลุมกันลมผืนบางมาคลุมร่างผอมบางของหลี่รั่วอวี๋เอาไว้
คงเพราะวันนี้เสิ่นหรูป๋อขยันกว่าที่ผ่านมา และทุกครั้งล้วนเอาของเล่นที่ทำให้หลี่รั่วอวี๋สนใจมา กิริยาก็ล้วนมีมารยาท ทำให้นางลืมเรื่องที่เขาเคยล่วงเกินนางไป ไม่ยู่ปากหลบเลี่ยงเขาเหมือนเมื่อหลายวันก่อน
เสิ่นหรูป๋อผูกเชือกผ้าคลุมให้หลี่รั่วอวี๋เสร็จแล้วก็มองใบหน้าเล็กของนางที่ส่งยิ้มให้เขาด้วยความสงสาร จากนั้นก็หมุนตัวไปพูดว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ สินค้าชุดใหม่ที่เพิ่งมาถึงในร้าน ต้องให้ข้ากลับไปนับจำนวนรับของด้วยตัวเอง ไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินกับรั่วอวี๋ได้แล้ว ข้าจะให้เสิ่นโม่อยู่ที่นี่ ถ้ามีเรื่องอะไรก็ให้เขามาแจ้งข้าได้เลย”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ยิ้มรับคำ รู้สึกว่ามีลูกเขยที่ได้ดั่งใจเช่นนี้เหมือนมีบุตรชายมาครึ่งตัว
ระหว่างร่องหินสองแห่งบนเขานี้มีฉากหินกั้น หล่งเซียงกับพวกสาวใช้คอยปรนนิบัติหลี่รั่วอวี๋เติมยาสมุนไพรลงในน้ำอยู่ข้างๆ
ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่พาเสียนเอ๋อร์บุตรชายคนเล็กไปแช่น้ำร้อนอยู่ในร่องหินด้านข้าง น้ำพุร้อนกลางแจ้งเช่นนี้ย่อมไม่อาจแช่แบบถอดเสื้อจนหมดได้ ต้องสวมเสื้อชั้นในพันผ้าไว้ แต่เสียนเอ๋อร์อายุยังน้อยจึงไม่ต้องกังวลอะไร เปลื้องผ้าเผยให้เห็นก้นเล็กกลมดิก ถูกมารดากอดเอาไว้ก็ยังอยู่ไม่สุข ขยับแขนเล็กตบไปบนน้ำจนเกิดระลอกคลื่นใหญ่
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่วันนี้อยากจะผ่อนคลายสักหน่อย แต่ถูกรบกวนจนสุดทน จึงสั่งให้ป้าจางบ่าวหญิงอาวุโสที่อยู่ด้านข้างมาอุ้มนายน้อยออกจากสระน้ำก่อน
เสียนเอ๋อร์ซุกซนเหมือนลูกปลาน้อยตัวลื่น ขยับก้นจมลงด้านล่าง คิดจะสะบัดให้หลุดจากอ้อมกอดของป้าจาง ป้าจางจึงยิ้มแล้วดีดเบาๆ ไปที่ ‘จำปีน้อย’ ของเสียนเอ๋อร์พลางพูดว่า “ถ้านายน้อยยังดื้ออีก จะให้นกใหญ่มาคาบลูกเจี๊ยบนี่ไปนะเจ้าคะ”
เสียนเอ๋อร์ถูกดีดจนรู้สึกคัน แต่ยังคงไม่ยอม กุมท้องน้อยบิดตัวหัวเราะอยู่ในอ้อมกอดอวบอ้วนของป้าจาง
หลี่รั่วอวี๋แช่น้ำจนรู้สึกร้อน จึงยกตัวขึ้นกึ่งพาดอยู่บนฉากหินมองมาทางมารดา มองดูน้องชายตัวกลมน่ารักแล้วก็หัวเราะตามไปด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มองบุตรสาวคนรองของตนเองแล้วก็รู้สึกปวดใจอย่างทนไม่ไหวอีกครั้ง
ช่างงดงามเหลือเกิน! ตอนยิ้มออกมา ที่มุมปากมีลักยิ้มเล็กๆ ดวงตาฉ่ำวาวราวน้ำค้างที่เกาะดอกท้อบานในเดือนสาม…
ในตอนนี้เอง หลี่รั่วอวี๋ก็นึกสนุกขึ้นมาจึงยกมือขึ้นแล้วตะโกนว่า “คาบ…ลูกเจี๊ยบ…ไป!”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่คลึงหัวคิ้ว หากไม่พูดอะไร ผู้ใดจะมองออกว่าเป็นคนปัญญาอ่อน?
หลังจากแช่น้ำพุร้อนเสร็จแล้ว สิ่งที่ทุกคนรอคอยยิ่งกว่าก็คืองานเลี้ยงอาหารเจในวัดหานเฟิง อย่างไรเสียเจ้าอาวาสวัดก็เป็นนักบวช ยังพอมีความเมตตา ใจรู้ว่าเงินค่าธูปในการแช่น้ำพุร้อนนี้มากเกินไป จะทำการค้าเพียงอย่างเดียวไม่ได้ อย่างไรต้องคืนประโยชน์ให้แก่คนเหล่านี้บ้าง ดังนั้นจึงเชิญพ่อครัวชื่อดังมาจัดงานเลี้ยงอาหารเจ ต้อนรับเศรษฐีที่เดินทางมาแช่น้ำพุร้อน
สกุลหลี่เป็นตระกูลเศรษฐีในเมืองเหลียวเฉิง เจ้าอาวาสย่อมต้อนรับเป็นอย่างดีจึงตั้งใจเก็บกวาดสวนถิงหลินทางตะวันตกของวัดเพื่อต้อนรับเหล่าหญิงสาว
ที่ตรงนี้ไผ่เขียวเป็นม่านบัง หอศาลาล้วนมีอายุนับร้อยปี มีความสงบเงียบอย่างมาก แต่ต่อให้สถานที่งดงามเพียงใดก็ยังถูกเสียงตะโกนดังลั่นของเสียนเอ๋อร์ทำลายลงได้ บุตรชายคนเล็กของสกุลหลี่เวลาซนขึ้นมาก็น่าปวดหัว
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มองไปทางหลี่รั่วอวี๋ที่กินอาหารไปไม่กี่คำก็ดูอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง จึงนึกถึงคำของท่านหมอที่เขียนใบสั่งยาขึ้นได้ว่าหลังจากแช่น้ำพุร้อนที่เติมยาอาจจะมีอาการง่วงนอนได้ พลันสั่งให้หล่งเซียงประคองคุณหนูรองไปในห้องที่เก็บกวาดในสวนถิงหลินไว้ก่อนแล้ว ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืด ทุกคนจึงพักอยู่ในสวนถิงหลินนี้หนึ่งคืน
หล่งเซียงปรนนิบัติคุณหนูรองให้เปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นเอายากันยุงสองก้านที่จุดไฟไว้แล้วไปรมควันที่สี่มุมเตียง แล้วจึงปลดผ้าม่านสีเขียวลง ยุงแมลงบนเขามีมากต้องดูแลเป็นอย่างดี คุณหนูรองไม่เหมือนเมื่อก่อน นิสัยเหมือนเด็กเล็ก หากถูกยุงแมลงกัด จะต้องไม่สบายตัวจนร้องงอแงแน่นอน
รอจนปรนนิบัติให้คุณหนูรองนอนหลับแล้ว หล่งเซียงจึงปูฟูกพักผ่อนตรงนอกห้อง คุณหนูรองพอตกดึก ปกติจะนอนหลับสนิทไม่ตื่นมาตอนกลางคืน ดังนั้นการเฝ้าตอนกลางคืนจึงนับว่าสบายดี
อาศัยวาสนาของผู้เป็นนาย หลังอาหารวันนี้พวกนางก็ได้ผลัดกันไปแช่น้ำชำระร่างกายที่น้ำพุร้อน เลือดลมเดินสะดวก นอนหลับได้สนิทมากขึ้น
ดังนั้นหลังเที่ยงคืนไปแล้ว ตอนคุณหนูรองลุกขึ้นมานั่งข้างเตียงจึงไม่มีผู้ใดรู้ตัว ได้ยินเพียงเสียงกรนดังสนั่นของบ่าวหญิงอาวุโสนอกห้องรางๆ
อาหารเย็นเค็มมาก หลี่รั่วอวี๋นอนถึงเที่ยงคืนก็รู้สึกปากแห้งจึงลุกขึ้นนั่ง
เวลานี้ในวัดเงียบสงัด นอกจากบ่าวหญิงอาวุโสและสาวใช้ในห้องแล้ว บ่าวไพร่คนคุ้มกันที่เหลือล้วนตั้งกระโจมพักผ่อนอยู่ตรงทางเขาสวนถิงหลิน ท่ามกลางเสียงลมหายใจทอดยาวและเสียงร้องของแมลงกลางคืน
หลี่รั่วอวี๋พลิกเปิดม่านเขียว มองไปโดยรอบอย่างงุนงง นับจากฟื้นขึ้นจากการหมดสติไปหนึ่งเดือนเต็ม ทุกครั้งที่ตื่นลืมตาตอนเช้า สมองจะถูกความว้าวุ่นและความว่างเปล่ามาแทนที่ ความรู้สึกเงียบเหงาไร้ที่พึ่งนั้นไม่รู้ว่าจะบรรยายอย่างไร ก็เหมือนตอนนี้ที่ถูกความมืดปกคลุม ความเย็นจากพื้นหินทะลุผ่านใต้ถุงเท้าส่งผ่านไปถึงหัวใจที่ว่างเปล่านั้น
นางกะพริบตาช้าๆ ท่ามกลางความมืดแล้วเริ่มลุกขึ้นคลำทาง เดินเท้าเปล่าออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ
ค่ำคืนที่วัดบนภูเขาในพุ่มดอกไม้เต็มไปด้วยหิ่งห้อยที่มีแสงสว่างดวงน้อยๆ กำลังเต้นรำภายใต้แสงจันทร์ และท่ามกลางแสงจันทร์ นางสวมชุดนอนตัวบางหลวมโคร่งปล่อยผมสยายเดินไปในลานเรือน
บนภูเขานี้กลับมีเสียงสะท้อนอย่างชัดเจน จนสามารถได้ยินเสียงพูดคุยเบาๆ ของบ่าวที่เฝ้ายามหน้าประตูเรือนจากที่ไกลๆ
นับจากนางฟื้นขึ้นมาก็ชอบอยู่คนเดียว จึงปลีกตัวจากบ่าวไพร่ หมุนตัวเดินไปหลังเขาที่ติดกับตัวเรือนอย่างช้าๆ
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ตามสัญชาตญาณแล้วก็ได้ยินเสียงน้ำไหลมาจากบนเขา… หลี่รั่วอวี๋เม้มริมฝีปากที่แห้งผาก ยื่นมือเกาะไปบนผนังผาแล้วปีนขึ้นไปราวกับแมวน้อยที่คล่องแคล่วตัวหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปบนทางหินกรวดที่มีดอกกล้วยไม้ปกคลุมตามเสียงน้ำนั้นไป ไม่รู้ว่าเดินไปนานเท่าใด ตอนที่เสียงน้ำเข้ามาใกล้ เลี้ยวผ่านหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ด้านหลังเป็นสถานที่อาบน้ำที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง แตกต่างกับสถานที่อาบน้ำของสกุลหลี่ในตอนเช้า ที่นี่เหมือนจะสร้างขึ้นชั่วคราว ถังไม้ใบใหญ่รองรับน้ำที่ใช้กระบอกไม้ไผ่ดึงน้ำลงมาจากที่สูง
และในตอนนี้คนที่หลับตาแช่น้ำอยู่ในถังอาบน้ำคือชายที่มีรูปร่างสูงใหญ่… ชายผมขาว
เห็นผมที่สยายอยู่บนไหล่ที่มีมัดกล้ามแข็งแรงไม่ใช่เพียงแค่ขาว แต่มีสีเงินที่ทำให้ตาพร่า ส่องประกายเย็นชาอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ตัดกับกล้ามเนื้อแน่นตึงสีแทนนั้นอย่างประหลาด
หากจะบอกว่าเป็นเพราะอายุมากจึงมีผมขาวก็ว่าไม่ได้ ดูคิ้วที่เรียวงาม รูปโฉมที่งามสง่านั้นแล้ว ไม่เหมือนคนแก่เลย แต่เหมือนชายงามที่อยู่ในวัยแรกรุ่นมากกว่า…
ไม่รู้เพราะเหตุใด หลี่รั่วอวี๋รู้สึกว่าชายหนุ่มใต้แสงจันทร์ที่น่าประหลาดนั้นน่ามองเหลือเกิน… ดังนั้นจึงอดใจไม่ไหวเดินเข้าไปอีกหลายก้าว แต่ตอนที่เท้าเปลือยเปล่าของนางเหยียบไปบนกิ่งไม้ ชายหนุ่มที่หลับตาอยู่ตลอดก็ลืมตาขึ้นทันที ในดวงตาเฉี่ยวราวหงส์ราวกับแฝงด้วยประกายงดงามของผลึกแก้ว…
แววตาประหลาดคู่นั้น สีของนัยน์ตาทั้งสองข้างไม่เหมือนกันนัก ข้างหนึ่งเป็นสีดำ แต่นัยน์ตาอีกข้างหนึ่ง… กลับเป็นสีแดงจางๆ ราวทับทิม
ค่ำคืนบนเขาเช่นนี้ หากเป็นคนอื่นมาเห็นชายหนุ่มนัยน์ตาปีศาจผมขาวผู้หนึ่งอาบน้ำ เกรงว่าคงสงสัยว่าเป็นปีศาจในเขา ตกใจจนล้มกลิ้งหนีอย่างทุลักทุเลไปแล้ว ทว่าคนที่ลอบมองชายหนุ่มอาบน้ำในตอนนี้กลับเป็นคนปัญญาอ่อนสมองเสื่อมผู้หนึ่ง เมื่อชายหนุ่มผู้นั้นมองมาด้วยสายตาเย็นเยือก นางยังไม่รู้จักหลบเลี่ยง และยังคงเหม่อมองชายหนุ่มดังเดิม
ในตอนนี้เอง คมกระบี่เย็นเยือกก็มาพาดอยู่บนลำคอระหงของหลี่รั่วอวี๋แล้ว
“อย่าขยับ!”
ไม่รู้ว่ามีชายฉกรรจ์ในชุดทะมัดทะแมงผู้หนึ่งโผล่เอากระบี่มาจ่อที่คอหลี่รั่วอวี๋ตั้งแต่เมื่อใด กระบี่ที่แหลมคมกรีดผิวเนียนนั้นเล็กน้อยแล้ว ความเจ็บที่ส่งมาทำให้ในดวงตาโตของนางมีน้ำตารื้นขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว…
ในตอนนี้ชายฉกรรจ์อีกคนก็ยกตะเกียงเล็กดวงหนึ่งขึ้นมา ก่อนจะขยับมาทางหลี่รั่วอวี๋ แสงไฟส่องไปบนใบหน้าของนาง ส่องให้เห็นใบหน้าซีดขาวไร้เรี่ยวแรงนั่น
ชายผมขาวผู้นั้นเห็นหน้าตาผู้บุกรุกอย่างชัดเจนแล้ว ดวงตาที่ฉายประกายสีแดงจางๆ แต่เดิมดูเหมือนเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย เมื่อแสงสีแดงสว่างขึ้น ดวงตาปีศาจคู่นั้นก็ยิ่งทำให้คนไม่กล้าจ้องมองโดยตรง เขายกมุมปากบางขึ้นพลางพูดขึ้นเสียงเข้ม “คุณหนูรอง ไม่เจอกันเสียนานเลย!”
หลี่รั่วอวี๋กะพริบดวงตาที่มีน้ำตา เดิมในใจรู้สึกกลัวและกำลังจะร้องไห้ออกมา แต่คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มผมขาวจะเอ่ยเรียกนางขึ้นมาทันใด นับจากนางฟื้นขึ้นมา บ่าวไพร่สาวใช้ข้างกายล้วนเรียกนางว่า ‘คุณหนูรอง’ ดูแลเอาใจนางเป็นอย่างดี ตอนนี้ได้ยินชายหนุ่มเรียกเช่นนี้ เห็นได้ว่าเขารู้จักนาง ไม่มีทางทำร้ายนาง
เมื่อคิดเช่นนี้ หลี่รั่วอวี๋จึงฉีกยิ้มยิงฟันอย่างขลาดกลัว
แต่รอยยิ้มแสดงความเป็นมิตรนี้พอเข้าไปในตาของชายหนุ่มผู้นั้นกลับเหมือนการท้าทาย ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย ยืนขึ้นจากถังไม้อย่างช้าๆ พร้อมกับเสียงน้ำหยด เผยให้เห็นมัดกล้ามที่แข็งแกร่ง แต่บนร่างสูงใหญ่แข็งแรงนั่นมีบาดแผลสดใหม่เต็มไปหมด
เห็นทีเขาคงได้ยินชื่อเสียงของน้ำพุร้อนที่นี่ จึงมาแช่น้ำเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บเช่นกัน
ภายใต้แสงจันทร์ ชายหนุ่มผู้นี้แม้จะสวมเสื้อคลุมอาบน้ำ แต่เมื่อเสื้อคลุมอาบน้ำเปียกน้ำก็ดูเหมือนไม่ได้สวมอะไรเลย หากเป็นหญิงสาวธรรมดาทั่วไป ตอนนี้คงจะกรีดร้องเลื่อนสายตาหนีแล้ว แต่หญิงสาวที่ถูกคมกระบี่จ่อเอาไว้นี้ กลับยังคงเบิกดวงตาโต จ้องตรงไปใต้ท้องน้อยของเขา…
ชายหนุ่มผมขาวอ้าขายืนนิ่ง มองดูท่าทางของหลี่รั่วอวี๋ แล้วพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ความกล้าของคุณหนูรองไม่ได้ลดลงเลย เดิมทีคิดจะเห็นแก่พระมาตุลาปล่อยเจ้าไปสักครั้ง แต่ในเมื่อเจ้ามาถึงที่เอง ก็ได้แต่โทษชะตาชีวิตแล้ว…”
เขาพูดพลางยื่นมือไปรับมีดสั้นวาววับเล่มหนึ่งที่องครักษ์ด้านข้างยื่นมาให้ คมมีดแหลมนั้นกรีดท้องตัดไส้ หรือควักลูกตาล้วนเป็นอาวุธที่เหมาะมือ
ชายฉกรรจ์ที่เดิมทีคุมตัวหลี่รั่วอวี๋เอาไว้ก็คลายกระบี่ในมือ ปล่อยให้หญิงสาวที่ไม่มีผู้ใดประคองล้มลงคุกเข่าบนพื้น ผู้เป็นนายเสียเชิงมามากเพราะหญิงสาวที่ไร้เรี่ยวแรงนางนี้ ตอนนี้สามารถคลายความคับแค้นใจได้อย่างไม่ง่ายนัก พวกเขาที่เป็นผู้ใต้บัญชาย่อมต้องเห็นดีด้วย ไม่ขัดขวางความสุขของผู้เป็นนาย
หลี่รั่วอวี๋คุกเข่าอยู่บนพื้น เจ็บจนร้องครางเบาๆ แต่นางคิดว่าเป็นเพราะชายหนุ่มผมขาวผู้นี้เอ่ยปาก คนเลวด้านหลังจึงปล่อยมือ ดังนั้นเขาต้องเป็นคนดีแน่นอน ในตอนนี้นางจึงช้อนตามองไปทางชายหนุ่มผมขาวที่มองนางอย่างเย็นชาอยู่ตลอด รู้สึกเพียงว่าดวงตาของเขาคู่นั้นน่าดูมากยิ่งขึ้น แต่เขาได้รับบาดเจ็บมากมายเช่นนี้คงเจ็บมากแน่นอน และคงเจ็บยิ่งกว่าบาดแผลบนลำคอของนางด้วย
ดวงตางดงามอย่างนั้น หากยิ้มออกมาต้องน่าดูยิ่งขึ้น… หลี่รั่วอวี๋ดวงตาเปล่งประกายขึ้นทันใด นึกถึงการเล่นที่เพิ่งเรียนรู้เมื่อตอนเช้าจึงยืนขึ้นอย่างช้าๆ
หลายวันมานี้นางมีสหายใหม่เพิ่มขึ้นไม่น้อย เข้ากับเพื่อนเล่นหลายคนของน้องชายได้ดี จึงเกิดความคิดอยากคบสหายขึ้นมาบ้าง
ในตอนนี้นางจึงยิ้มขัดเขินให้กับชายหนุ่มผมขาว สองมือบิดแขนเสื้อ แล้วขยับไปทางชายหนุ่มอย่างช้าๆ
ชายหนุ่มผมขาวดูเหมือนคาดไม่ถึงที่นางไม่หลบหลีก แต่เดินเข้ามาหาตนเอง แววตานั้นเปล่งประกาย ลดมือที่ถือมีดคมลง อยากดูว่านางคิดจะทำอะไร
เห็นเพียงหญิงสาวผอมบางในที่สุดก็ก้มหน้าเดินมาถึงตรงหน้าเขา ใบหน้าเล็กน่ารักเงยขึ้นเล็กน้อย ยิ้มให้เขาอย่างไร้เดียงสา โน้มตัวยื่นมืองามข้างหนึ่งออกมา นิ้วโป้งกับนิ้วชี้เกี่ยวกัน แล้วยื่นไปที่หว่างขาของเขาช้าๆ สอดผ่านเสื้อคลุมอาบน้ำ จากนั้นก็ดีดนิ้วทันที “คาบ…คาบลูกเจี๊ยบไป…”
เคร้งๆ… ที่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะใสแจ๋วของหญิงสาว ก็คือเสียงดาบและกระบี่ที่ตกลงพื้น
ชายหนุ่มผมขาวช้อนดวงตาแดงก่ำขึ้นช้าๆ มองเห็นทหารฝีมือดีหลายนายของตนเองถือดาบโลหะไว้ไม่อยู่ อ้าปากกว้าง เบิกตาโตเท่าไข่ไก่หัวเราะขัน
ไม่โทษเหล่าผู้ใต้บัญชาที่น้อยนักจะเห็นผู้เป็นนายเสียหน้า… คุณหนูรองหลี่ผู้นี้เป็นบ้าไปแล้วหรือ กล้ามาหยอกล้อผู้มีใบหน้าปีศาจผีเห็นยังหวาดหวั่นจนตัวสั่นทั้งที่ไม่หนาวผู้นี้ และยังใช้วิธีน่าอับอายแบบนั้นด้วย ข้อมือปลายนิ้วของหญิงอ่อนแอผู้หนึ่งสามารถดีดออกดึงกลับได้อย่างเป็นธรรมชาติ ลงมือรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว…
ฉู่จิ้งเฟิงก้มหน้าลง ผมยาวราวน้ำตกปิดบังสีหน้าของเขา ทำให้คนยากจะเดาความคิดในตอนนี้ของเขาได้ เขายื่นมีดในมือออกไป คมมีดเย็นเยือกเชยใบหน้าที่มีรอยยิ้มไร้เดียงสาขึ้นมา แต่บนใบหน้าเล็กนั่นไม่ได้แสดงท่าทางเล่นหูเล่นตา ไม่เหมือนคนที่อยู่ระหว่างความเป็นความตายที่เตรียมจะเอาความบริสุทธิ์มาแลกกับชีวิต…
ตอนนี้แสงไฟส่องสว่าง ส่องกระทบใบหน้าใต้เงามืดของหญิงสาว ดวงตาโตโค้งเป็นรอยยิ้มส่องประกายดึงดูดใจคน ไม่เหมือนครั้งแรกที่นางได้เห็นเขาซึ่งมีผมขาวนัยน์ตาประหลาด ในแววตาฉายความตกใจและมีความรังเกียจแวบผ่าน
หลี่รั่วอวี๋พบว่าชายผู้นั้นไม่เหมือนเสียนเอ๋อร์ผู้เป็นน้องชายที่ยิ้มอย่างเบิกบานตอนป้าจางหยอกเย้า ในใจก็เกิดความสงสัย หรือว่าเมื่อครู่ดีดได้ไม่ดีพอ? นางจึงยกมือขึ้น หามุมจะลองดีดอีกครั้ง
ครั้งนี้ทหารที่รักของฉู่จิ้งเฟิงดึงสติคืนมาได้แล้ว ซือหม่าแห่งต้าฉู่ที่กุมอำนาจทหารหนึ่งฝ่าย จะปล่อยให้ถูกหญิงชาวบ้านหยอกล้ออีกครั้งได้อย่างไรกัน
ทหารใต้บัญชาจึงตะคอกเสียงเข้มขึ้นทันใด “บังอาจ! กล้า…ลอบทำร้ายซือหม่าหรือ!”
เหล่าทหารกำลังจะเข้ามาลากตัวหญิงบ้าตัณหาผู้นั้นออกไป กลับเห็นฉู่จิ้งเฟิงเก็บมีด แล้วยกตัวหญิงสาวขึ้นด้วยมือข้างเดียว กดไว้บนกำแพงหินด้านข้าง ขยับริมฝีปากเข้าใกล้ พูดเสียงเบาข้างใบหูนุ่มนิ่มของหลี่รั่วอวี๋ “คุณหนูรองหลี่ เจ้าเตรียมจะทำอะไรอีก”
หลี่รั่วอวี๋รูปร่างเล็ก ถูกเขายกลอยสูง เท้าเล็กเปลือยเปล่าพยายามแตะปลายเท้าก็ไม่ถึงพื้น รู้สึกเพียงว่าตอนชายหนุ่มพูดข้างหูรู้สึกคันที่ใบหู กลิ่นยาสมุนไพรหอมสดชื่นที่ลอยมาจากบนตัวเขาก็มีกลิ่นน่าดมมาก แต่ตัวลอยอยู่กลางอากาศไม่สบายตัวนัก ตอนนี้จึงยิ้มไม่ออก ขมวดคิ้วและร้องไห้โฮขึ้นมา
หากเพียงแค่ร้องไห้ด้วยความกลัวก็ยังดี แต่คุณหนูในมือเขาผู้นี้ร้องไห้โฮไม่สนใจอะไรเหมือนเด็กๆ
นัยน์ตาประหลาดของฉู่จิ้งเฟิงคู่นั้นฉายความแปลกใจ นิ้วมือเลื่อนเข้าไปช้าๆ กำลังจะแตะน้ำตาหยดใสนั้น แต่ก็ห้ามใจไว้ในที่สุด เขาเคยถูกใบหน้าที่ดูเหมือนอ่อนหวานงดงามนี้ทำให้หลงใหลมาแล้ว… ผลปรากฏว่ากลายเป็นความผิดมหันต์ และความผิดนี้ ชาตินี้เขาจะไม่ยอมทำผิดซ้ำอีก!
เมื่อคิดดังนี้ มือของเขาจึงเลื่อนไปกุมที่คอหอยของนาง…
“ฉู่ซือหม่าโปรดยั้งมือด้วย!” ในช่วงความเป็นความตายนี้ เสียงพูดหนึ่งก็ดังขึ้น
เห็นเพียงเสิ่นหรูป๋อสีหน้าเคร่งเครียดนำคนมาปรากฏกายตรงทางเดินกลางภูเขา
ตกดึกเขาจึงได้รู้ข่าวที่ฉู่จิ้งเฟิงมาเมืองเหลียวเฉิงอย่างลับๆ เพื่อแช่น้ำพุร้อนรักษาอาการบาดเจ็บ แม่ทัพที่กำลังต่อสู้แบ่งแยกดินแดนทางเหนือ เหตุใดจึงต้องมารักษาตัวไกลถึงเจียงหนานด้วย คิดถึงความขัดแย้งก่อนหน้าที่หลี่รั่วอวี๋มีต่อฉู่ซือหม่าผู้นี้แล้ว เสิ่นหรูป๋อก็รู้สึกไม่ค่อยดี เมื่อนึกได้ว่าหญิงสาวสกุลหลี่อยู่ในวัดบนเขา จึงรีบขอให้แม่ทัพที่เฝ้าอยู่นอกเมืองนำกำลังทหารมารับหลี่รั่วอวี๋กลับคฤหาสน์
คิดไม่ถึงว่าตอนมาถึง ปลุกบ่าวหญิงอาวุโสนอกห้องหลี่รั่วอวี๋ตื่นแล้วก็ต้องตกใจที่นางไม่อยู่บนเตียง เสิ่นหรูป๋อลอบคิดในใจว่าแย่แล้ว เขาไม่มีเวลาสนใจฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่ตกใจลนลาน รีบพาคนไปสอบถามบ่าวที่เฝ้าประตูอยู่ หลังจากมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดเข้าออกแล้ว จึงพาคนขึ้นบนภูเขาเล็กหลังเรือน บังเอิญได้ยินเสียงตะโกนร้องไห้ของหลี่รั่วอวี๋จึงรีบรุดมาทันเวลา
ฉู่จิ้งเฟิงช้อนตาขึ้นมองผู้ที่มา ก่อนจะยกข้อมือโยนหลี่รั่วอวี๋ให้กับสมุนของตนเอง จากนั้นยื่นมือไปรับเสื้อคลุมมาสวมเอาไว้อย่างสงบนิ่ง เพราะไม่ได้สัมผัสกับไอร้อนจากน้ำพุร้อน นัยน์ตาสีแดงประหลาดนั้นจึงค่อยๆ จางลงกลับเป็นสีเหมือนปกติ แต่ไอสังหารบนตัวเขาที่มีมาตั้งแต่เกิดยังคงทำให้คนตัวสั่นทั้งที่ไม่หนาว เขาเหลือบมองคุณชายรองเสิ่นแวบหนึ่งแล้วพูดอย่างเย็นชา “เจ้าเป็นผู้ใด คู่ควรจะมาสั่งข้าด้วยหรือ”
รูปโฉมของเขาเดิมก็ต่างจากคนทั่วไปอยู่แล้ว ไอสังหารที่ซึมซับจากสนามรบมาหลายปีจึงยากจะปิดบังได้ เหล่าทหารที่เดินตามหลังเสิ่นหรูป๋อเห็นแล้วก็ใจสั่นอย่างห้ามไม่อยู่
เสิ่นหรูป๋อยังนับว่าสงบนิ่ง คำนับอีกฝ่ายแล้วพูดว่า “ข้าน้อยเสิ่นหรูป๋อเป็นผู้ช่วยเสนาบดีกองชลประทานกรมโยธาที่พระมาตุลาไป๋เป็นผู้แต่งตั้ง”
ฉู่จิ้งเฟิงส่งเสียงสบถพลางกวาดมองเสิ่นหรูป๋อแวบหนึ่งด้วยแววตาเย็นชา ราวกับว่าเสียงสบถนั้นก็เพียงพอจะแสดงการดูหมิ่นได้มากกว่าคำพูดแล้ว
ทว่าทหารของเขากลับไม่เกรงใจ พูดด้วยน้ำเสียงเหน็บแนมขึ้นว่า “ที่แท้ก็คู่หมั้นคุณหนูรองหลี่นี่เอง เรือเล็กน้ำตื้นที่คุณหนูรองหลี่ออกแบบเข้าตาพระมาตุลาไป๋ พลอยทำให้สุนัขระกาเยี่ยมวิมาน* ตามไปด้วย…”
เสิ่นหรูป๋อขบกราม ได้ยินมาว่าฉู่ซือหม่าผู้นี้ไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตา วันนี้ได้มาเห็นเองช่างสมคำเล่าลือจริงๆ
น่าเสียดายที่ที่นี่ไม่ใช่เมืองโม่เหอ ฉู่ซือหม่ามังกรแกร่งตัวนี้ต้องหวั่นเกรงบ้าง คิดถึงตรงนี้ เขาจึงเอ่ยพูดเสียงเรียบ “ข้าน้อยรู้ว่ารั่วอวี๋ล่วงเกินฉู่ซือหม่าไว้มาก แต่สองเดือนก่อนนางไม่ระวังตกหลังม้า หัวได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้เป็นเหมือนคนปัญญาอ่อน หวังว่าฉู่ซือหม่าจะไม่ถือสาหญิงสมองเสื่อม ให้อภัยในการเสียมารยาทของนางด้วย…”
ฉู่จิ้งเฟิงฟังถึงตรงนี้ดวงตาหงส์ก็หรี่ลง ก่อนจะหันไปมองหลี่รั่วอวี๋อีกครา ประกายในดวงตาถูกขนตางอนยาวนั้นบดบังไว้ ทำให้มองไม่ออกว่าในใจเขาคิดอะไรอยู่
เสิ่นหรูป๋อแม้ปากจะพูดอย่างนอบน้อม แต่ดวงตายังคงทนไม่ไหวมองไปทางหลี่รั่วอวี๋ที่ถูกคุมตัวไว้ เห็นนางร้องไห้จนหายใจหอบไม่ทัน ใบหน้าขาวเปียกชื้น ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นไร้ทางช่วย
“อ้อ? ข้าเพิ่งมาถึงที่นี่ คุณหนูรองหลี่ก็ได้รับบาดเจ็บหนักแบบนี้ เช่นนั้นเรื่องที่นางรับปากข้าก่อนหน้านี้ว่าจะเร่งทำเรือเดินทะเลให้ก็เป็นไปไม่ได้แล้วสิ อาการสมองเสื่อมนี่ช่างบังเอิญเสียจริง…”
ฉู่จิ้งเฟิงเห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ บนใบหน้าค่อยๆ เย็นเหมือนน้ำแข็ง “ครั้งนี้ข้ามารักษาอาการบาดเจ็บที่เมืองเหลียวเฉิง พาหมอชื่อดังมาด้วยหลายท่าน คงต้องลองรักษาอาการให้คุณหนูรองแล้ว ดูว่าไปอุดเส้นความฉลาดเส้นใดกันแน่”
ในคำพูด เขาได้สื่อความหมายแล้วว่าจะพาตัวหลี่รั่วอวี๋ไปด้วย
เสิ่นหรูป๋อมีหรือจะยอม “ความหวังดีของซือหม่า ข้าน้อยขอขอบคุณแทนคุณหนูรอง แต่นางเป็นหญิง และกำลังจะแต่งงานกับข้าน้อย ถ้าซือหม่าพาตัวนางไปเช่นนี้ เกิดข่าวลือออกไปมิเสื่อมเสียชื่อเสียงของฉู่ซือหม่าหรือ ข้าน้อยรู้ว่าฉู่ซือหม่ากับพระมาตุลาไป๋ตอนนี้กำลังร่วมแรงร่วมใจต่อต้านหยวนซู่ ถ้าใต้เท้าต้องการเรือรบ ข้าน้อยจะพยายามทำอย่างเต็มที่แน่นอน แม้รั่วอวี๋จะป่วย ก็ไม่กล้าให้เสียงานแผ่นดินเด็ดขาด พระมาตุลาไป๋ก็ให้คนส่งสารมาสั่งขุนนางเมืองเหลียวเฉิงต้อนรับท่านซือหม่าให้ดี ตอนนี้การศึกทางเหนือขาดเรือรบอย่างมาก การเร่งต่อเรือจะเสียเวลาไม่ได้ มีภารกิจมากมายต้องให้อู่เรือของคฤหาสน์สกุลหลี่ออกแรงช่วย… หวังว่าท่านซือหม่าจะไว้หน้าสกุลหลี่ในครั้งนี้ด้วย”
เสิ่นหรูป๋อเป็นคนสุขุม พูดจาไม่มีข้อบกพร่องใด ฉู่จิ้งเฟิงได้ฟังคำของเขาแล้วก็ต้องหันมามองเขาใหม่อีกครั้ง
เขากับสกุลไป๋สู้กันทั้งในที่แจ้งและที่ลับ แต่ในราชสำนักแม้จะมีการปัดแข้งปัดขาก็ยังมีช่วงเวลาต้องหลอกใช้กันเช่นกัน ตอนนี้เพราะกองทหารของหยวนซู่ เขากับพระมาตุลาไป๋จึงร่วมมือกันชั่วคราว รักษาความสามัคคีกันแค่เปลือกนอกไว้
และด้วยหลี่รั่วอวี๋ผู้นี้เป็นกำลังของพระมาตุลาไป๋ เขาจึงคิดถึงสภาพการณ์โดยรวม สะกดความแค้นในใจที่มีต่อหลี่รั่วอวี๋เอาไว้ชั่วคราว
ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว พิษในร่างของเขายังไม่จางหาย ยังมิอยากถูกขุนนางท้องถิ่นเหล่านี้ทำให้เสียเวลา ส่วนสำหรับหลี่รั่วอวี๋นั้น… ฉู่จิ้งเฟิงยิ้มเย็นชามองนางอีกครั้ง
อยู่ดินแดนทางเหนือที่เหน็บหนาวมานาน กลับยิ่งรู้สึกถึงความงดงามของเมืองเก่าแก่แถบเจียงหนาน เขาต้องพักอยู่ที่เจียงหนานนี้สักระยะ วันเวลายังอีกยาวนาน ตอนนี้เขามีเวลามากพอจะ ‘รำลึกความหลัง’ กับคุณหนูรองหลี่มากเล่ห์ผู้นี้แล้ว
คิดถึงตรงนี้ เขาจึงโบกมือช้าๆ อย่างเกียจคร้านพลางเอ่ยปากพูดว่า “อีกสองสามวันข้าจะจัดงานเลี้ยงคนมีชื่อเสียงที่ที่พักรับรองเมืองเหลียวเฉิง หวังว่าคุณหนูรองหลี่จะไปร่วมงาน จะได้ช่วยตรวจอาการให้ ถ้าคุณหนูรองหลี่สามารถหายได้ ‘ทันที’ ภายในไม่กี่วันนี้นั่นก็ดีที่สุด ข้าก็สามารถรำลึกความหลังกับนางได้ ไม่อย่างนั้น ถ้าพบในภายหลังว่ามีคนคิดจะทำตัวบ้าๆ บอๆ มาหลอกข้า…”
พูดถึงตอนนี้ ฝ่ามือของเขาก็ออกแรงจนมีดในมือถึงกับหักเป็นสองท่อนในทันที!
ไม่รอให้เสิ่นหรูป๋อตอบ เขาก็ส่งสัญญาณให้คนใต้บัญชาปล่อยหลี่รั่วอวี๋ แล้วพาคนใต้บัญชาเดินจากไป
จนกระทั่งกลุ่มคนเดินหายไปตรงปากทางเขา เสิ่นหรูป๋อจึงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ ปกติซือหม่าผู้นี้มีนิสัยประหลาด เข้าหาได้ยากที่สุด เมื่อครู่ตอนเห็นเขาบีบคอหลี่รั่วอวี๋ด้วยแววตาฉายไอสังหาร เสิ่นหรูป๋อก็ลอบปาดเหงื่อในใจ
เขารีบเดินเข้าไปหลายก้าว ก่อนจะถอดเสื้อกันลมออกมาคลุมตัวหลี่รั่วอวี๋ที่กำลังตัวสั่นเทา และช้อนอุ้มนางขึ้นมาแล้วรีบเดินลงจากเขาไป
ทว่าเขาไม่ได้อุ้มหลี่รั่วอวี๋กลับไปที่สวนถิงหลิน แต่เดินอ้อมทางเขาอุ้มนางมาถึงบนรถม้าที่จอดอยู่ตรงหน้าประตูวัด เขาหมุนตัวไปพูดกับเสิ่นโม่ที่เดินตามมาว่า “เจ้าไปบอกฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ว่าคุณหนูรองไม่เป็นอะไร เพียงแต่ตกใจเล็กน้อย นอกเมืองมีหมอชื่อดังมา ข้าจะพานางไปดูอาการ ตอนนี้นางคงกลับคฤหาสน์สกุลหลี่ไม่ได้ ต้องหลบเลี่ยงฉู่ซือหม่าสักพัก ขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่สบายใจได้ ข้าจะดูแลคุณหนูรองให้ดี”
จากนั้นเขาก็ขึ้นนั่งบนรถม้า สั่งคนรถให้เคลื่อนม้า มีบ่าวชายหลายคนติดตาม แล้วเดินทางอย่างรวดเร็วไปยังคฤหาสน์เปลี่ยวร้างห่างไกลแห่งหนึ่งนอกเมือง
กำแพงคฤหาสน์แห่งนี้สูงตระหง่าน รอบด้านไม่มีบ้านคน ผู้เฒ่าตาเดียวผู้หนึ่งได้รับแจ้งก็รีบเปิดประตูเหล็กหนาหนักให้เสิ่นหรูป๋ออุ้มหญิงสาวที่หลับสนิทเข้าไปข้างใน
รอจนเขาเข้ามาในเขตรั้ว เรือนทรงชาวนาที่ดูเหมือนไม่มีอะไรประหลาดก็ค่อยๆ เผยให้เห็นความลี้ลับ ในลานบ้านมีคนคุ้มกันเรือนยืนอยู่ ส่วนประตูหน้าต่างห้องนอนก็มีราวเหล็กหนากั้น เมื่อเข้าไปในห้องนอนก็พบว่าเครื่องใช้ที่จัดวางไว้ล้วนสะอาดเอี่ยม เตียงใหญ่มุมโค้งมนนั้นดูสะดุดตาอย่างมาก
ที่นี่…หากจะเรียกว่าห้องนอน เรียกว่าคุกน่าจะเหมาะสมกว่า
เพราะเหตุไม่คาดคิดเมื่อสองเดือนก่อน ‘คฤหาสน์กรงเหล็ก’ ส่วนตัวที่บรรจงตกแต่งไว้แต่แรกนี้จึงไม่มีโอกาสได้ใช้งาน คิดไม่ถึงว่าเพราะการมาถึงอย่างกะทันหันของฉู่จิ้งเฟิงผีเห็นยังหวั่น ทำให้ได้ใช้งานอีกครั้ง…
เสิ่นหรูป๋อวางหญิงสาวที่ตกใจเกินไปจนนอนหมดสติลงบนเตียงใหญ่นั้นอย่างเบามือ แล้วสั่งให้บ่าวหญิงอาวุโสที่เป็นใบ้ต้มน้ำร้อน จากนั้นยกเข้ามาหนึ่งอ่าง
เสิ่นหรูป๋อโบกมือเป็นสัญญาณให้นางวางอ่างน้ำลงแล้วถอยออกไป จากนั้นจึงบิดผ้ามาเช็ดเท้าเปล่าคู่งามของหลี่รั่วอวี๋ที่สกปรกเพราะเดินย่ำพื้น
หลังจากนั้นเท้านุ่มนิ่มก็ค่อยๆ กระดุกกระดิก หลี่รั่วอวี๋ขยับเท้าอย่างไม่สบายตัว ปรือตาขึ้นกะพริบๆ เหมือนจะพูดบ่นอะไร แล้วหลับตาลงนอนหลับไปอย่างเงียบๆ อีกครั้ง ท่าทางนอนหลับสนิทเหมือนเด็กอ่อนไร้การระแวดระวังตัวอยู่ในสายตาของเสิ่นหรูป๋อแล้ว ทำให้หัวใจของเขาเหมือนมีประกายไฟไหวระริก
เขาอดใจไม่ไหวค่อยๆ ลูบไปบนเท้าเปลือยเปล่านวลเนียนนั้นแล้วจุมพิตเบาๆ บนหลังเท้าขาวผ่องแผ้ว… นางปัญญาอ่อนไปก็ดีเหมือนกัน ริมฝีปากสดใสนั้นคงไม่พ่นคำพูดตัดเยื่อใยที่ทำให้ฟังแล้วอยากจะหักสองขาของนางออกมาอีก ความคิดที่ยากจะจับต้องได้ก็เปลี่ยนเป็นกระจ่างใสราวกับสายน้ำ…
นางหลี่รั่วอวี๋เป็นคนของเสิ่นหรูป๋อ เมื่อก่อนเป็น ต่อไปก็ต้องเป็นเช่นกัน!
ตอนฉู่จิ้งเฟิงกลับถึงที่พักรับรอง เห็นกวนป้าคนใต้บัญชามีท่าทางประหลาด อยากจะพูดแต่ก็หยุดไป จึงนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่แล้วถามเสียงเอื่อยว่า “มีเรื่องอะไรจะรายงานหรือ”
กวนป้าทนแล้วทนอีก สุดจะทนจึงเอ่ยปากพูดว่า “ซือหม่า ท่าน…มีตรงไหนไม่สบายตัวหรือไม่”
ฉู่จิ้งเฟิงมองสายตาคนใต้บัญชาที่มองดูกายส่วนล่างของเขาก็อดไม่ไหวคิดถึงฉากถูกดีดเจ้าจำปีบนเขาขึ้นมาจึงมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที “สารเลว เจ้าจะพูดอะไร”
กวนป้าพูดด้วยสีหน้าอมทุกข์ “นางเจ้าเล่ห์อันตราย ไม่แน่ว่าอาจจะแกล้งบ้ามาวางยาท่านซือหม่าก็ได้… ต้องระวังเอาไว้ดีกว่า นางดีดไปที่ตรงนั้น เห็นได้ว่ามีจุดประสงค์บางอย่าง จะให้ข้าน้อยหาสาวงามมาให้ท่านซือหม่าลอง… ลอง…”
ครึ่งประโยคหลังที่ว่า ‘ลองดูว่ายังใช้การได้หรือไม่…’ เขาไม่กล้าพูดออกมา เพราะสีเลือดในดวงตาซือหม่าของเขาเริ่มทะลักขึ้นมาแล้ว…
ขอเพียงเป็นศัตรูของใบหน้าปีศาจผีเห็นยังหวั่น ไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าหากเห็นสีเลือดในดวงตาของฉู่ซือหม่าก็คือต้องการชีวิตผู้นั้น ต่อให้เขากินหัวใจหมีดีเสือมาก็ไม่กล้าทำให้นายของตนเองโกรธ นับประสาอะไรกับข้อเสนอของเขาที่แม้แต่ตนเองคิดก็ยังรู้สึกขำ
ฉู่จิ้งเฟิงไม่ชอบเรื่องสาวงามมาแต่ไหนแต่ไร ชายหนุ่มผู้เย็นชา ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความไร้ปรารถนา เขาติดตามข้างกายผู้เป็นนายมานาน บางครั้งยังอดสงสัยไม่ได้ว่านายของตนเองเป็นโรคอะไรที่ยากจะพูดได้หรือไม่ ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่สนใจสาวงามนางไหนเลย
หนึ่งเดียวที่เป็นข้อยกเว้น คงจะเป็นคุณหนูรองหลี่ผู้นั้น
ตอนแรกที่ผู้เป็นนายเชิญคุณหนูรองหลี่มาต่อเรือให้ ก็ได้มอบภารกิจขนส่งสัมภาระการทหารสามเหล่าทัพให้แก่ขบวนสินค้าสกุลหลี่อีกด้วย
ท่านซือหม่าของเขายากนักจะจัดงานเลี้ยงเชิญคุณหนูรองหลี่สักครั้ง พูดตามความจริง คุณหนูรองหลี่ผู้นั้นเป็นคนที่โดดเด่น แม้จะเป็นสตรี แต่การพูดจากิริยาดูงามสง่า เกิดมาจากครอบครัวพ่อค้าทว่าแม้แต่ท่านซือหม่าผู้เย็นชาก็ยังมองนางด้วยสายตาชื่นชม
ช่วงเวลานั้นท่านซือหม่าราวกับถูกปีศาจเข้าครอบงำ แม้จะอยู่ห่างไกลแต่ก็หาข้ออ้างดูความคืบหน้าของการต่อเรือรบไปพบหน้าคุณหนูรองหลี่ที่อู่เรือ
ต่อมาในอู่เรือมีคนร้ายบุกเข้ามาคิดจะเอาชีวิตของคุณหนูรองหลี่ ท่านซือหม่าขวางกระบี่ที่หมายเอาชีวิตนั้นแทนนาง และไล่สังหารพวกคนร้ายเหล่านั้น
หากเป็นคนที่เข้าใจความรักเข้าใจคุณธรรม ก็ควรจะมอบกายถวายตัวเพื่อทดแทนบุญคุณด้วยตนเอง ทว่าทั้งที่ท่านซือหม่าสู้อุตส่าห์แสดงความรู้สึกดีให้ แต่นางกลับปฏิเสธอย่างไม่ลังเล พูดเพียงว่าตนเองได้ทำการหมั้นหมายที่บ้านเกิดไว้แล้ว ไม่สามารถรับความปรารถนาดีจากท่านซือหม่าได้!
ฟังดูสิ! ช่างไม่รู้ดีรู้ชั่ว! ทุกครั้งที่คิดถึงสีหน้าแข็งกระด้างตอนถูกหญิงผู้นี้ปฏิเสธ กวนป้าก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจแทนผู้เป็นนาย
ท่านซือหม่ามีความหยิ่งทะนง หลังจากถูกคุณหนูรองหลี่ปฏิเสธย่อมไม่มาเกาะแกะนางอีก และไม่ได้หาข้ออ้างมาหาเรื่อง แม้จะไม่มาพบหน้าคุณหนูรองหลี่อีก แต่ภารกิจการขนส่งสัมภาระการทหารก็ยังมอบให้สกุลหลี่ไปทำ
แต่หญิงใจคอโหดร้ายผู้นี้กลับร่วมมือกับสกุลไป๋ จงใจถ่วงกำหนดการส่งสินค้า ทำให้ท่านซือหม่าอยู่แนวหน้าต้องเอาตัวไปเสี่ยงบุกทะลวงวงล้อมและถูกพิษประหลาด ทำให้ผมขาวไปภายในคืนเดียว
ตอนคุณหนูรองหลี่เอาสัมภาระการทหารมาส่งและขอโทษหน้าค่ายใหญ่ของผู้เป็นนาย หญิงผู้นั้นเห็นหน้าตาของผู้เป็นนายเช่นนี้ กลับมีท่าทีรังเกียจ… กวนป้าคิดถึงตรงนี้ก็ขบกรามแน่น
แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่ผู้เป็นนายก็ไม่ได้ฆ่านางให้ตายในดาบเดียว เพียงแค่ฆ่าม้าในขบวนสินค้าของนาง เผาทำลายรถม้าและไล่นางออกจากค่ายใหญ่ ประกาศว่าต่อไปอย่าได้มาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีก
เฮ้อ ผู้เป็นนายมีเมตตาเกินไปหน่อย ไม่เช่นนั้นจะถูกดีดอย่างดูหมิ่นในวันนี้ได้อย่างไร
ฉู่จิ้งเฟิงแค่นเสียงสบถเย็นชา มองท่าทางของกวนป้าที่ถูกตนเองถลึงตาใส่จนตกใจไม่กล้าพูดอะไรอีก แล้วลุกขึ้นเดินไปที่กลางลาน หยิบกระบี่ออกมาจากแท่นวางกระบี่แล้วตวัดร่ายรำอย่างคล่องแคล่วใต้แสงจันทร์ ทุกที่ที่ปลายกระบี่ชี้ไปเกิดเป็นลมแรงเย็นเยือกบีบใจคน
ใช้การได้หรือไม่ มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ พอคิดถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น ช่วงล่างของเขาก็เกิดความร้อนรุ่มขึ้นมาเล็กน้อย…
สิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมเสียงป๊อก คือแท่นวางกระบี่ที่ทำจากไม้ถูกเขาผ่าออกเป็นสองส่วนในหนึ่งกระบี่ “สตรีสมควรตาย มีคู่หมั้นอยู่แล้วยังมายั่วยวนข้าแบบนี้ ช่างใจโลเลจริงๆ! ถ้านางตกมาอยู่ในมือข้า…”
จู่ๆ ฉู่จิ้งเฟิงก็ไม่อยากคิดต่อไป เพียงแค่ร่ายรำกระบี่ในมืออย่างรวดเร็วเย็นเยือก ไล่ใบหน้าเล็กยิ้มสดใสที่ปรากฏตรงหน้านั้นให้สลายไป…
หลังจากฝึกวิชากระบี่เสร็จหนึ่งชุด ชายหนุ่มใต้แสงจันทร์นั้นมีไอความร้อนแผ่กระจายไปทั่วร่าง เขาเอ่ยสั่งกวนป้าที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเย็นชา “ไป! สืบดูว่าหลี่รั่วอวี๋นั่นเกิดเรื่องขึ้นจริงหรือไม่”
เมื่อฟ้าสาง หญิงสาวบนเตียงใหญ่ก็ตื่นขึ้น
พอตื่นมาพบว่าตนเองอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่แปลกตาแห่งหนึ่ง ความหวาดกลัวก็พุ่งขึ้นในหัวใจ หลี่รั่วอวี๋อยากร้องไห้ แต่ก่อนนอนร้องไห้มากเกินไป หางตาจึงรู้สึกเจ็บเล็กน้อย อยากจะบีบน้ำตาออกมาสักนิดก็เป็นเรื่องที่เสียแรงมาก
นางกะพริบตาหลายครั้ง ก่อนจะขยับมาข้างเตียงช้าๆ บนพื้นมีรองเท้าสวมเล่น ที่พื้นรองเท้าเป็นผ้าไหมอ่อนนุ่ม นางสวมรองเท้าเดินมาถึงข้างหน้าต่าง พบว่าบนหน้าต่างนั้นมีราวเหล็กหนาหลายเส้น
หลี่รั่วอวี๋รู้สึกว่ามันคล้ายกับกรงที่ใช้ขังนกแก้วขนเขียวในห้องของนางมาก แต่ตอนนี้ห้องที่เหมือนกรงนี้คนที่ถูกขังคือนาง
ในลานบ้านนอกห้อง มีผู้เฒ่าตาเดียวผู้หนึ่งกวาดลานอยู่ ดูหน้าแล้วก็เป็นคนที่นางไม่รู้จักเช่นกัน หลังเขย่าราวเหล็กอย่างเสียแรงเปล่าไปหลายที นางจึงขยับตัวไปข้างประตูช้าๆ ตอนที่มาถึงประตูห้อง พบว่าข้างนอกก็มีประตูราวเหล็กอีกชั้นหนึ่ง
ตอนนี้ไม่มีประตูทางเดินอิสระแล้ว ในตอนที่ดวงตานางมีน้ำตาเอ่อขึ้นมาอีกครั้ง เสิ่นหรูป๋อก็มาปรากฏตัวที่ปากประตู มือถือข้าวต้มเห็ดหอมเนื้อไก่ฉีกร้อนๆ พอเห็นหลี่รั่วอวี๋ยืนอยู่ที่ประตู เขาจึงฉีกยิ้มกล่าว “เจ้าตื่นแล้วหรือ กินอาหารได้พอดี”
ตอนที่พูด บ่าวที่อยู่ข้างกายเขาก็จับกลอนเหล็กที่ประตู และเปิดประตูออกให้เสิ่นหรูป๋อเดินเข้าไป
“ข้าวต้มนี้ใช้น้ำกระดูกหมูต้ม ข้าสั่งให้คนพัดให้มันเย็นลงหน่อยแล้ว เช่นนี้เจ้าก็กินได้เลย”
พอเขาพูดจบและเงยหน้าขึ้น กลับพบว่าหญิงสาวยืนอยู่ไกลจากเขามาก ใบหน้าระแวดระวังไม่คลาย
เขาคนข้าวต้มในถ้วย จากนั้นก็ยกถ้วยเดินมาใกล้ตรงหน้านาง ตักหนึ่งช้อนแล้วพูดว่า “เด็กดี อ้าปาก”
แต่ช้อนนั่นกลับถูกหลี่รั่วอวี๋ปัดทิ้งอย่างแรงและตกลงบนพื้น ดวงตากลมเปล่งประกายคู่งามที่จ้องมองเขา เต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจและโมโห
เสิ่นหรูป๋อปัดเศษข้าวต้มที่กระเด็นติดบนตัวออกเบาๆ ทันใดนั้นก็ยื่นมือไปกุมมืองามของนาง แรงบนมือหนักมาก แต่ปากกลับพูดอย่างอ่อนโยนดังเดิม “รั่วอวี๋ไม่เชื่อฟังอีกแล้ว ท่านแม่เจ้าเอาใจเจ้าจนเคยตัว นิสัยขี้โมโหจึงได้รุนแรงขึ้น…”
หลี่รั่วอวี๋รู้สึกเพียงว่ามือถูกกุมจนเจ็บมาก ทั้งร่างถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอดของเขาอย่างบังคับไม่ได้ ชายผู้นี้มักจะแสดงท่าทางอ่อนโยนสุภาพต่อหน้ามารดา แต่ทุกครั้งที่อยู่ตามลำพังกับนาง สายตานั้นมักเหมือนจะกลืนกินนางลงท้อง นางรู้สึกไม่ชอบเลย เหตุใดตอนมารดากับน้องชายไม่อยู่ต้องทิ้งนางไว้กับเขาเพียงผู้เดียวด้วย
เสิ่นหรูป๋อมองดูหญิงสาวในอ้อมกอดที่เหมือนกวางน้อยตื่นตกใจ โดยเฉพาะริมฝีปากแดงราวย้อมด้วยสีกุหลาบนั้น ก่อนจะโน้มหน้าลงไปช้าๆ…
ในตอนนี้เอง นอกประตูมีคนพูดเสียงเบาว่า “คุณชายรอง คุณหนูสามหลี่มาถึงแล้ว รออยู่ห้องชั้นนอกขอรับ”
เสิ่นหรูป๋อขมวดคิ้วแล้วคลายออกอีกครั้ง คนเข้ามาในคฤหาสน์ของเขาแล้ว จะเด็ดดมเมื่อใดก็เป็นเรื่องง่าย เหตุใดต้องร้อนใจให้ได้ตอนนี้เล่า! ดังนั้นเขาจึงคลายมือที่ตรึงนางเอาไว้ หลังจากสั่งให้นางกินข้าวต้มอย่างอ่อนโยนแล้วก็เดินออกจากห้องและตรงไปที่ห้องชั้นนอกทันที
บทที่สาม
หลี่เสวียนเอ๋อร์รู้จักที่นี่ย่อมไม่แปลก ตอนแรกตามแผนการ เดิมทีควรเป็นนางที่หลอกพี่รองของตนเองมาที่นี่ แต่ตอนนี้ที่นางมาที่นี่กลับไม่ใช่เป็นการทำไปตามแผนของเสิ่นหรูป๋อ
หลี่เสวียนเอ๋อร์พาอิงเถาสาวใช้ประจำตัวมาเพียงคนเดียว โดยใช้ข้ออ้างว่าไปที่ร้านเครื่องแป้งเพื่อเลือกซื้อชาดทาแก้ม ออกจากคฤหาสน์สกุลหลี่แล้วก็จ่ายเงินจ้างรถม้ารับจ้างคันหนึ่งจึงมาถึงที่นี่ได้
ตอนที่เห็นร่างสูงใหญ่ของเสิ่นหรูป๋อปรากฏที่ประตู ดวงตาของนางก็เปล่งประกาย ก้าวเข้าไปหาเขาพลางร้องเรียก “คุณชายรองเสิ่น!”
เสิ่นหรูป๋อยกมือขึ้นขวางกิริยาที่นางคิดจะโผเข้ามากอด ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผู้ใดให้เจ้ามาที่นี่”
ความห่างเหินอย่างไม่ปิดบังของเขาทำให้หลี่เสวียนเอ๋อร์ต้องกัดริมฝีปาก นางพูดด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความคับแค้นใจ “คุณชายรอง เหตุใดเสวียนเอ๋อร์จึงรู้สึกว่าท่านเปลี่ยนไป”
เสิ่นหรูป๋อนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง เทน้ำชาให้นางหนึ่งถ้วยแล้วถามว่า “เจ้ามาได้อย่างไร ฮูหยินผู้เฒ่าไม่รู้หรือ ระหว่างทางมีผู้ใดตามมาหรือไม่”
หลี่เสวียนเอ๋อร์รับถ้วยชาไป ในใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นพลางตอบเสียงเบา “วางใจได้ ไม่มีผู้ใดรู้ ข้าจ้างรถม้าอีกคันมา… ตอนนี้เรื่องของท่านกับข้ามีบทสรุปหรือยัง”
เสิ่นหรูป๋อพูดโดยหลบสายตา “ตอนนี้พี่รองของเจ้าเป็นแบบนี้ ถ้าคนนอกรู้ว่าก่อนหน้านี้เจ้ากับข้ามีความสัมพันธ์กันจะไม่ถูกคนด่าจนป่นปี้หรือ ต้องให้พี่รองของเจ้าแต่งเข้าบ้านก่อน จึงจะใคร่ครวญเรื่องของเจ้าได้”
หลี่เสวียนเอ๋อร์เม้มริมฝีปากแน่น “ตอนนี้ข้าท้องได้สามเดือนแล้ว ท้องเริ่มมีให้เห็นแล้ว ทำได้เพียงใช้เสื้อตัวหลวมมาอำพราง ถ้าประวิงเวลาต่อไป คนทั้งคฤหาสน์ก็ต้องรู้เรื่องน่าเกลียดนี้อยู่ดี… ตอนแรกพูดกับข้าไว้อย่างไร ขอเพียงจับตัวนางแล้วแกล้งทำเป็นว่าถูกโจรจับไปเป็นตัวประกันแล้วโดนฆ่าก็พอ ถึงตอนนั้นท่านก็สามารถควบคุมการค้าของสกุลหลี่ได้ และสามารถแต่งข้าเข้าบ้านได้อย่างถูกต้อง แต่ตอนนี้เพราะพี่รองป่วย หน้าร้านกับขบวนเรือตกมาอยู่ในมือของท่านกว่าครึ่ง นางกลายเป็นคนไร้ประโยชน์แล้ว ท่านจะเก็บนางไว้ด้วยเหตุใดกัน ตอนแรกท่านทำบัญชีปลอมฮุบเงินสินค้าก้อนใหญ่ของสกุลหลี่เพื่อปูเส้นทางการเป็นขุนนางของพี่ชาย และลอบวางแผนร่วมกับพระมาตุลาไป๋ จงใจถ่วงเวลาการขนส่งสัมภาระการทหารของขบวนสินค้าสกุลหลี่ ถ้าเรื่องทั้งหมดถูกพี่รองรู้เข้า คนที่เคร่งครัดอย่างนางคงจะยกเลิกการหมั้นกับท่าน ท่านก็ยกเลิกไปตามน้ำก็ดีแล้ว เหตุใดต้องดื้อดึงไปแต่งงานกับคนสมองเสื่อมนั้นด้วยเล่า หรือว่าท่านยังชอบนางอยู่อย่างนั้นหรือ”
เสิ่นหรูป๋อไม่ได้พูดอะไร ดวงตาที่ปิดลงครึ่งหนึ่งกลับฉายไอสังหาร หญิงผู้นี้รู้มากเกินไปแล้ว เก็บนางไว้รังแต่จะเป็นภัย ถึงแม้ในท้องนางจะมีเลือดเนื้อของเขา แต่ก็เป็นผลที่เกิดหลังจากเขากับรั่วอวี๋ทะเลาะกัน และดื่มสุรากับหญิงผู้นี้เมามายจนเกิดเรื่อง
แม้จะเสียดายอยู่บ้าง แต่ภายหน้ารั่วอวี๋ต้องให้กำเนิดลูกได้มากกว่านี้… ฉวยโอกาสเหมาะในตอนนี้ลงมือกำจัดนางเสียจะดีกว่า…
แม้ว่าเขาจะมีความคิดต้องการฆ่า แต่บนใบหน้าหล่อเหลากลับไม่มีความเปลี่ยนแปลง ยังพูดอย่างอ่อนโยนตามเดิม “ตอนนี้กรมโยธาดูแลเรื่องการต่อเรือใหญ่ แต่ภาพผังต่อเรือที่พี่รองของเจ้าให้ข้าในตอนแรกยังไม่สมบูรณ์ กลไกใบพายต้านกระแสน้ำใต้ห้องเครื่องยังว่างเปล่า ย่อมต้องร่วมมือทำงานกับสกุลหลี่ต่อไป ว่าแต่ว่าคนที่ตามเจ้ามา มีแต่สาวใช้ชื่ออิงเถานั่น ไม่มีผู้อื่นแล้วหรือ โจวอี๋เหนียงรู้หรือไม่ว่าเจ้ามาที่นี่”
หลี่เสวียนเอ๋อร์ไม่สังเกตเห็นไอสังหารของเสิ่นหรูป๋อ ได้ฟังคำพูดนี้แล้วในดวงตาก็ฉายความได้ใจ “พูดไปแล้ว สิ่งที่ท่านต้องการก็คือตำราเรือย่ำคลื่นที่ตกทอดจากบรรพบุรุษสกุลหลี่ แต่นางกลายเป็นคนสมองเสื่อมไปแล้ว แม้จะเคยเป็นยอดฝีมือในการต่อเรือมาก่อน ตอนนี้ก็เป็นเพียงเศษสวะผู้หนึ่ง ถ้าท่านจะฝากความหวังไว้ที่นาง สู้มาขอร้องข้าให้มากๆ จะดีกว่า!”
เสิ่นหรูป๋อได้ฟังคำก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย หันมองนางเต็มตาเป็นครั้งแรก “ความหมายของเจ้าคือ?”
“ตำราเรือย่ำคลื่น เคล็ดวิชาที่ตกทอดจากบรรพบุรุษสกุลหลี่อยู่ที่ข้า!” หลี่เสวียนเอ๋อร์เลิกคิ้วขึ้นพลางกล่าวเสียงเน้นหนัก
คำพูดนี้ทำให้เสิ่นหรูป๋อมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาจ้องหลี่เสวียนเอ๋อร์เขม็งแล้วพูดว่า “เคล็ดวิชาสกุลหลี่ไม่ให้ผู้ใดเห็นง่ายๆ แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เองก็ยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด เจ้าจะได้มาง่ายๆ ได้อย่างไรกัน”
หลี่เสวียนเอ๋อร์ได้ฟังคำพูดนี้แล้วยิ่งมั่นใจว่าตนเองวางเดิมพันด้วยของที่ถูกต้องแล้ว เสิ่นหรูป๋อไปสอบถามฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มาแล้วจริงๆ เขาต้องร้อนใจอยากได้ตำรามหัศจรรย์ในการต่อเรือเล่มนี้แน่นอน ในตอนนี้นางจึงสบายใจขึ้น นั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างพลางพูดเสียงเบาว่า “พี่รองมีกุญแจดอกหนึ่งคล้องคอไว้ตลอด แม้ตอนอาบน้ำก็ไม่ยอมถอดออก ข้าบังเอิญเห็นกุญแจดอกนั้น รูปแบบแปลกประหลาดของกุญแจนั่นทำให้คนเห็นยากจะลืมได้ จึงได้คิดไปถึงตอนเด็กที่อยู่ในห้องหนังสือท่านพ่อ บังเอิญได้เห็นรูกุญแจกล่องเหล็กประณีตใบหนึ่งที่ซ่อนอยู่ข้างหลังภาพบรรพชนสกุลหลี่ วันที่พี่รองตกม้าบาดเจ็บ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ร้อนใจจะไปตามท่านหมอ ข้าจึงหาข้ออ้างไล่สาวใช้และบ่าวหญิงอาวุโสข้างกายออกไป หยิบกุญแจดอกนั้นมาเปิดกล่องลับ และในนั้นก็เป็นตำราเรือย่ำคลื่นของสกุลหลี่ของพวกเราจริงๆ”
ฟังถึงตรงนี้ แววตาของเสิ่นหรูป๋อก็สั่นไหว “ตำราเรือย่ำคลื่นนั่นตอนนี้อยู่ที่ใด”
หลี่เสวียนเอ๋อร์อมยิ้มชี้ไปที่หน้าผากของตนเอง “อยู่ที่นี่หมดแล้ว ผู้ใดก็มาขโมยไปไม่ได้แล้ว”
เสิ่นหรูป๋อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อคำพูดนาง เขารู้ดีว่าเรือที่อยู่ในตำราเรือย่ำคลื่นนั้นมีเกือบร้อยชนิด ขนาดและกลไกของเรือแต่ละอย่างแตกต่างกัน นางจะจำทั้งหมดได้อย่างไร
หลี่เสวียนเอ๋อร์ยืดอกขึ้นเล็กน้อย “ข้าวาดแบบผิดๆ เล่มหนึ่งวางกลับเข้ากล่องลับในห้องหนังสือ กุญแจก็เอากลับไปคล้องที่คอพี่รองแล้ว… สกุลหลี่ไม่ได้มีเพียงหลี่รั่วอวี๋ที่ฉลาดเป็นเลิศ ความจำของข้าดีกว่าผู้อื่นมาตั้งแต่เกิด แค่ผ่านตาก็ไม่มีวันลืม ตำราเล่มนั้นข้าตั้งใจใช้เวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ ในการจดจำ มั่นใจว่าไม่มีข้อผิดพลาดใดจึงทำลายตำราเล่มนั้นไป”
นางหลี่เสวียนเอ๋อร์ก็เป็นลูกหลานสกุลหลี่เช่นกัน ไม่มีที่ใดด้อยไปกว่าหลี่รั่วอวี๋ เพียงเพราะนางเป็นลูกภรรยารอง จึงกำหนดว่านางต้องต้อยต่ำกว่าลูกภรรยาเอกทั้งสองอยู่หนึ่งขั้นอย่างนั้นหรือ นางไม่ยินยอม!
สวรรค์มีตา ถึงได้เกิดเคราะห์กรรมของหลี่รั่วอวี๋ในครั้งนี้ ส่วนนางหลี่เสวียนเอ๋อร์ในที่สุดก็จะได้เชิดหน้าชูตาแล้ว หลี่รั่วอวี๋ตกม้าสมองเสื่อมไปแล้ว แต่ในสมองของนางหลี่เสวียนเอ๋อร์กลับมีตำราเรือย่ำคลื่นที่สมบูรณ์อยู่หนึ่งเล่ม ขอเพียงนางไม่ยินยอม ผู้ใดก็ขโมยไปไม่ได้ แย่งไปไม่ได้!
นางในตอนนี้กุมชัยชนะไว้ในมือ หลี่รั่วอวี๋อย่าหวังจะมาแย่งกับนางอีก ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือไม่ว่าจะได้ชื่อเรียกว่าเป็นผู้สืบทอดสกุลหลี่…
เสิ่นหรูป๋อลุกขึ้น เรียกบ่าวร่วมเรียนให้ไปหยิบสำเนาภาพผังเรือรบที่หลี่รั่วอวี๋วาดให้กรมโยธาก่อนหน้านี้ในกล่องหนังสือประจำตัวของเขามา จากนั้นพูดว่า “ในเมื่อเสวียนเอ๋อร์จำได้หมด เจ้าลองดูสิว่าจะวาดส่วนที่ขาดไปออกมาได้หรือไม่”
หลี่เสวียนเอ๋อร์รับกระดาษมา หลังดูอย่างละเอียดแล้วก็หัวเราะเบาๆ แม้ท่าทางจะอ่อนโยน แต่น้ำเสียงกลับฉายการดูหมิ่น “เดิมทีคิดว่าพี่รองจะให้ผลงานสุดยอดอะไรแก่พระมาตุลาไป๋ ที่แท้ก็แค่เรือเลียบหาดง่ายๆ ธรรมดา ข้อดีของเรือนี้คือเบา สะดวก สามารถขึ้นหาดได้ง่าย สามารถจอดบริเวณชายทะเลน้ำตื้นที่มีหินโสโครกได้อย่างรวดเร็ว แต่พี่รองวาดรูปนี้ เหมือนจะลบจุดที่มหัศจรรย์ที่สุดของเรือนี้ไป ทำให้ยิ่งหนักเทอะทะ เรือรบแบบนี้ถ้าเอาไปใช้จริง เป็นไปได้มากว่าจะหมดโอกาสเป็นต่อ… พี่รองออกแบบเช่นนี้…นางไม่กลัวจะถูกพระมาตุลาไป๋กล่าวโทษหรือไร”
พูดพลางนางก็สั่งบ่าวร่วมเรียนให้เตรียมพู่กันหมึกและกระดาษ คิดสักครู่ก็ยกข้อมือ วาดภาพผังเรือเลียบหาดใหม่ทั้งหมดออกมาหนึ่งภาพอย่างคล่องแคล่ว เรือรบนี้ดูแล้วคล้ายกับภาพผังที่หลี่รั่วอวี๋วาดไว้ แต่พอแยกแยะอย่างละเอียดจะพบส่วนกลไกที่แตกต่างกันมาก
นี่เป็นเรือรบที่ออกแบบได้อย่างประณีตจริงๆ ไม่ใช่คนเรือชั้นต่ำทั่วไปจะวาดออกมาได้ และจากสิ่งนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่หลี่เสวียนเอ๋อร์พูดไม่ใช่เรื่องโกหก
ขณะที่เสิ่นหรูป๋อกำลังเหม่อลอย ภาพผังในมือก็ถูกหลี่เสวียนเอ๋อร์ดึงไปอย่างเบามือ แล้วฉีกทิ้งจนละเอียดภายในไม่กี่ที
เสิ่นหรูป๋อหรี่ตาลง ปรับสีหน้าเป็นปกติอีกครั้งแล้วพูดอ่อนโยนด้วยรอยยิ้ม “เสวียนเอ๋อร์ใจแคบเช่นนี้ ดูนานสักนิดก็ไม่ได้ นี่หมายความว่าอย่างไร”
หลี่เสวียนเอ๋อร์พูดหนักแน่นว่า “ไม่ใช่เสวียนเอ๋อร์ใจแคบ แต่ข้าไม่ใช่พี่รองที่แสนเย็นชาผู้นั้น ในใจมีเพียงกิจการบรรพชนกับผลประโยชน์ทางการค้าของสกุลหลี่ จนลืมหน้าที่ความเป็นหญิง ชอบเปิดเผยหน้าตานอกบ้าน ข้ายินดีเป็นศรีภรรยาผู้หนึ่ง ติดตามอยู่เบื้องหลังคอยสนับสนุนให้สามารถโบยบินสูงขึ้น แต่ไม่รู้ว่าท่านจะยินดีทำความปรารถนานี้ของเสวียนเอ๋อร์ให้เป็นจริง แต่งเสวียนเอ๋อร์เข้าสกุลเสิ่นอย่างเปิดเผยหรือไม่”
นิ้วยาวของเสิ่นหรูป๋อเคาะแท่นฝนหมึกข้างโต๊ะเบาๆ บนใบหน้าแม้จะมีรอยยิ้ม แต่กลับไปไม่ถึงดวงตาแม้แต่น้อย “เสวียนเอ๋อร์กำลังข่มขู่ข้าอยู่หรือ”
หลี่เสวียนเอ๋อร์ลุกขึ้นเดินมาข้างกายเขา ทรุดตัวคุกเข่าข้างขาของเขา ใช้แก้มแตะเบาๆ ไปบนหลังมือของเขาที่วางอยู่บนตักพลางพูดเสียงอ่อนโยน “เสวียนเอ๋อร์ไม่ได้ข่มขู่ แค่อยากขอให้คุณชายรองเสิ่นแต่งข้าเป็นภรรยา ก่อนหน้านี้เพราะมีพี่รอง เสวียนเอ๋อร์จึงไม่กล้าทำให้คุณชายรองลำบากใจ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนที่ผ่านมา พี่รองกลายเป็นแบบนี้แล้ว ไม่เห็นความเป็นไปได้ที่จะกลับมาดีเช่นเดิม ท่านเป็นคนมีปณิธานยิ่งใหญ่ อนาคตในราชสำนักต้องกุมอำนาจใหญ่แน่นอน ตอนนี้พี่รองช่วยอะไรไม่ได้ ภายหน้าหากคุณชายรองเลื่อนตำแหน่งเป็นขุนนางใหญ่ ไม่กลายเป็นที่น่าขันสำหรับเพื่อนร่วมงานไปหรือ แต่ถ้าไม่แต่งงานกับพี่รอง ก็จะกลายเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ ไม่มีคุณธรรมไป สู้เอาแบบนี้ดีกว่า ข้ากับพี่รองไม่แบ่งเอกหรืออนุ แต่งเข้าสกุลเสิ่นพร้อมกันด้วยฐานะเสมอกัน เช่นนี้เท่ากับเป็นเรื่องเล่างดงามที่ท่านรักษาน้ำใจและคุณธรรมทั้งสองอย่างไว้ได้ครบถ้วนไม่ใช่หรือไร”
หลี่เสวียนเอ๋อร์พูดเรื่องเก่าขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้หมากของนางเปลี่ยนจากลูกในท้องมาเป็นสุดยอดเคล็ดวิชาของสกุลหลี่ น้ำหนักเทียบกันไม่ได้เลย ตอนแรกนางยินดีแต่งเป็นอนุเข้าบ้านสกุลเสิ่น แต่กลับไม่สมปรารถนา ทั้งยังถูกพี่ใหญ่สกุลหลี่พูดฉีกหน้าอีก
เดิมคิดว่าเสิ่นหรูป๋อจะเห็นแก่ลูกในท้อง คิดหาหนทางที่ดีให้นาง แต่ปฏิกิริยาของชายหนุ่มทำให้นางผิดหวังมาก แม้แต่ความละอายใจน้อยนิดที่มีต่อพี่รองอยู่แต่เดิมก็ถูกบดจนแหลกเป็นผุยผง
มาถึงวันนี้ นางไม่สนใจผู้ใดอีกแล้ว ต้องวางแผนให้ดีเพื่อตนเอง ปฏิกิริยาของชายหนุ่มในตอนนี้พิสูจน์แล้วว่าความคิดในตอนแรกของนางที่เก็บไม้ตายอันนี้ไว้ให้ตนเองเป็นเรื่องที่ถูกต้องอย่างมาก! นางรู้จักเสิ่นหรูป๋อดี เขาเป็นชายที่มีปณิธานแรงกล้า และเหยื่อที่นางยื่นไปในตอนนี้ เขาไม่อาจต่อต้านได้แน่นอน!
ตอนนี้นางหลี่เสวียนเอ๋อร์ไม่มีทางเป็นอนุอีกแล้ว นางจะเป็นภรรยาเอกที่มีฐานะเทียบเท่ากับพี่รอง!
เสิ่นหรูป๋อลังเลใจขึ้นมาจริงดังคาด พูดตามจริงแล้ว เพราะเรื่องเรือนี้ทำให้เขาปวดหัวมานานมากแล้ว เรื่องวันนี้ที่หลี่เสวียนเอ๋อร์บอกว่านางได้ตำราเรือมาแล้ว เป็นการเปิดเส้นทางการอยู่รอดตรงหน้าเขาอย่างไม่ต้องสงสัย…
เขาจ้องมองใบหน้าอมยิ้มของหลี่เสวียนเอ๋อร์ ปกปิดความรังเกียจในใจเอาไว้อย่างระมัดระวัง ก่อนจะประคองนางขึ้นมากอด จากนั้นพูดข้างหูนาง “เอ๋อหวงหนี่ว์อิงเป็นเรื่องที่ดี ถ้าเสวียนเอ๋อร์ยินดี ข้าจะไม่ยินดีทำได้อย่างไร เสวียนเอ๋อร์จะได้ตามที่หวังแน่นอน…”
ตอนที่หลี่เสวียนเอ๋อร์จะกลับไป ได้พูดคำมีความนัยแฝงกับเสิ่นหรูป๋อว่า “คุณชายรองหมายปองในตัวพี่รองข้ามานานแล้ว เสวียนเอ๋อร์ก็รู้ดี แต่รีบร้อนเช่นนี้ไม่เหมือนตัวท่านที่เป็นคนสุขุมมาตลอด ท่านใช้ข้ออ้างว่าเพื่อคุ้มครองพี่รองถึงได้คุมตัวนางเอาไว้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ร้อนใจจนนอนไม่หลับทั้งคืน นางเป็นแม่บ้านแม่เรือนไม่รู้ว่าพี่รองล่วงเกินฉู่ซือหม่าเอาไว้มาก ในใจเห็นเรื่องชื่อเสียงเป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่าอะไร ถ้าข้าเป็นคุณชายรอง จะรีบส่งพี่รองกลับไป สิ่งที่ทำมาจะได้ไม่สูญเปล่า!”
พูดจบนางก็เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วให้สาวใช้อิงเถาประคองขึ้นรถม้าไป
เสิ่นหรูป๋อยืนอยู่กลางลานบ้าน รอรถม้านั้นเคลื่อนไปไกลแล้วจึงค่อยๆ หมุนตัวกลับ ความโกรธบนใบหน้าหล่อเหลาของเขาในตอนนี้ไม่ได้ปิดบังไว้อีกต่อไป
แต่คนที่ใจเขาโกรธไม่ใช่คนที่เพิ่งจากไป แต่เป็น…คนที่ถูกขังอยู่ในห้องที่เรือนด้านหลัง ภาพผังนี้วาดเสร็จเมื่อสี่เดือนก่อน หลี่รั่วอวี๋เป็นคนมอบให้กับมือเขาเอง แต่จากคำพูดของหลี่เสวียนเอ๋อร์วันนี้ ภาพผังไม่เพียงไม่สมบูรณ์ ยังมีข้อบกพร่องมากมายอีกด้วย… ตอนนั้นนางยังไม่รู้เรื่องของเขาเลยมาปรึกษาเรื่องเตรียมสินสอดอย่างมีความสุข… แต่นางด้านหนึ่งยิ้มสดใสแสดงออกถึงความสุขของว่าที่เจ้าสาวที่รอคอยการแต่งงาน อีกด้านหนึ่งลอบคอยระแวงระวังและลอบทำร้ายเขาอย่างนั้นหรือ
หลี่รั่วอวี๋ ที่แท้เจ้าเปลี่ยนใจไปนานแล้วหรือไร คิดจะเล่นงานข้าเสิ่นหรูป๋อจนถึงขั้นใดกัน
เขามาถึงห้องหนังสือ ลองต่อภาพผังที่ถูกหลี่เสวียนเอ๋อร์ฉีกขาด แต่หลี่เสวียนเอ๋อร์นั่นก็เป็นคนเจ้าเล่ห์เช่นกัน จงใจให้ภาพส่วนหนึ่งเปื้อนน้ำชา เลือนจนดูไม่เป็นรูปแล้ว
เสิ่นหรูป๋อนั่งเงียบๆ ในใจครุ่นคิดประโยชน์และโทษต่างๆ สุดท้ายยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ นึกอยากใช้สาวงามสมองเสื่อมผู้นั้นมาคลายความรำคาญใจ จึงลุกขึ้นสั่งให้คนเปิดประตูห้องด้วยสีหน้าดุร้าย
ภายในห้องเงียบมาก มีเพียงผ้าห่มบนเตียงใหญ่หลังม่านที่นูนสูงขึ้น หลี่รั่วอวี๋เหมือนจะนอนหลับไปแล้ว
เสิ่นหรูป๋อสูดหายใจเข้าลึก เดินไปที่หน้าเตียงอย่างช้าๆ ก่อนจะยื่นมือไปเปิดผ้าห่ม… ทว่าสิ่งที่อยู่ใต้ผ้าห่มคือหมอนหนุนเพียงใบเดียว!
เสิ่นหรูป๋อหน้าเปลี่ยนสีทันใด รีบเงยหน้าขึ้นมองไปโดยรอบ ปากก็ตะโกนว่า “รั่วอวี๋! เจ้าอยู่ที่ใด เด็กดี รีบออกมาเถอะ”
แต่ภายในห้องเงียบมาก ไม่มีเสียงตอบรับใด เขาก้มลงตรวจดูใต้เตียงก็พบว่าว่างเปล่าเช่นกัน ในห้องนี้ตกแต่งเรียบง่าย ไม่มีสถานที่บังตาอื่นใดอีก
เมื่อก้าวเท้าเดินไปที่ข้างหน้าต่าง เสิ่นหรูป๋อก้มลงเก็บเศษชายกระโปรงที่ฉีกขาดกับช้อนอีกคันหนึ่ง รู้สึกตกใจที่เห็นเส้นเหล็กที่หน้าต่างถูกบิดจนเปลี่ยนรูปร่าง…
นอกหน้าต่างไกลออกไป มีเพียงผู้เฒ่าตาเดียวทำงานอยู่ เขาหูหนวกมาแต่เกิด ทำงานก็ตั้งใจมาก เขากำลังตั้งใจซ่อมรั้วกั้นอยู่ ใช้ลวดเหล็กในมือบิดอย่างแรงไปบนแท่งไม้ แต่คงใช้แรงมากเกินไป ไม้นั่นจึงถูกรัดเป็นรอยลึก…
หากเขาเดาไม่ผิด หลี่รั่วอวี๋คงจะเห็นแล้วได้แรงบันดาลใจจึงคิดวิธียอดเยี่ยมเช่นนี้ออกมาได้ อาศัยเศษผ้าที่ถูกบิดเข้าด้วยกันกับช้อนหนึ่งคัน เอาเศษผ้ามาผูกบนเส้นเหล็กหน้าต่าง แล้วออกแรงบิดผ้าบนช้อน การยืมแรงแบบนี้แม้แต่หญิงสาวอ่อนแอก็สามารถบิดเส้นเหล็กที่ไม่นับว่าบางมากให้ผิดรูปไปได้ จากนั้นก็มุดหนีออกไปจากที่นี่
เสิ่นหรูป๋อไม่มีเวลาให้คิดอะไรอีก รีบสั่งบ่าวไพร่ให้ออกตามหาหลี่รั่วอวี๋ให้ทั่ว
เขาประมาทเกินไป เดิมคิดว่าหลี่รั่วอวี๋สมองเสื่อมไปแล้ว จึงละเลยการป้องกันภายในเรือน เอาแต่สนใจนอกเรือน เพื่อไม่ให้ฉู่ซือหม่าส่งคนมาคิดทำเรื่องไม่ดี แต่ไม่เคยคิดว่าหญิงสาวสมองเสื่อมผู้นี้จะอาศัยเศษผ้าไม่กี่เส้นกับช้อนข้าวต้มหนึ่งคันก็บิดเส้นเหล็กให้ถ่างออกแล้วมุดหนีออกไปได้
หลี่รั่วอวี๋ เจ้ากลับเป็นปกติแล้วหรือ!
ไม่ช้าบ่าวผู้หนึ่งก็พบร่องรอยที่มุมกำแพงด้านหนึ่ง “คุณชายรอง เหมือนมีคนลอดรูหมาลอดออกไปขอรับ!”
เสิ่นหรูป๋อออกจากเรือนมาดูทันที แล้วก็เป็นจริงดังคาด ข้างรูหมาลอดนั้นพบรอยเท้าเล็กๆ จำนวนหนึ่ง รอยเท้านี้ไปถึงจุดที่หลี่เสวียนเอ๋อร์จอดรถม้าเอาไว้เมื่อครู่แล้วหายไป…
เสิ่นหรูป๋อขมวดหัวคิ้ว สั่งการเสียงเข้ม “เตรียมม้า! ไล่ตามรถม้าของคุณหนูสาม!”
หลี่รั่วอวี๋ซ่อนตัวอยู่บนรถม้าของหลี่เสวียนเอ๋อร์จริงๆ
หลี่เสวียนเอ๋อร์เพื่อพรางตาผู้คน รถที่จ้างคันนี้จึงเป็นรถขนสินค้าที่ขนผ้าให้ร้านผ้าก่อนหน้านี้ ตัวรถครึ่งหน้าสามารถให้คนนั่งได้ แต่ด้านหลังมีตะกร้าใหญ่หลายใบอยู่นอกตัวรถ มีเศษผ้าที่ร้านผ้าตัดทิ้งอยู่กองหนึ่ง เศษผ้าเหล่านี้แม้จะไม่มีราคา แต่พวกหญิงสาวตามหัวถนนท้ายตรอกชอบซื้อมาเย็บปะเสื้อผ้า นับว่าเป็นรายได้เสริมเล็กน้อยของคนบังคับรถ
หลี่รั่วอวี๋ซ่อนอยู่ในตะกร้าหนึ่งในนั้น ทำราวกับรังนกใช้เศษผ้ามากองสุมบนหัวจนสูง รถม้าเคลื่อนที่ไม่เร็ว ท่ามกลางเสียงล้อรถนั้นสามารถได้ยินเสียงจากในตัวรถได้
“คุณหนู คุณชายรองเสิ่นนั่นรับปากแต่งท่านเข้าบ้านหรือยังเจ้าคะ”
“เขาไม่ตอบตกลงไม่ได้ ตอนนี้นางสมองเสื่อมนั่นเป็นเศษสวะไปแล้ว ก็เป็นแค่คนที่หาความสุขด้วยบนเตียงเท่านั้น เขาเสิ่นหรูป๋อไม่โง่ จะยอมทิ้งข้าซึ่งเป็นคนกุมเคล็ดวิชาการต่อเรือผู้นี้ แล้วแต่งกับเศษสวะนั่นแค่คนเดียวได้อย่างไร แต่ว่าอย่างไรเสียนางก็ยังเป็นพี่รองของข้า ข้าไม่สนใจนางไม่ได้ แม้จะเป็นภรรยาที่ฐานะเท่าเทียมกัน แต่ยังต้องให้ข้าดูแลเรื่องความเป็นอยู่ของนางไม่ใช่หรือ”
“คุณหนูสามใจกว้างจริงๆ ยังคิดถึงความเป็นพี่น้องอีกด้วย…”
หลี่รั่วอวี๋หลุบดวงตาโตลง เล่นเศษผ้าในตะกร้า ถึงแม้นางจะพูดจาไม่คล่องแคล่ว แต่ความหมายในคำพูดของผู้อื่นล้วนฟังได้เข้าใจ เสียงนั้นเป็นของน้องสามที่นางมักจะได้ยินในบ้านเสมอ คำว่า ‘นางสมองเสื่อม’ ที่น้องสามพูดถึงก็คือนาง ในจุดนี้นางรู้เช่นกัน เพื่อนร่วมเรียนของน้องชายบางคราก็จะเรียกนางต่อหน้าเช่นนี้ เดิมทีนางไม่เข้าใจ แต่น้องชายจะโกรธจนหน้าแดงก่ำและทุบตีเด็กผู้นั้นยกใหญ่ จึงเห็นได้ว่านี่ไม่ใช่คำที่ดี
หลี่รั่วอวี๋แอบขึ้นรถม้าคันนี้ เดิมทียังดีใจที่จะได้พบน้องสามและสามารถกลับบ้านได้ทันที แต่จู่ๆ นางก็ไม่อยากนั่งบนรถม้าคันนี้แล้ว นางพยายามลุกขึ้นจากตะกร้าใหญ่ ฉวยโอกาสตอนที่รถม้าผ่านหลุมโคลน กลิ้งลงจากรถม้าทั้งคนและตะกร้า
โชคดีที่คนบังคับรถเร่งเจ้าม้าตัวนั้น เสียงหอบแรงและเสียงพ่นจมูกของเจ้าม้า รวมทั้งเสียงขาสี่ขาที่เหยียบย่ำอยู่ในหลุมโคลน ทำให้กลบเสียงตะกร้าไม้ไผ่ตกพื้นไปได้พอดี ตะกร้าพร้อมคนกลิ้งลงจากเนินเขานั้นไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากรถม้าจากไปแล้ว หลี่รั่วอวี๋ที่ตัวเต็มไปด้วยดินโคลนก็โงนเงนลุกขึ้นยืน มองไปรอบด้านอย่างงุนงง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าวันนี้ดูเหมือนจะยาวนานกว่าวันที่ผ่านมา
ทันใดนั้นก็มีนกใหญ่ตัวหนึ่งบินผ่าน นกเช่นนั้นนางไม่เคยเห็นมาก่อน หลี่รั่วอวี๋เลียริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะกลืนน้ำลายอย่างแรงและลากตะกร้าไล่ตามนกใหญ่ตัวนั้น โดยอาศัยความรู้สึกเดินตามลำธารเข้าไปในป่าทึบ
ในตอนที่นางเดินเข้าป่าไปได้ไม่นาน เสิ่นหรูป๋อก็นำคนขี่ม้าผ่านตรงนี้แล้วไล่ตามรถม้าข้างหน้าไป…
ในเวลาเดียวกันนี้ ณ ลานล่าสัตว์ที่เมืองเหลียวเฉิง ใต้เท้าเมิ่งผู้ช่วยนายอำเภอเมืองเหลียวเฉิงกำลังแอบใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อใต้หมวกขุนนางตรงมุมหน้าผาก มองดูชายหนุ่มผมขาวที่นั่งอยู่ใต้เพิงพักร้อนอย่างระวังตัว
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงพอดี ดวงอาทิตย์ร้อนแรงมาก แต่ใต้เพิงพักร้อนที่สร้างขึ้นอย่างประณีตล้วนกันแดดได้หมด เห็นเพียงชายหนุ่มผมขาวตัวสูงใหญ่ผู้นั้นสวมชุดล่าสัตว์สีขาวนวลทั้งตัว สายรัดเอวแถบใหญ่ทำให้ร่างนั้นดูงามสง่าขึ้น ผมสีเงินน่าประหลาดในตอนนี้ถูกรวบอย่างเรียบร้อยไว้ในที่ครอบผมรูปกรงเล็บทอง ทำให้คิ้วและดวงตาโฉบเฉี่ยวนั้นยิ่งดูน่าหลงใหล
ถึงแม้ท่านั่งของท่านซือหม่าจะงามสง่าอย่างมาก ทำให้คนมองได้ไม่เบื่อ แต่ผู้ช่วยนายอำเภอเมิ่งกลับคิดว่าตนเองต้องเตือนสติสักนิด ดังนั้นจึงรวบรวมความกล้า ลูบหนวดใต้คางแล้วถามว่า “ใกล้เที่ยงแล้ว เวลาดีในการล่าสัตว์ในลานล่าสัตว์นี้จะผ่านไปแล้ว ใต้เท้ายินดีจะให้ชาวเมืองเหลียวเฉิงอย่างพวกเราได้เห็นความงามสง่าของใต้เท้าตอนง้างธนูล่าสัตว์ได้หรือไม่”
ฉู่จิ้งเฟิงหรี่ตาที่กำลังมองหมอกบางสุดปลายเขาของลานล่าสัตว์ ไม่รู้ว่าใจลอยไปที่ใด จู่ๆ ก็ถูกผู้ช่วยนายอำเภอเมิ่งตัดบทความคิด จึงแค่นเสียงสบถอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่มองผู้ช่วยนายอำเภอแม้แต่น้อย ผุดลุกและขึ้นหลังม้าจากไปทันที
อำเภอเล็กห่างไกลความเจริญเช่นนี้ช่างน่าเบื่อเหลือเกิน วันนี้เขาเหมือนถูกผีเข้า รับข้อเสนอของผู้ช่วยนายอำเภอที่คิดประจบมาล่าสัตว์ที่นี่เพื่อฆ่าเวลา
คนที่มาจากทางเหนือ คิดถึงการล่าสัตว์ก็จะนึกไปถึงพวกเสือสางหมาป่าหมูป่าหรือหมีดำ ต่อสู้กับพวกสัตว์ร้ายที่ไม่เคยได้รับการฝึกฝนเหล่านั้น ใช้มีดสั้นปักลงที่หัวใจเหยื่อด้วยตนเอง ทำให้คนเลือดเดือดพล่านได้ เขาไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายมานานแล้ว น่าจะสามารถหาความสำราญได้สักพัก…
แต่พอมาถึงลานล่าสัตว์เมืองเหลียวเฉิง ซือหม่ารู้สึกว่าตนเองโง่เหลือเกินที่สั่งให้ผู้ใต้บัญชาแบกคันธนูลูกธนูทั้งชุด พกดาบโค้งฝ่าเขา เอาเหยี่ยวล่าสัตว์ที่ผ่านการฝึกฝนเตรียมพร้อมมาถึงที่นี่…ในป่าที่มีแต่ต้นไม้เตี้ยๆ
จะบอกว่าเป็นลานล่าสัตว์ แท้จริงแล้วไม่ใหญ่กว่าลานสวนสนามทหารเท่าใดนัก ต้นไม้ ลำธารและภูเขาทุกอย่างมองได้อย่างชัดเจนภายในครั้งเดียว
สำหรับลานล่าสัตว์… เดิมคิดว่ากระต่ายหลายสิบตัวที่อ้วนกลมจนดูเหมือนโง่เง่าในกอหญ้าเหล่านั้นจะเป็นเหยื่อล่อให้สัตว์มาติดกับ คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าเมิ่งจะบอกออกมาตามตรงว่ากระต่ายอ้วนเหล่านั้นเป็นตัวหลักของการล้อมล่าในวันนี้ จากนั้นก็ดึงคันธนูแสดงการล่ากระต่ายอย่างมีความสุข…
ต่อมาเห็นท่าทางพวกเศรษฐีโง่เง่าที่มาพร้อมกับใต้เท้าเมิ่งดึงคันธนูปล่อยลูกธนูไปอย่างเก้กัง ฉู่จิ้งเฟิงรู้ว่านอกเสียจากกระต่ายหลายสิบตัวนั้นจะเบื่อโลกอยากฆ่าตัวตาย วิ่งเข้ามาชนลูกธนูเอง ไม่เช่นนั้นพวกคนโง่บ้านนอกเช่นนั้นคงจับอะไรไม่ได้เลย
ความสนุกที่เขายังพอมีเล็กน้อยแต่เดิมดับมอดไปเช่นนี้ โชคดีที่ทิวทัศน์ที่นี่ไม่เลว ภาพเหตุการณ์ภายใต้แสงตะวันทำให้เห็นความงามของเจียงหนานได้บ้าง เขาจึงดื่มชาชมทิวทัศน์ไป ปล่อยสมองว่างเปล่าไปกับความเปลี่ยนแปลงของปุยเมฆ… คิดไม่ถึงว่าความสนุกเพียงนิดที่เหลืออยู่นี้จะถูกชายแก่ที่พูดไม่หยุดอยู่ด้านข้างทำลายไป ในตอนนี้เขาจึงลุกขึ้นและเตรียมจะกลับคฤหาสน์
แต่ก่อนจะจากไป ควรให้จี๋เฟิงเหยี่ยวที่รักได้สนุกบ้าง เขาจึงสั่งให้คนเลี้ยงเหยี่ยวคลายโซ่ ให้จี๋เฟิงได้สนุกสนาน ใช้กระต่ายอ้วนที่สร้างความสนุกให้กับพวกเศรษฐีเหล่านั้นมาลับกรงเล็บบ้าง
ทว่ากระต่ายในวันนี้ไม่รู้ว่าเป็นปีศาจหรือไม่ จี๋เฟิงเพิ่งจะกางปีกบินขึ้นบนท้องฟ้าได้หนึ่งรอบ เล็งเหยื่อไว้แล้วพุ่งลงมาได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงร้องแหลมและสั้นรัวของจี๋เฟิงดังลอยมา
ฉู่จิ้งเฟิงได้ยินก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป คิดว่าจี๋เฟิงคงจะเจองูพิษ จึงรีบหันหัวม้าทะยานเข้าไปในป่าที่เกิดเสียงทันที
รอจนเข้าไปในป่า ซือหม่าที่นั่งอยู่บนหลังม้าเห็น ‘ภาพเหตุการณ์’ ตรงหน้าได้อย่างชัดเจนจึงเบิกตาโตอย่างช้าๆ…
เห็นเพียงคนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยดินโคลนผู้หนึ่งกำลังกดตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ไว้แน่น ความตื่นเต้นบนใบหน้าแม้แต่ดินโคลนที่หนาเตอะก็ยังปิดบังไว้ไม่มิด
“เจ้าทำอะไรอยู่” เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตะคอก
มนุษย์ดินโคลนผู้นั้นดูเหมือนจะถูกเสียงตะคอกทำให้ตกใจ ร่างนั้นแข็งเกร็งอยู่บนตะกร้าใหญ่นั่นทันที พูดอึกอักเสียงเบาว่า “นก…ย่างนกกระจอกกิน”
ฉู่จิ้งเฟิงรีบมองสำรวจกิ่งไม้ใหญ่ข้างตะกร้าไม้ไผ่ที่ถูกผูกด้วยแถบผ้า แถบผ้าทอดยาวไปถึงด้านหลังต้นไม้ใหญ่ไกลออกไปสิบจั้ง* จากช่องบนตะกร้าไม้ไผ่ เห็นเจ้าจี๋เฟิงกับกระต่ายโง่ที่ถูกผูกขาหลังไว้ตัวหนึ่งได้รางๆ
การใช้ตะกร้าไม้ไผ่เอาไม้ค้ำเป็นวิธีโบราณในการจับนกกระจอกของเด็กบ้านนอก แต่วันนี้กลับถูกหญิงผู้นี้เอามาจับเหยี่ยวที่รักของตนเอง…
กวนป้าที่ตามมาติดๆ เห็นชัดเจนแล้วว่ามนุษย์ดินโคลนผู้นั้นเป็นผู้ใดก็สูดหายใจเข้าด้วยความตกใจ ในใจคิดว่า… หญิงสาวผู้นี้จะแค้นแม้กระทั่งนกของซือหม่าเลยหรือ ครั้งก่อน…นกตัวสำคัญก็เสียหายไปไม่น้อย วันนี้ยังมาทำลายศักดิ์ศรีเหยี่ยวที่รักของซือหม่าอีกหรือ!
เรื่องนี้สุดจะทนได้อีกแล้ว
หลี่รั่วอวี๋ได้รับการถ่ายทอดมาจากเหล่าสหายของน้องชายวัยเยาว์จริงๆ ทั้งยังเอาวิธีการจับนกกระจอกนั้นมาปรับปรุงให้ดีขึ้น
และสวรรค์ก็ช่วยนาง พวกกระต่ายที่ถูกเศรษฐีกลุ่มนั้นไล่มาตลอดเช้าเหน็ดเหนื่อยหมดแรง มีอยู่หนึ่งตัวโชคร้ายถูกลูกธนูบาดเจ็บที่ขา จึงถูกหลี่รั่วอวี๋ตะครุบจับได้อย่างง่ายดาย ทว่าหญิงสาวผู้หิวโซไม่ได้เอากระต่ายขาวตัวอ้วนใส่ไว้ในรายชื่ออาหาร เพราะใจนึกถึงรสชาตินกกระจอกย่างที่เหล่าสหายของน้องชายเคยทำให้กิน บนฟ้ามีนกตัวใหญ่อย่างนั้น ย่างสุกแล้วต้องมีรสชาติอร่อยมากอย่างแน่นอน!
เห็นนกตัวนั้นไล่ตามกระต่ายอยู่ หลี่รั่วอวี๋จึงเกิดความคิด ใช้อุปกรณ์ที่มีในมือสร้างกับดักขึ้น จับ ‘นกกระจอก’ ตัวใหญ่เป็นพิเศษตัวนั้นเอาไว้ได้
แต่ความตื่นเต้นยังไม่ทันผ่านไป พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นชายผมขาวที่เคยพบหน้าจู่ๆ ก็มาปรากฏตัวที่นี่ และกำลังนั่งอยู่บนหลังม้าสูงมองมาที่นางด้วยสายตาเย็นชา… ตอนที่ถูกเขาถาม ไม่รู้เพราะเหตุใด นางจึงตื่นเต้นจนพูดความในใจว่าอยากจะย่างนกกระจอกกิน
ชั่วขณะต่อมา นางก็ถูกชายผู้นั้นยกตัวด้วยมือเดียวขึ้นบนหลังม้า แล้วควบออกจากป่าอย่างรวดเร็ว
เขาไม่ได้รีบเดินทางกลับโรงเตี๊ยม แต่ไปยังที่มีภูเขาเขียวน้ำสวยอีกแห่งหนึ่งนอกเมือง…
นั่นคือภูเขาเล็กที่เขาจ้องมองจากที่ไกลมาตลอด เขาสั่งให้องครักษ์ซื้อฟืนจากคนตัดฟืนบนเขา แล้วให้ชาวบ้านในบริเวณนี้จากไปก่อน ภายในเขาจึงสงบเงียบลงอย่างหาได้ยาก จากนั้นการเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทางมานับว่าได้ใช้งานแล้ว กระโจมหนังวัวถูกกางออก ชายฉกรรจ์หลายคนใช้พลั่วเหล็กขุดหลุมใหญ่บนพื้นอย่างชำนาญ ฟืนหลายมัดที่ซื้อมาถูกวางไว้ในหลุมและก่อเป็นกองไฟ
จี๋เฟิงกระพือปีกหลังจากถูกปล่อยออกมาจากตะกร้าไม้ไผ่ แล้วยืนอย่างตื่นกลัวอยู่บนบ่าคนเลี้ยงเหยี่ยวพลางจิกไซ้ขนที่ยุ่งเหยิง พยายามรักษาความภาคภูมิของเหยี่ยวแห่งแคว้นทางเหนือเอาไว้อย่างถึงที่สุด
แต่กระต่ายน้อยน่าสงสารตัวนั้นไม่โชคดีอย่างนี้ มันถูกถลกหนังผ่าท้อง หั่นเป็นชิ้นเสียบไม้ กลายเป็นเนื้อกระต่ายย่างอันโอชะ
ส่วนคนอื่นอีกหลายคนไม่นานก็จับไก่ป่ามาได้ กอปรกับผลไม้และใบชาที่นำมาเอง อาหารกลางวันมื้อนี้จึงนับว่าอุดมสมบูรณ์มาก
ฉู่จิ้งเฟิงรับผ้าเปียกที่กวนป้ายื่นมาให้ ก่อนจะโยนไปบนตัวมนุษย์ดินโคลนที่ขดตัวอยู่ในมุมกระโจม เห็นนางไม่คิดจะทำความสะอาดเอง เขาจึงขมวดคิ้วและนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินไปหยิบผ้าเปียกขึ้นมาเช็ดดินโคลนบนใบหน้าและบนมือของนางอย่างอดทน เผยให้เห็นเนื้อขาวนวลแต่เดิมทีละนิดๆ
หลี่รั่วอวี๋ลอบช้อนตาขึ้นมองสำรวจชายหนุ่มที่กำลังเช็ดสองมือให้นาง เป็นครั้งแรกที่เห็นนัยน์ตาประหลาดคู่นั้นกลับเป็นสีดำปกติ ผมสีขาวเงินทำให้ผิวสีแทนของเขาเป็นมันวาวอย่างประหลาด จมูกสูงโด่งและขนตางอนยาวนั้นไม่มีส่วนใดไม่น่าดู
หากไม่ใช่เพราะหิวเหลือเกิน หลี่รั่วอวี๋คิดว่าตนเองยังสามารถมองเขาได้นานอีกนิด ทว่ายามนั้นเสียงท้องร้องจ๊อกๆ ดังขึ้น นางจึงพูดเสียงเบาว่า “หิวๆ”
เกี่ยวกับหญิงสาวมหัศจรรย์แห่งเมืองเหลียวเฉิงผู้นี้ เรื่องราวของนางสืบรู้ได้ง่ายมาก เดิมทีคิดว่าเพราะนางบุกเข้าไปในลานอาบน้ำที่เขาอาบน้ำอยู่จึงแกล้งทำบ้าบอ แต่พอสืบอย่างละเอียดแล้วจึงพบว่าไม่ได้เป็นเช่นนี้ ผลลัพธ์จากอุบัติเหตุเมื่อสองเดือนก่อนครั้งนั้นน่าอนาถยิ่ง หญิงสาวที่ฉลาดหลักแหลมพูดจางามสง่ากลับกลายเป็นคนที่พูดจาไม่ชัดเหมือนเด็กในตอนนี้…
ฉู่จิ้งเฟิงคลายมือที่จับชีพจรของนางออก บรรพบุรุษของเขาเป็นแพทย์มาหลายรุ่น เขาเองก็เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ จากชีพจรของนางเมื่อครู่ ชีพจรตึงเครียดจริงๆ อุดเส้นความคิดจิตใจเอาไว้
ที่ผ่านมาต่อให้ฉลาดแข็งแกร่งแล้วอย่างไร ก็ยังมีสภาพเหมือนเช่นตอนนี้ไม่ใช่หรือ คนทางบ้านของนางไม่สนใจนางแล้วหรือ ปล่อยให้นางมาเดินเล่นที่ลานล่าสัตว์เช่นนี้ หากมีลูกธนูยิงพลาด…
เรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับเขา ฉู่จิ้งเฟิงไม่อยากคิดต่อไป เขาสะบัดมืองามออก แล้วหมุนตัวไปนั่งลงข้างโต๊ะหยิบตำราทหารเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน สมองเสื่อมแล้วอย่างไร เขาไม่อาจเป็นเหมือนเหยี่ยวโง่ที่เขาเลี้ยงไว้ตัวนั้น ที่เห็นเหยื่อแล้วก็โผเข้าไปโดยไม่สนใจอะไร ได้แต่พุ่งหัวเข้าใส่จนเลือดออกครั้งแล้วครั้งเล่า…
ในตอนนี้เอง กวนป้ายกอาหารที่ย่างเสร็จแล้วเข้ามา หลังจากจ้องหลี่รั่วอวี๋แวบหนึ่งแล้วก็ลดมือถอยออกจากกระโจมไป
ฉู่จิ้งเฟิงยกมือขึ้นหยิบเนื้อกระต่ายเสียบไม้มาหนึ่งไม้ หางตาเหลือบเห็นร่างเล็กๆ นั้นขยับมาข้างกายตนเองเหมือนถูกดูดวิญญาณ มือเล็กจับมุมโต๊ะไว้แน่น ไม่โวยวาย ดวงตาโตจ้องตรงมายังปากที่เคี้ยวอาหารของเขาไม่วางตา ก่อนจะพยายามกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
ฉู่จิ้งเฟิงมองดูปลายลิ้นที่นางแลบออกมา เลียริมฝีปากแดงราวดอกอิงฮวา* นั้นเบาๆ หัวคิ้วก็ขมวดเล็กน้อยอีกครั้ง
หลี่รั่วอวี๋กำลังมองเพลิน จู่ๆ ก็เห็นปากของชายหนุ่มไม่ขยับแล้ว นางอดใจกับแรงดึงดูดของกลิ่นหอมนั้นไม่ไหวอีกต่อไปจึงรวบรวมความกล้ายื่นคอไปกินเนื้อเสียบไม้ในมือของเขาทันที
ฉู่จิ้งเฟิงไม่ได้ขยับหลบ ปล่อยให้ปากเล็กราวดอกอิงฮวานั้นเปื้อนน้ำมันทีละนิด สุดท้ายเนื้อกระต่ายเสียบไม้นั้นก็เข้าสู่ปากเล็กของนาง
เขาเลื่อนจานอาหารมาตรงหน้านาง ส่วนตนเองยกกาน้ำชาดินเผาเล็กกาหนึ่งขึ้นมา เตรียมจะชงชาร้อนสักถ้วย
คนในพื้นที่เมืองเหลียวเฉิงชอบดื่มชาที่ชงเอง กลิ่นหอมสดชื่นและรสชาติขมเฝื่อนเหมาะแก่การแก้ร้อนในขับพิษ เติมลูกบ๊วยแช่น้ำผึ้งสองสามเม็ด หรือสาลี่แห้งฝานบางลงในน้ำชา ก็ทำให้น้ำชามีรสชาติดีหาที่เปรียบไม่ได้ โดยเฉพาะใส่น้ำตาลกรวดก้อนเล็กๆ ที่ทำจากน้ำตาลอ้อย ยิ่งเข้ากับชารสขมแบบนี้มาก คนในพื้นที่เรียกว่า ‘ชาสามอย่าง’
ผู้ใต้บัญชาของเขาก็เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ฟังคำแนะนำจากเถ้าแก่ร้านชาแล้วก็ลองเตรียมเครื่องชาสดใหม่เหล่านี้ให้ผู้เป็นนาย แต่น่าเสียดายที่ฉู่จิ้งเฟิงไม่ใช่คนเมืองเหลียวเฉิง และไม่ชอบของหวานเลี่ยนเหล่านั้น เขาจึงใช้เพียงใบชา ไม่ได้ใส่เครื่องผลไม้เหล่านั้นเข้าไปด้วย กินเพียงชาขมลงท้องเท่านั้น ความขมเฝื่อนนั้นทำให้เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้
ความขมเฝื่อนไหลไปตามปลายลิ้น รสชาตินี้เหมือนความรู้สึกในใจของเขาก่อนหน้านี้ เพียงแค่ชิมก็ยากจะลืมได้ไปชั่วชีวิต… เมื่อคิดถึงตรงนี้สายตาของเขาก็เลื่อนไปที่ตัวหญิงสาวข้างกายที่กินอิ่มและกำลังยกถ้วยชาขึ้นดื่มพร้อมกับเขาอีกครั้ง
แม้จะสมองเสื่อม แต่เรื่องกินนี้ไม่เป็นปัญหาและยังพิถีพิถันเหมือนเดิม เห็นทีนางอยู่ที่บ้านคงจะดื่มชานี้อยู่เป็นประจำ ยามนี้นางจึงค่อยๆ โยนเม็ดบ๊วยกับสาลี่แห้ง ยังมีก้อนน้ำตาลสีแดงจางๆ สองเม็ดลงไปในถ้วยชา จากนั้นก็ยื่นมือไปชงชาร้อนหนึ่งถ้วย กลิ่นหอมประหลาดที่ผสานด้วยกลิ่นผลไม้กระจายไปทั่วกระโจมในทันที
ฉู่จิ้งเฟิงนั่งเอื่อยอยู่ด้านข้าง มองดูมือขาวสองข้างที่โผล่ออกมานอกแขนเสื้อนั้นอย่างไม่ตั้งใจ
หลังจากที่ชงชานั้นเสร็จแล้ว นางไม่ได้ยกขึ้นดื่ม แต่เลียปากก้มหน้าลง ทำท่าทางเหมือนลูกสุนัขดื่มจากข้างถ้วย นางคงจะกระหายมากเกินไป คุณหนูรองหลี่ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วจึงดื่มน้ำเสียงดังสนั่น ไม่นานน้ำชาสีแดงนั่นก็แห้งจนเห็นก้นถ้วย
พอหลี่รั่วอวี๋ช้อนตาขึ้นก็เห็นดวงตาเรียวยาวนั่นจ้องนางนิ่ง… อ้อ เข้าใจแล้ว! เป็นโรคเดียวกับน้องชาย ชอบจ้องอาหารรสเลิศของนาง… ตอนนี้ภายในท้องมีความอุ่นแล้ว มีอารมณ์จะเล่นสนุกแล้ว หลี่รั่วอวี๋จึงคาบลูกบ๊วยในถ้วยเอาไว้ครึ่งลูก ก่อนจะจงใจคาบขยับเข้าใกล้ริมฝีปากของชายหนุ่ม
นี่เป็นการเล่นที่นางเล่นบ่อยครั้งและใช้แกล้งเสียนเอ๋อร์ได้ผลดีมาก ทุกครั้งที่นางได้ขนมประหลาดอะไรมาก็จะล่อให้เขาเข้ามาแล้วก็จะบิดเอวเล็กน้อยและขยับตัวออก ทำให้ใบหน้ากลมดูตะกละของเสียนเอ๋อร์เหมือนบัวลอยที่ใกล้จะระเบิด ก่อนจะร้องไห้โฮเสียงดัง
น่าเสียดายที่นางเหมือนจะลืมไปว่าคนตรงหน้าไม่ใช่เด็กน้อยน่ารักไร้เดียงสา ในตอนที่ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ ขยับเข้าใกล้ หลี่รั่วอวี๋ก็เตรียมจะขยับถอยหลังอย่างได้ใจ แต่ท้ายทอยกลับถูกมือใหญ่ยึดไว้แน่น ไม่อาจขยับถอยหลังได้เลย ทำได้เพียงเบิกตาโตมองดูริมฝีปากบางใต้จมูกเป็นสันโด่งนั้นขยับเข้าหาตนเองอย่างช้าๆ
ถึงตอนนี้หลี่รั่วอวี๋จึงได้รู้สึกกลัว นางถูกดวงตานั้นจ้องจนรู้สึกหวาดหวั่น นึกอยากจะกลืนบ๊วยลงไปก็ไม่กล้า ทำได้เพียงมองหน้าเขาอย่างทำอะไรไม่ได้
ฉู่จิ้งเฟิงมองดวงตาสั่นไหวคู่นั้นแล้วก็พลันได้สติคืนมาทันที สีหน้านิ่งงันไปเล็กน้อย ก่อนจะผลักหญิงสาวลงบนเสื่อด้วยความรังเกียจอย่างแรง ไม่อยากเห็นท่าทางการกินของนางอีก
แรงจากการผลักนี้ทำให้ท้ายทอยของหลี่รั่วอวี๋กระแทกพื้นเสียงดังตึง นางถูกการกระทำอย่างฉับพลันของชายหนุ่มผู้นี้ทำให้ตกใจและทำให้รู้สึกเจ็บ จึงได้แต่มองตะลึงไป ยังไม่ทันคืนสติดีก็ถูกดึงตัวขึ้นมาแล้ว มือใหญ่ข้างนั้นนวดท้ายทอยของนางอย่างกักขฬะ
มองดูใบหน้าเย็นเยือกของเขาแล้ว หลี่รั่วอวี๋ก็ตัดสินใจว่าจากนี้ไปจะเกลียดชายผู้นี้ ดังนั้นจึงผลักอกของเขาอย่างแรง
ความอดทนของฉู่จิ้งเฟิงเดิมทีก็มีไม่มาก เมื่อถูกนางผลักเช่นนี้ก็ยิ่งรำคาญใจ เพราะออกแรงที่มือมากเกินไปจึงสัมผัสเรือนร่างงดงามของคนในอ้อมกอดได้ชัดทุกอณู
สัมผัสที่อ่อนนุ่มทำให้เลือดทั่วกายของเขาร้อนระอุขึ้นอย่างไร้สาเหตุ ความรู้สึกเช่นนี้สำหรับฉู่จิ้งเฟิงแล้วเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคย แต่กลับเกิดขึ้นกับหญิงสาวที่ไม่รู้อะไรเสียเลยผู้นี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
เขาเป็นสุภาพบุรุษมาพอแล้ว! นางเป็นคนยั่วยวนเขาหลายต่อหลายครั้ง ต้องรับผิดชอบกับการกระทำของตนเองบ้างจึงจะดี
เมื่อคิดเช่นนี้ ร่างเล็กบางของหลี่รั่วอวี๋ก็ถูกผลักให้นอนลงบนพื้นอีกครั้ง จากนั้นริมฝีปากบางที่เย็นเฉียบก็ทาบมาบนริมฝีปากของนาง…
เมื่อครู่ชายหนุ่มดื่มชาอยู่ บนริมฝีปากยังเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของใบชา สัมผัสเย็นเฉียบและชุ่มชื้นทำให้รู้สึกสบายมาก แต่หลี่รั่วอวี๋ยังคงนึกดูถูกอยู่ในใจ เทียบเสียนเอ๋อร์ไม่ได้เสียเลย! เสียนเอ๋อร์ยังรู้ว่าของที่เข้าปากแล้วเอาคืนอีกไม่ได้ แต่ชายหนุ่มผมขาวผู้นี้กลับไม่ลดละ แม้แต่ลิ้นก็ยังยื่นเข้ามาด้วย…
หลี่รั่วอวี๋รู้สึกว่าตนเองเสียเปรียบ ต้องพยายามทวงคืนมาสักนิดก็ยังดี จึงยื่นปลายลิ้นไปเลียบ้างอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ สุดท้ายก็งับริมฝีปากหอมกรุ่นของชายหนุ่มเอาไว้ไม่ยอมปล่อย พยายามดูดดึงเหมือนลูกสุนัขที่อ้าปากกินอาหาร…
ชายหนุ่มส่งเสียงครางเข้มผ่านลำคอ ร่างแข็งแรงนั้นทาบลงบนร่างนุ่มนั้นทั้งตัว
เพียงชั่วครู่นี้หลี่รั่วอวี๋ก็ตกเป็นรอง รู้สึกเพียงว่าหายใจไม่ทัน จึงผลักชายหนุ่มจะให้เขาลุกขึ้น
กว่าชายหนุ่มจะลุกขึ้นก็ไม่ง่ายนัก แต่คอเสื้อของหลี่รั่วอวี๋พลันถูกกระชากเปิดออก เผยให้เห็นลำคอระหงและเนินอกนูนสูงที่ถูกบังทรงรัดไว้แน่น ผิวขาวเนียนเป็นมัน เครื่องหอมรมควันกลิ่นมะลิที่กระจายออกมาระหว่างเนินอกที่กระเพื่อมช่างยั่วยวนให้คนจมอยู่ในเนินหิมะขาวผืนนี้…
ในยามนี้ความหอมนุ่มตรงหน้าทำให้เขาลืมไปว่านางเป็นคนสมองเสื่อม มีเพียงเสียงเลือดในหลอดเลือดไหลพล่านที่ดังสะท้อนอยู่ในส่วนลึกของหู…
“คน… คนเลว…” เสียงพูดปนสะอื้นนี้ทำลายบรรยากาศประหลาดในห้องนี้ลง หลี่รั่วอวี๋ถูกเขาทำให้ตกใจ พอเห็นในดวงตาของเขาปรากฏสีแดงจางๆ ขึ้นอีกครั้งก็ร้องไห้ออกมาทันที
ฉู่จิ้งเฟิงกลับเข้าสู่ความรังเกียจตนเองที่หิวโซจนไม่เลือกอาหารครั้งแล้วครั้งเล่า นี่เป็นคนสมองเสื่อมผู้หนึ่ง ความชื่นชอบของเขาฉู่จิ้งเฟิงตกต่ำถึงขั้นไปล่วงเกินหญิงสมองเสื่อมที่เป็นว่าที่ภรรยาผู้อื่นแล้วหรือ
คิดถึงตรงนี้ เขาก็ตะคอกเสียงเข้ม “หุบปาก!”
แต่น้ำตาของนางใช่บอกว่าหยุดก็หยุดได้ เสียงตะคอกทำลายขวัญศัตรูของซือหม่าต้าฉู่อยู่ต่อหน้าคุณหนูรองสกุลหลี่กลับใช้ไม่ได้ผล
หลังจากตะคอกรุนแรงดุดันแล้ว ก็เห็นน้ำตามารวมตัวกันมากขึ้น ฉู่จิ้งเฟิงที่ถูกเสียงร้องไห้ดังสนั่นทำให้สมองตื้อก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพูดว่า “ถ้าเจ้าไม่ร้องไห้ ข้าจะให้เจ้าจับไก่ป่าดีหรือไม่”
หลี่รั่วอวี๋ได้ฟังคำพูดนี้แล้ว เสียงสะอื้นก็ค่อยๆ เบาลง นางคิดสักครู่หนึ่งก็ยื่นมือออกไปช้าๆ เตรียมกลั้นหายใจจะดีดอย่างแรงสักที
ฉู่จิ้งเฟิงกุมข้อมือของนางที่คิดจะทำการอุกอาจแล้วสูดหายใจเข้าลึก หลุบตาลงแล้วพูดว่า “ความหมายของข้า คือไปจับไก่ในป่า…”
คฤหาสน์สกุลหลี่เมืองเหลียวเฉิงในตอนนี้วุ่นวายไปทั่ว
เดิมทีเสิ่นหรูป๋อทำตามอำเภอใจพาตัวคุณหนูรองหลี่ไป ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่พอใจ นางเป็นคนพิถีพิถันเรื่องมารยาทพิธีการ ถึงแม้หลี่รั่วอวี๋ใกล้จะแต่งเข้าสกุลเสิ่นแล้ว แต่การพาตัวหญิงสาวไปเองเช่นนี้นับเป็นประเพณีของที่ใดกัน
ทว่าติดที่หน้าตาชื่อเสียงของลูกเขย นางจึงไม่อาจโวยวายได้ในทันที แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กลับคิดจะไปสกุลเสิ่นพาตัวบุตรสาวคนรองของตนเองกลับมาในวันรุ่งขึ้น
คิดไม่ถึงว่าตอนใกล้เที่ยง พ่อบ้านที่ออกไปทำธุระนอกเมืองกลับรีบร้อนกลับมา บอกว่าเห็นคุณชายรองเสิ่นกับคุณหนูสามที่นอกเมือง ตอนที่เขาเข้าไปใกล้ก็ได้ยินคุณชายรองเสิ่นพูดกับคุณหนูสามว่าคุณหนูรองหายตัวไป ดังนั้นจึงรีบร้อนกลับมารายงาน
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ฟังก็ตกใจขวัญหาย รีบนำบ่าวไพร่ออกไปตามหานอกเมือง
ตอนที่เสิ่นหรูป๋อไล่ตามทันหลี่เสวียนเอ๋อร์ก็ตรวจสอบในรถม้าเป็นการใหญ่ กลับพบว่าด้านหลังตัวรถยุ่งเหยิง เดาว่าคุณหนูรองหลี่คงกระโดดลงจากรถไปแล้ว จึงเตรียมจะพาคนย้อนกลับไปค้นหาดู
ยามนั้นเองเขาก็เหลือบเห็นแผ่นหลังพ่อบ้านคฤหาสน์สกุลหลี่รีบรุดจากไป จึงรู้ว่าเรื่องวันนี้เกรงว่าคงจะมีคนรู้แล้ว แต่ในใจเขาเกิดความคิดหนึ่งขึ้น จึงปล่อยให้พ่อบ้านผู้นั้นไปแจ้งเรื่องราว
รอจนคนสกุลหลี่มาถึง เสิ่นหรูป๋อก็ได้รู้ข่าวจากปากผู้ช่วยนายอำเภอที่กลับเข้าเมืองมาว่าคุณหนูรองหลี่บุกเข้าไปในลานล่าสัตว์ถูกใต้เท้าซือหม่าพาตัวไปแล้ว
เรื่องนี้ทำให้เสิ่นหรูป๋อรู้สึกเคร่งเครียดยิ่ง เขาจึงสั่งให้คนไปสืบดูตลอดทาง จนมาถึงสถานที่ที่ฉู่ซือหม่าพักแรม
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เดินทางมาด้วยตนเอง ตลอดทางนางได้ฟังเรื่องราวของฉู่ซือหม่านั่นมาไม่น้อย วิธีการเลาะกระดูกต้มเนื้อที่ทำกับศัตรูทุกอย่าง ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ฟังจนหน้ามืด นางบีบขวดเม็ดโสมบำรุงเลือดลม ก่อนจะหยิบยาขนาดเท่าเม็ดน้ำตาลยัดใส่ปาก
ชาติกำเนิดของซือหม่าผู้นี้ไม่นับว่าต่ำต้อย ท่านปู่ของเขาที่ในอดีตเป็นหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงถูกองค์หญิงฉางเล่อหมายตารับเป็นราชบุตรเขย จะนับไปแล้วก็เป็นพระญาติแท้จริงของต้าฉู่เช่นกัน ถึงแม้ราชวงศ์ต้าฉู่วันนี้จะมีอำนาจลดลง แต่สกุลฉู่มีฉู่จิ้งเฟิงที่เป็นท่านอ๋องบนหลังม้า ในมือกุมอำนาจทหารอย่างแท้จริงเอาไว้ และยังมีเขตอำนาจที่ห่างไกลจากเมืองหลวง จึงนับว่ามีอำนาจไม่ยิ่งหย่อนเลยจริงๆ
ตามหลักแล้ว พระญาติพระวงศ์เช่นนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับชาวเมืองเล็กๆ แถบเจียงหนานอย่างสกุลหลี่ของพวกเขาเลย แต่หลี่รั่วอวี๋กลับไปล่วงเกินซือหม่าผู้นี้ ตอนนี้สมองเสื่อมแล้วไปตกอยู่ในกำมือของเขา… เรื่องนี้…เรื่องนี้หากไปถึงช้าไป หลี่รั่วอวี๋ไม่ถูกซือหม่าบดกระดูกแหลกเป็นผุยผงไปแล้วหรือ!
เมื่อคิดเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็ทนไม่ไหว นึกโทษเสิ่นหรูป๋อที่อยู่ข้างกายว่าดูแลหลี่รั่วอวี๋อย่างไรกัน เหตุใดจึงปล่อยให้นางหนีหายไปได้
รอจนไปถึงกลางภูเขา ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ร้อนใจจึงยืนขึ้นบนรถม้า และเหลือบเห็นเงาร่างของบุตรสาวได้แต่ไกล…
เห็นบุตรสาวนั่งอยู่บนเนินเขาที่มีดอกไม้บานสะพรั่ง ในมือถือมาลัยดอกไม้ที่เพิ่งทำเสร็จ นางแย้มยิ้มสดใสก่อนจะสวมมันลงบนหัวชายหนุ่มหล่อเหลาผมขาวเงินร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ข้างกายนาง…
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ยืนต่อไปไม่ไหว ทรุดนั่งลงบนแผ่นไม้ในรถม้าทันที นางรู้สึกใจคอไม่ดี มองไปทางว่าที่ลูกเขยข้างกายที่มีสีหน้ากลัดกลุ้มเช่นเดียวกัน ในใจก็เกิดความละอายขึ้นมาบ้าง
บุตรสาวโง่งมของข้า เจ้า… เจ้าไปทำท่าทางสนิทสนมกับชายอื่นเช่นนี้ได้อย่างไร
แต่นอกเหนือความอึดอัดใจแล้ว นางรู้สึกวางใจลงได้ อย่างน้อยบุตรสาวก็นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างครบสามสิบสอง ทว่าชายหนุ่มผมขาวข้างกายนางเป็นผู้ใดกัน คิดถึงตรงนี้นางก็สั่นไปทั่วร่าง นึกถึงเรื่องที่พ่อบ้านเคยเล่าให้ฟัง เขาเคยเห็นหน้าตาของฉู่ซือหม่าตอนที่เข้าเมือง เป็นชายหนุ่มที่มีผมสีขาวเงินเต็มหัว… เช่นนั้นผู้ที่นั่งอยู่ข้างกายบุตรสาว หรือว่าจะเป็น…
ในตอนนี้เอง รถม้าของสกุลหลี่ก็ถูกผู้ใต้บัญชาของฉู่จิ้งเฟิงขวางไว้แต่ไกล “หยุดนะ! พวกเจ้าเป็นผู้ใด”
หลังจากเสิ่นหรูป๋อบอกฐานะและจุดประสงค์การมาของตนเองแล้ว องครักษ์เหล่านั้นกลับยังไม่ปล่อยรถม้า
“ใต้เท้าซือหม่าของพวกเรามาท่องเที่ยวล่าสัตว์ที่นี่ ท่านกลับกล้ามาทำลายความสนุก ยังไม่รีบกลับไปอีกหรือ!”
ยามนั้นเอง หลี่รั่วอวี๋ที่มองเห็นท่านแม่ของตนเองแต่ไกลยืนขึ้นอย่างดีใจ ก่อนจะยกแขนโบกมืองามมาทางพวกเขาอย่างมีความสุข
ฉู่จิ้งเฟิงหยิบมาลัยดอกไม้ออกจากหัวโยนไปด้านข้างอย่างเหยียดหยาม แล้วหันหน้าไปทางชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนหลังม้านั่น
คุณชายรองสกุลเสิ่น… รูปโฉมก็ไม่เท่าใด ได้ยินว่าเขากับหลี่รั่วอวี๋หมั้นหมายกันนานแล้ว และเป็นแขนซ้ายขวาให้แก่หลี่รั่วอวี๋ในสนามการค้า… คงจะมีความรักมั่นคงต่อกันมากกระมัง!
คิดถึงตรงนี้ เขากลับนึกถึงรสจูบในกระโจมเมื่อครู่ นางไม่มีความกระดากอายของหญิงสาวเลย ริมฝีปากที่ชำนาญนั้นราวกับกำลังลิ้มอาหารรสเลิศ นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะฝึกฝนให้ชำนาญได้ภายในวันเดียว
หรือว่านางกับว่าที่สามีของนาง...
คิดถึงตรงนี้ ใบหน้าของฉู่จิ้งเฟิงก็เครียดขมึงขึ้นมาอีกครั้ง เขาจ้องมองหญิงสาวข้างกายที่โบกไม้โบกมืออย่างแรง จู่ๆ ก็เกิดความคิดว่าจะให้นางกลับไปอยู่ข้างกายว่าที่สามีของนางอย่างมีความสุขไม่ได้
ดังนั้นเขาจึงโบกมือเอื่อยๆ ไปทางองครักษ์ของเขาเหล่านั้น เป็นสัญญาณให้พวกเขาปล่อยฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กับเสิ่นหรูป๋อเข้ามา
รอทั้งสองคนมาถึงตรงหน้า ฉู่จิ้งเฟิงจึงยืนขึ้น พูดไปทางกวนป้าที่อยู่ด้านข้าง “เอาเชือกมา มัดหลี่รั่วอวี๋แล้วส่งเข้าคุกเมืองเหลียวเฉิง!”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ฟังแล้วก็คิดอะไรไม่ออกไปทันที ทำได้เพียงคุกเข่าลงขอร้องฉู่ซือหม่า “ท่านซือหม่า ถ้าบุตรสาวข้าทำอะไรล่วงเกินใต้เท้า ข้าน้อยขอขมาใต้เท้าแทนนาง ขอใต้เท้าเห็นแก่ที่บุตรสาวข้าน้อยป่วยหนัก ปล่อยนางไปในครั้งนี้ด้วยเถิด”
เสิ่นหรูป๋อขมวดคิ้วเช่นกัน ประกบหมัดพูดว่า “ใต้เท้า เรื่องสัมภาระการทหารนั้นจัดการเสร็จแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดท่านจึงผิดคำพูด”
ในตอนนี้เอง เชือกเส้นหนาก็มัดไปบนตัวหลี่รั่วอวี๋แล้ว รอนางได้สติคืนมาก็มัดไว้อย่างแน่นหนา นางจึงเริ่มบิดตัวตะโกนร้องเสียงดัง
ฉู่จิ้งเฟิงไม่มองมาทางนางแม้แต่น้อย เขาเอ่ยพูดเสียงเย็นชา “ข้าไม่เคยรับปากอะไรคุณชายรองเสิ่น จะผิดคำพูดได้อย่างไร เดิมทีเห็นแก่หน้าพระมาตุลาไป๋ ปล่อยหญิงผู้นี้ไปสักครั้ง นางสมองเสื่อมไปแล้วจริงๆ มิน่าล่ะคุณชายรองเสิ่นยังยินดีจะแต่งกับนาง ยามว่างหยอกเล่นด้วยสักนิดก็ให้สนุกดี…”
ฟังถึงตรงนี้ กำปั้นของเสิ่นหรูป๋อก็กำแน่น ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อาจจะไม่ทันสังเกต แต่เพราะต้องสร้างสัมพันธ์ทางการค้า เขาจึงเข้าออกสถานเริงรมย์บ่อยครั้ง ย่อมแยกแยะออกได้อย่างชัดเจนว่า เหตุใดริมฝีปากของหลี่รั่วอวี๋ทั้งที่ไม่ได้ทาสีชาดแต่กลับบวมแดง…
นั่นเป็นหลักฐานที่ทิ้งไว้หลังจากถูกชายหนุ่มดูดชิมตามแรงปรารถนา!
ฉู่จิ้งเฟิงย่อมเห็นสายตาของเสิ่นหรูป๋อที่จ้องริมฝีปากของหลี่รั่วอวี๋ก็พลันรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมามาก พูดอย่างไม่รีบร้อนว่า “แต่เมื่อวานข้าได้รับรายงานว่าชายแดนทางเหนือตรวจสอบเจอเรือสินค้าสกุลหลี่บรรทุกสินค้าต้องห้ามไว้ มีฝิ่นเต็มสามลำเรือใหญ่…คิดจะวางยามอมเมาราษฎรครึ่งแคว้นของต้าฉู่หรือ!”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ฟังก็ตกใจจนเบิกตาโต นี่เป็นคดีมาจากที่ใดกัน ฝิ่นนี้เป็นของที่เพิ่งนำเข้ามาจากแคว้นตงอิ๋ง ได้ยินว่าทางนั้นผลิตขึ้นมาจากยาเส้นพิเศษชนิดหนึ่ง
ของสิ่งนี้ได้ยินว่าหากลองแล้วจะติดได้ และหากดูดกลืนมากเกินไปจะเป็นอันตรายถึงชีวิต ดังนั้นจึงมีการติดประกาศหลวงห้ามขายของเลวร้ายเช่นนั้น หากมีการตรวจพบ จะมีโทษถึงขั้นหัวหลุดจากบ่า!
ของ…ของแบบนี้จะมาปรากฏอยู่บนเรือสินค้าสกุลหลี่ได้อย่างไร
คิดถึงตรงนี้ นางก็มองไปทางเสิ่นหรูป๋ออย่างสงสัย
บทที่สี่
เสิ่นหรูป๋อได้ฟังคำพูดของฉู่จิ้งเฟิงแล้วก็รู้สึกตกใจ
สินค้าชุดนั้นไป๋จิ้งถัง บุตรชายของพระมาตุลาไป๋ไหว้วานให้เขาช่วยขนส่ง คนในเมืองหลวงจำนวนหนึ่งชอบสิ่งนี้ ขาดไม่ได้แม้แต่วันเดียว ไป๋จิ้งถังผูกขาดสินค้าไว้ผู้เดียว ทำให้มีเงินทองไหลมาเทมา แต่สินค้าหลายลำเรือนี้ระมัดระวังมาตลอดทาง เช่นนั้นเขารู้ได้อย่างไรกัน
ฉู่จิ้งเฟิงผู้นี้พูดจาเหมือนมีหลักฐาน เห็นทีคงจะยึดเรือสินค้าเอาไว้จริงๆ หากตกไปอยู่ในมือของขุนนางคนอื่นก็ยังดี แค่เจรจาขออำนวยความสะดวกก็คงเสร็จเรื่อง แต่บังเอิญถูกฉู่ซือหม่าจับได้ ตอนนี้คงจัดการได้ยากแล้ว
“ใต้เท้า สกุลหลี่ของพวกเราไม่มีทางไปเกี่ยวข้องกับของต้องห้ามเช่นนั้นแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้รั่วอวี๋ป่วยแล้ว นางไม่รู้อะไรเลย ใต้เท้า…” ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ยังคงพูดขอร้อง
ฉู่จิ้งเฟิงในตอนนี้มองตรงไปทางเสิ่นหรูป๋อที่อยู่ด้านข้าง พูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา “สินค้าชุดนี้ขนลงเรือไปก่อนเดือนสาม ผ่านมือคนมาตลอดทาง ตอนนี้เพิ่งจะเข้าเขตต้าฉู่ ข้ารู้มาตลอดว่าคุณหนูรองสกุลหลี่เป็นคนเข้มงวดมาก ถ้าไม่ใช่นางพยักหน้า ขบวนสินค้าสกุลหลี่จะกล้านำของเลวร้ายเช่นนี้ขึ้นเรือได้อย่างไร หากไม่ใช่นาง…ยังมีผู้ใดสามารถเป็นหลักรับความผิดนี้ได้อีก”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มองหน้าเสิ่นหรูป๋อเช่นกัน หวังว่าเขาจะเอ่ยปากโต้แย้งฉู่ซือหม่า อย่างน้อยก็รับผิดชอบไปก่อน ให้ฉู่ซือหม่าปล่อยหลี่รั่วอวี๋ กลับไปค่อยตรวจสอบหาสาเหตุอย่างละเอียด
แต่ว่าที่ลูกเขยของนางแม้จะขมวดคิ้วแน่น แต่กลับปิดปากไม่พูดจา ปล่อยให้ทหารเหล่านั้นลากตัวหลี่รั่วอวี๋ที่ตื่นตกใจไปข้างรถม้าอย่างกักขฬะ จากนั้นฉู่จิ้งเฟิงก็หมุนตัวขึ้นม้า และกองกำลังกลุ่มใหญ่ก็จากไปอย่างรวดเร็ว
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เห็นบุตรสาวถูกทำรุนแรง หัวใจก็เริ่มร้อนรน ทำได้เพียงร้องไห้พูดกับเสิ่นหรูป๋อว่า “รั่วอวี๋ไม่มีทางขนส่งของต้องห้ามแน่นอน เจ้าต้องช่วยรั่วอวี๋”
เสิ่นหรูป๋อไม่มีแก่ใจจะปลอบฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ หลังจากรีบรับปากแล้วก็รีบร้อนขี่ม้าไปพบเว่ยกงกงที่จวนสิ่งทอ เว่ยกงกงผู้นี้ก็คือเส้นสายที่พระมาตุลาไป๋จัดวางไว้ในเจียงหนาน ตอนนี้ทำได้เพียงไปปรึกษาแผนรับมือกับเขาแล้ว
ทางด้านฉู่ซือหม่านับว่าสมดังใจ นำตัวหลี่รั่วอวี๋กลับมาได้ครบสามสิบสอง
เมื่อไปถึงที่พักรับรองแล้ว เขายังไม่ลงจากม้า ก็เป็นกวนป้าสั่งให้ทหารส่งรถม้าที่คุมขังหลี่รั่วอวี๋เอาไว้ออกไป แล้วจึงส่งเสียงพูดว่า “เตรียมจะไปที่ใดหรือ”
กวนป้าตอบอย่างสงสัย “ส่งไปยังคุกที่ว่าการอำเภออย่างไรเล่าขอรับ… ทำไมหรือ นายท่านมีคำสั่งอื่นหรือขอรับ”
ฉู่จิ้งเฟิงนิ่งเงียบไปชั่วครู่จึงเอ่ยขึ้น “นักโทษหญิงโทษหนักอย่างนี้ รับรองได้ยากว่าจะไม่มีเรื่องการปล้นคุก คุกในอำเภอเล็กแบบนี้ไม่ค่อยแข็งแรง สู้คุมตัวนางไว้ที่ที่พักรับรองนี่ชั่วคราวก่อนดีกว่า”
ซือหม่าพูดแล้ว กวนป้าไม่มีเหตุผลจะไม่เชื่อฟัง เขาจึงพยักหน้ารับคำทันที จากนั้นก็สั่งให้ทหารนำตัวหลี่รั่วอวี๋ลงมาจากรถม้า คุมตัวเข้าไปในห้องเก็บฟืนของที่พักรับรอง
ฉู่จิ้งเฟิงเดิมก็ไม่ชอบพูดมาก ทว่าเหลือบเห็นเชือกเหมือนจะมัดแน่นจนเกินไป ทำให้ข้อมือคู่งามและผิวขาวนวลที่เห็นแล้วต้องหลงใหลนั้นเกิดเป็นรอยแดง อีกทั้งหลี่รั่วอวี๋ก็ร้องไห้ตลอดทางจนดวงตาโตบวมแดง สะอื้นอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ แม้จะเป็นคนที่ใจร้ายเห็นแล้วยังต้องใจสั่น เขาจึงเลิกคิ้วขึ้นพลางพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “คนเลวคนใดเป็นคนมัดเชือก แค่หญิงสาวที่อ่อนแอไร้แรงสู้ เหตุใดต้องใช้แรงมากอย่างนี้ด้วย!”
ทหารผู้หนึ่งคุกเข่าลงรับผิดทันที “เรียนซือหม่า ข้าน้อยเองขอรับ…”
ฉู่จิ้งเฟิงปกตินับว่าดีต่อผู้ใต้บัญชา แต่วันนี้กลับทำหน้าตาดุร้าย “กินจนจุกเกินไป ไม่มีที่ให้ออกแรงแล้วหรือไร เช่นนั้นวันนี้ไม่ต้องกินอาหารเย็นแล้วกระมัง”
กวนป้าฟังอยู่ด้านข้างก็ตกใจ สะดุ้งขนลุกขึ้นมาแล้วรีบพูดว่า “ยังไม่รีบไปแก้มัดแล้วไปรับความผิดอีก!” ตำหนิทหารที่ไม่รู้จักอ่านสีหน้าแล้ว กวนป้าก็หันมาขอความเห็นจากอีกฝ่าย “นายท่าน นักโทษหญิงผู้นี้เป็นนักโทษร้ายแรง ขังในห้องเก็บฟืนไม่มีคนไว้ใจได้คอยดูแลคงไม่เหมาะสม บ่าวขอคุมตัวนางไปห้องที่อยู่ข้างนายท่านดีหรือไม่ ถ้ามีความเคลื่อนไหวอะไร นายท่านต้องรู้ตัวแน่นอน จะได้ทำการป้องกันก่อนที่เหตุร้ายจะเกิดขึ้น…”
ทหารด้านข้างที่ไม่ได้กินอาหารน้ำตาแทบไหล สัมผัสได้ถึงความแตกต่างราวฟ้ากับดินระหว่างแม่ทัพกวนกับตนเองอีกครั้ง การสังเกตคำพูดและสีหน้าเช่นนี้ฝึกฝนหลายปีก็ยังเรียนรู้ไม่ได้จริงๆ
ฉู่จิ้งเฟิงได้ฟังก็พยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง จากนั้นก็ก้าวยาวเข้าที่พักรับรองไป
หลี่รั่วอวี๋ถูกลากตัวเข้าไปในห้องสะอาดสะอ้านเรียบร้อยห้องหนึ่ง
นางไม่รู้ว่าท่านแม่เห็นนางแล้วเหตุใดจึงไม่พากลับบ้านไปด้วย แต่รู้อย่างแน่ชัดว่าชายหนุ่มผมขาวเป็นคนเลวที่สุด ก่อนหน้านี้ยังพานางไปจับไก่ป่า เด็ดดอกไม้ป่าอยู่เลย ถึงขั้นลอยตัวขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่เด็ดผลไม้ป่าอร่อยมากลงมาให้นางกิน ปลอบจนนางกลับมาหัวเราะได้อีกครั้ง รู้สึกว่าเขาเป็นคนดีผู้หนึ่ง นางจึงตั้งใจทำมาลัยดอกไม้ให้เขา ไม่คิดว่าชั่วขณะต่อมาเขาจะปล่อยให้คนเลวมารังแกนาง
ยามนี้ตรงประตูมีชายฉกรรจ์หน้าตาน่ากลัวเฝ้าประตูสองคน ยื่นหน้ามองจากหน้าต่างเป็นอาคารสูงสามชั้น โอกาสที่นางจะหลบหนีเลือนรางมาก อารมณ์ของหลี่รั่วอวี๋ก็ยิ่งหดหู่…
นางสะบัดรองเท้าออกแล้วนอนขดตัวอยู่บนเตียง ยื่นหน้าออกมาจากผ้าห่มมองดูดวงจันทร์ที่ลอยเด่น รูปร่างกลมๆ นั้นเหมือนขนมแป้งงาจี่ที่แม่ครัวที่บ้านทำให้… ไม่นานก็มีสาวใช้มาส่งอาหาร ได้กลิ่นหอมแล้วน่ากินมาก แต่หลี่รั่วอวี๋ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่กินอาหารของคนเลว ไม่ว่าสาวใช้นั้นจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ยังไม่ยอมขยับ
สาวใช้เกลี้ยกล่อมไม่ไหว จึงวางอาหารลงแล้วหมุนตัวเดินออกไป
ต่อมาในห้องก็เงียบสงบลงอีกครั้ง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ลานด้านล่างนอกหน้าต่างดูเหมือนจะมีเสียงดังสวบๆ หลี่รั่วอวี๋จึงยื่นหน้าออกมาจากผ้าห่ม ในที่สุดก็ลงจากเตียงอย่างทนไม่ไหว ก่อนจะยืนอยู่ข้างหน้าต่างมองลงไปและเห็นชายหนุ่มผมขาวสวมเสื้อตัวยาวโคร่งยืนอยู่ในลานด้านหลัง มือถือกระบี่ฝึกวรยุทธ์อยู่ใต้แสงจันทร์
ร่างของเขาเบาพลิ้วแต่แข็งแรง เสื้อตัวยาวขยับไปตามการเคลื่อนไหวของคมกระบี่ ดูราวกับเทพเซียนเหาะเหิน ทำให้คนเห็นไม่อาจละสายตาได้…
หลี่รั่วอวี๋ดูจนเพลิน ลืมความคิดในตอนแรกที่ตัดสินใจว่าจะไม่มองหน้าคนเลวผู้นี้อีก สุดท้ายก็พาดตัวไปบนหน้าต่างแคบ วางหน้าบนแขนแล้วก้มลงมองข้างล่าง ทันใดนั้นก็เห็นเขาแตะปลายเท้าบนพื้น หมุนตัวมามองทางนางอย่างรวดเร็ว ประสานสายตากับนางเข้าพอดี
หลี่รั่วอวี๋รู้สึกเสียหน้าขึ้นมาทันที รู้ตัวว่าทรยศปณิธานในตอนแรกของตนเองแล้ว จึงรีบย่อตัวลงแกล้งทำเป็นไม่ได้แอบมองเขา
ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากทางบันได เพียงชั่วครู่ประตูก็ถูกเปิดออกและได้กลิ่นหอมสดชื่นของสมุนไพรลอยมาแตะจมูก ก่อนที่รองเท้าหนังวัวคู่หนึ่งจะมาปรากฏต่อหน้านาง
ตอนที่ฉู่จิ้งเฟิงได้ยินว่าหลี่รั่วอวี๋ไม่ยอมกินอาหารก็ตัดสินใจจะไม่สนใจนาง ความใจอ่อนของตนเองได้ใช้ไปจนหมดแล้วเมื่อกลางวัน หากนางอยากจะงอนเป็นเด็กๆ ก็ปล่อยให้นางหิวไปสักสองสามมื้อ ถึงตอนนั้นนางย่อมยอมกินแต่โดยดีเอง
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อถึงเวลาอาหารเย็นเขากลับกลืนอาหารไม่ลง อยู่ต่อหน้าเนื้อผัดพริกแห้งและน้ำแกงเนื้อเป็ดแปดทรัพย์ที่พ่อครัวบรรจงทำกลับหมดความอยากอาหารไปเสียอย่างนั้น
สุดท้ายเขาจึงถือกระบี่มากลางลานระบายความกลัดกลุ้มในใจ
ตามที่เขาเห็น ถึงแม้นางจะไม่ได้หัวร้างข้างแตก แต่ก็กลายเป็นคนตาบอดใจบอด ว่าที่สามีที่ไม่เอาไหนของนางนั้น ความทะเยอทะยานและแผนร้ายในดวงตานั้นไม่อ่อนด้อยไปกว่าพวกที่โชกโชนอยู่ในสนามขุนนางมานานหลายปีเลย
ที่มาที่ไปของของต้องห้ามหลายลำเรือนั้นไม่ต้องตรวจสอบเขาก็พอจะเดาเรื่องราวได้อย่างชัดเจน เดิมทีไม่อยากสนใจเรื่องเลวร้ายของสกุลไป๋ แต่ตอนเห็นคนแซ่เสิ่นนั้นใช้สายตาเหมือนตรวจสอบสิ่งของของตนเองมองดูนางสมองเสื่อมผู้นี้แล้ว เขาก็รู้สึกโกรธจนแน่นอก จึงเพียงพูดเพื่อสร้างความลำบากใจให้
ทว่าพอบังเอิญหันหน้าไป เขาก็มองเห็นใบหน้างดงามน่ารักนั้นทันที นางกำลังยืนพาดหน้าต่างเหม่อมองมาที่เขา ความกลัดกลุ้มในใจเขาพลันสลายหายไปในทันใด
ก็แค่คนสมองเสื่อมผู้หนึ่ง จะไปงัดข้ออะไรกับนาง
เมื่อหาข้ออ้างเหมาะสมได้แล้ว เขาก็ทรยศปณิธานที่จะไม่สนใจในตอนแรกไปอย่างสบายใจ ก่อนจะก้าวขึ้นบันได ผลักเปิดประตูและมาถึงตรงหน้านาง
ภายใต้แสงจันทร์ นางย่อตัวนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง ขดตัวเป็นก้อนกลมเล็กๆ ราวกับเป็นเด็กน้อยที่น่าสงสารไม่มีผู้ใดสนใจ
ฉู่จิ้งเฟิงหลุบตาลงมองอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็สะกดความคิดอยากจะดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดเอาไว้ได้
ตอนนี้นางเป็นคนสมองเสื่อมไปแล้ว แต่เขายังไม่ลืมคำพูดของนางในตอนที่นางยังมีสติครบถ้วนสมบูรณ์ดี
คืนนั้นเป็นคืนจันทร์สว่างไร้ดวงดาวแบบนี้เช่นกัน ฉู่จิ้งเฟิงนั่งอยู่ในศาลายาว มือถือถ้วยหยกใส่สุรารสเลิศ เขายังไม่ทันเอ่ยปาก นางก็รู้ตัวชิงพูดขึ้นก่อน พูดเป็นนัยว่าตนเองใกล้จะแต่งงานแล้ว อีกไม่กี่วันต้องเดินทางกลับบ้าน งานที่เหลือสามารถไปขอให้พ่อบ้านสกุลหลี่ที่อยู่ทางเหนือจัดการได้
การปฏิเสธของนางก็เหมือนวิธีการทำงานของนาง หมดจดปราดเปรียวและไม่เสียมารยาท ในคืนนั้น เขาที่ได้ฉายาพันจอกไม่เมาหลังจากกลับเข้าค่ายแล้ว เป็นครั้งแรกที่ดื่มจนเมามาย ความรักในคราแรกนี้ ยังไม่ทันเริ่มต้นก็ถูกปฏิเสธเสียแล้ว เขารู้ดีว่าชาตินี้ไม่มีวาสนากับนางอีก เพราะศักดิ์ศรีของเขาฉู่จิ้งเฟิงจะไม่ยอมให้ตนเองไปรักหญิงที่มีสามีเด็ดขาด
หญิงสาวน่ารังเกียจผู้นี้กุมจุดอ่อนของเขาไว้จึงได้โอหังเช่นนี้ บังอาจทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ วันนี้นางสมองเสื่อมจนถึงขั้นนี้ นับว่าเป็นกรรมคอยตามสนองนางอย่างเงียบๆ แล้ว
เมื่อคิดเช่นนี้ ความสงสารแต่เดิมของเขาที่ถูกความน่าสงสารของนางกระตุ้นให้เกิดขึ้นก็สลายหายไปจนหมด
ฉู่จิ้งเฟิงหมุนตัวจะเดินจากไป แต่พบว่าชายเสื้อของตนเองถูกกระชากไว้ เขาจึงก้มลงดูก็พบว่ามือข้างหนึ่งของนางดึงชายเสื้อเขาไว้พลางกะพริบดวงตาโตที่มีน้ำตาเอ่อ “ปวดท้อง…” พูดจบก็ขยับเข้ามาซบอิงข้างขาของเขา ตัวสั่นอย่างเจ็บปวด…
ที่แท้สองวันมานี้นางไม่ได้กินอาหารดีๆ เลย มีเพียงเมื่อกลางวันนี้กินเนื้อกระต่ายเสียบไม้ที่มันเลี่ยน กอปรกับภายหลังฉู่จิ้งเฟิงเก็บผลไม้ป่ามาให้นาง กินปะปนกันเช่นนี้จึงทำให้มวนท้อง หลี่รั่วอวี๋รอนแรมทำการค้านอกบ้านเป็นประจำจึงเป็นโรคกระเพาะตั้งแต่อายุยังน้อย หลายวันมานี้อาหารสามมื้อไม่ได้กินตามเวลา อาการปวดท้องจึงกำเริบอีกครั้ง
แต่ตอนนี้ความคิดของนางแปรเปลี่ยนไปเหมือนเด็ก จึงแยกไม่ออกถึงความแตกต่างระหว่างปวดกระเพาะกับปวดท้อง จึงเหมารวมว่าเป็นอาการปวดท้อง
ฉู่จิ้งเฟิงขมวดคิ้วยกตัวนางขึ้นด้วยมือเดียว เห็นตำแหน่งที่มือของนางกุมไว้ เพียงเห็นก็รู้ว่าอาการปวดกระเพาะของนางกำเริบอีกแล้ว
เขาขมวดคิ้วแน่นพลางอุ้มนางไปวางลงบนเตียงดีๆ แล้วตามท่านหมอมาตรวจชีพจร เขียนใบสั่งยาให้นาง หลี่รั่วอวี๋จับคอเสื้อของฉู่จิ้งเฟิงแน่นไม่ยอมปล่อย
อาหารบนโต๊ะที่ทิ้งไว้จนเย็นชืดถูกยกออกไปหมดแล้ว ไม่ต้องให้ท่านซือหม่าเอ่ยปาก กวนป้าก็เข้าใจความประสงค์ สั่งให้พ่อครัวของที่พักรับรองเคี่ยวข้าวต้มฟักทองซานเย่า* ให้ทันที
เห็นแก่นางที่ป่วยจนเหมือนดอกไม้เหี่ยวเฉา และยังเกาะเขาไม่ยอมปล่อย ฉู่จิ้งเฟิงจึงกล่อมให้นางกินข้าวต้มหมดไปครึ่งชามอย่างอดทน
ท่านหมอส่งยาที่เคี่ยวเสร็จแล้วมาให้ แต่ยาน้ำนี้รสชาติขมมาก หลี่รั่วอวี๋แลบลิ้นไปแตะเล็กน้อยก็ไม่ยอมกินแล้ว แม้แต่มือที่จับเขาไว้แน่นก็ยังคลายออก ใช้ประโยชน์จนหมดแล้ว ก็อยากให้เขาหายตัวไปทันใด
ฉู่จิ้งเฟิงถูกนางที่หลบไปมาใต้ผ้าห่มทรมานจนหมดความอดทนแล้ว จึงตัดสินใจอมยาคำโต จากนั้นพลิกเปิดผ้าห่ม ฉุดนางเข้ามาในอ้อมอกด้วยมือข้างเดียว จากนั้นก็ป้อนยาด้วยปาก ยึดปากเล็กของนางเอาไว้ กรอกน้ำยาขมเฝื่อนนั้นเข้าปากของนางไปจนหมด
ริมฝีปากที่เมื่อกลางวันยังหวานชื่นมีกลิ่นหอมจางๆ ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นขมเฝื่อนยากจะกลืน หลังจากหลี่รั่วอวี๋สมองเสื่อม นี่เป็นครั้งแรกที่นางใช้ริมฝีปากรับรู้ถึงความปลิ้นปล้อนของชายหนุ่ม
รอจนยาออกฤทธิ์ คนโง่งมนอนหลับสนิทไปในที่สุด ทว่าก็เป็นเวลาค่ำแล้ว
ฉู่จิ้งเฟิงเดิมทีคิดจะกลับห้องไปนอนพักผ่อน แต่กวนป้ากลับรีบร้อนมารายงาน
“นายท่าน เว่ยกงกงจากจวนสิ่งทอมาเยือนยามค่ำขอรับ”
ฉู่จิ้งเฟิงหัวเราะเย็นชาขึ้นทันที
ช่างมาเร็วเสียจริง!
เว่ยกงกงเป็นคนที่เก่งมากผู้หนึ่ง เดิมทีเขาเป็นคนสนิทของไป๋เฟยในวัง ภายหลังได้รับความไว้วางใจใช้งานจากพระมาตุลาไป๋ มาดูแลจัดการจวนสิ่งทอที่เจียงหนาน ตักตวงเงินทองให้สกุลไป๋ เป็นมือดีอันดับหนึ่งเลยทีเดียว คิดว่าคงเป็นเสิ่นหรูป๋อไปส่งข่าวให้เว่ยกงกง ทำให้รู้ว่าเขายึดสินค้าชุดนั้นเอาไว้แล้ว
เว่ยกงกงแม้จะตัดส่วนล่างนั้นไปแล้ว แต่พูดจาทำงานยังคงหมดจดปราดเปรียว หลังจากพูดทักทายฉู่จิ้งเฟิงไม่กี่ประโยคแล้ว ก็ใช้ความตรงไปตรงมาในตอนเจรจาการค้า ถามขึ้นตามตรงว่าต้องทำอย่างไรเขาจึงจะยอมปล่อยสินค้าไป
“ท่านซือหม่า ข้าน้อยรู้ว่าท่านหากไม่เห็นกระต่ายคงไม่ปล่อยเหยี่ยว จะให้ท่านปล่อยไปเสียเปล่า คิดว่าท่านคงไม่ทำแน่นอน ตอนนี้ท่านกับหยวนซู่คุมพื้นที่เฮยสุ่ยคนละส่วน สงครามบนแม่น้ำยากจะหลีกพ้น เรือรบที่กรมโยธาสร้างขึ้นมีคุณภาพดีเยี่ยม เทียบฝั่งได้เร็ว ถ้าซือหม่าต้องการ ข้าน้อยยินดีจะเป็นตัวตั้งตัวตีมอบภาพผังให้ซือหม่าดีหรือไม่”
ฉู่จิ้งเฟิงได้ฟังก็ยิ้มเย็นชา “เว่ยกงกงเป็นนักเจรจาที่เก่งจริงๆ รู้ว่าข้าต้องการอะไร แต่ว่า…เว่ยกงกงดูเหมือนจะประเมินความต้องการของข้าต่ำเกินไป แค่ภาพผังที่ไม่สมบูรณ์แผ่นหนึ่ง ก็คิดจะแลกกับสินค้าต้องห้ามหลายลำเรือนั้นหรือ คำนวณแล้วจะมองอย่างไรล้วนเป็นการค้าขายที่ข้าเสียเปรียบ!”
ความเคยชินของคุณหนูรองสกุลหลี่คือภาพผังการต่อเรือที่ส่งมอบให้อู่เรือล้วนไม่ใช่ภาพที่สมบูรณ์ ส่วนประกอบที่สำคัญในนั้นต้องให้อู่เรือสกุลหลี่เป็นคนสร้างให้เท่านั้น แม้จะเป็นการต่อเรือรบให้เขาก็ตามล้วนทำเช่นนี้ ภายหลังเพราะความสัมพันธ์กับสกุลหลี่เลวร้ายลง เรือรบหลายลำนั้นหลังจากสร้างเสร็จแล้ว แต่เพราะขาดชิ้นส่วนสำคัญไป ถึงตอนนี้จึงยังจอดไว้ในอู่เรือเหมือนเศษขยะ
เว่ยกงกงกลับยิ้มอย่างได้ใจ “ในจุดนี้ ฉู่ซือหม่าคงไม่รู้ ถึงแม้คุณหนูรองหลี่จะสมองเสื่อมไป แต่คนที่สืบทอดวิชามหัศจรรย์ของสกุลหลี่ไม่ได้มีเพียงนางแค่คนเดียว! ตอนนี้คุณหนูสามหลี่ยอมออกหน้า วาดภาพผังแผ่นใหม่ออกมาแล้ว อีกไม่กี่วันเรือใหม่ก็สามารถลงน้ำลองล่องดูได้แล้ว ฉู่ซือหม่า ท่านคงไม่ยินดีจะให้เรือรบหลายลำในอู่เรือของตนเองกลายเป็นเศษขยะไปตลอดกระมัง ขอเพียงท่านพยักหน้า เรือรบหลายลำนั้นก็สามารถฟื้นจากความตายได้แล้ว”
เห็นฉู่จิ้งเฟิงยังคงมีท่าทางไม่เชื่อ เว่ยกงกงจึงหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “อีกสองสามวัน จะมีคนส่งเรือจำลองย่อส่วนมาให้ท่าน จริงหรือเท็จท่านแค่ดูก็จะรู้ เรือรบที่คุณหนูสามหลี่ออกแบบเองจะเปิดเผยเป็นครั้งแรกในงานแข่งต่อเรือในอีกสามเดือนข้างหน้า หลังจากผู้สืบทอดคนใหม่สกุลหลี่ผู้นี้มีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว เกรงแต่ว่าแม้เรือลำเดียวก็ยากจะขอได้ ท่านซือหม่าไม่รีบฉวยโอกาสเอาไว้ คงจะพลาดโอกาสใช้งานเรือรบนี้ไปเสียแล้ว”
ฉู่จิ้งเฟิงหรี่ตาลงเล็กน้อย พลางหัวเราะเบาๆ แล้วพูดขึ้น “เช่นนั้นข้าจะคอยเรือจำลองที่เว่ยกงกงจะส่งมาเพื่อเห็นเป็นขวัญตา”
ตอนเว่ยกงกงจะกลับไปก็เอ่ยปากพูดต่อว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง คุณหนูรองหลี่ตอนนี้กลายเป็นคนสมองเสื่อมรักษาไม่ได้แล้ว หวังว่าท่านซือหม่าจะใจกว้าง ปล่อยนางกลับคฤหาสน์ไปเถอะ อีกสิบวัน นางก็จะแต่งงานกับคุณชายรองเสิ่นแล้ว ท่านคุมตัวนางไว้เช่นนี้ หากมีข่าวลือออกไปคงไม่ดีไม่ใช่หรือ”
ฉู่จิ้งเฟิงเบ้มุมปาก ไม่ได้ตอบกลับและไม่ได้ปฏิเสธ
ด้านเสิ่นหรูป๋อหลังจากได้รับการตอบกลับจากเว่ยกงกงแล้วก็สบายใจ รีบไปรายงานที่คฤหาสน์สกุลหลี่ทันที
หลังจากฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ยินว่าเรื่องราวมีความเปลี่ยนแปลง ฉู่ซือหม่าอาจจะปล่อยตัวคนก็รู้สึกเบาใจ พูดอมิตาภพุทธไม่หยุด
แต่ตอนได้ยินว่าหลี่เสวียนเอ๋อร์วาดภาพผังต่อเรือจำลองได้จึงหันไปมองอย่างสงสัย
เคล็ดวิชาที่สืบทอดจากบรรพชนสกุลหลี่ การสืบทอดต้องไม่มีความผิดพลาดใด การให้เรือนี้ล่องไปบนคลื่นทะเล ขนชีวิตคนนับไม่ถ้วน จะให้คนที่ไม่ชำนาญวิชามาใช้ชื่อของสกุลหลี่หลอกลวงคนไม่ได้
ในอดีตที่สามีของนางถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้แก่บุตรสาวคนรองก็เป็นการทำผิดประเพณีสกุลแล้ว อีกทั้งนางยังไม่เคยเห็นสามีถ่ายทอดวิชาให้แก่หลี่เสวียนเอ๋อร์เลยด้วยซ้ำ
ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่หันมองไปอย่างสงสัย หลี่เสวียนเอ๋อร์ก็นั่งนิ่งอยู่ข้างโจวอี๋เหนียงมารดาของนาง ไม่ก้มหน้าก้มตาเหมือนที่ผ่านมา ปลายคางนั้นเชิดขึ้นเล็กน้อย ไม่อ่อนข้อไม่วางก้าม
หลังจากนางช้อนตาขึ้นเหลือบมองเสิ่นหรูป๋อแวบหนึ่งแล้วก็เอ่ยปากพูดว่า “แม่ใหญ่ ตอนนี้พี่รองตกอยู่ในความลำบาก เสวียนเอ๋อร์ย่อมต้องพยายามสุดกำลังไปช่วยพี่รอง เมื่อก่อนพี่รองเคยถ่ายทอดเคล็ดวิชาต่อเรือให้ข้ามาบ้าง แม้เสวียนเอ๋อร์จะโง่งมทึ่มทื่อ ไม่ฉลาดเฉลียวเหมือนพี่รองที่เรียนรู้ได้ไว แต่ก็พอมีความรู้เบื้องต้นบ้าง อาศัยภาพผังที่พี่รองเหลือทิ้งเอาไว้ ต่อเรือที่สมบูรณ์สักลำก็ไม่ยาก… แต่เสวียนเอ๋อร์มีเรื่องหนึ่งจะขอร้อง ไม่รู้ว่าแม่ใหญ่จะยอมรับปากหรือไม่”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยถามขึ้น “จะขอร้องอะไรหรือ”
หลี่เสวียนเอ๋อร์พูดอย่างหนักแน่น “ก่อนหน้านี้เพราะเสวียนเอ๋อร์เป็นห่วงพี่รอง จึงอยากจะแต่งงานไปพร้อมกับนาง แต่คุณชายรองไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เสวียนเอ๋อร์เดิมคิดว่าคุณชายรองรังเกียจเสวียนเอ๋อร์ จึงได้เอ่ยปากปฏิเสธ ผู้ใดจะรู้ว่าเขากลับฝากคำพูดมาถึงท่านแม่ ที่แท้เขาไม่อยากจะสร้างความน้อยเนื้อต่ำใจให้เสวียนเอ๋อร์ อยากให้เสวียนเอ๋อร์กับพี่รองมีฐานะเท่าเทียมกัน แต่งเข้าเป็นภรรยาเอกเช่นเดียวกัน…”
พูดถึงตรงนี้ ใบหน้านางก็แดงเรื่อ ราวกับหญิงสาวเพิ่งมีความรักแรกแย้ม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูดกับฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ด้วยรอยยิ้ม “คุณชายรองเสิ่นมีความคิดจะแต่งพี่สาวน้องสาวเช่นเดียวกับอดีตฮ่องเต้ ไม่รู้ว่าแม่ใหญ่จะอุ้มสมข้ากับพี่รอง ภายหน้าให้เสวียนเอ๋อร์ได้อยู่เคียงข้างพี่รองไปนานๆ ได้หรือไม่”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่แม้บางครั้งจะใจอ่อนเลอะเลือนไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ นี่มันเรื่องอะไร บุตรสาวคนรองของตนเองยังอยู่ทนทุกข์ในคุกของฉู่ซือหม่า แต่หลี่เสวียนเอ๋อร์กลับไม่เลือกเวลามาพูดเรื่องเดิมอีกครั้ง ไม่ใช่เพื่อบีบบังคับอย่างนั้นหรือ
ตอนนี้นางจึงเหลือบมองเสิ่นหรูป๋อที่ก้มหน้าหลุบตาไม่พูดไม่จาอยู่ด้านข้างแวบหนึ่งแล้วพูดอย่างเย็นชา “เรื่องเหล่านี้ ข้ากับท่านแม่เจ้าค่อยปรึกษากันอีกที ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือช่วยพี่รองของเจ้าออกมามากกว่ากระมัง”
หลี่เสวียนเอ๋อร์ไม่ยินยอมให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ปล่อยเรื่องเลยตามเลยไปเช่นนี้ จึงลุกขึ้นคุกเข่าพูดว่า “ตอนนี้พี่รองหาเรื่องให้สกุลหลี่ไม่เว้นวัน โชคดีที่ได้คุณชายรองเสิ่นไม่ทิ้งขว้าง ทว่าแม่ใหญ่ต้องคำนึงถึงชื่อเสียงของคุณชายรองเสิ่นบ้าง ถ้าพี่รองถูกราชสำนักคาดโทษจริง ถูกเนรเทศ ท่านยังอยากให้สกุลเสิ่นได้รับความลำบากอย่างนั้นหรือ ตอนนี้เทียบมงคลถูกแจกไปทั่วแล้ว อีกสิบวันก็จะมีแขกมาถึงบ้าน ถ้าพี่รองไม่กลับมา เกี้ยวมงคลของสกุลเสิ่นจะให้ยกกลับไปทั้งที่ยังว่างหรือ คุณชายรองเสิ่นมีน้ำใจและคุณธรรมกับสกุลหลี่ เสวียนเอ๋อร์ทนไม่ไหวที่จะให้คุณชายรองเสิ่นต้องถูกคนว่าร้าย ยินดีจะแต่งงานเข้าไปก่อนพี่รอง รอพี่รองกลับมาอย่างปลอดภัย ค่อยรับพี่รองเข้าคฤหาสน์อีกที”
ในตอนนี้หล่งเซียงสาวใช้ของหลี่รั่วอวี๋ทนฟังต่อไปไม่ไหวจึงถลึงตาพูดเสียงดังว่า “ทำไมเจ้าคะ ความหมายของคุณหนูสามคือ ท่านแต่งเข้าบ้านก่อน จะให้คุณหนูรองที่เป็นภรรยาเอกแต่งเข้าทีหลังเหมือนเป็นอนุอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
ความน่ารักโอนอ่อนผ่อนตามของหลี่เสวียนเอ๋อร์ที่ผ่านมาหายไปแล้ว นางเชิดปลายคางขึ้นพูดทีละคำอย่างชัดเจน “ถ้านางลบล้างความผิดได้ไม่ทันเวลา จะแต่งเข้าบ้านเมื่อใดก็ยังไม่แน่เลย”
คำพูดที่พูดออกมาอย่างใจดำฟังชัดเจนเช่นนี้ แม้แต่โจวอี๋เหนียงก็ยังถลึงตาใส่นางอย่างทนไม่ไหว
แท้จริงแล้วหลี่เสวียนเอ๋อร์ก็ทนเก็บกดในใจเช่นกัน มาถึงช่วงสำคัญนี้แล้ว แต่เสิ่นหรูป๋อกลับไม่ได้พูดกับฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เรื่องจะให้พี่น้องแต่งงานพร้อมกันเลย แม้แต่เมื่อครู่ตอนที่นางเอ่ยปากพูด เขายังถลึงตาใส่นางอีกด้วย นางจึงทนไม่ไหวพูดสร้างความลำบากใจทันที คำพูดจึงแสลงหูอย่างเลี่ยงไม่ได้
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่แม้จะใจกว้างกับคุณหนูสามบุตรสาวภรรยารองมาตลอด แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงงานแต่งงานของบุตรสาวตนเอง จะไม่มีจิตใจเอนเอียงได้อย่างไร ตอนนี้ในใจนางไม่พอใจอย่างมาก พูดเสียงดังขึ้นว่า “เสวียนเอ๋อร์ เจ้าพูดอะไร! เจ้าหวังอยากให้พี่รองของเจ้าเกิดเรื่องขึ้นให้ได้อย่างนั้นหรือ”
แม้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จะโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ แต่หลี่เสวียนเอ๋อร์กลับไม่ยอมอ่อนข้อ พูดด้วยเสียงดังกังวาน “เสวียนเอ๋อร์แค่พูดความจริงที่ทุกคนรู้อยู่แก่ใจดีแล้ว ซือหม่าผู้นั้นไม่ลงรอยกับพี่รองอยู่แล้ว ตอนนี้พี่รองมีชนักติดหลังทั้งยังตกอยู่ในมือของเขา เขาจะไม่จัดการได้อย่างไร แผนในตอนนี้ ย่อมต้องเป็นการแก้ไขเรื่องด่วนเฉพาะหน้า รักษาหน้าตาของหลี่เสิ่นสองสกุลเอาไว้จึงจะถูก”
พูดจบนางก็เหลือบมองเสิ่นหรูป๋อที่อยู่ด้านข้าง กลับเห็นเขาไม่ขยับเขยื้อน ในใจก็รู้สึกโมโห เขาคิดอะไรอยู่กันแน่ ถึงขั้นนี้แล้วเหตุใดจึงไม่พูดไม่จาอีก
ในตอนนี้เอง บ่าวเฝ้าประตูก็มารายงานว่า ฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นมาที่คฤหาสน์ด้วยตนเอง
ฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นมีอายุน้อยกว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เล็กน้อย แม้สกุลเสิ่นจะตกต่ำมาระยะหนึ่ง แต่นางกำเนิดในครอบครัวขุนนาง สวมเสื้องามกินอาหารดีมาแต่เด็ก ทุกอย่างล้วนต้องประณีต จึงดูสูงสง่าราวปุยเมฆลอยสูงอยู่บนฟ้าไม่แตะดินแม้แต่น้อย
เดิมทีใจนางดูถูกครอบครัวพ่อค้าอย่างสกุลหลี่อยู่แล้ว เมื่อคิดว่าหญิงที่ใกล้จะมาเป็นลูกสะใภ้เป็นคนสมองเสื่อมพาออกงานไม่ได้ ความอึดอัดรำคาญใจนี้ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เมื่อคิดว่าภายหน้ากลับเมืองหลวง งานเลี้ยงน้ำชาในเรือนหลังคงมีไม่น้อย ลูกสะใภ้ของคนอื่นล้วนเป็นธิดาตระกูลใหญ่เฉลียวฉลาด พอมาถึงบ้านนาง กลับต้องพาคนปัญญาอ่อนไปทำขายหน้า นางก็กังวลทั้งคืนจนยากจะนอนหลับได้
แต่ว่าสกุลเสิ่นที่ผ่านมาอยู่ในการตัดสินใจของบุตรชายคนรอง เขาเป็นคนที่ไม่เคยเชื่อฟังมารดาเลย แม้จะกังวลแต่นางก็ทำได้เพียงอดทนไว้ อย่างไรเสียการฟื้นฟูสกุลเสิ่นยังต้องอาศัยสุดยอดวิชาการต่อเรือของสกุลหลี่
ทว่าเมื่อวาน บุตรชายกลับมาพูดเปลี่ยนใจ บอกนางว่าจะแต่งกับคุณหนูสามบุตรสาวภรรยารองสกุลหลี่เข้าคฤหาสน์มาพร้อมกันด้วย อยากให้นางไปพูดทาบทามกับฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ด้วยตนเอง ฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นติในชาติกำเนิดต่ำต้อยของหลี่เสวียนเอ๋อร์ แต่ในใจก็รู้สึกโล่งอกเช่นกัน
หากเป็นจริงตามที่บุตรชายพูดเรื่องว่าหลี่เสวียนเอ๋อร์กุมเคล็ดวิชาสกุลหลี่ที่ไม่ถ่ายทอดให้คนนอกเอาไว้ แม้ชาติกำเนิดจะไม่สูงนัก แต่ก็เพียงพอจะทูลขอรางวัลจากฮ่องเต้ได้ ถึงยามต้องพานางออกบ้านไปพบปะสหาย ก็ไม่นับว่าขายหน้ามากนัก
อีกอย่าง ภายหน้ารอให้สกุลเสิ่นฟื้นตัว ไม่ต้องใช้เคล็ดวิชาสกุลหลี่แล้ว บุตรชายคนรองค่อยหาคู่ครองที่เหมาะสม ให้นางที่เป็นสะใภ้จากลูกภรรยารองไปเป็นอนุหลีกทางให้คนเหมาะสมกว่าก็นับว่ามีเหตุผล เพื่อนบ้านข้างเคียงก็พูดนินทาว่าร้ายอะไรไม่ได้!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เมฆหมอกในใจฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นก็จางหายไป จึงทำตามคำสั่งของบุตรชายมาพูดทาบทามที่คฤหาสน์สกุลหลี่
ไม่คิดว่าพอเข้าประตูมาก็เห็นคนในคฤหาสน์สกุลหลี่ท่าทางเคร่งเครียดเตรียมปะทะกัน ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ปั้นหน้าเครียด จนกระทั่งเห็นนางจึงได้ฝืนยิ้มออกมา แต่ในตอนที่นางลองเอ่ยปากพูดทาบทามกับฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็ตึงเป็นกลองหนังวัวอีกครั้ง
“เห็นทีนี่คงไม่ใช่คุณหนูสามในคฤหาสน์ของพวกเราคิดไปข้างเดียวเสียแล้ว แต่ได้พูดเจรจากับสกุลเสิ่นของพวกท่านไว้ก่อน! ในเมื่อสองฝ่ายรักกัน ข้าที่เป็นฮูหยินใหญ่จะมีเหตุผลอะไรไปขัดขวางล่ะ ไม่เช่นนั้นคนนอกคงจะเข้าใจผิดว่าข้าใจร้ายกับลูกของภรรยารอง” เมื่อมีสภาพเป็นเช่นนี้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่เลอะเลือนมาตลอดก็นับว่าเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน คิดถึงครั้งก่อนที่โจวอี๋เหนียงเสนอเรื่องแต่งงานพร้อมกันขึ้นมา ที่แท้ก็มีแผนไว้แต่แรกแล้ว ในใจของนางโกรธจนแทบระเบิด!
ว่ากันว่าหนาวร้อนทำให้รู้น้ำใจจริง คิดไม่ถึงว่าพอบุตรสาวคนรองป่วย แต่ละคนในคฤหาสน์ก็พากันเผยร่างแท้ และยังรีบร้อนจนทนไม่ไหวเช่นนี้อีกด้วย…
ความโมโหจู่โจมหัวใจ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จึงพูดเสียงแข็งขึ้นมาบ้าง “แต่เมื่อสกุลเสิ่นของพวกเจ้าทำเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ารังเกียจลูกรองของข้าที่ประสบอุบัติเหตุจนสมองเสื่อม แต่สกุลหลี่ของพวกเราไม่เคยเอาการหมั้นหมายก่อนหน้านี้มาข่มขู่สกุลเสิ่นของพวกเจ้าว่าต้องแต่งงานให้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ การหมั้นหมายก่อนหน้านี้ก็ถือว่าไม่เคยมีมาก่อน สกุลเสิ่นของพวกเจ้ามีน้ำใจมีคุณธรรม มีพร้อมทุกอย่าง ลูกรองของข้าไม่มีวาสนามากอย่างนั้น รับไว้ไม่ไหว สกุลหลี่ของพวกเราไม่ขาดเงิน แม้รั่วอวี๋จะไม่ได้แต่งงานไปตลอด แต่แค่สตรีผู้เดียวสกุลหลี่ยังเลี้ยงไหว!”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่พูดพลางลุกขึ้นยืน “เทียบถอนหมั้นพรุ่งนี้จะส่งไปถึงคฤหาสน์สกุลเสิ่น สำหรับเรื่องการแต่งงานของสกุลเสิ่นกับคุณหนูสาม ขอให้ฮูหยินเสิ่นเจรจากับโจวอี๋เหนียงเอง คุณชายรองเสิ่นกับคุณหนูสามล้วนเป็นคนมีความคิด โจวอี๋เหนียงก็คิดการรอบคอบ ตัวข้าตัดสินใจแทนพวกเจ้าไม่ได้หรอก!”
พูดจบนางก็นำสาวใช้และบ่าวหญิงอาวุโสออกจากโถงไปด้วยความโมโห
โจวอี๋เหนียงถูกคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่บีบจนหน้าตึงเป็นพักๆ รู้สึกอับอายไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด
หลี่เสวียนเอ๋อร์รู้สึกเสียใจเช่นกัน ที่แท้เสิ่นหรูป๋อมีแผนการไว้แล้ว ให้ฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นของคฤหาสน์สกุลเสิ่นเป็นคนมาพูดทาบทาม นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด หากให้ฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นเป็นคนเอ่ยปาก ย่อมถูกต้องตามหลักมากกว่า
น่าเสียดายที่ตนเองใจร้อนและพูดจาใจดำ ถึงขั้นทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่อารมณ์เย็นมาตลอดร้อนใจ ทำให้กอบกู้สถานการณ์นี้ได้ยาก
ตอนที่นางหันไปมองเสิ่นหรูป๋อ เห็นเขาเหลือบมองนางอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วหลุบตาลงอีกครั้ง ไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรอยู่
ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่น ความโมโหในใจยิ่งพุ่งทะลุก้อนเมฆ นางคิดเสมอว่าตนเองสูงกว่าสกุลหลี่หนึ่งขั้น นางมาที่คฤหาสน์นี้ด้วยตนเองถือว่าลดตัวมากแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะถูกพูดจาประชดประชันยกใหญ่ ซ้ำยังถูกถอนหมั้นอีกด้วย หนำซ้ำยังโยนนางให้ไปเจรจาการแต่งงานของบุตรชายกับคนเป็นภรรยารอง!
ตระกูลพ่อค้าอย่างสกุลหลี่ต่อให้ได้รับการอบรมมาไม่ดีอย่างไร แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อย่างไรก็เป็นถึงบุตรสาวสกุลบัณฑิต เหตุใดมารยาทแค่นี้ก็ยังไม่รู้เรื่อง กักขฬะอย่างมาก!
ในตอนนี้มองไปทางหลี่เสวียนเอ๋อร์ที่มีสีหน้าอึดอัด ฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นก็รู้สึกขัดตาเป็นอย่างยิ่ง
แม้จะมีหน้าตาหมดจดสะสวย แต่กลับฉายความใจแคบ ทำงานไม่ใจกว้างเหมือนคุณหนูรองหลี่ก่อนป่วยเลย อีกทั้งนางยังมามีความสัมพันธ์ลับกับว่าที่พี่เขยรองและแอบตั้งท้อง เห็นได้ว่าไม่ใช่หญิงที่เรียบร้อยดีงามอะไร! ไว้รอให้สกุลเสิ่นได้ยืนมั่นในราชสำนัก จะต้องให้บุตรชายรีบหย่านางจิ้งจอกนี้ทิ้งไปเสียโดยเร็ว!
เพียงชั่วครู่ ทุกคนเกิดความคิดในใจไปต่างกัน หลังจากฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นกำชับกับโจวอี๋เหนียงเสียงแข็งว่างานแต่งอีกสิบวันข้างหน้าให้จัดตามเดิม รายละเอียดให้ไปปรึกษากับพ่อบ้านคฤหาสน์สกุลเสิ่นได้ เสร็จแล้วก็จากไปด้วยความโมโหโกรธา
จากนั้นเทียบถอนหมั้นของสกุลหลี่ไม่รอให้ถึงฟ้ามืดก็ถูกส่งไปที่คฤหาสน์สกุลเสิ่นแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นยังโมโหไม่หาย เลิกคิ้วขึ้นแล้วพูดกับเสิ่นหรูป๋อว่า “ถอนหมั้นก็ดี หญิงโอหังสกุลหลี่แต่งเข้ามาหนึ่งคนก็ทนรับไม่ไหวแล้ว”
เสิ่นหรูป๋อได้ยินเช่นนั้นกลับพูดตอบอย่างหนักแน่น “รั่วอวี๋อีกไม่กี่วันต้องกลับคฤหาสน์แน่นอน หวังว่าท่านแม่จะสั่งคนว่าอีกสิบวันหลังจากแต่งเสวียนเอ๋อร์เข้าบ้านแล้ว ต้องเตรียมงานพิธีอีกครั้ง รับรั่วอวี๋กลับมาในคฤหาสน์ด้วย”
ฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นเลิกคิ้วอย่างตกใจ “เจ้าไม่เห็นหรือ เทียบถอนหมั้นของสกุลหลี่ส่งมาแล้ว จะมีการแต่งหลี่รั่วอวี๋นั่นเข้าบ้านได้อย่างไร อีกอย่างนางก็สมองเสื่อมไปแล้ว เจ้าจะแต่งกับนางไปทำไม!”
เสิ่นหรูป๋อไม่ตอบ เพียงแค่พูดสั้นๆ ว่า “ท่านแม่ไม่จำเป็นต้องถามมาก ทำตามคำสั่งของข้าก็พอ ถ้าไม่แต่งกับรั่วอวี๋…ลูกคงนอนหลับไม่สบาย กินอาหารก็ไร้รสชาติแน่นอน หวังว่าท่านแม่จะตัดสินใจทำตามความคิดนี้ของลูกด้วย!”
เดิมทีเขาไม่คิดจะไว้หน้าสกุลหลี่ แต่หลี่เสวียนเอ๋อร์อดทนรอไม่ไหว ทำลายแผนการของเขาจนหมด ทว่าไม่เป็นไร ตอนนี้ร้านค้าสกุลหลี่อยู่ในการควบคุมของเขาแล้ว ด้วยแผนการหลายเดือนที่ผ่านมานี้ ร้านค้าของสกุลหลี่ถูกกวาดเงินไปจนหมดแล้ว ในบัญชีเหลือเพียงหนี้เงินกู้มหาศาลเท่านั้น ขอเพียงเขาขยับเพียงนิด หน้าประตูคฤหาสน์สกุลหลี่ก็จะถูกอุดไปด้วยเจ้าหนี้จนแน่นขนัด
ถึงตอนนั้น เขาจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มาคุกเข่าถึงคฤหาสน์สกุลเสิ่น ยกหลี่รั่วอวี๋มาให้เอง!
พูดถึงตรงนี้ คนที่สมควรตายที่สุดก็คือฉู่จิ้งเฟิงผู้นั้น บังอาจมาทำให้แผนทั้งหมดของเขาวุ่นวาย เดิมทีคิดว่าหลี่รั่วอวี๋ล่วงเกินเจ้าคนผู้นั้น แต่ดูจากสภาพการณ์วันนั้นแล้ว ฉู่จิ้งเฟิงเห็นได้ชัดว่ายังหลงใหลในความงามของหลี่รั่วอวี๋อยู่ เรื่องนี้ทำให้เขาจำต้องไปขอร้องให้เว่ยกงกงออกหน้า ใช้ภาพผังการต่อเรือประจำสกุลหลี่มาเป็นเหยื่อล่อให้คนแซ่ฉู่นั่นติดกับจะได้ปล่อยตัวหลี่รั่วอวี๋
เมื่อคิดว่ายังต้องรออีกหลายวันจึงจะได้ร่างที่โหยหามาทุกวันทุกคืนมาอยู่ในอ้อมกอดเสพสุขได้ตามใจหวัง เสิ่นหรูป๋อก็รู้สึกว่าใต้ท้องน้อยมีไอร้อนที่ยากจะอธิบายได้เกิดขึ้นเป็นระลอก
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ในคืนนี้ยากจะข่มตานอนได้ ในวันรุ่งขึ้น นางจึงสั่งพ่อบ้านให้เตรียมของขวัญ แล้วนั่งรถม้าไปยังที่พักรับรองเพื่อขอพบฉู่ซือหม่า
ตอนที่องครักษ์รายงานต่อฉู่ซือหม่าว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มาขอพบ ฉู่จิ้งเฟิงเพิ่งจะขมวดคิ้วกล่อมให้หญิงสมองเสื่อมกินขนมแป้งเกาลัดปั้นไส้ถั่วแดงไปครึ่งลูก
การป่วยในครั้งนี้หลี่รั่วอวี๋ยิ่งดูอ่อนแอมากขึ้น นางไม่ยอมลุกจากเตียงเลย ขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มบนเตียงจะต้องให้คนมาป้อนอาหารเท่านั้นจึงจะยอมกิน
หลี่รั่วอวี๋กินไปได้ครึ่งลูก รู้สึกว่าขนมแป้งปั้นลูกเล็กๆ นี้หวานอร่อยมาก จึงยกที่เหลืออีกครึ่งลูกยื่นไปที่ริมฝีปากบางๆ ของฉู่จิ้งเฟิง
ฉู่จิ้งเฟิงมีหรือจะยอมกินของเหลือจากนาง เขาจึงเอี้ยวตัวเล็กน้อยคิดจะหลบ คาดไม่ถึงว่านางจะไม่ลดละมุดออกมาจากใต้ผ้าห่ม ยามนี้นางสวมเพียงบังทรงสีกลีบบัว เนินอกอวบอิ่มดันเนื้อผ้าให้นูนสูง แขนขาวราวหิมะคู่หนึ่งเผยออกมาให้เห็นอย่างไม่ปิดบัง เจิดจ้าเสียจนเห็นแล้วแทบจะลืมตาไม่ขึ้น
ฉู่จิ้งเฟิงตัวแข็งไปเล็กน้อย แค่เหม่อเพียงนิดก็ทำให้หญิงสมองเสื่อมผู้นั้นได้เปรียบ ยัดขนมแป้งเกาลัดปั้นไส้ถั่วแดงที่เปื้อนน้ำลายของนางใส่ปากเขา ดวงตาของฉู่จิ้งเฟิงหรี่ลง กลืนของหวานในปากลงไปโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าหญิงสาวที่ขยับตัวไปมาตรงหน้าเหมือนของว่างรสอร่อยที่ถูกห่อด้วยเสื้อที่ทำจากข้าวเหนียว รอการแกะออกแล้วกินอย่างมีความสุข…
ในตอนนี้เอง นอกประตูก็มีคนมารายงานว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มาเยือน
เดิมทีด้วยฐานะของฉู่จิ้งเฟิง ไม่มีทางไปพบฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ผู้นี้แน่นอน
สกุลหลี่แม้จะมีเงิน แต่ก็ยังเป็นเพียงตระกูลพ่อค้า จะมาเสวนากับฉู่จิ้งเฟิงที่สูงศักดิ์เป็นถึงพระญาติได้อย่างไร
แต่อาจเป็นเพราะเมื่อครู่กินของว่างครึ่งชิ้นที่หวานหอมอ่อนนุ่มเหลือเกินลงไป ฉู่จิ้งเฟิงจึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ยอมให้เกียรติแก่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ พยักหน้าจะออกไปพบด้วยตนเอง
ครั้งก่อนอยู่ไกลจากซือหม่าผู้นี้ จึงไม่เห็นหน้าตาของเขาชัดเจน แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เดินเข้าไปในโถงรับแขกที่พักรับรองอย่างกังวล ก็ช้อนตาขึ้นมองผู้ที่ผีเห็นยังหวั่นผู้นี้ซึ่งอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว จึงพบว่าหน้าตาชายหนุ่มผู้นี้มีกลิ่นอายเย็นเยือกที่ทำให้คนตัวสั่นได้ทั้งที่อากาศไม่หนาว ใบหน้าเย็นชานั้นกอปรกับผมขาวประหลาด ทำให้คนเห็นแล้วไม่มีความคิดอยากจะเข้าใกล้เลยจริงๆ
แต่เพื่อบุตรสาวตนเองแล้ว แม้จะเป็นยมบาลผู้ตัดสินภูตผีในยมโลกก็ต้องเอาชีวิตเข้าขอร้อง
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่พยายามรวบรวมความกล้า ฉีกยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ขอบคุณซือหม่าที่ให้ข้าน้อยเข้าพบ เมืองเล็กอย่างเมืองเหลียวเฉิงไม่มีของล้ำค่าอะไรที่สามารถเอาออกมาได้ จึงตั้งใจเอารากเหอโส่วอู* อายุห้าร้อยปีที่ร้านของสกุลหลี่ซื้อไว้มาให้ใต้เท้าบำรุงร่างกาย”
ฉู่จิ้งเฟิงช้อนตามองไป ในกล่องของขวัญที่เปิดออกมีรากเหอโส่วอูรูปร่างเหมือนคนชิ้นใหญ่วางอยู่ มองดูสีสันและรูปร่างแล้วนับเป็นของชั้นเลิศยิ่ง
“ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ลำบากแล้ว แต่รากเหอโส่วอูนี้เป็นการเสียดสีว่าข้าผมขาวเต็มหัวอย่างนั้นหรือ” เขาดื่มชาหนึ่งอึก ขนตายาวหลุบลง เอ่ยถามอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
ถูกฉู่จิ้งเฟิงถามเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็ทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาทันที ครึ่งค่อนชีวิตของนางไม่เคยต้องเหน็ดเหนื่อยคิดอะไรเลย สามีมีความสามารถ บุตรสาวฉลาดเฉลียว การรับรองในสถานการณ์เหล่านี้นางต้องออกหน้าเสียเมื่อใดกัน
วันนี้เตรียมของขวัญให้ฉู่ซือหม่า นางก็คิดจนหัวแทบแตก ได้ยินว่าซือหม่าผู้นี้เป็นผู้นำกองทหาร เป็นคนสำคัญยิ่ง คิดว่าคงพบเห็นความหรูหรามาจนชินแล้ว ไม่รู้ว่าเขาชอบอะไร คิดถึงว่าเขามีผมขาวตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้นจึงเตรียมรากเหอโส่วอูอายุห้าร้อยปีชั้นเลิศที่หาได้ยากนี้ และเตรียมโฉนดที่ดินร้านค้าหลายแห่งในเมืองหลวงพร้อมกับตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงเพื่อติดสินบนใต้เท้าซือหม่าผู้นี้
แต่คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันเอ่ยปากขอร้องแทนบุตรสาวคนรองก็ถูกซือหม่าสั่งสอนเป็นนัย นางรู้สึกว่ารากเหอโส่วอูที่มอบให้นั้นราวกับเหล็กร้อนลวกมือ ทำให้นั่งยืนก็ไม่สบายใจ
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ทำได้เพียงพูดว่า “ข้า… ข้าน้อยไม่ได้หมายความเช่นนี้…”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่พบเจอชายหนุ่มเจียงหนานที่สุภาพมาจนชิน คิดว่าชายจากทางเหนือต้องพูดตรงไปตรงมา ตอนนี้กล่องของขวัญใหญ่ๆ นี้วางเรียงอยู่บนโต๊ะ ตั๋วเงินและโฉนดที่ดินก็วางอยู่ริมกล่องเผยให้เห็นมุมหนึ่งของแผ่นกระดาษ ได้แต่รอดูคำพูดประโยคเดียวของท่านซือหม่าว่าจะปล่อยคนหรือไม่ปล่อย
แต่ซือหม่าผมขาวใบหน้าเย็นชาผู้นี้กลับยกถ้วยชาขึ้นดื่มอย่างช้าๆ ใช้เวลาไปกับการดื่มชาสามอย่างของเมืองเหลียวเฉิงอย่างเต็มที่
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่กล้าเร่งเขาเช่นกัน ทำได้เพียงใช้สายตากระวนกระวายมองดูมือใหญ่เรียวยาวที่ถือดาบถือกระบี่จนชินจับตะเกียบไม้ไผ่เล็กๆ คีบเม็ดบ๊วยกับน้ำตาลกรวดใส่ในถ้วยทีละอย่าง
อย่าเห็นว่าฉู่ซือหม่าเป็นคนต่างถิ่น แต่การดื่มชานี้พิถีพิถันมาก การดื่มโดยใส่ลูกบ๊วยหนึ่งเม็ดกับน้ำตาลกรวดสองก้อนเหมือนกับความชอบของบุตรสาวคนรองของนาง…
ในขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เริ่มเหม่อ ฉู่จิ้งเฟิงก็เอ่ยปากพูดขึ้นทันใด “ฮูหยินร้อนใจเช่นนี้ เพราะกลัวจะเสียเวลาการแต่งงานของแม่นางรั่วอวี๋หรือ”
ฉู่จิ้งเฟิงมีกลิ่นอายกดดันคนอยู่แล้ว ตอนนี้เขาถามขึ้นอย่างกะทันหัน ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่ทันตั้งรับจึงหลุดปากพูดความจริงออกมา “ไม่ใช่อย่างนั้น บุตรสาวข้าถอนหมั้นกับสกุลเสิ่นแล้ว…” พูดได้ครึ่งหนึ่ง นางก็รีบหยุด น่าเสียดายที่ถึงเสียใจก็ไม่ทันการณ์แล้ว
ฟังถึงตรงนี้ ฉู่จิ้งเฟิงก็ยั้งถ้วยชาไว้เลิกคิ้วแล้วถาม “อ้อ? คุณชายรองเสิ่นไม่ต้องการแต่งงานแล้วหรือ”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เห็นฉู่ซือหม่าสนใจกันขึ้นมาแล้วจึงลอบถอนหายใจ ทว่าสิ่งที่อีกฝ่ายถามกลับแทงใจดำของนางยิ่ง เรื่องน่าอับอายของสกุลเช่นนี้ยากจะพูดนัก แต่ก็ไม่กล้าไม่ตอบจึงฝืนใจพูดขึ้นว่า “ใต้เท้า ท่านก็เห็นว่าบุตรสาวข้าป่วยจนเป็นเช่นนั้นแล้ว ยังจะเป็นภรรยาผู้ใดเขาได้อย่างไร จะไปทำลายสกุลของผู้อื่นก็ไม่ดี คิดไปคิดมา ข้าน้อยจึงตัดสินใจถอนหมั้นกับสกุลเสิ่น คุณชายรองเสิ่นเปลี่ยนไปแต่งกับ…คุณหนูสามสกุลหลี่ของพวกเรา ก็นับว่า…เป็นการรักษาความสัมพันธ์ของทั้งสองสกุลเอาไว้ได้”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ยังพูดไม่ทันจบ ฉู่ซือหม่าก็ถามต่ออีกว่า “เทียบถอนหมั้นนั่นส่งไปถึงแล้วหรือ”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าตอบ
จากนั้น ฉู่ซือหม่าผู้นั้นก็นิ่งเงียบขึ้นมาอีกครั้ง ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาจึงพูดต่อไปว่า “เดิมทีข้าเห็นวันมงคลของคุณหนูรองใกล้เข้ามาแล้ว คิดว่าอาการป่วยของคุณหนูรองไม่เป็นอะไรมาก ไม่แน่ว่าแต่งงานเสริมมงคลเสียหน่อยก็หายแล้ว ถึงตอนนั้น คดีขนส่งสินค้าต้องห้ามนี้จะได้ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กลับบอกว่าถอนหมั้นไปแล้ว เช่นนั้นพิสูจน์ได้ว่าอาการป่วยของคุณหนูรองหนักจริงๆ ทำให้คนป่วยลำบากใจเช่นนี้ดูออกจะ…”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ยินคำพูดก็รู้ว่าสามารถพลิกโอกาสได้ จึงรีบแสดงสีหน้าร้อนใจ “อาการป่วยบุตรสาวคนรองของข้าน้อยหนักมากจริงๆ…”
ฉู่ซือหม่าลากเสียงพูดยาว “แต่ถ้าอีกไม่กี่วัน คุณหนูรองจะแต่งงานอีกครั้ง…”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ฟังแล้วก็รีบโบกมือ “จะรวดเร็วเช่นนั้นได้อย่างไร ไม่มีทาง ไม่มีทาง…”
ตอนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่หอบเอาโฉนดที่ดิน ตั๋วเงิน พร้อมกับรากเหอโส่วอูชิ้นใหญ่ที่ถูกส่งคืนเดินออกมาจากที่พักรับรอง ยังรู้สึกงุนงงเหมือนอยู่ในเมฆในหมอก ไม่รู้ว่าซือหม่าผู้นี้เหตุใดจึงยอมหลอมละลายภูเขาน้ำแข็งพันปี ไว้หน้านาง รับปากให้นางมารับบุตรสาวคนรองกลับคฤหาสน์ในวันพรุ่งนี้
แต่ไม่ว่าซือหม่าจะสะกิดใจส่วนใด การที่บุตรสาวคนรองจะได้กลับคฤหาสน์มาอย่างปลอดภัยก็นับเป็นเรื่องดียิ่ง
ตอนที่รอบุตรสาวกลับคฤหาสน์ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ตั้งใจสั่งพ่อบ้านให้ซื้อขาหมูชั้นเลิศมา ต้มบะหมี่หนึ่งหม้อให้บุตรสาวคนรองกินล้างโชคร้าย จากนั้นนางก็พาสาวใช้และบ่าวหญิงอาวุโสหลายคนไปรออยู่ที่ประตู ยืดคอรออยู่ตรงนั้น
รอจนถึงกลางวัน รถม้าที่ส่งไปจึงมาปรากฏที่ปากตรอก
แม้จะอยู่ในคุกมาหลายวัน แต่สีหน้าของหลี่รั่วอวี๋ดีขึ้นมาก ผมยาวหวีอย่างเรียบเงางาม เสื้อผ้าก็สะอาดสะอ้านเรียบร้อย
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เห็นท่าทางยิ้มคิกคักเหมือนคนโง่เขลาของบุตรสาว ในใจก็พลันรู้สึกโล่งอก
แต่นางยังกังวลใจเรื่องหนึ่ง แต่ไม่อาจบอกกับคนนอกได้
หลังจากบุตรสาวกลับห้อง นางจึงวางม่านกั้นลง ถอดเสื้อชั้นนอกของบุตรสาวออก ตรวจดูจุดพรหมจรรย์รูปดอกเหมยบนแขนของนางอย่างละเอียด
โชคดีที่จุดพรหมจรรย์นั้นยังเป็นเหมือนที่ผ่านมา ไม่เปลี่ยนไปเลย เห็นได้ชัดว่าบุตรสาวสมองเสื่อมของนางไม่ได้ถูกหมิ่นเกียรติอะไรที่ยากจะเอ่ยปากพูดได้… แต่บนท้องของนางแปะแผ่นยาที่มีกลิ่นยาหอมลอยมาแตะจมูก
ได้ยินหญิงจากที่พักรับรองที่ได้รับมอบหมายให้คุ้มครองส่งหลี่รั่วอวี๋กลับมาบอกว่า ตอนถูกคุมตัวไว้โรคกระเพาะของหลี่รั่วอวี๋กำเริบ แต่ท่านซือหม่าเห็นแก่ความจงรักภักดีที่ผ่านมาของสกุลหลี่ สร้างประโยชน์ให้แคว้นอย่างมาก จึงเชิญท่านหมอมารักษาอาการให้นาง แผ่นยาที่แปะไว้นี้เป็นสูตรยอดเยี่ยมในการรักษาโรคปวดกระเพาะ ต้องแปะติดต่อกันหลายวัน จะขาดไม่ได้ ดังนั้นยาที่จัดไว้เรียบร้อยแล้ว หญิงที่ได้รับมอบหมายมานั้นจึงนำมาด้วย
นอกจากแผ่นยาสำหรับแปะกลิ่นหอมหลายแผ่นแล้ว หลี่รั่วอวี๋ยังเอาของเล็กๆ น้อยๆ กลับมาด้วย อย่างเช่นหวาหรงเต้า* ที่แกะสลักด้วยไม้จันทน์หอม สลักหลู่ปัน** ที่ไม่ซ้ำแบบเก้าชุด นาฬิกาทรายที่ฝังหินโมรา… ที่น่าประหลาดที่สุด คือยังมีนกแก้วปากงุ้มที่ตัวขาวโพลนอีกหนึ่งตัว
หากไม่ใช่หลายวันมานี้ร้องไห้จนตาแทบบอด ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่คงสงสัยว่าบุตรสาวคนรองไม่ได้เข้าคุก แต่เป็นเหมือนเสียนเอ๋อร์ ไปเล่าเรียนที่สำนักศึกษา
เด็กน้อยผู้นั้นทุกครั้งที่ไปสำนักศึกษา เลิกเรียนกลับมามักจะเอาของเล่นของสหายโต๊ะข้างเคียงกลับมาด้วยเสมอ
“รั่วอวี๋ ของพวกนี้เอามาจากที่ใด” ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ขมวดคิ้วถาม
หลี่รั่วอวี๋เคี้ยวบะหมี่ที่กลิ่นหอมฉุย พูดตอบไม่ชัดเจนว่า “พี่…พี่ชายให้มา… ไม่อย่างนั้น รั่วอวี๋จะร้องไห้…”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่คิดๆ ดูแล้ว ตีให้ตายนางก็ไม่กล้าเอาคำว่า ‘พี่ชาย’ นี้ไปสวมให้กับซือหม่าตายด้านผู้นั้น จึงคิดว่าคงเป็นพลทหารใจดีคนใด เห็นหลี่รั่วอวี๋ร้องงอแงน่าสงสาร จึงเอาของเหล่านี้มาล่อหญิงสมองเสื่อมเท่านั้นเอง
ทว่าของอื่นยังดี แต่นาฬิกาทรายฝังหินโมรากับนกแก้วตัวขาวโพลนนี้ แค่ดูก็รู้ว่าราคาไม่ถูกเลย ไม่เหมือนคนที่เป็นพลทหารจะมีเงินซื้อมาให้ได้
ในตอนนี้ หลี่รั่วอวี๋กินอิ่มแล้วก็โผไปข้างแท่นไม้ที่คล้องนกแก้วเอาไว้อย่างเป็นธรรมชาติ นั่งอยู่บนเบาะนุ่มของเก้าอี้กลมเบิกตาโตมองดูเจ้านกแก้วใช้ปลายปากงุ้มจัดการไซ้ขนอย่างสนุกสนานแล้วพูดด้วยเสียงตื่นเต้น “จี๋เฟิง… อีกครู่…ไปจับกระต่าย…”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ฟังแล้วรู้สึกงุนงง พ่อบ้านที่ไปรับคุณหนูรองกลับมาในตอนเช้าก็อธิบายว่า “เมื่อครู่บ่าวใส่ซองเงินส่งหญิงที่รับผิดชอบมาส่งกลับไปแล้ว ของเล่นเหล่านี้ซือหม่าเป็นคนสั่งให้ซื้อมาให้คุณหนูรองขอรับ สำหรับนกแก้วตัวนั้น ตอนที่คุณหนูรองจะจากมา เห็นเหยี่ยวล่าสัตว์ที่ซือหม่าปล่อยไว้ในลานบ้านพอดี และร้องไห้งอแงมาก เอาแต่บอกว่าไม่กลับแล้ว จะเอาเหยี่ยวล่าสัตว์ตัวนั้นกลับมาด้วยให้ได้”
พูดถึงตรงนี้ พ่อบ้านก็เช็ดเหงื่ออย่างหวาดหวั่นแล้วพูดต่อว่า “ความกล้าของคุณหนูรอง…ยังคงไม่ลดไปจากตอนก่อนป่วยเลย กล้าไปเอ่ยปากขอต่อหน้าซือหม่าหน้าเครียดผู้นั้น… จะเอาสัตว์ปีกดุร้ายแบบนั้นไปทำอะไรกัน ข้าน้อยเกรงว่าซือหม่าจะโกรธจนเอาชีวิตคน ตกใจจนแทบจะปล่อยเบารดกางเกง โชคดีที่ซือหม่ายังนับว่าใจกว้าง สั่งให้คนใต้บัญชาซื้อนกแก้วตัวนี้มาให้คุณหนูรอง อย่างไรก็มีปากงุ้มเหมือนกัน มีความคล้ายกันอยู่หลายส่วน”
ในตอนนี้เองหลี่รั่วอวี๋ก็ยื่นมือไปแก้โซ่บนขานกแก้วออก เลียนแบบท่าทางของคนเลี้ยงเหยี่ยวที่ได้เห็นมาในช่วงไม่กี่วันนี้ ยื่นแขนออกไปไล่นกแก้วตัวนั้น พูดเลียนอย่างว่า “ไล่ล่า”
นกแก้วที่ขนเพิ่งจะขึ้นเต็มตัวตกใจ กางปีกบินไปทั่วห้อง ขนสีขาวร่วงจนเต็มพื้น
เพียงชั่วครู่สาวใช้และบ่าวหญิงอาวุโสในห้องนี้ก็ร้องตกใจไม่ขาด
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็ถูกนกแก้วเกี่ยวปิ่นปักผมหลุดไปหนึ่งอันเช่นกัน นางเกิดความรู้สึกละอายใจต่อท่านซือหม่าขึ้นมาหลายส่วน คิดว่าหลายวันมานี้ตอนเขาสอบสวนบุตรสาวสมองเสื่อม คงจะได้รับความลำบากมากมาย จึงได้รีบร้อนจะส่งตัวบุตรสาวกลับคฤหาสน์มากระมัง
ตอนนี้คิดไปแล้ว การถอนหมั้นของบุตรสาวทำถูกต้องแล้ว ไม่เช่นนั้นด้วยความโง่ซื่อเหมือนเด็กเล็กของนางเช่นนี้ ไม่ต้องไปทนรับสายตารังเกียจของคนอื่นที่คฤหาสน์สกุลเสิ่นหรือ ตอนนี้ดูไปแล้ว เสิ่นหรูป๋อผู้นั้นก็ไม่ได้มีใจรักบุตรสาวของตนเองเช่นกัน โชคดีที่รู้ตัวได้เร็ว แม้ชาตินี้จะไม่แต่งงาน ก็ไม่มีอะไรหนักหนา สกุลหลี่ไม่ขาดเงิน สามารถทำให้หลี่รั่วอวี๋มีชีวิตที่ดีได้โดยไม่ต้องกังวล!
เพราะสกุลหลี่น้องสาวแต่งงานแทนพี่สาว กำหนดวันแต่งงานจึงไม่เปลี่ยนแปลง แต่คนที่คุ้นเคยกับหลี่เสิ่นสองสกุล ล้วนรู้เรื่องที่คุณหนูรองถอนหมั้นกับสกุลเสิ่นแล้ว เมืองเหลียวเฉิงเดิมทีก็ไม่ใหญ่ เพียงไม่นานก็กลายเป็นเรื่องคุยกันหลังอาหารของพวกชาวเมือง
โจวอี๋เหนียงไม่รู้ว่าได้ฟังอะไรมาจากหลี่เสวียนเอ๋อร์ เวลาพูดเสียงก็ค่อยๆ แข็งขึ้นมา วิ่งมาปรึกษาฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เรื่องสินสอดฝ่ายหญิง
“ก่อนตายนายท่านกำชับเอาไว้ ต่อไปเสวียนเอ๋อร์แต่งงานไม่แบ่งเอกอนุ ต้องให้สินสอดมากจำนวนหนึ่ง…” คำพูดโจวอี๋เหนียงแม้จะอ่อนโยนคล้ายหวาดหวั่น แต่ท่าทางต้องการของนั้นไม่ได้อ่อนด้อยแม้แต่น้อย
นายท่านหลี่ตอนยังมีชีวิตอยู่ไม่ค่อยไปที่ห้องของโจวอี๋เหนียง ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มักจะคิดว่าเพราะความคิดของตนเองทำให้หญิงสาวชาวนาที่บริสุทธิ์ผู้หนึ่งกลายมาเป็นอนุสกุลหลี่ แต่งเข้ามาในสกุลหลี่แล้วกลับต้องอยู่เฝ้าห้องผู้เดียว ในใจรู้สึกผิดต่อโจวอี๋เหนียงมาโดยตลอด ดังนั้นนางจึงปฏิบัติต่ออนุผู้นี้ราวกับพี่น้อง
แต่คิดไม่ถึงว่ากลับถูกบุตรสาวของอนุผู้นี้แย่งการแต่งงานของบุตรสาวนางไป ความอึดอัดในใจนางนั้นมีมากยิ่งทว่าไม่จำเป็นต้องแสดงออกทางคำพูด นางเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับคำว่า ‘เหตุผล’ นายท่านก่อนตายทำผิดหมางเมินอนุผู้นี้ก็ได้กำชับไว้แบบนี้จริงๆ นางย่อมไม่มีทางไม่ยอมรับ จึงเอ่ยพูดอย่างเย็นชาว่า “เจ้าไปจัดแจงงาน ข้าจะกำชับทางห้องบัญชีให้เจ้าไปเบิกเงินก้อนใหญ่จากคฤหาสน์ได้”
โจวอี๋เหนียงขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่าหลี่แล้วเอ่ยต่อ “แต่เวลาเร่งไปสักหน่อย โดยเฉพาะเครื่องประดับ ไปซื้อของสำเร็จรูปเหล่านั้นที่ร้านก็ไม่ค่อยประณีต แล้วถ้าซื้อของขาดอะไรไป จะมิทำให้สกุลเสิ่นหัวเราะเยาะสกุลหลี่ของพวกเราหรือ”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ยินเช่นนั้นก็พยายามสะกดอารมณ์พลางกล่าว “แล้วเจ้าว่าควรจะทำอย่างไร”
“ตามที่น้องคิด สินสอดที่ทำให้คุณหนูรองเหล่านั้นมีครบทุกอย่าง ตอนนี้นางก็ยังไม่ได้ใช้ สู้ว่า…เอามาให้เสวียนเอ๋อร์ใช้ก่อน”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ฟังถึงตรงนี้ก็โกรธจนตบโต๊ะ “วางแผนยึดลูกเขยข้า ตอนนี้ยังคิดมายึดสินสอดของบุตรสาวข้าอีกหรือ! โจวซื่อ เจ้ากล้ามาก! เห็นว่าปกติข้าอ่อนโยนเกินไป ไม่เหมือนสกุลอื่นที่ฮูหยินใหญ่ทุบตีอนุ จึงลืมฐานะของตนเองไปใช่หรือไม่ ในสินสอดของหลี่รั่วอวี๋ นอกจากกล่องเครื่องประดับที่สั่งทำใหม่แล้ว มีครึ่งหนึ่งเป็นของที่ข้าเอากลับมาจากบ้านเกิด ที่เหลือก็เป็นของที่ท่านยายข้ามอบให้ข้า ของเหล่านี้มีเพียงหลี่รั่วอวี๋จึงจะคู่ควร รั่วฮุ่ยบุตรสาวคนโตของข้ายังไม่เคยให้นางแม้แต่ครึ่งชิ้น ตอนนี้เจ้ากล้าเอ่ยปาก บอกว่าจะเอาของเหล่านี้ให้ลูกเจ้า เจ้าก็ต้องดูว่าบุตรสาวของเจ้าคู่ควรหรือไม่ด้วย!”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่เคยพูดจารุนแรงเช่นนี้กับโจวอี๋เหนียงมาก่อน โจวอี๋เหนียงถูกด่าจนอับอายขายหน้า เกิดความโมโหขึ้นในใจ จึงพูดอย่างเย็นชา “เสวียนเอ๋อร์แม้จะเป็นลูกอนุ แต่นางเป็นผู้สืบทอดเคล็ดวิชาการต่อเรือสกุลหลี่เพียงคนเดียว ความร่ำรวยของสกุลหลี่ล้วนมาจากเรือที่สามารถล่องไปบนเกลียวคลื่นนั้นได้ ภายหน้าการค้าของสกุลหลี่ก็ต้องพึ่งนาง แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ตอนนี้กลับตระหนี่กับสินสอดเพียงแค่นี้ ช่างเป็นคน… มองการณ์สั้นยิ่ง…”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่วันนี้ถูกโจวอี๋เหนียงทำให้โกรธมาก คิดว่าต้องตั้งกฎบ้านบางอย่างจึงจะดี ตอนนี้ไม่สนใจหน้าตาของโจวอี๋เหนียง เตรียมจะสั่งบ่าวหญิงอาวุโสเข้าไปตบโจวอี๋เหนียงแรงๆ สักฉาด แล้วไล่นางกลับห้องไป
แต่ในตอนนี้เอง ในเรือนของหลี่รั่วอวี๋ที่อยู่ข้างเคียงก็มีเสียงดังอึกทึก ได้ยินเสียงตะโกนของหลี่รั่วอวี๋รางๆ ทั้งยังมีเสียงกรีดร้องของหลี่เสวียนเอ๋อร์อีกด้วย
โจวอี๋เหนียงเดิมทีเห็นสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่แปลกไป ในใจลอบคิดว่าแย่แล้ว นึกเสียใจที่ตนเองปากเร็วเกินไป ทว่าพอได้ยินเสียงของบุตรสาวจึงรีบปลีกตัววิ่งออกไปทันที
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ร้อนรนใจเช่นกัน กังวลว่าหลี่เสวียนเอ๋อร์จะไปหาเรื่องบุตรสาว หลี่รั่วอวี๋ตอนนี้โง่งมเซ่อซ่า ถ้าเสียเปรียบแล้วจะทำอย่างไร
พวกนางจึงรีบรุดไปทันใด แต่พอไปถึงที่นั่นก็ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างตระหนก
บทที่ห้า
เมื่อเห็นในเรือนของหลี่รั่วอวี๋วุ่นวายยุ่งเหยิง กระถางดอกไม้และอ่างปลาตกแตกกระจายเต็มพื้น สาวใช้และบ่าวหญิงอาวุโสรอบข้างล้วนร้องโวยวายอย่างร้อนใจ อยากจะยื่นมือไปดึงคน แต่ก็หาช่องว่างไม่ได้เลย
ในตอนนี้ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องแสบหูดังขึ้นอีก ก่อนจะเห็นหลี่เสวียนเอ๋อร์กุมหัวนอนฟุบอยู่บนพื้น ถูกหลี่รั่วอวี๋นั่งทับไว้แน่น ผมดำขลับบนหัวถูกหญิงสมองเสื่อมกระชาก พอออกแรงกระชากเช่นนี้ ผมกระจุกหนึ่งก็ถูกกระชากติดมือออกมาด้วย
หลี่เสวียนเอ๋อร์ทนไม่ไหว เจ็บจนร้องครวญเสียงดัง น้ำตาที่ไหลออกมาเปื้อนเครื่องประทินโฉมบนใบหน้าจนดูไม่ได้
เดิมคิดว่าบุตรสาวจะเสียเปรียบ แต่พอมาเห็นสภาพการณ์เช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็ตกใจยกใหญ่ นางลืมไปได้อย่างไรว่าตอนบุตรสาวอายุห้าขวบก็ได้ไปเรียนที่สำนักศึกษาพร้อมกับเด็กชายอายุหกเจ็ดขวบจำนวนหนึ่ง อย่าเห็นว่าเป็นเด็กผู้หญิงแล้วจะอ่อนแอ มาทำให้นางโกรธจริงๆ หรือทะเลาะวิวาทกันขึ้นมาเมื่อใดก็ไม่แพ้เด็กผู้ชายแม้แต่น้อย จึงมักจะมีเด็กผู้ชายอ้วนขาวหน้าเขียวช้ำร้องไห้เช็ดน้ำตาถูกท่านแม่ตนเองพามาฟ้องที่คฤหาสน์สกุลหลี่ ตอนนี้คิดไปแล้ว เสียนเอ๋อร์ปีศาจน้อยที่กร้านโลกนี้แท้จริงก็เลียนแบบตามพี่รองของตนเองกระมัง!
เดิมทีนางกับนายท่านหลี่ยังกังวลว่าบุตรสาวนิสัยดุร้ายเช่นนี้อนาคตจะทำอย่างไรดี โชคดีที่หลี่รั่วอวี๋โตขึ้นก็เชื่อฟังคำสั่งสอนของนายท่าน ค่อยๆ เก็บงำนิสัยความดุร้ายเอาไว้ กิริยาท่าทางก็ดูมีความเป็นกุลสตรี แต่ดูจากทีท่าปัดป่ายไปตามใจชอบในวันนี้ช่างเหมือนนิสัยของบุตรชายคนเล็กยิ่ง ไม่รู้ว่าหลี่เสวียนเอ๋อร์ผู้นี้ไปทำอะไรให้นางโกรธ จึงถูกกดไว้ใต้ตัวแล้วกระชากผมเช่นนั้น
โจวอี๋เหนียงยืนดูอยู่ด้านข้างอย่างปวดใจ เตรียมจะเข้าไปดึงตัวหลี่รั่วอวี๋ขึ้นมา แต่กลับถูกหลี่รั่วอวี๋สะบัด โจวอี๋เหนียงที่อ่อนแอต้านลมไม่ไหวอยู่แล้วก็ลื่นล้มลงท่ามกลางเศษกระถางดอกไม้
รอจนสาวใช้และบ่าวหญิงอาวุโสเข้าไปแยกหลี่รั่วอวี๋กับหลี่เสวียนเอ๋อร์ออกจากกันได้ในที่สุด หลี่เสวียนเอ๋อร์ก็ร้องไห้จนไม่เป็นเสียง ผมเผ้ารุงรัง สีหน้าซีดขาว
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ถามบ่าวหญิงอาวุโสที่คอยดูแลข้างกายหลี่รั่วอวี๋ จึงได้เข้าใจสาเหตุของเรื่องราว
หลายวันมานี้ หลี่รั่วอวี๋หลงใหลกับการ ‘ฝึกเหยี่ยว’ ทุกวันจะเล่นกับนกแก้ว เจ้านกแก้วตัวนั้นก็ฉลาด ถูกฝึกจนเห็นผลขึ้นมาบ้างแล้ว
ทุกวันหลังจากปล่อยให้บินก็จะบินกลับมาเองได้ บางครั้งในปากก็จะคาบกิ่งไม้หรือดอกไม้ป่าบางอย่างมาด้วย ยังสามารถได้รางวัลชิ้นโต กินเมล็ดเหอเถา* ได้อย่างเอร็ดอร่อย
นกแก้วมีความฉลาด เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่บินออกไป กรงเล็บนั้นก็ไม่เคยว่างเปล่าเลย
แต่วันนี้นกแก้วนั่นบินไปในเรือนของหลี่เสวียนเอ๋อร์ บังเอิญไปคว้าเอาเรือรบจำลองลำหนึ่งที่หลี่เสวียนเอ๋อร์เพิ่งทำใหม่มา บินโซเซกลับมาในเรือนของหลี่รั่วอวี๋ อยากจะรีบเอามาแลกกับเมล็ดเหอเถาลูกใหญ่
หลี่เสวียนเอ๋อร์เห็นนกแก้วคาบเอาเรือจำลองที่ใกล้จะทำเสร็จแล้วไป กลัวว่าความพยายามหลายวันนี้จะต้องสูญเปล่าจึงย่อมไม่ยินดี นำสาวใช้ไล่ตามมาตลอดทาง
รอจนเข้ามาในเรือนแล้ว หลี่เสวียนเอ๋อร์ก็เห็นหลี่รั่วอวี๋กำลังเล่นเรือจำลองที่ตนเองทำอยู่ข้างอ่างปลาในเรือน เล่นไปพลางแกะชิ้นส่วนออกไปพลาง
คราวนี้หลี่เสวียนเอ๋อร์โกรธไม่น้อยจึงกระโจนเข้าไปแย่งเรือจำลอง แต่หลี่รั่วอวี๋เอี้ยวตัวหลบ หลี่เสวียนเอ๋อร์จึงยิ่งโกรธมาก เมื่อระบายอารมณ์ใส่หลี่รั่วอวี๋ไม่ได้และมองเห็นนกแก้วที่เกาะอยู่บนแท่นไม้ไซ้ขนตนเองอยู่ก็คว้าหลังนกแก้วเอาไว้ ก่อนจะถอนขนนกออกมาหลายเส้น
นกแก้วเจ็บจนร้องครวญ เสียงร้องครวญนี้เข้าไปถึงกลางใจคุณหนูรอง บ่าวหญิงอาวุโสไม่ทันเห็นชัด คุณหนูรองก็กระโดดไปบนตัวของคุณหนูสามแล้ว จากนั้นก็เกิดความวุ่นวายไปทั่ว ปีศาจสาวจากฝันร้ายของเหล่าเด็กในสำนักศึกษาในอดีตปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง…
โจวอี๋เหนียงฟังสาเหตุอย่างชัดเจน แล้วมองบุตรสาวตนเองที่ผมหลุดไปกระจุกหนึ่งก็โมโหจนสั่นไปทั้งตัว อยากจะระเบิดอารมณ์แต่ก็ไม่กล้า อย่างไรเสียคนที่เป็นใหญ่ในคฤหาสน์สกุลหลี่ก็คือฮูหยินผู้เฒ่าหลี่
แต่ในตอนนี้เอง หลี่เสวียนเอ๋อร์กลับกุมท้องร้องเจ็บขึ้นมาทันใด มีบ่าวหญิงอาวุโสตาแหลม พบว่าข้างขาของนางมีเลือดไหลออกมา ดังนั้นเรือนที่เพิ่งเงียบสงบลงก็วุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง
ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ยินท่านหมอที่เชิญมาบอกว่า คุณหนูสามกระเทือนถึงครรภ์ก็โกรธจนตัวเย็นเฉียบ!
ที่แท้เสิ่นหรูป๋อนั่นลอบมีความสัมพันธ์กับหลี่เสวียนเอ๋อร์นานแล้ว!
ได้ยินท่านหมอบอกว่าตั้งครรภ์ได้สามเดือน นี่เท่ากับว่าคนคู่นี้ลอบคบหากันตั้งแต่หลี่รั่วอวี๋ยังไม่ได้รับอุบัติเหตุ เรือนหลังสกปรกเช่นนี้ เสียทีที่นางคิดว่าภายในบ้านสงบดี ตายไปแล้วก็ยากจะไปพบหน้าบรรพชนสกุลหลี่ได้!
หลังจากส่งท่านหมอกลับไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็กลับไปที่เรือนของบุตรสาว ตอนนี้ความยุ่งเหยิงภายในเรือนถูกเก็บกวาดสะอาดดีแล้ว นกแก้วที่ได้รับบาดเจ็บก็ได้สาวใช้ทายาให้ เกาะอยู่บนแท่นไม้อย่างหงอยเหงา ใช้จะงอยปากขูดไปบนไม้เนื้ออ่อนของแท่นไม้อย่างเศร้าใจ
หลี่รั่วอวี๋เปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงตัวหลวม รองเท้าปักถูกสะบัดไปด้านข้าง ผมดำขลับปล่อยสยาย กำลังนอนหมอบอยู่บนพรมขนหนาเล่นเรือลำที่นกแก้วคาบมา
เมื่อครู่เพราะมีเรื่องวุ่นวาย หลี่เสวียนเอ๋อร์จึงไม่ทันได้เอาเรือจำลองนั่นกลับไป ตอนนี้เรือจำลองที่ประณีตนั้นถูกสองมือคู่งามของหลี่รั่วอวี๋แกะจนยุ่งเหยิงไปหมด ท่าทางตั้งใจนั้นเหมือนกับตอนที่นางเล่นสลักหลู่ปันไม่ผิดเพี้ยน
เวลาเพียงไม่นาน เรือเล็กที่ถูกแกะออกก็ถูกหลี่รั่วอวี๋ประกอบกลับไปอีกครั้ง จากนั้นนางก็วิ่งไปที่ข้างอ่างรองน้ำในเรือน แล้วปล่อยเรือลงไป
เรือเล็กนั้นตอนแรกยังลอยนิ่งอยู่บนผิวน้ำ ทว่าเพียงไม่นานมีลมพัดมา เรือนั้นก็ขยับโคลงเคลงหลายที จากนั้นก็เริ่มหลุดออกจากกันแล้วจมลงใต้ก้นน้ำ…
หลี่รั่วอวี๋กะพริบๆ ตา ก่อนจะยื่นมือไปหยิบเรือขึ้นมาอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มองดู หางตาก็เริ่มปวดขึ้นมาอีกครั้ง
นางอยู่อย่างไม่สนอะไรมาหลายปี ไม่มีความสามารถเหมือนบุตรสาว ตอนนี้เรือลำใหญ่ของสกุลหลี่ลำนี้มอบให้นางเป็นคนคุม หากไม่ระวังก็จะชนหินจมลงสู่ก้นแม่น้ำได้ กิจการนับร้อยปีของสกุลหลี่ต้องสลายไป… เมื่อคิดถึงจุดนี้นางก็รู้สึกใจสั่น คิดใคร่ครวญแล้วรู้สึกว่าสู้แรงกดดันไม่ได้ อาการปวดหัวกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง จึงกลั้นใจให้คนไปตามเสิ่นหรูป๋อมา
ตอนที่เสิ่นหรูป๋อมาถึง ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กลับไม่อยากพบหน้าเขา จึงให้เขายืนอยู่กลางลานบ้าน ให้พ่อบ้านนำคำพูดไปบอกว่า ตอนนี้หลี่เสวียนเอ๋อร์เกิดกระเทือนถึงครรภ์ แม้จะรักษาลูกไว้ได้ แต่ก็เสียเลือดไปมาก อยู่ในคฤหาสน์สกุลหลี่หากเป็นอะไรขึ้นมา สกุลหลี่จะตกเป็นที่ครหาว่าใจร้ายกับบุตรสาวภรรยารอง ขอให้เสิ่นหรูป๋อพาตัวโจวอี๋เหนียงสองแม่ลูกไป และให้พักที่เรือนอื่นรอการทำพิธีแต่งงาน
ความหมายคำพูดนี้คือจะไล่โจวอี๋เหนียงสองแม่ลูกออกจากคฤหาสน์สกุลหลี่ก่อนพิธีแต่งงาน หากสกุลเสิ่นยินดีแต่งงานก็เตรียมงานจัดการได้เอง สกุลหลี่ไม่มีหน้าที่รักษาหน้าตาของชายหญิงคู่หนึ่งที่ลอบมีสัมพันธ์กัน
ภายใต้สายตาดูหมิ่นของพ่อบ้าน สีหน้าของเสิ่นหรูป๋อยังคงเป็นปกติ ไม่มีท่าทีอึดอัดลำบากใจที่เรื่องฉาวถูกคนรู้เข้าแม้แต่น้อย หลังจากพ่อบ้านแจ้งคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จบแล้ว เขาก็แค่เพียงพยักหน้าพลางพูดเสียงเครียดว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มีความคิดเช่นนี้ ข้าน้อยย่อมยอมทำตาม ไม่รู้ว่าจะขอพบคุณหนูรองสักครั้งได้หรือไม่ ถ้านางสบายดีทุกอย่าง ข้าน้อยก็วางใจแล้ว”
ดวงตาพ่อบ้านสกุลหลี่ถลึงจนแทบจะหลุดออกมาแล้ว คิดเพียงว่าคุณหนูรองเป็นคนดีย่อมมีสวรรค์คอยช่วย โชคดีผ่านเคราะห์นี้ไปได้ ไม่ได้แต่งงานกับคนหน้าหนาไร้ยางอายเช่นนี้ เสียทีเป็นลูกหลานตระกูลขุนนางที่เรียนรู้หนังสือมา เหตุใดจึงไร้เหตุผลเช่นนี้ ยังมีหน้าไปพบคุณหนูรองอีก หากคุณหนูรองสติยังครบถ้วน จะไม่ฝากฝ่ามือไว้บนใบหน้าหล่อเหลาของเขาทั้งรอยและเสียงอย่างนั้นหรือ
พ่อบ้านถ่มน้ำลายไปบนพื้นหินก่อนจะพูดด้วยเสียงสะอิดสะเอียน “คุณหนูรองไม่สบายใจ ไม่ยินดีพบแขก อีกอย่างคุณชายรองเสิ่นมีงานยุ่ง ต่อไปกิจการร้านค้าสกุลหลี่คงไม่รบกวนคุณชายรองเสิ่นแล้ว สำหรับเงินที่ท่านเอามาร่วมหุ้นในร้านก่อนหน้านี้ อีกสองวันทางห้องบัญชีของพวกเราจะคำนวณให้ท่านอย่างละเอียด นับจากนี้หลี่เสิ่นสองสกุลไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีกต่อไป!”
ฟังถึงตรงนี้ บนใบหน้าเสิ่นหรูป๋อก็ค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มเลวร้ายออกมา ก่อนจะพูดขึ้นอย่างช้าๆ “เช่นนั้นเรียนฮูหยินสักคำ ใจที่หรูป๋อมีต่อคุณหนูรองไม่เคยเปลี่ยนไปเลย วันหน้าถ้าทางคฤหาสน์มีอะไรติดขัด มาเอ่ยปากกับหรูป๋อได้เสมอ”
พูดจบเขาก็หมุนตัวไปที่เรือนของหลี่เสวียนเอ๋อร์รับคนออกจากคฤหาสน์
หลี่เสวียนเอ๋อร์นั้นสีหน้าซีดขาว ถูกคนแบกออกไปทางประตูหลัง ส่วนโจวอี๋เหนียงก็พยายามสงบนิ่ง เก็บของใช้ส่วนตัวที่พกง่ายไปกับรถม้าของสกุลเสิ่น
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ฟังการบรรยายของพ่อบ้านแล้วก็ยิ้มเย็นชา คฤหาสน์สกุลหลี่ของพวกเขาต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปพบเขาเสิ่นหรูป๋อ!
หลังเสิ่นหรูป๋อรับตัวโจวอี๋เหนียงกับหลี่เสวียนเอ๋อร์ออกจากคฤหาสน์สกุลหลี่แล้วก็พาไปอยู่ในคฤหาสน์ทางตะวันตกก่อนชั่วคราว
แม้ว่าเรื่องฉาวของสกุลหลี่จะไม่อยากให้ลือออกไปภายนอก แต่หากบ่าวในบ้านคนสองคนหลุดปากพูดไปก็จะเป็นข่าวลือไปทั่วเมืองได้ เสิ่นหรูป๋อเป็นคนมีความรับผิดชอบติดต่อกับขุนนางเมืองเหลียวเฉิง และอาศัยชื่อของพี่ชายบริจาคเงินให้กับหอการกุศลในเมือง ดังนั้นชาวเมืองเหลียวเฉิงล้วนเห็นเสิ่นหรูป๋อเป็นคนสูงส่ง ตอนนี้หากข่าวว่าเปลี่ยนน้องสาวมาแต่งงานแทนพี่สาวและคุณหนูสามหลี่ตั้งครรภ์แล้วลือออกไป ผู้คนอาจจะคิดว่าจิ้งจอกไร้ยางอายผู้นี้หลอกล่อพี่เขยก็เป็นได้
นับจากอดีตภายในเรือนหากมีเรื่องฉาว ล้วนไปหาสาเหตุจากฝ่ายหญิง กอปรกับหลี่รั่วอวี๋ป่วยแล้ว เสิ่นหรูป๋อที่มีคุณสมบัติเหนือผู้ใดแต่งภรรยาอื่นก็พอให้อภัยได้ ดังนั้นการวิจารณ์ในเมืองสำหรับเสิ่นหรูป๋อแล้วไม่มีผลกระทบอะไร อย่างไรเสียเสิ่นหรูป๋อยังนับว่า ‘จิตใจดีงาม’ ได้คนเขาแล้วก็แสดงความรับผิดชอบ กำหนดวันแต่งคุณหนูสามหลี่เข้าบ้านแล้ว ชาวเมืองคงเห็นเป็นแค่เรื่องหญิงงามในคฤหาสน์คนสูงศักดิ์ ลือกันสักพักก็เงียบไปเอง
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณหนูรองในคฤหาสน์สกุลหลี่ก็เป็นดอกไม้ที่ไม่มีเจ้าของแล้ว
เหล่าแม่สื่อใหญ่น้อยในเมืองเหลียวเฉิงเริ่มเกิดความคิด แม้คุณหนูรองหลี่จะสมองเสื่อมไปแล้ว แต่เงินของสกุลหลี่ไม่ได้ขึ้นราหรือมีขน หากผู้ใดทนรับอาการโง่ทึ่มนี้ได้ แต่งคุณหนูรองเข้าบ้าน ย่อมสามารถขนกองทองกลับมาได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ผลปรากฏว่าเวลาเพียงไม่กี่วันก็มีคนมาเยือนที่คฤหาสน์สกุลหลี่อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่มาทาบทามสู่ขอมีตั้งแต่บัณฑิตตกยากที่เล่าเรียนอย่างลำบาก และมีลูกหลานในครอบครัวฐานะปานกลาง ถึงจะอ่อนด้อยแต่มือเท้ามีความผิดปกติ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนที่ทำตัวเสเพลชื่อเสียงเลวร้ายอีกด้วย
หลังจากฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อดทนต้อนรับมาหลายคนแล้วก็รำคาญใจอย่างมาก จึงประกาศกับคนภายนอกว่าป่วย ปิดประตูไม่รับแขก แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังขวางคนที่มาทาบทามแต่ละสำนักไม่ได้
แต่เมื่อถึงวันมงคลของเสิ่นหรูป๋อกับหลี่เสวียนเอ๋อร์ ในเมืองมีเสียงประทัดดังก้อง เหล่าแม่สื่อจึงพอมีตา รู้ว่าวันนี้ฮูหยินสกุลหลี่ต้องอารมณ์ไม่ดีแน่นอน จึงไม่ได้ไปกินน้ำแกงปิดประตู*
อันที่จริงฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่มีเวลาสนใจเรื่องของหลี่เสวียนเอ๋อร์จริงๆ หลายวันมานี้ร้านค้าทุกแห่งพากันมาแจ้งเรื่องด่วน มีสินค้าจำนวนมากค้างจ่าย ก่อนหน้านี้เพราะเสิ่นหรูป๋อสร้างสัมพันธ์อันดีกับพวกเขา ตกลงให้ค้างจ่ายไว้ชั่วคราว แต่ตอนนี้หลังจากเสิ่นหรูป๋อไม่รับผิดชอบร้านค้าแล้ว พ่อค้าเหล่านี้ก็เหมือนทำการตกลงกันมา ต่างพากันวิ่งมาทวงเงิน
ตอนที่พ่อบ้านบอกฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ นางยังไม่ได้เก็บมาใส่ใจนัก กิจการนานหลายปีของสกุลหลี่ จะจ่ายค่าสินค้าไม่กี่ก้อนนี้ไม่ได้ได้อย่างไร
ทว่าหลังจากพ่อบ้านจัดแยกบัญชีรายรับรายจ่ายแต่ละส่วนแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จึงพบว่าร้านค้าของตนเองไม่รู้ว่าขาดเงินไปจำนวนมากเพียงเท่านี้ตั้งแต่เมื่อใด บัญชีนั้นเหมือนกับถูกหนอนชอนไช ใช้เดือนชนเดือนด้วยซ้ำ
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!” ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่กล้าเชื่อสิ่งที่เห็น เพราะหลี่รั่วอวี๋ป่วย เงินค่าสินค้า และเรือโดยสารที่อู่เรือยังไม่ได้ส่งมอบเหล่านี้ เงินที่ต้องชดเชยก้อนใหญ่ราวภูเขาหิมะถล่มทับลงมา แม้จะเป็นเจดีย์เหล็กกล้าก็ยังทานไม่ไหว…
พ่อบ้านจึงพูดด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม “ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ หนึ่งเดือนก่อนข้าน้อยเคยบอกท่านถึงเรื่องเงินหมุนเวียนสินค้านี้ แต่ท่านไม่ยอมรับฟัง บอกเพียงว่าให้คุณชายรองเสิ่นทำตามเห็นสมควร แต่หลังจากคุณชายรองเสิ่นได้เงินไปหนึ่งรอบ ก็อ้างว่าจะสร้างอู่เรือใหม่ที่เมืองหลวง ขนเงินก้อนใหญ่ไปอีก ตอนที่คุณหนูรองดูแลจัดการ หากไม่มีตราประทับจากนาง เงินแม้ส่วนเดียวก็จะไม่ปล่อยออกไป แต่หลังจากนางป่วย ตราประทับจึงให้ท่านเป็นคนดูแล ใบรายการสั่งซื้อที่คุณชายรองเสิ่นเอามา ท่านล้วนประทับตราปล่อยไปหมด เขาทำงานกับคุณหนูรองมานานอย่างนี้ อุดช่องโหว่ในบัญชีได้ราวกับเอาปูนไปฉาบกำแพง ไหลลื่นอย่างมาก แม้ตอนนี้อยากจะไปแจ้งความว่าเขายักยอกทรัพย์สินสกุลหลี่ของพวกเราก็ไม่มีหลักฐานอะไร!”
พูดถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็นับว่าฟังเข้าใจแล้ว บัญชีนี้ถูกเสิ่นหรูป๋อเล่นไม่ซื่อ ตอนนี้เขานับว่า ‘งานเสร็จก็ถอยออก’ คิดบัญชีชัดแล้ว สิ่งที่เหลือทิ้งให้กับสกุลหลี่คือเรือโทรมที่มีรูพรุนนับร้อย แค่สะกิดเพียงเบาๆ ก็จมลงก้นน้ำได้ทุกเมื่อ…
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รู้สึกแขนขาอ่อนแรง ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้นุ่มทันที
ตอนนี้นางเข้าใจความหมายคำพูดของเสิ่นหรูป๋อที่ว่า ‘วันหน้าถ้าทางคฤหาสน์มีอะไรติดขัด’ มันซ่อนความโหดเหี้ยมเลวร้ายเอาไว้มากมายเพียงใด
นางกลับเชื่อใจผู้ดีจอมปลอมที่มีแผนการลึกซึ้งอย่างนี้ ในที่สุดนางก็เข้าใจได้รางๆ แล้วว่าตอนแรกเหตุใดบุตรสาวจึงต้องการถอนหมั้น
สกุลหลี่แม้จะเป็นพ่อค้าร่ำรวย แต่เงินส่วนใหญ่ล้วนเอามาใช้ในการจัดการทรัพย์สินที่ดินร้านค้าและไร่นา ตอนนี้แม้จะอยากขายที่ในราคาถูก ทว่าในเวลาอันสั้นคงไม่มีผู้ใดรับซื้อ ยามนี้พวกเจ้าหนี้จะมาทวงหนี้ถึงบ้าน เช่นนี้จะทำอย่างไร คนเป็นพ่อค้าความน่าเชื่อถือสำคัญมาก หากเรื่องเงินค่าสินค้าจ่ายไม่ทันเวลาลือออกไป คงถึงเวลาต้นไม้ล้มลิงกระเจิง* ผู้ใดยังจะยอมไหว้วานสกุลหลี่ให้ขนสินค้าชุดใหญ่ให้อีกเล่า
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่สั่งให้พ่อบ้านไปดูในคลังส่วนตัวของคฤหาสน์ว่ามีเงินเหลืออยู่เท่าใด กลับพบว่าแม้ในคฤหาสน์จะประหยัดเรื่องเสื้อผ้าและอาหาร แต่สำหรับเงินค่าสินค้านั้นแล้วก็เป็นเพียงน้ำแก้วเดียวที่ดับไฟไม่ได้ ทว่าโชคดีที่ยังรับมือกับความเร่งด่วนในตอนนี้ได้บ้าง จึงตัดสินใจจ่ายเงินให้พวกเจ้าหนี้ส่วนหนึ่งไปก่อน
วันที่สองหลังจากวันมงคลของสกุลเสิ่น เสิ่นหรูป๋อก็เขียนจดหมายมาถึงฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ พูดอย่างมองการณ์ไกลถึงข้อดีข้อเสียในเรื่องนี้ให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รับรู้อย่างชัดเจนว่ายังมีเงินสำคัญอีกก้อนหนึ่ง นั่นคือเงินค่าจ้างต่อเรือของหลี่รั่วอวี๋ที่รับมาจากกรมปกครองซึ่งได้โยกไปใช้ก่อนแล้ว ตอนนี้สกุลหลี่ไม่อาจทำงานเสร็จตามเวลา ส่วนหลี่เสวียนเอ๋อร์ก็แบ่งเส้นกับสกุลหลี่อย่างชัดเจน ตอนนี้นางสานงานต่อจากหลี่รั่วอวี๋ เช่นนั้นสกุลหลี่ก็ควรจะมอบเงินนั้นคืนให้แก่สกุลเสิ่น หากไม่เช่นนั้นจะไปแจ้งราชสำนัก และไปเจอกันที่โถงว่าการ!
หากพูดถึงเงินค่าสินค้าอื่นยังพอจัดการได้ แต่เงินของกรมโยธานี้กลายเป็นดาบคมหมายเอาชีวิตที่ลอยอยู่บนหัวสกุลหลี่
หลังจากฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของเรื่องนี้แล้ว สุดท้ายก็ตอบจดหมายถึงเสิ่นหรูป๋อ คำพูดในจดหมายผ่อนปรนลงมาก ขอร้องให้เสิ่นหรูป๋อยืดเวลาให้ระยะหนึ่ง หากไม่ได้ จะใช้ร้านค้าและที่นามาค้ำประกัน
ครั้งนี้เสิ่นหรูป๋อไม่ได้เขียนจดหมายตอบ แต่ส่งเสิ่นโม่ผู้ติดตามของตนเองมา พูดถึงข้อดีข้อเสียให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟังด้วยตนเอง เห็นว่าอู่เรือใกล้จะเปิดทำการแล้ว เงินก้อนนั้นต้องได้มาในทันที หากสกุลหลี่เอาของมาค้ำประกัน เช่นนั้นก็เท่ากับแสดงให้เห็นว่าเอาเงินหลวงมาใช้ส่วนตัวเหมือนเป็นการคาดโทษให้ตนเอง ถึงตอนนั้นไม่เพียงฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ต้องเข้าคุก แม้แต่คุณหนูรองที่ตอนนี้โง่เขลาเซ่อซ่าก็ไม่พ้นความโชคร้ายนี้ไปได้
“ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ ทุกเรื่องจะเด็ดขาดเกินไปไม่ได้ ท่านไล่คุณหนูสามออกจากคฤหาสน์ นั่นเป็นความผิดมหันต์! เดิมทีคุณชายรองของพวกเรายังนับว่าเป็นลูกเขยของท่านครึ่งตัว ยามสกุลหลี่มีปัญหา สกุลเสิ่นจะหลบเลี่ยงได้อย่างไร ย่อมต้องช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ทว่าตอนนี้หน้าตาถูกฉีกขาดไปแล้ว คนทั้งเมืองล้วนนินทาลับหลังเกี่ยวกับฮูหยินคุณชายรองที่เพิ่งแต่งเข้าบ้าน ท่านช่างทำเกินไปจริงๆ!”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เป็นคนไม่ชอบแย่งชิงกับผู้ใดอยู่แล้ว ตอนนี้ถูกเรื่องรำคาญใจรุมเร้าต่อเนื่องจนคิดอะไรไม่ออก ทั้งยังถูกเสิ่นโม่ตำหนิเช่นนี้อีก ในใจจึงรู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตนเองอาจจะทำผิดไป จึงถามขึ้นอย่างทำอะไรไม่ถูก “เช่นนั้น…เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี”
เสิ่นโม่กลอกตาแล้วเอ่ยปากพูด “คุณชายรองของพวกเราอันที่จริงคนที่ใจรักที่สุดคือคุณหนูรอง เดิมทีตกลงกันไว้แล้วว่าคุณหนูรองจะแต่งเข้าไป แต่ท่านกลับเปลี่ยนใจกะทันหัน ทำร้ายจิตใจคุณชายรองของพวกเราไม่เบาเลย! ขอเพียงท่านยอมพยักหน้าให้คุณหนูรองแต่งเข้าสกุลเสิ่นตามเดิม คุณชายรองของพวกเราบอกแล้วว่าทุกอย่างเขาจะเป็นคนจัดการ ท่านวางใจได้ ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบสุขก็พอ…”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ฟังถึงตรงนี้ ความโกรธก็พุ่งเข้าสู่หัวใจ อ้าปากด่าออกมาทันที “เขาผายลมชัดๆ! สกุลหลี่ของพวกเราแม้จะต้องล้มละลาย ก็จะไม่ขายบุตรสาวให้เขาเด็ดขาด!”
เสิ่นโม่คาดไว้แต่แรกแล้วว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่มีทางตอบตกลงอย่างง่ายดาย คนเช่นนี้ไม่ถูกบีบจนถึงสุดทางจะยอมเชื่อฟังแต่โดยดีได้อย่างไร!
ตอนนี้เขาจึงแค่นเสียงสบถเย็นชาแล้วลุกยืน “คุณชายรองของพวกเราอีกไม่กี่วันจะเข้าเมืองหลวง ด้วยความสามารถของเขา อนาคตอันสดใสมากมายยังรออยู่ เดิมทีสกุลหลี่ของพวกท่านก็ใฝ่สูงในสกุลเสิ่นของพวกเรา ยามนี้คุณหนูรองเป็นอย่างนั้น ท่านยังเก็บไว้เหมือนของล้ำค่า ถ้าเป็นข้าคงจะส่งนางไปที่คฤหาสน์สกุลเสิ่นแล้ว ตอนนี้ฮูหยินคุณชายรองคนใหม่ตั้งท้องแต่ไม่รู้ว่าเป็นชายหรือหญิง ถ้าคุณหนูรองรีบแต่งเข้าบ้านและตั้งท้อง หากโชคดี ไม่แน่ว่าอาจจะมีบุตรชายให้คุณชายรองได้ก่อน ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ ข้าขอให้ท่านคิดให้ชัดเจน อย่าขัดขวางอนาคตของบุตรสาวเลย”
พูดจบเขาก็ไม่มองฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่โกรธจนพูดอะไรไม่ออกอีก สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไปทันที
รอจนบ่าวหญิงอาวุโสรีบเทชาโสมร้อนๆ ถ้วยหนึ่งมาให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ นางจึงผ่อนลมหายใจลงได้
แต่ในตอนนั้นเอง พ่อบ้านก็รีบร้อนวิ่งเข้ามาบอกว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ มีคนมาทาบทามสู่ขออีกแล้วขอรับ…”
ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อารมณ์ไม่ดีอย่างยิ่ง จึงพูดเสียงดังว่า “เจ้าเป๋บ้านใดมาหาของดีอีกล่ะ! ไม่พบ! ไม่พบทั้งสิ้น!”
ทว่าพ่อบ้านกลับยืนอยู่กับที่พลางพูดด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม “เป็น…ท่านซือหม่าพาท่านหญิงไหวอินพี่สาวของเขามาเยี่ยมเยือน ตอนนี้ยืนอยู่หน้าประตู ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่…ข้าน้อยจะพูดอย่างไรดี จึงจะเชิญสองท่านนี้กลับไปได้ขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่คิดไม่ถึงว่าผู้ที่พ่อบ้านบอกว่ามาทาบทามสู่ขอจะเป็นบุคคลสองผู้นี้!
ซือหม่าที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยไอสังหารมาที่คฤหาสน์ของนางเพื่ออะไรกัน ยังมีท่านหญิงไหวอินผู้นั้นอีก นางเป็นธิดาชายาเอกของโอรสองค์ที่สองของอดีตฮ่องเต้ ในอดีตองค์ชายรองผู้นี้มีความหวังจะได้ครองบัลลังก์มากที่สุด แต่กลับประกาศไว้ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องงานแผ่นดิน ชื่นชอบในธรรมชาติ หลีกหนีจากการแย่งชิงในราชสำนัก ส่วนท่านหญิงไหวอินธิดาคนโตของเขาก็อภิเษกให้กับฟั่นเจิงที่มีตำแหน่งเป็นอวิ๋นติ่งโหว โอรสคนที่สี่ก็คือคังติ้งอ๋องที่ประจำอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ
เพราะพระปัปผาสะของท่านหญิงไม่ค่อยดี ทนอากาศแห้งในเมืองหลวงไม่ไหว และที่เมืองซูเฉิงซึ่งห่างจากเมืองเหลียวเฉิงไปหลายร้อยลี้มีจวนกลางสวนติดน้ำแห่งหนึ่ง นางจึงไปพักระยะยาวอยู่ที่นั่น
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เคยได้ยินเรื่องพระญาติหญิงของต้าฉู่ผู้นี้มาบ้าง ทว่าสกุลหลี่แม้จะร่ำรวย คบหากับขุนนางไม่น้อย แต่คนที่เป็นพระญาติแท้จริงอย่างท่านหญิงไหวอิน ก็ได้แต่เฝ้ามองไกลๆ ด้วยความเคารพ อย่างไรเสียก็ไม่ใช่คนที่อยู่ในแวดวงเดียวกัน จะปีนขึ้นไปสูงเช่นนั้นได้อย่างไร ทว่าทุกครั้งที่มีงานฉลอง ทางสกุลหลี่จะจัดขบวนเรือเครื่องบรรณาการเชื้อพระวงศ์โดยเฉพาะและเคยขนเครื่องบรรณาการจากเมืองหลวงไปที่จวนของท่านหญิงผู้นี้ด้วย
ตอนนี้พอได้ยินว่าเป็นสองผู้นี้ที่มาเยือนคฤหาสน์สกุลหลี่ แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่เข้าออกจวนขุนนางเป็นประจำก็ยังทำอะไรไม่ถูกจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วให้สาวใช้ประคองรีบรุดไปที่ประตูเรือนทันที
รอจนไปถึงหน้าประตูก็เห็นว่ามีรถม้าหรูหราคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตูจริงๆ ทั้งที่ผู้สูงศักดิ์ท่านนี้พยายามเตรียมขบวนรถม้าให้เรียบง่ายแล้ว ทว่าองครักษ์ที่ตามติดด้านหลังรถม้าก็ยังคงต่อแถวยาวไปจนถึงปากตรอก
มีชาวเมืองจำนวนมากยื่นหน้ามาดู แต่กลับถูกทหารที่เปิดทางด้านหน้าขอให้หลบไป ห้ามออกจากประตูมาดูความยิ่งใหญ่ของขบวนรถงดงามนี้
ท่านซือหม่าขี่ม้ามา ร่างในชุดยาวสีขาวนวลคอตั้งปักขลิบทองลายมงคล แถบรัดเอวใหญ่ทำให้ดูแผ่นหลังตรงยิ่งขึ้น ผมสีเงินทั้งหัวบรรจงถักเปียแล้วรวบไว้ในครอบผมเงินฝังไข่มุกทะเลหนานไห่ คิ้วดกดำ แววตาเย็นเยือก ในตอนนี้แม้ไม่ได้สวมชุดเกราะติดกาย แต่ก็ยังคงดูงามสง่าเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน
หลังจากที่เขาลงจากหลังม้าก็ยืนอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ แส้หนังวัวสีดำเส้นหนึ่งในมือเคาะเสาผูกม้าเบาๆ ราวกับเป็นเทพประจำประตู แม้บ่าวที่เฝ้าประตูจะรับคำสั่งให้เชิญแขกทรงเกียรติทั้งสองท่านเข้าไปรอที่โถงด้านหน้า แต่เขายังคงยืนอยู่หน้าประตูไม่พูดไม่จา
รอจนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ออกมา ม่านขลิบทองบนรถม้าจึงถูกนางกำนัลที่อยู่ด้านข้างพลิกเปิดขึ้น ก่อนที่หญิงสาวเกล้าผมสูง สวมชุดกระโปรงยาวลากพื้นแขนยาวสีม่วง งามสง่าเหนือผู้ใดผู้หนึ่งจะถูกนางกำนัลประคองลงมาจากรถม้าอย่างช้าๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รู้ว่าคนผู้นี้ต้องเป็นท่านหญิงไหวอินแน่นอน จึงรีบย่อตัวคารวะเป็นการทักทายแขกทรงเกียรติทั้งสองทันที
ท่านซือหม่าที่ยืนอยู่หน้าประตูในตอนนี้จึงได้หยิบเทียบเยือนที่เคลือบขอบสีทอง มอบถึงมือฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ด้วยสองมือ “มาโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า ขอฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อภัยด้วย”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จะพูดอะไรได้ แม้จะถูกขบวนคนตรงหน้าทำให้ตกใจไม่น้อย แต่จะกล้าตำหนิคนทั้งสองที่เป็นถึงพระญาติฮ่องเต้ได้อย่างไร นางถึงขั้นไม่กล้าถามจุดประสงค์ที่มา ได้แต่เชิญทั้งสองท่านเข้าไปที่โถงรับแขกสกุลหลี่ก่อน แล้วสั่งให้พ่อบ้านไปหยิบชุดชากระเบื้องเคลือบเขียวชุดใหม่มาต้อนรับแขกทรงเกียรติทั้งสองนี้
ท่านหญิงไหวอินผู้นี้มีอายุใกล้เคียงกับฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ แต่ดูแลผิวพรรณอย่างดี จึงดูแล้วสาวกว่าอายุ ตอนที่นางเดินเข้าไปในโถงชั้นหน้าของคฤหาสน์สกุลหลี่ก็แอบมองสำรวจไปรอบๆ รู้สึกว่าความชื่นชอบของครอบครัวพ่อค้านี้ไม่เลว ภาพอักษรที่แขวนไว้ในโถงรับแขกแม้จะไม่ใช่ฝีมือของปราชญ์อักษรชื่อดังในตอนนี้ แต่ดูอย่างละเอียดแล้วก็พบว่าเป็นผลงานของบัณฑิตในราชวงศ์ก่อน ซึ่งดูเข้ากับการจัดตกแต่งในห้องรับแขกนี้มาก หากไม่รู้เบื้องลึกของสกุลหลี่ คงคิดว่ามาถึงบ้านบัณฑิตคนใดเสียอีก
สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือภาพวาดภาพหนึ่งที่ปลายพู่กันแข็งแรง ทรงพลังอย่างมาก…ดูไม่ออกเลยว่ามาจากฝีมือของผู้ใด
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เห็นท่านหญิงไหวอินมองภาพเรือล่องบนเกลียวคลื่นที่แขวนในห้องรับแขกอย่างสนใจ จึงหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ย “นี่เป็นภาพวาดฝีมือยังใช้ไม่ได้ของรั่วอวี๋บุตรสาวข้าน้อยเอง ฝีมือหยาบกระด้าง ทำให้ท่านหญิงขบขันแล้ว”
ท่านหญิงไหวอินตกใจเล็กน้อย ดูจากแรงบนปลายพู่กัน ดูไม่ออกเลยว่าเป็นฝีมือของหญิงสาวอายุน้อยผู้หนึ่ง นางจึงพูดชมออกมา “คลื่นใหญ่น่ากลัว ล่องเรือยามเช้า ดูความหมายจากภาพแล้วก็รู้ว่าคนวาดเป็นหญิงพิเศษที่มีความคิดอ่านที่ดี…”
คำชมเช่นเดียวกันนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่รู้ว่าได้ยินมามากเท่าใดแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้นางยังสามารถยิ้มรับได้ แต่ตอนนี้มาฟังคำชมบุตรสาวเช่นนี้อีกครั้งกลับมีความเป็นทุกข์ขมขื่นออกมาจากใจ
หลังจากนางเชิญท่านหญิงไหวอินนั่งลงแล้วก็ฝืนยิ้มแล้วเอ่ยถามว่า “ขอบคุณท่านหญิงที่ชม ไม่ทราบว่าท่านหญิงกับท่านซือหม่ามาที่นี่ มีธุระอันใดหรือ”
ท่านหญิงไหวอินยิ้มกล่าว “ได้ยินจิ้งเฟิงน้องชายข้าพูดว่าคุณหนูรองของสกุลท่านงามสง่าเพียบพร้อม เป็นหญิงสาวที่น่ารักมาก นึกได้ว่าก่อนตรุษจีนนางเคยส่งของบรรณาการไปให้ข้าที่จวนกลางสวนในเมืองซูเฉิง แต่ว่าตอนนั้นข้าไปท่องเที่ยวกับสามี คลาดกับนาง ไม่เคยได้พบหน้ากัน วันนี้บังเอิญมาเยี่ยมน้องชายที่เมืองเหลียวเฉิง จึงอยากจะมาที่คฤหาสน์พบหน้าแม่นางรั่วอวี๋ผู้นี้ด้วยตัวเองสักครั้ง”
ท่านหญิงไหวอินพูดจาเกรงใจ แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รู้ว่าแม้ตอนนั้นท่านหญิงไหวอินจะอยู่ในจวน ก็ไม่แน่ว่าจะออกมาพบหลี่รั่วอวี๋ด้วยตนเอง สกุลหลี่ต่อให้ร่ำรวยเทียบแคว้น ในสายตาของหญิงชั้นสูงที่เป็นถึงพระญาติเหล่านี้ก็เป็นเพียงตระกูลพ่อค้าธรรมดาๆ เท่านั้น จะแตกต่างอะไรกับพ่อค้าส่งผักส่งน้ำในจวนอ๋องเหล่านั้น แล้วจู่ๆ ไม่มีธุระใดจะลดตัวลงมาพบหน้าด้วยตนเองได้อย่างไร
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ฟังคำบอกของพ่อบ้านก่อนหน้าว่าคนท่านนี้มาเพื่อทาบทามสู่ขอ เทียบที่ฉู่ซือหม่ายื่นมาให้ก็สอดกระดาษสีเหลืองที่เขียนดวงเกิดเอาไว้อย่างชัดเจน แต่ผู้ที่จะรบกวนสองท่านนี้ได้เป็นคุณชายชื่อดังคนใดกัน ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รู้สึกงุนงงจับต้นสายปลายเหตุไม่ถูกจริงๆ
ตอนนี้ท่านหญิงไหวอินไม่พูดเรื่องการทาบทามเลย แต่บอกว่าอยากจะพบหลี่รั่วอวี๋ อีกทั้งเหตุผลก็บอกอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง นางจึงไม่มีเหตุผลใดที่จะปฏิเสธได้
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มองฉู่ซือหม่าด้วยสีหน้าลำบากใจแวบหนึ่ง “ไม่รู้ว่าท่านหญิงได้ฟังซือหม่าพูดถึงหรือไม่ว่า บุตรสาวข้าน้อยประสบอุบัติเหตุ ตอนนี้โง่เขลาเซ่อซ่าไปบ้าง เกรงว่าจะเสียมารยาทต่อหน้าท่านหญิง”
ท่านหญิงไหวอินอมยิ้ม “จิ้งเฟิงพูดถึงอาการป่วยของนางแล้ว ได้ยินว่าดีขึ้นบ้างแล้ว ดังนั้นจึงมารบกวน ตั้งใจมาเยี่ยมคุณหนูรองสักหน่อย”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เห็นท่านหญิงไหวอินยืนยันเช่นนี้ จึงสั่งให้สาวใช้เข้าไปเรือนด้านหลังพาหลี่รั่วอวี๋ออกมา
เวลานี้หลี่รั่วอวี๋กำลังยุ่ง หลายวันก่อนนางเห็นกล่องหนังสือของเสียนเอ๋อร์จึงรู้สึกอิจฉามาก จึงอ้อนวอนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ให้เตรียมให้ตนเองบ้างหนึ่งกล่อง สองวันนี้ได้มาแล้วหากว่างก็จะเปิดกล่องฝนน้ำหมึก จากนั้นจะพาดตัวบนโต๊ะหนังสือในห้องหนังสือฝึกเขียนตัวอักษร
ตอนที่เรือนด้านหน้ามาตามตัวหลี่รั่วอวี๋ ภายในห้องหมึกพู่กันกำลังปลิวว่อน
หล่งเซียงได้ยินว่าโถงด้านหน้าท่านหญิงไหวอินเป็นแขกทรงเกียรติมาเยี่ยมเยือนก็ร้อนใจไม่มีเวลาสนใจว่าคุณหนูของตนเองกำลังสนุกกับการสาดน้ำหมึก จึงรีบดึงตัวหลี่รั่วอวี๋กลับห้องนอนไปเช็ดมือเช็ดเท้าจนสะอาด เลือกชุดสีเขียวเม็ดถั่วที่ขับผิวของหลี่รั่วอวี๋ที่สุดกับกระโปรงยาวคลุมพื้นสีดอกอิงฮวามาเปลี่ยนให้ ผมยาวหนายังไม่ทันได้ใส่น้ำมันจัดแต่งทรง ทำได้เพียงพรมน้ำดอกกุหลาบเพื่อไม่ให้ผมยุ่ง ก่อนจะเหลือหน้าม้าไว้เพื่อเกล้าผมขึ้นอย่างง่ายๆ แล้วปักปิ่นหยกรูปดอกไห่ถัง* ที่มีเกสรโผล่ตรงกลาง
รอจนผมแห้งแล้ว ผมที่ฟูฟ่องก็ลีบติดข้างแก้มขาวนวล ทำให้ใบหน้าดูงดงามยิ่งขึ้น มีความงดงามน่ารักสดใสของหญิงสาวมากขึ้น
หล่งเซียงคิดว่าความสามารถในการหวีแต่งทรงผมของตนเองเป็นอันดับต้นๆ ในเรือนหลังทั่วทั้งเมืองเหลียวเฉิง น่าเสียดายที่มาอยู่ข้างกายหลี่รั่วอวี๋คุณหนูที่ไม่รักการแต่งตัว ทำให้เสียฝีมือติดตัวนี้ไปอย่างเปล่าประโยชน์ คุณหนูออกไปอู่เรือจนผิวดำคล้ำทุกวันนั้นไม่ว่า ทว่านางยังยุ่งแต่เรื่องกิจการจนไม่มีเวลาใส่ใจเรื่องการแต่งตัว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เตรียมเครื่องประดับปิ่นปักผมให้นางมากมายก็ถูกเก็บไว้ในกล่องเครื่องประดับ ทุกครั้งที่หล่งเซียงเห็นก็จะรู้สึกเจ็บปวดแทนเครื่องประดับงดงามเหล่านี้
ทว่าคุณหนูในตอนนี้เข้าหาได้ง่ายกว่าเมื่อก่อนแล้ว ทั้งยังไม่ต้องออกไปทำงานเหน็ดเหนื่อยแต่เช้าตรู่อีก ทุกวันจะนอนจนเต็มอิ่ม ผิวพรรณสดใสมีน้ำมีนวล หลังตื่นนอนก็มานั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างดียอมให้นางแต่งนั่นเติมนี่ให้
หล่งเซียงมีความคิดของตนเองว่าสมองของคุณหนูตอนนี้ใช้การได้ไม่ดี แต่ใบหน้าต้องรักษาให้ดี สตรีงดงามไปถึงที่ใดก็มีแต่คนรัก ตามสายตาของนาง คุณหนูถึงแม้จะโง่เขลาไปนิด แต่มีความฉลาดกว่าสตรีโง่งมที่รู้จักแต่นินทาเรื่องภายในบ้านของคฤหาสน์อื่นในเมืองเหลียวเฉิงมากนัก!
ด้วยความคิดที่อยากจะให้ผู้เป็นนายงดงามเสมอนี้ หล่งเซียงทาสผู้ซื่อสัตย์จึงใช้ไข่มุกขนาดเท่าเล็บมือหนึ่งเม็ดมาบดใส่น้ำแป้งแล้วชโลมใบหน้าคุณหนู ทำให้ผิวคุณหนูที่ตากแดดจนดำคล้ำขาวนวลขึ้น
วันนี้การบำรุงมานานนับว่ามีที่ให้ใช้งานแล้ว มีแขกทรงเกียรติมาเยี่ยมคุณหนูโดยเฉพาะ ดูท่าแล้วคงจะมาแนะนำคนดีที่จะมาแต่งงานกับคุณหนู ท่านหญิงไหวอินน่าเชื่อถือมากกว่าแม่สื่อถามท้องถนน นางย่อมต้องแต่งตัวคุณหนูให้ดูงดงามเป็นพิเศษ!
ตลอดทางเดินไปถึงโถงด้านหน้า นางก็พูดปากเปียกปากแฉะกำชับคุณหนูว่าอีกครู่ต้องทำตัวดีๆ อย่างไร คารวะทักทายอย่างไร จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ห้ามขยับไปมาเด็ดขาด
รอจนเข้าไปในโถงด้านหน้าก็พบว่าความเหน็ดเหนื่อยของหล่งเซียงไม่เสียเปล่า ท่านหญิงไหวอินเห็นท่าทางงดงามของคุณหนูรองแล้วดวงตาพลันเปล่งประกายพลางพยักหน้าให้เบาๆ ส่วนซือหม่า ใบหน้าเย็นชานั้นจ้องคุณหนูไม่วางตาเช่นกัน ผ่านไปครู่ใหญ่จึงหลุบตาลง ก้มหน้าเป่าใบชาที่ลอยอยู่ในถ้วย
หลี่รั่วอวี๋เดิมทีคิดจะฟังคำของหล่งเซียง เข้าไปคารวะทักทายแขกอย่างดี แต่คิดไม่ถึงว่าพอช้อนตาขึ้นก็เห็นฉู่จิ้งเฟิงนั่งอยู่ในโถงรับแขก จึงหยุดชะงักไม่เดินเข้าไป
นางไม่ได้ลืมว่าหลายวันก่อนได้อยู่ใกล้กับเขา คนผู้นี้เดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อน เดิมทีเห็นเขาซื้อของเล่นน่ารักมากมายให้ตนเอง ก่อนจากมายังมอบ ‘เหยี่ยว’ ให้นางอีกหนึ่งตัว ก็ค่อยๆ เกิดความรู้สึกอันดีต่อเขา แต่ตอนที่นางใกล้จะขึ้นรถม้า บังเอิญหันหน้าไปมอง เขายืนนิ่งอยู่บนชั้นสองของที่พักรับรองกำลังมองนางอยู่ ในดวงตาปรากฏประกายสีแดงอีกแล้ว…
หลี่รั่วอวี๋แม้จะสมองไม่ค่อยดีนัก แต่ก็คิดได้ว่าตอนที่ในดวงตาของเขามีประกายสีแดง มีความหมายในทางไม่ดี ถูกเขาจ้องอย่างนั้น แม้จะเข้าไปในรถม้าแล้ว นางก็ยังรู้สึกว่าสายตาร้อนแรงของคนผู้นั้นเผาตัวรถจนเป็นรู จึงอยากให้รถม้ารีบจากไป ไปให้ไกลจากเขา
ตอนนี้นางมีความคิดเด็กๆ แม้ทุกวันจะเล่นของเล่นที่เขามอบให้ แต่ก็ลืมน้ำใจของเขาไปหมดแล้ว ผ่านไปนานเพิ่งได้เจอเขาอีกครั้ง ในสมองจำได้แต่ตอนที่จากมา สายตาแดงก่ำจะกินคนของเขา ความลึกล้ำในแววตานั้นคล้ายกับเสิ่นหรูป๋ออยู่บ้าง ตอนที่จ้องนางทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัวและรำคาญใจเหลือเกิน!
แต่ตอนนี้เขามาจ้องหน้านางแบบนี้ ทำท่าเหมือนนางเป็นขนมโก๋เมล็ดซิ่ง* เคลือบน้ำผึ้ง อยากจะกัดสักคำ… หลี่รั่วอวี๋เบ้ปาก ในใจรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
หล่งเซียงเห็นคุณหนูยืนนิ่งอยู่ตรงประตูโถงก็รู้สึกร้อนใจ กลัวว่าคุณหนูจะงอแง ทำขายหน้าต่อหน้าแขกทรงเกียรติ จึงได้จูงมือคุณหนูและดันให้นางเดินไปข้างหน้าพลางพูดเสียงเบาว่า “ฮูหยินเตรียมผลไม้มากมายให้แขก อีกครู่ดูว่าคุณหนูชอบกินอันไหน หล่งเซียงจะไปหยิบชิ้นใหญ่มาให้ดีหรือไม่”
บังเอิญในตอนนี้ เขาก็เลื่อนสายตาไปเช่นกัน หลี่รั่วอวี๋พ่นลมหายใจ ยอมให้หล่งเซียงดึงตัวนางเข้าไปในโถงรับแขก แล้วหันไปเรียกฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อย่างน่ารักน่าชังยิ่ง “ท่านแม่…” เรียกเสร็จแล้วนางก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ กางให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ดูเหมือนของล้ำค่า “รั่ว…รั่วอวี๋เขียนเอง ดีหรือไม่”
บนกระดาษขาวสะอาดนั้น มีอักษรเพียงตัวเดียวคือคำว่า ‘หลี่’ นางเลียนแบบอักษรที่น้องชายเขียนและใช้เวลาฝึกฝนอยู่หลายวัน ในที่สุดก็เขียนตัวอักษรที่นางคิดว่าเป็นตัวแล้ว น่าเสียดายที่หลังจากนางบาดเจ็บที่หัว มือเท้าก็ใช้การได้ไม่ค่อยดี เดือนก่อนเพิ่งจะลงจากเตียงมาเดินได้ ความคล่องแคล่วของข้อมือก็แย่ลงไปมาก อักษร ‘หลี่’ ตัวนี้จึงบิดเบี้ยวไปมา ข้างๆ ยังมีรอยหมึกหยดเต็มไปหมด รอยหมึกกระจายตัวดูเหมือนบนต้นไม้บิดเบี้ยวต้นหนึ่งมีผลไม้สีดำเป็นลูกๆ
หล่งเซียงถูมืออย่างร้อนใจอยู่ด้านข้าง ลอบคิดในใจว่าคุณหนูคว้ากระดาษแผ่นนี้มาใส่อกเสื้อตั้งแต่เมื่อใดกัน
ท่านหญิงไหวอินแม้บนใบหน้าจะมีรอยยิ้ม แต่หางตานั้นยังทนไม่ไหวที่จะเหลือบมองภาพล่องเรือฝ่าเกลียวคลื่นที่แขวนไว้ในโถงรับแขกนั้นแวบหนึ่ง…
จริงสิ เป็นผู้ใดได้เห็นตัวอักษรดูไม่ได้ในมือของนาง แล้วมองภาพวาดที่แฝงความหมายภาพนั้น ก็ยากที่จะไม่สบถด้วยความเห็นใจ น่าเสียดายสตรีมีความสามารถผู้หนึ่ง!
คิดถึงตรงนี้ นางก็ทนไม่ไหวเอี้ยวหน้ามองไปทางน้องชาย เป็นการถามแบบไร้เสียงว่าเรื่องที่เขามาขอร้องก่อนหน้านี้จริงจังหรือไม่
ฉู่จิ้งเฟิงนั้นกลับสงบนิ่ง มองหญิงสมองเสื่อมชูของมีค่าด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ตอนที่ขยับปลายคางไปสบตากับท่านหญิงไหวอินก็ฉายความรำคาญออกมา นิ้วเรียวยาวที่ประคองถ้วยชาขยับเคาะเบาๆ
ท่านหญิงไหวอินเข้าใจนิสัยของน้องชายลูกพี่ลูกน้องผู้นี้ดี เขากำลังเร่งให้นางรีบเข้าสู่เรื่องสำคัญ
นางจึงแอบถอนหายใจ กลั่นกรองคำพูดแล้วจึงเอ่ยปากออกมา “คุณหนูรองยังฉลาดไม่น้อย ดีกว่าที่ข้าคิดไว้มาก คนอื่นล้วนพูดว่าคุณหนูรองงามทั้งในนอก วันนี้เห็นแล้วไม่ใช่เรื่องโกหกเลยแม้แต่น้อย…” พูดถึงตรงนี้ ท่านหญิงไหวอินก็รู้สึกว่าไม่ควรเยิ่นเย้อ จึงพูดต่อว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ เทียบเยือนได้มอบให้แล้ว ในนั้นสอดดวงชะตาที่ข้าได้หาคนมาผูกดวงดูแล้ว ดวงชะตาน้องชายของข้ากับคุณหนูรองก็เป็นคู่ที่ดีหาได้ยากเช่นกัน ไม่ทราบว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มีความคิดเช่นใด จะยินดีมอบของรัก ยกคุณหนูรองให้สกุลฉู่ได้หรือไม่”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กำลังจูงมือหลี่รั่วอวี๋ ให้นางมานั่งลงข้างกายตนเอง พอได้ยินท่านหญิงไหวอินพูดเช่นนี้ ในใจไม่รู้สึกตกใจอะไร อย่างไรเสียตอนที่อยู่หน้าประตู ท่านหญิงไหวอินได้บอกจุดประสงค์การมาอย่างชัดเจนแล้ว ถึงแม้นางจะรู้สึกประหลาดใจยิ่ง แต่ก็ยังถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย “รั่วอวี๋ของพวกเราสามารถเข้าตาของท่านหญิงได้ นับเป็นวาสนาที่สะสมมาจริงๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่านหญิงจะทาบทามให้น้องชายคนใด เขาอายุเท่าใด สุขภาพเป็นอย่างไร เคยแต่งภรรยาเอกหรืออนุหรือไม่ เหตุใดจึงหมายตารั่วอวี๋ของพวกเราได้ หรือว่า… เขาไม่รู้ว่ารั่วอวี๋ป่วยแล้ว”
ไม่โทษที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่รู้ชัดในสถานการณ์ เรื่องการทาบทามสู่ขอปกติจะมีแม่สื่อมาออกหน้า อย่างไรเสียการเจรจาก็มีบางครั้งที่ไม่สำเร็จ หาคนนอกมาช่วยเชื่อมสองสกุล จะได้ไม่รู้สึกอึดอัดหากไม่ได้ดองกัน ผู้ที่มีฐานะสูงศักดิ์ระดับท่านหญิงนี้มาที่บ้านพ่อค้าแห่งหนึ่งด้วยตนเองเพื่อทาบทามหญิงสมองเสื่อมผู้หนึ่งให้กับน้องชายตนเอง แม้แต่บัณฑิตเล่าเรื่องที่ดื่มสุรามาอย่างหนักก็คงจะเล่าเรื่องแบบนี้ออกมาไม่ได้
ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จึงตั้งความคิดที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว ไม่แน่ว่าน้องชายท่านหญิงผู้นี้อาจจะเป็นคนป่วยหนักใกล้ตาย จึงอยากจะขอหญิงสักคนกลับไปแต่งงานเสริมมงคล ถึงแม้ท่านหญิงจะเป็นถึงพระญาติฮ่องเต้ สวามีก็เป็นถึงขุนนางขั้นโหวที่มีอำนาจล้นฟ้าทางตะวันตกเฉียงเหนือ น้องชายที่มาพูดทาบทามด้วยก็เป็นขุนพลที่กุมอำนาจทางทหารไว้ แต่การจะขอบุตรสาวของนางกลับไปย่ำยี นางที่เป็นมารดาไม่ยอมเด็ดขาด! แต่จะไล่ออกจากบ้านไปเหมือนแม่สื่อคนอื่นก็ไม่ได้ ต้องพูดจาขอบคุณความหวังดีของท่านหญิงโดยอ้อม…
ถามจบแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็หยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่มหนึ่งอึก ในใจลอบคิดว่าอีกครู่จะปฏิเสธอย่างไร
ท่านหญิงไหวอินได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ถามเช่นนี้ จึงได้รู้ว่านางไม่รู้เลยว่าคนที่มาทาบทามสู่ขอเป็นผู้ใด เห็นได้ว่าไม่ได้ดูดวงชะตาชื่อแซ่ในเทียบเยือนนั้นเลย ท่าทีขอไปทีเช่นนี้ทำให้ท่านหญิงไม่พอใจยิ่ง แต่สายตาเย็นชาของน้องชายส่งมาอีกครั้ง นางจึงจำต้องพูดต่อไปด้วยสีหน้ายินดี “น้องชายข้าผู้นี้ก็อยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่แล้วอย่างไรเล่า คนที่มาทาบทามสู่ขอก็คือน้องชายของข้าฉู่จิ้งเฟิง!”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กลั้นไม่ไหว น้ำในปากพ่นพรวดออกมา สำลักน้ำไอติดต่อกันหลายที…
หล่งเซียงเองก็คิดไม่ถึงเลยว่ายามนี้คุณหนูรองจะอยู่นิ่งอย่างดี แต่เป็นฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เองที่กลับทำขายหน้าก่อน จึงรีบยื่นผ้าเช็ดหน้าไปให้อีกฝ่ายมือเป็นพัลวัน พลางช่วยลูบหลังให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่
องค์หญิงไหวอินไม่เคยคิดว่าคำพูดนี้ของนางจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ตกใจจนเป็นเช่นนี้ ทำได้เพียงนั่งนิ่งรอให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ปรับลมหายใจ
ไม่อาจโทษที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ทำขายหน้า แต่ตีให้ตายนางก็คิดไม่ถึงว่าคนที่มาทาบทามจะนั่งอยู่ในโถงรับแขกคฤหาสน์สกุลหลี่ด้วยตนเอง
คนที่อยากแต่งงานกับบุตรสาวคือผีเห็นยังหวั่นแห่งต้าฉู่หรือ แม้แต่บัณฑิตเล่าเรื่องที่ดื่มยากล่อมประสาทยังพูดเรื่องเหลวไหลแบบนี้ออกมาไม่ได้เลย!
ในขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ทำอะไรไม่ถูกนี้เอง ฉู่จิ้งเฟิงก็เอ่ยปากตอบคำถามของนาง “ข้าปีนี้อายุยี่สิบห้า สุขภาพนับว่าแข็งแรง ไม่เคยแต่งภรรยา ที่บ้านก็ไม่มีอนุ ข้าชื่นชมคุณหนูรองหลี่มาตลอด แต่เสียดายที่นางได้หมั้นหมายไว้ก่อน เดิมคิดว่าต้องกอดความเสียใจไปชั่วชีวิต คิดไม่ถึงว่าคุณหนูรองหลี่จะถอนหมั้น จึงได้ตั้งใจมาทาบทามสู่ขอ ขอฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อุ้มสมด้วย เช่นนี้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ยังมีสิ่งใดต้องการถามอีกหรือไม่”
คำพูดนี้พูดอย่างจริงใจ แต่หากเปลี่ยนเป็นเด็กหนุ่มคนอื่นพูดประกอบด้วยท่าทางขวยเขิน คงจะให้ความรู้สึกลึกซึ้งเข้ากระดูกได้เพิ่มขึ้นหลายส่วน
ทว่าน่าเสียดายผู้ที่พูดในตอนนี้กลับเป็นฉู่จิ้งเฟิง ชายหนุ่มใบหน้าเย็นชาราวกับเทพพิฆาตอย่างนั้น ดวงตาหางคิ้วไม่ขยับแม้แต่น้อย เอ่ยชื่นชมคุณหนูรองหลี่ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พูดจบก็บีบถามฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อีกว่ายังมีสิ่งใดต้องการถามอีกหรือไม่
ถึงแม้น้ำเสียงจะนับว่านอบน้อม แต่มองดูใบหน้าเย็นชาของเขาแล้วก็รู้สึกเหมือนถูกข่มขู่ บีบจนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รู้สึกอ้าปากไม่ขึ้น ทำได้เพียงมองไปยังท่านหญิงไหวอินอย่างหาคนช่วย
แท้จริงแล้วท่านหญิงไหวอินก็เข้าใจความรู้สึกของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ บางครั้งนางก็ถูกความเย็นเยือกราวน้ำแข็งของน้องชายบีบคั้นจนหายใจไม่ออก ไม่เช่นนั้นวันนี้นางคงไม่รีบเดินทางจากเมืองซูเฉิงมาที่นี่เพื่อทาบทามสู่ขอด้วยตนเองเพราะน้องชายเอ่ยปากขอร้องหรอก
ท่านหญิงไหวอินจึงเอ่ยปากด้วยความเข้าใจแก้สถานการณ์ได้ทันเวลา “ท่านแม่ของข้ากับท่านแม่ของจิ้งเฟิงเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน ท่านน้าของข้าจากโลกไปเร็ว ท่านพ่อของจิ้งเฟิงก็เสียไปตอนที่เขาอายุสิบเจ็ดปี เขาไม่มีท่านพ่อท่านแม่ ก็ต้องให้ข้าที่เป็นพี่สาวคนโตช่วยจัดการเรื่องการแต่งงานให้เขา แต่จิ้งเฟิงเป็นคนตาสูง ไม่มีผู้ใดเข้าตาสักคน ตอนนี้หาได้ยากที่มาหมายตาคุณหนูรองของท่าน เพราะคุณหนูรองกำลังป่วยอยู่ จิ้งเฟิงกังวลว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จะเคลือบแคลงความจริงใจของสกุลฉู่ จึงเอ่ยปากให้ข้ามาที่นี่เพื่อเป็นแม่สื่อ แสดงความจริงใจของพวกเรา ถ้ามีสิ่งใดไม่ควร ขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อภัยด้วย”
คำพูดปฏิเสธที่เตรียมมาอย่างดีของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่ได้ใช้ประโยชน์เลย
หากดูแค่ตัวฉู่จิ้งเฟิง เรื่องชาติกำเนิดที่ดีไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้ยังเป็นถึงซือหม่าในราชสำนัก กุมอำนาจสำคัญเอาไว้ หากมองข้ามผมขาวเต็มหัวตั้งแต่อายุน้อยนั้นไป ก็นับเป็นคนมีความสามารถ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือคนสูงศักดิ์ระดับนี้กลับยังไม่มีภรรยาเอกไม่มีอนุ ช่างเป็นของล้ำค่าในโลกมนุษย์จริงๆ…
แต่เพราะเป็นบุคคลระดับนี้มีดีทุกอย่างจนไม่อาจหาที่ดีกว่านี้ได้แล้ว จึงยิ่งทำให้เกิดความสงสัย
มังกรในหมู่คนเช่นนี้ เหตุใดจึงได้อยากจะแต่งงานกับบุตรสาวโง่เขลาของนาง และก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน เขาเองที่เป็นคนสั่งให้จับตัวหลี่รั่วอวี๋ไปด้วย!
คิดถึงข่าวลือที่บุตรสาวคนรองกับซือหม่าผู้นี้มีความบาดหมางกัน ความจริงใจในการมาทาบทามสู่ขอครั้งนี้จึงกลายเป็นเหมือนหลุมพรางลึกล้ำไม่อาจคาดเดาได้ไปทันที
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รู้สึกว่าสมองของตนเองที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในเรือนหลังมากว่าครึ่งชีวิตราวกับมีน้ำจากแม่น้ำไหลทะลักเข้ามาทำให้สับสนวุ่นวายไปในชั่วพริบตา จิตใต้สำนึกบอกว่าจะรับการแต่งงานที่อาจถึงแก่ชีวิตนี้ไม่ได้ แต่หากปฏิเสธ ก็ต้องมีเหตุผลที่เหมาะสม…
ภายใต้สายตาเย็นชาของซือหม่าผู้นั้น ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ใคร่ครวญคำพูดของเขาเมื่อครู่อีกรอบ ที่สุดก็หา ‘จุดด่างพร้อย’ ที่เหมาะสมได้แล้ว จึงเอ่ยปากพูดว่า “ยากนักจะสามารถได้รับความรักจากซือหม่า แต่ว่าบุตรสาวข้าอายุยังน้อย ไม่ค่อยเหมาะสมกับอายุของใต้เท้า”
ความหมายของคำพูดนี้ ก็คือรังเกียจที่ฉู่จิ้งเฟิงอายุมากไปหน่อย ท่านหญิงไหวอินได้ฟังคำพูดนี้แล้วก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ในเมื่อระเบิดอารมณ์ไม่ได้ จึงถอนใจแล้วพูดว่า “เป็นเพราะสีผม ทำให้จิ้งเฟิงดูอายุมาก จะว่าไปแล้ว เป็นความผิดของโจรชั่วหยวนซู่นั่น ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนั้นจิ้งเฟิงขนส่งสัมภาระการทหารไม่ทันเวลา… ร้อนใจจะรีบฝ่าวงล้อม ก็คงไม่เอาตัวเข้าเสี่ยงจนถูกพิษประหลาด ทำให้ผมกลายเป็นสีเงินทั้งหัว…”
ได้ฟังคำพูดท่อนนี้ของท่านหญิงไหวอินแล้ว สมองของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จากคลื่นลมสงบก็พลันเปลี่ยนเป็นใต้ก้นราวกับมีถ่านไฟลุกโชนยากจะนั่งได้ติด คนที่ขนส่งสัมภาระการทหารคือขบวนสินค้าของสกุลหลี่ จากความหมายในคำพูดของท่านหญิงไหวอิน ซือหม่าผู้นี้สูญเสียความเยาว์ก็ต้องให้สกุลหลี่รับผิดชอบ หากเอาข้อนี้ไปปฏิเสธการทาบทามสู่ขอก็คงพูดได้ยาก!
เหนื่อยใจราวฝ่าน้ำฝ่าไฟเช่นนี้ เหมือนจะเอาชีวิตของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จริงๆ นางทำได้เพียงนั่งยิ้มแห้งอยู่บนเก้าอี้ แล้วมองไปทางบุตรสาวคนรองที่นั่งอยู่ข้างกายตามความเคยชิน
ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่เจอเหตุการณ์ยากจะตัดสินใจได้แบบนี้ ขอเพียงมองไปยังหลี่รั่วอวี๋ นางก็จะรีบแบกรับหน้าที่ไปทันที ไม่ปล่อยให้ตนต้องกลัดกลุ้มใจแม้แต่น้อย
ทว่าตอนนี้บุตรสาวที่เคยฉลาดเฉลียวแข็งแกร่งกลับเอนตัวไปพาดกับโต๊ะชาด้านข้างอย่างเกียจคร้าน ราวกับกระดูกในร่างหายไป ก่อนจะแลบลิ้นแผล็บๆ ไปเลียน้ำในถ้วยชา
หล่งเซียงที่ยืนอยู่ด้านข้างทนดูไม่ไหว กระตุกแขนเสื้อของหลี่รั่วอวี๋ทันที
ยามนั้นเองหลี่รั่วอวี๋ก็ใช้ปากคาบลูกบ๊วยในถ้วยแล้วยืดตัวตรง จากนั้นจึงห่อปากเล็กแดงและออกแรงพ่นลูกบ๊วยนั้นไปตกลงบนตัวซือหม่าเข้าอย่างพอดิบพอดี
คราวนี้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ราวกับสมองมีน้ำทะลัก ที่ก้นมีไฟลน น้ำไฟโจมตีเข้ามาพร้อมกัน จึงรีบเข้าไปดึงตัวหลี่รั่วอวี๋ขึ้นมา “เหตุใดจึงไม่มีมารยาทเช่นนี้”
หลี่รั่วอวี๋เดิมทีเล่นอยู่ดีๆ พอถูกท่านแม่ดึงตัวเช่นนี้ ขอบตาก็แดงเรื่อทันที
ในตอนนั้นเอง ฉู่จิ้งเฟิงก็ยืนขึ้นและพูดกับฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ว่า “ไม่เป็นไร อย่าตำหนิคุณหนูรองเลย วันนี้พาพี่สาวมาก็เพื่อแสดงความจริงใจของข้า ถ้าไม่ได้แต่งกับคุณหนูรอง ข้าคงต้องกอดความเสียใจไปชั่วชีวิตแน่นอน ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่จำเป็นต้องรีบตัดสินใจ ให้ผ่านไปอีกสักหลายวันค่อยปรึกษากันอีกที วันนี้นำของขวัญจำนวนหนึ่งมาให้ หวังว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จะยินดีรับไว้”
เขาพูดจบก็ไม่รอให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ตอบ กล่าวลาและเดินออกประตูใหญ่ไป
ท่านหญิงไหวอินก็กล่าวลาฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เช่นกัน ก่อนจะถูกส่งไปนอกคฤหาสน์อย่างนอบน้อม
หลังขึ้นรถม้าและออกเดินทางมาครู่หนึ่ง ท่านหญิงไหวอินจึงพลิกเปิดม่านรถม้าพลางพูดกับน้องชายที่ขี่ม้าอยู่ด้านข้าง “เดิมคิดว่าสกุลหลี่นั่นต้องตอบตกลงแน่นอนจึงได้ยอมมาพร้อมกับเจ้า ไม่คิดว่าเกือบจะถูกปฏิเสธฉีกหน้ากลับมา จิ้งเฟิง เจ้าอยากจะแต่งหญิงสมองเสื่อมผู้นั้นเป็นภรรยาจริงหรือ นี่เป็นเรื่องใหญ่ทั้งชีวิต จะทำเป็นเล่นแบบเด็กๆ ไม่ได้นะ!”
น้องชายที่นั่งอยู่บนหลังม้าไม่ได้ตอบคำ ท่าทางยังคงเย็นชาเหมือนเดิม แต่ริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันแน่นเป็นคำตอบว่าสิ่งที่เขาตัดสินใจไม่จำเป็นต้องสงสัย
ท่านหญิงไหวอินทำอะไรน้องชายผู้นี้ไม่ได้ จึงถอนหายใจแล้วปล่อยม่านรถลง
ฉู่จิ้งเฟิงหลุบตาลง จับเชือกบังคับด้วยมือเดียว อีกมือหนึ่งบีบคลึงลูกบ๊วยที่ถูกแช่น้ำไว้จนกลม
นี่เป็นลูกบ๊วยที่หลี่รั่วอวี๋พ่นออกมาเมื่อครู่ เขาวางมันไว้กลางริมฝีปากบาง ก่อนจะบดเบาๆ ลูกบ๊วยที่แช่น้ำชาจนบวมเป่งกัดผิวนอกออกแล้วก็สามารถดูดกินน้ำรสเปรี้ยวๆ ข้างในได้ รสชาตินั้นโลดแล่นอยู่ระหว่างริมฝีปากกับฟัน ราวกับว่าลิ้นเล็กที่เคยชิมก่อนหน้านี้ยังเกี่ยววนอยู่กับเขา…
วันนี้มาถึงบ้านแต่กลับเกือบถูกปฏิเสธ ทว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็อยู่ในการคาดการณ์ของเขาอยู่แล้ว จึงได้ขอตัวกลับก่อนที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จะเอ่ยปฏิเสธออกมาตรงๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ผู้นั้น แค่มองดูก็รู้ว่าไม่ใช่หญิงที่ฉลาดเฉลียวอะไร หากถูกแม่สื่อฝีปากดีคนใดมาทำให้เผลอตกปากรับคำ เช่นนั้นลูกบ๊วยที่เขาหมายปองมานานเม็ดนั้นไม่ต้องตกไปอยู่ในปากของผู้อื่นหรือ
จุดประสงค์การมาในครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อกอดสาวงามกลับไปในคราเดียว ที่เขาเลือกใช้ขบวนรถม้าหรูหราในการเดินทางมาครั้งนี้ก็เพื่อประกาศให้แม่สื่อที่มารบกวนนางไม่หยุดรู้ว่าคุณหนูรองสกุลหลี่ถูกซือหม่าแห่งต้าฉู่หมายตาไว้แล้ว ผู้อื่นอย่าได้มารบกวนอีก!
สำหรับเรื่องราวขั้นต่อไปนั้น ฉู่จิ้งเฟิงมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว หญิงที่เดิมทีคิดว่าชาตินี้คงต้องปล่อยมือไปด้วยความเสียใจ แต่นางบุกมาตรงหน้าเขาอีกครั้ง เช่นนั้นก็โทษเขาไม่ได้ที่จะ…
คิดถึงตรงนี้ ฉู่จิ้งเฟิงก็ออกแรงกลืนลูกบ๊วยในปากลงไป ลูกกระเดือกที่คอขยับขึ้นลงเล็กน้อย
ข่าวฉู่ซือหม่านำท่านหญิงไหวอินมาทาบทามสู่ขอคุณหนูรองหลี่ถึงบ้านนี้ลือกันไปอย่างดุเดือดและรวดเร็วยิ่ง เวลาในการนั่งคุยกันหลังอาหารของชาวเมืองเหลียวเฉิงลากยาวขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มแตงดอง แค่หัวข้อที่ว่าบุตรสาวสมองเสื่อมของสกุลหลี่ทาบทามสู่ขอได้ยากก็เพียงพอจะกินข้าวได้สามชามแล้ว
น่าเสียดายที่ใช่ว่าอาหารเย็นของทุกบ้านจะสำราญเช่นนี้ เพราะบนโต๊ะอาหารคฤหาสน์สกุลเสิ่นดูเคร่งเครียดอย่างมาก
หลังเทชากวนอินหนึ่งถ้วยแล้ว หลี่เสวียนเอ๋อร์ก็วางถ้วยชาไว้ตรงหน้าเสิ่นหรูป๋อที่ไม่ขยับตะเกียบเลย ก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “ท่านพี่ อาหารไม่ถูกปากหรือ จะให้ทางครัวทำหมูสับผัดเต้าหู้ยี้มาราดข้าวดีหรือไม่”
เสิ่นหรูป๋อไม่ได้ช้อนตาขึ้นมองนาง เพียงแค่วางตะเกียบไม้ดำสลักลายลงบนที่วางตะเกียบ แล้วบอกฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นว่ากินอิ่มแล้วขอตัวก่อน จากนั้นก็ลุกออกจากโถงอาหารไปทันที
ฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นเหลือบมองหลี่เสวียนเอ๋อร์อย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง ลูกสะใภ้ผู้นี้ไม่มีจุดใดเป็นที่น่าพอใจเลย คนเป็นเจ้าบ่าวหลังจากแต่งงานแล้วต้องมีหน้าตาชื่นบานไม่ใช่หรือ เหตุใดบุตรชายของตนจึงดูไม่มีความยินดีแม้แต่น้อย
หลี่เสวียนเอ๋อร์ผู้นี้ก่อนแต่งเข้ามาก็ตั้งท้องมาก่อน เพื่อดูแลครรภ์ แม้แต่ในคืนแต่งงานบุตรชายก็ยังต้องไปอยู่ที่ห้องหนังสือ ตอนนี้มีข่าวลือว่าหญิงสมองเสื่อมถูกซือหม่าหมายตา สีหน้าของบุตรชายก็ยิ่งเคร่งเครียด…
คิดถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นจึงขมวดคิ้วพูดว่า “เจ้าก็อย่ากินเลย รีบไปดูหรูป๋อ คนเป็นภรรยา ต้องปลอบให้สามีเบิกบานใจจึงจะถูก…”
บทที่หก
หลี่เสวียนเอ๋อร์วางชามกับตะเกียบลงอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ หลังย่อตัวคำนับฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นแล้วก็ตรงไปที่ห้องหนังสือ
ยามนี้นางเป็นคนที่ไม่มีความสุขที่สุดในสกุลเสิ่น แม้ตัวจะอยู่ในคฤหาสน์ แต่นางรู้ข่าวลือภายนอกของนางจากปากของสาวใช้ เดิมทีควรจะได้แต่งงานแทนพี่รองอย่างสมเกียรติ แต่กลับกลายเป็นในท้องมีเลือดชั่ว สกุลเสิ่นจำยอมทิ้งพี่สาวมาแต่งงานกับน้องสาว
แต่ทั้งหมดนี้นางล้วนไม่สนใจ นางรักเสิ่นหรูป๋อด้วยใจจริง ทว่าหลังจากเสิ่นหรูป๋อรู้ว่าฉู่ซือหม่าผู้นั้นไปทาบทามสู่ขออีกฝ่ายถึงบ้านก็ทำตัวผิดแปลกไป สิ่งนี้ทำให้ในใจของนางมีไฟหึงหวงลุกโชน
หลังผลักเปิดประตูห้อง เดิมคิดว่าจะเห็นเสิ่นหรูป๋อหน้าตาโกรธเกรี้ยวท่าทางเศร้าสลด คิดไม่ถึงว่าเขากลับนั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือดูภาพผังเรือรบที่นางวาด ท่าทางตั้งใจนั้น…ดูสง่างามยิ่ง
เขาเงยหน้าขึ้นเห็นหลี่เสวียนเอ๋อร์เข้ามา จึงพูดเสียงอ่อนโยนว่า “เสวียนเอ๋อร์ เจ้ามาพอดีเลย เรือรบนี้มีจุดหนึ่งดูเหมือนไม่สมบูรณ์ ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้ดูภาพผังที่รั่วอวี๋วาด ตรงกระดูกงูเรือใหญ่นางมักจะออกแบบโครงแนวขวางไว้หลายท่อน…”
หลี่เสวียนเอ๋อร์ตอนนี้ในใจไม่อยากได้ยินชื่อหลี่รั่วอวี๋ที่สุด แต่ไม่อาจแสดงออกทางใบหน้าได้
“พี่รองมักจะชอบเติมของแปลกใหม่ แต่ใน ‘ตำราเรือย่ำคลื่น’ สกุลหลี่ของพวกเราไม่มีส่วนประกอบนั้น ตามภาพตัวอย่างที่บรรพชนทิ้งเอาไว้ ไม่มีทางผิดหรอก… หรูป๋อ ท่านกำลังไม่สบายใจหรือ สาเหตุมาจากซือหม่านั่นไปสู่ขอพี่รองใช่หรือไม่”
มือใหญ่ของเสิ่นหรูป๋อที่ถือพู่กันบีบแน่นขึ้น ก่อนจะเอ่ยพูดอย่างอ่อนโยน “แค่พักนี้มีงานยุ่งเหนื่อยไปบ้าง ตอนนี้เจ้ากับข้าแต่งงานกันแล้ว เจ้ากับลูกในท้องย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในใจข้า แต่ฉู่ซือหม่าทำไมมาทาบทามสู่ขอได้ หรือคิดว่าเมื่อใดพี่รองของเจ้ากลับฟื้นเป็นปกติ เขาจะได้เคล็ดวิชาสกุลหลี่กระมัง”
ในดวงตาหลี่เสวียนเอ๋อร์ฉายความว้าวุ่น แม้นางจะจำเคล็ดวิชาได้แม่นยำ แต่หากพี่รองสมองกลับมาเป็นปกติจริง และได้ที่พึ่งอย่างฉู่ซือหม่า ด้วยความฉลาดของพี่รองจะมีวันที่นางจะได้เชิดหน้าชูตาได้อย่างไร
นางคิดสักครู่จึงพูดขึ้นว่า “คงเป็นไปไม่ได้ ลี่จือสาวใช้ข้างกายข้ากับหลี่ฝูคนใช้แรงงานในเรือนหลังคฤหาสน์สกุลหลี่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แม้ว่าลี่จือจะย้ายมาที่นี่พร้อมกับข้าตอนแต่งงาน แต่พวกเขาปกติก็ได้เจอกันพูดคุยกันที่ตลาด ได้ยินหลี่ฝูบอกว่าวันนั้นฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่ได้รับปากเรื่องการแต่งงาน และคุณหนูรองหลี่ยังพ่นลูกบ๊วยในถ้วยชาใส่ซือหม่าต่อหน้าท่านหญิงอีกด้วย…”
เสิ่นหรูป๋อแววตาสั่นไหว พลางพูดด้วยเสียงเข้ม “เมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเขายังดื้อดึงจะแต่งงานกับรั่วอวี๋อีก”
หลี่เสวียนเอ๋อร์ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ใช้เล็บแทงเข้าไปในฝ่ามือของตนเอง
เพราะข่าวลือเรื่องการทาบทามสู่ขอของซือหม่า เจ้าหนี้ที่ไปตามทวงหนี้เหล่านั้นจึงเพลาลง อย่างไรเสียหากซือหม่าแต่งกับคุณหนูรองหลี่ อำนาจบารมีเบื้องหลังสกุลฉู่จะล่วงเกินไม่ได้
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่นั้นนอนไม่หลับอยู่หลายวัน เพิ่งส่งหมาป่าเลวร้ายแซ่เสิ่นตัวหนึ่งไป ก็มีเสือร้ายที่มีบารมีมากไม่อาจต้านได้มาอีกหนึ่งตัว นางเฝ้าครุ่นคิดว่าทำอย่างไรจึงจะปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้โดยไม่ล่วงเกินซือหม่า
ในตอนนี้เอง เทียบของท่านหญิงไหวอินก็ส่งมาถึง เชิญฮูหยินผู้เฒ่าหลี่พาหลี่รั่วอวี๋ไปเป็นแขกที่จวนกลางสวนของนางที่เมืองซูเฉิง
การเชื้อเชิญครั้งนี้ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกัน เพราะวันต่อมาฉู่ซือหม่าก็นำทหารองครักษ์มารอรับหญิงทั้งสองให้เร่งเดินทางไปที่เมืองซูเฉิงพร้อมกัน
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เดิมคิดจะบอกปัด แต่ฉู่ซือหม่ากลับพูดอย่างไม่สนใจว่าครั้งนี้พี่สาวยังเชิญใต้เท้าหลิวจากกรมโยธามาด้วย ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จึงเกิดความคิดขึ้นในใจ ตอนนี้เงินก้อนใหญ่ที่ติดค้างกรมโยธาไว้ยังไม่ได้จัดการ หากสามารถขอร้องใต้เท้าหลิวได้ ไม่แน่ว่าอาจจะแก้สถานการณ์ยากลำบากของสกุลหลี่ได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็เกิดความคิดอยากไปร่วมงานขึ้นมา ซือหม่าผู้นี้แม้จะดูเยือกเย็นน่ากลัวไปบ้าง แต่ได้ใกล้ชิดกันอีกครั้งสองครั้ง กลับพบว่าแม้ว่าเขาจะไม่กระตือรือร้นอะไร แต่ก็มีมารยาท ทั้งที่มีตำแหน่งขุนนางสูงศักดิ์ ทว่ากลับไม่แสดงท่าทางของขุนนางชั้นสูงเลย ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จึงค่อยๆ ลดความระวังในใจลงบ้าง
หลังจากที่ซือหม่าบอกว่าบุตรสาวคนโตของนางกับลูกเขยก็เดินทางไปที่เมืองซูเฉิงเช่นกัน นางจึงตัดความลังเลใจสุดท้ายทิ้งไป ในเมื่อหลี่รั่วฮุ่ยก็ไปด้วยและซือหม่าก็มารับถึงคฤหาสน์ด้วยตนเอง จะมีเหตุผลอะไรในการปฏิเสธอีกเล่า อีกทั้งเมืองซูเฉิงก็ห่างจากเมืองเหลียวเฉิงไม่ไกลนัก นั่งรถม้าสองชั่วยามก็ถึงแล้ว ดังนั้นนางจึงสั่งให้บ่าวไพร่สาวใช้เตรียมเสื้อผ้าที่จะเปลี่ยนและหีบเล็กใส่ของเพื่อออกนอกบ้าน ก่อนจะขึ้นรถม้าเดินทางไปที่เมืองซูเฉิง
ก่อนหลี่รั่วอวี๋ออกจากบ้าน เห็นฉู่จิ้งเฟิงยืนอยู่ข้างรถม้า ก็คิดถึงความไม่ยินดีในครั้งก่อนที่เขาสั่งให้คนจับนางขึ้นรถจึงก้มหน้าลงต่ำราวกับหนูที่ถูกแมวจับจ้อง รีบตามฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มุดเข้าไปในรถม้า แล้วพลิกเปิดมุมหนึ่งของม่านหน้าต่าง เผยเพียงดวงตากลมโตมองเขาอย่างหลบๆ ซ่อนๆ
แต่ตอนที่เขาหันกลับมามอง มุมม่านหน้าต่างนั้นก็พลันปิดลงมิดจนอากาศไม่ถ่ายเท
ฉู่จิ้งเฟิงนั่งอยู่บนหลังม้าเห็นดังนั้นมุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อย
เดินทางไปได้ครึ่งทาง ฟ้ากลับไม่เข้าข้าง เกิดฝนตกหนัก ถนนเต็มไปด้วยดินโคลน ล้อรถม้าตกลงไปอยู่ในหลุมโคลน
โชคดีที่ไม่ไกลจากทางหลวงมีกระท่อมแห่งหนึ่งพอให้พักผ่อนได้ ฉู่จิ้งเฟิงเห็นฝนเม็ดโตเท่าเม็ดถั่วตกลงบนหลังคารถม้า ทางไกลข้างหน้าก็มีเมฆดำครึ้ม รู้ว่าฝนครั้งนี้ไม่มีทางหยุดในเร็วๆ นี้ จึงเอ่ยปากเชิญฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ให้พาหลี่รั่วอวี๋ไปหลบฝนชั่วคราวในกระท่อมนั้นก่อน
ในตอนที่รถม้าหลุดจากหลุมโคลนมาถึงหน้ากระท่อมอย่างไม่ง่ายนัก หลี่รั่วอวี๋เป็นคนแรกที่อยากลงจากรถม้า นางอยู่ในรถม้าที่อากาศไม่ถ่ายเทมากว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว จึงรู้สึกอึดอัดจนทนไม่ไหว
แต่เท้ายังไม่แตะพื้นก็ถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งจับเอาไว้แน่น หลี่รั่วอวี๋ช้อนตามองไป ที่แท้ชายผมเงินนั่นโน้มตัวมากุมข้อเท้านางไว้ วันฝนตกแม้จะมีความเย็น แต่บริเวณที่ถูกฝ่ามือเหล็กนั้นกุมไว้กลับร้อนระอุ ตอนเขาโน้มตัวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย บนใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยหยดน้ำฝน ทำให้โครงหน้ายิ่งดูเด่นชัด…
เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ออกแรงดึงก็ยังดึงบุตรสาวซุกซนเอาไว้ไม่อยู่ ตอนนี้นางกลับเหมือนลูกงูที่ถูกบีบจุดสำคัญ นั่งตัวแข็งไร้ทางช่วยอยู่บนพื้นรถ มองหยดน้ำที่เกาะอยู่บนขนตาของเขาอย่างเหม่อลอย
ในตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ยื่นหน้าออกมาจากหลังม่านรถ ฉู่จิ้งเฟิงก็คลายมือใหญ่อย่างรู้กาลเทศะ แล้วถอดเสื้อคลุมบนตัวออกมา ปูไปบนทางเล็กหน้ารถม้าที่เต็มไปด้วยดินโคลน จากนั้นจึงพูดว่า “เชิญคุณหนูรองค่อยๆ ลงรถ”
สาวใช้ข้างรถม้ากางร่มบังไว้บนหัวของคุณหนูรองหลี่นานแล้ว ส่วนรองเท้าปักคู่สวยบนเท้างามก็เหยียบไปบนเสื้อคลุมเนื้อดี นางจึงไม่เปื้อนน้ำฝนและดินโคลนแม้แต่น้อย
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่แม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่กลับมีมุมมองกับซือหม่าผู้นี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย… แม้ดูผิวเผินจะเป็นคนเย็นชาพูดน้อย แต่แท้จริงแล้วเป็นคนละเอียดอ่อนเข้าใจคนยิ่งนัก
หลังจากเข้าไปในกระท่อมก็มีองครักษ์จุดตะเกียงน้ำมันไว้แล้วพร้อมกับพรมน้ำอ้ายเฮา* ที่ใช้ไล่ยุงและแมลง จุดเตากำยาน ยกเก้าอี้พับมาสามตัวและโต๊ะเล็กที่ใช้วางน้ำชาผลไม้ แล้วเตรียมพรมขนแกะที่ใช้คลุมตัวกันหนาวเอาไว้ด้วย นอกจากสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติสองคนแล้ว พวกองครักษ์ผู้ติดตามล้วนไปหลบฝนอยู่ใต้ชายคาด้านนอก
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กลัวหลี่รั่วอวี๋จะเป็นหวัด จึงให้นางกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้พับ ถอดรองเท้าออก แล้วใช้พรมห่อตัวนางไว้แน่น จากนั้นก็ล้มตัวลงบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่งโดยมีสาวใช้คอยปรนนิบัติ นั่งโยกเยกบนรถม้ามานาน ต้องผ่อนคลายช่วงเอวเสียบ้าง
เพียงชั่วครู่ในกระท่อมเล็กแห่งนี้ก็เงียบสนิท ได้ยินเพียงเสียงฝนตกพรำๆ ด้านนอก และเสียงน้ำเดือดปุดๆ ที่ดังมาจากกาน้ำเล็กบนเตาถ่าน
หลี่รั่วอวี๋ถูกท่านแม่กดตัวให้นอนบนเก้าอี้พับที่ทำจากหนังวัว ดวงตาโตกะพริบปริบๆ พลางหันมองไปยังม่านฝนตรงประตู แล้วชำเลืองดูฉู่จิ้งเฟิงที่นั่งอยู่ไม่ไกล เขาไม่ได้กึ่งนั่งกึ่งนอนเหมือนท่านแม่ แต่นั่งบนเก้าอี้พับ ในมือถือท่อนไม้ท่อนหนึ่งที่ใช้เผาให้ความอบอุ่นที่กองอยู่กลางห้อง ใช้มีดสั้นที่ดูประณีตเล่มหนึ่งเหลาไม้ไม่หยุด มองดูเศษไม้ที่ตกอยู่ข้างเท้าเขาแล้ว ดวงตาคู่โตของหลี่รั่วอวี๋ค่อยๆ หยุดนิ่ง รู้สึกว่าหนังตาค่อยๆ หนักขึ้น ไม่นานก็จมสู่ห้วงทะเลสาบลึกดำที่มองไม่เห็นก้นน้ำแห่งหนึ่ง…
ในความมืดดำนั้น นางเดินไปอย่างงุนงง รู้สึกเหมือนใกล้จะหายใจไม่ออก ในตอนที่นางอึดอัดแทบขาดใจนี้ จู่ๆ นางก็เดินสะดุด ร่างเซไปข้างหน้าหลายก้าว ตรงหน้ากลับสว่างขึ้นทันใด พื้นใต้ร่างไหวเป็นระลอกคลื่น นางอยู่บนเรือใหญ่ลำหนึ่ง
เสียงคลื่นน้ำและความรู้สึกของลมที่พัดผ่านแก้มช่างคุ้นเคยเป็นพิเศษ รู้สึกขึ้นมารางๆ ว่าเลือดทั่วกายร้อนระอุ ทอดสายตามองไปไกลท่ามกลางลมทะเล มองไปยังจุดที่น้ำกับฟ้ามาบรรจบกัน ราวกับว่าได้เห็นอาทิตย์ขึ้นอาทิตย์ตก ณ ตรงนั้นมานับครั้งไม่ถ้วน…
แต่สิ่งที่ผ่านเข้ามาในม่านตากลับเป็นสีเลือดสดทั่วฟ้าที่แสบตายิ่งกว่าตะวันแดงเสียอีก… ยังมีชายหนุ่มที่เหมือนมังกรทะลวงคลื่นอยู่ในม่านสีเลือดนั้น เห็นเพียงร่างของเขาแข็งแรงและปราดเปรียว กระบี่ยาวกวัดแกว่ง เลือดเนื้อที่ถูกเฉือนฟันหลุดแยกจากกันราวใบไม้ร่วง…
หลี่รั่วอวี๋เห็นหน้าตาของเขาไม่ชัด ทำได้เพียงยืนตัวเกร็งเหม่อมองดวงตาสีแดงเลือดของชายหนุ่มค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้นาง มองเขาใช้กระบี่เย็นเยือกแทงตรงมาที่ท้องของนาง ชั่วขณะนั้นความเจ็บของเนื้อที่ถูกเฉือนกระจายไปทั่วร่าง… นางถึงขั้นสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ากลิ่นอายเย็นเยือกที่ส่งผ่านมาจากตัวชายผู้นั้นคือ… ไอสังหารที่ไม่ได้ปกปิดแต่อย่างใด
หลี่รั่วอวี๋ทำได้เพียงหลั่งน้ำตา เจ็บจนพูดอะไรไม่ออก ในตอนที่นางลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้พับ มือใหญ่คู่หนึ่งจับตัวนางไว้ได้พอดี มีเสียงหนึ่งพูดว่า “รั่วอวี๋ ตื่นๆ เป็นอะไรไป” นางลืมตาขึ้นทันใด จึงพบว่าท่านแม่กำลังกดไหล่ของนางแล้วถามอย่างเป็นห่วง ที่แท้เป็นเพราะพรมบนตัวรัดแน่นจนเกินไป มิน่าเล่าในฝันนางจึงหายใจไม่ออก
หลี่รั่วอวี๋แววตาเหม่อลอย ผ่านไปครู่ใหญ่จึงดึงสติคืนมาได้ ก่อนจะแกะพรมบนตัวออก จากนั้นก็ทำท่าจะปลดเสื้อตนเอง นางอยากจะดูว่าท้องของตนเองมีรอยแผลจากกระบี่หรือไม่
แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กลับไม่รู้ว่าหลี่รั่วอวี๋ทำไปเพื่ออะไร คิดว่าอาการของนางคงกำเริบ จึงรีบกดมือของนางเอาไว้ “เด็กดี ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในบ้าน ปลดเสื้อผ้าตอนนี้ไม่ได้!”
หลี่รั่วอวี๋มองไปโดยรอบอย่างงุนงงก็เห็นเขาที่ยืนอยู่ข้างหลังท่านแม่ ร่างของนางแข็งเกร็งไปทันที ฉุกคิดได้ว่าเขา… เหมือนปีศาจร้ายในฝันนั้น มีดวงตาสีแดง…
ในตอนนี้ฝนนอกกระท่อมค่อยๆ หยุดลงแล้ว หากยังไม่รีบเดินทาง กว่าจะไปถึงเมืองซูเฉิงก็คงค่ำ
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ปลอบขวัญหลี่รั่วอวี๋ที่นิ่งเงียบไม่พูดจาอีกพักใหญ่ ก่อนจะเตรียมเร่งเดินทางต่อไป
ตอนที่กำลังจะขึ้นรถ หลี่รั่วอวี๋เดินอยู่ข้างหลัง ส่วนชายหนุ่มก็อยู่ตำแหน่งไม่ไกลจากนาง
ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือมาที่นาง ท่อนไม้ท่อนนั้น ไม่รู้ว่าเปลี่ยนเป็นเหยี่ยวกางปีกบินขนาดเท่าฝ่ามือไปตั้งแต่เมื่อใด แม้จะไม่ได้เคลือบน้ำมัน แต่ก็ยังดูเสมือนจริง
ทว่าหลี่รั่วอวี๋ไม่ได้ทำเหมือนที่เขาคาดว่าจะยื่นมือมารับมันไปอย่างตื่นเต้นยินดี แต่กลับมีสีหน้ารังเกียจ ออกแรงผลักมือใหญ่นั้นออก ปัดเหยี่ยวไม้ที่ไม่ทันได้โบยบินตัวนั้นตกลงพื้น
ฉู่จิ้งเฟิงแววตาสลดลงเล็กน้อย ท่าทางของหลี่รั่วอวี๋ในตอนนี้เป็นเหมือนครั้งแรกที่นางเห็นเขามีผมขาวตาแดง นั่นเป็นความรังเกียจที่ไม่มีการปิดบังไว้เลย…
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่หันมาเห็นฉากนี้เข้าพอดี แต่หันหน้ากลับทำเหมือนมองไม่เห็น… ตอนนี้บุตรสาวมีสภาพเช่นนี้ โง่เขลาเซ่อซ่า คาดเดาจิตใจยากเหมือนเด็ก หากซือหม่าผู้นี้หลงใหลในความงามของหลี่รั่วอวี๋ก็จะได้เจอปัญหาเช่นนี้อีกมาก ฉะนั้นให้รีบตัดใจไปโดยเร็วจะดีกว่า
แต่ซือหม่าที่ลือกันว่าฆ่าคนโดยไม่กะพริบตาผู้นี้ได้รับการอบรมมาดี ถูกบุตรสาวปฏิบัติเช่นนี้ก็เพียงแค่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ก้มลงเก็บเหยี่ยวไม้ขึ้นมาใส่ไว้ในอกเสื้อของตนเอง
ทว่าได้รับการอบรมมาดีแล้วจะมีประโยชน์อะไร ว่าที่ลูกเขยคนก่อนของนางผู้นั้นก็มีท่าทางเป็นผู้ดีสุภาพเรียบร้อย ผู้ใดจะคาดเดาได้ว่าเขาด้านหนึ่งมีความรักลึกซึ้งไม่เปลี่ยนแปลงในตัวบุตรสาวนาง แต่อีกด้านกลับลอบคบชู้กับน้องสาวของบุตรสาวนาง!
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ถูกเสิ่นหรูป๋อทำร้ายจิตใจก็อดที่จะเกิดความระแวงในตัวชายหนุ่มไม่ได้ คิดเพียงว่าหลี่รั่วอวี๋มีสภาพเช่นนี้ มีเพียงให้นางอยู่ข้างกายตนเองไปตลอดจึงจะเป็นทางที่ดีที่สุด
รอจนขึ้นรถม้าแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็รู้สึกง่วงมาก
เมื่อครู่เพราะหลบฝน ต้องอยู่ในห้องเดียวกับซือหม่าผู้เย็นชานั่น รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องอย่างยิ่ง โชคดีที่บุตรสาวเป็นคนสมองเสื่อมที่ไม่คิดอะไรมากจึงนอนหลับได้อย่างสบายใจ ดังนั้นเวลาผ่านไปไม่นาน ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็งีบหลับไปในรถม้า
หลี่รั่วอวี๋นั่งนิ่งสักครู่ เห็นท่านแม่หลับแล้วจึงปลดเสื้อตนเองออก พลิกเปิดบังทรงดูที่ท้องขาวราวหิมะของนาง… หน้าท้องเรียบขาวเนียน สะดือกลมๆ ก็ดูน่ารักดี บริเวณใกล้กับสะดือ มีรอยแผลเป็นรอยหนึ่ง แผลเป็นนั้นไม่ใหญ่ ขนาดเท่าคมมีด แต่พอดูรอยแผลเป็นที่สมานดีนั้นแล้วก็สามารถนึกภาพความลึกของแผลในตอนนั้นได้
ชั่วขณะนั้น หลี่รั่วอวี๋รู้สึกเหมือนคอของนางถูกบีบไว้ ความตกใจหวาดกลัว ทำอะไรไม่ถูก อีกทั้งยังมีความน้อยเนื้อต่ำใจที่บอกไม่ถูกจู่โจมเข้ามาในหัว แต่คำพูดเป็นร้อยเป็นพันในใจนางไม่รู้จะระบายอย่างไร มีเสียงกรนดังขึ้นเบาๆ จากมารดาที่นอนอยู่ข้างกาย ส่วนที่อยู่นอกตัวรถก็คือชายหนุ่มตาสีแดงผู้นั้น
ในตอนนี้ความฝันกับความจริงผสมปนเปกัน หลี่รั่วอวี๋คิดเพียงว่าชายหนุ่มนอกตัวรถนั่นก็คือจอมวายร้ายที่แทงกระบี่ใส่นางในความฝัน ดังนั้นจึงหยิบถ้วยชาบนโต๊ะเล็กในรถขว้างไปทางชายหนุ่มบนหลังม้าอย่างแรง
ชายหนุ่มไม่ได้ขยับตัว เพียงแค่รับถ้วยชานั้นไว้ด้วยมือเดียว มองหน้าหญิงสาวที่มีใบหน้าโกรธเกรี้ยวอย่างแปลกใจ แต่จากนั้นก็มีกาน้ำชาที่ใบใหญ่กว่าลอยเข้ามาหา
รอจนให้อ้อมอกเขามีชุดน้ำชาครบชุดแล้ว ในรถไม่มีของอะไรให้โยนได้อีกแล้ว นางจึงมองไปรอบๆ เห็นหมอนทำจากกระเบื้องเคลือบที่ท่านแม่หนุนอยู่เข้าพอดี จึงใช้สองมือออกแรงดึงหมอนกระเบื้องเคลือบออกมา แล้วขว้างออกไปอย่างแรง…
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กำลังหลับสนิท แต่หัวตกกระแทกพื้นรถม้าอย่างแรงก็ต้องตกใจสะดุ้งสุดตัว พอนางเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นบุตรสาวกำลังขว้างหมอนกระเบื้องเคลือบนั้นออกจากตัวรถ
แต่ในครั้งนี้ ฉู่จิ้งเฟิงกลับไม่ได้หลบ ปล่อยให้หมอนกระเบื้องเคลือบขว้างเข้าใส่เสียงดังฉึก มุมหน้าผากมีรอยเลือดแดงไหลลงมาทันที…
ถึงแม้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อยากจะให้ซือหม่าเจอปัญหาบ้าง แต่ไม่เคยคิดจะให้มีสภาพหัวแตกเลือดไหลเช่นนี้ นางจึงพลันแขนขาอ่อนแรงไปในทันที
ทำร้ายขุนนางใหญ่ราชสำนัก นั่นเป็นโทษถึงประหารชีวิต!
พวกนางเป็นเพียงครอบครัวพ่อค้า จะมีปัญญาไปจัดการภัยพิบัติใหญ่หลวงเช่นนั้นได้อย่างไร
ในตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ร้อนใจจนอยากจะยื่นมือไปตบบุตรสาว แต่เห็นใบหน้าเล็กดื้อรั้นของบุตรสาวแล้วมือนั้นก็ฟาดไม่ลง นี่คือหลี่รั่วอวี๋ที่ตั้งแต่เด็กจนโตนางไม่เคยแตะแม้เพียงปลายนิ้ว ดังนั้นฝ่ามือนั้นจึงตบลงที่แก้มของนางเอง “ท่านซือหม่า ข้าน้อยสอนลูกไม่ดี ขอใต้เท้าอภัยด้วย!”
ฉู่จิ้งเฟิงไม่ได้เช็ดเลือดที่มุมหน้าผาก ปล่อยให้มันไหลหยดลงบนคอเสื้อสีขาวของตนเอง ปากกลับพูดเสียงเรียบว่า “เมื่อครู่รั่วอวี๋รู้สึกเบื่อ เลยมาเล่นกับข้า ข้าแค่รับไม่ทันเท่านั้น ในเมื่อใกล้จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว จะโทษนางได้อย่างไร ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อย่าได้คิดมากไปเลย…”
เห็นท่าทางที่ใบหน้าของเขามีเลือดไหลแต่ยังคงนิ่งไม่ไหวติงแล้ว ช่างทำให้คนรอบข้างรู้สึกสะพรึงกลัวจริงๆ นับประสาอะไรกับหญิงสาวที่อยู่แต่ในบ้านผู้หนึ่ง
ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ฟังเข้าใจความหมายในคำพูดของฉู่จิ้งเฟิงแล้ว หากเป็นครอบครัวเดียวกัน ทุกอย่างก็พูดกันง่าย แต่ถ้าไม่ใช่…
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เกิดความรู้สึกเสียใจกับการเดินทางมาเมืองซูเฉิงครั้งนี้ขึ้นมาทันใด นางเพิ่งคิดขึ้นมาได้รางๆ ว่าหากไปถึงเมืองซูเฉิง ก็ไปถึงเขตพื้นที่ของเขาฉู่ซือหม่าแล้ว ส่วนบุตรสาวผู้นี้ของนางก็ดูเหมือนว่าใกล้จะรักษาไว้ไม่ได้แล้วเช่นกัน…
ตอนที่คณะเดินทางไปถึงเมืองซูเฉิงก็เป็นเวลาค่ำ งานเลี้ยงจัดขึ้นเป็นวันที่สองแล้ว หลังจากพ่อบ้านจวนกลางสวนจัดให้บรรดาแขกเหรื่อเข้าพักในห้องแล้ว ก็แจ้งเชิญแขกทุกคนว่าอีกครู่ให้ไปที่โถงใหญ่ร่วมงานเลี้ยงยามค่ำซึ่งท่านหญิงไหวอินจะมาร่วมด้วย
เพราะการแสดงออกของหลี่รั่วอวี๋ตลอดการเดินทาง ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่คิดว่าจะให้นางทำขายหน้าอีกไม่ได้ จึงให้นางอยู่ในห้อง สั่งให้หล่งเซียงกับบ่าวหญิงอาวุโสอีกผู้หนึ่งเฝ้านางเอาไว้ อย่าให้นางออกไปข้างนอก
จวนกลางสวนนี้ทิวทัศน์งดงาม ห้องที่พวกนางอยู่ด้านนอกเป็นสวนดอกไม้เล็กๆ ท่านหญิงไหวอินเป็นคนที่ชอบรับแขก แม้สาวใช้และบ่าวหญิงอาวุโสที่แขกพามาด้วยก็มีจานผลไม้รวมที่จัดอย่างประณีตเอาไว้กินได้
ดังนั้นหลังจากหล่งเซียงจัดให้คุณหนูกินอาหารเย็นแล้ว เห็นนางนอนเล่นบนเตียงอย่างสงบ จึงเดินออกจากห้อง นั่งอยู่ตรงหน้าประตูร่วมกับบ่าวหญิงอาวุโส กินผลไม้ไปพลางพูดคุยถึงสิ่งที่ได้ยินได้เห็นหลังจากเข้าจวนนี้มา
ดังนั้นพวกนางจึงไม่สังเกตเห็นว่า มีเงาดำเงาหนึ่งแวบผ่านเข้ามาทางหน้าต่างหลังห้อง
หลี่รั่วอวี๋เล่นของเล่นในมือจนเหนื่อย ตอนเงยหน้าขึ้นก็เห็นฉู่จิ้งเฟิงนั่งอยู่ข้างกายตนเอง เลือดที่มุมหน้าผากของเขาหยุดแล้ว แต่ตำแหน่งใกล้โคนผมมีรอยแผลน่ากลัวรอยหนึ่ง
เขายื่นมือไปดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด ใช้ปลายจมูกแตะปลายจมูกนางแล้วพูดเสียงเบาว่า “เหตุใดวันนี้ขว้างของใส่ข้า”
แท้จริงแล้วยามเห็นเขามีเลือดออก นางก็นึกเสียใจแล้ว โดยเฉพาะตอนนี้นั่งอยู่ในอ้อมอกของเขา ได้กลิ่นหอมของยาสมุนไพรบนตัวเขา นางก็รู้สึกขึ้นมาทันใดว่า เขาไม่ได้น่ากลัวเหมือนอย่างในฝัน
หลี่รั่วอวี๋ในอ้อมกอดของเขาไม่พูดอะไรเช่นกัน แต่นิ้วมือกลับขยับดุกดิก ขยับขึ้นบนหน้าผากของเขาอย่างแผ่วเบา บริเวณที่ถูกหมอนกระแทกโดนบวมขึ้นเล็กน้อย ลูบดูแล้วมีความร้อน นางเลยลองจิ้มที่บาดแผลนั่น…
หากมีคนบอกว่าหลี่รั่วอวี๋มีเพียงรูปโฉมที่งดงาม นั่นเป็นเพราะยังไม่ได้ดูสองมือของนางอย่างละเอียด สิบนิ้วที่ราวกับต้นหอม เล็บมือเป็นมันวาว งดงามราวกับหยกที่ผ่านการสลักอย่างดีจากช่างฝีมือ…
และในตอนนี้ นิ้วมือนี้จิ้มๆ แตะๆ ไปบนใบหน้าของฉู่จิ้งเฟิง จากนั้นก็เลื่อนลงต่ำมาถึงจุดตันเถียน* ที่ใต้สะดือ ทันใดนั้นนิ้วมือก็ออกแรงแทงตรงเข้าไป…
ความเจ็บในฝันใช่ว่าจะอธิบายได้ด้วยคำพูด ให้เขาได้สัมผัสสักนิดว่าหากความเจ็บที่หน้าผากย้ายมาตรงหน้าท้องที่อ่อนนุ่ม มันจะเจ็บจนถึงขั้วหัวใจอย่างไร
ไม่ผิดไปจากที่นางคาดไว้จริงๆ แทงไปตรงนี้ก็เห็นผลทันตา! ดวงตาที่น่าดูคู่นั้นถูกแทงราวกับเป็นการแก้แค้นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วทันที เขาสบถเสียงเข้ม เสียงนั้นเป็นความประหลาดที่พูดไม่ออก เป็นเสียงครางที่แฝงความเจ็บปวดแต่ก็เหมือนการอุทาน เสียงสั้นและหนักลอดออกมาจากริมฝีปากบาง กลายเป็นไอร้อนพ่นใส่ลำคอของนาง…
หลี่รั่วอวี๋ถูกการกระทำที่เตรียมการมาอย่างดีของตนเองนี้ทำให้ตกใจ
หลายวันก่อนน้องชายขโมยหนังสือภาพเก่าๆ เล่มหนึ่งมาจากสหายร่วมเรียน ทุกครั้งที่ถูกท่านแม่บิดหูพาเข้าห้องหนังสือไปอ่านตำราเรียนของอาจารย์ น้องชายมักจะอ่านอย่างเคร่งเครียด หลังจากท่านแม่ออกไปแล้ว ก็จะหยิบหนังสือเก่าขนาดเท่าฝ่ามือนั้นออกมาจากกางเกง อ่านอย่างออกรสชาติ
หลายวันก่อนนางไปฝึกเขียนอักษรกับน้องชายก็มักจะอยู่ในห้องหนังสือเป็นเวลานาน ย่อมต้องก้มหน้าไปข้างแก้มน้องชายเสียนเอ๋อร์ อ่านตามไปด้วย
เรื่องราวในหนังสือภาพเล่มนี้บรรยายถึงจอมยุทธ์มีคุณธรรมผู้หนึ่งกำจัดคนชั่วช่วยเหลือคนอ่อนแอ ช่วยสาวชาวบ้านโฉมงามจากคนใจคอโหดร้าย อาวุธของจอมยุทธ์คือฝ่ามือที่ผ่านการฝึกฝนในกระทะเหล็กร้อน กางออกสามารถฟันหินผ่าเขาได้ ชูสองนิ้วจะกลายเป็นอาวุธมหัศจรรย์ใช้ในการสกัดจุด สองพี่น้องดูจนเลือดในกายพลุ่งพล่าน เกิดความคิดอยากจะเอาสองมือเข้าไปคลุกทรายร้อนในกระทะเหล็ก น่าเสียดายตอนที่กำลังอ่านอย่างสนุกสนาน หน้าหนังสือที่มีก็หมดลงเสียแล้ว
เสียนเอ๋อร์อยู่ในช่วงอายุที่สมองโลดแล่นโยนหนังสือทิ้งด้วยอารมณ์ที่ค้างคา จากนั้นก็พูดแต่งเรื่องที่เหลือออกมา
พี่รองของเขาเพราะสมองเสื่อมจึงได้นั่งฟังเขาพูดพล่ามอย่างเงียบๆ ด้วยความนับถือ ก่อนจะลองฝึกวิธีปล่อยพลังหลายกระบวนท่าพร้อมกับเขาในห้องหนังสือ
‘พี่รอง ต่อไปพี่ต้องระวังสักหน่อย สองมือนี้คือกระบี่ที่เปิดคมแล้ว ถ้าไม่ควบคุมพลังปราณภายในปล่อยแล้วออกมาตามใจ ไปลงมือทำร้ายคนเข้า ก็ไม่มีทางรอดได้ ต้องระวังเป็นอย่างมากนะ’ เสียนเอ๋อร์ในตอนนั้นทำท่าเก็บพลัง ใบหน้ากลมมีสีหน้าขึงขัง กำชับพี่รองที่งุนงงด้วยการเลียนแบบคำพูดที่ได้ฟังมาจากบัณฑิตเล่าเรื่อง
นางเองก็ลอบจำเอาไว้ แต่วันนี้เพราะตื่นเต้นและโมโห จึงลืมคำกำชับของน้องชายไปจนสิ้น
เหตุใดสีหน้าของเขาจึงเจ็บปวดเช่นนี้ หรือเมื่อครู่นางไม่ทันระวังใช้พลังภายในจนหมด พลังจากนิ้วทำร้ายอวัยวะภายในของเขาหรือ
นึกถึงตอนกลางวันที่ตนเองโยนหมอนไปก็ทำให้เขาหัวแตกเลือดไหล คิดไม่ถึงว่าปล่อยพลังตอนกลางคืนก็ยังมีแรงสั่นสะเทือนหลงเหลืออยู่อีก…
ในใจนางยังมีความหวั่นเกรงเหลืออยู่จึงยื่นมือไปลูบบริเวณใต้สะดือของเขา ไม่รู้ว่าจะทำให้พลังยุทธ์สลายหายไปโดยง่ายได้อย่างไร ระหว่างที่บีบคลึงส่วนที่สองมือเลื่อนไปถึง ก็มีเสียงสูดลมหายใจเข้าดังออกมาจากเขาอีกครั้ง
หลี่รั่วอวี๋ร้อนใจเตรียมจะลุกขึ้นทำตามวิธีที่น้องชายถ่ายทอดให้ มาตั้งท่าม้าย่อเพื่อสลายพลังภายใน จะได้ไม่ทำลายคนอ่อนแอผิดๆ
แต่นางไม่ทันได้ลุกขึ้น ภาพตรงหน้าก็หมุนคว้าง ร่างบางเล็กราวกับแป้งจี่ทาน้ำมันถูกกดลงบนเตียงทันที
“คนโง่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองทำอะไรอยู่” ฉู่จิ้งเฟิงทนถูกมือคู่งามหยอกเย้าต่อไปไม่ไหว ขมวดคิ้วถามเสียงเข้ม
หลี่รั่วอวี๋ถูกเขากดตัวไว้เช่นนี้ก็รู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก กอปรกับท่าทางที่ชายหนุ่มแนบชิดตัวนาง ทำให้นางนึกถึงเสิ่นหรูป๋อที่ชอบทำกับนางเช่นนี้ตอนที่ไม่มีผู้ใดอยู่ด้วย
เมื่อคิดดังนี้ การจิ้มเมื่อครู่นี้นับว่าสมควรแล้ว ต้องขอบคุณหนังสือภาพเล่มนั้นทำให้หลี่รั่วอวี๋ได้เปิดหูเปิดตาเกี่ยวกับเรื่องระหว่างชายหญิงบ้าง อย่างน้อยก็รู้ว่าการกระทำเหมือนคนเลวที่ชอบเอาตัวมาแนบชิดสาวงามลูบไล้ถูไถไปมาไม่เหมาะสม
แม้นางจะไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นสาวงาม แต่ก็รู้ว่าบนตัวมีบางจุดที่ผู้อื่นแตะต้องไม่ได้ หลายวันก่อนท่านแม่ได้พูดกำชับนางว่าห้ามให้บุรุษแตะต้องเรือนร่างของนาง ปาก มือ เท้า ยังมีหน้าอกกับส่วนก้น ไม่ว่าส่วนใดล้วนแตะต้องไม่ได้
ตอนนั้นหลี่รั่วอวี๋ฟังคำพูดของท่านแม่แล้วก็นึกถึงเรื่องที่ชายผมขาวกินปากเล็กๆ ของนาง จึงก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิด แล้วมุดเข้าไปใต้ผ้าห่มไม่โผล่ออกมาอีก
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่คิดไปว่าคำพูดของนางตรงเกินไป ทำให้บุตรสาวเขินอาย น่าเสียดายที่นางพูดตกหล่นไป ได้แต่สั่งหญิงสาวไม่ให้ผู้อื่นมาแตะต้อง แต่ลืมพูดเสริมไปหนึ่งประโยคว่า หญิงสาวที่ดีก็ต้องไม่แตะตัว ใบหน้าและบริเวณใต้สะดือของชายหนุ่มด้วยเช่นกัน
ตอนนี้ดีที่ปลายนิ้วไม่ได้ปล่อยไปเต็มกำลัง มันโดนเข้าบริเวณสำคัญ ฉู่จิ้งเฟิงรู้สึกเพียงว่ากองไฟใต้สะดือนั้นใกล้จะระเบิดออกมาแล้ว
ทว่าในตอนนี้ดวงตาโตของหลี่รั่วอวี๋กลับเริ่มมีม่านน้ำ นางยู่ปากพูดพึมพำไม่ค่อยชัดเจน “คนเลว…คุณชายรองเสิ่น…”
ความหมายของนางก็คือ… ท่านก็เหมือนกับคุณชายรองเสิ่น เป็นคนเลว เอาแต่คิดจะกดตัวรั่วอวี๋
แต่พอมาเข้าหูฉู่จิ้งเฟิงลำดับคำพูดนั้นก็มีปัญหา กอปรกับท่าทางอยากร้องไห้นี้ เห็นได้ชัดว่ากำลังฟ้องว่าเขาเป็นคนเลวที่รังแกนาง และตอนที่นางรู้สึกกลัว คนที่ตะโกนเรียกไม่ใช่ท่านแม่ แต่เป็นเสิ่นหรูป๋ออดีตว่าที่สามีของนาง!
หลี่รั่วอวี๋รู้สึกเพียงว่ามือที่เดิมทีลูบใบหน้านางเบาๆ เพิ่มแรงบีบปลายคางนางในทันใด ชายหนุ่มตรงหน้าเหมือนจะโกรธ ริมฝีปากที่น่าดูนั้นเม้มแน่น
เขาหลุบขนตาที่โค้งงอนลง เห็นความรู้สึกในแววตานั้นได้ไม่ชัดเจน แต่เสียงพูดเปลี่ยนเป็นเย็นชาในทันที “เขาไม่ต้องการเจ้าแล้ว เจ้าคิดถึงเขาไปก็ไร้ประโยชน์ นับจากวันนี้ ข้าก็คือสามีของเจ้า เจ้า…ต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับข้า”
ระหว่างที่พูดเขาก็โน้มตัวลงมาก้มหน้าครอบครองริมฝีปากน่าโมโหนั้นเอาไว้ หญิงสาวสมควรตายผู้นี้ ในใจของนางแต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีเขาเลย ก่อนหน้านี้เป็นอย่างไร ตอนนี้ก็ยัง… แต่ครั้งนี้ เขาจะไม่ยอมให้ความเย่อหยิ่งขัดขวางเขาอีก คนโง่งมตัวน้อยผู้นี้ เขาต้องได้ครอบครอง!
ในตอนนี้เอง เสียงของหล่งเซียงก็ดังลอยมาจากนอกห้อง “คุณหนูรอง ท่านคุยกับผู้ใดอยู่เจ้าคะ”
ตอนที่หล่งเซียงได้ยินเสียงดังรางๆ จากในห้อง แล้วรีบเปิดประตูเข้ามาก็พบว่าคุณหนูนอนอยู่บนเตียงคนเดียว กำลังมองดูยอดม่านเตียงพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากแดงเบาๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่นับว่าไม่เคยผ่านประสบการณ์มาก่อน แต่บ้านของคนระดับอ๋องโหวอย่างท่านหญิงไหวอินกลับไม่เคยสัมผัสมาก่อน
นางมาในครั้งนี้ เพียงแค่อยากจะพบกับใต้เท้าหลิวของกรมโยธาและพูดไกล่เกลี่ยสถานการณ์เท่านั้น แต่พอมาถึงที่นี่จึงพบว่าแม้จะเป็นขุนนางที่มีตำแหน่งสูงในกรมโยธา ก็ใช่ว่าจะเข้ามาในจวนกลางสวนนี้ได้ง่ายๆ ต้องอยู่ค้างคืนนอกจวน วันพรุ่งนี้ตอนงานเริ่ม จึงจะพาครอบครัวเข้ามาได้
รู้กันว่าจ้าวซีจือคังติ้งอ๋องพระอนุชาคนที่สี่ของท่านหญิงไหวอินนับว่าเป็นใหญ่ด้านหนึ่งในต้าฉู่ที่วุ่นวายนี้ ตอนนี้สถานการณ์ในราชสำนักมีสกุลไป๋พระญาติห่างๆ คอยควบคุม ส่วนสกุลจ้าวที่เป็นพระญาติโดยตรง ย่อมรู้สึกไม่พอใจ และผู้ที่มีความสามารถประคับประคองการครองแผ่นดินของสกุลจ้าวได้ก็มีเพียงทางคังติ้งอ๋องแล้ว
สกุลไป๋อยู่ที่เมืองหลวงแม้จะเหิมเกริม แต่ยังต้องถอยให้กับคังติ้งอ๋องอยู่บ้าง นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่สกุลไป๋ถึงแม้จะควบคุมราชสำนักได้แต่ไม่กล้าชิงบัลลังก์ อย่างไรเสียฉู่จิ้งเฟิงที่ผีเห็นยังหวั่นแห่งต้าฉู่ก็ยังเป็นแขนซ้ายขวาของคังติ้งอ๋อง
อยู่ในแคว้นที่วุ่นวาย ในมือมีอำนาจทหารมีประโยชน์กว่ามีอำนาจฮ่องเต้มาก!
ดังนั้นคนที่เป็นขุนนางเหล่านั้นต้องการอำนาจผลประโยชน์จึงพยายามทำดีทั้งซ้ายขวา ไม่ล่วงเกินผู้ใดทั้งสิ้น อย่างไรเสียก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าคังติ้งอ๋องผู้นี้จะมีวันได้ครองตำแหน่งฮ่องเต้หรือไม่ และในวันคล้ายวันประสูติของท่านหญิงไหวอิน คนที่มาเพื่อประจบมีจำนวนมาก ขุนนางดูแลโครงการน้ำและดินของกรมโยธาผู้หนึ่งจึงไม่นับว่ามีตำแหน่งสูงอะไร ย่อมต้องพักอยู่นอกจวนก่อน
รอจนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ถามเรื่องราวเหล่านั้นจากพ่อบ้านอย่างชัดเจนแล้ว ในใจก็รู้สึกหวาดหวั่น นางกับบุตรสาวพอมาถึงที่นี่ก็ถูกนำเข้ามาในจวนกลางสวนแห่งนี้เลย มิหนำซ้ำยังได้ฟังพ่อบ้านพูดว่าเรือนเล็กที่พวกนางพักอยู่เป็นเรือนพักของท่านหญิงไหวอินก่อนจะออกเรือนอีกด้วย
ได้รับการต้อนรับขับสู้ที่พร้อมสมบูรณ์เช่นนี้ ยิ่งทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่สบายใจ นางรู้ว่าท่านหญิงไหวอินเห็นแก่หน้าของฉู่จิ้งเฟิงน้องชายจริงๆ จึงได้มีมารยาทกับนางเช่นนี้
เรื่องนี้ยิ่งทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ลำบากใจมาก เดิมทีตัดสินใจไว้ว่าจะพบใต้เท้าหลิว จัดการเรื่องใหญ่เกี่ยวกับเงินทองให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยปฏิเสธการแต่งงานนี้ แต่หลังจากท่านหญิงไหวอินต้อนรับขับสู้อย่างดีเช่นนี้ นางคิดข้ออ้างที่จะใช้ปฏิเสธไม่ออกเลยจริงๆ
หลังอาหารเย็น ท่านหญิงไหวอินเชิญฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เพียงคนเดียวเข้าไปดื่มชาพูดคุยในโถงรับแขกเล็กของตนเอง
“ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ จิ้งเฟิงกังวลว่าคุณหนูรองหลี่จะปรับตัวเข้ากับทางเหนือไม่ได้ จึงคิดจะสร้างจวนซือหม่าใหม่อีกแห่ง…” ตอนที่พูด ท่านหญิงไหวอินสั่งให้นางกำนัลยกกรอบภาพที่เหมือนฉากกั้นเล็กมาให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ดู เพียงแค่ดูภาพนั้นก็ยิ่งทำให้รู้ว่าจวนแห่งนี้งามวิจิตรเพียงใด
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เห็นแล้วก็ยิ่งยืนนั่งไม่สบายใจ รู้สึกว่าตอนนี้หากยังไม่เอ่ยปากคงจะสายไปแล้ว ดังนั้นจึงรีบพูดอึกอักเอ่ยปากปฏิเสธเรื่องการแต่งงาน
ท่านหญิงไหวอินบนใบหน้ายังมีรอยยิ้มไม่จาง เสียงพูดก็ยังอ่อนโยนเหมือนเดิม “ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ ท่านไม่เข้าใจนิสัยของน้องชายข้า เขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ถ้าไม่ต้องตา ไม่มีทางไปมอง แต่ถ้าชอบแล้ว ต่อให้สู้จนตายก็ต้องเอามาอยู่ในมือให้ได้ เพราะนิสัยเสียนี้ของเขา ไม่รู้ว่าถูกท่านพ่อท่านแม่ตำหนิไปกี่ครั้งแล้ว แต่ยังคงแก้ไม่ได้เสียที… ตอนนี้เขาไม่มีท่านพ่อท่านแม่แล้ว ถึงแม้ข้าจะเป็นเพียงลูกพี่ลูกน้อง แต่ก็รักน้องชายผู้นี้มาก สิ่งที่เขาอยากได้ ข้าก็ยินดีจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเขา เรื่องคุณหนูรองหลี่ไปอยู่ทางเหนือ เป็นเรื่องแน่ชัดอยู่แล้ว ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เพียงเลือกว่าอยากเห็นนางนั่งเกี้ยวเจ้าสาวไป หรือนั่งรถนักโทษไปเท่านั้น ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ ท่านหวังอยากให้เป็นแบบใดเล่า”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ฟังก็ตกตะลึงไปทันที นางคิดไม่ถึงว่าท่านหญิงไหวอินที่ดูเหมือนอ่อนโยนจะออกปากพูดข่มขู่เช่นนี้ได้ “ท่านหญิง…ท่านหมายความว่าอย่างไร”
ท่านหญิงไหวอินอมยิ้ม ไม่มีท่าทางของคนที่พูดบีบบังคับเมื่อครู่เลย เพียงแค่โบกมือไปทางนางกำนัลที่อยู่ด้านข้าง นางกำนัลผู้นั้นก็ยกถาดที่มีฎีกาฉบับหนึ่งวางไว้ ก่อนจะเอาฎีกามาวางไว้ตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่
“สิ่งนี้ได้มาจากใต้เท้าหลิวกรมโยธาที่มีสัมพันธ์อันดีกับจิ้งเฟิง บังเอิญเช่นกัน เพื่อไปงานเลี้ยง ใต้เท้าหลิวบังเอิญมาหาข้าที่นี่ พูดถึงเรื่องที่คุณหนูรองโยกเงินหลวงกรมโยธาไปใช้ เพราะจิ้งเฟิงชื่นชมคุณหนูรองจึงทำเรื่องที่ผิดมหันต์ ขอร้องให้ใต้เท้าหลิวดึงฎีกานี้ไว้ชั่วคราว อย่าเพิ่งส่งให้ฝ่าบาททรงทราบ ก่อนหน้านี้จิ้งเฟิงคิดว่าคุณหนูรองเพิ่งจะถอนหมั้น คงไม่อยากจะถูกรบกวน จึงคิดจะอดทนสักระยะค่อยไปพูดทาบทามสู่ขอ แต่อ่านฎีกานี้แล้วในใจก็นึกถึงคุณหนูรอง เร่งให้ข้ารีบไปพูดทาบทามสู่ขอ…จะได้ขวางเรื่องเลวร้ายแทนนาง แต่ตนเองไม่ลองคิดดูว่านอนบนหมอนร้อนเช่นนี้ ดีไม่ดีอาจถูกคนเห็นเป็นจุดอ่อน เฮ้อ ช่างเป็นน้องโง่ของข้าจริงๆ!”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ถูกคำพูดของท่านหญิงปลุกไฟในใจให้ลุกโชน รอจนฟังสาเหตุชัดเจนแล้วจึงมองไปทางความผิดแต่ละกระทงที่เขียนอยู่บนฎีกา ลูกไฟนั้นก็ดับมอดลง ฎีกานั้นเป็นลายมือของเว่ยกงกงจวนสิ่งทอ หลักฐานความผิดว่ามีบัญชีที่ออกจากสกุลหลี่ นอกจากเสิ่นหรูป๋อ ผู้ใดยังจะทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้ได้อีก
ฉู่ซือหม่าไม่ใช่คนโง่ คนที่โง่คือบุตรสาวของนาง ลูกเขยที่เลือกเอาไว้ตอนแรกกลับเป็นคนหน้าเนื้อใจเสือ สกุลหลี่ไม่มีอะไรติดค้างเขาเสิ่นหรูป๋อเลย แต่เหตุใดเขาต้องบีบบังคับทุกฝีก้าว จะบีบหลี่รั่วอวี๋ให้ตายเลยหรืออย่างไร
จากคำพูดของท่านหญิงไหวอิน คนที่โยนหินใส่บ่อคือเสิ่นหรูป๋อ ส่วนซือหม่าเป็นผู้มีคุณที่คอยช่วยเหลือภัยร้ายของสกุลหลี่
ถึงแม้จะมีคำขู่อย่างไม่ปิดบังเช่นเดียวกัน แต่พูดจากคุณธรรมแล้ว ท่านซือหม่าไม่เคยทำอะไรที่ไม่เหมาะสม ทำให้ไม่อาจพูดตำหนิอะไรได้เลย…
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ร้อนใจ นางคุกเข่าลงและเอ่ยปากพูดขอร้อง “ขอท่านหญิงเมตตา ขอร้องใต้เท้าหลิวผู้นั้น บุตรสาวข้าน้อยถูกคนเลวทำร้าย ตอนนี้ยังมีสภาพเช่นนี้อีก จะให้ทนรับโทษได้อย่างไร”
ท่านหญิงไหวอินรีบสั่งให้นางกำนัลประคองฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ขึ้นมาพลางพูดทอดถอนใจว่า “ตอนนี้ในเมืองหลวงเป็นเขตพื้นที่ของสกุลไป๋ ในฎีกานี้มีบัญชีรายละเอียดที่คุณชายรองสกุลเสิ่นให้มา ซึ่งเว่ยกงกงเป็นผู้เขียนเอง ถ้าเบื้องบนไม่มีคำตอบอะไร เว่ยกงกงต้องมีวิธีการต่อไปอีกแน่นอน ถ้าฎีกาส่งขึ้นไปแล้ว แม้จิ้งเฟิงมีใจอยากช่วยก็ไร้ความสามารถ ตอนนี้นักโทษคดีหนักถูกส่งไปที่ชายแดนทางเหนือทำงานก่อสร้างหนัก ภัยของคุณหนูรองหลี่ในครั้งนี้ไม่เล็กเลยจริงๆ อยู่ในรถนักโทษเหน็ดเหนื่อยตลอดทาง นางสมองก็ไม่ค่อยดี ถ้าถูกเจ้าหน้าที่เห็นรูปโฉมงดงามนั้น…”
ท่านหญิงไหวอินพูดถึงตรงนี้ก็ไม่พูดต่อ ปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่หน้าซีดขาวเป็นกระดาษแทบจะล้มครืนลง
ในตอนนี้ท่านหญิงไหวอินก็ลุกขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าจางลง เอ่ยพูดเสียงเรียบ “จิ้งเฟิงมีใจรักคุณหนูรอง ข้าที่เป็นพี่สาวย่อมต้องอุ้มสม แต่อย่างไรเสียเขาก็สูงศักดิ์เป็นถึงซือหม่าต้าฉู่ ยังต้องเป็นห่วงหน้าตาของสกุลบ้าง มาสู่ขอสตรีแล้วไม่ได้ ถ้าลือออกไปหน้าตาสกุลฉู่จะยังเหลืออยู่หรือ หวังว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จะช่วยคิดแทนคุณหนูรองหลี่ และอุ้มสมจิ้งเฟิงที่มีใจยึดมั่นในความรัก…”
ท่านหญิงไหวอินเป็นคนระดับใด ความสูงศักดิ์นั้นบีบรัดใจคนยิ่ง ทั้งคำพูดและการกระทำก็ยังกดดันคนให้ต่ำลงหนึ่งขั้น ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อยู่ต่อหน้านางรู้สึกตัวเตี้ยลงหลายส่วน
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เข้าใจดี เว่ยกงกงจวนสิ่งทอตำแหน่งเล็กๆ ที่เจียงหนานยังสามารถบีบเอาชีวิตบุตรสาวนางได้ หากล่วงเกินผู้มีตำแหน่งสูงศักดิ์ระดับฉู่จิ้งเฟิงหรือท่านหญิงไหวอิน เช่นนั้นผลลัพธ์ก็ยิ่งไม่กล้าคิด
นางรักบุตรสาวของนางมาก แต่จะไม่คิดเรื่องชื่อเสียงของสกุลหลี่ก็ไม่ได้
นับจากอดีตเป็นต้นมา สกุลร่ำรวยใหญ่โตมากเท่าใดที่ล่วงเกินขุนนาง ต้องสูญทรัพย์สมบัติและเข้าคุก ไม่อาจลุกขึ้นได้อีกเลย
กิจการที่สกุลหลี่สะสมมาหลายปีนี้ ทนให้ขุนนางละโมบเหล่านั้นมาขูดรีดไปไม่ไหว และบุตรสาวคนรองของนางที่อ่อนแอราวดอกไม้ก็ทนเข้าไปอยู่ในคุกไม่ได้เช่นกัน
ตอนนี้หลี่รั่วอวี๋เป็นเหมือนเนื้อสดที่ถูกกะเทาะเปลือกแข็งออก เสิ่นหรูป๋อหมาป่าร้ายตัวนั้นเฝ้าโหยหานาง ฉู่จิ้งเฟิงเสือร้ายตัวนี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะคลายปากออก ส่วนนางที่เป็นมารดาไม่มีความสามารถใด ปกป้องลูกไม่ได้
ฉู่จิ้งเฟิงไม่ใช่ตัวเลือกการเป็นลูกเขยที่ดีของบุตรสาว แต่เห็นท่าทางของเขาในตอนนี้เหมือนจะรักชอบพอหลี่รั่วอวี๋มาก ตอนนี้หลี่รั่วอวี๋อยู่ในช่วงอายุที่งดงามที่สุดของหญิงสาว หน้าตาท่าทางก็น่ารักน่าเอ็นดู แม้จะตกม้าสมองเสื่อมไป แต่ไม่ได้มีท่าทางโง่ทึ่มเนื้อตัวสกปรกอยู่ในตรอก อาศัยเพียงรูปโฉมก็สามารถชิงความรักได้อยู่หลายปี
หวังเพียงว่าฉู่ซือหม่าจะเป็นคนใจกว้าง เห็นแก่ความรักที่เคยมีให้กัน ในตอนที่ความงามถดถอย ความรักหดหาย สามารถปล่อยให้หลี่รั่วอวี๋กลับมาที่บ้านสกุลหลี่ ให้นางมีครึ่งชีวิตที่เหลือที่สงบสุข
เมื่อคิดปลอบใจตนเองเช่นนี้แล้ว เรื่องฉู่ซือหม่าก็ดูเหมือนไม่ยากที่จะรับได้แล้ว มองเห็นท่านหญิงไหวอินไม่ค่อยพอใจที่นางลังเลใจ ด้วยความร้อนใจนางจึงรีบพูดขึ้นว่า “ท่านหญิง ข้าน้อยใช่ว่าจะคิดดูถูกซือหม่า…”
ท่านหญิงไหวอินเป็นคนระดับใด ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่หน้าตาคลายความเคร่งเครียดลงบ้างแล้ว นางก็เกิดความคิดในใจ ในตอนนี้มุมปากก็มีรอยยิ้มอีกครั้ง ดึงมือฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มากุมแล้วพูดรายละเอียดอยู่สักครู่ ก็ให้คนไปเชิญรองเสนาบดีกรมอากรที่เดินทางมาร่วมงานพอดี ยังมีบัณฑิตคุณธรรมสูงชื่อเสียงโด่งดังอีกหลายคน เป็นพยานการแต่งงาน แล้วหยิบหนังสือหมั้นหมายที่เขียนเสร็จแต่แรกให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ลงชื่อประทับลายนิ้วมือ
ฟ้าค่อยๆ มืดลง เสาหลักของแคว้นหลายคนกลับยังดูกระตือรือร้น ราวกับกำลังลงไพ่นกกระจอกบนกระดาน อยู่ต่อหน้าขุนนางใหญ่แห่งราชสำนัก ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไร้ความมั่นใจไปจนสิ้น ทำได้เพียงปล่อยให้ท่านหญิงไหวอินจับมือให้ประทับลายนิ้วมือลงชื่ออย่างงุนงง
กลับถึงห้องของนางแล้ว มองหน้าหลี่รั่วฮุ่ยบุตรสาวคนโตที่เพิ่งรุดมาถึง จึงได้เหม่อมองรอยสีแดงบนปลายนิ้วของตนเองที่ยังไม่จางหายไปพลางพูดว่า “รั่วฮุ่ย เมื่อครู่แม่ทำการหมั้นหมายให้น้องเจ้าอีกครั้งแล้ว”
หลี่รั่วฮุ่ยเดิมทีก็สงสัยว่านางเป็นภรรยาขุนนางยศเล็กๆ เหตุใดจึงได้รับเทียบเชิญจากท่านหญิงไหวอิน รอนางเบิกตาโตลิ้นแข็งฟังฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เล่าเรื่องราวจนจบก็โกรธจนตบหน้าตัก พูดด้วยความโมโหท่านแม่ที่หัวอ่อน “ท่านแม่! ท่านบ้าไปแล้วหรือ ยกน้องรองให้กับผีเห็นยังหวั่นผู้นั้น! นี่… นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ถูกบุตรสาวคนโตบ่นเช่นนี้ก็ได้สติคืนมา การหมั้นหมายนี้ตกลงกันเร็วไปสักนิด ตนเองเหมือนถูกโปะยาจนงุนงง จึงได้กำหนดการแต่งงานของหลี่รั่วอวี๋เช่นนี้แล้ว
แต่ตอนนี้มาพูดเสียใจภายหลังก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว
เมื่อครู่ตอนที่ลงชื่อในหนังสือหมั้นหมายต่อหน้าใต้เท้าทั้งหลาย ใต้เท้าจากกรมอากรผู้นั้นดูวันเวลาแล้วก็บอกมาตามตรงว่าสิ้นเดือนนี้เป็นวันมงคลตามปฏิทินที่หาได้ยาก กอปรกับซือหม่ารักษาอาการบาดเจ็บได้พอสมควรแล้ว อีกไม่นานก็ต้องกลับทางเหนือ ดังนั้นจึงกำหนดวันทำพิธี แปดวันให้หลังต้องจัดงานแต่งงานให้เสร็จสิ้น
อันที่จริงวันทำพิธีนี้ก็เร่งรีบเกินไป แม้แต่ท่านหญิงไหวอินที่เป็นผีชางรับใช้เสือ* ยังทนดูต่อไปไม่ไหว รู้สึกว่าการกินของน้องชายรีบร้อนเกินไป
“ถ้าเป็นคนที่ไม่รู้ ยังคิดว่าพี่เป็นนักบวชหวนสู่ทางโลก รีบร้อนจะแต่งภรรยาเสียอีก! ก็แค่หญิงที่สมองไม่ดีผู้หนึ่ง มีแค่ท่านที่เห็นเป็นของล้ำค่า เหตุใดจะต้องร้อนใจเช่นนี้ด้วย อย่างไรเสียนี่ก็เป็นสกุลฉู่ต้องการแต่ง ควรเตรียมทุกอย่างให้พร้อม มีอย่างที่ไหนมาทำการเร่งรีบลวกๆ อย่างท่าน!”
ตอนที่พูดคำนี้ ฉู่จิ้งเฟิงกำลังเดินหมากอยู่กับน้องชาย ซึ่งก็คือจ้าวซีจือคังติ้งอ๋องน้องชายสายเลือดเดียวกันของท่านหญิงไหวอิน
ได้ยินอีกฝ่ายพูดว่าหลี่รั่วอวี๋สมองไม่ดี เขาก็มีสายตาดุ เลิกคิ้วขึ้นพลางพูดเสียงเข้ม “ต่อไปอย่าได้พูดเรื่องสมองของนางอีก แม้นางจะพูดจาไม่ชัดเจนนัก แต่ก็แยกแยะคำพูดดีร้ายได้…”
ท่านหญิงไหวอินรู้สึกว่าตนเองในตอนนี้เหมือนแม่ที่กำลังจะแต่งลูกสะใภ้ เห็นสะใภ้สมองเสื่อมยังไม่ทันแต่งเข้าบ้าน บุตรชายก็รีบร้อนปกป้องภรรยาเสียแล้ว ช่างน่าโมโหเสียจริง
คังติ้งอ๋องเห็นพี่สาวตนเองยังอยากตำหนิฉู่จิ้งเฟิงอีก จึงรีบดีดตัวลุกขึ้นนั่งบนตั่งนิ่ม แกว่งเท้าที่สวมรองเท้าไปมาแล้วพูดว่า “พี่สาวข้า พูดน้อยหน่อยเถอะ อย่าทำให้พี่ชายไม่พอใจ ข้าน้องชายท่านตอนนี้อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือลำบากมาก พวกเดิมของหยวนซู่สมคบกับโจรร้าย ก่อเรื่องไปทั่วเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ข้ายังต้องอาศัยพี่ชายส่งเสบียงช่วยเหลือกำจัดโจรเหล่านี้ ตอนนี้พี่ชายเป็นเสมือนพระโพธิสัตว์เหลืองทองอร่ามผู้ช่วยชีวิต จะล่วงเกินไม่ได้แม้แต่น้อย! มา พี่ชาย ดื่มชาให้ชุ่มคอสักอึก…”
ทุกคนล้วนพูดว่าคังติ้งอ๋องแห่งตะวันตกเฉียงเหนือใจกว้างมีคุณธรรม แต่ไม่รู้เลยว่าคนผู้นี้พฤติกรรมหละหลวม ไม่เห็นเรื่องจริงจังอยู่ในสายตา
ฉู่จิ้งเฟิงมองดูท่าทางคังติ้งอ๋องยกน้ำชาให้เขาราวกับลูกสมุนก็แค่นเสียงสบถเบาๆ
ท่านหญิงไหวอินเพียงแค่สูดลมหายใจแล้วพูดอีกว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่วางแผนว่าหลังจากงานเลี้ยงก็จะพาบุตรสาวกลับคฤหาสน์เลย”
ฉู่จิ้งเฟิงเคาะกระดานหมากแล้วพูดอย่างช้าๆ “ขอพี่สาวช่วยพูดกับฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ให้ชัดเจนด้วย เพราะเวลาในการทำพิธีค่อนข้างเร่งรีบ ยังต้องสอนคุณหนูรองเรียนรู้พิธีการบางอย่าง พี่ก็รั้งตัวนางไว้ในจวนกลางสวนนี้ ในวันทำพิธีก็จัดกันในเมืองซูเฉิง จะได้ไม่ต้องส่งรถไปรับเจ้าสาวที่เมืองเหลียวเฉิงให้ลำบาก”
ตามประเพณีโบราณ บุตรสาวออกเรือนต้องออกเดินทางจากบ้านเกิด ยิ่งไปกว่านั้นเมืองเหลียวเฉิงเมืองซูเฉิงก็ไม่นับว่าไกลกันมาก แต่เวลาเพียงไม่กี่วันฉู่จิ้งเฟิงก็ทนรอไม่ไหวแล้ว จะรั้งตัวเจ้าสาวเอาไว้ ปล่อยให้แม่ยายกลับไปเตรียมพิธีการเอง… แบบนี้ช่าง…ไม่เห็นเรื่องจริงจังอยู่ในสายตาเสียจนคังติ้งอ๋องยังคิดว่าการกินของพี่ชายรีบร้อนเกินไป!
ฉู่จิ้งเฟิงไม่อยากไปสนใจแววตาหยอกเย้าของคังติ้งอ๋อง
เนื้อสดใหม่คำนี้ เขาคิดถึงมานานมากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคนที่อยากจะกินเนื้อคำนี้ไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียว เสิ่นหรูป๋อผู้นั้นวางแผนทุกอย่างพร้อมสรรพ แต่กลับเป็นการมอบเสื้อมงคลให้เขา
ฉู่จิ้งเฟิงเก่งในการรวบรัดบทเรียน แต่เรื่องศัตรูหัวใจ เขารวบรัดได้น่าอนาถใจยิ่ง ราตรียาวนานความฝันยาวไกล* ไม่นอนเสียเลยดีกว่า!
หลังจากงานฉลองวันคล้ายวันประสูติของท่านหญิงไหวอิน ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็ขอลากลับคฤหาสน์เลย
ด้วยกำหนดการแต่งงานให้บุตรสาวคนรองอย่างเร่งด่วนเช่นนี้ ภายในคฤหาสน์จึงยังไม่ได้เตรียมอะไร ถึงแม้ท่านหญิงไหวอินจะพูดอย่างชัดเจนว่าสกุลฉู่จะจัดการทุกอย่าง แต่สกุลหลี่ใช่ว่าจะจ่ายเงินค่าซองแต่งงานไม่ได้ ต้องเตรียมการให้พร้อมจึงจะดี
ท่านหญิงไหวอินใช้เรือนหลังหนึ่งฝั่งตะวันตกของจวนกลางสวนตรวจนับสินสอดทองหมั้น แก้ป้ายชื่อด้านบนขื่อคานเป็นชื่อสกุลหลี่ ถึงตอนนั้นครอบครัวมิตรสหายของสกุลหลี่สามารถพักอยู่ในเรือนนี้ชั่วคราวได้ คุณหนูรองหลี่ก็ต้องขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวจากที่นี่
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เดิมทีไม่ยอมทิ้งบุตรสาวคนรองเอาไว้ แต่ภายหลังหลี่รั่วฮุ่ยบุตรสาวคนโตบอกว่าจะอยู่ที่นี่คอยดูแลน้องสาว นางจึงยอมกลับไปอย่างสบายใจได้บ้าง
เพราะครั้งนี้คนที่สกุลหลี่พามาปรนนิบัติคุณหนูรองมีเพียงหล่งเซียงกับบ่าวหญิงอาวุโสอีกหนึ่งคน ดังนั้นท่านหญิงจึงคัดเลือกนางกำนัลที่ทำงานเก่งอีกหลายคนมาให้ ส่วนองครักษ์ในเรือนเป็นผู้ใต้บัญชาฝีมือดีของฉู่ซือหม่า
หลังจากฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กลับไปแล้ว หลี่รั่วฮุ่ยแท้จริงแล้วยังรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางหมอกควัน ครั้งก่อนกลับบ้านคิดว่าน้องสาวตนเองกับเสิ่นหรูป๋อคงมีวาสนาต่อกันแน่นอนแล้ว รอแค่เพียงกำหนดวันมงคล
เพราะสามีเตรียมย้ายที่ประจำการอยู่ นางก็วุ่นกับการย้ายบ้าน เดิมทีคิดว่าแม้จะไปส่งน้องสาวขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวในวันมงคลไม่ได้ ก็จะเร่งให้ทันตอนที่น้องสาวกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดหลังแต่งงาน กลับบ้านไปกินอาหารร่วมกับน้องสาวน้องเขยสักมื้อ
ผู้ใดจะคิดว่า ต่อมาจะได้รับจดหมายจากท่านแม่ว่าได้ส่งหนังสือยกเลิกการหมั้นหมายกับสกุลเสิ่นแล้ว ในจดหมายนั้นเล่าเรื่องฉาวของหลี่เสวียนเอ๋อร์กับเสิ่นหรูป๋อออกมาจนหมด ทำให้หลี่รั่วฮุ่ยโกรธจนกินอาหารไม่ลง รีบจัดการเรื่องทุกอย่างในบ้านตนเอง เตรียมจะกลับบ้านเดิมสักครั้ง แต่ผู้ใดจะรู้ว่าในเวลานั้นกลับได้รับเทียบเชิญจากท่านหญิงไหวอิน จึงไม่กล้าชักช้า ต้องติดตามสามี พาบุตรชายคนเล็กพร้อมแม่นมเดินทางมาที่เมืองซูเฉิง
คิดไม่ถึงว่าเดินทางมายังไม่ทันปรับลมหายใจก็ได้ยินว่าน้องสาวหมั้นหมายกับฉู่จิ้งเฟิงแล้ว
สามีของนางเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ ย่อมรู้ถึงผลงานการรบอันโด่งดังของซือหม่าผู้นี้ รวมถึงข่าวลือโฉมหน้าปีศาจชอบฆ่าฟันของเขาด้วย
หากน้องรองยังดีอยู่ ด้วยชาติกำเนิดก็ยังไม่คู่ควรกับซือหม่าผู้นี้แล้ว นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่นางกลายเป็นคนสมองเสื่อม แม้กระทั่งเสิ่นหรูป๋อที่หมั้นหมายกับน้องสาวมาหลายปี มีความรู้สึกอันดีต่อกันมากก็ยังทอดทิ้งนางไปแต่งงานกับผู้อื่น นับประสาอะไรกับชายหนุ่มที่มีฐานะสูงอำนาจมากอย่างนั้น จะมีความจริงใจต่อนางได้อย่างไร
น่าเสียดายที่ท่านแม่ผู้เลอะเลือนของนางถูกคนเกลี้ยกล่อมปนข่มขู่ ลงชื่อในหนังสือหมั้นหมายกำหนดวันมงคลเรียบร้อยแล้ว มองดูน้องรองที่ตกม้าสมองเสื่อม จะต้องแต่งงานกับชายหนุ่มที่สูงศักดิ์และไม่รู้จักเขาดีพอเลย แต่หากไม่แต่ง ตามคำพูดของท่านแม่ สกุลหลี่ก็ต้องเดินไปถึงทางตันจริงๆ แล้ว
หลี่รั่วฮุ่ยรู้สึกเพียงว่านางที่เป็นพี่สาวก็ผิดต่อน้องสาว ไม่มีความสามารถจะรั้งตัวน้องไว้ได้ คิดถึงเรื่องที่เศร้าใจก็ทนไม่ไหวโอบคอน้องสาวไว้แล้วร้องไห้ออกมา
หลี่รั่วอวี๋ไม่เข้าใจอยู่บ้างว่าเหตุใดตอนที่ท่านแม่จากไปต้องมากอดนางร้องไห้ ตอนนี้พี่สาวก็มากอดนางร้องไห้อีก
แต่ว่าครั้งนี้ นางกลับไม่อยากล้อเลียนพี่สาว ตอนท่านแม่จากไป นางเคยถามท่านแม่ว่าเหตุใดจึงร้องไห้ ท่านแม่พูดสะอึกสะอื้นว่าเพราะนางจะแต่งงานแล้ว
ตอนแรกหลี่รั่วอวี๋ไม่เข้าใจ ภายหลังได้ฟังท่านแม่บอกว่าแต่งงานก็คือต้องไปอยู่บ้านคนอื่น อยู่กับท่านแม่และน้องชายไม่ได้อีกต่อไป ไม่รู้เพราะเหตุใด จมูกของหลี่รั่วอวี๋พลันรู้สึกปวด อยากร้องไห้เช่นกัน
ท่านแม่จากไปแล้วจริงๆ เหลือเพียงนางอยู่ในคฤหาสน์ที่ไม่คุ้นตา ตอนนี้พี่ใหญ่ก็เป็นเช่นเดียวกัน สะกิดใจนางให้อยากร้องไห้ไปด้วย จึงน้ำตาไหลพูดกับหลี่รั่วฮุ่ยว่า “พี่…รั่วอวี๋ไม่อยากแต่งงาน…”
หลี่รั่วฮุ่ยเห็นน้องรองที่เป็นคนเข้มแข็งมาตลอดตอนนี้ปลายจมูกแดง ดวงตามีน้ำตาคลอโผเข้าหาอ้อมกอดของนาง ตัวอ่อนปวกเปียกราวกับกระต่ายขาวใกล้จะถูกสุนัขจิ้งจอกคาบไป ทำได้เพียงขอร้องอย่างหวาดกลัวว่าไม่อยากแต่งงาน ทำให้นางรู้สึกเหมือนหัวใจทั้งดวงจะแตกสลาย อยากจะให้ตนเองยังเป็นหญิงสาวอยู่ในเรือน แต่งงานกับพญามัจจุราชนั่นแทนน้องรองไปเสียเลย
ตอนนี้นางจึงพูดอย่างทนไม่ไหวว่า “ไม่แต่ง ไม่แต่งแล้ว รั่วอวี๋ของพวกเราไม่แต่งกับซือหม่าผีอะไรนั่นหรอก!”
น่าเสียดายที่ยังไม่ทันสิ้นเสียงพูดของนาง ตรงประตูโถงที่ไม่ได้ปิดประตูก็มีเสียงจงใจกระแอมรัวเร็วดังลอยมา
บทที่เจ็ด
หลี่รั่วฮุ่ยได้ยินเสียงกระแอมนั้นก็หันไปดู ที่แท้แล้วเสียงนั้นหล่งเซียงเป็นคนทำ อีกฝ่ายที่ปกติจะหน้าตายิ้มแย้มอยู่ตลอด ในยามนี้ตั้งแต่ช่วงเข่าขึ้นไปท่อนบนล้วนแข็งเกร็ง บนใบหน้านิ่งนั้นมีเพียงดวงตาที่ยังพยายามกะพริบ ส่งสายตามาให้นาง
จากนั้นตรงหน้านางพลันมีชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งยืนอยู่ สวมชุดยาวสีดำขลิบทอง ผมสีขาวเงินทั้งศีรษะ สวมที่ครอบผมสีทอง หน้าตาแม้จะหล่อเหลาแต่เย็นเยือกไปบ้าง ดวงตาคมราวเหยี่ยวคู่นั้นกำลังจ้องน้องรองที่ขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของนาง
หล่งเซียงไปยกน้ำแกงหวานที่ห้องครัวด้านหลังกลับมา มองเห็นซือหม่าแต่ไกล ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อใด กำลังยืนอยู่หน้าประตูห้องคุณหนูรอง แต่ก็ไม่เข้าไปและยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเหมือนก้อนน้ำแข็งแผ่ไอเย็น
รอจนนางเดินมาถึงประตูห้อง กำลังคิดจะพูดก็ถูกซือหม่ากวาดตามองอย่างเย็นชา จึงตกใจไม่กล้าพูดอะไร กลับบังเอิญได้ยินคำว่า ‘ซือหม่าผี’ ของคุณหนูใหญ่ลอยมาเข้าหู นางตกใจจนแทบจะโยนน้ำแกงหวานในมือทิ้ง แต่ไม่กล้าไปเรียกคุณหนูใหญ่ ทำได้เพียงแกล้งระคายคอ กระแอมออกมาเสียงดัง
ถึงแม้ก่อนหน้านี้หลี่รั่วฮุ่ยจะไม่เคยเจอฉู่จิ้งเฟิงมาก่อน แต่เห็นผมสีขาวเงินทั้งศีรษะของเขาก็รู้แล้วว่าเป็นผู้ใด
หลิวจ้งผู้เป็นสามีเพิ่งย้ายงานใหม่ ถูกย้ายไปอยู่ใต้ธงกองทหารเว่ยจื้อ อีกไม่กี่วันก็จะเดินทางไปชายแดนทางเหนือ หากจะนับไปแล้ว กองทหารเว่ยจื้อก็เป็นคนใต้บัญชาของฉู่ซือหม่า
ตนเองมาพูดคำหยาบคายต่อหน้าผู้บังคับบัญชาของสามี ไม่เหมาะสมเลยจริงๆ แต่ในตอนนี้หลี่รั่วฮุ่ยสงสารน้องสาว จึงไม่สนใจอะไรมาก นางเป็นคนโมโหร้าย แม้ตอนแรกจะถูกกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากตัวฉู่จิ้งเฟิงทำให้หวาดกลัวตกตะลึง แต่จากนั้นก็เอ่ยปากพูดอย่างไม่ลดละ “คิดว่าท่านคงจะเป็นซือหม่ากระมัง”
ฉู่จิ้งเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย เขาไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่สั่งให้พ่อบ้านที่เดินตามมายื่นใบของขวัญไปให้ จากนั้นจึงกล่าว “วันนี้เอาสินสอดมาให้ดู ข้าสั่งให้พ่อบ้านเขียนใส่ใบรายการไว้แล้ว มีของบางอย่างที่ใช้ในพิธีวันนั้น หวังว่าคุณหนูใหญ่หลี่จะช่วยดูแทนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ด้วย”
ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจฉากเมื่อครู่ หลี่รั่วฮุ่ยก็คิดว่าถ้าจะมีเรื่องเพิ่มสู้มีเรื่องน้อยลงดีกว่า แต่ใบสินสอดนั้นนางขี้เกียจไปดู จึงเพียงแค่รับมันเอาไว้เท่านั้น
ฉู่จิ้งเฟิงย่อมรู้ว่าเหตุใดนางจึงมีท่าทีเช่นนี้ ในใจกลับคิดว่า…บุตรสาวคนโตสกุลหลี่แข็งกร้าวยิ่งกว่ามารดาเลอะเลือนผู้นั้นเสียอีก…และไม่รู้กาลเทศะมากกว่าเช่นกัน
แต่ว่าตอนนี้หลี่รั่วอวี๋หัวอ่อนกว่ามารดาของนาง นางคงนึกได้ถึงครั้งก่อนที่เขาแอบเข้ามาในห้องของนาง จึงไม่ยอมสวมรองเท้า ลากเพียงเกือกไม้พุทราคู่หนึ่ง ก้มหน้าพยายามหลบเลี่ยงชายสูงใหญ่ แล้ววิ่งไปเล่นที่สวนดอกไม้เล็กข้างเรือน
ฉู่จิ้งเฟิงหลุบตาลง ขนตาโค้งงอนปิดบังแววตาเย็นเยือกของเขา หลังจากหลี่รั่วอวี๋วิ่งออกไปแล้ว เขาก็ตรงไปนั่งลงบนเก้าอี้ ท่าทางเป็นธรรมชาติราวกับเดินเข้าห้องนอนของตนเอง หลี่รั่วฮุ่ยไม่ดูใบสินสอด เขาก็ไม่ได้เร่ง เพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้น เคาะนิ้วบนที่วางมือบนเก้าอี้แล้วพูดว่า “คุณหนูใหญ่ไม่วางใจเช่นนี้ จิ้งเฟิงเข้าใจ แต่ข้ากับแม่นางรั่วอวี๋รู้จักกันมานานแล้ว แต่งกับนางล้วนเป็นความจริงใจ ขอให้คุณหนูใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วง”
หลี่รั่วฮุ่ยกัดริมฝีปาก ทว่าคำพูดที่เก็บกดอยู่ในใจกลับพ่นออกมาในที่สุด “ใต้เท้ากับน้องสาวข้ารู้จักกันมานานแล้วหรือ แต่ไม่เคยได้ยินนางพูดถึงใต้เท้าเลย ไม่รู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้ ซือหม่าใคร่ครวญรอบคอบดีแล้วหรือ ท่านควรจะรู้ว่าด้วยนิสัยน้องข้าตอนที่ยังเป็นปกติ คงไม่เหมาะจะแต่งเข้าสกุลสูงศักดิ์ นางมีความคิดเป็นของตนเองมาตลอด ยากจะเป็นฮูหยินขุนนางที่อยู่ในกฎระเบียบได้ อีกอย่าง ซือหม่าต้องรู้ว่ายามนี้หลี่รั่วอวี๋ไม่ใช่หลี่รั่วอวี๋คนเดิมอีกแล้ว หลี่รั่วอวี๋ที่ฉลาดเฉลียวเลื่องลือไปทั่วผู้นั้นตอนนี้เป็นเพียงคนสมองเสื่อมที่ไม่รู้เรื่องราว ความสงสารของท่านซือหม่าที่มีต่อนางในตอนนี้ไม่ได้โกหก แต่ในอนาคตเล่า ถ้านางอายุมากความงามถดถอยไม่มีความสดใสของเด็กสาวแล้ว มิหนำซ้ำยังโง่เขลาไม่รู้ความเช่นนี้อีก ใต้เท้าท่านยังจะสงสารนางเช่นนี้อีกหรือ”
หลี่รั่วฮุ่ยบีบถามไม่ลดละ แต่ฉู่จิ้งเฟิงกลับมีสีหน้านิ่งเฉย ก่อนจะพูดเสียงเรียบว่า “เช่นนั้นคุณหนูใหญ่หลี่กล้ารับรองหรือไม่ว่า รอจนเจ้าอายุมากความงามถดถอย สามีของเจ้าจะรักทะนุถนอมเจ้าเหมือนที่ผ่านมา ไม่ลดลงแม้แต่น้อย”
คำพูดนี้ถามถูกจุดสำคัญ คำพูดโหดร้าย มีเพียงหลี่รั่วฮุ่ยเองที่รู้ดีแก่ใจ สามีของนางหลิวจ้งวรยุทธ์แกร่งกล้า ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นขุนนางเล็กๆ ผู้หนึ่ง แต่มีอนาคตไกล ตอนแรกท่านพ่อของนางพอใจที่ครอบครัวของเขามือสะอาด และมีความสามารถ ไม่มีความรู้สึกของบัณฑิตที่ดูถูกพ่อค้าเลย จึงได้ให้นางแต่งงานกับเขา
เริ่มแรกสองคนก็มีความรักหวานชื่น แต่การใช้ชีวิตที่น่ากลัวที่สุดคือมีนิสัยเหมือนกันเกินไป หลี่รั่วฮุ่ยมีนิสัยแข็งกร้าว หลิวจ้งก็มีอารมณ์ร้อน ผ่านไปไม่นาน ทั้งสองก็มีปากเสียงเรื่องทั่วไปบ่อยครั้ง
คนโกรธที่น่ากลัวที่สุดคือพูดไม่เลือกคำ กระทบกระทั่งไปมา ทำลายความรู้สึก ในตอนที่หลี่รั่วฮุ่ยตั้งครรภ์ หลิวจ้งได้ตามเพื่อนร่วมงานไปดื่มสุราที่หอคณิกา และได้ส่งสายตาไปมากับนางโลมผู้หนึ่ง นางโลมผู้นั้นพูดคำอ่อนหวานเข้าอกเข้าใจผู้คนมาจนชิน นานวันเข้าก็ทำให้หลิวจ้งหลงใหลจนโงหัวไม่ขึ้น รวบรวมเงินกับเพื่อนร่วมงานไถ่ตัวนางโลมผู้นั้นออกมา และเลี้ยงดูไว้นอกคฤหาสน์
แต่หลี่รั่วฮุ่ยกลับไม่รู้เรื่องราว จนกระทั่งหนึ่งปีก่อน นางไปที่ตลาดเห็นสามีพาหญิงท้องโตผู้นั้นไปซื้อผ้าฝ้าย รองเท้าและหมวกที่เด็กใช้ในร้านขายของ จึงได้รู้ว่าสามีตนเองลอบเลี้ยงหญิงงามเอาไว้
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ร้องไห้โวยวายไปก็ไร้ประโยชน์ จึงทำตามคำที่เพื่อนร่วมงานของหลิวจ้งมาช่วยพูดเจรจา… นายกองหลิวทำเช่นนี้นับว่ามีคุณธรรมมากแล้ว รู้ว่านางใจร้อนขี้หึง รับอนุไม่ได้เอาเข้าคฤหาสน์นับว่าไว้หน้าภรรยาเอกอย่างนางมากแล้ว
แม้แต่ท่านแม่ของนางยังตำหนินางว่ามีใจอิจฉามากเกินไป ทำให้สามีรับอนุแล้วก็ยังไม่กล้าพาเข้าบ้าน
เป็นน้องรองของนางที่พูดเสียงแข็ง หลังจากได้ฟังนางเล่าทั้งน้ำตาแล้ว ถามเพียงว่านางยังอยากจะอยู่กับหลิวจ้งต่อไปหรือไม่ หากไม่ยินดี พรุ่งนี้ก็เขียนหนังสือขอหย่าให้เขา เขาจะได้ไม่ต้องเสียอิสระในการรับอนุ และต้องไปรับหญิงชั้นต่ำน่ารังเกียจมาเลี้ยงไว้นอกบ้าน
ทว่าจิตใจของหญิงสาวกับคนเป็นแม่จะเหมือนกันได้อย่างไร สุดท้ายคนที่ไม่ยอมคนอย่างนางก็เห็นแก่ลูกน้อยจึงยอมอดทน กลืนความโกรธนี้ลงท้อง เพียงแค่พูดตามตรงกับสามีว่าไม่อนุญาตให้พาหญิงชั้นต่ำผู้นั้นกลับบ้าน
ซือหม่าต้าฉู่ผู้นี้ดูแล้วเป็นคนเย็นชาพูดน้อย แต่หากยั่วให้เขาโมโหก็เป็นคนที่ปากคอเราะราย แต่ละคำบาดเฉือนคนจนเลือดหยด เรื่องที่แม้แต่สามีของนางยังทำไม่ได้ นางจะมีสิทธิ์อะไรไปเรียกร้องแทนน้องสาวเล่า
แม้ยามนี้จะเห็นหลี่รั่วฮุ่ยมีสีหน้าเปลี่ยนไป แต่ฉู่จิ้งเฟิงก็ยังคงพูดด้วยสีหน้าเย็นชาดังเดิม “ถ้าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่รังเกียจ รับจิ้งเฟิงเป็นเขย ต่อไปก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกับคุณหนูใหญ่ พูดอะไรไม่ต้องกล้าๆ เกรงๆ แต่รั่วอวี๋ตอนนี้นิสัยเหมือนเด็ก กลัวที่สุดคือถูกคนสอนให้เสียคน ถ้าคุณหนูใหญ่บอกว่าการแต่งงานไม่ดี นางย่อมกลัวมาก ขอคุณหนูใหญ่ช่วยเสียสละเวลาชี้นำทางรั่วอวี๋อย่างถูกต้องด้วย”
หลี่รั่วฮุ่ยในตอนนี้สงบสติลงได้แล้ว รู้ว่าเมื่อครู่นางทำให้ซือหม่าผู้นี้โกรธ ฟังจากคำพูดของท่านแม่ก่อนหน้านี้ว่า ซือหม่าผู้นี้แม้จะมีฐานะสูงส่ง แต่กลับไม่วางอำนาจ ใกล้ชิดได้ง่ายมาก
ทว่าตอนนี้ดูไปแล้ว เหมือนที่ท่านแม่พูดเสียที่ไหนกัน แปดส่วนคือก่อนหน้านี้แสร้งทำเป็นโอนอ่อนนอบน้อม พี่น้องสองคนนี้ คนหนึ่งเล่นเป็นตัวร้าย อีกคนเล่นเป็นตัวดี กล่อมจนท่านแม่ยอมรับปากเรื่องการแต่งงาน แล้วรั้งตัวหลี่รั่วอวี๋ไว้ในเขตพื้นที่ของเขา ตอนนี้ทุกอย่างเกือบเสร็จสิ้นก็เริ่มคืนร่างเดิมแล้วกระมัง
คนเย่อหยิ่งเช่นนี้ และยังมีฐานะสูงมีอำนาจมาก จะยอมให้ผู้ใดล่วงเกินได้อย่างไร
แต่ต่อให้ในใจนางมีความไม่พอใจมากเพียงใด ภายหน้าน้องสาวก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ในจวนของเขา เมื่อครู่ท่าทีของนางขาดการใคร่ครวญไปจริงๆ ปากของนางมักจะล่วงเกินผู้อื่นโดยขาดเหตุผลเสมอ คิดถึงตรงนี้หลี่รั่วฮุ่ยก็สูดหายใจลึก ก้มหน้าย่อคำนับแล้วพูดว่า “เพราะเป็นห่วงน้องสาว ท่าทีเมื่อครู่จึงล่วงเกินไป ขอซือหม่าอภัยด้วย”
ฉู่จิ้งเฟิงเห็นหลี่รั่วฮุ่ยเปลี่ยนท่าทีจึงมีน้ำเสียงอ่อนลง “ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน คุณหนูใหญ่เกรงใจไปแล้ว ได้ยินว่านายกองหลิวถูกย้ายไปชายแดนทางเหนือ ข้าสั่งให้คนดูแลเขาให้ดี ให้เขาเฝ้าประจำที่เมืองโม่เหอ ต้องรบกวนคุณหนูใหญ่เดินทางตามไปทางเหนือเช่นกัน ข้าได้สั่งให้คนเตรียมคฤหาสน์ไว้แล้ว ถึงตอนนั้นถ้าคิดถึงรั่วอวี๋ ก็มาพักที่จวนซือหม่าได้ทุกเมื่อ”
ฟังดูสิ ตบหน้าแล้วยื่นพุทราให้เช่นนี้ทำได้อย่างสมเหตุสมผลมาก!
หลี่รั่วฮุ่ยฟังคำพูดนี้แล้วก็รู้สึกสบายใจบ้าง แต่ก็เกิดความคิดหนึ่งในใจ ลอบคิดว่าเหตุใดจึงบังเอิญเช่นนี้ ช่วงที่หลิวจ้งถูกย้ายไปชายแดนทางเหนือ คำนวณดูแล้วคำสั่งย้ายคือตอนที่หลี่รั่วอวี๋ยังไม่ล้มเลิกการแต่งงาน หากซือหม่าผู้นี้เป็นคนลงมือจริง แม้แต่เรื่องส่วนตัวภายในคฤหาสน์ของนาง เขาก็ดูเหมือนจะรู้อย่างละเอียด เช่นนั้นมิเท่ากับเขามีใจกับน้องสาวมานานแล้วหรือไร เช่นนั้นแปลว่าแม้เสิ่นหรูป๋อจะไม่สร้างเรื่องฉาวกับหลี่เสวียนเอ๋อร์ เกรงว่าน้องรองคงยากจะหลุดออกจากฝ่ามือของซือหม่าผู้นี้ไปได้กระมัง
มีบางเรื่อง ยิ่งคิดก็ยิ่งน่ากลัว… หลี่รั่วฮุ่ยเหลือบตาขึ้นมองไปทางซือหม่าสีหน้าไร้ความรู้สึกผู้นี้อีกครั้ง ทำให้นางที่มีความกล้ามาโดยตลอดเกิดความรู้สึกหวาดกลัวในใจขึ้นมาบ้าง
หลังจากขอบคุณฉู่จิ้งเฟิงแล้ว หลี่รั่วฮุ่ยทำได้เพียงรวบรวมสมาธิไปดูแลเรื่องใบสินสอดที่ได้รับมา
ฉู่จิ้งเฟิงผู้นี้เรื่องเงินทองไม่ตระหนี่แม้แต่น้อย ไม่เพียงจ่ายค่าสินค้าให้กับร้านค้าของสกุลหลี่ แต่ให้การดูแลไปถึงเรื่องใต้เท้าหลิวกรมโยธา ผ่อนกำหนดการใช้เงินก้อนนั้น สกุลหลี่ในตอนนี้เพียงแค่หมุนเงินสดไม่ทัน รอผ่านช่วงวิกฤตนี้ไปแล้ว ย่อมมีเงินมาชดเชยเงินกรมโยธาในส่วนที่ขาดไปได้ นางในฐานะคนสกุลหลี่ย่อมรู้จักสำนึกบุญคุณ แม้ฉู่จิ้งเฟิงจะอาศัยสิ่งนี้มาบังคับแต่งงานกับน้องสาว แต่อย่างไรเสียก็ได้ช่วยแก้ไขปัญหาให้สกุลหลี่ ดังนั้นหน้าตาน้องเขยสูงศักดิ์ผู้นี้จะทำลายไม่ได้
เห็นหลี่รั่วฮุ่ยไปที่ลานด้านหน้าแล้ว ฉู่จิ้งเฟิงจึงลุกขึ้นเดินไปที่สวนดอกไม้ด้านหลัง
คฤหาสน์หลังนี้เพิ่งซ่อมแซมใหม่ได้ไม่นาน ดังนั้นในสวนดอกไม้ด้านหลังจึงยังมีทรายกองอยู่จำนวนหนึ่ง เดิมทีจะขนออกไป แต่หลังจากหลี่รั่วอวี๋มาก็เล่นทรายเหล่านั้นจนติด ดังนั้นหลี่รั่วฮุ่ยจึงให้คนงานกองทรายไว้ที่นั่น อย่างไรเสียทรายนุ่มๆ ก็ดีกว่าไปข้ามกำแพงหรือปีนต้นไม้
และตอนนี้สาวน้อยผู้นี้กำลังเปลือยเท้าคู่งามอยู่ใต้แสงแดด แกว่งรองเท้าไม้เบาๆ นั่งหมดสภาพอยู่กลางผืนทรายนุ่มๆ
เจียงหนานมีฝนมาก หญิงสาวท้องถิ่นไม่เหมือนหญิงสาวแถบจงหยวนที่จะหุ้มเท้าแน่นจนเลือดลมไม่ไหลเวียน สะพานหินบนเรือมักจะมีหญิงสาวสวมถุงเท้าผ้ารองเท้าไม้ เดินส่งเสียงต๊อกแต๊กท่ามกลางสายฝนพรำ ให้ความรู้สึกดีไปอีกแบบ หากทันฤดูฝนตกหนัก หญิงสาวทำงานหนักบางคนจะไม่สวมถุงเท้าผ้า สวมแต่รองเท้าไม้ แต่ด้วยเหตุนี้ ขาจะถูกแดดเผาจนดำกร้าน ไม่นุ่มนิ่มน่ามอง
น้องชายที่ชื่นชมความงามมาจนชินพูดอย่างไม่เสียดายว่า ‘ปลากับอุ้งตีนหมีไม่อาจครอบครองได้พร้อมกัน* ธรรมเนียมการสวมเกือกไม้แม้จะดี แต่ทำร้ายเท้ามากที่สุด เท้างามของคนงามถูกเสียดสีจนด้านเสียรสชาติในการชื่นชมไปหมด’
แต่ในใจฉู่จิ้งเฟิงกลับสบถเยาะหยันคำพูดนี้ เพราะเท้างามที่สุดที่เขาเคยเห็นมาก็สวมอยู่ในรองเท้าไม้
เขาย่อตัวลง กุมข้อเท้าที่เล่นทรายของสาวน้อยไว้เบาๆ
จำได้ว่าตอนที่ได้พบนางครั้งแรก คนงามในชุดชายหนุ่มสวมชุดยาวสีดำนั่งอยู่ที่หัวเรือ ผมดำขลับสยายไปตามสายลม เท้าน้อยสวมรองเท้าไม้คู่หนึ่งเคาะพื้นเรือเป็นจังหวะ ปลายเท้าคู่นั้นยกขึ้นเล็กน้อย นิ้วเท้างดงามเปลือยอยู่ใต้แสงอาทิตย์ ยกไหสุราเล็กๆ ไหหนึ่งขึ้นดื่มกับคนงานบนเรือที่เพิ่งเสี่ยงอันตรายกลับมาอย่างสนุกสนาน
ทั้งที่เป็นหญิงอ่อนแอ ดูไม่เรียบร้อยแต่ไม่ปล่อยเนื้อปล่อยตัว ท่าทีองอาจงามสง่าแบบนั้นราวกับบัณฑิตเลื่องชื่อตรงไปตรงมาไม่ธรรมดา ทำให้เขาเลื่อนสายตาหนีไม่ได้…
และตอนนี้สาวน้อยที่เคยมีดวงตาสดใส ผิวสีแทนรวมถึงความฉลาดกล้าแกร่งผู้นั้นได้จางหายไป กลายเป็นเหมือนขนมข้าวเหนียวขาวนุ่มก้อนหนึ่ง ที่ปล่อยให้ผู้อื่นเด็ดดมโดยไม่มีการป้องกันเลย…
สิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยน นั่นคือดวงตาโตคู่นั้น ดวงตาโตคู่นั้นที่ไม่เคยมีเงาของเขาอยู่ในนั้นเลย!
คำพูดเมื่อครู่ของคุณหนูใหญ่หลี่ ‘ด้วยนิสัยน้องข้าตอนที่ยังเป็นปกติ คงไม่เหมาะจะแต่งเข้าสกุลสูงศักดิ์’ บีบหัวใจของฉู่จิ้งเฟิงจนเจ็บเหลือเกิน
เขาฟังออกถึงคำพูดที่คุณหนูใหญ่หลี่ยังพูดไม่จบ… น้องรองของนางที่มีอิสระจนชินหากไม่สมองเสื่อม ไม่มีทางเห็นพวกอ๋องโหวอย่างเขาอยู่ในสายตาเด็ดขาด…
พอคิดเช่นนี้ มือของเขาที่กุมข้อเท้าของนางก็ออกแรงบีบ ทำให้สาวน้อยพูดเสียงเบาอย่างไม่พอใจว่า “เจ็บ…”
ฉู่จิ้งเฟิงสงบสติแล้วคลายมือออก สายตามองไปที่กองทรายข้างกายแล้วถามว่า “รั่วอวี๋ทำอะไรอยู่หรือ”
หลี่รั่วอวี๋ก้มหน้าลงไม่มองเขา มือตบๆ กองทรายที่เบื้องหน้า ผ่านไปครู่ใหญ่ ตอนที่ฉู่จิ้งเฟิงคิดว่านางจะไม่ตอบคำถามแล้วนางจึงพูดอย่างอึดอัดว่า “สร้างบ้าน…ให้ท่านแม่อยู่”
ท่านแม่บอกว่าหากนางแต่งงานแล้ว นางก็จะอยู่กับท่านแม่ไม่ได้ สาเหตุคงเพราะห้องไม่พอ หากสร้างบ้าน ท่านแม่ก็ไม่จากไปแล้วใช่หรือไม่
ฉู่จิ้งเฟิงไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ นางจึงอยากสร้างบ้าน มองการกระทำที่ดูงุ่มง่ามของนาง หัวใจส่วนที่แข็งกร้าวก็อ่อนลงบ้าง “สร้างบ้านจะยากอะไร ถ้ารั่วอวี๋ชอบ สร้างเมืองให้เจ้าสักเมืองก็ยังได้”
ขณะที่พูด เขาก็เลิกแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นแขนกำยำ นั่งลงแล้วเริ่มขุดทรายก่อกำแพง
หลี่รั่วอวี๋เบิกตากลมโตมองดูมือใหญ่ของชายหนุ่มพลิกไปมาไม่หยุด ไม่นาน ปราสาททรายขนาดใหญ่ก็ค่อยๆ เป็นรูปร่าง
หลี่รั่วฮุ่ยแม้จะออกไปตรวจของที่โถงด้านหน้า แต่ในใจยังคงไม่วางใจในตัวน้องสาว ทว่าตอนนี้อยู่ในเขตพื้นที่ของเขา หากเขาไม่รักษามารยาท สกุลหลี่จะทำอะไรได้เล่า
การแต่งงานที่ต้องปีนอำนาจวาสนา ล้วนต้องรับความเสี่ยงอย่างมาก ก่อนหน้านี้สกุลหลี่กับสกุลเสิ่นเป็นดองกัน ยังพอนับได้ว่าเหมาะสม อย่างไรเสียสกุลเสิ่นแม้จะมีชื่อเสียงแต่ครอบครัวนั้นก็ต้องการเงินของสกุลหลี่มาคอยเกื้อหนุน
ทว่าสกุลฉู่เป็นถึงครอบครัวอ๋องโหวอันดับหนึ่ง มองดูข้าวของสินสอดตรงหน้า เฉพาะเรื่องเงินก็มีมากกว่าสกุลหลี่ที่เป็นพ่อค้ามาหลายรุ่น ชายหนุ่มที่มีเงินและมีอำนาจ ทำอะไรก็ได้ตามใจ ทั้งสองสกุลแตกต่างกันมาก ตอนน้องสาวเสียเปรียบ ทางบ้านก็ไม่อาจพูดจาสนับสนุนได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้น้องสาวมีสภาพเป็นเช่นนี้ ยิ่งทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวจริงๆ
เทียบจำนวนอย่างใจลอยไปรอบหนึ่ง แล้วจึงสั่งให้บ่าวไพร่เอาของจำนวนหนึ่งไปวางไว้ที่โถงด้านหน้าและในห้องของหลี่รั่วอวี๋ นางจึงได้เดินเข้าไปในสวนดอกไม้เล็กอย่างไม่รีบไม่ร้อน
ยังไม่ทันเลี้ยวเข้าลานบ้าน นางก็ได้ยินน้องสาวหัวเราะเอิ๊กอ๊าก หลี่รั่วฮุ่ยจึงมองลอดหน้าต่างฉลุบนกำแพง ก็เห็นฉู่จิ้งเฟิงกำลังเล่นทรายอยู่กับหลี่รั่วอวี๋!
ฉู่จิ้งเฟิงแม้จะมีผมขาวใบหน้าเย็นชา แต่การเล่นแบบเด็กๆ เช่นนี้ดูเหมือนจะทำได้ดีมาก ตัวเมือง อาคาร ประตู รวมถึงตลาดไม่ขาดแม้แต่อย่างเดียว ทั้งยังขุดคูเมืองไว้รอบนอกเมืองอีกด้วย
ตอนนี้ฉู่จิ้งเฟิงกำลังถือกาน้ำที่ใช้รดน้ำต้นไม้ในลานบ้าน เติมน้ำใส่ในร่องน้ำเล็กนั้นอย่างช้าๆ ไม่นานน้ำในคูน้ำก็เพิ่มขึ้น สาวน้อยด้านข้างทนรอไม่ไหววางเรือกระดาษลงใน ‘คูน้ำ’ นั้น
เมืองนี้สร้างได้สวยมาก หลี่รั่วอวี๋อิจฉามากที่มือของเขาคล่องแคล่วแบบนี้ ไม่เหมือนตนเองที่มักจะมือสั่น ทำทรายกระจายเต็มไปทั่ว
เมื่อคิดเช่นนี้ นางก็เกิดความชื่นชมขึ้นทันที ร่างนั้นค่อยๆ ขยับเข้าใกล้แขนกำยำของชายหนุ่ม จากนั้นก็ทำเหมือนแมวน้อย ใช้แก้มนุ่มนิ่มถูไถแขนของเขาที่โผล่ออกมาจากแขนเสื้อพลางเอ่ย “พี่ฉู่…”
ขนอ่อนนุ่มบนใบหน้าทำให้ชายหนุ่มคันในหัวใจ มือของชายหนุ่มหยุดลงทันใด เพราะบนมือมีทรายติด ไม่อาจไปกอดสาวน้อยที่ออดอ้อนนี้ได้ จึงใช้แขนถูไถแก้มของนาง เอ่ยพูดเสียงอ่อนโยน ไม่เหลือความเยือกเย็นตอนที่อยู่ในโถงรับแขกเมื่อครู่เลย “รั่วอวี๋เด็กดี อย่านอนหมอบบนกองทราย ตามข้าไปล้างมือ ข้าเอาแป้งม้วนกรอบมาให้เจ้าด้วย…”
ตอนที่หลี่รั่วอวี๋เผยรอยยิ้มสดใสออกมา ในดวงตาสงบนิ่งของชายหนุ่มก็เหมือนจะมีรอยยิ้มตามไปด้วยเช่นกัน ไม่รู้ด้วยเหตุใด เห็นภาพนี้แล้วหัวใจหลี่รั่วฮุ่ยกลับสงบลง น้องสาวเป็นคนน่ารักมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อก่อนฉลาดเฉลียวถูกใจคน ตอนนี้แม้จะสมองเสื่อมก็ยังอ่อนหวานน่ารักเหมือนเดิม อย่างน้อยๆ ภายหน้าถึงฉู่จิ้งเฟิงจะรับอนุ น้องสาวที่เหมือนเด็กเล็กคงไม่เกิดความอิจฉาอย่างเด็ดขาด คงไม่เหมือนนางที่อารมณ์ร้อนทำให้สามีโกรธจนมีปากเสียงกันมากมายหลายครั้ง
คิดถึงตรงนี้หลี่รั่วฮุ่ยก็ถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง เพื่อน้องสาว และเพื่อตัวนางเอง…
‘คุณหนูรองสกุลหลี่จะแต่งงานกับฉู่จิ้งเฟิงซือหม่าแห่งต้าฉู่แล้ว’ ข่าวนี้ดังระเบิดในเมืองเหลียวเฉิงทันที หลายวันนี้สิ่งที่ทุกคนพูดถึงมากที่สุดก็คือ ‘คนโง่เขลามีวาสนาของคนโง่เขลา!’
เดิมทีตกม้าจนสมองเสื่อม และยกเลิกการแต่งงานกับสกุลเสิ่น นั่นเท่ากับว่าหญิงผู้นี้หาคู่ครองได้ยากแล้ว ผู้ใดเลยจะคิดว่ากลับได้แต่งงานดีอย่างที่คิดไม่ถึง
เมืองเหลียวเฉิงเป็นสถานที่เล็กๆ เอกลักษณ์ของสถานที่เล็กๆ ก็คือทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ดูแลใบรายชื่อแขกเหรื่อ ทันใดนั้นก็พบว่าคนที่ต้องเชิญมีจำนวนมากเหลือเกิน หากไปที่เมืองซูเฉิงพร้อมกันหมด นั่งรถไม่สะดวกไม่ว่า แต่เกรงว่าคงจะเบียดเสียดจนจวนกลางสวนอันวิจิตรของท่านหญิงไหวอินระเบิดแน่นอน จวนของอ๋องโหวระดับนั้น ใช่ว่าจะให้ชาวบ้านทั่วไปเข้าออกตามใจชอบได้ ไม่เหมาะสมจริงๆ!
ตามความคิดของนาง จะจัดงานเลี้ยงขึ้นที่เมืองเหลียวเฉิงก่อน นี่ก็เป็นขั้นตอนพิธีการจัดงานของตระกูลใหญ่ในเมืองเหลียวเฉิง ดังนั้นนางจึงวางแผนตั้งแท่นแสดงละครที่หน้าศาลบรรพชนสกุลหลี่ แล้วตั้งโต๊ะจัดเลี้ยงแปดสิบแปดโต๊ะ ใช้เสียงอ่านเป็นมงคล เชิญคนมาร่วมดื่มกินกันเจ็ดแปดรอบก็คงพอสมควรแล้ว
สกุลหลี่ไม่มีญาติที่สูงศักดิ์อะไร ชาวเมืองระดับนี้จะไปดื่มสุรามงคลที่คฤหาสน์สกุลฉู่ได้อย่างไร! หากรู้ว่าตอนที่เจรจาเรื่องการแต่งงานกับคฤหาสน์สกุลเสิ่น ทางฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเสิ่นเสนอว่าให้สองสกุลจัดโต๊ะเลี้ยงกันเอง เพราะญาติของสกุลเสิ่นส่วนมากเป็นขุนนางในราชสำนัก ส่วนสกุลหลี่มีญาติส่วนใหญ่เป็นพ่อค้า ต้องรักษาหน้าตาซึ่งกันและกันไว้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ในตอนนั้นแม้จะรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็คิดว่านี่เป็นเรื่องจริง จะปล่อยให้เป็นเพราะญาติของตนเองไม่มีตำแหน่งหน้าตาใดทำให้บุตรสาวถูกหัวเราะเยาะไม่ได้ ดังนั้นจึงตกปากรับคำ
สำหรับตอนนี้ แม้จะคิดก็ยังไม่กล้าคิด ตอนนั้นพยานที่เขียนหนังสือหมั้นหมายล้วนเป็นขุนนางในราชสำนัก ถึงตอนเข้าพิธี คงมีขุนนางมีอำนาจมากมายมารวมตัวกันไม่ใช่หรือ
แต่พ่อบ้านที่ฉู่จิ้งเฟิงส่งมาแจ้งว่า การแต่งงานของสกุลหลี่เป็นเรื่องมงคล คุณหนูรองต้องปรารถนาจะให้คนทางบ้านร่วมยินดีไปกับนาง จะให้สกุลหลี่จ่ายเงินจัดโต๊ะเลี้ยงเพียงฝ่ายเดียวได้อย่างไร ซือหม่าได้ปรึกษากับท่านหญิงแล้ว จะเปิดลานด้านนอกของจวนกลางสวน แล้วตั้งแท่นแสดงละคร เชิญนักแสดงมีชื่อเสียงจากเมืองหลวงมาร้องบทละครสามวันสามคืน
สำหรับรถม้าที่มารับส่งแขกก็ให้ซือหม่าเป็นผู้รับผิดชอบ รับหน้าที่ทั้งรับและส่ง ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เพียงแค่เตรียมเทียบเชิญเท่านั้นก็พอ
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่พิถีพิถันในเรื่องพิธีรีตอง เดิมคิดว่าเอื้อมสูงไปคว้าสกุลฉู่จึงรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่ฉู่จิ้งเฟิงกลับแสดงความเป็นเขยที่ดี รักษาหน้าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ทุกอย่าง เช่นนี้จะไม่ให้นางเกิดความรู้สึกตื้นตันได้อย่างไร
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รู้สึกสบายใจขึ้น จึงคิดว่าควรจะใจกว้างสักนิด แม้โจวอี๋เหนียงจะย้ายออกไปแล้ว แต่เรื่องใหญ่ที่ตนเองจะแต่งบุตรสาวคงต้องเชิญมาร่วมงานด้วย ดังนั้นนางจึงสั่งให้พ่อบ้านเตรียมเทียบเชิญเขียนตัวอักษรสีทองส่งให้สกุลเสิ่นสองชุด ชุดหนึ่งให้โจวอี๋เหนียง อีกชุดหนึ่งให้แก่เสิ่นหรูป๋อ
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อดกลั้นอารมณ์ในใจ การกระทำของสกุลเสิ่นเลวร้ายอย่างมาก วางแผนทำร้ายบุตรสาวนางอยู่ตลอด ตอนนี้แม้ซือหม่าตำแหน่งสูงอำนาจมากผู้นี้จะไม่ใช่เขยที่ดีในใจนาง แต่ด้วยฐานะและองค์ประกอบทุกอย่างล้วนอยู่เหนือสกุลเสิ่นทั้งสิ้น
สกุลเสิ่นของเขามีความคิดหยาบช้าจะให้พี่น้องแต่งงานพร้อมกัน! คิดว่าหลี่รั่วอวี๋จะไม่มีการแต่งงานที่ดีอย่างนั้นหรือ นางต้องให้เสิ่นหรูป๋อเห็นว่าหลี่รั่วอวี๋ของนางเขาจะคู่ควรได้หรือ และต้องให้โจวอี๋เหนียงเห็นว่า เขยของอีกฝ่ายเป็นของเสียที่บุตรสาวตนเองไม่ต้องการและเหลือทิ้งให้!
นับจากตอนที่เสิ่นหรูป๋อได้รับเทียบเชิญก็ขังตนเองไว้ในห้องหนังสือ
เรื่องมาถึงขั้นนี้ เขาย่อมรู้ดีว่าตนเองลงทุนเสียเปล่าและอุ้มสมให้คนอื่นเสียแล้ว แค้นก็ตรงที่ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้เลยว่ามีเสือร้ายเช่นนี้ลอบหมายปองหลี่รั่วอวี๋ของเขาอยู่ หากรู้เช่นนี้แต่แรก…แม้จะต้องทุ่มเททุกอย่าง เขาก็จะแต่งหลี่รั่วอวี๋เข้าบ้านมาก่อน
เสิ่นหรูป๋อลอบบีบมือ พยายามบังคับให้ตนเองใจเย็นลง งานเลี้ยงมงคลสมรสครั้งนี้เขาไม่ไปไม่ได้
เพราะวันมงคลใหญ่ของซือหม่า พระมาตุลาไป๋ก็ส่งไป๋ฉวนจงบุตรชายของเขามาแสดงความยินดี ได้ยินว่าไป๋ฉวนจงยังพามือดีในเรื่องกลไกมาด้วยผู้หนึ่ง ถึงตอนนั้นจะมาร่วมแก้ไขการต่อเรือรบกับหลี่เสวียนเอ๋อร์ และพิสูจน์ว่าวิชาการต่อเรือของนางเชื่อถือได้หรือไม่
ตัวเขาใกล้จะเข้าเมืองหลวงแล้ว ขุนนางใหญ่น้อยในราชสำนักมีมากราวมด หากคิดจะโดดเด่นให้เร็วขึ้น ต้องหาที่พึ่งที่มั่นคง นี่เป็นโอกาสในการดึงคนที่ดีมาก…
ใบหน้าเหยเกของเสิ่นหรูป๋อในตอนนี้ดูแล้วน่ากลัวมาก เขารู้สึกว่าความปรารถนาที่จะปีนขึ้นตำแหน่งสูงของเขามีเพิ่มมากขึ้น มีเพียงการได้เป็นคนเหนือคนจึงจะกุมอำนาจได้ตามใจปรารถนา ถึงตอนนั้น…ถึงแม้หลี่รั่วอวี๋จะเป็นภรรยาคนอื่นแล้วอย่างไร เขาเสิ่นหรูป๋อขอสาบานว่า ต้องมีสักวันจะให้ซือหม่าผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นยกหลี่รั่วอวี๋คืนให้แก่เขา!
ในวันทำพิธี ไก่ยังไม่ทันขัน คนส่วนใหญ่ในเมืองเหลียวเฉิงก็พากันจุดตะเกียงส่องสว่าง จัดเตรียมเสื้อผ้า ทาน้ำมันผม เตรียมพร้อมจะไปร่วมงานเลี้ยง
สองวันก่อน ดอกไม้แซมผมและปิ่นปักผมในร้านขายของล้วนถูกซื้อไปหมดจนของขาด อย่างไรเสียสามารถเข้าไปในจวนกลางสวนของอ๋องโหวได้ ชาตินี้คงจะมีเพียงครั้งเดียว ย่อมต้องเตรียมตัวเป็นอย่างดีที่สุด
และด้วยสกุลหลี่ไปพูดเจรจากับทหารเฝ้าประตูเมืองไว้ ประตูเมืองจึงเปิดออกตั้งแต่เช้า รถม้าพากันเคลื่อนออกนอกเมือง ตลอดทั้งวันฝุ่นผงบนทางหลวงจากเมืองเหลียวเฉิงไปเมืองซูเฉิงฟุ้งตลบอยู่ตลอด
หลี่รั่วอวี๋ในฐานะเจ้าสาวก็ถูกดึงตัวขึ้นมาแต่เช้าตรู่ เตรียมเปิดหน้า* ทำผม
แต่ขั้นตอนการเปิดหน้านี้ทำได้ยาก หลี่รั่วอวี๋ทนความเจ็บไม่ได้แม้แต่น้อย เส้นด้ายนั้นพอมาติดที่หน้า นางก็รีบปฏิเสธ ร้องไห้ตะโกนจะหาท่านแม่
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กับหลี่รั่วฮุ่ยดูอยู่ด้านข้างจึงพูดกับสี่เหนียง** ว่า “ส่วนหน้าไม่ต้องเปิดแล้ว ทาแป้งบางๆ ก็พอ”
โชคดีที่หลี่รั่วอวี๋มีพื้นฐานผิวที่ดี บนผิวขาวใสมีขนอ่อนไม่มากราวกับไข่ไก่ที่ปอกเปลือก ดังนั้นเพียงแค่ลงแป้งบางๆ ก็ดูมีผิวพรรณดี หลังจากแต่งแต้มขี้ผึ้งน้ำกุหลาบ นางก็ดูสดใสขึ้นในทันที
หลี่รั่วฮุ่ยรู้ว่าตอนนี้น้องสาวชอบความสบาย จึงไม่กล้าหวีแต่งผมที่หนักจนเกินไป บนหัวก็สวมเครื่องประดับที่เบา ไม่สวมเครื่องทองเครื่องเงินตามประเพณีของเจ้าสาว
สี่เหนียงผู้นี้ก็มักจะแต่งตัวให้กับเจ้าสาวของขุนนางชั้นสูง ตามหลักแล้วเคยเห็นสาวงามมาไม่น้อย แต่คนที่ซือหม่าจะแต่งงานด้วยในวันนี้เป็นนางฟ้าที่เห็นได้น้อยมากจริงๆ แค่เรื่องรูปร่างหน้าตาก็เป็นหนึ่งแล้ว มิน่าเล่าซือหม่าจึงไม่ใส่ใจกับชาติกำเนิดครอบครัวพ่อค้าอันต่ำต้อยของนาง
ทว่าเจ้าสาวผู้นี้ดูโง่ทึ่มไปบ้าง กิริยาท่าทางเหมือนเด็กเล็ก แม้ดูแล้วทำให้คนอดใจไม่ได้ที่จะรักใคร่ แต่ให้ความรู้สึกประหลาดบางอย่างที่พูดไม่ถูก
สี่เหนียงเป็นยอดฝีมือในการหวีผมแต่งหน้าที่เชิญมาจากเมืองหลวง แม้จะไม่รู้เบื้องลึกของเจ้าสาวผู้นี้ ทว่าไม่กล้าไปคิดว่าคนที่ซือหม่าแต่งด้วยจะเป็นคนสมองเสื่อม แต่คิดว่าเป็นบุตรสาวที่ทางบ้านเลี้ยงอย่างดี อายุยังน้อยจึงมีความเป็นเด็กอยู่บ้าง ตอนที่รัดเอวให้อีกฝ่าย หลี่รั่วอวี๋โอดครวญว่ารัดเอวแน่นเกินไป กำลังจะบิดเอวไม่ยอม นางจึงพูดกึ่งล้อเล่นว่า “คุณหนูรอง ถ้าความลำบากแค่นี้ยังทนไม่ไหว ภายหน้าคลอดลูกจะทนผ่านพ้นไปได้อย่างไร เอวนี้รัดให้แน่นจึงจะน่าดู สูดลมหายใจนิดนึงนะเจ้าคะ”
หลี่รั่วฮุ่ยฟังแล้วก็ทุกข์ใจ พูดตามจริง นางก็กังวลว่าคืนนี้น้องสาวจะผ่านคืนแต่งงานวันแรกไปได้อย่างไร ย้อนคิดถึงตนเองในอดีต สามีเป็นคนฝึกวรยุทธ์เดิมทีก็แข็งแกร่งอยู่แล้ว กอปรกับอายุยังน้อย ยามอยู่บนเตียงราวกับหมาป่าหรือเสือร้าย เช้าวันรุ่งขึ้น นางแทบจะลุกขึ้นมายกน้ำชาให้แม่สามีไม่ไหวเลย
ซือหม่าผู้นั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ดูรูปร่างแล้วแข็งแรงกำยำกว่าสามีนางมาก น้องสาวในตอนนี้ไม่รู้อะไร เรื่องอย่างว่าย่อมไม่อาจถ่ายทอดได้ ทว่าวันนี้นางที่โง่ทึ่มเหมือนเด็กเล็กต้องไปร่วมหอคืนแรกกับชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ที่มีแรงราวหมาป่าราวเสือร้าย ต้องถูกชายหนุ่มทำให้ตกใจแน่นอน เช่นนี้จะไม่ให้ตนเองเป็นห่วงได้อย่างไร
น่าเสียดายที่ต่อให้ไม่วางใจก็จนปัญญา นี่เป็นเคราะห์ที่น้องสาวต้องรับ หวังเพียงว่าซือหม่าผู้นั้นจะสงสารน้องสาว ออมมือไว้บ้าง อย่าใจร้อนมากเกินไป…
ตลอดทั้งวันนี้หลี่รั่วอวี๋ผ่านมาอย่างงุนงง ท่านแม่กับพี่สาวกำชับว่าวันนี้เป็นวันสำคัญของนาง ผ้าแดงคลุมหน้าบนหัวห้ามดึงออกมาเอง ทั้งยังต้องเป็นเด็กดีให้คนประคองคำนับดื่มสุรา จากนั้นก็ถูกส่งตัวเข้ามาในห้องหนึ่งและนั่งอยู่บนเตียงใหญ่อันอ่อนนุ่ม
นางเชื่อฟังคำมาโดยตลอด จนกระทั่งถูกส่งไปบนเตียงใหญ่ รอจนในห้องไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวใด นางจึงแอบเปิดผ้าคลุมหน้า เห็นเพียงภายในห้องนี้ทุกที่ล้วนเป็นสีแดง งดงามอย่างมาก บนโต๊ะนั้นก็มีอาหารวางเต็มโต๊ะ หลี่รั่วอวี๋รู้สึกหิวบ้างแล้ว แต่เมื่อครู่มีคนกำชับว่าห้ามลงจากเตียงเอง นางจึงจำต้องนั่งนิ่งอยู่บนเตียง
นางหยิบถั่วลิสงที่อยู่บนเตียงขึ้นมาแกะเปลือกกิน พุทราเม็ดโตที่อยู่ใกล้ๆ นั้นก็รสชาติไม่เลว กินไปสักครู่เริ่มรู้สึกเหนื่อย จึงพลิกตัวล้มลงบนเตียงสีแดงกอดหมอนปักลายดอกไม้ที่อยู่ด้านข้างนอนหลับไป
ไม่รู้ว่านอนไปนานเท่าใด ท่ามกลางความง่วงรู้สึกเหมือนมีคนลูบหน้านางอยู่
หลี่รั่วอวี๋สะลึมสะลือลืมตาขึ้นก็พบว่าเป็น ‘พี่ฉู่’ เขาสวมชุดแดงทั้งตัวเช่นกัน กำลังนั่งอยู่ขอบเตียงมองหน้านาง มีกลิ่นสุราจางๆ ลอยมาจากตัวเขา
หลี่รั่วอวี๋หลับตาลง พลิกตัวด้วยความสบายตัว ถูไถฝ่ามือใหญ่ของเขา เตรียมตัวจะนอนต่ออีกสักครู่ แต่มือใหญ่นั่นหลังจากปัดเปลือกถั่วลิสงบนตัวนางออกแล้วกลับค่อยๆ เลื่อนลงต่ำ เริ่มมาปลดแถบรัดเสื้อของนาง
หลี่รั่วอวี๋นึกถึงคำพูดของท่านแม่จึงตื่นเต้นจนหลับตาลงทันที รวบเสื้อของตนเองไว้แน่น “อย่าถอดเสื้อผ้าของรั่วอวี๋”
ฉู่จิ้งเฟิงฟังคำพูดติดสำเนียงเด็กของนางแล้วก็อมยิ้ม จากนั้นช้อนอุ้มนางขึ้นมาและเดินมาที่ข้างโต๊ะ ยื่นจอกสุราเล็กๆ จอกหนึ่งให้นาง ก่อนจะใช้แขนคล้องกับแขนของนางพลางพูดว่า “เด็กดี ดื่มสุรานี้เสีย”
หลี่รั่วอวี๋นอนหลับจนกระหายน้ำพอดี ได้ฟังคำพูดนี้แล้วจึงดื่มสุราจนหมดจอก รสชาติของสุรานั้นหวาน มีกลิ่นผลอิงเถา หลี่รั่วอวี๋เหมือนรู้สึกติดใจ ยังอยากจะดื่มอีก ฉู่จิ้งเฟิงจึงเทให้นางจนเต็มจอก
หลังจากดื่มไปสามจอก หลี่รั่วอวี๋รู้สึกว่าไม่รู้ด้วยเหตุใด แขนขาจึงเริ่มอ่อนแรง
ฉู่จิ้งเฟิงคิดถึงเมื่อก่อนเคยเห็นหญิงผู้นี้ตั้งท่าอย่างดีดื่มสุราอยู่บนเรือ แต่มาคราวนี้กลับดูเป็นคนคออ่อนก็หัวเราะเบาๆ ออกมาหลายที ก่อนจะยื่นมือไปถอดชุดแต่งงานสีแดงของนางออก เหลือเพียงบังทรงสีแดงเพียงชิ้นเดียว อยู่ภายใต้แสงเทียน ขับผิวของสาวน้อยให้ยิ่งขาวนวลเนียน
แม้ร่างจะอ่อนระทวย แต่หลี่รั่วอวี๋ยังคงไม่ลืมคำกำชับข้างหูของมารดาจึงยื่นมือไปกระชากผมที่หลุดออกจากที่ครอบผมของเขา
เส้นผมนั้นนุ่มลื่นมาก ขยับเล่นไม่กี่ทีก็ไหลหลุดจากปลายนิ้ว หลี่รั่วอวี๋อดใจไม่ไหวอยากจะนั่งยืดตัว จะได้สอดนิ้วไปในไรผมหนาของเขา เล่นผมสีขาวเงินของเขาได้อย่างถนัดมือมากขึ้น
ชายหนุ่มดึงตัวนางขึ้นมากอดไว้ในอ้อมกอด ปล่อยให้นางเล่นผมของเขา ในตอนที่ได้กลิ่นนมจางๆ จากตัวนางก็รู้สึกว่าสุรารสเลิศที่ดื่มไปเมื่อครู่ผุดออกมาจากทุกรูขุมขน
หญิงโง่ผู้นี้จะต้องดื่มนมแพะที่ผสมผงเหอเถาหนึ่งถ้วยทุกวัน นี่เป็นสูตรพื้นบ้านในการบำรุงสมองที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไปค้นหามา ช่วงหลายวันที่อยู่ในเมืองซูเฉิงก็ดื่มไม่เคยขาด หลายวันก่อนฉู่จิ้งเฟิงเคยเห็นท่าทางตอนนางดื่มนมแพะ แค่มีนมเล็กน้อยติดก้นถ้วย แต่นางกลับแลบลิ้นออกมาเลียกินทีละนิด นมแพะนั้นติดบนริมฝีปากสีชมพู ก่อนจะถูกนางสูดเข้าปากทีละนิด…
จากนั้นสาวน้อยที่กำลังกินของบำรุงอย่างเบิกบานใจถูกดวงตาที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทำให้ตกใจจนโยนถ้วยทิ้ง…
ในตอนที่รู้สึกว่าเลือดลมทะลักขึ้นมาตรงลำคอแล้ว เขาก็กดหัวนางลงบนแผ่นอกของตนเอง
นางไม่ชอบดวงตาประหลาดของเขา ในค่ำคืนงดงามที่มีแสงเทียนแดงพลิ้วไหว เขาไม่อยากให้นางตกใจ จึงอุ้มตัวนางในท่านี้เดินไปที่เตียง แล้วปลดม่านกั้นลง บังแสงเทียนรางเลือนนั้นเอาไว้ได้
ความอดทนและการวางแผนในช่วงที่ผ่านมานี้สุดท้ายก็หว่านแหจับปลาน้อยน่ากินตัวนี้ไว้ได้ ฉู่จิ้งเฟิงหรี่ตาลงคิดว่า…นมแพะนั่นไม่ได้กินเสียเปล่าเลย บำรุงไปถึงก้อนเนื้อสองก้อนที่รัดแน่นนูนคับอยู่ใต้บังทรงอีกด้วย
คงเป็นเพราะเสื้อผ้าถูกเขาถอดออก นางรู้สึกไม่คุ้นชินทำอะไรไม่ถูก จึงคว้าผ้าห่มมงคลอยากจะเอามาคลุมตัว แต่ผ้าห่มผืนนั้นกลับถูกเขากระชากโยนไปที่ปลายเตียง
หลี่รั่วอวี๋ถูขาไปมาทำอะไรไม่ถูก เล็บเท้าที่ทาสีวาดเป็นรอยไปบนผ้าไหมแดง จากนั้นริมฝีปากแดงของนางที่เม้มแน่นก็ถูกเขาครอบครอง แม้แต่ก้อนนุ่มตรงทรวงอกของนางก็กลายเป็นของเขา
หลี่รั่วอวี๋ราวกับปลาที่ขาดน้ำ ดีดตัวสะบัดขาขัดขืนอยู่บนเตียง แต่ทำอย่างไรก็หลุดจากร่างแข็งแกร่งนี้ไม่ได้ นางรู้สึกว่าคนบนร่างนี้ไม่ใช่พี่ฉู่ที่เล่นทรายกับนางในวันนั้นอีกแล้ว แต่เป็นสัตว์ประหลาดที่มีที่มาไม่ชัดเจน เขาพ่นไอร้อนปนกลิ่นสุราจางๆ ไปตามริมฝีปากและซอกคอของนาง ส่วนสองมือแกร่งนั้นก็ลูบคลำนางอย่างไม่เกรงกลัว…
หลี่รั่วอวี๋ร้องครวญอย่างไร้ทางช่วย สุดท้ายเตะผ้าม่านด้านข้างจนแหวกออก แสงวับแวมจากเทียนแดงส่องผ่านเข้ามาทำให้เห็นดวงตาประหลาดของชายหนุ่มคู่นั้น…
นับจากไปหลบฝนที่กระท่อม ในความฝันเห็นดวงตาแดงราวเลือดนั้น หลี่รั่วอวี๋ก็ตกใจตื่นเพราะฝันร้ายต่อกันอยู่หลายวัน ในตอนนี้ด้วยฤทธิ์สุราทำให้สมองที่เดิมก็มีความคิดไม่ค่อยชัดเจนเหลือเพียงความหวาดกลัวที่อยู่ในความฝัน
ในขณะที่ชายตาแดงโน้มตัวลงมาอีกครั้ง จุมพิตรอยแผลเป็นบนสะดือของนางอย่างไม่กลัวเกรง ความหวาดกลัวที่ถูกมีดแทงมาอุดอยู่ที่คอหอยของนาง นางจึงร้องไห้ตะโกนอย่างเจ็บปวดออกมา
เสียงตะโกนสุดเสียงนี้ ในที่สุดก็ทำให้ชายหนุ่มที่จมอยู่ในแรงปรารถนาตกใจได้สติคืนมา ตอนเขาเงยหน้าขึ้นจึงพบว่าใบหน้าของนางราวกับกระดาษขาว นางจ้องตรงมาในดวงตาของเขา ริมฝีปากสั่นเทาที่มีสีชาดหลงเหลืออยู่ดูน่าสงสารยิ่ง
ฉู่จิ้งเฟิงรีบดึงม่านปิดสนิท กำหมัดแน่น พยายามควบคุมเลือดร้อนที่คุกรุ่นในกาย วันนี้ได้อุ้มสาวงามกลับมา กอปรกับดื่มสุราร่วมกับแขกเหรื่อจึงได้ลืมตัวไปชั่วขณะ ลืมไปว่านางในตอนนี้มีความคิดเหมือนเด็ก ต้องใช้ไฟอ่อนตุ๋นช้าๆ เลาะเนื้อกินเข้าท้องทีละนิด เมื่อครู่รีบร้อนเกินไป ท่าทางการเขมือบกินจึงทำให้คนโง่ผู้นี้ตกใจ…
ฉู่จิ้งเฟิงฉายความเสียใจออกมา ถ้าเมื่อครู่มอมสุรามากอีกนิดก็คงดี น่าเสียดายที่เทียนในคืนมงคลนี้ไม่อาจดับมันได้…
ความคิดทุกอย่างในใจเขาสุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้แก่เสียงร้องครวญของสาวน้อยผู้นี้
เพราะซือหม่ามีชื่อในเรื่องความเย็นชานิสัยประหลาด แม้จะเป็นวันมงคลคืนแต่งงานก็ไม่มีผู้ใดกล้าหาเรื่องใส่ตัวมาป่วนห้องหอ ดังนั้นเรือนที่ใช้เป็นห้องหอโดยเฉพาะจึงเงียบสงบ เสียงดื่มสุรามีความสุขของแขกเหรื่อเหล่านั้นก็ดังมาไม่ถึงในเรือนนี้
แต่ด้วยความสงบเงียบนี้เสียงร้องสะเปะสะปะของหลี่รั่วอวี๋จึงดังไปทั่วทั้งเรือนในทันที เหล่าบ่าวหญิงอาวุโสและนางกำนัลที่เฝ้าเวรในเรือนต่างมองหน้ากัน แม้จะไม่กล้าพูดอะไร แต่บ่าวหญิงอาวุโสที่อยู่ปรนนิบัติในเรือนชั้นในมานาน สิ่งที่เกิดขึ้นในสมองคือวิธีการของพวกบุรุษชั้นสูงใช้หยอกเย้าทรมานหญิงสาวที่เคยได้ยินได้ฟังมา
เมื่อครู่ตอนพวกนางปรนนิบัติระหว่างดื่มสุรามงคลในงานก็ลอบชำเลืองมอง มองจากรูปลักษณ์ของเจ้าสาว เพราะใบหน้าขนาดเล็ก จึงดูเหมือนสาวน้อยอายุสิบสามสิบสี่ปี ผิวเนียนนุ่มราวกับสามารถรีดน้ำออกมาได้ ดูแววตาไม่รู้จักโลกนั้นแล้ว คงเป็นคุณหนูที่ถูกฟูมฟักไว้อย่างดีในบ้าน
ซือหม่าเอาวิธีการฆ่าคนหักแขนบนสนามรบมาใช้ในห้องหอ ไม่มีความสงสารเจ้าสาวผู้อ่อนแอนี้เลยหรือ ต้องเจ็บถึงเพียงใด จึงได้ร้องจนใจแทบขาดเช่นนี้ออกมาได้
หล่งเซียงที่ติดตามคุณหนูมายิ่งไม่ต้องพูดถึง สองตามีน้ำตาไหลไม่หยุด ร้องอย่างเศร้าใจ “คุณหนูรอง…” หากไม่ใช่บ่าวหญิงอาวุโสข้างกายมือไวคว้าไว้ นางคงบุกเข้าห้องหอไปโดยไม่สนใจอะไรแล้ว
ฉู่จิ้งเฟิงในยามนี้ตัวเหมือนอยู่สมรภูมิแนวหน้า แต่สองหูถูกเสียงปีศาจนี้กระแทกดังอื้ออึง นึกอยากจะบีบคอนางให้ตายขึ้นมา
โชคดีที่เขาเคยได้สัมผัสประสบการณ์จากการคุมตัวนางที่ที่พักรับรอง… หากหลี่รั่วอวี๋อยากร้องไห้ ต้องให้นางร้องไห้สักพัก รอให้ร้องจนหมดแรงแล้ว ค่อยคิดวิธีเบี่ยงเบนความสนใจของนาง
ดังนั้นภายใต้เสียงร้องไห้สะเทือนฟ้าดินของนาง ฉู่จิ้งเฟิงจึงพลิกตัวลงจากเตียงอย่างสงบนิ่ง หยิบกาน้ำชาขึ้นมากรอกปากดื่มอย่างรวดเร็วกว่าครึ่งกา แล้วนั่งหลับตาพักสมองอยู่บนเก้าอี้ จากนั้นเดินไปที่หน้ากระจก ส่องดูเห็นตาของตนเองกลับเป็นปกติแล้ว จึงได้ขมวดคิ้วดึงผ้าขาวที่พาดขอบอ่างทองแดงบนชั้นไม้จันทน์แดงมา ชุบน้ำล้างหน้าที่ผสมสุราผลซิ่งในอ่างทองแดงแล้วบิดแห้ง ก่อนจะเดินมาที่เตียง พลิกเปิดม่าน แล้วดึงตัวคนที่น้ำตานองหน้าขึ้นมาเช็ดหน้าให้นางค่อนข้างแรง ปากก็พูดเสียงแข็งว่า “พอแล้ว ร้องไม่กี่ทีก็พอแล้ว ถ้ายังร้องอีกจะโยนเจ้าไปที่ชายป่า…”
หลี่รั่วอวี๋แท้จริงแล้วก็ร้องไปพอสมควรแล้ว ตอนเย็นนางกินเพียงแค่ถั่วลิสงกับพุทราเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นเลย ตอนนี้เสียงท้องร้องจึงดังขึ้น
ตอนที่ฉู่จิ้งเฟิงดึงตัวนางขึ้นมา นางก็รู้สึกรางๆ ว่าพี่ฉู่ที่เป็นมิตรผู้นั้นกลับมาอีกครั้งแล้ว แต่ในตอนนี้นางหยุดเสียงร้องไห้ไม่ได้ แม้นางจะยังสะอื้นอยู่ ทว่าในใจกำลังตั้งใจคิดว่าอีกครู่จะกินขนมบนโต๊ะนั้นให้หมด
แต่คิดไม่ถึงว่าเขากลับตำหนินางอย่างอารมณ์เสีย ทั้งยังบอกว่าจะโยนนางออกไปด้วย นางจึงเดินพลังไปที่ท้องน้อย แล้วจงใจร้องเสียงดังออกมาอย่างไม่ยอมแพ้อีกครั้ง
น่าเสียดายเสียงร้องของนางนี้ดังออกไปฝุ่นยังไม่ทันตกดินก็ได้ยินเสียงตะโกนโศกเศร้าของหล่งเซียงบ่าวผู้ซื่อสัตย์ดังลอยมาจากนอกเรือน “คุณหนูรอง…” จากนั้นก็เป็นเสียงฉุดกระชากของนางกำนัลและบ่าวหญิงอาวุโส
คราวนี้ทำให้เสียงที่เหลือในลำคอถูกกลืนลงไป นางนึกขึ้นได้รางๆ ว่าท่านแม่กับพี่สาวเคยพูดว่า วันนี้ต้องเชื่อฟังพี่ฉู่ สตรีทุกคนล้วนต้องผ่านด่านนี้ ทนสักนิดก็ผ่านไปแล้ว ถึงแม้นางไม่รู้ว่าท่านแม่จะให้นางทนอะไร แต่เรื่องท้องหิวนี้ทนไม่ได้เด็ดขาด
ดังนั้นเพื่อไม่ให้เขาฟ้องท่านแม่ นางจึงพยายามกลั้นสะอื้นและพูดเสียงเบาว่า “รั่วอวี๋จะกิน…ขนมพุทรากวน…”
ฉู่จิ้งเฟิงจ้องนางอย่างเย็นชา แต่ท่าทางเย็นชากลับสลายหายไปกับปลายจมูกแดงๆ ขอบตาแดงๆ ที่น่าสงสารนั้น
“ขนมพุทรากวนหวานเกินไป กินก่อนนอนไม่ดี ให้บ่าวเอาข้าวต้มกับเกี๊ยวมาให้เจ้ากินดีหรือไม่”
เขาสวมเสื้อคลุมสีแดงสดให้นาง แล้วสั่งนางกำนัลยกอาหารเข้ามา ข้าวต้มเม็ดบัวอุ่นอยู่บนเตาถ่าน เกี๊ยวก็เตรียมเอาไว้เพื่อให้คู่สามีภรรยาใหม่ ‘มีลูกเร็วๆ’
หลี่รั่วอวี๋หิวมากจริงๆ นางกินข้าวต้มหมดไปสองชามเล็ก เพราะยังถือตะเกียบไม่คล่อง จึงกินเกี๊ยวไส้หมูผสมกุ้งรสเลิศหนึ่งจานเล็กด้วยความช่วยเหลือของฉู่จิ้งเฟิง
ระหว่างกินเพราะเกิดความรู้สึกผิด จึงตั้งใจเอามือหยิบเกี๊ยวตัวหนึ่งไปที่ปากของพี่ฉู่ที่ดูไม่ค่อยเบิกบานใจ
รอนางกินเสร็จแล้ว เหล่านางกำนัลก็ยกน้ำร้อนเข้ามาเช็ดล้างให้สามีภรรยาคู่ใหม่
ตอนอยู่นอกห้อง เหล่านางกำนัลคิดว่าเจ้าสาวผู้นี้คงถูกซือหม่าลงมือรุนแรงจนลุกไม่ขึ้น แต่พอเข้ามาในห้องกลับพบว่า ฮูหยินน้อยผู้นี้ยังคงสดชื่นมีชีวิตชีวา นั่งกินอยู่ข้างโต๊ะอาหารอย่างมีความสุข แต่การกินนั้นน่าตกใจอยู่บ้าง เพราะเกี๊ยวน้ำลื่นเกินไปจึงไม่ใช้ตะเกียบ แต่ใช้มือหยิบเสียเลย จากนั้นยังยื่นไปที่ปากของซือหม่าอีกด้วย
การตอบสนองของซือหม่าก็ทำให้เหล่านางกำนัลมองตะลึง เขากินเกี๊ยวจากมือเล็กเปื้อนน้ำมันนั้น ซ้ำยังดูดนิ้วเล็กมันเยิ้มนั้นทีละนิ้วอีก ทำให้ฮูหยินน้อยหัวเราะเอิ๊กอ๊าก…
รอจนกินเสร็จเข้านอนแล้ว หลี่รั่วอวี๋จึงพบว่าพี่ฉู่ไม่มีทีท่าว่าจะออกไป ทั้งยังจะนอนบนเตียงเดียวกับตนเองอีก
คิดถึงท่าทางของเขาเมื่อครู่ หลี่รั่วอวี๋ก็อดลังเลใจไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ถูกฉู่จิ้งเฟิงอุ้มขึ้นมาวางลงบนเตียงจนได้
เห็นฉู่จิ้งเฟิงไม่คิดจะถอดเสื้อผ้าบนตัวนางอีก หลี่รั่วอวี๋จึงวางใจลง มุดเข้าไปในผ้าห่ม ไม่นานก็โผล่หน้าออกมาครึ่งหน้า กลอกดวงตาโตแล้วถามว่า “พี่ฉู่ อีกครู่…อีกครู่รั่วอวี๋หลับแล้ว พี่…จะดูดนมรั่วอวี๋อีกหรือไม่”
ภายในความมืดตอนปล่อยม่านลง สามารถได้ยินเสียงสูดลมหายใจยาวของชายหนุ่มได้ “ไม่แล้ว คนดี รีบนอนเสีย”
“มีเพียงคนเป็นแม่จึงจะสามารถให้นมได้ พี่ฉู่ทำไมไม่…ไม่ไปหาท่านแม่ของตัวเองล่ะ”
“…เพราะท่านแม่ข้าตายไปแล้ว” ฉู่จิ้งเฟิงรู้สึกว่าตนเองคงกลายเป็นเทพเซียนแล้ว จึงสามารถพูดคุยเรื่องไร้สาระแบบนี้ได้อย่างสงบนิ่ง
หลี่รั่วอวี๋ฟังถึงตรงนี้ก็เข้าใจทันที ความโมโหในใจเมื่อครู่หายไปจนสิ้น คิดอย่างเห็นใจว่า ที่แท้พี่ฉู่ไม่มีท่านแม่ มิน่าเล่า…
แต่เมื่อครู่นางถูกดูดเจ็บเหลือเกิน ตอนนี้เสียดสีกับเนื้อผ้ายังรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเลย ดังนั้นนางจึงจับคอเสื้ออย่างระวังแล้วพูดต่อไปว่า “แต่รั่วอวี๋ตอนนี้ไม่มีน้ำนม วันหน้ามีลูกแล้วจึงจะมี ถึงตอนนั้น…ค่อยให้นมพี่ดีหรือไม่”
ฉู่จิ้งเฟิงหรี่ตาทั้งคู่ลง มองขึ้นไปด้านบนอย่างตั้งใจพลางพูดเสียงเครียด “หลี่รั่วอวี๋ ถ้าเจ้ายังไม่ยอมนอน อย่ามาโทษว่าข้าจะทำอะไรเจ้าอีกนะ”
หลี่รั่วอวี๋กลัวฉู่จิ้งเฟิงจะทำอะไรนาง ดังนั้นจึงรีบพลิกตัว เอาผ้าห่มห่อตัวไว้แน่น ขยับห่างจากเขาไกลสักหน่อย จากนั้นก็จมเข้าสู่ความฝันอันแสนหวานอย่างไร้ความกังวล
วันต่อมา หลี่รั่วอวี๋ตื่นแต่เช้า แต่ฉู่จิ้งเฟิงกลับนอนหลับสนิท ท่าทางเหมือนนอนดึกเกินไป ท่อนแขนเหล็กคู่นั้นราวกับผ้ารัดนางไว้แน่น ทำให้นางลุกขึ้นไม่ได้ จำต้องนอนเล่นนิ้วมือของตนเองแต่โดยดี
จากนั้นก็มาเล่นผมนุ่มลื่นของฉู่จิ้งเฟิง ผ่านไปนานกว่าเขาจะตื่น แต่ยังไม่รีบร้อนลุกขึ้น ต้องกอดนางกินปากเล็กและลิ้นก่อน
ภรรยาใหม่ต้องไปคารวะพ่อแม่สามี หลี่รั่วอวี๋ไม่ต้องทำสิ่งเหล่านี้ แต่พี่คนโตก็เปรียบเสมือนมารดา และยังต้องไปยกน้ำชาให้ท่านหญิงไหวอิน
หล่งเซียงตอนเช้าเห็นคุณหนูของตนอยู่ดีมีสุขนั่งดื่มนมแพะอยู่ที่โต๊ะอาหาร หัวใจที่ลอยสูงก็วางลงได้เสียที
หลังเสียงเรียกเศร้าโศกของนางเมื่อคืน นางก็ถูกพ่อบ้านในเรือนกลางสวนตำหนิยกใหญ่ ทว่านางเป็นสาวใช้ติดตามฮูหยินซือหม่ามาจึงไม่ถูกลงโทษหนัก แต่ด้วยหล่งเซียงรู้ว่าที่นี่ไม่ใช่คฤหาสน์สกุลหลี่ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎระเบียบในจวนโหว นางคิดพลางหวีผมแต่งหน้าให้คุณหนูอย่างคล่องแคล่ว
เพราะแต่งงานแล้ว จึงไม่อาจหวีผมทรงสาวน้อยได้ หล่งเซียงจึงเกล้าผมสูงให้คุณหนู แล้วคาดแถบผ้าปักไข่มุกทับทิมแดงที่หน้าผากทำให้ดูเหมือนหญิงที่แต่งงานแล้วขึ้นหลายส่วน
หลี่รั่วอวี๋เปลี่ยนมาสวมชุดกระโปรงยาวสีดอกท้อแล้ว หล่งเซียงก็มองสำรวจทั่วตัวอีกฝ่าย
ช่างงดงามจริงๆ ถ้าไม่พูด ผู้ใดก็ดูข้อเสียของคุณหนูไม่ออก
ตอนฉู่จิ้งเฟิงพาหลี่รั่วอวี๋ไปยกน้ำชาให้ท่านหญิงไหวอิน ท่านหญิงก็มองฮูหยินคนใหม่ผู้นี้อย่างพอใจ ก่อนจะมอบกำไลทองฝังหยกรูปวิหคชาดตามตะวันที่วังหลวงส่งมาให้
คังติ้งอ๋องเห็นหน้าพี่สะใภ้ผู้นี้เป็นครั้งแรก แม้ว่าเขาจะได้ยินพี่สาวพูดถึงพี่สะใภ้ผู้นี้ว่าเพราะอุบัติเหตุทำให้สมองเสื่อมไปบ้าง แต่เมื่อได้เห็นหน้าก็คิดว่ารูปร่างหน้าตาราวนางฟ้านางสวรรค์เช่นนี้ ถึงสมองเสื่อมแล้วอย่างไร ก็ยังดึงดูดชายหนุ่มให้หลงใหลได้ มิน่าเล่าพี่ชายจึงได้ใจร้อน ต้องการสาวงามมาครอบครองให้ได้
เขาจึงยืนข้างๆ พูดด้วยรอยยิ้ม “ซีจือคารวะพี่สะใภ้”
หลี่รั่วอวี๋เพียงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วขยับไปหลบด้านหลังฉู่จิ้งเฟิง
คนที่นี่ นางไม่รู้จักผู้ใดสักคน หญิงในชุดหรูหราผู้นั้นก็เคยเห็นที่บ้านเพียงครั้งเดียว นางนึกอยากจะกลับบ้าน อยากอยู่กับท่านแม่และน้องชาย ในตอนนี้นางแนบติดแผ่นหลังแข็งแกร่งของฉู่จิ้งเฟิงแล้วถูไถไปมา
ท่าทางเหมือนเด็กผู้หญิงเช่นนี้ จ้าวซีจือมองตะลึงไปเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาไม่เชื่อว่าสาวงามเช่นนี้จะกลายเป็นคนสมองเสื่อม ตอนนี้เห็นทีไม่ใช่เรื่องโกหก จะว่าไปแล้วพี่ชายก็ขาดการไตร่ตรองที่ดี เขาเป็นถึงซือหม่าแห่งต้าฉู่ หากเพียงแค่หลงใหลความงาม รับเข้ามาเป็นอนุก็พอแล้ว เหตุใดต้องรับเป็นภรรยาเอกด้วย แม้จะพูดว่าหากภายหน้าคิดจะหย่าภรรยา ขุนนางเก่าแก่ในราชสำนักเหล่านั้นคงไม่กล้ายั่วโมโหซือหม่าผีเห็นยังหวั่นผู้นี้ ถึงกระนั้นก็ยังพูดง่ายแต่ไม่น่าฟังไม่ใช่หรือ
บทที่แปด
ฉู่จิ้งเฟิงดูออกถึงความอึดอัดของหลี่รั่วอวี๋ ดังนั้นจึงดึงมือนางเบาๆ พลางเอ่ยเรียกหล่งเซียงนำบ่าวหญิงอาวุโสสองคนพาหลี่รั่วอวี๋ไปเล่นที่สวนดอกไม้
ตอนนี้งานเลี้ยงที่อยู่นอกเรือนยังไม่เลิก แต่ในเรือนกลับยังคงเงียบสงบมาก
หลังจากหลี่รั่วอวี๋ออกไปแล้ว ท่านหญิงไหวอินจึงพูดคุยเรื่องสำคัญกับน้องชาย “ไป๋ฉวนจงบุตรชายคนโตของพระมาตุลาไป๋มาที่เมืองซูเฉิงด้วยตัวเอง จะชักช้าไม่ได้ ข้าจัดให้เขาพักอยู่ในจวนนี้ชั่วคราว ครั้งนี้นอกจากเขาจะมาอวยพรแล้ว ยังตั้งใจพายอดฝีมือทางกลไกมาด้วยหนึ่งคน ชื่อเมิ่งเชียนจี เมื่อวานได้ยินคุณชายไป๋พูดว่า เขาใช้เวลาสามปีตั้งใจทำกลไกป้องกันเมืองขึ้นมาชุดหนึ่ง กลไกชุดนี้นับว่าสะดวก สามารถติดตั้งไว้บนกำแพงเมือง และสามารถติดตั้งไว้บนเรือรบได้ ดังนั้นคุณชายไป๋ให้เขามาทำการแสดงในงานเรือเมืองเหลียวเฉิงเดือนหน้า ถ้ารับการทดสอบจากยอดฝีมือทั่วทิศได้ ก็เตรียมจะสั่งกองสรรพาวุธให้เร่งทำการผลิต”
ฉู่จิ้งเฟิงได้ฟังก็แค่นเสียงหัวเราะเย็นชา “พระมาตุลาไป๋ทำเพื่อขอคำชี้แนะและทดสอบเสียที่ใด นี่เป็นการแสดงความสามารถของเขาให้ข้าเห็น! ตอนนี้หยวนซู่ยังสงบชั่วคราว เขาจึงสงสัยว่าข้าจะขยายขอบเขต นอกจากยึดหลายเมืองจากมือหยวนซู่ไป ยังโพนทะนาว่าแม่ทัพหลายท่านจากกรมทหารเพิ่มกองทหารรอบเมืองโม่เหอ ตอนนี้มาทำเรื่องเช่นนี้ แค่ต้องการเอาชนะโดยไม่ต้องรบเท่านั้นเอง…”
คังติ้งอ๋องพยักหน้า ใบหน้าขี้เล่นฉายความเคร่งขรึมที่ยากนักจะได้เห็น “แต่เมิ่งเชียนจีนั่นเป็นคนเก่งผู้หนึ่ง เมื่อวานข้าเห็นกระบะทรายที่เขาสร้างในสวนดอกไม้ เมืองเล็กๆ ถูกล้อมแน่นจนไม่มีอากาศถ่ายเท แต่ไม่ว่าทหารในเมืองจะโจมตีอย่างไร กลไกอาวุธบนกำแพงเมืองก็สามารถป้องกันได้อย่างดี ช่าง…ยอดเยี่ยมมากจริงๆ”
ได้ฟังคังติ้งอ๋องพูดเช่นนี้ ฉู่จิ้งเฟิงก็รู้สึกสนใจ อยากเห็นฝีมือวิธีการของเมิ่งเชียนจีผู้นี้เสียแล้ว
แท้จริงแล้วเมิ่งเชียนจีผู้นี้เขาเคยได้ยินชื่อมาก่อนแล้ว อาจารย์มือภูตเป็นอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาให้เขา ซึ่งพูดได้ว่ามีชื่อเสียงเทียบเท่าหลี่รั่วอวี๋ก่อนที่จะป่วย เพียงแต่เขาเป็นคนทั้งดีและเลว นิสัยทำอะไรตามใจชอบ แต่ไม่ใช่คนที่อาศัยอำนาจวาสนา หลายครั้งถูกราชสำนักเรียกตัวแต่ก็ปฏิเสธ ครั้งนี้เหตุใดกลับมาทำงานให้พระมาตุลาไป๋เล่า
ในตอนที่ฉู่จิ้งเฟิงกำลังครุ่นคิดอยู่นี้ก็เห็นพ่อบ้านวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าร้อนรน หลังจากคำนับบรรดาผู้เป็นนายแล้วก็มองสีหน้าฉู่จิ้งเฟิงอย่างระวังตัวแล้วจึงพูดเสียงเบาว่า “ท่านหญิง สวน…สวนดอกไม้ด้านหลังวุ่นวายใหญ่แล้ว…”
ท่านหญิงไหวอินเลิกคิ้วพลางเอ่ยถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
พ่อบ้านพูดด้วยสีหน้าอมทุกข์ “กระบะทรายของแขกที่คุณชายไป๋พามาด้วยวางไว้ในสวนดอกไม้และไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ แต่ว่า…แต่ว่าตอนนี้กระบะทรายนั่นถูกฮูหยินซือหม่าทำ… ทำ…”
พูดถึงตรงนี้ท่านหญิงไหวอินก็เข้าใจทันที กระบะทรายนั่นทำเลียนแบบของจริง ฝีมือประณีตมาก แต่เพราะมีขนาดใหญ่เกินไป ไม่พอเก็บไว้ในห้อง จึงเอาไปวางในสวนดอกไม้ด้านหลังและสร้างเพิงกำบัง ให้องครักษ์ที่คุณชายไป๋นำมาเป็นคนเฝ้าดูแล คงเป็นหลี่รั่วอวี๋หญิงสมองเสื่อมนั่นเห็นว่าน่าสนุก จึงอาศัยช่วงคนไม่ทันระวังเข้าไปเล่น ทำเสียหายไปก็เป็นได้
“ตรงไหนเสียหาย ซ่อมให้เหมือนเดิมก็พอ นางแค่สตรีผู้หนึ่งจะมีแรงอะไรมากมาย” ท่านหญิงไหวอินกล่าว
พ่อบ้านเองได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจมาก ละล่ำละลักพูดว่า “เรียนท่านหญิง ไม่ใช่ฮูหยินซือหม่าทำเสียหาย แต่ฮูหยินซือหม่าพูดกับกระบะทรายนั้นประโยคหนึ่ง แขกผู้นั้นก็ตาแข็งราวกับคลุ้มคลั่ง หยิบเอาพลั่วเหล็กขุดดิน มาพังกระบะทรายจนเละเทะ!”
ท่านหญิงไหวอินในตอนนี้ก็ตกใจมากเช่นกัน กระบะทรายนั้นใช้เวลาสองปีกว่าจะสร้างเสร็จ หญิงสมองเสื่อมผู้นั้นพูดอะไร จึงทำให้เมิ่งเชียนจีคลุ้มคลั่งถึงเพียงนี้
ในตอนนี้เอง ฉู่จิ้งเฟิงลุกขึ้นก้าวเร็วๆ ไปที่สวนดอกไม้ด้านหลัง
อันที่จริงหากจะพูดไปแล้ว เรื่องที่หลี่รั่วอวี๋ก่อไว้วันนี้ยังต้องโทษไปถึงฉู่จิ้งเฟิง
วันก่อนตอนเล่นกองทราย สุดท้ายฉู่จิ้งเฟิงก็ถูกหลี่รั่วอวี๋สะกิดนิสัยความเป็นเด็กออกมา หยิบลำไผ่ที่ใช้ลำเลียงน้ำมารดดอกไม้ในสวนดอกไม้กรอกน้ำไปที่คูเมือง ทำให้น้ำเต็มคูเร็วขึ้น แล้วเลียนเสียงของกวนอวี่ในบทละคร ‘น้ำท่วมเจ็ดทัพ*’ ร้องออกมาว่า ‘ปลาติดอวน จะอยู่ได้นานหรือ’
เสียงร้องประโยคนี้ของฉู่จิ้งเฟิงเรียกได้ว่าหนักแน่นมาก กอปรกับตัวเขาเองเป็นแม่ทัพบู๊ ทำให้ดูสง่าอย่างยิ่ง ราวกับเป็นผู้สั่งให้สามทัพทดน้ำไปจมกองทัพของเฉาเชา จับเป็นอวี๋จินกับผางเต๋อ
หลี่รั่วอวี๋ถูกความสง่าของฉู่จิ้งเฟิงทำให้หลงใหล รู้สึกว่าพี่ฉู่ร้องประโยคนี้ได้ไม่เลว จึงฝึกร้องตามไปด้วย ฝึกไปฝึกมาก็ชำนาญ แม้แต่คำว่า ‘นาน’ ก็ลากเสียงได้เหมือนนักแสดงละครชื่อดังอยู่หลายส่วน
วันนี้ตอนนางเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้ของท่านหญิงไหวอิน เดิมทีรู้สึกอึดอัด แต่เดินไปไม่กี่ก้าวก็เห็นกระบะทรายที่สร้างเมืองสมจริงกระบะหนึ่งวางอยู่บนพื้นผ่านรั้วกั้น
กระบะทรายนี้เหมือนกว่าของที่พี่ฉู่สร้าง ดวงตาของนางเปล่งประกายในทันที จึงกระโจนเข้าไปเล่น แต่ในลานเล็กที่วางกระบะทรายกลับมีองครักษ์ถือดาบเฝ้าอยู่ แม้หล่งเซียงจะแจ้งว่านี่คือฮูหยินคนใหม่ของซือหม่าก็ไม่ยอมให้เข้า
แต่แค่องครักษ์ไม่กี่คนจะทำอะไรหลี่รั่วอวี๋ได้หรือ นางเหลือบเห็นกระบอกไม้ไผ่ที่ใช้ลำเลียงน้ำข้างสวนดอกไม้จึงหยิบมาเตรียมจะเทไปที่กระบะทรายนั่น
องครักษ์หลายคนนั้นคิดไม่ถึงว่าฮูหยินน้อยสวมชุดหรูหราผู้นี้จะทำอะไรบ้าคลั่งเช่นนี้ จึงรีบกระโจนเข้ามาใช้ตัวขวางน้ำที่พุ่งมา
ในตอนนี้เองเมิ่งเชียนจีก็มาถึงกลางลาน เห็นหลี่รั่วอวี๋ก็จำได้ว่าเป็นคนเคยรู้จัก เขากับสตรีผู้เป็นเจ้าแห่งการต่อเรือผู้นี้ไม่ถูกชะตากัน ทำงานด้านเดียวกันแต่กลับเป็นอริกัน
แม้เขาจะตามไป๋ฉวนจงมา แต่เพราะนิสัยรักสันโดษไม่ชอบเกี่ยวข้องกับผู้ใด คนที่ซือหม่าแต่งด้วยจะเป็นธิดาสกุลใดไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย เขาสนใจเพียงวิชากลไก และไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับหลี่รั่วอวี๋เมื่อสองเดือนก่อนด้วย
จู่ๆ ก็ได้เจอคนรู้จัก เขาคิดเพียงว่าหญิงสาวเจ้าเล่ห์ผู้นี้อิจฉากลไกยอดเยี่ยมของเขา คิดจะสาดน้ำทำลาย จึงพูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ไม่ทราบว่าคุณหนูรองมีคำชี้แนะอะไร เหตุใดไม่ทันพูดจาก็จะเอาน้ำมาสาดแล้ว”
หลี่รั่วอวี๋ช้อนตาขึ้นมอง เห็นเพียงบัณฑิตหน้าขาวหล่อเหลาสุภาพผู้หนึ่งยืนอยู่ในสวนดอกไม้ ปลายคางที่เชิดขึ้นเล็กน้อยฉายความเป็นศัตรูที่อธิบายได้ไม่ชัดเจน
หลี่รั่วอวี๋แม้จะจำเขาไม่ได้ แต่กำลังรอจะถาม ก็ถือกระบอกไม้ไผ่เบี่ยงหลบ แล้วปล่อยน้ำไหลเข้าไปในกระบะทราย ขณะเดียวกันก็เลียนแบบท่าทางฉู่จิ้งเฟิง จงใจร้องเพลงเสียงเข้ม “ปลาติดอวน จะอยู่ได้นานหรือ…”
คนข้างกายล้วนรู้ว่าหญิงผู้นี้อาการกำเริบแล้ว หล่งเซียงกลัวว่านางจะก่อเรื่อง จึงรีบแย่งกระบอกไม้ไผ่จากมือนางแล้วพูดกล่อมเสียงเบา
แต่คำพูดลอยๆ นี้เข้าหูเมิ่งเชียนจีแล้วความหมายก็แตกต่างไป ในอดีตเขาได้รับการถ่ายทอดจากอาจารย์มือภูต ตอนเรียนสำเร็จอายุเพียงยี่สิบปี เขาอายุน้อยมีความมุ่งมั่นมาก กำลังจะยืดแขนขา แต่ผู้ใดจะคิดว่า กลับต้องมาเจอประสบการณ์โจวอวี๋พ่ายแพ้จูเก่อเลี่ยง* เมื่อได้พบกับศัตรูที่ฝีมือทัดเทียมกัน หลี่รั่วอวี๋ยอดฝีมืออายุน้อยเช่นเดียวกัน ในตอนนั้นเขาพ่ายแพ้ขายหน้าให้กับคุณหนูรองหลี่ จึงรีบกลับสำนักเพียรพยายามมากขึ้น เก็บตัวอยู่บนเขาหลายปี ที่ยอมมาอยู่ใต้อาณัติของพระมาตุลาไป๋ เพราะได้ยินว่าหลี่รั่วอวี๋จะต่อเรือให้กรมโยธา เขาจึงตั้งใจมอบกลไกที่ตนเองตั้งใจคิดค้นมาสามปี ใช้โอกาสนี้เปรียบเทียบฝีมือกับหลี่รั่วอวี๋
คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกันในจวนกลางสวนของท่านหญิงไหวอินนี้ สิ่งที่มาเข้าหูก็เป็นคำพูดลอยๆ ไม่เกี่ยวข้องกัน หากเป็นคนทั่วไปก็แล้วไป แต่คุณชายเมิ่งผู้นี้ไม่ใช่คนทั่วไป เขายืนนิ่ง จดจ้องและครุ่นคิดความหมายในคำพูดของนาง
พอใช้กำลังก็รุนแรงเกินไป ในอดีตเขาถูกหลี่รั่วอวี๋ประชดประชันว่าเป็นเพียงการวางแผนรบบนกระดาษ กลไกแม้จะดีแต่ใช้ไม่ได้จริง ตอนนี้ถูกนางใช้น้ำสาด เห็นกลไกคุ้มกันเมืองมีน้ำหยดติ๋งๆ น้ำมันหล่อลื่นถูกชะล้างไปไม่น้อย…
เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็รู้ว่าเมืองที่ต้องคุ้มกันอยู่ทางเหนือ พื้นที่นั้นถึงเดือนแปดแล้วก็จะเต็มไปด้วยหิมะ แม้กลไกนี้จะดีแต่ไม่ทนน้ำไม่ทนเย็น หากถูกน้ำที่ละลายจากหิมะก็จะจับตัวแข็งทันที แม้จะใช้ไฟลนก็เหมือนเป็นการเพิ่มภาระไม่มีประโยชน์ใด…
ถึงตอนนั้นไม่เท่ากับเหมือนเพลงที่นางร้อง… ‘ปลาติดอวน จะอยู่ได้นานหรือ’
เดิมคิดว่าไม่มีข้อบกพร่องใดแล้ว เสียเวลาไปสามปี ผลงานจากแรงกายแรงใจที่ยอดฝีมือด้านกลไกคุ้มกันเมืองมากมายยังมองไม่เห็นปัญหา แต่คุณหนูรองหลี่ผู้นี้กลับมองเห็นจุดบกพร่องภายในได้เพียงชั่วครู่…
ในตอนที่รู้ถึงจุดอ่อนกลไกของตนเอง สีหน้าของเมิ่งเชียนจีก็โกรธจนเขียวแล้ว เงยหน้าขึ้นมองคุณหนูรองหลี่ที่มีสาวใช้ประคองอยู่หัวเราะเอิ๊กอ๊าก หน้าตาไม่มีความสำรวมเลย ราวกับยิ้มเยาะเขาที่ไม่ประเมินกำลังตนเองมาแกว่งขวานหน้าบ้านหลู่ปัน** ความเย่อหยิ่งของเมิ่งเชียนจีขาดผึงลงทันที เขาสั่นไปทั้งตัว คำรามเสียงยาว แล้วหยิบพลั่วเหล็กปลูกดอกไม้อันหนึ่งขึ้นมา ก่อนจะกระโจนเข้าไปทำลายกระบะทรายอย่างคลุ้มคลั่ง!
รอจนไป๋ฉวนจงคุณชายใหญ่สกุลไป๋รุดมาถึง เมิ่งเชียนจีก็เหนื่อยจนเหงื่อท่วมหัวแล้ว ล้มตัวอยู่ในพื้นที่พังระเนระนาดมือกุมหน้าไม่ขยับตัว เพียงพึมพำพูดว่า “กำลังกายใจสามปี กลับถูกคำพูดประโยคเดียวของเจ้าทำลาย! ข้าเทียบเจ้าไม่ได้จริงหรือ เทียบเจ้าไม่ได้…”
หลังจากถามรายละเอียดชัดเจนแล้ว ไป๋ฉวนจงก็ถลึงตามองหลี่รั่วอวี๋ที่ขดตัวสั่นอยู่ด้านข้าง เขามาในครั้งนี้ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อ แสดงความสามารถให้ฉู่จิ้งเฟิงได้เห็น ทำให้อีกฝ่ายเกิดความกลัวบ้าง ไม่เคยคิดว่ากลไกชุดนี้ยังไม่ทันให้ฉู่จิ้งเฟิงได้เห็นก็ถูกคำพูดบ้าๆ ของภรรยาแต่งใหม่ของอีกฝ่ายทำลายเสียแล้ว อยากจะกระอักเลือดสดออกมาสักถ้วยจริงๆ
ส่วนเสิ่นหรูป๋อที่เดินตามหลังไป๋ฉวนจงมาก็มีสีหน้าเคร่งเครียด สายตาจับจ้องฮูหยินซือหม่า ไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรอยู่
ในตอนที่ไป๋ฉวนจงเตรียมจะหาเรื่องหลี่รั่วอวี๋ ฉู่จิ้งเฟิงก็รุดมาถึงอย่างรวดเร็ว
เขาไม่มองไป๋ฉวนจงที่ยืนอยู่ด้านข้างเลย เพียงแค่กวาดตามองหลี่รั่วอวี๋ที่ตื่นตกใจอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง จากนั้นก็สั่งหล่งเซียงกับเหล่าบ่าวหญิงอาวุโสว่า “ไป ส่งฮูหยินกลับห้องพักผ่อน”
หลังจากหลี่รั่วอวี๋เดินไปแล้ว เดิมทีไป๋ฉวนจงคิดว่าฉู่จิ้งเฟิงจะขอโทษ อย่างไรเสียก็เป็นฮูหยินของเขาที่ก่อเรื่อง แต่ตอนนี้สกุลไป๋ทำอะไรฉู่จิ้งเฟิงผู้นี้ไม่ได้ จะต้องทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ในใจเขาจึงคิดว่าหากอีกครู่ฉู่จิ้งเฟิงขอโทษแล้วตนเองควรจะตอบอย่างไร
แต่คิดไม่ถึงว่าพอฉู่จิ้งเฟิงเอ่ยปากแล้ว ทว่าคำพูดนั้นกลับเป็นอีกแบบ “คุณชายท่านนี้ที่คุณชายไป๋พามาไม่รู้ว่าฮูหยินป่วย คำพูดการกระทำแม้จะลบหลู่นาง แต่เห็นแก่หน้าคุณชายไป๋ ข้าจะไม่ถือสา ทว่าในลานนี้ล้วนเป็นดอกไม้ใบหญ้าหายากที่พี่สาวข้ารักทะนุถนอม หวังว่าคุณชายผู้นี้จะเก็บกวาดให้เรียบร้อย จะได้ไม่รบกวนความงามของดอกไม้ ทำลายความงามไป…”
เขาพูดจบก็ไม่รอให้ไป๋ฉวนจงตอบ หมุนตัวก้าวยาวๆ จากไปทันที
ไป๋ฉวนจงได้รับการอบรมจากพระมาตุลาไป๋อย่างดี ความรู้สึกยินดีโมโหล้วนไม่แสดงบนสีหน้า แต่พอมาเจอฉู่จิ้งเฟิงกลับพังทลาย ทั้งที่ภรรยาสมองเสื่อมของอีกฝ่ายเป็นคนก่อเรื่อง เหตุใดจึงกลายเป็นความผิดของเขาไปได้!
ทว่าฉู่จิ้งเฟิงเป็นคนโอหังเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร ไม่เห็นท่านพ่อของเขาอยู่ในสายตา นับประสาอะไรกับตัวเขาเล่า
ตอนนี้เขาจึงอดกลั้น แล้วสั่งคนให้ประคองเมิ่งเชียนจีที่โศกเศร้าราวบุพการีเสียกลับไปที่ห้องพักแขก
“คุณชายเมิ่ง เหตุใดท่านต้องเก็บคำพูดของคุณหนูรองหลี่มาใส่ใจด้วย นาง…สองเดือนก่อนเพราะอุบัติเหตุตกม้าสมองเสื่อม ความคิดอ่านเหมือนเด็กเล็ก จะมองทะลุกลไกของท่านได้อย่างไร”
เสิ่นหรูป๋อได้ฟังคำพูดเสียขวัญของเมิ่งเชียนจี นับว่ารู้ความเป็นมาในเรื่องนี้ชัดเจนแล้ว จะร้องไห้หัวเราะก็ไม่ออก
แท้จริงแล้วนี่เป็นการเห็นข้อผิดพลาดของหลี่รั่วอวี๋เสียที่ไหน แต่เป็นความคิดของเมิ่งเชียนจีเองทุกอย่าง ทำให้เขาพบข้อบกพร่องของตนเอง
ทว่าคนที่มีพรสวรรค์แบบนี้มักจะมีจุดอ่อน หากเมิ่งเชียนจีมุดเข้าไปในความคิดของตนเอง จะหาทางออกได้เร็วเช่นนี้ได้อย่างไร เขาจึงพึมพำพูดว่า “ปัญญาอ่อนหรือ ผลงานสามปีของข้าสู้สายตาคนโง่ทึ่มอย่างนางไม่ได้หรือ? ไม่เท่ากับแตกต่างจากนางราวฟ้ากับดินหรือ ไม่ได้! ข้าไม่ยอม! ข้าไม่เชื่อว่าจะสู้หลี่รั่วอวี๋ไม่ได้!”
จากนั้นชายหนุ่มสุภาพเรียบร้อยก็พูดกับตนเอง เดินกลับเข้าไปในห้องตนเองอีกครั้ง แล้วปิดประตูแน่นคงไม่ยอมออกมาอีกนาน
ไป๋ฉวนจงเดิมทีไม่ได้เก็บเรื่องการแต่งงานของหลี่รั่วอวี๋มาใส่ใจ สกุลไป๋เป็นใหญ่ในราชสำนัก ทุกวันนี้เรื่องที่ต้องให้คิดมีมากมาย ในเมื่อหลี่รั่วอวี๋ตกม้าสมองเสื่อมเมื่อสองเดือนก่อน กลายเป็นเศษสวะที่ไร้ประโยชน์ บุตรสาวครอบครัวต่อเรือแห่งเจียงหนานเปลี่ยนคู่แต่งงาน ไม่ใช่เรื่องอะไรที่เขาต้องเก็บมาใส่ใจ หากไม่ใช่เพราะคนที่นางแต่งด้วยคือซือหม่าต้าฉู่ ไป๋ฉวนจงก็คงจะลืมนางไปแล้ว
เหตุใดฉู่จิ้งเฟิงจึงต้องการแต่งกับหญิงโง่เขลาสมองเสื่อมผู้หนึ่งด้วย เรื่องนี้ไม่อาจทำให้ไป๋ฉวนจงไม่ครุ่นคิดได้แล้ว
และด้วยความคิดนี้ ไป๋ฉวนจงก็เริ่มตกตะลึง คิดไปคิดมา สีหน้าของเขาก็ยิ่งเคร่งเครียด เดิมทีหลี่รั่วอวี๋สมองเสื่อมไปแล้วก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสียหลี่เสวียนเอ๋อร์ที่เสิ่นหรูป๋อแต่งงานด้วยก็เป็นผู้สืบทอดการต่อเรือของสกุลหลี่ ไม่มีทางทำลายแผนการใหญ่ของท่านพ่อ แต่หากหลี่รั่วอวี๋แกล้งบ้าปฏิเสธงานของท่านพ่อ มาแต่งงานกับฉู่จิ้งเฟิง… ไม่เท่ากับติดปีกให้เสือร้ายแซ่ฉู่อย่างนั้นหรือ!
คิดถึงตรงนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากพูดกับเสิ่นหรูป๋อ “คุณชายรองเสิ่น หลี่รั่วอวี๋ผู้นั้นสมองเสื่อมไปแล้วจริงๆ หรือ”
เสิ่นหรูป๋อไม่ได้รีบตอบ ชั่วขณะนั้นเขากำลังคิดว่าควรตอบอย่างไรผลลัพธ์จึงจะเป็นไปตามประสงค์ของตนเอง
ฉู่จิ้งเฟิงไม่ได้รีบกลับไปดูหลี่รั่วอวี๋ แม้ตัวจะอยู่ที่เจียงหนาน แต่ก็ไม่ได้เป็นอิสระเสียทีเดียว หลายวันนี้เพื่อจัดงานแต่งงานทำให้มีงานราชการสะสม และสหายเก่าที่เดินทางมาอวยพรก็มีมากมายจึงต้องต้อนรับอย่างดี
และเพราะการต้อนรับเหล่านี้ ทำให้ตอนที่กลับห้องก็เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว
แววตาที่เสิ่นหรูป๋อมองหลี่รั่วอวี๋เมื่อเช้า เขาไม่รู้สึกแปลกตาเลย เป็นดวงตาของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่กำลังมองสำรวจหญิงสาว สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ เขารู้ว่าเสิ่นหรูป๋อยังไม่ตัดใจจากหลี่รั่วอวี๋ แต่คนแซ่เสิ่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ตอนนี้หลี่รั่วอวี๋เป็นภรรยาของเขาแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่ว่าผู้ใดก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้
คิดถึงตรงนี้แล้ว หัวใจของฉู่จิ้งเฟิงกลับรู้สึกว่างเปล่าอย่างประหลาด
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ แม้จะเป็นเพียงการพูดส่งเดชของหลี่รั่วอวี๋คนโง่ตัวน้อย แต่หัวใจเขากลับตึงเครียดตามไปด้วย
หรือว่านางจะกลับเป็นปกติแล้ว!
หากเป็นหลี่รั่วอวี๋ที่มีสติดี และพบว่าตนเองเป็นภรรยาของเขาแล้ว นางจะเป็นอย่างไร
นอกหน้าต่างในตอนนี้มีเสียงฝนพรำ เม็ดฝนตกใส่ม่านหน้าต่างจนเปียก เขาเคยส่งนางที่กลับจากอู่เรือดึกดื่นไปยังโรงเตี๊ยมในคืนฝนตกเช่นนี้ด้วยตนเอง
ฝนทางเหนือจะตกแรงกว่าทางเจียงหนานมาก เพราะโรงเตี๊ยมอยู่ไม่ไกล เขาจึงไม่ได้ขี่ม้า นางก็ไม่ได้นั่งรถม้า ต่างคนต่างกางร่ม เดินตามกันไปทิ้งระยะไม่ห่างกัน ในคืนฝนพรำ นางไม่ได้หันหน้ามามองเขาเลย ทั้งยังเดินไปอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงไหล่ที่ถูกฝนเปียกชื้นกับต้นคอที่กระทบแสงจันทร์ และรองเท้าไม้ที่เหยียบน้ำในหลุมจนน้ำกระเซ็น
ตอนไปถึงโรงเตี๊ยม เขาอดไม่ไหวอยากจะยื่นมือไปปาดหยดน้ำบนแก้มนาง แต่นางกลับสะบัดตัวหลบเลี่ยงไปอย่างงดงาม มือของเขาที่ยื่นออกไปลอยคว้างกลางอากาศอย่างน่าสงสาร…
ใช่แล้ว นางหลบเลี่ยงเขามาตลอด
หลี่รั่วอวี๋ที่มีสติดี ไม่เคยมองเขาเต็มตาสักครั้ง
ฉู่จิ้งเฟิงเป็นคนเย่อหยิ่งมาแต่ไหนแต่ไร มีชาติกำเนิดในตระกูลใหญ่ ตั้งแต่เด็กจนโตมีหญิงสาวมาถวายตัวในอ้อมกอดน้อยเสียเมื่อใด
แต่เขากลับหมายตาบุตรสาวพ่อค้าผู้ต่ำต้อยผู้นี้ ถึงขั้นต้องผ่านการต่อสู้ สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ถือสากับการปรากฏตัวของนางต่อหน้าทุกคนอีก แต่หลังจากที่วางศักดิ์ศรีลงแล้ว เขากลับพ่ายแพ้ให้กับหญิงสาวเจียงหนานผู้อ่อนแอผู้นี้อย่างราบคาบ…
นึกถึงเรื่องในอดีตแล้ว ฉู่จิ้งเฟิงก็ยากจะสงบใจได้ รู้สึกไม่อยากกลับห้องไปพบหญิงผู้นั้นเลย
รอจนกลองบอกเวลาถูกตีขึ้นอีกครั้ง ประมาณในใจว่านางคงจะนอนหลับแล้ว เขาจึงเดินไปที่ห้อง
นอกห้องยังมีฝนตกอยู่ แต่เพราะฝนตกไม่หนักจึงไม่ต้องกางร่ม ทว่าพอฉู่จิ้งเฟิงเดินไปถึงห้องหอกลับพบว่าหลี่รั่วอวี๋ไม่ได้อยู่ในห้อง บนเตียงมีเพียงผ้าห่มกระจัดกระจายอยู่ เขาตกใจ เบิกตาโต แล้วเรียกหล่งเซียงกับบ่าวหญิงอาวุโสที่อยู่นอกห้องเข้ามา พวกนางเองก็ตกใจเช่นกัน
หล่งเซียงมองดูหน้าต่างที่เปิดออกแล้วพูดเสียงเบาว่า “เรียนซือหม่า ไม่แน่ว่า…คุณหนูอาจจะนึกสนุก ปีนหน้าต่างออกไปแล้ว…”
ฉู่จิ้งเฟิงรีบเดินไปด้านหลังห้อง จริงดังว่า! เห็นเพียงร่างโดดเดี่ยวนั่งอยู่ตรงมุมภูเขาจำลองในสวนดอกไม้
นางสวมเสื้อบางเพียงตัวเดียว คงเพื่อหลบฝน จึงเด็ดใบกล้วยใบใหญ่มาบังบนหัว ร่างเล็กขดเป็นก้อน จากนั้นเงยหน้าขึ้น เหม่อมองท้องฟ้า
“รั่วอวี๋! เจ้าทำอะไรอยู่”
หลี่รั่วอวี๋ถูกเสียงตะคอกดังของชายหนุ่มทำให้ตกใจตัวสั่น จากนั้นก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมอกกว้างและอบอุ่น
ฉู่จิ้งเฟิงรู้สึกว่ามือเท้าของหญิงสาวเย็นเฉียบ น้ำที่รองอยู่บนใบกล้วยก็ไม่ได้เสียเปล่าแม้แต่หยดเดียว รดลงบนตัวนางจนหมด ไม่รู้ว่านั่งอยู่กลางฝนนานเท่าใดแล้ว เสื้อผ้าล้วนเปียกโชก
หญิงโง่ผู้นี้!
ชายหนุ่มสะกดความโกรธไม่อยู่ ปั้นหน้าเย็นชากระชากใบกล้วยที่นางยังชูไว้สูงออกแล้วโยนไปด้านข้าง
ฉู่จิ้งเฟิงเดิมทีเป็นคนเย็นชาอยู่แล้ว ตอนนี้ด้วยความโมโห แม้แต่เด็กที่ไม่รู้ความก็ยังถูกทำให้ตกใจร้องไห้ได้ หลี่รั่วอวี๋เองก็ร้องไห้เช่นกัน แต่แตกต่างจากการร้องไห้อย่างไม่รู้ความก่อนหน้านี้ เห็นเพียงน้ำตาไหลออกมาจากขอบตาแดงก่ำ แต่ไม่ส่งเสียงอะไรแม้แต่น้อย
ฉู่จิ้งเฟิงเดิมทีไม่ได้สังเกต รอจนอุ้มนางเข้าห้องแล้ว จึงพบว่าบนใบหน้าเปียกชื้นนั้นยังมีน้ำตานองอยู่
ความกลัดกลุ้มที่สะสมในตอนเช้า ตอนนี้กลับถูกความสงสารไล่ไปจนหมด เขาถอดเสื้อเปียกของนางออกแล้วใช้ผ้าห่มบางคลุมตัวไว้ จากนั้นสั่งให้บ่าวเตรียมน้ำขิงต้มน้ำตาลใส่ดอกกุ้ยร้อนๆ สำหรับหล่งเซียงกับบ่าวหญิงอาวุโสที่เฝ้าเวรวันนี้ ฉู่จิ้งเฟิงสั่งพ่อบ้านให้นำตัวไปลงโทษอย่างไม่เกรงใจ!
หล่งเซียงแม้จะเป็นบ่าวผู้ซื่อสัตย์ แต่มักจะทำงานเลินเล่อ ตอนนี้คุณหนูของนางไม่ใช่คนที่ฉลาดเฉลียวเหมือนก่อนอีกแล้ว ทั้งที่รู้ว่านางชอบลอบออกไปข้างนอกตอนกลางคืน แต่กลับไม่ระวัง หากถูกคนคิดร้ายหาโอกาสจะเป็นอย่างไร ต้องลงโทษให้หนัก จึงจะเป็นการสั่งสอนได้ในระยะยาว!
หลี่รั่วอวี๋เหมือนจะรู้ว่าหล่งเซียงถูกลงโทษเพราะตนเอง น้ำตาจึงไหลลงมามากยิ่งขึ้น
ท่าทางน่าสงสารทำให้ฉู่จิ้งเฟิงอยากจะเอานางมาใส่ไว้ในใจ ดังนั้นเขาจึงยื่นมืออยากจะเช็ดน้ำตาให้นาง แต่นางกลับขดตัวหลบ ขยับหนีเหมือนที่ผ่านมา…
แต่ตอนนี้นางอยู่บนเตียงของเขา จะหลบพ้นได้อย่างไร ฝ่ามือใหญ่อ้อมไปที่หลังหัวของนาง ก่อนที่นางจะถูกดึงตัวเข้ามาในอ้อมกอดของเขา
นางเอาแต่ก้มหน้า เผยต้นคอให้เขาเห็น ฉู่จิ้งเฟิงยื่นมือไปเชยปลายคางของนาง พยายามใช้เสียงพูดอ่อนโยน ยังไม่ถามนางว่าเหตุใดจึงร้องไห้ เพียงแค่ถามว่า “รั่วอวี๋เมื่อครู่นั่งอยู่ในลานบ้านดูอะไร”
หลี่รั่วอวี๋แอบอิงอยู่ในอ้อมอกของฉู่จิ้งเฟิง รู้สึกว่าร่างที่เย็นเฉียบค่อยๆ อุ่นขึ้น จึงผ่อนคลายร่างกายลงช้าๆ นางไม่ได้มองเขา เพียงหลุบตาลง ขนตาโค้งงอนยังมีหยดน้ำตาเกาะอยู่ พลางเอ่ยพูดด้วยเสียงเบาว่า “ดูดาว…”
ฉู่จิ้งเฟิงช้อนตาขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่าง ฝนตกตอนฟ้ามืด ท้องฟ้าราวกับสีหมึก จะมีดวงดาวได้อย่างไรกัน
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เห็นหลี่รั่วอวี๋ท่าทางซื่อๆ แบบนี้ ฉู่จิ้งเฟิงก็รู้สึกวางใจ แตะริมฝีปากไปบนแก้มนุ่มชื้นของนาง แล้วถามต่อไปว่า “เหตุใดต้องดูดาว”
“พวกเขาด่าว่ารั่วอวี๋เป็นคนบ้าปัญญาอ่อน รั่วอวี๋ถาม…ถามท่านแม่ว่าปัญญาอ่อนคืออะไร ท่านแม่บอกว่ารั่วอวี๋ไม่ได้ปัญญาอ่อน เพียงแค่ดวงดาวที่คอยดูแลความฉลาดขึ้นไปบนสวรรค์… รั่วอวี๋อยากรู้ว่าดวงดาวเมื่อใดจะกลับมา…”
จากคำพูดติดๆ ขัดๆ ของหลี่รั่วอวี๋ ฉู่จิ้งเฟิงฟังความหมายได้อย่างคร่าวๆ หลี่รั่วอวี๋ในอดีต ทุกคนล้วนบอกว่าเป็นเทพดาวเหวินฉวี่* ที่ดูแลความฉลาดมาประทับร่างผิดบนตัวนาง คงเป็นฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ใช้ปลอบตอนที่มีคนพูดเสียดสีหลี่รั่วอวี๋ อ้างว่าดาวนั้นสะสมบารมีครบแล้วต้องขึ้นไปบนสวรรค์…
ฉู่จิ้งเฟิงคิดถึงตรงนี้ ในใจก็ค่อยๆ เกิดความรู้สึกที่พูดไม่ออกบางอย่างขึ้นมา “จะเอามันกลับมาทำไม รั่วอวี๋ในตอนนี้ก็ดีมากแล้ว”
หลี่รั่วอวี๋สูดจมูก “วันนี้คนผู้นั้นดวงดาวก็กลับสวรรค์แล้วหรือ จึงทั้งทุบและพังของ… รั่วอวี๋กลัว…รั่วอวี๋อยากให้ดาวของตัวเองกลับมา…”
วันนี้เป็นเพราะคำพูดประโยคเดียวของหลี่รั่วอวี๋ก็ทำให้เมิ่งเชียนจีเหมือนคนเป็นโรคประสาท ทำตัวบ้าน่าตกใจ หลี่รั่วอวี๋ไม่เข้าใจ เห็นเพียงฉู่จิ้งเฟิงปั้นหน้าดุมาไล่นาง จึงคิดว่านางก่อเรื่องแล้ว
พอกลับถึงห้องก็นอนอุดอู้อยู่บนเตียงผู้เดียวตลอดบ่าย ตกกลางคืนตอนลืมตาขึ้น ของตกแต่งรอบด้านล้วนแปลกตา ภาพสีแดงเต็มตาตรงหน้ายังไม่จางหาย กำลังเตือนสตินางว่า นางไม่ได้อยู่ข้างกายท่านแม่แล้ว
ตอนที่นางเพิ่งสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา แม้จะไม่รู้จักผู้ใด แต่การตกแต่งรอบข้าง และกลิ่นอายภายในห้องยังพอคุ้นเคยอยู่บ้าง จึงรู้สึกสบายใจขึ้น
แต่นับจากมาถึงที่นี่ รอบข้างนอกจากหล่งเซียงแล้ว นางไม่มีคนรู้จักอีกเลย ความหวาดกลัวหลังจากที่ตื่นขึ้นจากความมืดในตอนนั้นพุ่งเข้ามาในใจนางอีกครั้ง
คิดถึงความบ้าคลั่งของคนผู้นั้นในตอนเช้า นางกลัวตนเองจะค่อยๆ กลายเป็นแบบนั้น
หลังจากหล่งเซียงปรนนิบัตินางให้กินอาหารอาบน้ำล้างหน้าแล้ว นางคิดว่าคงนอนไม่หลับ จึงปีนออกทางหน้าต่าง นั่งอยู่ตรงมุมภูเขาจำลองครุ่นคิดว่าจะหาดวงดาวของนางจากท้องฟ้ามืดมิดนั้น
ฉู่จิ้งเฟิงฟังถึงตรงนี้ก็รู้สึกโกรธ แต่คนที่โกรธคือตนเอง ทั้งที่รู้ว่านางตอนนี้เหมือนเด็กที่ต้องจากแม่ หลังจากถูกเมิ่งเชียนจีทำให้ตกใจกลัว ตนเองกลับไม่รีบกลับมาปลอบนาง ให้นางอยู่ในเรือนนี้เพียงผู้เดียว ฟ้ามืดฝนหนาว แม้จะเป็นคนโง่เขลาทึ่มทื่อก็ยังคิดเหลวไหลได้
คิดถึงตรงนี้ เขาก็อุ้มสาวน้อยตัวอ่อนนุ่มในอ้อมกอดมาตรงหน้าต่าง ชี้ไปที่เมฆดำเต็มท้องฟ้าแล้วพูดว่า “ดวงดาวนั่นก็มีเพียงเท่านี้ บางครั้งก็ไม่มีสักดวง แต่คนปัญญาอ่อนจริงๆ ใต้หล้านี้มีนับไม่ถ้วน รั่วอวี๋ของพวกเราก็ยังเป็นรั่วอวี๋ที่ฉลาดเฉลียว จะไปแย่งชิงกับคนเหล่านั้นทำไม เอาดาวที่ไร้ประโยชน์นั่นให้คนโง่เหล่านั้นดีกว่า พรุ่งนี้รอให้กลับไปถึงจวนซือหม่าที่เมืองโม่เหอ ข้าจะเชิญอาจารย์หญิงมาให้รั่วอวี๋ เรียนหนังสือให้มาก รั่วอวี๋ก็จะกลับมาเป็นคนฉลาดตามเดิมแล้ว”
หลี่รั่วอวี๋เดิมทีก็อิจฉาน้องชายเสียนเอ๋อร์ที่ได้ไปหอเรียนร่ำเรียนวิชากับสหายทุกวัน พอได้ยินฉู่จิ้งเฟิงบอกว่าจะเชิญอาจารย์มาให้ ดวงตาก็เปล่งประกายทันทีอย่างนึกสนุก แขนสองข้างจึงโอบคอของเขาไว้แน่นแล้วพูดอย่างตื่นเต้น “ข้า…ข้าจะเข้าหอเรียน… ข้าไม่อยากเป็นคนปัญญาอ่อน…”
ฉู่จิ้งเฟิงรับคำใจลอย แต่ความคิดกลับถูกก้อนเนื้อสองก้อนที่เบียดตรงแผ่นอกตนเองกดจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ทว่าตอนเช้านางเพิ่งได้รับความตกใจ ตอนนี้หากทำการอะไรอีก ต้องทำให้นางกลัวเขาไปตลอดแน่นอน เขาจึงสูดหายใจเข้าลึก กล่อมให้นางคลายมือ รอจนในถังอาบน้ำเติมน้ำอุ่นจนเต็มก็ให้นางกำนัลปรนนิบัติอาบน้ำอุ่นให้หลี่รั่วอวี๋
แต่ตอนที่นางออกมา กลับพบว่าฉู่จิ้งเฟิงไม่อยู่ในห้องแล้ว
เพราะหล่งเซียงถูกนำตัวไปลงโทษ คนที่มาปรนนิบัตินางจึงเป็นนางกำนัลชื่อซูซิ่ว ซูซิ่วที่กำลังสวมเสื้อให้นางพูดอึกอักว่า ท่านซือหม่าไปที่ห้องหนังสือแล้ว
ก็ไม่แปลกที่นางกำนัลจะพูดไม่ค่อยออก เพิ่งแต่งงานวันที่สอง เป็นช่วงความรักหอมหวาน แต่ฉู่ซือหม่ากลับทอดทิ้งโอกาสชื่นชมความงามเช่นนี้ไป ทำให้พวกนางเหล่านี้นึกสงสัยจริงๆ
ซูซิ่วกับซูเหมยนางกำนัลอีกคนเป็นพี่น้องกัน เป็นคนที่ท่านหญิงไหวอินเป็นผู้อบรมกับมือ อากัปกิริยานั้นจะให้เข้าไปเป็นคุณหนูในคฤหาสน์ใหญ่ก็ยังได้ พวกนางสองพี่น้องไม่เพียงมีรูปโฉมงดงาม ยังรู้หนังสือและเชี่ยวชาญเพลงพิณ หมากล้อม อักษร และภาพวาด เพราะคนที่ฉู่จิ้งเฟิงพามาด้วยเป็นสตรีที่ทำอะไรไม่เรียบร้อย ดังนั้นท่านหญิงไหวอินจึงตั้งใจคัดนางกำนัลคู่หนึ่งไปปรนนิบัติฉู่จิ้งเฟิง
แท้จริงแล้วท่านหญิงไหวอินยังคงไม่ค่อยพอใจอยู่บ้าง น้องชายที่นางตามใจแต่งงานกับคนปัญญาอ่อน นับว่าได้ทำสมดังใจเขาแล้ว แต่เขาเป็นชายที่ต้องทำการใหญ่ อยู่นอกบ้านทำงานหนักมาทั้งวัน กลับถึงบ้านก็อยากได้ดอกไม้งามพูดได้ที่รู้จักความร้อนหนาวสักคนไม่ใช่หรือ
หลี่รั่วอวี๋ผู้นั้นแม้จะงดงาม แต่เหมือนเด็กเล็กไม่รู้ประสา เลี้ยงไว้เป็นสัตว์เลี้ยงหายากยังพอได้ เวลานานเข้าจะมีความอดทนคิดหาวิธีมาหลอกล่อคนปัญญาอ่อนอยู่เสมอได้อย่างไร นางจึงตั้งใจเลือกนางกำนัลสองคนที่รู้จักแบ่งรับแบ่งสู้ไว้ในห้องของหลี่รั่วอวี๋ จุดประสงค์เพื่อให้พวกนางสองคนเป็นสาวใช้ห้องข้าง* เพื่อกันไม่ให้ฉู่จิ้งเฟิงสัมผัสหญิงสาวจนรู้รสชาติแล้ว จะไปก่อเรื่องวุ่นวายนอกบ้านเหมือนจ้าวซีจือน้องชายอีกคนของนาง
หากภายหน้าปรนนิบัติได้ดี ได้รับความรักจากฉู่จิ้งเฟิง ยกขึ้นเป็นอนุ นั่นก็เป็นวาสนาของทั้งสองคน
ซูซิ่วเป็นพี่สาว นิสัยสุขุมหนักแน่นกว่า แม้จะเข้าใจความหมายในคำพูดของท่านหญิงไหวอินที่กำชับพวกนางสองพี่น้อง แต่พอเห็นท่าทางฉู่ซือหม่าที่เย็นเยือกราวน้ำแข็งและมีไอสังหารแผ่ออกมาทั่วทั้งตัวก็ใจเต้นรัว กอปรกับคืนวันแต่งงานเมื่อวาน ได้ยินเสียงร้องใจแทบขาดของฮูหยินคนใหม่แล้วก็ทำให้ความคิดที่มีในใจนั้นแตกกระเจิงไปจนหมดสิ้น
ตามที่นางดู ซือหม่าผู้นี้ไม่ใช่คนที่ทะนุถนอมสาวงามอะไร เพียงเห็นผมสีขาวเงินใบหน้าเย็นชานั้นแล้วก็รู้สึกเคร่งเครียด ทนไม่ไหวเลยจริงๆ
ดังนั้นนางจึงลดความคิดที่จะเป็นอนุลง แต่พยายามปรนนิบัติฮูหยินน้อยผู้นี้อย่างเต็มที่ นายหญิงเป็นคนปัญญาอ่อนก็ดี มีเรื่องให้ต้องลำบากใจน้อยลง ตนเองทำงานไป รอเก็บเงินได้มากพอ ตอนอายุมากกว่านี้ ขอให้ผู้เป็นนายเห็นในความดีปล่อยตนเองออกจากจวน จะได้หาบุรุษดีๆ สักคนฝากชีวิตไว้ได้
แต่น้องสาวกลับไม่ได้คิดเช่นเดียวกับพี่สาว ตอนที่ซูซิ่ววุ่นกับการหวีผมให้หลี่รั่วอวี๋ ทางห้องครัวส่งรังนกต้มน้ำตาลใส่พุทราแดงที่เพิ่งตุ๋นเสร็จมาให้ฮูหยิน ซูเหมยตักหนึ่งถ้วยให้ฮูหยินแล้ว ก็ตักถ้วยหนึ่งวางไว้บนถาดแล้วยกไปที่ห้องหนังสือ
ซูซิ่วจะไม่รู้ความคิดของน้องสาวได้อย่างไร แต่จะพูดมากก็ไม่ได้ จึงปรนนิบัติฮูหยินให้ดื่มรังนกอุ่นๆ พานางไปนอน ห่มผ้าห่มเสร็จแล้วก็จุดไม้กฤษณาเพื่อให้รู้สึกผ่อนคลาย จากนั้นจึงปูผ้าห่มบนที่พักเท้าข้างเตียงแล้วล้มตัวลงนอน
หล่งเซียงกับบ่าวหญิงอาวุโสเพิ่งจะถูกลงโทษ พวกนางย่อมต้องระวังตัว ในเมื่อฮูหยินชอบเดินตอนกลางคืน เช่นนั้นก็มาเฝ้าใกล้ชิด จะได้ไม่หลับสนิทจนไม่รู้ตัว
นางนอนลงได้ไม่นาน ซูเหมยก็กลับมาจากห้องหนังสือ นั่งอึดอัดอยู่ในโถง บิดผ้าเช็ดหน้าด้วยความเข่นเขี้ยวอยู่ไม่กี่ที จากนั้นก็เข้าห้องชั้นใน เห็นหลี่รั่วอวี๋หลับแล้วจึงพูดเสียงเบา “ซือหม่าให้พี่ไปหา”
เพราะซูซิ่วสวมเสื้อผ้านอน จึงไม่ต้องตั้งใจเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากรีบลุกขึ้นมา ให้น้องสาวเฝ้าข้างเตียงแล้วก็เดินตรงไปยังห้องหนังสือที่อยู่ไม่ไกลจากห้องนอน
เข้าห้องหนังสือแล้วมองไป รังนกถ้วยนั้นยังวางอยู่บนมุมโต๊ะโดยไม่ถูกแตะ ซือหม่าถอดเสื้อนอกเปลี่ยนเสื้อนอนถือตำราเล่มหนึ่งนอนอยู่บนตั่งนิ่มในห้องหนังสือ ดูท่าแล้วคงจะนอนในห้องหนังสือ
ฉู่จิ้งเฟิงเห็นนางเข้ามาแล้ว ตามองตำรา ปากถามเสียงเอื่อยว่า “ฮูหยินนอนแล้วหรือ”
“เรียนซือหม่า เพิ่งนอนเจ้าค่ะ ก่อนนอนดื่มน้ำขิงไปเล็กน้อย กินรังนกอุ่นๆ ไปอีกหนึ่งถ้วย บ่าวใช้ขี้ผึ้งจันทน์แปดกลีบผสมถั่วดำนวดมือเท้าฮูหยินน้อย นอนเช่นนี้ทั้งคืน คงไม่ถูกไอเย็นจนเป็นไข้”
ฉู่จิ้งเฟิงพยักหน้าแล้วถามอีก “ฮูหยินได้บอกหรือไม่ว่าพรุ่งนี้เช้าอยากกินอะไร”
ซูซิ่วรู้ว่าเหตุใดซือหม่าจึงถามเช่นนี้ วันนี้อาหารที่ห้องครัวทำเหมือนไม่ถูกปากฮูหยินน้อย ทั้งวันนี้นางกินอาหารสองสามคำเท่าแมวดม ดังนั้นจึงรีบตอบว่า “บ่าวถามก่อนที่ฮูหยินจะนอน ฮูหยินบอกว่าอยากกินแป้งย่างเป็ดเคี่ยว บ่าวถามอย่างละเอียดต่อไปอีก จึงได้รู้ว่าแป้งย่างนั่นที่ตรอกเก่าในเมืองเหลียวเฉิงจึงจะมี… พรุ่งนี้เช้าคงยังไม่ได้กิน แต่พรุ่งนี้ท่านซือหม่าต้องพาฮูหยินกลับบ้านเกิด เตือนบ่าวไพร่ที่ไปด้วยให้ซื้อมาให้ฮูหยิน”
ถึงตอนนี้ฉู่จิ้งเฟิงจึงวางตำราลง กวาดตามองซูซิ่วแวบหนึ่ง “เจ้ากับซูเหมยเป็นพี่น้องกันหรือ แต่เจ้าละเอียดสุขุมกว่านางมาก ต้องคอยชี้แนะนางบ้าง อย่าให้ถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง ไม่เช่นนั้นบ่าวที่ไม่ใส่ใจมาอยู่ข้างกายฮูหยินจะมีประโยชน์อะไร”
ถึงตอนนี้ซูซิ่วจึงได้รู้ว่าเหตุใดน้องสาวจึงโมโหกลับมา คิดว่าคงถูกซือหม่าถามจนพูดไม่ออกและโดนตำหนิเข้ากระมัง นางจึงรีบขออภัยแทนน้องสาว แล้วลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกไป
ก่อนออกมา ซือหม่าชี้ไปที่รังนกถ้วยนั้น “รังนกนี้เป็นของกินสำหรับสตรี คราวหน้าไม่ต้องยกมาอีก เจ้าปรนนิบัติฮูหยินอย่างดี รังนกนี้มอบให้เจ้าเป็นรางวัล แล้วยกชาสามอย่างมาให้ข้าถ้วยหนึ่ง”
ซูซิ่วขอบคุณซือหม่า แล้วยกรังนกกลับไป แต่ตอนนี้เป็นเวลาอยู่เวรดึก นางจะไปตำหนิน้องสาวก็ไม่เหมาะ แต่กลับลอบถอนใจอยู่ภายใน เห็นทีความคิดของนางถูกต้องแล้ว ซือหม่าที่เย็นชาผู้นั้นนอกจากจะอ่อนโยนกับฮูหยินโง่ทึ่มผู้นั้นแล้ว หญิงคนอื่นในสายตาของเขาเป็นเหมือนดอกหญ้าริมทาง ต้องบอกให้น้องสาวเก็บความคิดที่เป็นไปไม่ได้นั้นไว้ดีกว่า
เพราะนั่งทรมานมาเกือบทั้งคืน วันรุ่งขึ้นหลี่รั่วอวี๋จึงตื่นสายมาก หลังจากนอนกลิ้งขี้เกียจไปมาอยู่บนเตียงสักครู่ ซูเหมยจึงพลิกเปิดผ้าม่านถามนางว่าหิวหรือไม่ บอกว่าอาหารเช้าเตรียมเสร็จยกมาแล้ว ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาก็สามารถกินได้ทันที
พอพลิกม่านขึ้น กลิ่นหอมที่คุ้นเคยก็ลอยมาแตะจมูก หลี่รั่วอวี๋จึงดีดตัวลุกขึ้นมา พูดด้วยหน้าตาเบิกบาน “แป้ง…ย่าง?”
ซูซิ่วที่กำลังเตรียมเสื้อผ้าให้หลี่รั่วอวี๋กลับบ้านเกิดหมุนตัวมาพูดว่า “ฮูหยินจมูกดีจริง นี่คือแป้งย่างเป็ดเคี่ยวที่ท่านอยากกินเจ้าค่ะ เมื่อคืนซือหม่าได้ยินว่าท่านอยากกินสิ่งนี้ จึงเรียกรถม้าไปเมืองเหลียวเฉิงรับพ่อครัวของร้านเป่ายาไจมาพร้อมกับแป้งหมักที่นวดเสร็จแล้วและเป็ดเคี่ยวมาที่เมืองซูเฉิง แป้งเหล่านี้ย่างออกมาสดๆ กำลังกรอบอร่อย ฮูหยินต้องรีบลุกจากเตียงแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อวานเพราะถูกเมิ่งเชียนจีทำให้ตกใจ นางจึงไม่ได้กินอาหารมากนัก ตอนนี้นอนหลับหนึ่งตื่นแล้วก็รู้สึกหิว ไม่สนใจแม้แต่จะหวีผมล้างหน้า กระโจนไปข้างโต๊ะจะกินแป้งย่างสักชิ้นทันใด
ซูซิ่วรีบขวางฮูหยินเอาไว้ หลังจากกล่อมให้ใช้ก้านไผ่ชุบเกลือขัดฟันแล้ว จึงให้นางนั่งลงข้างโต๊ะ แล้วกินไส้เป็ดร้อนๆ อย่างเอร็ดอร่อย
ในตอนนี้ฉู่จิ้งเฟิงเดินเข้ามา บังเอิญเห็นเม็ดงาติดแก้มของหลี่รั่วอวี๋จึงพูดด้วยดวงตาแฝงรอยยิ้ม “กินชิ้นสองชิ้นให้หายอยากก็พอ วันนี้ข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน ท่านแม่ยายคงทำของที่เจ้าชอบไว้ แต่ต้องระวังท้องไส้ อย่ากินเยอะเกินไป”
ตอนนี้หลี่รั่วอวี๋อยู่ข้างกายเขา แม้ว่าจะเหมือนเด็กไร้เดียงสา แต่ฉู่จิ้งเฟิงกลับยินดีทำตามที่นางต้องการทุกอย่าง หลี่รั่วอวี๋ที่เป็นเช่นนี้ต้องเสียเวลาชี้แนะแทบทุกเรื่อง แต่เขาก็ยินดีจะค่อยๆ เลี้ยงดูสาวน้อยอ่อนหวานน่ารักผู้นี้ให้เป็นไปตามใจเขาปรารถนา…หลี่รั่วอวี๋ที่ในดวงตามีแต่เขาฉู่จิ้งเฟิง
ฉู่จิ้งเฟิงกินแป้งย่างไปหนึ่งชิ้นจากมือของหลี่รั่วอวี๋เช่นกัน เพราะปรุงรสชาติได้เข้าเนื้อ จึงมีความอร่อยอย่างมาก
วันนี้เป็นวันกลับบ้านเกิด ของขวัญที่พ่อบ้านเตรียมให้ซือหม่าถูกขนขึ้นรถม้าแล้ว ฉู่จิ้งเฟิงกินเสร็จแล้วก็ไปกล่าวลาท่านหญิงไหวอิน ส่วนหลี่รั่วอวี๋ยังให้ซูซิ่วซูเหมยช่วยหวีผมแต่งหน้าอยู่
หล่งเซียงกลับมาแต่เช้าเช่นกัน อย่างไรเสียก็เป็นคนที่มาจากสกุลหลี่ หากลงโทษหนักเกินไป วันนี้ตอนกลับบ้านเจ้าสาวสีหน้าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่คงไม่น่าดูนัก ดังนั้นพ่อบ้านจึงเพียงให้หล่งเซียงคุกเข่าในห้องเก็บฟืนสองชั่วยามเท่านั้น
เพราะทำผิด หล่งเซียงจึงรู้สึกกระดากอาย แต่ต้องตั้งสติมาเตรียมแต่งผมให้คุณหนู แต่ซูเหมยเห็นของที่นางเตรียมแล้วก็ลอบพ่นหัวเราะเบาๆ อยู่ด้านข้าง
หล่งเซียงไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงหัวเราะ จึงเงยหน้าขึ้นจ้องนาง ซูเหมยจึงพูดอย่างไม่เร่งรีบว่า “ตอนนี้พวกคุณหนูในตระกูลใหญ่ล้วนไม่นิยมหวีผมแบบนี้แล้ว ฮูหยินโครงหน้าเล็กอยู่แล้ว หวีผมทรงหัวโตยิ่งทำให้ดูหัวหนักเท้าเบาไปไม่ใช่หรือ” พูดพลางหยิบผมปลอมเล็กๆ ออกมาหลายชิ้น ผมปลอมนั้นทำมาจากเส้นผมจริง แม้ว่าฝีมือการหวีจัดทรงจะไม่ประณีตนัก แต่มีส่วนโผล่ออกมานิดๆ ก็มองไม่ออก
อันที่จริงนับจากหล่งเซียงเข้ามาในจวนกลางสวนนี้ก็พบว่าสตรีที่นี่ไม่แต่งตัวจัด ท่านหญิงไหวอินนั้นไม่ต้องพูดถึง แม้แต่นางกำนัลเหล่านี้ยังแต่งตัวงามสง่าเช่นนี้ ไม่เหมือนสตรีในสถานที่เล็กๆ อย่างเมืองเหลียวเฉิงเลย แม้นางจะมีฝีมือในการแต่งหน้าทำผม แต่เห็นโลกมาน้อย ทำไปตามประสาชาวบ้านเท่านั้น
พอถูกซูเหมยพูดจนรู้สึกอับอาย หล่งเซียงจึงหยุดมือ ถอยออกนอกห้องไปช่วยซูซิ่วรีดผ้า ซูเหมยจึงยิ้มเยาะ “คนบ้านนอก!” แล้วเตรียมทำผมให้หลี่รั่วอวี๋ต่อ
หลี่รั่วอวี๋แม้จะไม่รู้ว่าพวกนางโต้เถียงกันเรื่องอะไร แต่ก็มองสีหน้าออก เมื่อวานหล่งเซียงไม่ได้กลับมาทั้งคืน กลางคืนคนที่ชื่อซูเหมยผู้นี้ปรนนิบัติข้างกายนาง
แต่นางไม่ชอบซูเหมยผู้นี้ ตอนอยู่กับนางตามลำพัง น้ำเสียงที่ซูเหมยพูดเหมือนรำคาญนาง เมื่อคืนนางกระหายน้ำ เรียกเสียงเบาอยู่หลายที ทั้งที่ซูเหมยได้ยินแล้ว แต่กลับพูดบ่นเสียงเบาอย่างรำคาญว่า “คนปัญญาอ่อนเรื่องมากจริง” แล้วพลิกตัวนอนลงบนที่พักเท้าตรงเตียงไม่ขยับ ภายหลังเป็นซูซิ่วที่อยู่นอกห้องได้ยินเสียงของนางแล้ว จึงได้ยกน้ำอุ่นใส่น้ำผึ้งเข้าห้องมาให้นาง
ตอนนี้เห็นนางไม่รู้ว่าพูดอะไรทำให้หล่งเซียงสีหน้าเปลี่ยนไปมาก อารมณ์งอนของหลี่รั่วอวี๋ก็กลับมา เห็นซูเหมยเข้ามาใกล้จะหวีผมให้จึงขยับหลบ สองตาโตจ้องซูเหมยอย่างโมโห
ซูเหมยรู้ว่าสมองฮูหยินผู้นี้ไม่ค่อยดี พูดจาก็ไม่ชัดเจน เวลากินข้าวตะเกียบก็ถือไม่ค่อยอยู่ มักอยากจะยื่นมือไปหยิบ บนหน้าก็มีน้ำมันติด ในใจจึงเกิดความดูแคลนนายหญิงขึ้นมาหลายส่วน
แต่บุตรสาวพ่อค้าปัญญาอ่อนเช่นนี้เองกลับได้เป็นฮูหยินซือหม่า เรื่องนี้จะให้ยอมรับได้อย่างไร ซูเหมยคิดว่าตนเองดีกว่าคนปัญญาอ่อนผู้นี้ทุกอย่าง แม้แต่ชาติกำเนิดก็มาจากครอบครัวบัณฑิตตกยาก ดีกว่าพ่อค้านั่นอยู่มาก!
นางกับพี่สาวเป็นคนที่ท่านหญิงไหวอินเลือกเองว่าจะให้มาเป็น ‘สาวใช้ห้องข้าง’ ยิ่งตอนนางเห็นซือหม่า ความคิดก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นางไม่เหมือนพี่สาวที่ยังคิดจะออกไปมีชีวิตลำบากนอกคฤหาสน์อีก
เป็นอนุในจวนซือหม่ามีความสุขมากกว่าหญิงในบ้านคนธรรมดาไม่ใช่หรือ ยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งภรรยาเอกนี้ก็เป็นคนปัญญาอ่อน หนึ่งคือดูแลเรื่องเงินทองไม่ได้ สองคือไม่มีบารมี ขอเพียงให้กำเนิดลูกสักคนก็ถูกยกขึ้นเป็นอนุ ยังมีอิสระยิ่งกว่านายหญิงในคฤหาสน์อื่นเสียอีก!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางจึงเกิดความหวังในตัวซือหม่า แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อคืนตั้งใจส่งรังนกไปให้ซือหม่าแต่กลับถูกตำหนิเพราะถามอะไรแล้วไม่รู้เรื่อง จึงรู้สึกไม่พอใจมาตลอด ระบายใส่หล่งเซียงได้พอดี ตอนนี้เห็นหลี่รั่วอวี๋เอาแต่หลบ ไม่ให้ตนเองหวีผมให้ นางก็ยิ่งรำคาญ ฉวยโอกาสรอบด้านไม่มีผู้ใดยื่นมือไปจับผมของหลี่รั่วอวี๋แล้วกระชากตัวนางเข้ามาอย่างแรง
คราวนี้หลี่รั่วอวี๋รู้สึกเจ็บ แต่ไม่ยอมแล้ว! นางพรวดลุกขึ้นยืน ถลึงตามองซูเหมย แล้วหยิบปิ่นปักผมอันหนึ่งโยนใส่
ซูเหมยคิดไม่ถึงว่าหลี่รั่วอวี๋จะโกรธ เห็นพี่สาวกับหล่งเซียงเข้ามาในห้อง อาศัยว่าเมื่อครู่ไม่มีผู้ใดเห็น จึงรีบพูดอย่างน้อยใจว่า “เมื่อครู่ตอนหวีผม หวีได้ไม่กี่ที ฮูหยินก็เริ่มอารมณ์เสียแล้ว…”
แต่หลี่รั่วอวี๋จะยอมฟังคำอธิบายของซูเหมยได้อย่างไร เมื่อครู่ที่ถูกกระชากผม หนังหัวถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่ ความห้าวหาญที่หอเรียนในอดีตเป็นเพียงคำลืออย่างนั้นหรือ นางกระโจนไปกำผมของซูเหมยไว้ทันที แล้วกระชากอย่างแรง
ซูเหมยไม่ทันระวัง ถูกกระชากให้ก้มหัวลง เจ็บจนร้องไม่หยุด
ซูซิ่วกับหล่งเซียงรีบเข้าไปดึงตัวหลี่รั่วอวี๋ออกมา ในขณะที่กำลังวุ่นวาย ฉู่จิ้งเฟิงก็เดินเข้าห้องมาพอดี เขาขมวดคิ้วมองหลี่รั่วอวี๋ขี่อยู่บนหลังซูเหมย แล้วยื่นแขนไปยกตัวนางขึ้นมา
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดเช้านี้นายบ่าวจึงตีกันจนเป็นแบบนี้” ฉู่จิ้งเฟิงถามด้วยเสียงเย็นชา
ซูเหมยถูกกระชากจนผมหลุดลุ่ย พูดด้วยเสียงสะอื้น “บ่าวกำลังหวีผมให้ฮูหยิน ฮูหยินอาจจะอารมณ์ไม่ดี จึงตีบ่าวโดยไม่พูดไม่จา…”
หล่งเซียงคิดว่าซูเหมยยังโชคดี อย่างน้อยก็ไม่เหมือนคุณหนูสามหลี่เสวียนเอ๋อร์ที่ผมหลุดไปกระจุกหนึ่ง จึงรีบพูดแทนคุณหนูรองของตนเอง “คุณหนู…ฮูหยินนางไม่มีทางลงมือโดยไร้สาเหตุ เจ้าต้องทำอะไรให้ฮูหยินไม่พอใจแน่นอน…”
“ไม่พอใจก็ลงมือตีคนหรือ” ฉู่จิ้งเฟิงตัดบทคำพูดแย้งของหล่งเซียง ถลึงตามองหลี่รั่วอวี๋
หลังจากโบกมือไล่บ่าวเหล่านั้นออกไปแล้วจึงพูดเสียงแข็งว่า “หลี่รั่วอวี๋ ที่นี่ไม่ใช่คฤหาสน์สกุลหลี่ของเจ้า คนเป็นนายไม่พอใจก็ลงมือ นั่นเป็นวิธีของเจ้าถิ่นกักขฬะ เจ้าเป็นฮูหยินซือหม่า ไปลงมือทำโทษบ่าวไพร่เองได้อย่างไร”
เขาย่อมไม่รู้ถึงการกระทำของซูเหมย คิดไปว่าหลี่รั่วอวี๋โมโหส่งเดช เขาเคยเห็นคนปัญญาอ่อนบางคนบนถนนอารมณ์ไม่ดีก็ทุบตีคนส่งเดช ป่าเถื่อนราวกับสัตว์ป่า คิดถึงหลี่รั่วอวี๋ว่ามีทีท่าจะเป็นเช่นนี้ ใจเขาก็รู้สึกเจ็บ แต่ตัดสินใจว่าจะไม่ปล่อยตามใจนาง จนต่อไปหนักข้อกว่าเดิม
คำพูดใจดำโหดร้ายนี้หลี่รั่วอวี๋ไม่ค่อยเข้าใจ แต่นางรู้ว่าเขาโกรธแล้ว ความน้อยเนื้อต่ำใจของนางยังไม่คลายไปจึงพูดติดสะอื้นว่า “หวีผมให้รั่วอวี๋… เจ็บๆ…เจ็บมาก”
คราวนี้ฉู่จิ้งเฟิงยิ่งมั่นใจว่าหลี่รั่วอวี๋เอาแต่ใจจึงตัดสินใจจะดัดนิสัยของนาง จึงวางตัวนางลงบนเตียงอย่างแรง ปั้นหน้าบึ้งพูดว่า “หวีผมรู้สึกเจ็บก็ตีคน เจ้ายังนับว่ามีเหตุผลได้หรือ” พูดพลางดึงมือข้างหนึ่งของหลี่รั่วอวี๋มา แล้วตีสามทีด้วยน้ำหนักพอเหมาะ จากนั้นตำหนิว่า “ถ้าครั้งหน้าทำผิดอีก จะใช้ไม้ตี”
การตีสามทีนี้แม้จะไม่แรงมาก แต่เขาเป็นคนมีวรยุทธ์ หลี่รั่วอวี๋รู้สึกว่ามือแสบร้อน ความน้อยเนื้อต่ำใจระเบิดออกมาในทันที
นางโกรธจนตะโกนเสียงดัง กระโจนใส่ฉู่จิ้งเฟิง จับมือของเขาข้างที่ตีนางเมื่อครู่ขึ้นมาแล้วกัดลงไปพลางยกมือขึ้นข่วนหน้าของเขา
ฉู่จิ้งเฟิงเจอศัตรูมานับไม่ถ้วน แต่หญิงบ้าแบบนี้ได้เจอเป็นครั้งแรก แม้จะยับยั้งนางได้อย่างไม่ต้องใช้แรงมาก แต่เห็นท่าทางนางทั้งข่วนทั้งกัดเช่นนี้ ขณะที่เขาโมโหก็รู้สึกว่าท่าทางเหมือนลูกสุนัขนี้ก็น่ารักมากเช่นกัน… เพียงแค่เหม่อก็ทำให้นางได้เปรียบ บนหน้าถูกข่วนเป็นรอยเลือดหนึ่งรอย
เขารีบยกมือสองข้างของนางขึ้น แล้วกดตัวนางลงบนเตียง “หลี่รั่วอวี๋! เจ้าเป็นบ้าอะไร เมื่อวานบอกว่าไม่อยากเป็นเหมือนชายผู้นั้นที่ทั้งทุบและพังของไม่ใช่หรือ เหตุใดวันนี้จึงลงมือทำร้ายคนเล่า”
ถูกเขาตะคอกเช่นนี้ ร่างเล็กใต้มือก็ตัวเกร็งไปทันที
ฉู่จิ้งเฟิงเห็นใบหน้าน้อยเนื้อต่ำใจนั้นค่อยๆ ฉายความเศร้าใจจึงคลายมือ แล้วพูดตำหนิอีกว่า “ถ้ายังบ้าแบบนี้ต่อไป จะไม่ทุบตีแม้แต่ท่านแม่เจ้าหรอกหรือ ข้าว่าวันนี้อย่ากลับบ้านเลย เจ้าอยู่สำนึกในห้องนี้เถอะ”
พอพูดถึงตรงนี้ หลี่รั่วอวี๋ก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้คลุ้มคลั่ง แต่ขดตัวเป็นก้อนกลม ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ทะลักล้นออกมา “ไม่! ข้าต้องการท่านแม่ ข้าจะกลับบ้าน!”
ฉู่จิ้งเฟิงเดิมทีคิดจะขู่นาง แต่เห็นนางร้องไห้เสียใจขึ้นมาจริงๆ ก็ใจอ่อนลงทันที จึงพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนลง “ถ้าเจ้าเป็นเด็กดี ข้าจะพาเจ้ากลับบ้านแน่นอน ตอนนี้พูดสิว่าตัวเองทำผิดที่ใด”
หลี่รั่วอวี๋คิดเพียงว่าทุกคนที่นี่ล้วนเป็นคนเลว คนผมขาวตรงหน้าเป็นอันดับแรก และเป็นผู้นำคนเลว ตอนนี้นางเพียงอยากจะกลับไปข้างกายท่านแม่ ได้ยินเขาพูดออกมาก็รีบวางมือลง ทำตาแดง พูดปนสะอื้นว่า “รั่ว… รั่วอวี๋ผิดไปแล้ว ไม่ควรตื่นขึ้นมาขอน้ำจากพี่สาวตอนดึก… ผมก็ต้องยอมให้นางกระชาก… ต่อไปรั่วอวี๋จะไม่ทุบตีคนแล้ว…”
ฉู่จิ้งเฟิงเดิมทียังฟังด้วยรอยยิ้มยินดีบางๆ แต่ยิ่งฟังถึงส่วนหลัง สีหน้านั้นก็ยิ่งไม่น่าดู
คนเป็นชายแม้จะมีบางครั้งที่สะเพร่าไปบ้าง แต่เขารู้ว่าหลี่รั่วอวี๋ไม่มีทางโกหก ฟังความหมายในคำพูดนั้นแล้ว หลี่รั่วอวี๋ก็ได้รับความเจ็บช้ำใจจึงลงมือ
เขาพรวดลุกขึ้นยืน ตะโกนออกไปนอกห้องทันที “เข้ามาให้หมด!”
เหล่าสาวใช้บ่าวหญิงอาวุโสนอกห้องตกใจจนหน้าซีด รีบเข้ามาคุกเข่าเต็มพื้นห้อง
“เมื่อคืนในห้องฮูหยินผู้ใดอยู่เวร”
ซูเหมยเห็นคนรอบข้างล้วนมองมาที่ตนเองจึงพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “เรียนซือหม่า บ่าวเองเจ้าค่ะ…”
“เมื่อคืนตอนดึกฮูหยินเรียกขอน้ำดื่มจากเจ้าหรือ”
สีหน้าของซูเหมยเปลี่ยนไป เมื่อวานตอนพี่สาวกลับมา เห็นนางนอนอยู่ในห้อง จึงออกไปนอนพักนอกห้อง นอกจากซูซิ่วแล้ว ยังมีบ่าวหญิงอาวุโสอีกผู้หนึ่งเฝ้าอยู่นอกห้อง หลี่รั่วอวี๋ตะโกนขอน้ำดื่ม คิดว่าบ่าวหญิงอาวุโสผู้นั้นคงได้ยินเช่นกัน พูดบิดเบือนไม่ได้ จึงได้ฝืนใจตอบว่า “เป็นความผิดของบ่าวเอง เมื่อคืนนอนหลับสนิท ไม่ได้ยินเสียงเรียกของฮูหยิน…”
ชั่วขณะต่อมา ฉู่จิ้งเฟิงก็เตะเท้าออกไป
ซูเหมยถูกเตะไปติดบานประตู ก่อนจะร้องครวญด้วยความเจ็บปวด
“สารเลว! เมื่อวานถามเรื่องของฮูหยิน ถามอะไรเจ้าก็ไม่รู้ กลางคืนอยู่เวรเจ้ากลับนอนหลับเหมือนหมูตาย หวีผมก็ไม่รู้หนักเบา เอาคนอย่างเจ้ามาปรนนิบัติในห้อง ข้าว่าช้าเร็วเจ้าต้องยกตัวเองขึ้นมาเป็นนายแน่นอน! ถ้าไม่เห็นว่าเจ้าเป็นคนที่ท่านพี่ส่งมา ต้องไว้หน้านางบ้าง ข้าจะขายเจ้าออกนอกคฤหาสน์ไป! พ่อบ้าน! ลากนางกำนัลเลวผู้นี้ไปลงโทษตามกฎบ้าน! ไม่ต้องให้นางกลับมาในเรือนนี้แล้ว ต่อไปให้เป็นสาวใช้ทำงานใช้แรงเรือนนอกก็แล้วกัน!”
เหล่าบ่าวไพร่ล้วนรู้ว่าฉู่ซือหม่าผู้นี้ดีต่อบ่าวไพร่พอใช้ได้ แม้ท่าทีจะเย็นชา เข้าหาได้ยาก แต่อย่างไรเสียก็มีชาติกำเนิดสูงถูกเลี้ยงดูอย่างดี ไม่เหมือนเจ้านายในคฤหาสน์อื่นที่ทรมานและทุบตีบ่าวไพร่
ซูเหมยนับว่าเป็นนางกำนัลที่มีหน้าตาพอสมควร วันนี้ถูกฮูหยินปัญญาอ่อนนั่งทุบตีบนตัว เดิมคิดว่าจะถูกซือหม่าตำหนิยกใหญ่ แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกซือหม่าเตะเข้าอย่างแรง ทั้งยังถูกไล่ออกจากเรือนในต่อหน้าทุกคนอีกด้วย
ซูเหมยรู้สึกเสียใจ แต่ต่อให้ร้องไห้อ้อนวอนอย่างไรก็ไม่ทันการณ์แล้ว นางถูกปิดปากแล้วลากตัวออกไปทันที
บทที่เก้า
บ่าวไพร่คนอื่นในห้องไม่กล้าแม้แต่จะหายใจดัง ฉู่จิ้งเฟิงพูดอย่างไม่คลายโกรธว่า “ครึ่งหนึ่งของพวกเจ้าท่านหญิงเลือกมาให้ปรนนิบัติฮูหยินคนใหม่ สัญญาขายตัวของพวกเจ้าก็ย้ายมาที่สกุลฉู่ด้วย อีกไม่กี่วันก็ต้องกลับทางเหนือแล้ว ล้วนต้องติดตามไปด้วยกัน เดิมคิดว่าในเมื่อเป็นคนในจวนท่านหญิงคงจะรู้กฎระเบียบดี คิดไม่ถึงว่ายังมีบ่าวไพร่ที่ฝึกฝนไม่ได้อยู่ด้วย! แม้ฮูหยินจะป่วย แต่หากผู้ใดใช้เหตุผลนี้ลบหลู่ไม่ให้เกียรตินาง ถ้าข้ารู้ ครั้งหน้าจะไม่ใช้กฎบ้าน แต่จะใช้กฎทหาร โบยจนตายให้จบเรื่อง!”
เสียงพูดของฉู่จิ้งเฟิงไม่ดัง แต่บ่าวทั้งห้องล้วนรู้ว่าคำพูดของเขาเป็นจริงได้ทุกคำ ในจวนซือหม่าหากมีบ่าวไพร่ตายก็ไม่สนใจสัญญาขายตัวอะไร ทำเหมือนบี้มดตัวหนึ่งให้ตายเท่านั้น
ฉู่จิ้งเฟิงพูดถึงตรงนี้ก็เลื่อนสายตาไปทางซูซิ่ว “เจ้ากับซูเหมยนั่นเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันสินะ”
ซูซิ่วฟังเข้าใจความหมายในคำพูดของฉู่จิ้งเฟิงจึงตกใจจนหน้าซีด ขาอ่อนพับ ในใจนึกโกรธน้องสาวที่ไม่รู้ความของตนเอง เอาแต่ฝันกลางวัน ทำให้ตนเองต้องพลอยลำบากไปด้วย นางจึงรีบโขกหัวแล้วพูดว่า “นายท่านใจกว้าง ยอมปล่อยน้องสาวที่ไม่รู้ความของบ่าว นางมือเท้าหนักมาแต่เด็ก ไม่เหมาะจะปรนนิบัติคนสูงศักดิ์อยู่แล้ว ตอนนี้ไปทำงานเรือนนอกก็เป็นผลลัพธ์ที่นางไม่รู้จักปรับปรุงตัว ขอนายท่านคลายโกรธอย่าให้กระทบถึงสุขภาพ ต่อไปบ่าวจะปรนนิบัติฮูหยินอย่างเต็มที่ จะไม่ให้ฮูหยินไม่สบายตัวแม้แต่น้อย!”
ฉู่จิ้งเฟิงมองด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่งก็รู้ว่าซูซิ่วเป็นคนขี้ขลาดและวางตัวอยู่ในกฎระเบียบ ไม่กล้าทำการแก้แค้นแน่นอน กอปรกับนางเป็นคนละเอียด ปรนนิบัติหลี่รั่วอวี๋นับว่าทำอย่างเต็มที่ หากเปลี่ยนนางไปก็น่าเสียดาย
การเชือดไก่ให้ลิงดูในครั้งนี้ มีน้องสาวให้เห็นเป็นตัวอย่าง เชื่อว่านางคงไม่กล้าทำอะไรเกินเลยแม้แต่น้อย!
เขาจึงพูดสั่งการอีกหลายคำ แล้วให้ทุกคนออกไปจากห้อง
ตอนที่เขาพลิกม่านเตียงมองหญิงสาวบนเตียง หลี่รั่วอวี๋หยุดร้องไห้แล้ว แต่แววตาที่มองเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “พี่ฉู่เป็น… เจ้าถิ่น… กักขฬะหรือ ไปทุบตีบ่าวไพร่เองเช่นกันหรือ”
ฉู่จิ้งเฟิงหน้านิ่ง รู้สึกขึ้นมาทันใดว่านางในตอนนี้ไม่โง่ ทั้งยังใช้คำพูดของเขามาตบหน้าเขาเสียด้วย!
เพราะเรื่องวุ่นวายตอนเช้านี้ ทำให้ฉู่จิ้งเฟิงออกจากจวนสายในที่สุด
รถม้าออกจากเมืองซูเฉิงมานานพอควร ภายในรถเงียบสนิทไร้เสียง ฉู่จิ้งเฟิงกระแอมอย่างอึดอัด ก้มหน้าลงถามหญิงสาวที่แอบเล่นชีเฉี่ยวป่าน* อยู่ตรงมุมรถ “รั่วอวี๋กระหายน้ำหรือไม่ อยากกินแตงหวานสักชิ้นหรือไม่”
หลังจากพูดประชดเขาตอนเช้าแล้ว หญิงโง่ผู้นี้ก็ไม่สนใจเขาอีกเลย ถือกล่องของเล่นของตนเองเล่นอย่างสนุกสนาน ในตอนนี้นางดึงตุ๊กตาผ้าออกมาตัวหนึ่ง เริ่มด้วยการลูบผมเปียที่ทำจากขนแผงคอม้าก่อน จากนั้นก็ดึงมือของตุ๊กตาผ้าแล้วตีแรงๆ สามที “เด็กไม่ดี ต้องตี ทำผิดอีกจะไม่ให้เจ้าพบท่านแม่!”
ฉู่จิ้งเฟิงรู้สึกว่าตนเองนั่งต่อไปไม่ไหวแล้ว ซือหม่าที่มีความชอบยิ่งใหญ่ของต้าฉู่ รู้สึกเพียงว่าใบหน้าที่ไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องถูกนาง ‘ตบ’ จนแสบร้อน
เห็นสาวน้อยยังไม่หมดสนุกอยากจะอบรมตุ๊กตาผ้าอีก ฉู่จิ้งเฟิงทำได้เพียงดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด หยิบแตงหวานชิ้นหนึ่งบนโต๊ะยื่นไปที่ปากของนาง แล้วพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เด็กดี กินสองสามคำแล้วค่อยไปเล่นใหม่นะ”
หลี่รั่วอวี๋ส่ายหน้า ไม่ยอมช้อนตามองเขาเลย ฉู่จิ้งเฟิงสีหน้าเย็นชา ท่าทางเช่นนี้หากผู้อื่นเห็นเข้า คงตกใจจนฉี่รดกางเกงแน่นอน แต่น่าเสียดายในสายตาของคนปัญญาอ่อนผู้นี้ ท่าทางของฉู่จิ้งเฟิงก็เหมือนเป็นสิ่งลวง ไม่มีผลอะไรต่อนางเลย
และวันนี้ที่ตีหลี่รั่วอวี๋ไปสองสามทีนั้น ตอนนี้ย้อนคิดดูแล้ว เหมือนจะใช้แรงตีจนเสียงดังมาก ทำเกินไปบ้าง เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฉู่จิ้งเฟิงจึงสะกดไฟโกรธลง แล้วตั้งใจพูดเสียงอ่อนโยน “ถ้าไม่กินแตงหวาน คุยอะไรกับข้าสักครู่ได้หรือไม่ บอกข้าสิว่าอีกครู่พบท่านแม่แล้วเจ้าจะพูดอะไร”
ได้ยินฉู่จิ้งเฟิงถามเช่นนี้ หลี่รั่วอวี๋จึงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงพูดว่า “จะบอกท่านแม่ว่ารั่วอวี๋จะเป็นเด็กดี อย่ามอบรั่วอวี๋ให้กับคนเลว…”
วันนี้นางทำมวยผมทรงโหนอาชา* ปักปิ่นหงส์เอียงข้างเอาไว้ ไม่หวีผมหน้าม้าเหมือนหญิงสาวทั่วไปแล้ว แต่รวบขึ้นเปิดหน้าผากขาวสะอาด ทับทิมสีแดงกลางหว่างคิ้วทำเป็นรูปดอกไม้ ดูแล้วงดงามเป็นพิเศษ แต่การแต่งกายแบบผู้ใหญ่นี้กลับประกอบกับแววตาไร้เดียงสา ท่าทางเช่นนี้กลับดึงดูดใจคน ทำให้ชายหนุ่มไม่อาจควบคุมตนเองได้
พอพูดถึงคำว่า ‘คนเลว’ นางก็ถลึงสองตา เชิดปลายคางขึ้น พลางกวาดตามองเขาแวบหนึ่ง
ฉู่จิ้งเฟิงถูกแววตาของนางทำให้ใจลอย ไม่สนใจว่าเมื่อครู่ถูกด่า โน้มเข้าไปอยากจะจุมพิตริมฝีปากแต้มสีชาดของนาง แต่หลี่รั่วอวี๋แยกแยะได้ วันนี้เขาตีนางทำโทษนาง แล้วคิดจะมากินปากนาง นางไม่ให้เด็ดขาดจึงตั้งใจจะหลบเลี่ยง
น่าเสียดายที่ไฟราคะของฉู่จิ้งเฟิงปะทุขึ้นแล้ว ไม่ได้ลิ้มรสหวานบ้างมีหรือจะยอมถอย
เดิมทีการเดินทางกลับบ้านเจ้าสาวครั้งนี้วางแผนไว้อย่างดีเยี่ยม ในตัวรถม้าเล็กๆ นี้ตกแต่งได้เหมาะสมยิ่ง เดินทางโคลงเคลงไปถึงเมืองเหลียวเฉิง ขังนางเอาไว้แต่ในตัวรถ สะดวกแก่การลงมือ เป็นการเปิดโลกบางอย่างให้แก่นาง และนับว่าเป็นการปลอบใจให้กับความ ’คิดถึง’ ของตนเอง
แต่การตีสามทีนั้นทำให้แผนการอันงดงามสลายไปหมดสิ้น หญิงสาวที่เดิมทียังยอมให้เขาจูบ ตอนนี้กลับมีท่าทีตื่นตระหนกเหมือนสัตว์ป่าวิ่งหนีน้ำ ทำให้เขารู้สึกโมโหมาก… คิดถึงที่นางพูดเมื่อครู่ว่าจะไปจากเขา เขาจึงทำการรุนแรง ยึดลิ้นเล็กของนางไว้ไม่ยอมปล่อย หลอกล่อให้ลิ้นหวานนั้นสอดเข้ามาในปากของเขา จากนั้นตวัดดูดดึง จนกระทั่งร่างเล็กแข็งเกร็งในอ้อมกอดค่อยๆ อ่อนลง กลายเป็นน่ากินยิ่งขึ้น
หลี่รั่วอวี๋ถูกชายหนุ่มจุมพิตจนไร้เรี่ยวแรง ทำได้เพียงอ่อนพับอยู่ในอ้อมกอดของเขา ในจมูกล้วนมีแต่กลิ่นน่าดมจากตัวเขา นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พอชายหนุ่มกินปากของนาง ตัวนางจะไร้เรี่ยวแรง หรือเขาจะเป็นปีศาจในหนังสือภาพของน้องชายที่มาดูดปราณของคนโดยเฉพาะ
ฉู่จิ้งเฟิงไม่รู้ว่าในใจหญิงงามคิดไปส่งเดชเช่นนั้น รู้สึกเพียงว่าจุมพิตจนไฟราคะลุกโชน แต่เพราะเดินทางไกล ใต้กระโปรงของหลี่รั่วอวี๋จึงสวมกางเกงขาสอบเพื่อสะดวกในการเดินทางผ่านป่า จะได้ไม่มียุงหรือแมลงบินเข้ามา แต่กางเกงแบบนี้ลวนลามได้ไม่ค่อยสะดวก มือของฉู่จิ้งเฟิงที่บีบคลึงทรวงอกสาวงามจึงค่อยๆ เลื่อนลงต่ำ สอดเข้าไปในกระโปรงซ้อนหลายชั้น ลูบไปตามเรียวขาผ่านกางเกงกั้น ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนสูงขึ้น…
แม้จะโง่ทึ่มไป แต่ความรู้สึกของความเป็นหญิงยังคงอยู่ ส่วนที่ถูกแตะย่อมมีปฏิกิริยาตอบสนอง หลี่รั่วอวี๋รู้สึกร้อนรนใจจึงออกแรงข่วนหน้าฉู่จิ้งเฟิง
รอยเก่าบนหน้าฉู่จิ้งเฟิงยังไม่จาง จะเติมรอยใหม่อีกไม่ได้ เขาจึงชักมือออกจากใต้กระโปรงมาคว้าข้อมือนางเอาไว้
หลี่รั่วอวี๋ถูกเขาลูบส่วนต้องห้าม ไม่รู้ว่าเหตุใดใบหน้าจึงร้อนผ่าว แต่ร่างของชายหนุ่มร้อนยิ่งกว่า เขาพาดอยู่บนตัวนางพลางหายใจหอบ หลี่รั่วอวี๋ช้อนตามองไปอย่างสงสัย กลับพบว่าเขาหลับตาแน่น รับรู้ว่านางไม่ขัดขืนอีกแล้ว จึงพลิกตัวไปนอนอยู่ข้างกายนาง
หลี่รั่วอวี๋ดึงกระโปรงพลางพลิกตัวมาทับแผ่นอกของเขา ในตอนนี้แสงแดดส่องเข้ามาในรถ ส่องกระทบใบหน้าของเขา จมูกโด่งสูง และริมฝีปากบางล้วนน่าดูมาก ยังมีดวงตาที่ปิดสนิทนั้น…
หลี่รั่วอวี๋สงสัยว่าเหตุใดเขาจึงอยากจะจูบนาง จึงใช้ปากเล็กจูบแก้มและปลายจมูกของเขาอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็แตะที่ริมฝีปากเขาราวผีเสื้อเกาะ รู้สึกว่ามันก็เท่านี้ ไม่เห็นมีรสชาติหวานเป็นพิเศษอะไรเลย
ฉู่จิ้งเฟิงนอนนิ่งอยู่กับที่ปล่อยให้นาง ‘ลวนลาม’ แต่พยายามสะกดไฟปรารถนาที่คนร่างเล็กเป็นคนปลุกปั่นนั้นให้สงบลง แม้จะไม่ส่องกระจก เขาก็รู้ว่าดวงตาประหลาดของเขาคงเปลี่ยนสีไปอีกแล้ว ทั้งยังเห็นว่าใกล้จะเข้าเมืองเหลียวเฉิงแล้ว หากทำให้หลี่รั่วอวี๋ตกใจร้องไห้อีก คงไม่ต้องเข้าบ้านแม่ยายจริงๆ แล้ว
พอเข้าเมืองเหลียวเฉิง รถม้าก็ลดความเร็วลง เมืองเหลียวเฉิงไม่ใหญ่ ชาวเมืองมีชีวิตเรียบง่าย เพิ่งกินเลี้ยงที่อุดมสมบูรณ์ของซือหม่าไป รสชาติสุราและเนื้อชั้นดีในปากยังไม่ทันจางหาย จะไม่นึกถึงความดีของคนเขาได้อย่างไร เมื่อเห็นขบวนรถหรูหราเข้าเมืองมาก็เดาได้ว่าซือหม่าพาเจ้าสาวคนใหม่กลับมาเยี่ยมบ้านเกิด
เพียงชั่วครู่เด็กกลุ่มหนึ่งก็วิ่งตามขบวนรถกันอย่างสนุกสนาน สองฟากถนนมีชาวบ้านเบียดกันมาแสดงความยินดี ราวกับมาต้อนรับเขยของคนเมืองเหลียวเฉิงทั้งเมือง
ไปถึงหน้าประตูใหญ่ ฉู่จิ้งเฟิงก็สั่งการพ่อบ้านที่สอบถามประเพณีของเมืองเหลียวเฉิงมาอย่างดี ให้มอบเงินขวัญถุงให้กับพวกเด็กๆ ที่วิ่งตามหลังรถ
เงินขวัญถุงสำหรับการแต่งงานนี้ปกติแล้วให้คนละหนึ่งอีแปะก็พอ แต่พ่อบ้านกลับให้ทองเท่าเมล็ดถั่ว ไม่ว่าผู้ใดก็มีสิทธิ์ได้ ทำให้ทุกคนพากันโจษจันว่าคุณหนูรองหลี่แต่งเข้าบ้านคนมีฐานะสูงศักดิ์แล้วจริงๆ!
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่สั่งให้คนสาดน้ำล้างทางไว้แต่เช้า รอให้บุตรเขยพาบุตรสาวคนรองกลับมาเยี่ยมบ้าน
ก่อนเข้าเมือง ฉู่จิ้งเฟิงให้หล่งเซียงแต่งหน้าให้คุณหนูใหม่ จัดแต่งเสื้อผ้ากระโปรงให้เรียบร้อย ในตอนนี้ลงจากรถม้าก็กลายเป็นฮูหยินน้อยที่มีความงามสง่า
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มองดูบุตรสาวเรียก “ท่านแม่” อย่างเบิกบานใจ ท่าทางผิวพรรณเนียนนุ่มอมชมพู หัวใจที่ลอยคว้างก็วางลงได้ครึ่งหนึ่ง เรียกให้บุตรสาวกับฉู่ซือหม่าบุตรเขยสูงศักดิ์ล้างมือเข้าบ้านอย่างสบายใจ
เพราะกลับมาบ้านเกิด บุตรสาวจะนอนห้องเดียวกับบุตรเขยไม่ได้ จะได้ไม่นำเอาโชคลาภของบ้านเกิดไปด้วย ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จึงจัดให้ฉู่จิ้งเฟิงนอนในห้องหลักที่ว่างโล่งห้องหนึ่งในคฤหาสน์ ส่วนบุตรสาวคนรองนอนในห้องเดิมของนางตอนที่ยังไม่แต่งงาน
รอตกกลางคืน ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จึงหาเวลาว่างเข้าห้องไปพูดคุยกับบุตรสาวคนรอง
หลี่รั่วอวี๋เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ สวมชุดลำลองสีกลีบบัว นั่งอยู่ข้างแท่นไม้คล้องนกเล่นกับนกแก้วจี๋เฟิง ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เดินเข้าไปโอบตัวบุตรสาวคนรอง หลังจากถามเรื่องอาหารการกินสองสามวันนี้ที่เมืองซูเฉิงแล้ว นางก็มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นสาวใช้แปลกหน้าที่คอยปรนนิบัติบุตรสาวสองสามคนนั้นไม่อยู่จึงลอบถามว่า “ซือหม่าดีกับลูกหรือไม่”
หลี่รั่วอวี๋คิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้า แล้วส่ายหน้าอีกครั้ง
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เอ่ยถามขึ้นทันที “หมายความว่าอย่างไร”
หลี่รั่วอวี๋ตอบว่า “พี่ฉู่บอกว่าวันหน้าจะให้ข้าไปหอเรียน เป็นเรื่องดี แต่เขาตีข้า เป็นเรื่องไม่ดี”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ฟังถึงตรงนี้ก็ตกใจใหญ่ รีบดึงตัวบุตรสาวมาตรวจดูทั่วตัวแล้วถามอย่างตื่นตระหนก “เขาตีเจ้าที่ใด”
หลี่รั่วอวี๋ชี้ไปที่ฝ่ามือของตนเอง แล้วไม่ลืมที่จะพูดเสริมว่า “เขาไม่เพียงตีข้า…ยังตีบ่าวไพร่ด้วย กักขฬะอย่างมาก”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กุมมือขาวนวลนั้นเอาไว้ พลิกดูจนทั่ว ผิวพรรณขาวนวลทุกอณู เล็บนิ้วที่ตัดแต่งทาสีแดงด้วยสีทาเล็บที่ขึ้นชื่อ ทว่าไม่เห็นรอยบวมแม้แต่น้อย ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ช้อนตาขึ้นมองไล่ไปตามมืองามและแขนก็เห็นจุดพรหมจรรย์ที่แลบออกมาจากคอเสื้อนั้นยังอยู่ดีไม่จางหาย
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ตกใจอีกครั้ง ในใจมีเกลียวคลื่นถาโถมทันที ไม่สนใจความขวยเขินของบุตรสาว เอ่ยถามตามตรงว่า “เขานอนกับเจ้าแล้วหรือยัง”
หลี่รั่วอวี๋ไม่รู้ว่าเหตุใดท่านแม่จึงพูดแต่จุดนี้ไม่ยอมปล่อย แต่ก็ตอบตามตรง “นอนด้วยกันแล้ว”
“แล้ว…เขาแตะต้องเจ้าหรือไม่”
หลี่รั่วอวี๋ตอบอย่างไม่ขวยเขินว่า “เขาจูบนมของรั่วอวี๋ ยังแตะตรงนี้ด้วย” นางพูดพลางชี้ไปบริเวณใต้สะดือของตนเอง
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ฟังแล้วก็หน้าแดงทันที รู้สึกไม่สบายใจ… อมิตาภพุทธ มิน่าเล่าจึงอยากจะแต่งกับรั่วอวี๋ของพวกเรา เห็นเขารูปร่างสูงใหญ่ แต่กลับท่าดีทีเหลว คืนแต่งงานอยู่บนเตียงด้วยกัน แต่ร่างกายของบุตรสาวยังไม่มีตำหนิใด เห็นได้ว่าซือหม่าใช้ไม่ได้ ที่อยากจะแต่งกับคนปัญญาอ่อนที่ไม่รู้เรื่องราว ที่แท้ก็เพื่อปิดบังโรคของตนเองต่อหน้าคนอื่น
หลังจากเข้าใจจุดนี้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็พอวางใจลงได้ ขณะที่สงสารบุตรสาว นางก็ค่อยๆ มั่นใจขึ้น
ในเมื่อเรื่องนี้เขาไม่ไหว ภายหน้าก็ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะรับอนุมาทำให้บุตรสาวทนทุกข์แล้ว เพียงแค่สงสารบุตรสาว มิต้องอยู่โดดเดี่ยวไปชั่วชีวิตหรือไร
หลี่รั่วอวี๋กลับรู้สึกว่าท่านแม่ถามไม่ถูกประเด็น ตนเองถูกตี เรื่องร้ายแรงเช่นนี้ท่านแม่เหมือนไม่เก็บมาใส่ใจ นางจึงยู่ปาก
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ลูบผมของบุตรสาว คิดถึงหลี่เสวียนเอ๋อร์เห็นรูปท้องชัดเจนแล้ว โจวอี๋เหนียงใกล้จะได้เป็นยายแล้ว แต่บุตรสาวคนรองของตนเองกลับถูกกำหนดให้ไม่มีผู้สืบทอด ในใจก็รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย
ในตอนวันแต่งงานส่งหลี่รั่วอวี๋ออกไป ผู้เฒ่าผู้นำสกุลหลี่ก็หาเวลาว่างมาพูดคุยกับนาง ความหมายคร่าวๆ ก็คือ หลี่เสวียนเอ๋อร์ไปร้องที่ศาลบรรพชนเรื่องที่ท่านแม่ตนเองถูกฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไล่ออกจากคฤหาสน์สกุลหลี่
เรื่องมาถึงวันนี้ นางไม่หวังว่าท่านแม่จะกลับเข้าคฤหาสน์สกุลหลี่ แต่ป้าย ‘ฝ่าคลื่นล่องทะเล’ ที่เป็นลายมือของอดีตฮ่องเต้ที่แขวนสูงไว้บนศาลบรรพชนสกุลหลี่ต้องมอบให้กับผู้สืบทอดเคล็ดวิชาการต่อเรือสกุลหลี่ที่แท้จริง
ส่วนนางหลี่เสวียนเอ๋อร์เป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียว สกุลหลี่ตอนนี้มีเพียงชื่อเปล่า แม้หลี่รั่วอวี๋จะแต่งงานกับซือหม่า ก็ไม่คู่ควรจะครอบครองป้ายสกุลต่อเรือนี้!
ไม่โทษที่ผู้เฒ่าผู้นำสกุลหลี่มาพูดคุยแทนหลี่เสวียนเอ๋อร์ วิชาต่อเรือนี้เป็นรากฐานชื่อเสียงของสกุลหลี่ สกุลอื่นแม้จะไม่มีวาสนาได้เคล็ดวิชา แต่อู่เรือของสกุลหลี่แต่ละรุ่นล้วนมอบเงินรายได้จำนวนหนึ่งเข้าศาลบรรพชน เพื่อเป็นเงินกองกลางของสกุลหลี่ และเป็นเครื่องหมายของการได้ดีแล้วไม่ลืมรากเหง้า
ส่วนหลี่เสวียนเอ๋อร์ก็แสดงท่าทีทั้งเปิดเผยและเป็นนัยว่า หากไม่มอบแผ่นป้ายให้นาง วิชาของสกุลหลี่ก็จะต้องเปลี่ยนไปใช้แซ่เสิ่นนับจากนี้ นี่เป็นสิ่งที่ผู้เฒ่าสกุลหลี่รับผิดชอบไม่ไหว หนังสือประจำสกุลหน้าแรกบันทึกไว้ว่า… ‘สกุลหลี่ที่มาจากทะเลใต้ชำนาญการต่อเรือ ผ่านไปร้อยรุ่นก็ไม่เสื่อมถอย…’
หากมาถึงรุ่นของเขาแล้วต้องหยุดลง ไม่ต้องถูกด่าว่าเป็นลูกหลานสกุลหลี่ที่ไม่มีความสามารถไปหรือ
เมื่อเขาร่ายผลดีผลเสียให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ฟังแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็รู้สึกว่าคำด่านี้หนักเกินไป แต่จะให้นางมอบป้ายเกียรติยศของสกุลหลี่ให้กับลูกภรรยารองที่ลอบเรียนวิชาและขาดคุณธรรมผู้นั้น นางเองก็ไม่ยอม
ผู้เฒ่าผู้นำสกุลหลี่ถอนหายใจ บอกนางหากไม่อดทนกับเรื่องเล็กน้อยจะทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่โต หลี่เสวียนเอ๋อร์นั่นก็ไม่อยากให้ชื่อเสียงเป็นหญิงที่ขาดคุณธรรมแล้วต้องเพิ่มข้อหาที่ว่าถูกแม่ใหญ่ไล่ออกจากบ้านอีกกระทง ตอนนี้การแต่งงานของบุตรสาวคนรองหลี่รั่วอวี๋ดีกว่าครั้งแรก ยังมีอะไรจะทนไม่ได้อีก สู้อภัยให้หลี่เสวียนเอ๋อร์ ให้นางดูแลอู่เรือ ทำงานต่อเรือที่หลี่รั่วอวี๋ยังทำไม่สำเร็จ ภายหน้าหากเสียนเอ๋อร์เติบโตแล้ว หากนางยังเห็นแก่ความดีของสกุลหลี่ก็ถ่ายทอดวิชาต่อเรือให้น้องชายก็พอ
‘ภาพครอบครัวสุขสันต์’ อันงดงามที่ผู้เฒ่าผู้นำสกุลหลี่วาดขึ้นมาภาพนี้เป็นเพียงความปรารถนา แต่พอฮูหยินผู้เฒ่าหลี่คิดถึงเรื่องใบรายการสั่งซื้อของอู่เรือที่ใกล้จะถึงกำหนดแล้วก็หัวโต
ช่างของอู่เรือล้วนมีความเชี่ยวชาญ ไม่ว่าทำงานร่วมกับผู้ใดก็สามารถต่อเรือใหญ่ธรรมดาลำหนึ่งออกมาได้ แต่เรือสินค้าของสกุลหลี่ก็ดี เรือรบก็ช่าง ล้วนมีเอกลักษณ์แตกต่างจากเรือลำอื่น ฝีมือในการคัดเลือกไม้ วัตถุดิบที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ยังมีฝีมือการวัดมุมเรือและวางรายละเอียดอีก
ด้วยเคล็ดวิชาที่ไม่ถ่ายทอดให้แก่ผู้ใดซึ่งแม้แต่คนงานเก่าเหล่านี้ก็ไม่รู้ ทำให้เรือของสกุลหลี่ถูกอดีตฮ่องเต้ทรงชื่นชมว่าเป็น ‘ฝ่าคลื่นล่องทะเล’
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ครุ่นคิดไปมา คิดว่าวิชามหัศจรรย์ของสกุลหลี่จะถูกทำลายด้วยมือหญิงเช่นตนไม่ได้ จึงเตรียมจะอดกลั้นความโกรธนั้น รับหลี่เสวียนเอ๋อร์กลับมา อย่างไรเสียนางก็เป็นบุตรสาวสกุลหลี่ หากไล่นางออกไป ทำให้เคล็ดวิชาของสกุลหลี่เผยแพร่สู่คนนอก ตนไม่กลายเป็นคนผิดของสกุลหลี่ไปหรือ
ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จึงยอมรับให้ผู้เฒ่าผู้นำสกุลหลี่อีกสองวันนำโจวอี๋เหนียงกับหลี่เสวียนเอ๋อร์กลับมาบ้าน และข้อเสนอในการเจรจาระหว่างสองฝ่าย
บุตรสาวคนโตหลี่รั่วฮุ่ยย่อมไม่ยอมรับ แต่นางก็หาวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ได้ ด้วยความโมโหจึงรีบกลับบ้านหลังจากพิธีแต่งงานในทันที จะได้ไม่ต้องเห็นโจวอี๋เหนียงสองแม่ลูกให้รำคาญใจ
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่แม้จะตัดสินใจแล้ว แต่นางเป็นคนตัดสินใจไม่เด็ดขาดมาแต่ไหนแต่ไร ก่อนหน้านี้มีเรื่องอะไรก็ไม่ต้องให้นางเป็นกังวล หากเป็นตอนที่ตัดสินใจไม่ได้ยังสามารถปรึกษาลูกคนรองได้ แต่ตอนนี้คิดไปคิดมา นางจึงตัดสินใจจะพูดเรื่องนี้กับลูกเขยที่เพิ่งกลับมาเยี่ยมบ้านผู้นี้
แต่ฉู่จิ้งเฟิงนั้นแค่มองก็รู้ว่าเป็นคนที่เข้าใกล้ได้ยาก เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็ไม่กล้า แต่พอได้รู้เรื่องอาการป่วยของลูกเขย ก็รู้สึกว่าลูกเขยผู้เย็นชาและสูงศักดิ์ก็มีข้อด้อยที่เทียบคนอื่นไม่ได้เช่นกัน ทำให้นางโล่งใจลงได้บ้าง จึงมีความกล้าจะพูดคุยกับลูกเขย
ดังนั้นตอนกินอาหารเช้าวันที่สองหลังจากกลับมาเยี่ยมบ้าน นางจึงเล่าเรื่องนี้ให้ฉู่จิ้งเฟิงฟัง
ฉู่จิ้งเฟิงวางตะเกียบฟังฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จนจบอย่างอดทน คิดสักครู่จึงพูดว่า “ท่านแม่ยายมั่นใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่หลี่เสวียนเอ๋อร์แอบฝึกก็คือวิชามหัศจรรย์ของสกุลหลี่”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ถอนใจพูดว่า “เดิมทีข้าไม่เชื่อ แต่หลายวันก่อน เรือที่หลี่เสวียนเอ๋อร์ควบคุมการสร้างนั้นเคลื่อนมาที่อู่เรือของพวกเรา พวกคนงานเก่าแก่ในอู่เรือตรวจอย่างละเอียดแล้ว บอกว่าเป็นเรือตะลุยน่านน้ำวิธีการใหม่ในการต่อเรือของสกุลหลี่ และเรือแบบนี้สกุลหลี่ไม่ได้สร้างมาสามสิบปีเต็มแล้ว หลี่เสวียนเอ๋อร์อายุน้อย ถ้าไม่ได้ขโมยเรียนวิชาจะต่อเรือแบบนั้นออกมาได้อย่างไร และข้าได้เอากุญแจบนคอรั่วอวี๋ไปเปิดกล่องลับของนายท่านแล้ว ในนั้นแม้จะมีเคล็ดวิชาอยู่ แต่หมึกล้วนเป็นของใหม่ เห็นได้ว่าถูกหลี่เสวียนเอ๋อร์สับเปลี่ยนไป…”
ฉู่จิ้งเฟิงก้มหน้าครุ่นคิดสักครู่ เห็นหลี่รั่วอวี๋ข้างกายที่ยังพยายามจับตะเกียบอยู่จึงพูดว่า “รั่วอวี๋เคยต่อเรือให้ข้า ข้าจำได้ว่านางเคยพูดว่าวิชาการต่อเรือก็เหมือนคนฝึกวรยุทธ์ ผู้ฝึกระดับล่างฝึกเพียงกระบวนท่า ผู้ฝึกระดับสูงจะฝึกจิตวิญญาณของวรยุทธ์ ไม่เช่นนั้นก็ต่อยอดไม่ได้ วิชาการต่อเรือใช่ว่าจะฝึกได้เพียงข้ามคืน แม้หลี่เสวียนเอ๋อร์จะขโมยเรียนเคล็ดวิชา ก็ใช่ว่าจะทำสำเร็จได้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่ต้องรีบร้อนยอมรับนาง ตามที่ข้าดู นางรีบร้อนจะกลับมาแบบนี้ คงไม่ใช่เพียงเพื่อชื่อเสียงเท่านั้น สกุลหลี่ต้องมีอะไรที่นางอยากได้ ข้าจะให้รั่วอวี๋อยู่ที่นี่สักพัก รอพบพวกนางสองแม่ลูกแล้วค่อยว่ากัน”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ฟังเสียงพูดทุ้มนุ่มนวลของฉู่จิ้งเฟิงแล้วราวกับได้พบที่พึ่งทางใจ จึงวางใจลงได้ในที่สุด
ผ่านไปไม่กี่วัน หลี่เสวียนเอ๋อร์พาโจวอี๋เหนียงตามผู้เฒ่าผู้นำสกุลหลี่มาที่บ้านจริงๆ แต่คนที่มาด้วยกลับมีเสิ่นหรูป๋อ และเว่ยกงกงแห่งจวนสิ่งทอรวมทั้งคุณชายใหญ่สกุลไป๋ด้วย
ฉู่จิ้งเฟิงนั่งอยู่ตำแหน่งเจ้าบ้านในโถงรับแขกต้อนรับขบวน ‘แขกทรงเกียรติ’ ในใจลอบยิ้มเย็นชา ที่เขาตัดสินใจอยู่ต่อเห็นทีเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นด้วยนิสัยหัวอ่อนของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ ตอนนี้ไม่กลายเป็นต้องถูกเสือและหมาป่าเหล่านี้มาถึงบ้านรุมทึ้งกินลงท้องตามใจชอบหรือ
ไป๋ฉวนจงนั้นมีความสุขุม แย้มยิ้มพลางประกบมือคารวะฉู่จิ้งเฟิง บอกเพียงได้ยินว่าฉู่จิ้งเฟิงกลับมาเยี่ยมบ้านภรรยา ดังนั้นจึงฉวยโอกาสที่คนสกุลหลี่มารวมตัวกันมาพบเขาด้วย
หลังจากที่ผู้เฒ่าผู้นำสกุลหลี่พูดถึงเรื่องที่หลี่เสวียนเอ๋อร์จะกลับเข้าสกุล หลี่เสวียนเอ๋อร์นั่นก็ถามถึงเรื่องกรรมสิทธิ์ของอู่เรือด้วยความมั่นใจขึ้นมา
ฉู่จิ้งเฟิงเบื่อกับการหัวเราะเย็นชาแล้ว ในใจคิดว่าการคาดเดาของเขาถูกต้อง วิชาของหลี่เสวียนเอ๋อร์ยังไม่ลึกซึ้ง เพียงแค่เรียนรู้จากกระดาษเท่านั้น หากสกุลไป๋คิดจะต่อเรือใหญ่ที่ทรงอานุภาพ ก็หนีไม่พ้นคนงานที่สกุลหลี่ชุบเลี้ยงไว้นานปีและมีวิชาประสบการณ์มากมาย แต่คนงานสกุลหลี่ได้รับบุญคุณจากสกุลหลี่มานานนม มีความภักดีต่อครอบครัวผู้เป็นนาย เสิ่นหรูป๋อให้เงินจำนวนมากก็ดึงตัวไปไม่ได้ จึงได้คิดแผนน่าตื้นตันใจในการกลับเข้าสกุลนี้ ให้หลี่เสวียนเอ๋อร์กลับมาในสกุลหลี่ก่อน จากนั้นค่อยใช้เรื่องที่จะถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้บุตรชายคนเล็กของสกุลหลี่เป็นเหยื่อล่อ แย่งชิงอู่เรือของสกุลหลี่
คิดถึงตรงนี้ เขาจึงรีบชิงพูดตัดหน้าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ “เสิ่นฮูหยินบอกว่าได้เรียนรู้เคล็ดวิชาสกุลหลี่ แต่น่าเสียดายวิธีการเรียนรู้เป็นแบบไม่ถูกต้อง เจ้าจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเรือที่เจ้าสร้างขึ้นมาดีเท่ากับเรือของหลี่รั่วอวี๋ผู้สืบทอดตัวจริงของสกุลหลี่”
หลี่เสวียนเอ๋อร์วันนี้มาเยือนด้วยความสุขอยู่บ้าง เพราะเรือตะลุยน่านน้ำที่นางเพิ่งสร้างขึ้นใหม่แม้แต่คนงานเก่าในอู่เรือก็ชมไม่ขาดปาก นางก็ยิ่งมีความมั่นใจ การพูดคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นแม่สามีที่คฤหาสน์สกุลเสิ่นก็ยังมีความมั่นใจอย่างมาก หลายวันก่อน สามีอารมณ์ไม่ดีเพราะหลี่รั่วอวี๋แต่งงานกับผู้อื่น แต่หลายวันนี้กลับอ่อนโยนเอาใจนางอย่างมาก
ตอนนี้ขอเพียงนางใช้เคล็ดวิชาบังคับกลับมาในสกุลหลี่ หลังจากได้รับแผ่นป้ายพระราชทานและอู่เรือร้อยปีแล้ว ดูสิว่าคนในเมืองเหลียวเฉิงผู้ใดยังจะกล้าพูดจาไม่ดีลับหลังนางหลี่เสวียนเอ๋อร์อีก!
ทว่าตอนนี้ได้ยินคำพูดฉู่ซือหม่าผู้นี้แล้ว เหมือนสงสัยในความสามารถการต่อเรือของนาง จึงเม้มปากยิ้มบางๆ “ซือหม่าแม้จะเชี่ยวชาญการทหาร แต่สำหรับวิชาการต่อเรือนับว่าเป็นคนนอกวงการ เรือที่ข้าต่อขึ้นเมื่อหลายวันก่อน ได้ส่งไปให้คนงานในอู่เรือเหล่านั้นดูแล้ว ความสามารถในวิชานี้ย่อมมีคนตัดสินแล้ว”
ในตอนนี้เอง เว่ยกงกงก็พูดแทรกด้วยรอยยิ้ม “ฉู่ซือหม่า ตอนนี้ท่านเป็นลูกเขยสกุลหลี่ ย่อมต้องเข้าข้างสกุลหลี่ แต่เสิ่นฮูหยินรับภาระสำคัญของกรมโยธา เรื่องเกี่ยวพันถึงแผ่นดิน ประมาทไม่ได้ จะให้เรื่องยิบย่อยของสกุลเหล่านี้มารบกวนแผนการของแผ่นดินไม่ได้ ตามความคิดของข้า เมืองเหลียวเฉิงแห่งเจียงหนานนี้เป็นเขตพื้นที่ของพระมาตุลาไป๋ ไม่ใช่ดินแดนรกร้างเขตเหนือของท่านซือหม่า พวกเราก็ทำตามขั้นตอนกันดีกว่า!”
ความหมายของเว่ยกงกงชัดเจนมาก ก็คือเตือนฉู่จิ้งเฟิงว่า ที่แห่งนี้เป็นเขตของสกุลไป๋ อย่าทำอะไรตามอำเภอใจ
น่าเสียดายที่ซือหม่าต้าฉู่ชอบกินของอ่อนไม่กินของแข็ง เว่ยกงกงพูดจาแข็งกร้าวเช่นนี้ออกมา เขาจึงพูดอย่างไม่เกรงใจ “แผ่นป้ายสกุลหลี่เป็นของที่อดีตฮ่องเต้ทรงพระราชทาน ข้าย่อมมีหน้าที่ต้องพิสูจน์ฐานะแท้จริงของผู้สืบทอดสกุลหลี่ ถ้าเสิ่นฮูหยินมีความสามารถจริง ย่อมไม่มีอะไรโต้แย้งได้ แต่ถ้าเป็นคนที่หลอกลวงแอบอ้าง แผ่นป้ายที่เป็นฝีพระหัตถ์ของอดีตฮ่องเต้ต้องมอบให้กับหญิงขาดคุณธรรมที่หลอกล่อพี่เขยท้องก่อนแต่งแล้ว… เว่ยกงกง คนที่ไม่มีแก่นรากอย่างท่านรับผิดชอบไหวหรือ”
เมื่อคำพูดนี้ออกมา หลี่เสวียนเอ๋อร์ก็หน้าซีดเผือดลงในทันที นางกัดริมฝีปากถลึงตาจ้องฉู่จิ้งเฟิง
เว่ยกงกงก็โกรธจนนิ้วสั่นพูดว่า “ท่าน… ท่าน…ซือหม่า ท่านต้องพูดด่าอย่างนี้เลยหรือ ปากเดียวพูดด่าถึงสองคน!”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เองก็นั่งไม่ติด คิดเพียงว่าลูกเขยผู้เพียบพร้อมผู้นี้เหมือนไม่ได้มาหาทางคลี่คลายเรื่อง แต่ดูเหมือนมาหาเรื่องมากกว่า!
เสิ่นหรูป๋อไม่อยากจะมาพูดจาเล่นลิ้นกับฉู่จิ้งเฟิง เขาจึงถามว่า “แล้วตามความเห็นของฉู่ซือหม่า ควรจะพิสูจน์ความสามารถภรรยาข้าอย่างไร จึงจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ยอมอย่างเต็มใจ”
ฉู่จิ้งเฟิงเคาะโต๊ะแล้วอมยิ้มกล่าว “ข้ามีตัวเลือกอยู่ผู้หนึ่ง ไม่รู้ว่าคุณชายไป๋จะเห็นด้วยหรือไม่”
ไป๋ฉวนจงเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ “ถ้ามีคุณสมบัติพอจะตัดสินว่าเรือดีหรือไม่ ข้าย่อมเห็นด้วยอยู่แล้ว ไม่ทราบว่าฉู่ซือหม่าพูดถึงผู้ใด”
“ผู้มีคุณสมบัติในการตัดสินยอดฝีมือที่สุด มีเพียงคนที่มีความสามารถเทียบเท่าศัตรู เช่นนั้นจะเชิญคุณชายเมิ่งมาเป็นคนตัดสินได้หรือไม่”
คำพูดของฉู่จิ้งเฟิงนี้ช่างเหนือความคาดหมายของทุกคนยิ่ง ทุกคนรู้เรื่องที่ตอนนี้เมิ่งเชียนจีทำงานให้กับสกุลไป๋ แต่ฉู่จิ้งเฟิงกลับเรียกคนผู้นี้มา ไม่เท่ากับยกก้อนหินทุ่มเท้าตนเองหรือ
แต่ในเมื่อเขาเสนอมาเช่นนี้ เสิ่นหรูป๋อกับไป๋ฉวนจงย่อมไม่มีความเห็นอื่นใด ดังนั้นทุกคนจึงย้ายไปที่อู่เรือ แล้วส่งคนไปเกลี้ยกล่อมเชิญเมิ่งเชียนจีที่เก็บตัวฝึกฝนออกมา
เมิ่งเชียนจีผู้นั้นไม่เจอกันไม่กี่วันหน้าตาเปลี่ยนไปมาก เดิมเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาหมดจดขาวสะอาด ตอนนี้ผมเผ้ารุงรัง สองตาเห็นเส้นเลือดแดงก่ำ สวมรองเท้าลำลองมาพบหน้าทุกคน หากไม่ใช่เพราะได้ยินว่าจะได้พบหลี่รั่วอวี๋ เมิ่งเชียนจีผู้นี้ให้ตายก็ไม่ยอมเปิดประตู
ทว่าท่าทางน่าตกใจของเขานี้ ทำให้หลี่รั่วอวี๋ที่เดินทางมาด้วยซ่อนตัวอยู่หลังฉู่จิ้งเฟิงในทันที
หลังจากไป๋ฉวนจงอธิบายเรื่องราวให้เขาฟังแล้วก็พูดอย่างมีนัยว่า “คุณชายเมิ่ง ตอนนี้เสิ่นฮูหยินผู้นี้ได้เรียนรู้เคล็ดวิชาการต่อเรือของสกุลหลี่มา และยินดีจะภักดีต่อสกุลไป๋ของข้า หวังว่าอีกครู่คุณชายเมิ่งจะช่วยตรวจสอบอย่างละเอียด”
หากเป็นคนที่ผ่านโลกมามาก เพียงฟังก็เข้าใจความหมายในคำพูดของไป๋ฉวนจงแล้ว แต่น่าเสียดายสองเท้าเมิ่งเชียนจีไม่ได้แตะพื้นดินมากเท่าใด ได้ฟังคำพูดของไป๋ฉวนจงก็เพียงแค่มองสำรวจหลี่เสวียนเอ๋อร์ที่ท้องโย้อยู่พักใหญ่ แล้วถลึงตาใส่หลี่รั่วอวี๋ที่หลบอยู่ด้านหลังฉู่จิ้งเฟิง จากนั้นเดินไปตามขั้นบันไดที่สร้างไว้ในอู่เรือ ขึ้นไปบนเรือตะลุยน่านน้ำที่หลี่เสวียนเอ๋อร์ควบคุมการสร้าง
ถึงแม้เขาจะไม่เคยเรียนต่อเรือ แต่เพราะหลี่รั่วอวี๋ จึงได้ศึกษาผลงานของนางอย่างถ่องแท้ ถึงขั้นรู้เขารู้เรารบร้อยครั้งก็ไม่แพ้
แต่พอเขาขึ้นไปบนเรือตะลุยน่านน้ำที่ภายนอกสวยงามมีเอกลักษณ์เฉพาะนั้นและตรวจดูทั้งนอกใน รวมทั้งสั่งให้เปิดแผ่นกระดานเรือดูองค์ประกอบภายในแล้ว หัวคิ้วนั้นก็ยิ่งขมวดแน่น สุดท้ายไม่พูดอะไร ลงเรือจะเดินจากไป
ไป๋ฉวนจงย่อมต้องสั่งให้คนขวางเขาไว้ แล้วเอ่ยปากถาม “คุณชายเมิ่ง เจ้าหมายความว่าอย่างไร เรือนี้เป็นวิชามหัศจรรย์ของสกุลหลี่หรือไม่”
ฉู่จิ้งเฟิงก็พูดแทรกอย่างช้าๆ “นั่นสิ เรือนี้เทียบกับฝีมือของหลี่รั่วอวี๋ได้หรือไม่”
ได้ฟังคำพูดของฉู่จิ้งเฟิงแล้ว ดวงตาสีเลือดของเมิ่งเชียนจีเบิกกว้างในทันที จ้องฉู่จิ้งเฟิงราวกับมองคนบ้า เพราะไม่ได้เอ่ยปากพูดเป็นเวลานาน เสียงนั้นจึงแหบแห้งยิ่ง “ท่านตาบอดหรือ แค่ขยะกองหนึ่ง ดูแล้วเสียสายตาของข้า จะเทียบกับหลี่รั่วอวี๋ได้อย่างไร”
เมื่อคำพูดนี้กล่าวออกมา บรรดาช่างที่มามุงดูความคึกคักก็แตกฮือในทันที
พวกหลี่เสวียนเอ๋อร์หน้าเปลี่ยนสีในทันใด คุณชายไป๋พูดด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว “เมิ่งเชียนจี เจ้าหมายความว่าอย่างไร!”
เมิ่งเชียนจีอยากจะกลับไปเก็บตัวฝึกฝนต่อในห้อง จึงพูดอย่างหมดความอดทน “องค์ประกอบของเรือนั่นยังมีข้อบกพร่องใหญ่อยู่ข้างใน อย่าว่าแต่ตะลุยคลื่นเลย หกสิบลี้ก็ยังเคลื่อนออกไปไม่ถึง”
“เจ้าพูดเหลวไหล เรือนี้ทดลองเดินน้ำมาแล้ว จากเมืองเหลียวเฉิงเคลื่อนไปถึงเขาหวั่นซาน แล้วย้อนกลับมา ด้วยความเร็วเร็วเป็นพิเศษ!”
หลี่เสวียนเอ๋อร์โกรธจนสั่นไปทั้งตัว นางเกิดในสกุลต่อเรือ มีความคิดจะชิงดีชิงเด่นกับหลี่รั่วอวี๋มาตั้งแต่เด็ก เดินเข้าออกอู่เรือ ใช่ว่าจะไม่มีฝีมือทางเรือเลยแม้แต่น้อย กอปรกับได้ตำราการต่อเรือมา จึงมีความมั่นใจเป็นร้อยเท่า ถึงแม้เรือจะไม่ได้ออกมาจากอู่เรือสกุลหลี่ เรื่องคุณภาพย่อมบกพร่องไปบ้าง แต่จะแย่ถึงขั้นที่เมิ่งเชียนจีพูดเสียที่ไหน
เมิ่งเชียนจีได้ฟังคำพูดของหลี่เสวียนเอ๋อร์ก็ไม่ได้เหลือบตามอง นับนิ้วเหมือนหมอดูดวงชะตาแล้วพูดว่า “ข้าพูดผิดไปจริงๆ ถ้าตามที่เจ้าพูด ตอนนี้เรือลำนี้คงเคลื่อนไปได้ไม่ถึงหนึ่งลี้แล้ว”
ตอนนี้ชีวิตอันสงบของหลี่เสวียนเอ๋อร์อยู่ที่เคล็ดวิชาการต่อเรือนี้ นางร้อนใจอย่างมาก กลัวว่าไป๋ฉวนจงจะเชื่อคำพูดของคนบ้าแซ่เมิ่ง จึงเรียกคนงานเรือมาหลายคน ให้พวกเขาเอาเรือนี้ออกจากอู่เรือ ลองเคลื่อนไปบนน้ำดู
มุมการล่องน้ำของเรือน่าสนใจมาก ด้วยตัวเรือที่เบา คนงานเรือขับเคลื่อนไม่เท่าใดก็หันหัวเรือออกจากอู่เรือ ล่องไปบนผืนน้ำได้โดยง่าย
คนส่วนใหญ่ล้วนหลงใหลกับความเบาของเรือลำนี้ แต่เมิ่งเชียนจีกลับหลับตาลง ขมวดคิ้วฟังเสียงเบาบางที่ลอดออกมาจากในตัวเรือ
ฉู่จิ้งเฟิงดึงสายตากลับโดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ก้มหน้าลงพบว่าหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกายตนเอง หลับตาลงอย่างไม่รู้ตัวเช่นกัน นางเงี่ยหูเหมือนฟังอะไรอยู่ ท่ามกลางสายลมเย็นจากแม่น้ำ ร่างบอบบางนั้นไหวเบาๆ
หญิงสาวผู้นี้จมอยู่กับวิชาการต่อเรือมาตั้งแต่เด็ก ก็เหมือนที่นางเคยพูดเอาไว้ สิ่งที่ผู้ฝึกระดับสูงฝึกคือ ‘จิตวิญญาณ’ ในกระดูกของหญิงสาวราวกับสลักความรักของการต่อเรือนี้เอาไว้รวมถึงทั้งชีวิตของนาง แม้สมองจะกระเทือนจนเสียหายไป แต่พอเข้ามาในอู่เรือ นางยังทำกิริยาที่เคยทำเป็นพันหมื่นครั้งตามสัญชาตญาณ
หลี่รั่วอวี๋ที่เป็นแบบนั้นเหมือนจะติดปีก ชั่วขณะต่อมาก็จะหนีเขาไปไกล เขาจึงขยับรัดแขนแน่น ตัดบทความคิดของหญิงสาว ในตอนนี้เองหลี่รั่วอวี๋ก็ลืมตาแล้วชูมือขึ้นอย่างยินดี ปากเล็กเผยอขึ้น ส่งเสียง “ฉึบๆ” ออกมา
ท่ามกลางเสียงยินดีของนาง เรือตะลุยน่านน้ำที่แล่นไปได้ไม่ไกลก็แตกออก ส่งเสียงดังสนั่น จากนั้นก็เริ่มจม!
หลี่เสวียนเอ๋อร์ไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง สองมือของนางลูบท้องแล้วพูดพึมพำ “เป็นไปได้อย่างไร เป็นแบบนี้ได้อย่างไร”
นางเหมือนคิดอะไรขึ้นได้ จึงรีบพูดว่า “เรือจอดอยู่ในอู่เรือนี้… ต้องมี…ต้องมีผู้ใดลงมือทำอะไรกับเรือแน่นอน!”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กำลังสั่งให้คนเรือในอู่เรือเอาเรือเร็วไปช่วยคนงานที่ตกน้ำขึ้นมา ได้ฟังคำพูดนี้แล้วก็เลิกคิ้วขึ้น พูดอย่างร้อนใจว่า “ผู้ใดอยากจะไปแตะต้องเรือบอบบางของเจ้าล่ะ ตอนนี้คนงานบนเรือเหล่านั้นถ้าถูกช่วยออกมาได้หมดก็แล้วไป แต่ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาข้าจะไปเอาเรื่องที่สกุลเสิ่น”
ในตอนนี้เรือที่ออกไปช่วยคนกลับมาแล้ว โชคดีที่คนงานเหล่านี้ว่ายน้ำเป็น นอกจากที่บางคนได้รับบาดเจ็บแล้วก็ไม่มีอะไรร้ายแรงถึงชีวิต
ฉู่จิ้งเฟิงพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “อยากรู้ว่ามีคนแตะต้องเรือหรือไม่ไม่ยิ่งง่ายหรือ ขอเสิ่นฮูหยินเอาภาพเรือตะลุยน่านน้ำนี้ให้คุณชายเมิ่งตรวจดูก็ได้แล้ว”
เรื่องมาถึงขั้นนี้ เห็นสายตาไม่กระจ่างชัดของไป๋ฉวนจงแล้ว หลี่เสวียนเอ๋อร์ก็รู้ว่าจะได้ความเชื่อใจจากสกุลไป๋นั้นไม่ง่ายอีกต่อไป นางเชื่อมั่นว่าภาพวาดในความทรงจำของตนเองไม่ผิดพลาด จึงสั่งให้คนเอากระดาษพู่กันมาแล้วรีบวาดอย่างชำนาญ
เมิ่งเชียนจีรออย่างเบื่อหน่าย ทนไม่ไหวจึงเดินไปตรงหน้าหลี่รั่วอวี๋อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็ถูกองครักษ์ขวางเอาไว้
เมิ่งเชียนจีเดิมก็สงสัยเรื่องที่หลี่รั่วอวี๋ตกม้าสมองกระทบกระเทือน เสียง “ฉึบๆ” ของหญิงสาวเมื่อครู่ เขาก็ได้ยินเช่นกัน ในใจก็ยิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้น
ในตอนที่หลี่เสวียนเอ๋อร์วาดภาพเรือนั้นเสร็จแล้วยื่นให้เมิ่งเชียนจี เมิ่งเชียนจีก็เข้าใจในทันที ลอบคิดในใจว่า หรือว่านางตั้งใจจะทดสอบข้า!
หลายปีก่อนหน้านี้ เขาเคยเกิดทะเลาะเบาะแว้งกับหลี่รั่วอวี๋เรื่องการปรับเปลี่ยนเรือ แต่ตอนนั้นนางพูดเยาะหยันที่เขาเป็นคนไม่รู้เรื่องการต่อเรือ
วันนี้ต้องแสดงความสามารถให้นางได้รู้ เขาเมิ่งเชียนจีต่อให้เป็นวิชาการต่อเรือก็ไม่ยอมแพ้ผู้ใด
“ถ้าคิดจะทดสอบข้าก็เอาภาพวาดที่เป็นรูปเป็นร่างออกมา ภาพที่มีจุดบกพร่องเป็นร้อยเช่นนี้ จุดเชื่อมของเรือเห็นได้ชัดว่าทำเลียนแบบเรือสินค้า แม้จะทำให้เรือหนักมาก แต่ใช้กับเรือรบที่มีความเร็วสูงเพราะเรือว่างทำให้ลอยเกินไป และเมื่อครู่ข้าเปิดแผ่นไม้นั้นมองลงไป ไม้ที่ใช้ยึดตัวเรือเหล่านั้นกลับไม่ได้ทาสีน้ำมันกันน้ำเป็นพิเศษ เวลาเพียงไม่นานก็มีร่องรอยการผุเน่าแล้ว ย่อมใช้การจริงไม่ได้”
สีหน้าเสิ่นหรูป๋อยิ่งฟังยิ่งเคร่งเครียด ไม่หันไปมองหน้าหลี่เสวียนเอ๋อร์อีก
หลี่เสวียนเอ๋อร์รู้สึกร้อนรนใจยิ่ง พูดอย่างใจไม่อยู่กับตัวว่า “เป็นไปไม่ได้ ข้าทำตามที่บันทึกไว้ใน ‘ตำราเรือย่ำคลื่น’ และหาช่างเรือที่ชำนาญมาต่อเรือให้…”
เมิ่งเชียนจีเบิกตาโต “ทำตาม ‘ตำราเรือย่ำคลื่น’ หรือ เจ้าเป็นผู้สืบทอดสกุลหลี่ทางฝ่ายใด แม้แต่ข้ายังรู้ว่าสิ่งที่บันทึกใน ‘ตำราเรือย่ำคลื่น’ เป็นการออกแบบที่ผิดพลาดในการควบคุมการต่อเรือของผู้สืบทอดสกุลหลี่แต่ละรุ่น ผู้สืบทอดสกุลหลี่ที่มีคุณสมบัติเพียงพอต้องหาความผิดพลาดในนั้นออกมาได้ทั้งหมด และทำการปรับเปลี่ยนให้ถูกต้อง เช่นนี้จึงจะเหมาะที่จะเป็นผู้สืบทอดสกุลหลี่ได้ แต่เจ้ากลับทำตามในตำรานั้น สร้างตามแบบโดยไม่ปรับแก้… นี่อยากทำให้คนตายเท่าใดกัน”
พอคำพูดนี้ออกมา หลี่เสวียนเอ๋อร์ก็ยืนไม่อยู่อีกต่อไป ขาอ่อนนั่งลงบนเก้าอี้ข้างหลังทันที
นางนึกขึ้นได้ทันใดว่าหลายปีก่อนเคยขอร้องพี่รองเอา ‘ตำราเรือย่ำคลื่น’ ให้นางดู ตอนนั้นพี่รองเพียงแค่ปั้นหน้าบึ้งตึงพูดว่า ‘ให้เจ้าดูไปก็ไร้ประโยชน์ ถ้าชอบการต่อเรือจริง ก็ไปดูที่อู่เรือให้มาก ไปถามเอาความรู้จากคนงานเรือเหล่านั้นให้มากจะดีกว่า’
ตอนนั้นนางฟังคำพูดนี้แล้วก็ลอบแค้นอยู่ในใจ คิดว่าหลี่รั่วอวี๋ดูถูกชาติกำเนิดลูกภรรยารองอย่างนาง จึงบอกปัดให้นางไปเรียนรู้กับช่างเรือกักขฬะเหล่านั้น ตอนนี้จึงได้เข้าใจความหมายลึกซึ้งในคำพูดของพี่รอง ผู้สืบทอดสกุลหลี่ตัวจริงมีเพียงเข้าใจเคล็ดวิชาทุกอย่างในการต่อเรือผ่านการลงมือทำจริงจังจนรู้ลึกซึ้ง แล้วสามารถต่อยอดไปได้ จึงจะมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้
ก็ไม่แปลกที่เรือที่ผู้สืบทอดสกุลหลี่แต่ละรุ่นสร้างขึ้นจะมีความแตกต่างเล็กๆ ในรายละเอียด นี่เกิดจากความคิดของแต่ละคนแตกต่างกัน และวิธีการสร้างแนวคิดใหม่บนพื้นฐานการส่งผ่านปากต่อปากนี้ จึงเป็นเหตุผลหลักที่เรือสกุลหลี่ไม่ถดถอยเป็นเวลานาน
เมิ่งเชียนจีพูดถึงตรงนี้ก็รู้สึกผิดหวัง “อาจารย์ของข้ากับท่านพ่อของคุณหนูรองหลี่เป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย ได้ยินว่านายท่านหลี่ในอดีตเสียเวลาสิบปีจึงแก้ไขข้อผิดพลาดทั้งหมดในตำรา แต่คุณหนูรองหลี่กลับใช้เวลาสั้นๆ เพียงสองปีก็หาออกมาได้ ข้าขอถามท่าน ฮูหยินของท่านจริงๆ แล้ว…”
เขาอยากถามฉู่จิ้งเฟิงว่า หลี่รั่วอวี๋ปัญญาอ่อนจริงหรือไม่ แต่ไม่ต้องให้ฉู่จิ้งเฟิงตอบ เขาก็เห็นหลี่รั่วอวี๋ที่เดิมทีหลบอยู่หลังฉู่จิ้งเฟิงนั่งกินขนมถั่วแดงชิ้นหนึ่งบนโต๊ะ เพราะเมื่อครู่ยกมือแรงไปสักหน่อย อาการที่หลงเหลือหลังจากตกม้าบาดเจ็บก็กลับมาอีกครั้ง มือจึงสั่นไม่หยุด มีเศษถั่วตกเต็มตัวไปหมด
เมิ่งเชียนจีไม่ได้ถามต่อไป เพราะเขาเห็นการกินโดยไม่สนใจคนรอบข้างของหลี่รั่วอวี๋แล้ว ในความทรงจำของเขา นางเป็นหญิงสาวที่สง่างามและเรียบร้อย ไม่มีทางกินอาหารเลอะเทอะต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้แน่นอน…
คิดถึงคำพูดที่เสิ่นหรูป๋อพูดกับเขาวันนั้นแล้ว เมิ่งเชียนจีก็เงยหน้าถอนใจยาวแล้วพูดอย่างเศร้าสลดว่า “เห็นทีวิชาของสกุลหลี่คงสูญสิ้นนับจากนี้แล้ว”
ชาตินี้เขาเทียบหญิงอ่อนแอผู้หนึ่งไม่ได้ ทำให้รู้สึกเสียดาย มักจะคิดว่าจะมีสักวันที่จะใช้ความสามารถแท้จริงมาเอาชนะนางได้ คิดไม่ถึงว่าความปรารถนานี้จะไม่อาจเป็นจริงได้แล้ว
หญิงมีความสามารถน่าตกใจที่ต่อยอดความคิดได้กลับกลายเป็นปัญญาอ่อนโดยไม่มีลางบอกเหตุเลย… ช่างน่าเสียดายจริงๆ
เมิ่งเชียนจีพูดจบก็ไม่สนใจหลี่เสวียนเอ๋อร์ที่โศกเศร้าเหมือนสอบตกนั้นอีก พูดพึมพำกับตนเองแล้วเดินจากไปอย่างปลีกวิเวกราวกับตู๋กูฉิวไป้*
ไป๋ฉวนจงคาดไม่ถึงว่าภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกับเสิ่นหรูป๋อจะมาปล่อยไก่ ทั้งเมิ่งเชียนจีที่เป็นที่ปรึกษาของเขาก็กลับมาหักหน้าของเขาเช่นนี้ ทำให้อยู่ดีๆ ต้องเสียหน้าต่อหน้าฉู่จิ้งเฟิง
ในตอนนี้เขาจึงพูดกับฉู่จิ้งเฟิงด้วยรอยยิ้มเพียงเปลือกนอก “เห็นทีเรื่องของสกุลหลี่ ไม่ต้องให้พวกเราคนนอกเหล่านี้มาร่วมวง เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าขอตัวลาก่อน… แต่เรื่องที่สกุลหลี่ดึงเวลาการต่อเรือของกรมโยธาจะปล่อยเลยตามเลยเช่นนี้ไม่ได้ รายละเอียดว่าจะจัดการอย่างไรเห็นทีต้องให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กับบรรดาบุตรสาวปรึกษากันสักหน่อย”
พูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อ นำเว่ยกงกงเดินจากไป
ส่วนเสิ่นหรูป๋อนั้น นิ่งเงียบอยู่ตรงนั้นสักครู่ ในดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธและรังเกียจ เสียเวลาคิดอย่างรอบคอบ กลับทำการเลือกที่ผิดพลาด หลี่เสวียนเอ๋อร์ผู้นี้ทำร้ายเขาไม่น้อย หากเป็นเช่นนี้ ทางด้านพระมาตุลาไป๋คงจะชี้แจงอะไรไม่ได้ในตอนนี้ หญิงสมควรตายผู้นี้ วางแผนทำให้เขาเมาสุราและหลงใหล ก่อนจะมีอะไรกับนาง เขาเดินผิดก้าวเดียวกลับกลายเป็นผิดพลาดทุกก้าวจริงๆ!
คิดถึงตรงนี้ เขาจึงรีบไปไกล่เกลี่ยต่อหน้าไป๋ฉวนจง ไม่สนใจหลี่เสวียนเอ๋อร์ พาบ่าวไพร่เดินจากไปเลย
ถึงตอนนี้ หลี่เสวียนเอ๋อร์กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป นางร้องไห้สะอึกสะอื้น โจวอี๋เหนียงประคองบุตรสาวท้องโตของตนเอง มองหน้าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กับผู้เฒ่าผู้นำสกุลที่ส่ายหน้าถอนใจ รู้สึกเพียงว่าเสียหน้าอย่างมาก จึงรีบเรียกสาวใช้ให้รีบประคองบุตรสาวเดินจากไป
การมาอู่เรือครั้งนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้รับชัยชนะ ความอึดอัดใจตลอดหลายวันมานี้หายไปจนสิ้น
หากพูดเรื่องความชอบ ย่อมเป็นของลูกเขยซือหม่าของนางมาเป็นที่หนึ่ง
กลับถึงเรือน ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่นั่งอยู่กลางโถง คิดจะให้รางวัลลูกเขยอย่างดี กำลังสั่งการเรื่องอาหารเย็นกับหลิ่วซื่อบ่าวหญิงอาวุโสที่คุมห้องครัว ได้ยินพ่อบ้านบอกว่าตรงประตูหน้าเพิ่งฆ่าลาดำมาตัวหนึ่ง จึงสั่งให้เขาไปหิ้วเนื้อลาหลายชั่งกลับมาห่อเกี๊ยว คิดสักครู่ก็พูดกำชับหลิ่วซื่ออีกหลายคำ หลิ่วซื่อพยักหน้าแล้วถอยออกจากห้องไปอย่างนอบน้อม
ตกเย็น ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จัดโต๊ะอยู่ในโถง ถือเป็นการอำลาลูกเขย เพราะวันรุ่งขึ้นฉู่จิ้งเฟิงจะพาหลี่รั่วอวี๋กลับเมืองซูเฉิงก่อนแล้วค่อยกลับไปที่เมืองโม่เหอ
ฉู่จิ้งเฟิงนั่งลงไม่นาน บ่าวในคฤหาสน์สกุลหลี่ก็ยกอาหารแต่ละจานเข้ามา
คฤหาสน์สกุลหลี่ร่ำรวยทุกรุ่น แต่เรื่องอาหารการกินไม่สนใจเรื่องความหรูหรา ทว่าตอนนี้ลูกเขยสูงศักดิ์มาเยือน จึงได้ตั้งอาหารที่ซื้อมาจากหอสุราจำนวนหนึ่ง แต่มีเอกลักษณ์ของเมืองเหลียวเฉิง จัดอาหารพื้นถิ่นท่ามกลางปลาและเนื้อแต่ละจานด้วย อย่างเช่นแตงกรอบดองยำถั่วเขียว หรืออย่างผักกาดสดราดน้ำเนื้อย่าง อาหารจานใหญ่จานเล็กวางเรียงกันเต็มโต๊ะ
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่สั่งคนให้ยกน้ำแกงเนื้อสีแดงสดร้อนควันระอุถ้วยหนึ่งมาวางตรงหน้าฉู่จิ้งเฟิง แล้วกำชับให้เขากินมากหน่อย
หลี่รั่วอวี๋ตาเป็นประกาย อาหารถ้วยนี้มีลักษณะเป็นชิ้นๆ เหมือนเนื้อแต่ก็ไม่ใช่ ราดน้ำพะโล้แดง กลิ่นหอมแตะจมูก จึงยื่นตะเกียบไปอย่างดีใจ “หอมๆ…จะกิน!”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ตีหลังมือของหลี่รั่วอวี๋ “เจ้าเด็กผู้นี้ นี่ทำให้ซือหม่าโดยเฉพาะ ไม่ได้ทำให้เจ้ากิน”
หลี่รั่วอวี๋ยู่ปาก ในใจลอบบ่นว่าท่านแม่ลำเอียง จึงยื่นมือไปหยิบเนื้อห่านนึ่งชิ้นหนึ่งเข้าปากอย่างเก้ๆ กังๆ
ฉู่จิ้งเฟิงถามฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ว่านี่คืออาหารอะไร ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อึกอักแต่ไม่บอกอะไร พูดเพียงว่าอาหารนี้ดีมาก กล่อมให้ฉู่จิ้งเฟิงกินมากๆ หน่อย
ฉู่จิ้งเฟิงที่รู้เรื่องยามาบ้างดมออกว่าในอาหารมีกลิ่นอิ๋นหยางฮั่ว* และตู้จง** คงจะเป็นของที่ใช้บำรุงร่างกายบุรุษ จึงยื่นตะเกียบไปคีบหนึ่งชิ้นส่งเข้าปาก ตอนเข้าปากยังมีกลิ่นหอมปนเค็มของเครื่องพะโล้และสมุนไพร แต่พอเคี้ยวไม่กี่ทีกลับมีกลิ่นสาบจางๆ ฉู่จิ้งเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย กลืนเนื้อลงท้องแล้วก็ไม่คิดจะกินอีก
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กลับมีดวงตาเปล่งประกาย คะยั้นคะยอให้เขากินให้มากหน่อย
ฉู่จิ้งเฟิงลังเลสักครู่ คิดว่าในเมื่อท่านแม่ยายตั้งใจเตรียมให้ จะไม่ไว้หน้าคงไม่ได้ จึงฝืนใจดื่มสุราแล้วกินไปอีกหลายชิ้น
หลี่รั่วอวี๋อยู่ด้านข้างมองอย่างอิจฉา เห็นการเคี้ยวของเขาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย
สุดท้ายด้วยทนการรบเร้าไม่ไหว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จึงคีบให้นางหนึ่งชิ้น แต่ปากกลับพูดเสียงแข็งว่า “ชิ้นเดียวก็พอแล้ว เจ้ากินไปก็เสียของ!”
แต่ว่าหลี่รั่วอวี๋เคี้ยวไม่กี่ทีก็คายทิ้ง ตัดความคิดเดิมทิ้งไป และตั้งใจกินตีนเป็ดตุ๋นกับไก่ต้มแปดทรัพย์ต่ออย่างมีความสุข
หลังอาหารเย็น ฉู่จิ้งเฟิงกลับถึงห้องพัก รู้สึกว่าในปากยังมีกลิ่นเหม็นคาวติดอยู่รางๆ จึงลุกขึ้นไปเดินเล่นในลานบ้าน พ่อบ้านคฤหาสน์สกุลหลี่กับคนอีกผู้หนึ่งเดินผ่านนอกลาน มีเสียงพูดลอยมาตามสายลมโชยเอื่อยยามค่ำคืน “เห็นทีน้ำแกงวันนี้จะถูกปากท่านเขย”
“นั่นสิ! ที่ฆ่าวันนี้เป็นลูกลาจริงๆ บำรุงร่างกายได้อย่างดีเชียวนะ”
ได้ยินประโยคนี้แล้วฉู่จิ้งเฟิงก็ชะงักฝีเท้า ซ่อนตัวหลังระเบียงทางเดินยาวในลานบ้าน
“ดังนั้นฮูหยินจึงกำชับภรรยาข้าให้เอามาให้ท่านเขย แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากำชับเช่นนี้ เพราะร่างกายท่านเขยมีอะไรบกพร่องใช่หรือไม่”
“บำรุงมากเกินไปจริงๆ… เหมือนจะบำรุงอาการหย่อนสมรรถภาพ คงอยากให้คุณหนูรองรีบตั้งท้องกระมัง” คำตอบนั้นดูลังเลอยู่บ้าง
รอเสียงนั้นไกลออกไปแล้ว ฉู่จิ้งเฟิงจึงออกมาจากที่ซ่อนตัว แต่ใบหน้านั้นเย็นเยือกราวน้ำแข็ง เขารู้มานานแล้วว่าแม่ยายของตนเองเป็นคนที่คิดทำอะไรไม่มีแบบแผน แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้นางจะนึกไปไกล ทำของบำรุงใหญ่ให้เขาเช่นนี้
เดิมทีเขายังสงสัยว่าเหตุใดทั่วร่างจึงร้อนรุ่ม ตอนนี้ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว
เวลานี้ไม่มีแก่ใจไปโกรธฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่หลอกให้ตนเองกินของสกปรกเช่นนี้ เลือดทั่วร่างของเขาเหมือนจะไหลเวียนเร็วมาก
ฉู่จิ้งเฟิงเดินรุ่มร้อนอยู่หลายรอบ คิดสักครู่จึงก้าวเท้าเดินไปที่เรือนพักของหลี่รั่วอวี๋ ตอนนี้หลี่รั่วอวี๋ยังไม่เข้านอนเช่นกัน กำลังนั่งหัวชนกับเสียนเอ๋อร์น้องชายอยู่บนชิงช้าอ่านหนังสือภาพด้วยกันอย่างสนุกสนาน
แม้ทั้งสองคนอายุจะต่างกันสิบปี แต่แววตานั้นกลับเหมือนกันอย่างน่าประหลาด ดูมีความโง่ทึ่มไร้เดียงสาอยู่บ้าง แม้แต่สีหน้าตอนอ่านถึงฉากที่ตื่นตาตื่นใจก็ยังเหมือนกันทุกอย่าง
ซูซิ่วตาดี เห็นฉู่จิ้งเฟิงที่ยืนอยู่ตรงปากประตูเรือนในทันทีจึงรีบส่งเสียงเรียก “ท่านซือหม่า ท่านมาหรือเจ้าคะ”
น่าเสียดายสองพี่น้องอ่านจนเพลิน แม้จะได้ยินเสียงของซูซิ่วแต่ก็ไม่ได้เหลือบมองมา เพียงแค่หัวเราะขบขัน
เห็นภาพนี้แล้ว ฉู่จิ้งเฟิงก็รู้สึกว่าความร้อนใจนั้นค่อยๆ ลดลง ตอนนี้นางเป็นเหมือนเด็กเล็ก หากฝืนทำตามใจเขาจะต้องทำให้นางกลัวอย่างแน่นอน เขาจะใจร้อนเพื่อจุดประสงค์เพียงชั่วคราวไม่ได้ ต้องค่อยเป็นค่อยไป
เขาคิดได้ดังนี้ ทางหนังสือภาพนั้นก็พลิกมาถึงหน้าสุดท้ายแล้ว จบตอนพอดี
สองพี่น้องอ่านแล้วยังไม่หมดสนุก จึงจุปากพลางปิดหนังสือ ในตอนนี้เสียนเอ๋อร์จึงช้อนตาขึ้นมองเห็นพี่เขย ร่างน้อยนั้นกระโดดลงจากเก้าอี้ วิ่งตัวอ้วนกลมมาหาฉู่จิ้งเฟิง แล้วยื่นมือไปจะให้เขาอุ้ม
หลังจากฉู่จิ้งเฟิงเข้ามาในเรือนหลังของคฤหาสน์สกุลหลี่ก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดคุณหนูรองหลี่ที่เขารู้จักก่อนหน้านี้บางครั้งจึงมีความสุขุมฉลาดเฉลียวเกินอายุ เป็นเพราะคนในคฤหาสน์นี้ถูกปกป้องดีเกินไป มีความไร้เดียงสาแบบคนที่ไม่รู้จักโลก จึงทำให้คุณหนูรองที่รู้ความต้องทำตัวให้เป็นคนแข็งแกร่ง
ในคฤหาสน์แห่งนี้คนแก่เป็นเช่นนี้ เด็กก็เป็นเช่นเดียวกัน คนอื่นเห็นผมสีขาวเงินใบหน้าเย็นชาของเขาแล้วล้วนหวาดกลัว มีเพียงคนแก่เด็กเล็กในคฤหาสน์นี้ที่มองอะไรไม่ออก พากันมาเข้าใกล้เขาอย่างสนิทสนม
คนแก่นั้นไม่ต้องพูดถึง คิดไปไกลถึงหาของบำรุงมาให้กินจนเลือดลมไหลเวียนวุ่นวาย
ส่วนเด็กน้อยผู้นี้ หลังจากเอาของเล่นแปลกๆ จากเมืองหลวงมากมายมาให้เขาเป็นของขวัญแล้ว ก็ไม่กลัวผมสีขาวเงินของตนเองเหมือนในตอนแรก คงเพราะเสียบิดาตั้งแต่อายุยังน้อย ในบ้านก็ไม่มีชายฉกรรจ์พอเป็นที่พึ่งได้ จึงชอบมาเข้าใกล้เขา จะให้เขาอุ้มท่าเดียว จะต้องอบรมให้ดี ไม่เช่นนั้นภายหน้าจะดูแลสกุลหลี่ได้อย่างไรกัน
บทที่สิบ
แม้ในใจฉู่จิ้งเฟิงจะคิดเช่นนี้ แต่เขากลับอุ้มน้องภรรยาตัวอ้วนกลมขึ้นมา
“พี่เขย ท่านแรงเยอะ โยนเสียนเอ๋อร์ขึ้นที เสียนเอ๋อร์ฝึกวิชาตัวเบา สามารถบินได้” เสียนเอ๋อร์ไม่กลัวเรื่องใหญ่โตมาแต่ไหนแต่ไร อยากจะลองเลียนแบบจอมยุทธ์ในหนังสือยืมแรงมาส่งแรง ลอยขึ้นสู่ฟ้าในเวลาเพียงชั่วครู่
ฉู่จิ้งเฟิงลองประเมินเนื้อติดมันในมือ รู้สึกว่าต่อให้มีสี่ปีกก็ยังยกเนื้อก้อนนี้ไม่ขึ้นเลย แต่พอเห็นหลี่รั่วอวี๋วิ่งเข้ามาหาเช่นกัน ยืนเข้าแถวรอตาแป๋วอยู่ด้านข้าง จึงออกแรงโยนเขาลอยขึ้นกลางอากาศ จากนั้นก็รับไว้อย่างมั่นคง
เสียนเอ๋อร์ก่อนหน้าเคยเล่นแบบนี้กับอาหกที่กวาดพื้นอยู่ในลานเรือน แต่อาหกจะมีแรงมากเหมือนพี่เขยที่โยนเขาขึ้นสูงมากในพริบตาได้อย่างไร รอจนพี่เขยรับตัวเขาได้ ความตื่นเต้นตกใจของเขายังไม่คลายไป ดวงตาก็เปล่งประกาย หัวเราะเอิ๊กอ๊ากแล้วพูดว่า “พี่เขยร้ายกาจจริงๆ เอาอีก! เอาอีก!”
ดังนั้นฉู่จิ้งเฟิงจึงทำแบบเดิมอีกหลายครั้งจนคนตัวเล็กหัวเราะร่วน พูดว่าสนุกไม่หยุด นี่ยิ่งทำให้หลี่รั่วอวี๋ที่อยู่ด้านข้างวิ่งวนร้อนใจ อยากให้คนในมือฉู่จิ้งเฟิงเป็นตนเองสักที
แต่แม่นมที่คอยดูแลเสียนเอ๋อร์อยู่ด้านข้างรู้สึกว่าไม่เหมาะสม จึงรับตัวนายน้อยจากมือฉู่จิ้งเฟิงมา แล้วพาเขากลับไปนอน
หลี่รั่วอวี๋คิดว่าถึงตานางแล้ว จึงวิ่งเข้าไปในอ้อมกอดของฉู่จิ้งเฟิงอย่างตื่นเต้น แต่กลับถูกชายหนุ่มผลักออกเบาๆ ความฝันอยากเป็นจอมยุทธ์ของหญิงสาวมีรอยร้าวขึ้นในทันที รู้สึกว่าตนเองถูกทำร้ายจิตใจอย่างมาก จึงมองเขาอย่างไม่อยากเชื่อด้วยน้ำตาปริ่มขอบตา
ฉู่จิ้งเฟิงเดิมคิดว่าตนเองจะเย็นชาได้ถึงที่สุด แต่พอเห็นแววตาของนางแล้ว กลับอุ้มนางขึ้นมา จากนั้นก็โยนขึ้นกลางอากาศแล้วรับไว้มั่น
หลี่รั่วอวี๋รู้สึกถึงลมผ่านข้างหู ร่างกายลอยขึ้นร่วงลง ราวกับจอมยุทธ์บินได้จริงๆ!
พอร่วงลงมาก็รีบโอบคอเขาเอาไว้พลางหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ไม่รู้เลยว่าร่างงามที่แตกต่างกับเด็กเล็กนั้นแนบชิดกับชายหนุ่มที่เพิ่งกินของบำรุงมามากเกินไป
ฉู่จิ้งเฟิงรัดแขนแน่นเข้าโดยไม่รู้ตัว สัมผัสถึงส่วนเว้าโค้งที่แนบติดตนเอง… รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเลือดลมไหลเวียนรุนแรงราวกระแสน้ำในแม่น้ำหวงเหอดังอยู่ในหู ในสมองมีภาพในหนังสือภาพแล่นผ่าน มันยอดเยี่ยมกว่าหนังสือที่เสียนเอ๋อร์อ่านเล่มนั้นอย่างแน่นอน
“ว้าย! ท่านซือหม่า ท่านเลือดกำเดาไหลเจ้าค่ะ!” ซูซิ่วที่อยู่ด้านข้างตะโกนขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
ความหวังดีของท่านแม่ยายไม่สูญเปล่าจริงๆ เลือดที่ถูกบำรุงจนระอุสุดท้ายก็พ่นออกมาจากจมูกโด่งเป็นสันของฉู่จิ้งเฟิง…
หลี่รั่วอวี๋ถูกการที่ฉู่จิ้งเฟิงจู่ๆ ก็มีเลือดกำเดาไหลทำให้ตกใจ นางอยู่นิ่งๆ ด้านข้างมองซูซิ่วหยิบผ้าฝ้าย ตักน้ำและผงยามาด้วย กว่าจะห้ามกำเดาของฉู่จิ้งเฟิงได้นั้นไม่ง่ายเลย
ฉู่จิ้งเฟิงรู้สึกว่าเสียเลือดออกไป ความร้อนรุ่มในกายจึงค่อยๆ ดีขึ้นบ้าง รอกลับไปถึงทางเหนือ…ต้องค่อยๆ สอนหญิงสาวผู้นี้ให้รู้เรื่องทางโลกบ้างแล้ว ไม่เช่นนั้นไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวันที่เลือดของเขาไหลย้อนกลับจนตาย…
เขยสกุลหลี่จะเดินทางกลับแล้ว ภายในรถม้าตอนที่นั่งมาล้วนบรรทุกของไว้เต็ม ตอนกลับก็จะปล่อยว่างไม่ได้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่สั่งให้บ่าวไพร่ยกของห่อใหญ่ห่อเล็กขึ้นบนรถม้าที่ซือหม่านำมา
ตอนที่แต่งงาน มักจะกังวลว่าตนเองที่เป็นครอบครัวพ่อค้าบังอาจเอื้อมคว้าซือหม่าต้าฉู่ หากสินเจ้าสาวจากฝ่ายตนเองน้อยเกินไปหรือมีรสนิยมไม่พอจะทำให้บุตรสาวขายหน้าบ้านสามี ดังนั้นสินสอดแม้จะเป็นของมีชื่อมีราคา แต่ก็เหมือนขาดความยิ่งใหญ่ไป
แต่กลับบ้านเกิดมาครั้งนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รู้สึกว่าตนเองได้ความยิ่งใหญ่ของการเป็นแม่ยายกลับมาบ้างแล้ว รู้สึกว่าเขยของตนเองแม้จะมีท่าทางเย็นชา แต่แท้จริงเป็นคนกตัญญูอ่อนน้อมมาก ครั้งนี้บุตรสาวต้องไปทางเหนือ ไม่รู้ว่าตอนปีใหม่จะกลับมาได้หรือไม่ เช่นนั้นอาหารย่อมขาดไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว
ดังนั้นของที่ขนขึ้นรถม้าในครั้งนี้จึงเรียบง่ายและใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น แตงกรอบดองของเมืองเหลียวเฉิงหลายไหใหญ่จึงเป็นตัวเอกที่ไม่อาจขาดได้ เนื้อหมักชิ้นใหญ่ที่รมควันกันเองก็เอาไปด้วยหลายชิ้น เพื่อไม่ให้บุตรสาวหาของไม่ได้ตอนอยากกินอาหารเมืองเหลียวเฉิง ยังมีน้ำมันดอกทานตะวันอีกหนึ่งไหใหญ่ ว่ากันว่าสิ่งนี้บำรุงสมองดีที่สุด เป็นสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไหว้วานให้โรงโม่เล็กที่ทางตะวันตกของเมืองสกัดออกมาให้
สำหรับเสื้อผ้า ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เดิมทียังเร่งทำรองเท้าหมวกเสื้อผ้าเด็กอ่อนจำนวนหนึ่ง แต่ตอนนี้เห็นสภาพลูกเขยแล้ว คงยังไม่ได้ใช้ในเร็ววัน นางทอดถอนใจ ทำได้เพียงเก็บเอาไว้อย่างดี ลูกเขยเห็นแล้วจะได้ไม่อึดอัดใจ
ที่มีค่ามากที่สุดย่อมเป็นสุราสมุนไพรไหนั้น เพราะดองด้วยอวัยวะเพศที่เหลือจากทำน้ำแกงเนื้อลาวันก่อน พ่อบ้านลอบกำชับซือหม่าว่า “สุรานี้ดองอีกหนึ่งเดือนก็ดื่มได้แล้ว แต่ละครั้งห้ามดื่มมากเกินไป สุรานี้แรงมาก!”
ทำให้เหล่าทหารเก่าแก่ที่ฉู่จิ้งเฟิงพาติดตามมาขยิบตาให้กัน รอออกจากเมืองแล้ว กวนป้าจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นายท่าน แม่ยายของท่านช่างดูแลครบถ้วนดีจริง แม้แต่สุราสมุนไพรบำรุงก็เตรียมพร้อมให้ท่าน เห็นทีนายน้อยคงใกล้จะมาแล้ว…”
ทว่าคำพูดหยอกเย้าที่เหลือถูกสายตาเย็นชาของฉู่จิ้งเฟิงถลึงใส่จนต้องกลืนกลับไป
เมื่อครู่ตอนออกจากคฤหาสน์สกุลหลี่ แท้จริงแล้วก็เหนื่อยพอควร หลี่รั่วอวี๋หลายวันนี้อยู่ที่บ้านอย่างดี ทุกวันจะอยู่กับท่านแม่ หรือไม่ก็เล่นกับน้องชาย ไม่มีความกังวลใดเลย และไม่คิดเลยว่าจู่ๆ พี่ฉู่จะพานางจากไป พอคิดว่าตนเองต้องโดดเดี่ยวอีกครั้ง ในใจก็รู้สึกเศร้า พูดอย่างไรก็ไม่ยอมไปขึ้นรถม้า
ทำเหมือนเด็กถูกบังคับให้ไปหอเรียน เกาะกรอบประตูไว้แน่น ร้องไห้น้ำตาเป็นสาย สุดท้ายก็ถูกฉู่จิ้งเฟิงอุ้มขึ้นรถม้าไป
ทว่าท่าทางน่าสงสารที่ถูกบังคับให้จากบ้านนั้น ทำให้ฉู่จิ้งเฟิงรู้สึกเศร้าใจยิ่ง
ว่ากันว่าคนปัญญาอ่อนไม่คิดแค้นไม่ใช่หรือ แต่ภรรยาของเขาผู้นี้กลับจำเรื่องถูกตีมือได้แม่น ก่อนขึ้นรถม้ายังพาดหน้าต่างรถฟ้องฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ บอกว่าต้องรีบรับนางกลับบ้าน ไม่อย่างนั้นต้องถูกตีไม่ยอมให้พบท่านแม่แน่นอน
คิดถึงตรงนี้ แม้จะไม่ต้องดื่มของบำรุงนั้น ฉู่จิ้งเฟิงก็รู้สึกว่าตนเองคงถูกคนโง่ที่ลืมบุญคุณผู้นี้ทำให้โมโหจนเลือดออกเจ็ดทวารในสักวัน
เมื่อกลับถึงเมืองซูเฉิง ท่านหญิงไหวอินออกมาต้อนรับน้องชายน้องสะใภ้ด้วยตนเอง พอเห็นหลี่รั่วอวี๋ร้องไห้ตาแดงก็พูดด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดยังมีน้ำตานองอยู่ล่ะ จิ้งเฟิงรังแกเจ้าหรือ ข้าตีเขาดีหรือไม่”
หลี่รั่วอวี๋ส่ายหน้าอย่างน่ารักพลางพูด “เขาบอกว่าอีกสองสามวันจะพารั่วอวี๋ไปขี่ม้า…ยังมีวัวแพะอีกกองใหญ่”
ท่านหญิงไหวอินยิ้มตบหลังมือของนางเบาๆ แล้วถามฉู่จิ้งเฟิง “ทำไมหรือ เจ้าจะจากไปแล้วหรือ จะไม่อยู่ต่ออีกสักนิดหรือไร”
ฉู่จิ้งเฟิงส่ายหน้า “สกุลไป๋เดิมทีก็หวาดกลัวข้าอยู่แล้ว ถ้าอยู่นานจะยิ่งเกิดความเปลี่ยนแปลงได้ง่าย สู้รีบกลับเมืองโม่เหอดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังพาคนสำคัญไปผู้หนึ่งด้วย…”
พอพูดเช่นนี้ กวนป้าที่ยืนอยู่ด้านข้างได้ฟังรายงานจากองครักษ์แล้วก็พูดเสียงเบา “นายท่าน เอาตัวคนมาได้แล้ว อีกสองวันก็เดินทางออกนอกด่านได้แล้ว”
ฉู่จิ้งเฟิงพยักหน้า ท่านหญิงไหวอินฟังอยู่ด้านข้างก็รู้ดีเช่นกัน จึงยิ้มแล้วกล่าว “สกุลไป๋เสียเงินก้อนใหญ่ไปกับการต่อเรือรบ เจ้าไปถอนฟืนใต้กระทะ* แม้แต่คนผู้นั้นก็ไม่เหลือให้พวกเขา ช่างเจ้าเล่ห์เหลือเกินจริงๆ”
ฉู่จิ้งเฟิงสบถเสียงเย็นชาพลางเอ่ย “ถ้าไม่เพราะคิดว่าเงินก้อนใหญ่นั้นเป็นของชาวเมืองเช่นกัน ก็จะรอให้พวกเขาต่อเรือรบเสร็จก่อนแล้วค่อยเปิดเผยความจริง ความมักใหญ่ใฝ่สูงของพระมาตุลาไป๋ไม่น้อยเลย สงครามทางเหนือเพิ่งสงบลง ก็คิดต่อเรือรบโดยไม่สนใจคำค้าน ต้องให้บทเรียนเขาเสียบ้าง ให้เขาสงบลงบ้างจึงจะดี”
หลี่รั่วอวี๋ฟังไม่เข้าใจว่าพวกเขาคุยอะไรกัน สนใจแต่เล่นเรือเล็กในมือของตนเองอยู่ข้างๆ แล้วตามพวกหล่งเซียงกลับห้องไป เรือเหล่านี้คนงานเรือเก่าแก่ผู้หนึ่งให้มาตอนไปที่อู่เรือเมื่อวาน มีเต็มหนึ่งหีบใหญ่ เดิมทีคนงานเรือผู้นี้จะทำให้หลานชายเล่น ผลปรากฏว่าเห็นคุณหนูรองหลี่จ้องเรือจำลองที่วางอยู่บนชั้นไม่วางตา จึงมอบเรือหีบนี้ให้คุณหนูรองทั้งหมด
พวกเขาคนงานเรือเก่าแก่เหล่านี้เห็นหลี่รั่วอวี๋ตั้งแต่เด็กจนโต แม้จะเป็นบุตรสาวของนายจ้าง แต่ปกติจะเข้าหาคนอื่นอย่างไม่วางท่า ตอนเพิ่งเริ่มเดินได้ก็มาเล่นที่อู่เรือกับนายท่านหลี่ ตอนนั้นนางก็เป็นเช่นนี้ ถือเรือจำลองเอาไว้ไม่ปล่อย…
ตอนที่ออกจากอู่เรือ เห็นหลี่รั่วอวี๋ฉีกยิ้มไร้พิษภัยให้พวกเขาราวกับเด็ก คนงานเก่าแก่หลายคนก็ร้องไห้ คุณหนูรองหลี่ที่พวกเขารักนับถือวันนี้กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว จะไม่ให้คนรู้สึกปวดใจได้อย่างไร
หลี่รั่วอวี๋กลับไม่รับรู้ถึงความปวดใจของผู้อื่น กลับถึงห้องก็นอนคว่ำหน้าเล่นอยู่บนพื้นห้องหอ
ซูซิ่วกลัวว่าฮูหยินน้อยจะได้รับไอเย็น จึงสั่งคนไปยกพรมขนหนาม้วนหนึ่งที่ทางซีอวี้ส่งมาบรรณาการจากคลังเก็บของส่วนตัวท่านหญิงไหวอินมาปูไว้บนพื้นหน้าเตียง ให้ฮูหยินน้อยได้นอนเล่น
หล่งเซียงล้างผลหลี่* หวานมาถ้วยหนึ่ง กลัวว่าคุณหนูจะเผลอกลืนเม็ดลงคอ จึงใช้มีดไผ่เล็กๆ คว้านเม็ดออก จากนั้นก็คลุกน้ำตาลกรวดก่อนจะเอามาให้กิน
หลี่รั่วอวี๋กึ่งเอนตัวนอนบนพรมนุ่ม ใช้มือหยิบผลหลี่ขึ้นมากิน จากนั้นก็แกะเรือจำลองนั้นจนหลุดกระจัดกระจาย เพราะเล่นของเล่นเป็นประจำ จึงทำให้หลี่รั่วอวี๋ฟื้นตัวได้ไม่เลว จากตอนแรกที่กินน้ำมักจะถือถ้วยได้ไม่มั่น ถึงตอนนี้สามารถประกอบเรือเล็กที่แกะหลุดเหล่านี้ให้เป็นเหมือนเดิมได้แล้ว เพียงแค่บางครั้งมือจะสั่นอยู่บ้าง ทำให้เสียบเสากระโดงเรือผิดตำแหน่งจนหักเป็นสองท่อน
หลี่รั่วอวี๋มองดูเรือที่ซ่อมกลับเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้วก็ให้รู้สึกรำคาญใจ จึงออกแรงขว้างเรือที่ประกอบได้เพียงครึ่งหนึ่งทิ้งไป
เรือน้อยขว้างใส่ตัวฉู่จิ้งเฟิงที่เพิ่งเดินเข้ามา ถูกเขารับเอาไว้ได้พอดี
“ไม่ได้ดั่งใจก็ขว้างปาข้าวของหรือ ไปเรียนธรรมเนียมนี้มาจากที่ใดกัน” เสียงพูดของชายหนุ่มทุ้มต่ำ ในดวงตาเปล่งประกายที่น่ากลัว
หลี่รั่วอวี๋แม้จะโง่เขลาทึ่มทื่อ แต่ดูสีหน้าเก่งที่สุด ตอนที่เขาตีหลังมือนางก็มีสีหน้าน่ากลัวแบบนี้เช่นกัน นางจึงก้มหน้าลงแล้วซ่อนมือไว้ด้านหลัง
ฉู่จิ้งเฟิงย่อมเห็นกิริยาเล็กน้อยนี้ แต่บนสีหน้ากลับไม่อ่อนลง เขามองดูบนพรมสูงค่าที่เปื้อนน้ำหวานจากผลหลี่คลุกน้ำตาล เหยียบแล้วพื้นรองเท้ารู้สึกเหนียว อกเสื้อของนางเปื้อนเป็นดวงๆ ดูเลอะเทอะเป็นอย่างมาก
หลี่รั่วอวี๋ฟังคำพูดเข้าใจ แม้ความเข้าใจจะมีจำกัดราวกับเด็กเล็ก แต่หากเพราะนางป่วยจึงละเลยเรื่องนี้ไป เกรงว่าจะยิ่งไม่มีระเบียบมากขึ้น
แม่ยายของเขานั้นเป็นคนตามใจลูก ที่ก่อนหน้านี้หลี่รั่วอวี๋เป็นคนมีระเบียบได้เกรงว่าคงเป็นเพราะพ่อตาของเขาที่ล่วงลับไปสอนได้ดี ตอนนี้ท่านพ่อตาไม่อยู่แล้ว มีฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ดูแลเลี้ยงดูลูกเพียงคนเดียว เอาใจหลี่รั่วอวี๋จนมีสภาพเหมือนเสียนเอ๋อร์น้องภรรยาของเขา ทั้งวันเอาแต่ร่ายรำอาวุธ ขึ้นต้นไม้ปีนกำแพง ทำอะไรตามอำเภอใจเหลือเกิน
ครั้งก่อนแม้จะเข้าใจนางผิด แต่อารมณ์ไม่ดีก็ลงมือตีคนเช่นนั้นอย่างไรเสียก็เป็นเรื่องไม่เหมาะสม เมื่อวานที่อู่เรือก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ผู้ใดเอามาก็ตามจะยื่นมือไปหยิบ กินจนเศษอาหารเลอะเทอะเต็มตัวไปหมด
ฉู่จิ้งเฟิงแม้จะรู้สึกว่าท่าทางการกินแบบนี้ยังนับว่าน่ารัก แต่สายตาที่ไป๋ฉวนจงมองมานั้นกลับฉายความดูถูกไว้รางๆ สิ่งนี้ทำให้ฉู่จิ้งเฟิงลอบรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
แม้จะไม่ตั้งความหวังว่าหลี่รั่วอวี๋จะกลับเป็นเหมือนเดิมไว้มากนัก ถึงขั้นแอบหวังว่านางจะอยู่อย่างเชื่อฟังข้างกายเขาเช่นนี้ตลอดไป แต่หากนางเรียนรู้การวางตัวพอสมควรได้ ไม่ต้องถูกดูถูกหัวเราะเยาะ มิดียิ่งกว่าหรือ
เมื่อคิดเช่นนี้ ฉู่จิ้งเฟิงจึงตัดสินใจจะดัดนิสัยไม่มีระเบียบของหลี่รั่วอวี๋ เริ่มจากเรื่องเล็กน้อยเรื่องการปฏิบัติตัวต่อหน้าผู้อื่นและการรับของในชีวิตประจำวัน
รอกลับถึงทางเหนือ ย่อมต้องเชิญอาจารย์มาให้นางสักคน การเรียนรู้หนังสือเป็นเรื่องรอง สิ่งสำคัญที่สุดคือเรียนรู้กฎระเบียบที่หญิงในตระกูลใหญ่พึงมี
ตอนเก็บสัมภาระลงเรือใหญ่เริ่มเดินทางขึ้นเหนือ ฉู่จิ้งเฟิงไม่ได้ผ่อนปรนเรื่องการอบรมและกฎเกณฑ์ที่มีต่อภรรยาตนเอง
เดิมทีหลี่รั่วอวี๋นั่งเรือใหญ่อย่างตื่นเต้นยินดีมาก นางชอบความรู้สึกตอนยืนอยู่ตรงหัวเรือ ปล่อยให้ลมปะทะเข้าหน้า แต่ไม่ช้าก็พบว่าพี่ฉู่ผู้นี้เริ่มใจดำกับนางมากขึ้น
ตอนกินข้าวห้ามใช้มือเปล่าเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะถูกเก็บถ้วยชาม ปกติกินผลไม้ของว่างก็ห้ามกินจนเลอะเทอะเต็มตัว ต้องเอาผ้าเช็ดหน้ารองแล้วหยิบใส่เข้าปากทีละชิ้นเล็กๆ
สำหรับเรื่องนั่งเล่นบนพื้นยิ่งไม่ได้รับอนุญาต หากพบเข้าจะถูกริบของเล่น ต่อให้ร้องโวยวายอย่างไรก็ไม่คืนให้
ตอนเริ่มแรกหลี่รั่วอวี๋ยังเชื่อฟังเป็นอย่างดี แต่ถูกบีบบังคับจนไม่เป็นไปดังใจ หลังจากโมโหจนไม่กินข้าวแล้ว นางก็พบว่าไม่มีผู้ใดสนใจนาง แม้แต่หล่งเซียงที่ปกติจะดีกับนางที่สุดหลังจากถูกฉู่จิ้งเฟิงตำหนิด้วยใบหน้าเย็นชาแล้วก็ไม่กล้าเข้าใกล้นางอีก
วันนี้เดินทางเข้าใกล้เมืองวั่นโจวทางตอนเหนือแล้ว เรือใหญ่ที่พวกเขานั่งมาต้องเติมอาหารและน้ำ จึงเทียบท่าพักผ่อนครึ่งวัน
วันนี้ตรงกับวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด เป็นเทศกาลฉีเฉี่ยว* พอดี ร้านค้าในท้องถิ่นล้วนตุนสินค้าใหม่เตรียมไว้ขายกันอย่างคึกคักตอนเปิดตลาดเทศกาลฉีเฉี่ยว
หญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานล้วนสวมเสื้อใหม่ปักปิ่นดอกไม้มาเดินตลาด คุณชายหนุ่มน้อยแต่ละบ้านก็มาตามหาดอกไม้ ตลาดเทศกาลฉีเฉี่ยวมีรถม้าต่อกันเป็นขบวนยาว ผู้คนเบียดเสียดราวน้ำหลาก คึกคักยิ่งกว่างานโคมไฟวันปีใหม่เสียอีก
ฉู่จิ้งเฟิงเดิมทีเตรียมจะพาหลี่รั่วอวี๋ขึ้นฝั่งไปเที่ยวเล่นสักหน่อย แต่บังเอิญหลี่รั่วอวี๋ก่อเรื่องอดอาหาร เมื่อคืนไม่ได้กินอะไรและไม่สนใจผู้ใด เพียงแค่นั่งเศร้าสร้อยอยู่บนเตียง
ฉู่จิ้งเฟิงไปกล่อมให้นางกินอาหารด้วยตนเอง แต่นางกลับหลับตาแน่น ไม่ยอมมองหน้าเขาเลย
จะบอกว่าไม่ปวดใจก็เป็นเรื่องโกหก แต่เขาก็รู้ว่าตอนนี้เป็นช่วงสำคัญ หากใจอ่อนตอนนี้ ภายหน้าก็ยากจะตั้งกฎเกณฑ์ให้นางได้แล้ว ก็เหมือนการฝึกเหยี่ยวล่าสัตว์ไม่ให้นอน หากปล่อยให้เหยี่ยวหลับตาเพียงนิด ก็ไม่สามารถฝึกได้ นับว่าเสียเปล่าไป
บุตรชายภรรยาเอกสกุลฉู่มีเขาเพียงคนเดียว แม้จะมีน้องชายที่เกิดจากอนุของท่านพ่อ แต่ถูกเลี้ยงนอกจวนตั้งแต่เด็ก ไม่ได้อยู่ภายในจวน
ข้างกายไม่มีน้องสาวน้องชายอายุน้อย ฉู่จิ้งเฟิงย่อมไม่เคยมีประสบการณ์ ไม่รู้ว่านอกจากตีและด่าแล้วควรจะใช้วิธีใดในการปราบเด็ก ทำได้เพียงเอากฎการลงโทษให้รางวัลแบบในกองทหารมาใช้กับหญิงปัญญาอ่อนผู้นี้
หลี่รั่วอวี๋ตอนนี้แยกแยะผิดถูกไม่ออก พูดเหตุผลก็ไม่ฟัง จะตีหรือด่าเพียงปลายนิ้วก็ไม่ได้ แต่ต้องให้นางเข้าใจว่ากฎที่ใช้ในคฤหาสน์สกุลหลี่เมื่อไปถึงเมืองโม่เหอแล้วต้องแก้!
คิดถึงตรงนี้ เขาก็ตัดสินใจใจแข็ง สั่งซูซิ่วกับหล่งเซียงเสียงเย็นชาว่าไม่ต้องไปสนใจนางอีก ส่วนตนเองรับคำเชิญจากวั่นจื่อเหลียงสหายสนิทบัณฑิตชื่อดังในเมืองวั่นโจวไปดื่มสุราที่คฤหาสน์ของอีกฝ่าย
วั่นจื่อเหลียงอายุเท่ากับฉู่จิ้งเฟิง เป็นจ้วงหยวน** อันดับหนึ่งในรัชศกเทียนเอิน เขามีชาติกำเนิดธรรมดา ไม่หลงใหลลาภยศ หลังจากรู้ความเหลวแหลกของขุนนางในเมืองหลวงและความเหิมเกริมของสกุลไป๋แล้ว เป็นขุนนางได้หนึ่งปีก็ลาออกกลับบ้านเกิดมา
เขากับฉู่จิ้งเฟิงเป็นสหายในหอเรียนเดียวกัน ทั้งสองแม้จะไม่ค่อยพบปะพูดคุยกัน แต่การเป็นสหายไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา มิตรภาพนั้นไม่เคยจืดจาง
ภรรยาของเขาเป็นหลานสาวของกงซุนมู่อดีตอัครเสนาบดี เป็นคนมีใจกว้าง ไม่เคยก้าวก่ายการเป็นขุนนางของสามี สองสามีภรรยาเที่ยวชมธรรมชาติในเมืองวั่นโจวด้วยกันอย่างดี
สหายจากกันไปนาน ย่อมต้องดื่มสุราฉลอง แต่ครั้งนี้วั่นจื่อเหลียงพบว่าฉู่จิ้งเฟิงเอาแต่เหม่อราวกับจิตใจไม่อยู่กับตัว เขารู้ว่าสหายสนิทที่เย็นชาต่อสตรีมาตลอดผู้นี้แต่งกับสาวงามผู้หนึ่งจึงพูดออกมาว่า “ซือหม่ามาครั้งนี้ เหตุใดจึงไม่พาฮูหยินที่เพิ่งแต่งงานมาด้วยเล่า จะได้พูดคุยแก้เบื่อกับภรรยาข้า”
ฉู่จิ้งเฟิงกลับยิ้มเศร้าบางๆ ส่ายหน้าไม่อยากพูดอะไรมาก
วั่นจื่อเหลียงเป็นคนง่ายๆ เห็นฉู่จิ้งเฟิงเหมือนอยากจะรีบกลับก็ไม่ได้ดึงตัวเอาไว้
ฉู่จิ้งเฟิงดื่มสุราฉลองแล้วก็ขี่ม้าจากคฤหาสน์สกุลวั่นกลับมาที่เรือ ตลอดทางล้วนมีหญิงสาวมาเดินตลาดเทศกาลฉีเฉี่ยว แต่ละคนยิ้มอย่างเบิกบาน เมื่อคิดถึงหญิงสาวบนเรือที่เอาแต่ใจอยู่นิ่งไม่ยอมกินข้าว เขาก็รู้สึกเคร่งเครียด
ตอนผ่านตลาดเทศกาลฉีเฉี่ยว เห็นแผงขายของแผงหนึ่งขายตุ๊กตาผ้าที่ให้เด็กเล่น หญิงชราผู้หนึ่งนั่งเย็บอยู่หลังแผงนั้น
เขาลงจากม้าหน้าแผงนั้น เห็นผ้าที่ใช้ทำตุ๊กตาผ้าเป็นผ้าไหมอย่างดี นุ่นใช้ยัดก็เป็นนุ่นอย่างดีที่ผลิตจากเมืองฉีหลู่ สีขาวสะอาด จับดูแล้วนุ่มมาก ดังนั้นจึงเลือกตุ๊กตาเสือตัวใหญ่ตัวหนึ่ง เติมนุ่นเข้าไปอีกสองชั่ง ทำให้เสือตัวอ้วนกลม
รอหญิงชราผู้นั้นเย็บปิดเสร็จแล้ว ฉู่จิ้งเฟิงก็จ่ายเงินแล้วหนีบเอาเสือขนาดหมอนหนุนขึ้นหลังม้าอีกครั้ง
เมื่อวานเพราะเขาดุนางที่ทำชาพุทราหกใส่กระโปรงอีกแล้ว ทำให้หลี่รั่วอวี๋โกรธ กระชากฉีกตุ๊กตาผ้าที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เย็บให้นางแล้วโยนลงบนพื้น เขาเห็นนางคลายโกรธแล้วก็หยิบตุ๊กตาผ้าที่นุ่นทะลักออกมาขึ้นมากอดแล้วลอบเช็ดน้ำตา
หลังจากนั้นแม้ซูซิ่วจะมีฝีมือดีเย็บตุ๊กตาผ้าอย่างดี แต่มันได้ขาดไปแล้ว รูปร่างจึงไม่ค่อยสวยงาม
เดินทั่วตลาดกลับถึงบนเรือเช่นนี้ สิ่งแรกที่เขาทำก็คือสอบถามซูซิ่วว่าฮูหยินกินอาหารเย็นหรือยัง ซูซิ่วตอบว่า “ฮูหยินเอาแต่อยู่ในห้องเรือ ไม่ยอมลุกขึ้น และไม่ได้กินอาหารเจ้าค่ะ”
ฉู่จิ้งเฟิงปั้นหน้าเครียด เดินไปทางดาดฟ้าห้องเรือ นั่งนิ่งรับลมอยู่สักครู่ จึงหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา ดวงตาแม้จะเหลือบไปบนหนังสือ แต่ใจกลับครุ่นคิดว่าหลี่รั่วอวี๋มีนิสัยเป็นเด็ก ที่ผ่านมาเคยมีช่วงที่แง่งอนและไม่สนใจเขา แต่เพียงชั่วครู่ก็ลืม แล้วเล่นสนุกอย่างเบิกบานใจ ไม่เคยไม่ลดละเหมือนเช่นวันนี้มาก่อน
เสียงดังแปะ ฉู่จิ้งเฟิงโยนหนังสือลงบนโต๊ะ แล้วลุกขึ้นเดินไปที่ห้องนอน เพิ่งเดินเข้าห้อง หัวคิ้วของฉู่จิ้งเฟิงก็ขมวดขึ้นมา ภายในห้องมืดดำไม่มีแสงสว่างเลย เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ไม่ทันรอเรียกให้ผู้ใดมาจุดไฟก็อาศัยแสงจันทร์เดินไปที่หน้าเตียง เห็นหลี่รั่วอวี๋นอนตะแคงอยู่บนเตียง ร่างขดเป็นก้อนกลม
ฉู่จิ้งเฟิงเรียกเสียงเบาสองที หลี่รั่วอวี๋แค่นเสียงสบถสองที แต่กลับไร้เรี่ยวแรง ฉู่จิ้งเฟิงยื่นมือไปแตะหน้าผากของหลี่รั่วอวี๋ สิ่งที่ส่งผ่านมาในมือคือความร้อน นี่นางกำลังมีไข้สูงไม่ใช่หรือ!
ฉู่จิ้งเฟิงหัวใจเย็นวูบ ตะโกนเรียกท่านหมอที่ติดตามขึ้นมาบนเรือทันที
ซูซิ่วกับหล่งเซียงก็ตกใจเช่นกัน ตอนฉู่จิ้งเฟิงตำหนิพวกนางสองคนว่าเหตุใดจึงไม่รู้ว่าฮูหยินป่วย ทั้งสองก็ไม่อาจโต้แย้งได้ จะให้พูดว่าก็ท่านเป็นคนสั่งเองว่า ‘อย่าเข้าห้องไปเกลี้ยกล่อมนาง รอให้นางหิวจัดก็จะลุกขึ้นมาเอง’ อะไรทำนองนี้ไม่ได้กระมัง
ท่านหมอตรวจชีพจรแล้วก็เขียนใบสั่งยาให้อย่างรวดเร็ว ตอนที่ฉู่จิ้งเฟิงสอบถามสาเหตุการป่วย ท่านหมอก็ตอบอย่างระวังตัวว่า “เรียนซือหม่า ฮูหยินกลัดกลุ้มในอก จากบ้านเกิดและคนทางบ้านมาก็เพิ่มความร้อนในตัวอยู่แล้ว ยังได้รับความเย็นจากลมแม่น้ำบนเรืออีก สาเหตุมารวมกัน จึงทำให้เลือดลมไม่ดีเข้ามาแทรก ทำให้ไม่อยากอาหาร เกิดอาการลุกลาม กินยาไม่กี่เทียบก็จะดีขึ้น… แต่ฮูหยินไม่เหมือนกับสตรีรุ่นราวคราวเดียวกัน บางครั้งในใจมีความกลัดกลุ้ม แต่ไม่รู้ว่าจะระบายให้ผู้ใดฟัง จะต้องใช้วิธีเกลี้ยกล่อม อย่าใช้ไม้แข็ง…”
ท่านหมอแม้จะพูดอ้อมค้อม แต่ฉู่จิ้งเฟิงฟังเข้าใจแล้ว
หลี่รั่วอวี๋แม้จะเป็นคนปัญญาอ่อน แต่หลังจากแต่งงานกับเขา การกินการสวมใส่ล้วนเปลี่ยนแปลงไปมาก แม้จะเป็นหญิงฉลาดเฉลียวก็ยังคงค่อยๆ ปรับตัว นับประสาอะไรกับนางที่ไม่รู้อะไรเลย รู้เพียงว่าท่านแม่ไม่ต้องการนางแล้ว จะไม่เกิดความอึดอัดใจได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้นหลายวันมานี้เขาเอาแต่ควบคุมนาง แม้แต่ความสุขในการกินเพียงอย่างเดียวก็ยังแย่งไปจนสิ้น ผลปรากฏว่าความร้อนรุ่มนี้ทำให้นางล้มป่วย คิดว่าเช้าวันนี้ก็ไม่สบายตัวแล้วกระมัง ดังนั้นจึงได้ไม่สนใจผู้ใด
แต่ตัวเขากลับออกไปดื่มสุราและกลับมาเพิ่งพบว่าหน้าผากของนางร้อนมาก
เพราะเร่งลดไข้ ยาที่ท่านหมอสั่งจึงเป็นยาน้ำที่ผสมไว้แล้ว แค่เพียงต้มให้เดือดก็ดื่มได้ทันที
หล่งเซียงยกยามา ตอนที่จะป้อนยาให้หลี่รั่วอวี๋กินอย่างระมัดระวัง ฉู่จิ้งเฟิงที่นั่งประคองตัวหลี่รั่วอวี๋อยู่ด้านข้าง เห็นหญิงสาวที่เป็นไข้หนักรับจอกยามาแล้วคว้าผ้าเช็ดหน้าที่วางอยู่ข้างหมอนด้วยมือที่สั่นเทา พยายามทำตามกฎระเบียบที่เพิ่งเรียนรู้มาไม่กี่วันนี้ยกผ้าขึ้นวางใต้คาง ยาจะได้ไม่ไหลหกใส่ตนเอง
แต่มือนั้นสั่นแรงมาก ทำยากระฉอกออกมาหลายหยด หลี่รั่วอวี๋ป่วยจนทรุดกอปรกับมียาน้ำหยดเปื้อนเต็มตัว ทำให้นางพูดออกมาเสียงแผ่วเบาเหมือนแมว “รั่วอวี๋… ไม่ได้ตั้งใจ… มือเอาแต่สั่น… รั่วอวี๋โง่เขลา…”
คำพูดนี้เหมือนเข็มแหลมแทงเข้าหัวใจของฉู่จิ้งเฟิง ผ้าที่นางถืออยู่ในมือก็ดูระคายตาอย่างมาก…
ฉู่จิ้งเฟิงพยายามสะกดความรู้สึกประหลาดในใจเอาไว้ ก่อนจะดึงผ้าที่อยู่ในมือนางมาแล้วโยนไปบนพื้น “เด็กดี พวกเราไม่ใช้ผ้านี้แล้ว ดื่มยาให้หมด”
เขาพูดพลางรับถ้วยยามาและป้อนยาที่เหลือด้วยตนเอง
ทว่าหลี่รั่วอวี๋ดื่มยาหมดแล้ว กลับยังวุ่นวายกับคราบยาบนอกเสื้อของตนเอง เอามือไปปัดไม่หยุด
ฉู่จิ้งเฟิงใช้มือใหญ่กุมมือของนางเอาไว้ อดใจไม่ไหวก้มลงจูบหน้าผากร้อนระอุของนางเบาๆ “ไม่เป็นไร กินยาแล้วอีกครู่ต้องให้เหงื่อออก ตอนนี้ยังเปลี่ยนเสื้อไม่ได้ มิเช่นนั้นจะถูกไอเย็น”
หลี่รั่วอวี๋ทั่วร่างไร้เรี่ยวแรง เห็นเขาไม่ดุนางเหมือนหลายวันก่อนจึงวางความกระวนกระวายใจลง พลิกมือจับมือใหญ่ของเขา เริ่มสะลึมสะลือเล็กน้อย
ตอนนี้ท่านแม่ไม่อยู่ข้างกาย มีเพียงพี่ฉู่ผู้นี้ที่พึ่งได้ ก่อนจากท่านแม่ได้กำชับนางว่าต้องเชื่อฟังอย่าทำให้สามีโกรธ เพราะต่อไปนี้นางต้องฝากชีวิตไว้กับสามีผู้นี้ กินอาหารเขาเป็นคนดูแล หากทำให้เขาโกรธ จะถูกไล่ออกไปกลางถนน…
นางเคยเห็นสภาพการแย่งอาหารของขอทานกับแมวหมา ต้องปาก้อนหินใส่หมาดุร้ายเหล่านั้น จึงจะแย่งหมั่นโถวเปื้อนฝุ่นครึ่งลูกมาได้ นางคิดว่าหมั่นโถวนั่นอาจจะไม่อร่อย ดังนั้นได้ฟังคำพูดของท่านแม่แล้ว ในใจนางก็เริ่มกลัว กลัวว่าตนเองจะทำให้พี่ฉู่ไม่พอใจขึ้นมาจริงๆ และต้องไปพเนจรกลางถนน
แต่จะทำอย่างไรไม่ให้พี่ฉู่ไม่ดุนางอีกเล่า ทำได้เพียงกินอาหารดีๆ ไม่ทำเสื้อเปื้อน แต่นางกลับทำได้ไม่ดี ทุกครั้งที่เห็นพี่ฉู่จ้องนาง นางก็ยิ่งร้อนใจจนจะขว้างปาของ… แต่นางไม่ได้อยากทำจริงๆ… นางหวังว่าพี่ฉู่จะยิ้มให้นาง…
คิดถึงตรงนี้ นางก็กุมมือใหญ่แน่นขึ้น ก่อนจะนอนหลับไป
ตอนที่หลี่รั่วอวี๋สร่างไข้ ก็เป็นเวลาเช้าในวันรุ่งขึ้นแล้ว
ระหว่างนั้นหล่งเซียงยกน้ำร้อนผสมสุรามาเช็ดแขนขาให้นางตลอด และเพราะต้องดื่มยารสขม ซูซิ่วจึงยกผลไม้เชื่อมหลากสีมาให้จานใหญ่ เผื่อนางจะเกิดความอยากกิน
หลังจากกินยาหมดแล้วหลี่รั่วอวี๋ก็กินข้าวต้มอีกถ้วย นางรู้สึกว่ามีกำลังมากขึ้นและจะลงจากเตียง แต่หล่งเซียงไม่ยอม “คุณหนูคนดีของบ่าว อย่าเอาแต่เล่นจนถูกไอเย็นอีกเลย นอนบนเตียงดีๆ ก่อนนะเจ้าคะ”
หลี่รั่วอวี๋กลิ้งไปมาบนเตียง เห็นที่มุมเตียงมีตุ๊กตาเสือตัวใหม่วางอยู่ก็ตะโกนดีใจทันที ก่อนจะกระโจนเข้าไปกอดมันแนบติดหน้า แล้วดึงมันมาหนุนใต้หัว รู้สึกว่ามันนุ่มสบายมาก
หลังจากเล่นสักครู่ นางก็ลุกขึ้นพลางยื่นหน้าออกมาจากม่านเตียง เห็นฉู่จิ้งเฟิงเข้ามาพอดี จึงหดคอกลับเข้ามาด้านใน
รอจนชายหนุ่มพลิกเปิดม่านจึงพบว่า นางเอาหน้าซบลงไปบนตุ๊กตาเสือ นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงไม่ขยับ
ฉู่จิ้งเฟิงยื่นมือไปอุ้มนางขึ้นมาเบาๆ แล้วเอาหน้าแนบไปบนหน้าผากของนาง รู้สึกว่าไม่ร้อนแล้ว จึงวางใจลง ก้มหน้าถามว่า “ชอบตุ๊กตาเสือที่ข้าซื้อให้เจ้าหรือไม่”
หญิงสาวในอ้อมกอดเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ลอบเหลือบมองสีหน้าของเขา จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ
ความกลัวบนใบหน้าของนางอยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด
หญิงผู้นี้เป็นคนที่เขาใช้วิธีมากมายเพื่อให้ได้มา แต่พอมาอยู่ข้างกายเขา เขากลับไม่ได้ดูแลนางให้ดี กลับร้องขอบังคับนางมากมาย คุณหนูรองสกุลหลี่เป็นคนชอบเอาชนะเพียงใด ตอนแรกเพียงเพราะเขาไม่พอใจการออกแบบเรือของนาง จึงสร้างความลำบากใจต่อหน้าทุกคน นางกลับไม่หลับไม่นอนอยู่กับพวกคนงานเรือที่อู่เรือสองวันสองคืนไม่ได้พักสายตาเลย
แม้จะตกม้าบาดเจ็บถึงสมอง แต่หญิงสาวที่ดูเหมือนโง่ทึ่มผู้นี้กลับเป็นเหมือนที่ผ่านมา มีศักดิ์ศรีที่ไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำลาย ตอนนี้คิดดูแล้ว ที่นางโกรธเพราะทำเสากระโดงเรือหักจนขว้างเรือทิ้ง ก็เพราะนางผิดหวังกับความพ่ายแพ้ที่ตนเองไม่สามารถควบคุมมือทั้งคู่ของตนเองได้ไม่ใช่หรือ
คิดถึงตรงนี้ ฉู่จิ้งเฟิงก็รู้สึกจุกอก เห็นนางไม่อยากพูดคุยกับเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่สั่งซูซิ่วให้หยิบเสื้อคลุมตัวหนามาห่อตัวนางตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็อุ้มนางไปที่ห้องหนังสือ
ฉู่จิ้งเฟิงโอบนางนั่งตรงหน้าโต๊ะตัวใหญ่ หลี่รั่วอวี๋พบว่าบนโต๊ะมีเรือเล็กที่นางทำเสียวันนั้นวางอยู่
ฉู่จิ้งเฟิงเปิดขวดใบหนึ่ง ใช้ท่อนไม้เขี่ยของเหลวสีเหลืองออกมาจำนวนหนึ่ง แล้วอธิบายให้หลี่รั่วอวี๋ที่อยู่ในอ้อมกอดฟัง “นี่ข้าสั่งให้คนงานเรือจับปลาใหญ่มา เอากระเพาะปลาออกมาเคี่ยวเป็นกาวกระเพาะปลา”
เขาพูดพลางสอนให้หลี่รั่วอวี๋เอากาวเหลวสีเหลืองทาไปบนเสากระโดงเรือส่วนที่แตก หลี่รั่วอวี๋พยายามจะบังคับมือให้มั่น กลัวว่าจะทำให้กาวน้ำหยดไปทั่ว แต่มือยังคงสั่นเทา ร่างของนางเกร็งเล็กน้อย กังวลว่าจะถูกชายหนุ่มตำหนิ
ทว่าชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ใช้ผ้าเช็ดมืออุ่นเช็ดส่วนที่หยดออกมา จากนั้นมือใหญ่ก็กุมมือเล็กเอาไว้มั่น แล้วต่อเสากระโดงเรือส่วนที่หักเข้าด้วยกันอย่างระมัดระวัง ปล่อยนิ่งไว้สักครู่ แล้วค่อยๆ วางลงด้านข้าง
ผ่านไปครู่หนึ่ง รอกาวแห้งแล้ว ฉู่จิ้งเฟิงก็ช่วยหลี่รั่วอวี๋เอามันไปเสียบไว้บนเรือเล็ก หลี่รั่วอวี๋หมอบลงบนโต๊ะดูอย่างละเอียดสักครู่ ช่างซ่อมได้ดีมากจริงๆ
หญิงสาวทนไม่ไหวหันไปยิ้มให้ฉู่จิ้งเฟิง รอยยิ้มนั้นสวยหวานมาก เป็นสิ่งที่หาได้ยากในหลายวันนี้
“ในเมื่อเจ้าป่วย พวกเราก็อยู่ที่เมืองวั่นโจวอีกสักพัก ตอนนี้ที่วั่นโจวมีตลาดเทศกาลฉีเฉี่ยว อีกสองวันกว่าจะวาย พรุ่งนี้ถ้าเจ้าไม่เป็นไข้อีก ข้าจะพาไปเที่ยวตลาดดีหรือไม่”
หลี่รั่วอวี๋อยู่บนเรือหลายวันนี้รู้สึกอึดอัดมาก ได้ฟังคำพูดนี้แล้วดวงหน้าก็เปล่งประกาย ลืมความเข้มงวดของเขาเมื่อหลายวันก่อนไปทันที ยกสองมือโอบคอของเขาอย่างมีความสุขแล้วถามว่า “ที่ตลาดนั่นมีหมาลอดบ่วงไฟหรือไม่ ครั้งก่อนท่านแม่เคยพารั่วอวี๋ไป… อยากไปดู”
ฉู่จิ้งเฟิงทนไม่ไหวจูบแก้มของนางเบาๆ พลางเอ่ย “มีหมดทุกอย่าง ถึงตอนนั้นรั่วอวี๋อยากได้อะไร ข้าจะซื้อให้เจ้า”
หากมีความหวังแล้ว อาการป่วยย่อมหายได้เร็ว
เมืองวั่นโจวผู้คนเรียบง่าย ดูแลความปลอดภัยดีมาก ดังนั้นแม้จะเป็นธิดาตระกูลใหญ่ก็สามารถพาสาวใช้มาเที่ยวชมตลาดได้โดยไม่ต้องกลัวหรือกังวลอะไร
ดังนั้นวันนี้พอไปถึงตลาด ฉู่จิ้งเฟิงก็ประคองหลี่รั่วอวี๋ลงจากรถม้า นำองครักษ์หลายคนพร้อมกับซูซิ่วและหล่งเซียงเดินเท้าเที่ยวตลาด
สถานที่นี้ห่างจากเจียงหนาน การกินการสวมใส่แตกต่างกับเมืองเหลียวเฉิงมาก หลี่รั่วอวี๋เห็นของกินอะไรก็รู้สึกแปลกใหม่ ในมือองครักษ์หลายคนข้างหลังหอบของห่อใหญ่ห่อเล็กเต็มไปหมดแล้ว
ในตอนนี้เอง ข้างหน้ามีเสียงประทัดดังขึ้น ที่แท้ข้างหน้ามียอดบุปผาของหอซิ่วชุนมาแสดงศิลปะการดีดพิณเดินหมากชงชาในงานเทศกาลฉีเฉี่ยว
ฉู่จิ้งเฟิงเดิมทีไม่อยากดู แต่จนใจที่หลี่รั่วอวี๋อยากรู้อยากเห็น จึงต้องพานางไปดู
เพราะป่วยหนักครั้งนี้ ปณิธานในการเป็นคนเข้มงวดที่ฉู่จิ้งเฟิงตั้งใจไว้จึงล้มเหลวไม่เป็นท่า ดังนั้นตลอดทางนี้จึงยอมทำตามใจนางทุกอย่าง
รอไปถึงหอซิ่วชุน ชาวเมืองทั่วไปดูได้แค่ตรงหน้าหอ แต่หากจ่ายเงินห้าสิบตำลึงก็ขึ้นไปชมใกล้ชิดบนชั้นสองได้ หากจ่ายหนึ่งร้อยตำลึงก็สามารถดื่มชาที่ฉู่หวั่นเหนียงยอดบุปผาเป็นคนชงในห้องส่วนตัว
ฉู่จิ้งเฟิงแม้จะไม่สนใจยอดบุปผาผู้นั้น แต่เห็นหลี่รั่วอวี๋เดินมาเหนื่อยแล้ว จึงสั่งให้กวนป้าที่อยู่ข้างหลังจ่ายเงินหนึ่งร้อยตำลึง จองห้องส่วนตัวที่ติดด้านหน้า แล้วสั่งจานผลไม้และของว่างให้หลี่รั่วอวี๋ไว้กินรองท้อง
ในตอนนี้เอง หลังจากเสียงพิณดังลอยมาก็เห็นหญิงสาวในชุดชายยาวสีแดงสดผู้หนึ่งเดินขึ้นบนแท่นสูง
หลังจากแสดงตัวแล้ว หญิงผู้นั้นก็ขยับตัวร่ายรำไปตามดนตรี การแต่งตัวของนางราวกับนางฟ้า เรือนร่างอ่อนราวไร้กระดูก แม้แต่หลี่รั่วอวี๋ก็ดูอย่างเพลิดเพลิน ขนมครึ่งชิ้นที่อมไว้ในปากถึงกับลืมกลืนไปเลยทีเดียว
เมื่อร่ายรำจบหนึ่งเพลง คนบนหอล่างหอพากันส่งเสียงดังไม่หยุด และมีเศรษฐีมือเติบในห้องส่วนตัวชั้นสองสั่งกระเช้าดอกไม้อันใหญ่มาตั้งกองไว้ข้างแท่นแสดง
หลังจากแสดงศิลปะการดีดพิณและเขียนอักษรแล้วก็เป็นการแสดงชงชา ฉู่หวั่นเหนียงผู้นั้นแม้จะอยู่ในหอคณิกา แต่อากัปกิริยาเหนือกว่าธิดาตระกูลใหญ่มาก นั่งอยู่หน้าโต๊ะชงชากิริยาทุกอย่างลื่นไหลไม่มีที่ติเลย
หลังจากหลี่รั่วอวี๋เห็นนางชงชาเสร็จหนึ่งกาก็เทให้ตนเองหนึ่งถ้วย แล้วยกขึ้นอย่างงดงาม เม้มชิมไปหนึ่งคำ รายละเอียดทุกอย่างเหมือนกับกฎเกณฑ์ที่ฉู่จิ้งเฟิงตั้งให้กับนาง
พอก้มหน้ามองดูตนเอง แม้เมื่อครู่จะระวังมากขึ้นแล้ว แต่ก็ยังทำเศษขนมตกลงบนตัว หลังจากเห็นอากัปกิริยาอันงดงามของยอดบุปผาแล้ว หลี่รั่วอวี๋ก็พอเข้าใจแล้วว่าเหตุใดพี่ฉู่จึงเข้มงวดกับนางเช่นนั้น
นางถอนหายใจแล้วหันไปพูดกับฉู่จิ้งเฟิง “พี่สาวคนสวยผู้นั้น… รู้ธรรมเนียม รั่วอวี๋เรียนรู้ไม่ได้ เหตุใดพี่ฉู่ไม่แต่งกับนางล่ะ”
หลี่รั่วอวี๋เสียงใสแจ๋ว กอปรกับฉู่หวั่นเหนียงแสดงศิลปะการชงชา เน้นเรื่องความสงบของจิตใจ ฟังเสียงน้ำเดือดชงชา รับรู้ถึงความงามของชา ดังนั้นตอนแสดงการชงชา แขกที่มาดูอยู่ชั้นล่างแยกย้ายกันไปแล้ว ปิดประตูหน้าต่างที่เชื่อมกับถนนแล้ว ภายในห้องจึงเงียบสงบอย่างมาก
ดังนั้นเสียงของหญิงสาวจึงดังเป็นพิเศษ ทำให้ฉู่หวั่นเหนียงช้อนตาขึ้นมองมา ดวงตาคู่นั้นสั่นไหว ถึงกับไม่อาจเลื่อนสายตาหนีได้
ฉู่จิ้งเฟิงนวดขมับ คิ้วเรียวสองข้างขมวดเข้าหากัน ในใจคิดว่า… เป็นปัญญาอ่อนเสียที่ไหน เป็นคนจำแค้นฝังใจมาก อะไรเล็กน้อยก็ต้องแก้แค้น!
คำพูดนี้มีเหตุมีผลมาก นางคณิกาชื่อดังเหล่านี้ไม่ด้อยไปกว่าหญิงในตระกูลใหญ่เลย มีผู้ใดบ้างที่ไม่ได้เรียนดีดพิณเดินหมากเขียนอักษรวาดภาพอย่างดีมาแต่เด็ก มารยาทการรับรองคนรับของล้วนเป็นเลิศ และในตอนนี้ก็ฉวยโอกาสในเทศกาลฉีเฉี่ยวขึ้นแท่นแสดง แสดงความสามารถรอบด้านของตนเองก็เพื่อล่อให้เหล่าภมรทองจำนวนมากเข้ามาในหอสูบวิญญาณแห่งนี้เท่านั้นเอง!
เมื่อคิดได้ดังนี้ ตนเองบังคับให้หลี่รั่วอวี๋เรียนรู้เป็นศิลปะที่ใช้เพื่อทำให้ผู้อื่นชื่นชอบ แต่ภรรยาของเขาฉู่จิ้งเฟิงจะต้องให้ผู้อื่นมาชื่นชอบเพื่ออะไรกัน
ฉู่จิ้งเฟิงเป็นคนทำอะไรตามใจตนเองอยู่แล้ว ตอนนี้คิดตกในจุดนี้แล้ว จึงรู้สึกว่าการกระทำของตนเองเมื่อหลายวันก่อนนั้นหาเรื่องใส่ตัว ทำเรื่องไม่จำเป็น ทั้งยังทำให้ภรรยาต้องป่วยหนัก ปลายคางที่ค่อนข้างเรียวแหลมตอนนี้ยังมีท่าทางเหมือนคนป่วยอยู่หลายส่วน…
กวาดตาดุมองสายตาตื่นตะลึงของแขกที่มาหาความสำราญเหล่านั้นที่มองมาทางหลี่รั่วอวี๋ เขาหยิบงอบเย็บชายผ้าคลุมหน้าที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาสวมให้หลี่รั่วอวี๋แล้วก็พูดเสียงเบาด้วยท่าทีอ่อนโยน “รั่วอวี๋พูดถูกต้องแล้ว ธรรมเนียมเหล่านั้นใช่จะมีแต่ธิดาตระกูลใหญ่เท่านั้นที่เรียนรู้ได้ ต่อไปจะไม่บังคับรั่วอวี๋เรียนรู้แล้ว เช่นนี้ดีหรือไม่เล่า”
หลี่รั่วอวี๋ยื่นมือไปพลิกเปิดผ้าคลุมหน้า ยิ้มงดงามให้ฉู่จิ้งเฟิงอย่างซาบซึ้งใจ ทำให้แขกเหล่านั้นเห็นแล้วใจสั่น ลอบคิดว่า… โอ้ นึกว่าฉู่หวั่นเหนียงผู้นี้งามเป็นนางล่มเมืองแล้ว แต่กลับกลายเป็นดอกโบตั๋นที่งามสง่าไร้ความโดดเด่น ส่วนหญิงสาวในห้องผู้นั้นกลับมีความพิเศษ เพียงแค่มองก็รู้สึกว่ารูปโฉมงดงามแม้จะไม่ยั่วยวน นี่จึงจะเป็นความงามที่เรียกว่ามัจฉาจมวารี ปักษีตกนภาได้เลยกระมัง
บทที่สิบเอ็ด
ในเมื่อหลี่รั่วอวี๋คลายความอยากรู้แล้ว ฉู่จิ้งเฟิงก็ไม่อยากให้นางอยู่ที่นี่นานนัก จึงดึงผ้าคลุมหน้าที่หน้าของนาง แล้วลุกยืนเตรียมจะพาหลี่รั่วอวี๋เดินจากไป
ในตอนนี้เอง ยอดบุปผาฉู่หวั่นเหนียงกลับเดินลงจากแท่นแสดง ก้าวเท้ามาทางห้องของพวกเขา กวนป้าในใจคิดว่า… นายท่านมีวาสนาเรื่องสตรีจริงๆ หรือจะได้ยินคำพูดของฮูหยินแล้วจึงมาหาเรื่องด้วยตัวเอง
คิดไม่ถึงว่ายอดบุปผานั่นไม่ได้มองมาที่ฉู่จิ้งเฟิง แต่คารวะนอบน้อมให้กับหลี่รั่วอวี๋ “คุณหนูรองหลี่ ข้าน้อยรอจนได้พบท่านแล้ว ท่านมารับของที่ฝากไว้ใช่หรือไม่ ที่นี่คนมากวุ่นวาย ขอเชิญไปพูดคุยกันที่ลานด้านหลังเถิด”
หลี่รั่วอวี๋ที่ซ่อนใบหน้าอยู่หลังผ้าคลุมหน้าเบิกตาโต นางไม่รู้ว่าพี่สาวคนสวยผู้นี้เหตุใดจู่ๆ จึงมาเรียกนาง นางจึงมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
แต่ฉู่จิ้งเฟิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย เห็นสภาพการณ์นี้แล้ว ยอดบุปผาผู้นี้รู้จักหลี่รั่วอวี๋ด้วยหรือ! และเหมือนก่อนหน้านี้หลี่รั่วอวี๋ยังได้ฝากของอะไรไว้ที่นาง เขาจึงเกิดความสงสัยขึ้นมาทันใด
เขาจึงดึงมือของหลี่รั่วอวี๋ไว้อย่างไม่แสดงอาการ แล้วกระซิบข้างหูนางว่า “อีกครู่ไม่ต้องพูดอะไร ถ้าทำได้ดี จะซื้อโคมม้าวิ่งให้เจ้าอีกอันดีหรือไม่”
หลี่รั่วอวี๋ได้ฟังก็พยักหน้าอย่างตื่นเต้น จากนั้นรีบปิดปากแน่น
แล้วทั้งหมดก็เดินตามฉู่หวั่นเหนียงผู้นี้ไปยังศาลาพักร้อนที่ลานด้านหลัง
แขกเงินหนาเหล่านั้นเห็นฉู่หวั่นเหนียงไม่ได้ยกน้ำชาก็จากไป ย่อมไม่พอใจ โชคดีสาวใช้ด้านข้างบอกว่าฉู่หวั่นเหนียงจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้านหลัง หลังจากนี้จะกลับมาต้อนรับแขกทุกท่านอีกครั้ง แขกเหล่านั้นจึงหยุดโวยวายลงได้
เพราะหลี่รั่วอวี๋มีผ้าคลุมปิดหน้า ฉู่หวั่นเหนียงจึงไม่เห็นความงุนงงของนาง เรื่องที่คุณหนูรองหลี่ได้รับอุบัติเหตุบาดเจ็บ ที่เมืองเหลียวเฉิงบ้านเกิดแม้จะรู้กันทั่ว แต่ไม่ได้ลือมาถึงทางเหนือดินแดนห่างไกลนี้
ฉู่หวั่นเหนียงมีชาติกำเนิดในตระกูลขุนนาง แต่เพราะท่านปู่ล่วงเกินสกุลไป๋จึงถูกตั้งข้อหาความผิดตัดคอ ส่วนนางถูกจับมาเป็นนางโลมขุนนางอยู่ในหอคณิกา เพราะชาติกำเนิดนางทำให้มีประสบการณ์ไม่น้อย คบหาคนมีชื่อเสียงเป็นวงกว้าง มีการติดต่อคบค้าที่กว้างขวาง แต่ในจำนวนคนมีชื่อเสียงมากมายนี้ คนที่นางนับถือที่สุดคือคุณหนูรองหลี่ที่เก่งกาจเฉลียวฉลาดไม่แพ้บุรุษผู้นี้
ในอดีตตอนนางรับเทียบเชิญผนึกเงินไปท่องทะเลสาบ ถูกแขกเลวรังแก เพราะไม่ยอมตามใจจึงถูกโยนลงทะเลสาบโดยไม่มีผู้ใดช่วย ในตอนที่นางสำลักน้ำ คิดว่าต้องตายกลายเป็นอาหารปลา คุณหนูรองหลี่สั่งคนงานเรือให้ช่วยนางขึ้นมา แล้วบังคับเรือไปชนเรือสำราญของแขกเลวใช้อำนาจรังแกคนจนเป็นรูใหญ่ น้ำในทะเลสาบไหลเข้าเรือ จนกระทั่งบีบให้แขกเลวคุกเข่าโขกหัวบนดาดฟ้าหัวเรือขอโทษนาง คุณหนูรองหลี่จึงสั่งให้คนช่วยแขกเลวออกมาจากเรือที่ใกล้จมนั้น
แม้แต่ชายหนุ่มที่ชื่นชมในความงามของนาง ยังไม่กล้าล่วงเกินคนสกุลสูงศักดิ์เพื่อหญิงคณิกาผู้หนึ่ง นับประสาอะไรกับธิดาสกุลร่ำรวยผู้หนึ่ง! นางจึงรีบขอบคุณแล้วลงจากเรืออย่างรวดเร็ว จะได้ไม่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของคุณหนูใจดีผู้นี้
ทว่าคุณหนูรองหลี่ที่ตะลุยไปทั่วใต้จรดเหนือกลับพูดด้วยรอยยิ้มสดใส ‘อันธพาลเมื่อครู่บีบคุณหนูฉู่ให้ดื่มสุราจากรองเท้า คำร้องที่งดงามไพเราะของคุณหนูตรงไปตรงมา ไม่เสียทีที่เป็นชนรุ่นหลังของบัณฑิตฉู่ คุณหนูเป็นดอกบัวที่ซ่อนตัวอยู่ในโคลน แต่ความทะนงไม่ได้ลดลงไปเลย ช่างน่านับถือยิ่งนัก!’
ด้วยคำพูดนี้ ทำให้ฉู่หวั่นเหนียงเคารพชื่นชมในตัวคุณหนูรองหลี่ที่อายุไม่มากแต่กลับมีความกล้าหาญรักความยุติธรรม
ตอนคุณหนูรองหลี่ถูกคนร้ายไม่รู้ฐานะทำร้ายบาดเจ็บ และถูกฉู่ซือหม่าแห่งต้าฉู่สั่งจับไปห้าเขตทางเหนือ ด้วยสถานการณ์อันตราย จึงมาซ่อนตัวในหอซิ่วชุนซึ่งคนอื่นคิดไม่ถึงอย่างเด็ดขาด
วันนี้จากกันไปนาน ได้พบกับหลี่รั่วอวี๋อีกครั้ง ฉู่หวั่นเหนียงจึงรู้สึกตื่นเต้นยินดีอย่างมาก
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด หลี่รั่วอวี๋มาในครั้งนี้จึงพูดน้อยไปมาก ไม่รู้ว่าชายหนุ่มผมสีขาวเงินที่จูงมือนางนี้เป็นผู้ใด แต่กลิ่นอายทั้งตัวนั้นทำให้คนใจสั่นอย่างไร้สาเหตุ และไม่รู้ว่าจะเป็นเสิ่นหรูป๋อว่าที่สามีของหลี่รั่วอวี๋หรือไม่
ดังนั้นนางจึงถามอย่างลังเลว่า “ขอถามว่าท่านนี้คือคุณชายรองเสิ่นใช่หรือไม่”
ฉู่จิ้งเฟิงได้ยินคำถามของยอดบุปผาแล้วก็พูดเสียงเข้มว่า “ถูกต้อง ไม่รู้ว่าของที่รั่วอวี๋ฝากไว้ก่อนหน้านี้อยู่ที่ใด”
ฉู่หวั่นเหนียงเห็นหลี่รั่วอวี๋ปล่อยให้ ‘คุณชายรองเสิ่น’ ผู้นี้จูงมือโดยไม่รังเกียจ เห็นได้ว่ามีความรักลึกซึ้ง จึงเม้มปากยิ้มแล้วลุกขึ้นไปหยิบของ
ไม่นานนางก็หยิบกล่องไม้ใส่กุญแจใบหนึ่งมามอบให้หลี่รั่วอวี๋ ทว่าถูกฉู่จิ้งเฟิงยื่นมือใหญ่มารับไปแทน
“ตอนนั้นแผลจากคมกระบี่ของคุณหนูรองยังไม่หายดี คนแซ่ฉู่นั่นประกาศจับตามติดมาก ท่านยังดื้อดึงจะรวบรวมหญ้าแห้งไปที่ค่ายทหารสกุลฉู่ไปติดกับเอง หลังจากท่านจากไป ข้าน้อยก็นอนหลับไม่สนิทสักคืน เกรงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับท่าน ถูกผีเห็นยังหวั่นจอมสังหารผู้นั้นทำร้ายถึงชีวิต แต่พอสืบดูหลายรอบแล้ว แม้แต่นายกองพันที่ออกมาจากค่ายทหารสกุลฉู่ก็ยังไม่รู้ร่องรอยของท่านหลังจากนั้น ส่วนหลงจู๊เฝิงที่ท่านบอกว่าจะมารับกล่องไม้นี้ก็ไม่เห็นเงาเสียที น่ากระวนกระวายใจจริงๆ…”
ฉู่หวั่นเหนียงพูดด้วยรอยยิ้มไปหลายประโยค แต่เสียงก็ค่อยๆ เงียบลง ในใจคิดว่าเหตุใดหลี่รั่วอวี๋ที่ร่าเริงตอนนี้กลับเงียบเฉยไม่พูดจา
แต่เสิ่นหรูป๋อผมขาวผู้นั้นกลับมีแววตาคมกริบในทันใด
“แผลจากคมกระบี่หรือ นางมีแผลจากคมกระบี่เมื่อใดกัน”
ฉู่หวั่นเหนียงมองไปยังหลี่รั่วอวี๋ที่สวมงอบผ้าคลุมนั้นด้วยสายตาลังเล ลอบคิดในใจว่า… ในเมื่อเป็นคนรู้ใจคุณหนูรอง เหตุใดจึงไม่รู้เรื่องที่คุณหนูถูกแทงที่ท้อง
ในตอนนี้เองประตูลานด้านหลังก็มีเสียงฝีเท้าวุ่นดังลอยมา ก่อนจะเห็นเจ้าเมืองพาคนใต้บัญชารีบรุดมาด้วยรอยยิ้ม หลังจากเห็นหน้าฉู่จิ้งเฟิงก็รีบสาวเท้าเข้าไป “ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านซือหม่าล่องเรือผ่านวั่นโจว ตอนนี้เพิ่งได้รับข่าว ไม่ได้มาต้อนรับใต้เท้า ต้องขออภัยด้วย”
ดวงตาของฉู่หวั่นเหนียงในตอนนี้เบิกกว้าง มองชายหนุ่มผมสีขาวเงินที่เต็มไปด้วยไอสังหารตรงหน้าอย่างหวาดกลัว “ซือหม่า… ท่าน…ท่านคือผี…ผีเห็น…ยังหวั่น… ฉู่…”
จะโทษว่ายอดบุปผาพูดติดอ่างไม่ได้ นางคิดไม่ถึงเลยว่าซือหม่าต้าฉู่ผู้สูงศักดิ์ที่อดีตเคยประกาศจับหลี่รั่วอวี๋จะมีวันที่จูงมือหลี่รั่วอวี๋มาพบนาง…
นี่… นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!
ในตอนนี้เองก็เห็นหญิงสาวสวมงอบคลุมหน้าพลิกเปิดผ้าคลุมหน้าอย่างเบิกบานแล้วตะโกนเสียงดัง “รั่วอวี๋ไม่ได้พูดอะไรเลย พี่ฉู่…พี่ต้องซื้อขนมโก๋แป้งข้าวเจ้าให้รั่วอวี๋กินอีกนะ!”
หน้าตาสะสวยงดงามนั้นคือหลี่รั่วอวี๋ไม่ผิดแน่นอน แม้แต่ไฝเม็ดกลมตรงคอนั้นก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ทว่านางในตอนนี้กลับดูเบิกบานใจไร้กังวล แววตาฉายความไร้เดียงสาออกมา ซึ่งไม่มีทางปรากฏบนใบหน้าสุขุมเกินกว่าอายุของหญิงสาวผู้นั้นเด็ดขาด…
ฉู่หวั่นเหนียงยืนตะลึงอยู่กลางศาลาพักร้อนนั้น ทำได้เพียงปากสั่นเทาเอ่ยถามหญิงสาวที่ไร้ความกังวลผู้นั้น “ท่าน…เป็นผู้ใดกันแน่”
ฉู่จิ้งเฟิงไม่มองหน้าเจ้าเมืองเมืองวั่นโจวที่เข้ามาป่วนเรื่อง แต่พูดสั่งการกวนป้าที่อยู่ข้างหลัง “เอาตัวหญิงผู้นี้ไป!” พูดจบก็จูงมือหลี่รั่วอวี๋ เดินตรงออกจากหอซิ่วชุน
ฉู่หวั่นเหนียงย่อมไม่ยอม ทว่าแม้แต่เจ้าเมืองยังไม่กล้าขวาง นับประสาอะไรกับแม่เล้า!
เรื่องน่ากลัวที่ว่าผีเห็นยังหวั่นฆ่าล้างเมืองภายในคืนเดียว ผู้ใดไม่เคยได้ยินบ้างเล่า เช่นนี้แล้วผู้ใดเลยจะกล้ารนหาที่ตายไปขวางซือหม่าจับตัวคนเล่า ดังนั้นจึงเห็นเพียงยอดบุปผาที่ก่อนหน้านี้ยังงดงามจับตา ถูกกวนป้าที่ร่างสูงใหญ่กำยำแบกนางขึ้นบ่าด้วยมือเดียวแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
รอจนแบกขึ้นเรือแล้ว ฉู่หวั่นเหนียงก็มีสภาพผมเผ้าหลุดลุ่ย ก่อนหน้านี้นางด่าต่อหน้าฉู่จิ้งเฟิงว่าเป็นผีเห็นยังหวั่นจอมสังหาร ตอนแรกแม้จะกลัว แต่ถูกบุรุษแบกไว้บนบ่าหน้าทิ่มดินอย่างกักขฬะแบบนี้ นางก็โกรธมากเช่นกัน จึงไม่หวาดหวั่นอะไรอีก อ้าปากด่าทันที
พอเข้าไปในโถงเรือใหญ่ หลังจากนางถูกกวนป้าโยนลงบนพื้นแล้วก็ถลึงตาจ้องฉู่จิ้งเฟิงที่นั่งอยู่กลางโถงอย่างโมโห ท่าทางเหมือนจะฆ่าจะแกงก็แล้วแต่ท่าน
ฉู่จิ้งเฟิงแค่นเสียงสบถ ทว่าในใจกลับโมโหที่ตนเองรู้เรื่องในอดีตของหลี่รั่วอวี๋น้อยมาก
หญิงผู้นี้! สามคำสอนเก้าสำนัก* ล้วนรู้จักไปทั่ว!
ที่เขาพาตัวยอดบุปผาผู้นี้มาด้วย เพราะเขาอยากรู้มากว่าเหตุใดตอนแรกหลี่รั่วอวี๋ขนสัมภาระการทหารไปส่งผิดเวลา ทำให้กองทัพของเขาเกือบจะประสบเคราะห์ร้ายกันหมด
ฉู่หวั่นเหนียงเมื่อรู้แล้วว่าชายผมสีขาวเงินผู้นี้คือผีเห็นยังหวั่นของต้าฉู่ ก็ปิดปากแน่นเหมือนกาบหอย ไม่ยอมพูดอะไรอีกเลย
แต่พอนางได้ยินว่าหลี่รั่วอวี๋ตกม้าสมองกระทบกระเทือน ในดวงตาก็มีน้ำตาไหลออกมาเป็นทาง
ฉู่จิ้งเฟิงเห็นนางเป็นเช่นนั้นคงถามไม่ได้ความอะไร จึงไม่คิดจะถามอะไรอีก ได้แต่คุมตัวนางไว้ที่ห้องในเรือชั่วคราว ส่วนกล่องไม้ใบนั้นวางอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
ถึงแม้จะใส่กุญแจไว้ แต่นิ้วเหล็กของฉู่จิ้งเฟิงออกแรงเพียงนิดก็บิดกุญแจให้หักจากกัน เปิดกล่องใบนั้นออกได้แล้ว ในกล่องนั้นมีจดหมายวางอยู่หลายฉบับ ฉบับหนึ่งเพื่อมอบให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ ในจดหมายเขียนถึงเรื่องหลังจากนางตาย บัญชี ร้านค้า อู่เรือทุกอย่างเขียนอย่างละเอียด และกำชับมารดาว่าหากมีคนต้องการยึดทรัพย์สมบัติสกุลหลี่ หากอีกฝ่ายมีอำนาจมากกว่าก็ไม่ต้องปกป้องทรัพย์สมบัติทำลายชีวิตตนเอง นอกจากร้านที่เปิดเผยของสกุลหลี่แล้ว นางยังได้ใช้ชื่อหลงจู๊เฝิงซื้อที่ดินกิจการไว้ที่เมืองจินโจวซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง เพียงพอให้มารดากับน้องชายใช้ชีวิตได้
จดหมายฉบับนี้เขียนไว้อย่างละเอียดถึงกว่าสิบหน้า
ฉู่จิ้งเฟิงมองดูตัวอักษรที่งดงามแต่ไม่ขาดพลังบนกระดาษแล้ว ก็รับรู้ได้ว่าหลี่รั่วอวี๋ยังมีห่วงต่อแม่ลูกสกุลหลี่ที่ไม่รู้เรื่องราวนั้นมากเพียงใด
จดหมายอีกสองสามฉบับเขียนให้หลงจู๊เฝิงกับคนดูแลขบวนเรือสกุลหลี่ ยังมีภาพผังพร้อมหมายเหตุอย่างละเอียดอีกหลายใบ เห็นได้ว่าเป็นภาพผังเรือรบที่อู่เรือสกุลหลี่กำลังเร่งสร้างอยู่ในตอนนี้
คิดภาพได้เลยว่าตอนนั้นหลี่รั่วอวี๋หอบเอาความคิดที่ว่าคงต้องตายหากเข้าไปในค่ายใหญ่ของเขาฉู่จิ้งเฟิง
ฉู่จิ้งเฟิงยืนขึ้น ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องชั้นใน
หลังจากหลี่รั่วอวี๋เปลี่ยนเสื้อผ้า กินขาเป็ดตุ๋นเกาลัดหวานและไข่น้ำใส่เอ็นหอย กินหมั่นโถวนมแพะอีกครึ่งลูกแล้วก็นอนหลับไป
อย่างไรเสียก็ป่วยหนัก อีกทั้งวันนี้ยังเดินมาเป็นเวลานานอีก นางจึงเหนื่อยมาก กินอิ่มแล้วก็นอนหลับสนิทอย่างสบายใจ
ฉู่จิ้งเฟิงนั่งลงข้างเตียง มองดูใบหน้าเล็กที่มีเลือดฝาดใต้ผ้าห่มนั้นแล้วก็อดไม่ได้โน้มตัวลงไปจูบ จากนั้นเขาก็ค่อยๆ พลิกเปิดผ้าห่ม ตรวจทั่วร่างของนางว่ามีบาดแผลใหม่หรือไม่
ในคืนวันแต่งงานแม้จะล่วงเกินหญิงร่างเล็กผู้นี้รุนแรงไป แต่ตอนนั้นเป็นไปด้วยความรีบร้อนและจมอยู่กับร่างเนียนนุ่มเนินอวบอิ่มนั้น จนลืมสังเกตว่านางมีบาดแผลหรือไม่
เขาตรวจดูไปทั่ว พลิกเปิดบังทรงสีชมพูอมแดงของนาง เผยให้เห็นหน้าท้องขาวเนียน ก่อนจะพบว่าข้างสะดือกลมมีแผลเป็นเล็กสีแดงอยู่จริงๆ
จำได้ว่าครั้งก่อน เพราะเขางับแผลเป็นรอยนี้ ร่างกายของหลี่รั่วอวี๋ก็แข็งเกร็งไปทันใด จากนั้นก็ร้องไห้โวยวายไม่หยุด ก่อนที่เขาจะคิดว่านางกลัวดวงตาประหลาดของตนเอง ไม่เคยคิดอย่างละเอียดถึงรอยแผลเป็นนี้ ตอนนี้ดูอย่างละเอียดแล้ว รอยแผลเป็นจากคมมีดนี้เป็นปกติทั่วไป แต่ผิวแผลเป็นนูนสูงมาก ปากแผลไม่ใหญ่ แต่ต้องลึกมาก อาวุธชิ้นนั้นต้องคมเป็นพิเศษไม่ใช่ของธรรมดาแน่นอน
จากคำที่ฉู่หวั่นเหนียงโพล่งออกมาก่อนหน้านี้ หลี่รั่วอวี๋ได้รับบาดเจ็บตอนที่ขนส่งสัมภาระทหาร จึงได้ส่งของล่าช้า แต่คนที่ทำร้ายนางเป็นผู้ใดกัน
ฉู่จิ้งเฟิงลูบบาดแผลที่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้นั้นอย่างเบามือ อดคิดถึงภาพตอนที่นางเข้าไปขอรับโทษในค่ายด้วยตนเองไม่ได้
ตอนนั้นใบหน้าที่ไม่ได้เห็นมานานเหมือนจะผอมลงไปมาก คงเป็นเพราะเสียเลือดและบาดเจ็บหนักแน่นอน ทว่าเขาเองก็ถูกพิษยังไม่หายดี ผมดำทั้งหัวกลายเป็นสีขาวเงินอย่างประหลาด จนถูกความโกรธบดบังสติไปเลยจริงๆ
ในตอนนั้นด้วยความโกรธจัดเขาจึงฆ่าม้าในขบวนสินค้าของนาง ทำลายเผารถม้า และไล่นางออกจากค่าย ประกาศกร้าวว่าต่อไปอย่าได้มาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีก
ตอนนี้คิดดูแล้ว ความผิดพลาดใหญ่โตแบบนี้ไม่เหมือนความผิดที่หญิงสาวสุขุมโตกว่าวัยผู้นั้นจะทำได้ และทั้งที่เขาก็มีประกาศจับไปก่อนหน้า นางยังเสี่ยงตายมามอบตัว จะพูดอธิบายเหตุผลต่อหน้าก็น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ให้โอกาสนางได้พูด…
คิดถึง ‘คำสั่งเสีย’ อย่างละเอียดนั้นแล้ว เขาก็ลูบแก้มของหญิงสาวเบาๆ พลางเอ่ย “ตอนนั้นเจ้ากลัวข้าจะฆ่าเจ้าขนาดนั้นเชียวหรือ แล้ว…เหตุใดยังดื้อดึงจะมาหาอีกเล่า”
ในที่สุดเรือใหญ่ก็ออกเดินทางอีกครั้ง ผ่านไปไม่กี่วันก็เข้าเขตเมืองโม่เหอ ก่อนจะเดินทางด้วยรถม้าต่ออีกสี่ชั่วยาม ในที่สุดก็มาถึงเขตพื้นที่ของฉู่จิ้งเฟิง
ตอนนี้อำนาจฮ่องเต้ตกไปอยู่ในมือคนอื่น ผู้มีอำนาจแต่ละพื้นที่แย่งกันขยายอำนาจ การไม่ยอมมอบเสบียงส่งเครื่องบรรณาการนานหลายปีกลายเป็นเรื่องปกติ ขอเพียงในมือมีอาณาเขตมีอำนาจทหาร ก็เป็นผู้นำในเขตพื้นที่นี้ แม้แต่ฮ่องเต้ที่เมืองหลวงก็ทำอะไรไม่ได้
อาณาเขตของฉู่จิ้งเฟิงกว้างขวางยิ่ง แม้อากาศทางเหนือจะไม่มีสี่ฤดูเหมือนทางใต้ แต่พื้นดินดีให้พืชผลในหนึ่งปีได้อย่างอุดมสมบูรณ์เช่นกัน แต่เมืองโม่เหอค่อนข้างห่างไกล ชาวเมืองในเขตมีไม่มาก ฉู่จิ้งเฟิงมองการณ์ไกล รู้ดีว่าหากเกิดสงครามขึ้น จะรอให้แดนไกลส่งเสบียงมาช่วยไม่ได้ จึงส่งเสริมให้ชาวเมืองบุกเบิกที่รกร้าง ขอเพียงบุกเบิกที่รกร้างเองและบริจาคเสบียงให้ทุกปีก็สามารถไปแจ้งที่จวนซือหม่าให้ออกโฉนด ไร่นานั้นก็จะตกเป็นของคนผู้นั้นทันที
ชาวเมืองจำนวนมากที่ระหกระเหินมาจากนอกเขตเพราะสงครามจึงหลั่งไหลมาที่เมืองโม่เหอ เพราะวิธีการบุกเบิกที่รกร้างนี้ ทำให้เมืองโม่เหอกลายเป็นเขตเมืองที่มั่งคั่งที่สุดทางเหนือภายในพริบตา
เพราะเอาชนะสงครามกับหยวนซู่ได้ ฉู่จิ้งเฟิงจึงได้พื้นที่เพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย แม้จะถูกสกุลไป๋หน้าด้านไร้ยางอายบังคับยึดไปจำนวนหนึ่ง แต่ที่ดินส่วนใหญ่ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของฉู่จิ้งเฟิง
นายท่านไปทางใต้เป็นเวลานาน หลังจากกลับมายังพาฮูหยินที่เพิ่งแต่งใหม่จากทางใต้กลับมาด้วย ร้านรวงสองฟากถนนในเมืองจึงต่างพากันทำความสะอาดถนน แขวนโคมไฟแดงและติดป้ายอักษรแดงต้อนรับนายหญิงที่แต่งกลับมาจากทางใต้
หลี่รั่วอวี๋ที่หลบอยู่ในรถม้าลอบมองออกมาข้างนอก รู้สึกว่าภาพสีแดงละลานตาและกลุ่มคนหัวดำที่พากันโห่ร้องพานให้เห็นแล้วใจสั่น
พอไปถึงจวนซือหม่า พ่อบ้านฉู่จงมายืนรอยิ้มยินดีรอรับซือหม่าพร้อมฮูหยินกลับจวนที่ประตูอยู่นานแล้ว
แม้จะไม่เคยเห็นฮูหยินซือหม่ามาก่อน แต่ฉู่จงรู้ว่าฮูหยินผู้นี้ต้องได้รับความรักจากใต้เท้าอย่างมาก ก่อนเข้าพิธีแต่งงานจึงสั่งให้คนส่งภาพตัวอย่างมาให้ ให้สร้างจวนซือหม่าใหม่ตามแบบสวนป่าเจียงหนาน ตอนนี้เรือนใหม่เริ่มลงมือสร้างแล้ว คาดว่าปีหน้าก็สามารถเข้าอยู่ได้
เขายังตั้งใจตกแต่งห้องนอนเดิมของซือหม่าเสียใหม่ ไม่รู้ว่าฮูหยินใหม่ผู้นี้จะชอบหรือไม่
ฉู่จิ้งเฟิงกลับรู้ว่าหลี่รั่วอวี๋ในตอนนี้เพราะจำเรื่องในอดีตไม่ได้ ทุกครั้งที่ไปในที่ใหม่ จะกระวนกระวายไม่สบายใจไม่สดชื่นอยู่บ้าง จึงไปประคองนางลงจากรถม้าด้วยตนเอง
แล้วก็เป็นจริงดังคาด พอพลิกเปิดม่านรถ เขาก็เห็นนางขดตัวอยู่ที่มุมรถม้า คิดว่าคงถูกเสียงกลุ่มคนโห่ร้องเมื่อครู่ทำให้ตกใจ หลังจากพูดกล่อมอย่างอดทนแล้วในที่สุดนางจึงขยับตัวเข้ามาในอ้อมกอดของเขา ฉู่จิ้งเฟิงจึงอุ้มนางลงจากรถม้า แล้วก้าวยาวเข้าไปในจวน
พวกกวนป้าคุ้นเคยเรื่องเช่นนี้แล้ว แต่พวกบ่าวไพร่ในจวนซือหม่าทุกคนกลับเบิกตาโตอย่างตกใจ พูดอะไรไม่ออก
คนที่เสียงพูดอ่อนโยนราวกับพูดกล่อมเด็กเมื่อครู่ที่ว่า ‘เชื่อฟังนะ รั่วอวี๋คนดี…’ คือท่านซือหม่าผู้เยือกเย็นราวน้ำแข็งและไม่รู้จักทะนุถนอมสตรีของพวกเขาจริงหรือ
เพราะกลัวว่าหลี่รั่วอวี๋จะกลัวคนแปลกหน้า หลังจากเข้าจวนซือหม่า สาวใช้ที่ปรนนิบัติใกล้ชิดนางยังเป็นคนที่พามาจากทางใต้ ฉู่จิ้งเฟิงถูกหญิงสาวผู้นี้หล่อหลอมจนจิตใจละเอียดอ่อนขึ้นมาก กลัวว่าหากนางไม่คุ้นเคย อาจจะกลัดกลุ้มจนป่วยเหมือนในครั้งก่อน
ในคืนวันนั้น เขาไม่ได้กลับไปที่ห้องหนังสือ แต่นอนเป็นเพื่อนหลี่รั่วอวี๋ในห้องนอนหนึ่งคืน
แต่ในคืนนี้กลับทรมานใจคน เพราะมาอยู่ในสภาพแวดล้อมไม่คุ้นเคยหลี่รั่วอวี๋จึงติดเขาเป็นพิเศษ กอปรกับเคยชินกับการจูบของเขา จึงขยับเข้าอ้อมกอดของเขาเอง แล้วแลบลิ้นเล็กออกมาเล่นพิเรนทร์
ปลุกปั่นจนไฟในกายชายหนุ่มลุกโชน จูบปากเล็กนั้นจนบวมแดงราวกับทาสีชาดจึงยอมปล่อย แต่พอเขาคิดจะปลดปล่อย คนตัวน้อยผู้นี้เล่นจนเหนื่อยแล้วกลับพลิกตัวนอนหลับไปไม่รู้ตัว
ฉู่จิ้งเฟิงทำได้เพียงหลับตาลง ดมกลิ่นหอมสดชื่นจากร่างหญิงสาวข้างกาย พยายามสะกดความคับแน่นตรงหว่างขานั้น…
ตอนอยู่ที่เมืองวั่นโจว ฉู่จิ้งเฟิงส่งคนไปสืบเรื่องการได้รับบาดเจ็บของหลี่รั่วอวี๋ แต่คนที่ส่งไปผ่านไปหลายวันจึงกลับมารายงาน ไม่มีอะไรใหม่ ไม่ได้เรื่องอะไรเลย รู้เพียงว่าหลงจู๊เฝิงที่หลี่รั่วอวี๋พูดถึงในจดหมายเกิดอุบัติเหตุตกเรือตายเพราะเมา ตอนนั้นคนหลายคนที่ติดตามไปด้วย บ้างก็ตายด้วยโรคฉับพลัน บ้างก็ถูกโจรจับตัวไปไร้ร่องรอย…
ตอนฉู่จิ้งเฟิงได้ฟังข่าวเหล่านี้ หัวคิ้วก็ขมวดแน่นขึ้น ความบังเอิญมากมายมารวมกันก็ไม่เหมือนเป็นความบังเอิญแล้ว หลี่รั่วอวี๋ตอนนั้นเจอเรื่องราวอะไรกันแน่ ตอนที่นางหลบรักษาบาดแผลกับฉู่หวั่นเหนียงในหอซิ่วชุนเป็นการหลบเลี่ยงประกาศจับจากเขา หรือว่า…หลบเลี่ยงอันตรายอย่างอื่น!
แต่ตอนนี้เรื่องทุกอย่างไม่มีหลักฐาน หลี่รั่วอวี๋ตกม้าสมองเสื่อม มีทางเดียวคือสอบถามความจากปากของฉู่หวั่นเหนียง
แต่ฉู่หวั่นเหนียงผู้นี้จงรักภักดีต่อหลี่รั่วอวี๋ และเห็นเขาเป็นศัตรู ทำอย่างไรจึงจะง้างปากของฉู่หวั่นเหนียงได้
มาถึงเมืองโม่เหอวันที่ห้า ฉู่หวั่นเหนียงที่ถูกคุมขังมาตลอดในที่สุดก็ถูกพ่อบ้านปล่อยตัวออกมา และถูกนำตัวมาที่สวนดอกไม้ในลานด้านหลัง
สกุลฉู่เป็นสกุลข้าหลวงมาหลายรุ่น รุ่นทวดได้แต่งงานกับองค์หญิงของอดีตฮ่องเต้ หลังจากนั้นหลายรุ่น จึงเชื่อมสัมพันธ์การแต่งงานกับราชวงศ์และสกุลสูงศักดิ์ ความแข็งแกร่งของสกุลไม่สามารถบรรยายได้เลย ฉู่หวั่นเหนียงก็นับว่ามีชาติกำเนิดไม่ธรรมดา แต่ตกไปอยู่ในหอคณิกา รู้จักคนในคฤหาสน์ต่างๆ มากมาย แต่ตอนเดินอยู่ในเรือนที่เรียบง่ายแต่ไม่ขาดความประณีตแห่งนี้แล้ว กลับสามารถสัมผัสได้ถึงรากฐานของสกุลฉู่ก็รู้สึกกระวนกระวายใจมากขึ้นที่พลั้งปากพูดไปในวันนั้น
แต่ที่นางกังวลใจที่สุดคือหลี่รั่วอวี๋ เป็นไปได้หรือไม่ว่าชายหนุ่มที่ดูร้ายกาจผู้นั้นหลงใหลในความงามของหลี่รั่วอวี๋ จึงฉวยโอกาสตอนนางสมองเสื่อม บังคับเอานางมาเป็นของเล่น
ตอนเดินเข้าไปในสวนดอกไม้ นางเงยหน้าขึ้นเห็นหลี่รั่วอวี๋สวมชุดกระโปรงสีขาวนวลยืนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ตะโกนขึ้นไปข้างบนอย่างเบิกบานใจ “พี่ฉู่ ข้าอยากได้ไข่นกที่ใหญ่ที่สุดนั่น!”
ส่วนฉู่จิ้งเฟิงที่ดูมีบารมีเคร่งขรึมผู้นั้น สวมเสื้อแขนสั้นกางเกงขายาวทะมัดทะแมง ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่อย่างคล่องแคล่ว เขี่ยรังนกอย่างตั้งใจ
ความสามารถที่ฝึกเพื่อฆ่าศัตรูในสนามรบเอามาใช้ในการเขี่ยรังนกทำได้อย่างง่ายดาย ตอนที่ฉู่จิ้งเฟิงยกเอารังนกลอยตัวลงมาจากบนต้นไม้ หญิงสาวที่อยู่ใต้ต้นไม้ตื่นเต้นมองด้วยสายตานับถือ เขาก็ยังคงมีท่าทางสงบนิ่ง หลังจากยื่นรังนกให้หลี่รั่วอวี๋แล้วก็ยื่นมือไปรับผ้าเช็ดหน้าที่สาวใช้ยื่นมาให้เช็ดมือทั้งสองข้าง กิริยาท่าทางฉายความสง่างาม ราวกับเมื่อครู่เหมือนเพียงแค่เดินเข้าไปหยิบยาทิพย์หลายเม็ดในตำหนักเง็กเซียนฮ่องเต้ ยากจะเกิดความรู้สึกว่าฉู่จิ้งเฟิงแท้จริงแล้วก็มีความไร้เดียงสาอยู่มาก
ในศาลากลางสวนดอกไม้วางเตาถ่านเล็กไว้เตาหนึ่ง บนนั้นวางแผ่นเหล็กทาน้ำมันเอาไว้ ด้านข้างเป็นเนื้อสดหลากสี ยังมีต้นหอมกับหัวไช้เท้าหั่นเป็นแว่นอีกด้วย เห็นทีฉู่จิ้งเฟิงผู้นี้จะว่าง อยากทำเนื้อย่างในสวนดอกไม้
หลังจากเช็ดสองมือเสร็จแล้ว ฉู่จิ้งเฟิงจึงนำหญิงสาวเอาไข่ที่เพิ่งเก็บลงมาตอกลงบนแผ่นเหล็ก จากนั้นก็วางเนื้อสดย่างไปพร้อมกัน ไม่นานไข่ผสมเนื้อที่โรยเกลือก็ส่งกลิ่นหอม
ส่วนหลี่รั่วอวี๋ที่มีความอยากเหมือนลูกสุนัขดวงตาเบิกโต มองดูฉู่จิ้งเฟิงใช้ไม้ไผ่คีบพลิกอาหารน่ากินนั้นไม่วางตา
ตอนที่พ่อบ้านพาฉู่หวั่นเหนียงเดินอ้อมระเบียงทางเดินยาวมาถึงศาลาพักร้อน ฉู่จิ้งเฟิงจึงช้อนตาขึ้นมองไปทางที่นั่งว่างด้านข้างแล้วพูดว่า “แม่นางฉู่หลายวันมานี้กินไม่ค่อยลง มาร่วมดื่มด้วยกันดีหรือไม่”
ฉู่หวั่นเหนียงมองดูหญิงสาวที่ยื่นหน้าเข้าไปในถ้วย จึงสูดหายใจเข้าลึก แล้วยกชายกระโปรงนั่งลงข้างโต๊ะ
“คุณหนูรองหลี่ ท่าน…จำหวั่นเหนียงได้หรือไม่”
หลี่รั่วอวี๋เห็นฉู่หวั่นเหนียงพูดกับตนเองก็เลียน้ำมันที่ริมฝีปาก จากนั้นดึงปลายลิ้นกลับแล้วพูดว่า “พี่คือพี่สาวที่ดื่มน้ำได้น่าดูมาก รั่วอวี๋จะเป็นเหมือนพี่…”
นางพูดพลางหยิบน้ำแกงบ๊วยที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาเลียนแบบท่าทางการแสดงศิลปะการชงชาของฉู่หวั่นเหนียงที่นางเห็นในวันนั้นอย่างดี ดื่มอย่างช้าๆ หนึ่งอึก
ฉู่หวั่นเหนียงเดิมทียังไม่เชื่อว่าหลี่รั่วอวี๋สมองเสื่อม วันนี้เห็นท่าทางนางเป็นเช่นนี้จึงเชื่ออย่างเต็มที่ ดวงตาก็ร้อนผ่าว จ้องฉู่จิ้งเฟิงด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว ในใจคิดว่า… นี่เขาใช้วิธีเลวร้ายอะไรจึงทรมานหลี่รั่วอวี๋จนเป็นเช่นนี้
ฉู่จิ้งเฟิงพูดเสียงเข้ม “วันนั้นรั่วอวี๋มาหาข้าที่ในค่าย ข้าไม่ได้กล่าวโทษนาง นางส่งมอบสัมภาระการทหารก็กลับไปบ้านเกิดที่เมืองเหลียวเฉิง จากนั้นก็บาดเจ็บเพราะอุบัติเหตุ ตอนที่ข้าไปรักษาอาการบาดเจ็บที่เมืองเหลียวเฉิง พอดีสกุลของนางกับสกุลเสิ่นถอนหมั้นกัน ดังนั้นข้าจึงเป็นฝ่ายขอดองกับสกุลหลี่ รับรั่วอวี๋เป็นภรรยา ขอแม่นางฉู่อย่าได้มีใจเป็นศัตรูกับข้าเลย”
ฉู่จิ้งเฟิงเป็นคนเย็นชา แต่คนเช่นนี้หากยอมเอ่ยปากอธิบาย ก็นับว่ามีน้ำหนักในการพูดกล่อมได้
ฉู่หวั่นเหนียงคิดเชื่อมไปถึงภาพแผ่นป้ายแดงสองข้างทางตอนเข้าเมืองในวันนั้น ชาวเมืองพากันมาแสดงความยินดีในการแต่งงานของซือหม่า เห็นทีคำพูดของฉู่จิ้งเฟิงไม่ได้โกหก
ฉู่จิ้งเฟิงเห็นท่าทางฉู่หวั่นเหนียงคลายลง และรู้ว่านางฟังเข้าหูไปหลายส่วนจึงพูดอีกว่า “เมื่อก่อนความไม่เข้าใจระหว่างข้ากับรั่วอวี๋สามารถลบให้หมดได้ เพราะตอนนี้นางเป็นภรรยารักของข้าแล้ว แม้นางจะเคยทำร้ายข้า ข้าก็ยินดี แต่ถ้าคนอื่นคิดจะทำร้ายนาง ข้าจะทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นถ้าแม่นางฉู่สนิทสนมกับฮูหยินข้าจริง ขออย่าได้เก็บเงียบ เล่าเรื่องการถูกลอบทำร้ายของนางในครั้งนั้นให้ข้าฟังให้หมด”
ตอนนี้ตัวอยู่เรือนด้านหลัง ทุกที่เต็มไปด้วยดอกไม้ต้นไม้ ภายในศาลาก็มีถ้วยจานวางเรียง สุราหอมยั่วใจ เดิมควรเป็นเรื่องที่สบายอารมณ์ เขาพูดพลางใช้มีดสั้นคมกริบหั่นเนื้อแพะชิ้นใหญ่ การลงมีดเร็วและแม่นยำ เนื้อแดงสดถูกหั่นเป็นชิ้นบางเล็ก พูดถึงตอนนี้เขาก็ช้อนดวงตาลึกล้ำคู่นั้นขึ้นแล้วกล่าวทีละคำ “ถ้ารู้ว่าผู้ใดเป็นคนทำ จะจับตัวมาฆ่าทิ้งแน่นอน!”
ฉู่หวั่นเหนียงรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบแน่น ในช่วงที่เหม่อนั้นเอง กลับเหมือนเห็นดวงตาของเขามีประกายสีแดงราวกับพญามัจจุราชแห่งความตาย…
“พี่ฉู่ รั่วอวี๋จะเอาไข่อีก…”
ในตอนนี้เองหลี่รั่วอวี๋ก็ทำตาแป๋วยื่นถ้วยกระเบื้องเข้ามาให้ฉู่จิ้งเฟิงรีบทอดไข่นกหอมฉุยออกมาอีกฟอง
ประกายแดงในดวงตาฉู่จิ้งเฟิงเหมือนเป็นเพียงภาพลวงตาของฉู่หวั่นเหนียง เห็นเพียงชายหนุ่มรูปงามยื่นมือใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปากเปื้อนน้ำมันของหลี่รั่วอวี๋อย่างรักใคร่แล้วพูดว่า “กินช้าหน่อย ไม่อย่างนั้นจะเป็นเหมือนเมื่อวานที่รีบกินไป ทำให้ปวดท้อง”
เห็นภาพนี้แล้ว ฉู่หวั่นเหนียงก็นิ่งเงียบอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยปากพูด “คุณหนูรองหลี่ถูกลอบทำร้ายบนเรือระหว่างเดินทางผ่านวั่นโจว เพราะสถานการณ์คับขัน นางจึงให้คนใต้บัญชาขนย้ายสัมภาระการทหาร แอบลอบเข้ามาหลบในหอซิ่วชุนของข้าชั่วคราว เพราะแขกบางคนของหอซิ่วชุนมีนิสัยเลวร้าย ชอบทำให้หญิงในหอได้รับบาดเจ็บ จึงเลี้ยงดูท่านหมอไว้ผู้หนึ่ง ยาสมานแผลล้วนมีพร้อม ไม่เคยออกไปซื้อยาข้างนอก เพื่อหลบเลี่ยงสายตาคนร้ายที่ติดตามมา ข้าเคยถามคุณหนูรองว่ารู้หรือไม่ว่าเป็นฝีมือของผู้ใด แต่นางกลับบอกว่าคนที่เป็นหัวหน้าโพกหน้าไว้ เห็นเพียงแค่สองตา… ดวงตานั้นพิเศษมาก มันเป็นสีแดง…” พูดถึงตรงนี้ ฉู่หวั่นเหนียงก็จ้องตาของเขาแล้วพูดทีละคำว่า “ก็เหมือนใต้เท้าเมื่อครู่”
ฉู่จิ้งเฟิงเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่จึงหรี่ตาถามว่า “ในเมื่อแม่นางฉู่สงสัย เหตุใดยังบอกเรื่องนี้กับข้าอีก”
ฉู่หวั่นเหนียงฉีกยิ้มบางๆ หน้าตาดูงดงาม “ข้าน้อยหาเลี้ยงชีวิตในกลุ่มบุรุษ จะมองไม่ออกถึงความรักที่ใต้เท้ามีต่อคุณหนูรองหลี่ได้อย่างไร แม้จะไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้คือความจริงใจ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าใต้เท้าลงมือกับคุณหนูรองในตอนนี้จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ท่านจะหาเรื่องมาตัดโอกาสตัวเองไปเพื่ออะไร คนตาแดงผู้นั้นแม้จะไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด แต่คาดว่าใต้เท้าคงมีความคิดในใจแล้ว ข้าน้อยเชื่อว่ามีใต้เท้าคอยปกป้อง ต้องคุ้มครองคุณหนูรองได้ ข้าน้อยย่อมบอกท่าน ช่วยใต้เท้าอีกแรง”
ฟังถึงตรงนี้ ฉู่จิ้งเฟิงเข้าใจแล้วว่าเหตุใดหลี่รั่วอวี๋จึงสนิทสนมกับยอดบุปผาผู้นี้ แม้นางจะอยู่ในหอคณิกา แต่ประสบการณ์ที่พบเจอมีมากกว่าหญิงสาวในคฤหาสน์ทั่วไป
เขายกจอกสุราในมือขึ้นแล้วเชิญเป็นมารยาท “เช่นนั้นข้าก็ขอขอบคุณแม่นางฉู่แทนภรรยาของข้า!”
ฉู่จิ้งเฟิงเป็นคนที่หากผู้ใดมีคุณต้องตอบแทน จึงเตรียมจะไถ่ตัวแม่นางฉู่ผู้นี้ แล้วหาบ้านให้นางอยู่ในเมืองโม่เหอ
ฉู่หวั่นเหนียงขอบคุณความหวังดีของฉู่ซือหม่าแล้วพูดปฏิเสธโดยอ้อม “คุณหนูรองก็เคยเสนอว่าจะไถ่ตัวข้าน้อย แต่ข้าน้อยมีเรื่องในใจที่ยังสะสางไม่เสร็จ ต้องอยู่ต่อในหอคณิกาอีกระยะหนึ่ง ขอใต้เท้าให้คนส่งข้าน้อยกลับไปที่หอซิ่วชุนก็พอ…”
คนย่อมมีความคิดต่างกัน ฉู่จิ้งเฟิงไม่ได้บังคับ สั่งให้กวนป้าส่งฉู่หวั่นเหนียงกลับไปที่วั่นโจว
ก่อนจากกัน ฉู่หวั่นเหนียงรู้สึกอาลัยอาวรณ์จึงดึงมือหลี่รั่วอวี๋มาแล้วกระซิบพูดกับนางหลายประโยค
หลี่รั่วอวี๋ฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็พยักหน้าอย่างเป็นมิตร ตอนพูดแสดงความรู้สึกก็พูดได้คล่องขึ้นมาก “พี่สาว…ข้าไปกับพี่ดีหรือไม่ ขนมในหอนั่นอร่อยมาก ได้ยินหล่งเซียงพูดว่า ในหอของพี่ขอเพียงเต้นรำร้องเพลงให้คนดูก็มีข้าวให้กิน”
ฉู่หวั่นเหนียงบอกอารมณ์ไม่ถูก “คุณหนูรอง ต้องอ่านหนังสือเขียนหนังสือให้มากนะ ท่านจะเรียนรู้แต่ศิลปะที่ใช้ปรนนิบัติคนอื่นได้อย่างไร”
หลี่รั่วอวี๋พยักหน้าอย่างแรง “พี่ฉู่บอกว่า อีกสองสามวันจะพารั่วอวี๋ไปหอเรียนแล้ว ถึงตอนนั้นรั่วอวี๋ยังสามารถรู้จักสหายร่วมเรียนได้อีกมากมาย…”
คิดว่าสามารถไปหอเรียนเหมือนน้องชายเสียนเอ๋อร์ได้ สองตาของหลี่รั่วอวี๋ก็เปล่งประกายปรารถนาอยากเรียนรู้ออกมา
ฉู่จิ้งเฟิงแม้จะยืนอยู่ไกล แต่หูของเขาดีมาก ย่อมได้ยินถึงความเป็นห่วงของฉู่หวั่นเหนียง และคำพูดไร้เดียงสาที่หลี่รั่วอวี๋บอกว่าจะตามฉู่หวั่นเหนียงเข้าหอซิ่วชุน ใช้ดนตรีร่ายรำขออาหารกิน ในใจก็ไม่ยินดีขึ้นมาทันใด หากไม่ใช่เห็นแก่มิตรภาพของยอดบุปผากับหลี่รั่วอวี๋ และบุญคุณที่ช่วยชีวิตหลี่รั่วอวี๋เอาไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะต้องจัดการความไม่ยินดีนั้นไป
หลังจากฉู่หวั่นเหนียงขึ้นรถจากไปแล้ว หลี่รั่วอวี๋ยังคงโบกผ้าเช็ดหน้าอย่างอาวรณ์
หลายวันมานี้ ฉู่หวั่นเหนียงสอนนางดีดพิณ แม้นางจะดีดไม่เป็นทำนอง แต่เลียนแบบท่าทางการนั่งดีดพิณบนเสื่อของฉู่หวั่นเหนียงก็รู้สึกว่าตนเองกลายเป็นคนงามแล้ว! เมื่ออีกฝ่ายจากไปเช่นนี้ จะมีผู้ใดมาสอนนางดีดพิณอีกเล่า
ฉู่จิ้งเฟิงยืนนิ่งอยู่ไม่ไกลจากข้างหลังตัวนาง พูดเสียงดังว่า “รีบกลับมา!”
หลี่รั่วอวี๋จึงหันไปมองแล้วเดินมาทางเขาอย่างเหงาหงอย
ฉู่จิ้งเฟิงเหลือบตามอง ถามว่า “ไม่ให้กินอาหารก็จะตามคนอื่นไปหรือ ท่านแม่เจ้าไม่เคยสอนเจ้าว่าควรปฏิบัติอย่างไรกับ ‘สามี’ หรือ ต้องอยู่ไม่ห่างกายไปไกล! ข้าเป็นท้องฟ้าของเจ้า! มีเหตุผลอะไรที่จะตามคนอื่นไป”
หลี่รั่วอวี๋งุนงง พูดอย่างอึดอัดว่า “ได้ยินท่านแม่พูดว่า… แต่ง…แต่งงาน สวมเสื้อกินข้าวไม่ต้องกังวล ท่านแม่บอกว่าแต่งงานกับพี่แล้ว พี่จะให้รั่วอวี๋สวมเสื้อผ้าอุ่นๆ กินอาหารจนอิ่ม ถ้าทำไม่ได้ ตอนกลับบ้านเกิดก็แอบไปบอกนาง นางจะหาวิธีรับข้ากลับบ้าน…”
พูดจบนางก็ลอบช้อนตาโตขึ้น เห็น ‘ท้องฟ้า’ ของตนเองเหมือนจะครึ้มอีกแล้ว ท่าทางเหมือนฝนจะตก จึงรีบขยับตัววิ่งออกห่าง
เห็นทีต้องรีบสั่งสอนหลี่รั่วอวี๋แล้ว เรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญ แต่คำว่า ‘สามีเป็นหลัก’ ต้องสลักใส่ใจ แต่จะสอนอย่างไรยังเป็นปัญหา ดังนั้นจึงจะทำตามความคิดเดิม คือเชิญอาจารย์หญิงเข้ามาสอนหนังสือ
แต่หลี่รั่วอวี๋กลับอยากทำเหมือนเสียนเอ๋อร์แบกกล่องหนังสือออกจากบ้านทุกวัน คบหาสหายร่วมเรียนสักกลุ่ม ความปรารถนาเรียบง่ายแบบนี้ยังทำให้ไม่ได้ จะไปเป็นเมฆขาวฟ้าครามของนางได้อย่างไร?
ฉู่จิ้งเฟิงจึงลงทุนเงินก้อนใหญ่ให้กับสำนักศึกษาที่อยู่ใกล้จวนซือหม่ามากที่สุด เพื่อใช้เป็นสำนักศึกษาส่วนตัวของฮูหยินซือหม่า
ในรัชศกนี้สำนักศึกษาสตรีไม่นับเป็นเรื่องแปลก แต่จำกัดสำหรับหญิงอายุน้อยที่ยังไม่แต่งงานเท่านั้น ถึงอายุสิบห้าสิบหกแล้วเป็นเวลาเรียนจบ ต้องเลี้ยงดูอบรมในบ้านเพื่อเตรียมแต่งงานแล้ว
ฉู่จิ้งเฟิงเห็นหลี่รั่วอวี๋อยู่กับฉู่หวั่นเหนียงหลายวันนี้ สามารถเรียนรู้ได้อย่างดี ไม่ต้องมีผู้ใดคอยดูก็เลียนแบบท่าทางการกระทำของฉู่หวั่นเหนียงเอง ทุกวันตอนดื่มชาจะกรีดนิ้วยกนิ้วชี้ขึ้น เห็นได้ว่าหลี่รั่วอวี๋ใช่ว่าจะเรียนได้ไม่ดี แต่นางเป็นคนชอบเอาชนะ จะไม่ให้คนพูดมาก ต้องหาสหายร่วมเรียนมาจำนวนหนึ่งเพื่อเปรียบเทียบกัน และจะได้ดูความก้าวหน้าของนางได้ด้วย
เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็เชิญอาจารย์สำนักศึกษามา สั่งให้เขาเขียนประกาศ บอกเพียงว่าจวนซือหม่าตั้งสำนักศึกษาสตรี รับหญิงอายุสิบสองสิบสามปีในเมืองเข้าเรียนเท่านั้น กำหนดว่าต้องมีนิสัยอ่อนโยน กิริยาเหมาะสม ไม่ว่าจะมีชาติกำเนิดใด หากคะแนนสอบเข้าเกณฑ์ก็สามารถเข้าเรียนได้
พอประกาศออกมา บ้านที่มีบุตรสาวอายุเข้าเกณฑ์ในเมืองล้วนตื่นเต้น สำนักศึกษาสตรีแห่งนี้ได้ยินว่ามีเพียงในสถานที่ที่ร่ำรวยเช่นเมืองหลวงจึงจะมี ธิดาสกุลร่ำรวยในท้องถิ่นหากคิดจะเรียนรู้ ปกติสามารถเชิญอาจารย์ไปสอนถึงบ้านได้ อาจารย์หญิงปกติจะหายาก และใช่ว่าทุกคนจะเชิญมาได้ สู้เข้าสำนักศึกษาจะสะดวกกว่า
มีคนอยากรู้มาสอบถาม ได้ความเพียงว่าในจวนซือหม่ามีเหล่าน้องสาวที่อายุถึงเกณฑ์ต้องการเข้าเรียน จึงได้ตั้งสำนักศึกษาสตรีขึ้น อาจารย์หญิงที่เชิญมาล้วนเก่งเป็นอันดับต้น หากสามารถเรียนจบจากสำนักศึกษานี้ได้ ภายหน้าต้นทุนตอนบุตรสาวออกเรือนจะไม่มากยิ่งขึ้นหรือ
ในวันสอบ สำนักศึกษามีคนมามากมายทันที เด็กสาวหวีผมเรียบร้อยทุกคนถูกนำเข้าไปสอบตอบคำถามในสำนักศึกษา
ธิดาครอบครัวบัณฑิตมากมายเพราะผ่านการเรียนรู้จากที่บ้านมาเร็ว ตำราบทกลอนล้วนท่องจำได้คล่องแคล่วแล้ว หยิบข้อสอบขึ้นมาอ่านก็แอบพ่นหัวเราะ ข้อสอบที่ออกคือเรื่องเบื้องต้นประเภทคัมภีร์สามอักษร* กับระเบียบของศิษย์ เหล่าอาจารย์ในสำนักศึกษาดูถูกสตรีอย่างนั้นหรือ จึงยกมือตวัดพู่กัน เขียนอักษรอย่างงดงามเป็นพิเศษ
หลังจากตอบคำถามเก็บข้อสอบไปแล้ว นอกจากเด็กสาวไม่กี่คนที่ก้มหน้าเศร้าออกมา เด็กสาวส่วนใหญ่ล้วนมีหน้าตายินดีท่าทางมั่นใจเต็มเปี่ยม บอกให้ท่านพ่อท่านแม่รีบเตรียมกล่องหนังสือกับสาวใช้ที่คอยดูแลเรื่องพู่กันน้ำหมึก ตนเองต้องสอบผ่านอย่างแน่นอน
แต่เมื่อถึงวันติดประกาศ คนเห็นกลับอ้าปากคางแทบหลุด เด็กสาวคนเก่งธิดาจากสกุลบัณฑิตหลายสกุลในเมืองสอบไม่ติดแม้แต่คนเดียว คนที่ถูกรับเข้าเรียนเป็นบุตรสาวของคนขายเนื้อ ธิดาของขุนนางก็มีบ้าง ซูเสี่ยวเหลียงธิดานายอำเภอซย่าเซี่ยนในเมืองโม่เหอก็สอบติดเช่นกัน แต่นางเป็นคนงุ่มง่ามที่ขึ้นชื่อ!
แม้ว่ากระดานประกาศคัดเลือกนี้จะทำให้คนไม่เข้าใจ แต่สำนักศึกษาก็ทำการเปิดสอนอย่างรวดเร็ว
ผมของหลี่รั่วอวี๋ถูกเกล้าเป็นสองจุก ห่อด้วยผ้าบางอยู่สองข้างหัว สวมชุดกระโปรงแขนเสื้อกว้างเข้ารูปสีขาวนวล เดิมทีนางเป็นหญิงเจียงหนานตัวเล็ก ดูแล้วเหมือนลดอายุไปอีกหลายปี เพราะนางกลัวเจ็บจึงไม่ได้ทำการเปิดหน้า ใบหน้าที่มีขนอ่อนกระจ่างใสจึงดูเหมือนหญิงอายุน้อยเพียงสิบสามปี
นางแบกกล่องหนังสือเล็กส่องซ้ายขวาหน้ากระจก ดูพอใจอย่างมาก พอหันไปดู เห็นฉู่จิ้งเฟิงยืนมือไพล่หลังอยู่หน้าประตู ดวงตาก็มีรอยยิ้มในทันที เอียงคอถามว่า “พี่ฉู่ พี่ดูสิว่าชุดเรียนของรั่วอวี๋น่าดูหรือไม่”
ฉู่จิ้งเฟิงใบหน้าเรียบเฉย ในใจลอบนึกอยากจะถอดชุดที่ดูงดงามนั้นออกให้หมด!
(ติดตามต่อในเล่ม)
Comments
comments
No tags for this post.